ซ้อนเล่ห์รัก
ป่วยใจ
“ฝ้ายเป็นยังไงบ้างวะแก
ไม่ไปเรียนสองวันแล้วพวกฉันเป็นห่วงแกจัง”
เสียงยัยนัทในชุดนักศึกษาดังขึ้นมาเมื่อฉันเปิดประตูห้องให้ในช่วงค่ำของวันที่สองที่ฉันไม่ได้ไปมหาลัย
หลังจากที่ตัวเองเกิดอาการไร้เรี่ยวแรงอย่างประหลาดจากการเห็นภาพบางภาพก่อนหน้านั้น
เธอเดินเข้ามาพร้อมถุงใส่ของใหญ่ๆอีกสองสามถุงที่เธอยกขึ้นโชว์ฉันหลังจากเข้ามานั่งในโซนห้องนั่งเล่นได้แล้ว
“เนี่ยของฝากเพื่อนๆ
พวกมันส่งฉันมาเป็นตัวแทนก่อนน่ะ ถ้าแกเป็นหนักพวกมันถึงจะมาเยี่ยมกัน
ว่าแต่แกเป็นไงบ้างวะสีหน้าไม่สู้ดีเลยนะเว้ย” ยัยนัททั้งพูดทั้งยื่นมือมาจับแก้มฉัน
ก่อนจะสบัดมือออกอย่างไว
“เฮ้ย!
ตัวอย่างร้อนเลยอ่ะ แกไปหาหมอยังวะเนี่ย ไปมั้ยเดี๋ยวฉันพาไปหา”
“ไม่เป็นไร
ฉันไปคลินิกมาเมื่อช่วงเย็นแล้วล่ะ กินยาแล้วแค่รอเวลาหายเท่านั้นแหละ”ตอบเพื่อนไปด้วยเสียงเอื่อยๆ
“เหรอ
แล้วทำไมเสียงแกเหมือนคนไม่มีแรงพูดขนาดนั้นวะ แกเหนื่อยเหรอ หรือยังไงอยากพักผ่อนมั้ยล่ะฉันจะได้ไม่กวนแก”
“เดี๋ยวค่อยพักก็ได้
ฉันนอนมาทั้งวันแล้วแก..รู้สึกเหนื่อยจัง”
นั่งซึมเหม่อมองเพดานไปในตอนที่ตอบเพื่อน
ในหัวก็เห็นแต่ภาพเก่าๆที่เห็นในความคิดตัวเองมาตลอดสองวันมานี้ ภาพหญิงสาวแสนสวยในชุดราตรีสีน้ำเงินมีชายหนุ่มกำลังประครองมือออกมาจากรถหรูแล้วพากันเดินเข้าสู่คอนโด
ทำให้ฉันเริ่มน้ำตาซึมโดยไม่มีสาเหตุอีกครั้งจนได้..
“ฝ้ายเป็นไรวะ
ทำไมร้องไห้ นี่แกไม่ไหวขนาดนี้เลยเหรอ..” เสียงยัยนัทดังขึ้นมาพร้อมๆกับการยื่นมือมาจับหน้าผากฉัน
ส่วนฉันพอเห็นเพื่อนทักอย่างนั้นก็กลายเป็นหลุดร้องไห้ดังๆออกมาเฉยเลย
ให้ตายเถอะ..น้ำตาฉันตอนนี้เหมือนน้ำที่ไหลออกจากเขื่อนที่แตกยังไงยังงั้น
“มีอะไรเกิดขึ้นกับแกหรือเปล่า
นี่แกไม่ได้ป่วยตามธรรมชาติใช่ป่ะ มีเรื่องที่ทำให้แกป่วยใช่มั้ย” เธอทั้งถามทั้งจับหน้าฉันให้หันขึ้นมามองหน้าเธอตรงๆ
“เปล่า...ฉันก็ป่วยธรรมดาของฉันนี่ล่ะ แค่ปวดหัวมากๆเท่านั้นเอง” หลบตาเพื่อนแล้วพยายามเช็ดน้ำตาตัวเองออก
“จริงเหรอ
แต่แกผอมลงเยอะเลยนะ แสดงว่าแกต้องไม่ได้กินข้าวแน่ๆ
หน้าตาก็ซูบซีดอิดโรยเหมือนไม่ได้หลับไม่ได้นอน แถมแววตาแกก็ดูเหม่อๆพิกลอีก
อาการอย่างนี้ถ้าบอกว่าแกอกหักฉันก็เชื่อนะเนี่ย”
ตาขวางหันขวับมามองเพื่อนทันทีที่ได้ยินข้อความแทงใจดำบางคำ
“ใครอกหัก!
ฉันเนี่ยะนะอกหัก! ฉันจะอกหักจากใครมิทราบ!”
“ก็..พี่นาราไง หรือไม่ใช่...”
“ไม่!” กัดปากกัดฟันปฏิเสธเพื่อนเสียงแข็ง ก่อนจะน้ำตาซึมลงมาอาบแก้มตัวเองอีกครั้ง
“ฉันไม่มีทางอกหักเพราะยัยคนนั้นแน่นอน
หล่อนสิจะต้องอกหักเพราะฉัน บ้าเอ้ย..แล้วฉันร้องไห้ทำไมเนี่ย..”
พูดไม่จบประโยคฉันก็กลายเป็นสะอึกสะอื้นร้องไห้ขึ้นมาแบบเป็นบ้าเป็นหลัง
นั่นทำให้ยัยนัทรีบเข้ามากอดปลอบฉันแล้วเลิกถามเหตุผลที่ฉันป่วยก่อนหน้านั้นไปโดยปริยาย
ให้ตายเถอะฉันเป็นอะไรไปเนี่ย
ทำไมถึงได้แสดงความอ่อนแอให้คนอื่นเห็นได้ง่ายๆขนาดนี้กันนะ
////////////////////////
เข้าสู่วันที่สามของอาการป่วยหมดเรี่ยวหมดแรงของฉัน
และเช่นเคยที่วันนี้ทั้งวันของฉันจะเต็มไปด้วยอาการนั่งเหม่อลอยและน้ำตาซึมออกมาโดยไม่มีสาเหตุ
เมื่อในหัวฉายให้เห็นภาพพี่นารากับผู้ชายคนนั้นซ้ำๆ
แม้ก่อนหน้านั้นจะมีภาพรอยยิ้มสดใสน่ารักของเธอเมื่อยามที่เธอหลุดยิ้มกับฉันฉายขึ้นมาพอให้ฉันได้ยิ้มตามบ้าง
แต่เมื่อคิดได้ว่ากับผู้ชายคนนั้นเธอยิ้มออกมาอย่างสุดหัวใจดูจริงใจมากกว่าฉันเสียอีกฉันก็กลายเป็นเป็นร้องไห้ออกมาอีกครั้งจนได้
บ้าชะมัด..ไม่ชอบตัวเองในเวอร์ชั่นอ่อนแออย่างนี้เลย
ฉันชอบฉันในเวอร์ชั่นสวยๆเลิศๆ และเชิดให้ทุกคนที่เข้าหา
พร้อมที่จะปฏิเสธทุกคนที่ตัวเองไม่ชอบ มีความสุขที่จะได้เช็กเรตติ้งตัวเอง
เป็นผู้รอรับการสานสัมพันธ์ เป็นผู้เลือก เป็นผู้ชนะในทุกๆเกมส์
ไม่ใช่อย่างนี้ที่ฉันกำลังแพ้...และแพ้ให้กับอะไรฉันก็ยังไม่รู้เลย
ฉันแพ้ให้กับตัวเอง หรือฉันแพ้ให้กับผู้หญิงที่อยู่ในห้วงความคิดของฉันตลอดเวลากันนะ..
ห้วงความคิดพร่ำเพ้อของฉันถูกหยุดลงเมื่อได้ยินเสียงกดกริ่งหน้าห้อง
ฉันเช็คน้ำตาแล้วรีบเดินไปเปิดประตูเมื่อนึกขึ้นได้ว่ายัยนัทอาจจะแวะมาเยี่ยมฉันอย่างเมื่อวานอีก
ภาพที่เห็นไม่ได้เป็นอย่างที่คิด
เมื่อต่อหน้าคือผู้หญิงที่อยู่ให้ห้วงความคิดของตัวเองมาตลอดระยะเวลา3วันมานี้กำลังยืนกอดอกจ้องมองใบหน้าซีดๆของฉันเมื่อประตูเปิดออก
“เป็นอะไรหรือเปล่า”เป็นพี่นาราที่รีบยื่นมือมาผลักประตูไว้เมื่อเห็นฉันกำลังจะปิดมันลงทั้งๆที่พึ่งเห็นหน้าเธอแว๊บเดียวเอง
“หลบหน้าทำไมเนี่ย”
เธอถามฉันที่ก้มหน้าหลบตา เมื่อความรู้สึกน้อยใจแปลกๆทำให้ฉันไม่อยากจะเจอหรือมองหน้าเธอในตอนนี้เลย
“ผิดปกตินะ หรือกำลังอยู่กับใครในห้อง”
“เปล่า...”
“งั้นเข้าไปได้มั้ย”ถามแล้วไม่ได้รอคำตอบเพราะเธอรีบเดินแทรกกายเข้าห้องทันทีแม้ไม่ได้รับอนุญาติจากฉันยังไงก็ตาม
ตอนนี้ฉันเลยได้แต่เดินเอื่อยๆพาร่างเหนื่อยๆของตัวเองไปนั่งอยู่โซฟาตรงข้ามกับที่เธอนั่งก่อนหน้านั้น
“ไม่สบายใช่มั้ย
ทำไมอยู่ๆเธอหายไปเลย…”คนถามยื่นมือมาแตะหน้าผากฉันก่อนจะคิ้วขมวด
“..ตัวร้อน ไม่สบายนี่ แล้วไปหาหมอหรือยัง
มีใครพาไปหรือเปล่า”
“ไปมาแล้วค่ะ
เดี๋ยวก็คงหายเอง..” คำตอบจากเสียงแข็งๆและท่าทางเย็นชาของฉันทำเอาพี่นาราคิ้วขมวดจ้องมองด้วยความสงสัย
“เหมือนไม่เต็มใจตอบเลยเนอะ
ถ้างั้นฉันไม่กวนเธอดีกว่า พักผ่อนให้มากๆแล้วกันขอโทษด้วยที่มากวน”
ว่าแล้วเธอก็รีบลุกขึ้นจากโซฟาทำท่าเหมือนจะเดินออกจากห้องไปเลย
ถ้าไม่ติดว่าได้ยินคำถามบางคำถามที่ฉันถามเธอออกไปเสียก่อน
“ผู้ชายที่มาส่งพี่นาราเป็นแฟนพี่นาราเหรอคะ”
เธอคิ้วขมวดหันมาพินิจพิเคราะห์สีหน้าของฉันตอนถามคำถาม
“ถามทำไม..”
“ก็ถ้าเป็นแฟนพี่นาราหนูก็จะได้ตัดใจจากพี่
จะได้ไม่ไปกวนพี่อีกไง”
พี่นารายืนจ้องฉันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะอมยิ้มแล้วกลายเป็นหลุดหัวเราะเบาๆออกมา
“น่าเสียดายนะ
งั้นเธอคงจะได้กวนฉันไปอีกนานเลยล่ะ..”พูดเสร็จเธอก็หันหลังเตรียมจะเดินหนีต่อ
จนฉันต้องรีบลุกขึ้นดึงมือเธอไว้
“พี่หมายความว่าไง
หมายความว่าเขาไม่ใช่แฟนพี่
แต่พี่อยู่กับเขาจนถึงเช้าและเขาก็ไปส่งพี่ถึงในห้องเนี่ยนะ”
“ในห้องที่ไหน
เขาส่งแค่โถงทางเข้าแค่นั้น ฉันไม่ได้อนุญาติให้ใครเข้าห้องฉันง่ายๆหรอกนะ”
“แต่เขา...”
“นี่..เขาจีบฉัน โอเคเธอเข้าใจถูก แต่มันก็ยังอยู่แค่ในขั้นจีบ
ฉันยังไม่ได้มีอะไรกับเขาเลยเถิดเกินกว่านั้น แล้วตอนนี้ฉันก็ยังไม่เลือกใครด้วย
มันก็ไม่แปลกที่ฉันจะไปไหนมาไหนกับใครใช่มั้ย”
พี่นาราพยายามอธิบายฉันที่นั่งหน้ามุ้ยก้มหน้าก้มตาฟังอย่างเงียบๆและเธอคงรู้ว่าฉันกำลังน้อยใจเธออยู่
“นี่..อย่างน้อยๆฉันก็เลือกที่จะมาหาเธอตอนนี้ แทนที่จะไปกับเขานะ”
คำพูดปลอบใจที่ฟังดูคล้ายเปิดทางของพี่นาราทำให้ฉันลังเลอยากจะเข้าข้างตัวเองแต่ก็กลัวจะกลายเป็นคิดไปเองมากกว่า
เลยได้แต่นั่งเงียบครุ่นคิดจนเธอเปลี่ยนเสียงคุยกับฉันอีก..
“หรือฉันคิดผิดที่ไม่ไปกับเขาแต่มาหาเธอกัน”พูดเสร็จเธอก็สะบัดหลังจะเดินออกจากห้องอีกรอบ
“เดี๋ยวค่ะ! พี่นารา!” เธอชะงักทันทีที่ฉันยื่นมือมาจับเธอไว้อีก
“พี่นาราอย่าพึ่งเลือกใครได้มั้ย
หนูรู้ว่าหนูอาจจะไม่ได้ดีเท่าคนอื่น
แต่ถ้าพี่นารายอมให้หนูเป็นตัวเลือกในชีวิตพี่อีกคน หนูสัญญาว่าจะทำให้ดีที่สุด
หนูจะพิสูจน์ตัวเองให้พี่นาราเห็นให้ได้ว่าหนูรักพี่จริงๆแค่ไหน”
บ้าชะมัดเลย
ทำไมฉันถึงกล้าพูดคำว่า“ยอมเป็นตัวเลือก” ให้กับผู้หญิงคนนี้ ยอมทิ้งศักดิ์ศรีที่ตัวเองรักนักรักหนาได้ถึงเพียงนี้นะ
นี่จริงๆแล้วฉันแค่กลัวการพ่ายแพ้ให้กับเพื่อนในกลุ่มแค่นั้นใช่มั้ย
พยายามคิดหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองในสิ่งที่ตัวเองไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะกล้าทำ
ในเมื่อมันก็เป็นแค่เกมส์ แต่พอคิดว่ากำลังจะพ่ายแพ้และเสียเธอไปให้กับใครแล้วฉันกลับยอมละทิ้งศักดิ์ศรีขอร้องให้เธอยอมรับตัวเองเป็นตัวเลือกแม้จะน่าอายขนาดไหนก็ตาม
หรือนี่จะเป็นการนำสนองของบาปกรรมที่ฉันเคยทำมาต่อผู้ชายทั้งหมดนั่นกันนะ
ทั้งคิดทั้งร้องไห้
ใบหน้าขาวซีดก่อนหน้านั้นก็กลายเป็นซีดเผือกไร้สีเลือดไปกันใหญ่เมื่อฉันร้องไห้หนักแล้วกลายเป็นสะอึกสะอื้นขึ้น
จนพี่นาราต้องรีบหันมาพยุงตัวฉันไว้เมื่อเธอเห็นฉันเหมือนคนกำลังจะเป็นลมในไม่ช้า
“ฝ้าย! ฝ้าย! ฝ้ายเป็นอะไรน่ะ ฝ้าย!”
//////////////////////////////////
“โจ๊กเจ้านี้น่าจะอร่อยนะ
พี่ลองอ่านรีวิวแล้วเห็นมีแต่คนให้ห้าดาว”
เสียงพี่นาราดังขึ้นเมื่อเธอเดินออกจากห้องครัวฉันพร้อมๆกับถ้วยโจ๊กที่เธอพึ่งไปรับมาจากGrab
Foodด้านล่างคอนโด แล้วรีบนำมาให้ฉันด้วยท่าทางกระตือรือร้นเมื่อเธอได้รู้ว่าฉันยังไม่ได้กินอะไรเลยทั้งวัน
และที่เป็นลมก่อนหน้านั้นส่วนหนึ่งก็อาจจะเป็นเพราะท้องไส้ฉันว่างก็ได้
ตอนนี้แม้จะยังอ่อนแรงอยู่เช่นเคยแต่ความรู้สึกดีๆจากคำว่า“พี่”ที่คนต่อหน้าเอ่ยออกมาก็ทำให้ฉันมีกำลังใจในการอยากทานอาหารเพิ่มขึ้นทันที
นี่เป็นครั้งแรกที่พี่นาราเรียกแทนตัวเองว่าพี่เลยนะ
หลังจากที่ก่อนหน้านี้เธอเอาแต่เรียกแทนตัวเองว่าฉันมาตลอด
หนำซ้ำก่อนหน้านั้นเธอยังเรียกชื่อเล่นของฉันอีก
การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดว่าเป็นไปในทางที่ดีทำให้ฉันเริ่มยิ้มออกนิดๆหลังจากที่ก่อนหน้านั้นเอาแต่ร้องไห้ตลอด
“ทำไมถึงไม่ยอมกินข้าวทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่สบายขนาดนี้กัน
ดูซิผอมไปหมดแล้วนี่” เธอถามฉันในตอนที่มองดูฉันเขี่ยโจ๊กเละๆไปมา
“ไม่รู้สิคะ คงตรอมใจมั้งที่อยู่ๆไปเจอภาพบาดตาบาดใจเต็มๆตาอย่างนั้นเข้า
พอคิดว่าจะต้องเสียพี่ไปให้ใครสักคนอยู่ๆร่างกายมันก็อ่อนแอลงไปดื้อๆ
ข้าวปลาก็เลยกลายเป็นไม่หิวไปโดยปริยาย”
คนถามเลิ่กลั่กไปครู่นึงที่ยินน้ำเสียงซังกะตายของฉัน
“จะว่าพี่เป็นสาเหตุทำให้ฝ้ายป่วยอย่างงั้นเหรอ”
ฉันไม่ตอบได้แต่ก้มหน้าเขี่ยโจ๊กในถ้วยไปเงียบๆ
ส่วนเธอพอเห็นฉันกลับเข้าสู่โหมดดราม่าคงกลัวว่าฉันจะเป็นลมไปอีกครั้งเลยรีบยื่นมือมาหยิบช้อนตักโจ๊กใส่ปากฉันเฉยเลย
“อ้าม..อ้าปาก..ถ้างั้นก็กินเยอะๆนะ จะได้รีบหาย
ขอโทษที่เป็นต้นเหตุทำให้ฝ้ายคิดมากจนไม่สบายขนาดนี้นะ”
ได้รับคำข้าวจากเจ้าของใบหน้าสวยเฉี่ยวที่ตอนนี้ดวงตากลายเป็นอ่อนโยนหวานละมุนแล้วฉันก็กลายเป็นเขินเธอขึ้นมาดื้อๆ
ปากเมื่อรับข้าวไปแล้วแทนที่จะเคี้ยวก็กลายเป็นอมค้างเพราะว่ามัวแต่เขินทำอะไรต่อไปไม่เป็น
ได้แต่จ้องหน้าหวานๆเธอค้างไว้ เมื่อหัวใจของตัวเองในตอนนี้กำลังเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ
พลอยทำให้สมองว่างเปล่าขาวโพน จนลืมเรื่องที่คนตรงหน้าทำให้ตัวเองเสียใจไปก่อนหน้านั้นเสียสนิท
“ทำไมเคี้ยวนานจัง
อมข้าวเหรอ ไหนอ้าปากซิ” เป็นเสียงจากคนป้อนที่รีบถามเมื่อเห็นแก้มตุ่ยๆของฉัน
“อมจริงๆด้วย
เคี้ยวแล้วกลืนลงไปเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวตีเลย” มีดุด้วยตอนที่ยกมือขึ้นทำท่าจะตีอย่างที่ขู่
จนฉันต้องรีบกลืนตาม
“อ๊า.. กลืนแล้ว
นี่ไงเห็นมั้ย”อ้าปากโชว์เธอที่ยิ้มหวานโชว์ใบหน้าเด็กให้ฉันเห็นอีกครั้ง..น่ารักชะมัด
“ดีมาก
กินเยอะๆอย่างนั้นแหละ จะได้กินยา จะได้รีบหายเข้าใจมั้ย” พี่นาราทั้งพูดทั้งยื่นมือมาลูบผมปลอบและให้กำลังใจฉันไปพร้อมๆกัน
และฉันก็รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก ได้แต่คิดว่าคงจะดีไม่น้อยถ้ามีผู้หญิงคนต่อหน้าดูแลตัวเองในยามที่ไม่สบายอย่างนี้ตลอดไป
ฉันอยากให้เธอคนนี้ดูแลฉันไปตลอดชีวิตจัง
แต่..มันจะเป็นไปได้มั้ยนะ
//////////////////
“ทำไมพี่รู้จักห้องหนู”เสียงจากใบหน้าใสซื่อของฉันดังขึ้นถามพี่นาราเมื่อเธอรับแก้วน้ำที่ก่อนหน้านั้นถือมาให้ฉันดื่มพร้อมยา
หลังจากที่นั่งบังคับขู่เข็ญให้ฉันกินโจ๊กจนหมดได้พักใหญ่ๆ
“ก็..คงจะเหมือนฝ้ายที่ไปถามข้อมูลพี่จากนิตินั่นละมั้ง”เธอยิ้มรับเบาๆท่าทางเหมือนเขินนิดๆที่โดนถามถึงความพยายามตามหาฉันของเธอในก่อนหน้านั้น
“แล้วทำไมต้องมาหาหนูด้วย..แต่ก่อนพี่ไม่อยากเจอหนูไม่ใช่เหรอ..”
“ก็..ไม่ใช่ไม่อยากเจอ แค่ไม่รู้ว่าจะต้องทำหน้ายังไงเวลาเจอ..” ว่าแล้วแม่เจ้าประคุณก็แกล้งกระแอมเสียงเหมือนอยากจะเปลี่ยนเรื่องคุยที่เธอเห็นว่าทำให้เธออึดอัดและวางตัวไม่ถูกยังไงไม่รู้
“อะแฮ้มม...เอาเป็นว่า..แค่เห็นรถจอดอยู่ที่เดิมตั้งหลายวันแต่ไม่เห็นเจ้าของรถ
ก็เลยนึกกลัวว่าเจ้าของรถอาจจะเมาแล้วมีใครอุ้มไปทำมิดีมิร้ายหรือไม่ก็ฆ่าหมกห้องหรือเปล่า...”
ทำเป็นเก๊กเสียงขึงขังตอนตอบฉัน
“นึกว่าพี่นาราจะเป็นห่วงหนูซะอีก...”
ถามกลับเสียงเบาๆดวงตาก็พยายามจ้องมองเธอทั้งเว้าวอนทั้งน้อยใจ
ซึ่งนั่นก็ทำให้พี่นาราชะงักทันทีที่มองมาเห็นใบหน้านิ่งๆของฉัน
เธอคงเห็นว่าแววตาในครั้งนี้ไม่ได้เจือความทะเล้นมาด้วยเหมือนแต่ก่อน
คงแปลกใจใช่มั้ยล่ะ
“ก็..ถ้ารู้อยู่แล้วจะถามอีกทำไมล่ะ”
ว่าเสร็จเธอก็รีบลุกขึ้นจากโซฟาปุ๊บปั๊บ ไม่แน่ใจว่านั่นคืออาการอายหรือเปล่ารู้แต่ว่าเธอรีบหยิบเอากระเป๋าของเธอแล้วรีบเดินมุ่งตรงออกไปทางประตูห้องทันที
“กินยาแล้วก็รีบนอนนะ
พี่ไม่อยากกวน อยากให้เราได้พักผ่อนเยอะๆ”
นั่นเป็นข้อความที่ออกมาจากใบหน้าด้านข้างของพี่นาราก่อนที่เธอจะก้าวขาอออกจากห้อง
ที่ฉันก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอไม่หันมาบอกฉันดีๆก่อนออกไปกัน
หรือนั่นคือการเก็บงำอาการเขินอายของเธอใช่มั้ย
และแค่มองปลายจมูกคมๆแหลมๆของเธอในใบหน้าด้านข้าง ฉันก็แอบอมยิ้มทันทีเมื่อรู้สึกได้ว่ามันแอบมีสีแดงระเรื่อเจือมาในจมูกขาวๆของเธอที่ฉันเห็นมาตลอดก่อนหน้านั้นด้วย
น่ารักจัง...