วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

 ซ้อนเล่ห์รัก 


Chapter 8

ป่วยใจ

          “ฝ้ายเป็นยังไงบ้างวะแก ไม่ไปเรียนสองวันแล้วพวกฉันเป็นห่วงแกจัง

เสียงยัยนัทในชุดนักศึกษาดังขึ้นมาเมื่อฉันเปิดประตูห้องให้ในช่วงค่ำของวันที่สองที่ฉันไม่ได้ไปมหาลัย หลังจากที่ตัวเองเกิดอาการไร้เรี่ยวแรงอย่างประหลาดจากการเห็นภาพบางภาพก่อนหน้านั้น

เธอเดินเข้ามาพร้อมถุงใส่ของใหญ่ๆอีกสองสามถุงที่เธอยกขึ้นโชว์ฉันหลังจากเข้ามานั่งในโซนห้องนั่งเล่นได้แล้ว

เนี่ยของฝากเพื่อนๆ พวกมันส่งฉันมาเป็นตัวแทนก่อนน่ะ ถ้าแกเป็นหนักพวกมันถึงจะมาเยี่ยมกัน ว่าแต่แกเป็นไงบ้างวะสีหน้าไม่สู้ดีเลยนะเว้ย” ยัยนัททั้งพูดทั้งยื่นมือมาจับแก้มฉัน ก่อนจะสบัดมือออกอย่างไว

“เฮ้ย! ตัวอย่างร้อนเลยอ่ะ แกไปหาหมอยังวะเนี่ย ไปมั้ยเดี๋ยวฉันพาไปหา

          ไม่เป็นไร ฉันไปคลินิกมาเมื่อช่วงเย็นแล้วล่ะ กินยาแล้วแค่รอเวลาหายเท่านั้นแหละตอบเพื่อนไปด้วยเสียงเอื่อยๆ

          เหรอ แล้วทำไมเสียงแกเหมือนคนไม่มีแรงพูดขนาดนั้นวะ แกเหนื่อยเหรอ หรือยังไงอยากพักผ่อนมั้ยล่ะฉันจะได้ไม่กวนแก

          เดี๋ยวค่อยพักก็ได้ ฉันนอนมาทั้งวันแล้วแก..รู้สึกเหนื่อยจัง

นั่งซึมเหม่อมองเพดานไปในตอนที่ตอบเพื่อน ในหัวก็เห็นแต่ภาพเก่าๆที่เห็นในความคิดตัวเองมาตลอดสองวันมานี้ ภาพหญิงสาวแสนสวยในชุดราตรีสีน้ำเงินมีชายหนุ่มกำลังประครองมือออกมาจากรถหรูแล้วพากันเดินเข้าสู่คอนโด ทำให้ฉันเริ่มน้ำตาซึมโดยไม่มีสาเหตุอีกครั้งจนได้..

          ฝ้ายเป็นไรวะ ทำไมร้องไห้ นี่แกไม่ไหวขนาดนี้เลยเหรอ..” เสียงยัยนัทดังขึ้นมาพร้อมๆกับการยื่นมือมาจับหน้าผากฉัน ส่วนฉันพอเห็นเพื่อนทักอย่างนั้นก็กลายเป็นหลุดร้องไห้ดังๆออกมาเฉยเลย

ให้ตายเถอะ..น้ำตาฉันตอนนี้เหมือนน้ำที่ไหลออกจากเขื่อนที่แตกยังไงยังงั้น

          มีอะไรเกิดขึ้นกับแกหรือเปล่า นี่แกไม่ได้ป่วยตามธรรมชาติใช่ป่ะ มีเรื่องที่ทำให้แกป่วยใช่มั้ยเธอทั้งถามทั้งจับหน้าฉันให้หันขึ้นมามองหน้าเธอตรงๆ

          เปล่า...ฉันก็ป่วยธรรมดาของฉันนี่ล่ะ แค่ปวดหัวมากๆเท่านั้นเองหลบตาเพื่อนแล้วพยายามเช็ดน้ำตาตัวเองออก

          จริงเหรอ แต่แกผอมลงเยอะเลยนะ แสดงว่าแกต้องไม่ได้กินข้าวแน่ๆ หน้าตาก็ซูบซีดอิดโรยเหมือนไม่ได้หลับไม่ได้นอน แถมแววตาแกก็ดูเหม่อๆพิกลอีก อาการอย่างนี้ถ้าบอกว่าแกอกหักฉันก็เชื่อนะเนี่ย

ตาขวางหันขวับมามองเพื่อนทันทีที่ได้ยินข้อความแทงใจดำบางคำ

ใครอกหัก! ฉันเนี่ยะนะอกหัก! ฉันจะอกหักจากใครมิทราบ!”

          ก็..พี่นาราไง หรือไม่ใช่...”

          ไม่!” กัดปากกัดฟันปฏิเสธเพื่อนเสียงแข็ง ก่อนจะน้ำตาซึมลงมาอาบแก้มตัวเองอีกครั้ง ฉันไม่มีทางอกหักเพราะยัยคนนั้นแน่นอน หล่อนสิจะต้องอกหักเพราะฉัน บ้าเอ้ย..แล้วฉันร้องไห้ทำไมเนี่ย..”

พูดไม่จบประโยคฉันก็กลายเป็นสะอึกสะอื้นร้องไห้ขึ้นมาแบบเป็นบ้าเป็นหลัง นั่นทำให้ยัยนัทรีบเข้ามากอดปลอบฉันแล้วเลิกถามเหตุผลที่ฉันป่วยก่อนหน้านั้นไปโดยปริยาย

ให้ตายเถอะฉันเป็นอะไรไปเนี่ย ทำไมถึงได้แสดงความอ่อนแอให้คนอื่นเห็นได้ง่ายๆขนาดนี้กันนะ

////////////////////////

          เข้าสู่วันที่สามของอาการป่วยหมดเรี่ยวหมดแรงของฉัน และเช่นเคยที่วันนี้ทั้งวันของฉันจะเต็มไปด้วยอาการนั่งเหม่อลอยและน้ำตาซึมออกมาโดยไม่มีสาเหตุ เมื่อในหัวฉายให้เห็นภาพพี่นารากับผู้ชายคนนั้นซ้ำๆ แม้ก่อนหน้านั้นจะมีภาพรอยยิ้มสดใสน่ารักของเธอเมื่อยามที่เธอหลุดยิ้มกับฉันฉายขึ้นมาพอให้ฉันได้ยิ้มตามบ้าง แต่เมื่อคิดได้ว่ากับผู้ชายคนนั้นเธอยิ้มออกมาอย่างสุดหัวใจดูจริงใจมากกว่าฉันเสียอีกฉันก็กลายเป็นเป็นร้องไห้ออกมาอีกครั้งจนได้

          บ้าชะมัด..ไม่ชอบตัวเองในเวอร์ชั่นอ่อนแออย่างนี้เลย ฉันชอบฉันในเวอร์ชั่นสวยๆเลิศๆ และเชิดให้ทุกคนที่เข้าหา พร้อมที่จะปฏิเสธทุกคนที่ตัวเองไม่ชอบ มีความสุขที่จะได้เช็กเรตติ้งตัวเอง เป็นผู้รอรับการสานสัมพันธ์ เป็นผู้เลือก เป็นผู้ชนะในทุกๆเกมส์ ไม่ใช่อย่างนี้ที่ฉันกำลังแพ้...และแพ้ให้กับอะไรฉันก็ยังไม่รู้เลย

          ฉันแพ้ให้กับตัวเอง หรือฉันแพ้ให้กับผู้หญิงที่อยู่ในห้วงความคิดของฉันตลอดเวลากันนะ..

          ห้วงความคิดพร่ำเพ้อของฉันถูกหยุดลงเมื่อได้ยินเสียงกดกริ่งหน้าห้อง ฉันเช็คน้ำตาแล้วรีบเดินไปเปิดประตูเมื่อนึกขึ้นได้ว่ายัยนัทอาจจะแวะมาเยี่ยมฉันอย่างเมื่อวานอีก

          ภาพที่เห็นไม่ได้เป็นอย่างที่คิด เมื่อต่อหน้าคือผู้หญิงที่อยู่ให้ห้วงความคิดของตัวเองมาตลอดระยะเวลา3วันมานี้กำลังยืนกอดอกจ้องมองใบหน้าซีดๆของฉันเมื่อประตูเปิดออก

          เป็นอะไรหรือเปล่าเป็นพี่นาราที่รีบยื่นมือมาผลักประตูไว้เมื่อเห็นฉันกำลังจะปิดมันลงทั้งๆที่พึ่งเห็นหน้าเธอแว๊บเดียวเอง

          หลบหน้าทำไมเนี่ยเธอถามฉันที่ก้มหน้าหลบตา เมื่อความรู้สึกน้อยใจแปลกๆทำให้ฉันไม่อยากจะเจอหรือมองหน้าเธอในตอนนี้เลย

ผิดปกตินะ หรือกำลังอยู่กับใครในห้อง

          เปล่า...

          งั้นเข้าไปได้มั้ยถามแล้วไม่ได้รอคำตอบเพราะเธอรีบเดินแทรกกายเข้าห้องทันทีแม้ไม่ได้รับอนุญาติจากฉันยังไงก็ตาม ตอนนี้ฉันเลยได้แต่เดินเอื่อยๆพาร่างเหนื่อยๆของตัวเองไปนั่งอยู่โซฟาตรงข้ามกับที่เธอนั่งก่อนหน้านั้น

          ไม่สบายใช่มั้ย ทำไมอยู่ๆเธอหายไปเลย…”คนถามยื่นมือมาแตะหน้าผากฉันก่อนจะคิ้วขมวด “..ตัวร้อน ไม่สบายนี่ แล้วไปหาหมอหรือยัง มีใครพาไปหรือเปล่า

          ไปมาแล้วค่ะ เดี๋ยวก็คงหายเอง..” คำตอบจากเสียงแข็งๆและท่าทางเย็นชาของฉันทำเอาพี่นาราคิ้วขมวดจ้องมองด้วยความสงสัย

          เหมือนไม่เต็มใจตอบเลยเนอะ ถ้างั้นฉันไม่กวนเธอดีกว่า พักผ่อนให้มากๆแล้วกันขอโทษด้วยที่มากวน

ว่าแล้วเธอก็รีบลุกขึ้นจากโซฟาทำท่าเหมือนจะเดินออกจากห้องไปเลย ถ้าไม่ติดว่าได้ยินคำถามบางคำถามที่ฉันถามเธอออกไปเสียก่อน

          ผู้ชายที่มาส่งพี่นาราเป็นแฟนพี่นาราเหรอคะ

          เธอคิ้วขมวดหันมาพินิจพิเคราะห์สีหน้าของฉันตอนถามคำถาม

          ถามทำไม..

          ก็ถ้าเป็นแฟนพี่นาราหนูก็จะได้ตัดใจจากพี่ จะได้ไม่ไปกวนพี่อีกไง

          พี่นารายืนจ้องฉันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะอมยิ้มแล้วกลายเป็นหลุดหัวเราะเบาๆออกมา

น่าเสียดายนะ งั้นเธอคงจะได้กวนฉันไปอีกนานเลยล่ะ..”พูดเสร็จเธอก็หันหลังเตรียมจะเดินหนีต่อ จนฉันต้องรีบลุกขึ้นดึงมือเธอไว้

          พี่หมายความว่าไง หมายความว่าเขาไม่ใช่แฟนพี่ แต่พี่อยู่กับเขาจนถึงเช้าและเขาก็ไปส่งพี่ถึงในห้องเนี่ยนะ

          ในห้องที่ไหน เขาส่งแค่โถงทางเข้าแค่นั้น ฉันไม่ได้อนุญาติให้ใครเข้าห้องฉันง่ายๆหรอกนะ

          แต่เขา...”

          นี่..เขาจีบฉัน โอเคเธอเข้าใจถูก แต่มันก็ยังอยู่แค่ในขั้นจีบ ฉันยังไม่ได้มีอะไรกับเขาเลยเถิดเกินกว่านั้น แล้วตอนนี้ฉันก็ยังไม่เลือกใครด้วย มันก็ไม่แปลกที่ฉันจะไปไหนมาไหนกับใครใช่มั้ย

          พี่นาราพยายามอธิบายฉันที่นั่งหน้ามุ้ยก้มหน้าก้มตาฟังอย่างเงียบๆและเธอคงรู้ว่าฉันกำลังน้อยใจเธออยู่

          นี่..อย่างน้อยๆฉันก็เลือกที่จะมาหาเธอตอนนี้ แทนที่จะไปกับเขานะ

คำพูดปลอบใจที่ฟังดูคล้ายเปิดทางของพี่นาราทำให้ฉันลังเลอยากจะเข้าข้างตัวเองแต่ก็กลัวจะกลายเป็นคิดไปเองมากกว่า เลยได้แต่นั่งเงียบครุ่นคิดจนเธอเปลี่ยนเสียงคุยกับฉันอีก..

          หรือฉันคิดผิดที่ไม่ไปกับเขาแต่มาหาเธอกันพูดเสร็จเธอก็สะบัดหลังจะเดินออกจากห้องอีกรอบ

          เดี๋ยวค่ะ! พี่นารา!” เธอชะงักทันทีที่ฉันยื่นมือมาจับเธอไว้อีก

พี่นาราอย่าพึ่งเลือกใครได้มั้ย หนูรู้ว่าหนูอาจจะไม่ได้ดีเท่าคนอื่น แต่ถ้าพี่นารายอมให้หนูเป็นตัวเลือกในชีวิตพี่อีกคน หนูสัญญาว่าจะทำให้ดีที่สุด หนูจะพิสูจน์ตัวเองให้พี่นาราเห็นให้ได้ว่าหนูรักพี่จริงๆแค่ไหน

          บ้าชะมัดเลย ทำไมฉันถึงกล้าพูดคำว่ายอมเป็นตัวเลือก ให้กับผู้หญิงคนนี้ ยอมทิ้งศักดิ์ศรีที่ตัวเองรักนักรักหนาได้ถึงเพียงนี้นะ นี่จริงๆแล้วฉันแค่กลัวการพ่ายแพ้ให้กับเพื่อนในกลุ่มแค่นั้นใช่มั้ย

พยายามคิดหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองในสิ่งที่ตัวเองไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะกล้าทำ ในเมื่อมันก็เป็นแค่เกมส์ แต่พอคิดว่ากำลังจะพ่ายแพ้และเสียเธอไปให้กับใครแล้วฉันกลับยอมละทิ้งศักดิ์ศรีขอร้องให้เธอยอมรับตัวเองเป็นตัวเลือกแม้จะน่าอายขนาดไหนก็ตาม

          หรือนี่จะเป็นการนำสนองของบาปกรรมที่ฉันเคยทำมาต่อผู้ชายทั้งหมดนั่นกันนะ

          ทั้งคิดทั้งร้องไห้ ใบหน้าขาวซีดก่อนหน้านั้นก็กลายเป็นซีดเผือกไร้สีเลือดไปกันใหญ่เมื่อฉันร้องไห้หนักแล้วกลายเป็นสะอึกสะอื้นขึ้น จนพี่นาราต้องรีบหันมาพยุงตัวฉันไว้เมื่อเธอเห็นฉันเหมือนคนกำลังจะเป็นลมในไม่ช้า

          ฝ้าย! ฝ้าย! ฝ้ายเป็นอะไรน่ะ ฝ้าย!”

//////////////////////////////////

          โจ๊กเจ้านี้น่าจะอร่อยนะ พี่ลองอ่านรีวิวแล้วเห็นมีแต่คนให้ห้าดาว

          เสียงพี่นาราดังขึ้นเมื่อเธอเดินออกจากห้องครัวฉันพร้อมๆกับถ้วยโจ๊กที่เธอพึ่งไปรับมาจากGrab Foodด้านล่างคอนโด แล้วรีบนำมาให้ฉันด้วยท่าทางกระตือรือร้นเมื่อเธอได้รู้ว่าฉันยังไม่ได้กินอะไรเลยทั้งวัน และที่เป็นลมก่อนหน้านั้นส่วนหนึ่งก็อาจจะเป็นเพราะท้องไส้ฉันว่างก็ได้

          ตอนนี้แม้จะยังอ่อนแรงอยู่เช่นเคยแต่ความรู้สึกดีๆจากคำว่า“พี่”ที่คนต่อหน้าเอ่ยออกมาก็ทำให้ฉันมีกำลังใจในการอยากทานอาหารเพิ่มขึ้นทันที

นี่เป็นครั้งแรกที่พี่นาราเรียกแทนตัวเองว่าพี่เลยนะ หลังจากที่ก่อนหน้านี้เธอเอาแต่เรียกแทนตัวเองว่าฉันมาตลอด หนำซ้ำก่อนหน้านั้นเธอยังเรียกชื่อเล่นของฉันอีก การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดว่าเป็นไปในทางที่ดีทำให้ฉันเริ่มยิ้มออกนิดๆหลังจากที่ก่อนหน้านั้นเอาแต่ร้องไห้ตลอด

          ทำไมถึงไม่ยอมกินข้าวทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่สบายขนาดนี้กัน ดูซิผอมไปหมดแล้วนี่ เธอถามฉันในตอนที่มองดูฉันเขี่ยโจ๊กเละๆไปมา

          ไม่รู้สิคะ คงตรอมใจมั้งที่อยู่ๆไปเจอภาพบาดตาบาดใจเต็มๆตาอย่างนั้นเข้า พอคิดว่าจะต้องเสียพี่ไปให้ใครสักคนอยู่ๆร่างกายมันก็อ่อนแอลงไปดื้อๆ ข้าวปลาก็เลยกลายเป็นไม่หิวไปโดยปริยาย

          คนถามเลิ่กลั่กไปครู่นึงที่ยินน้ำเสียงซังกะตายของฉัน

จะว่าพี่เป็นสาเหตุทำให้ฝ้ายป่วยอย่างงั้นเหรอ

          ฉันไม่ตอบได้แต่ก้มหน้าเขี่ยโจ๊กในถ้วยไปเงียบๆ ส่วนเธอพอเห็นฉันกลับเข้าสู่โหมดดราม่าคงกลัวว่าฉันจะเป็นลมไปอีกครั้งเลยรีบยื่นมือมาหยิบช้อนตักโจ๊กใส่ปากฉันเฉยเลย

          อ้าม..อ้าปาก..ถ้างั้นก็กินเยอะๆนะ จะได้รีบหาย ขอโทษที่เป็นต้นเหตุทำให้ฝ้ายคิดมากจนไม่สบายขนาดนี้นะ

          ได้รับคำข้าวจากเจ้าของใบหน้าสวยเฉี่ยวที่ตอนนี้ดวงตากลายเป็นอ่อนโยนหวานละมุนแล้วฉันก็กลายเป็นเขินเธอขึ้นมาดื้อๆ ปากเมื่อรับข้าวไปแล้วแทนที่จะเคี้ยวก็กลายเป็นอมค้างเพราะว่ามัวแต่เขินทำอะไรต่อไปไม่เป็น ได้แต่จ้องหน้าหวานๆเธอค้างไว้ เมื่อหัวใจของตัวเองในตอนนี้กำลังเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ พลอยทำให้สมองว่างเปล่าขาวโพน จนลืมเรื่องที่คนตรงหน้าทำให้ตัวเองเสียใจไปก่อนหน้านั้นเสียสนิท

          ทำไมเคี้ยวนานจัง อมข้าวเหรอ ไหนอ้าปากซิเป็นเสียงจากคนป้อนที่รีบถามเมื่อเห็นแก้มตุ่ยๆของฉัน

          อมจริงๆด้วย เคี้ยวแล้วกลืนลงไปเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวตีเลยมีดุด้วยตอนที่ยกมือขึ้นทำท่าจะตีอย่างที่ขู่ จนฉันต้องรีบกลืนตาม

          อ๊า.. กลืนแล้ว นี่ไงเห็นมั้ยอ้าปากโชว์เธอที่ยิ้มหวานโชว์ใบหน้าเด็กให้ฉันเห็นอีกครั้ง..น่ารักชะมัด

          ดีมาก กินเยอะๆอย่างนั้นแหละ จะได้กินยา จะได้รีบหายเข้าใจมั้ยพี่นาราทั้งพูดทั้งยื่นมือมาลูบผมปลอบและให้กำลังใจฉันไปพร้อมๆกัน และฉันก็รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก ได้แต่คิดว่าคงจะดีไม่น้อยถ้ามีผู้หญิงคนต่อหน้าดูแลตัวเองในยามที่ไม่สบายอย่างนี้ตลอดไป ฉันอยากให้เธอคนนี้ดูแลฉันไปตลอดชีวิตจัง

          แต่..มันจะเป็นไปได้มั้ยนะ

//////////////////

ทำไมพี่รู้จักห้องหนูเสียงจากใบหน้าใสซื่อของฉันดังขึ้นถามพี่นาราเมื่อเธอรับแก้วน้ำที่ก่อนหน้านั้นถือมาให้ฉันดื่มพร้อมยา หลังจากที่นั่งบังคับขู่เข็ญให้ฉันกินโจ๊กจนหมดได้พักใหญ่ๆ

          ก็..คงจะเหมือนฝ้ายที่ไปถามข้อมูลพี่จากนิตินั่นละมั้งเธอยิ้มรับเบาๆท่าทางเหมือนเขินนิดๆที่โดนถามถึงความพยายามตามหาฉันของเธอในก่อนหน้านั้น

          แล้วทำไมต้องมาหาหนูด้วย..แต่ก่อนพี่ไม่อยากเจอหนูไม่ใช่เหรอ..”

          ก็..ไม่ใช่ไม่อยากเจอ แค่ไม่รู้ว่าจะต้องทำหน้ายังไงเวลาเจอ..” ว่าแล้วแม่เจ้าประคุณก็แกล้งกระแอมเสียงเหมือนอยากจะเปลี่ยนเรื่องคุยที่เธอเห็นว่าทำให้เธออึดอัดและวางตัวไม่ถูกยังไงไม่รู้

          อะแฮ้มม...เอาเป็นว่า..แค่เห็นรถจอดอยู่ที่เดิมตั้งหลายวันแต่ไม่เห็นเจ้าของรถ ก็เลยนึกกลัวว่าเจ้าของรถอาจจะเมาแล้วมีใครอุ้มไปทำมิดีมิร้ายหรือไม่ก็ฆ่าหมกห้องหรือเปล่า...” ทำเป็นเก๊กเสียงขึงขังตอนตอบฉัน

          นึกว่าพี่นาราจะเป็นห่วงหนูซะอีก...

ถามกลับเสียงเบาๆดวงตาก็พยายามจ้องมองเธอทั้งเว้าวอนทั้งน้อยใจ ซึ่งนั่นก็ทำให้พี่นาราชะงักทันทีที่มองมาเห็นใบหน้านิ่งๆของฉัน เธอคงเห็นว่าแววตาในครั้งนี้ไม่ได้เจือความทะเล้นมาด้วยเหมือนแต่ก่อน คงแปลกใจใช่มั้ยล่ะ

          ก็..ถ้ารู้อยู่แล้วจะถามอีกทำไมล่ะ

ว่าเสร็จเธอก็รีบลุกขึ้นจากโซฟาปุ๊บปั๊บ ไม่แน่ใจว่านั่นคืออาการอายหรือเปล่ารู้แต่ว่าเธอรีบหยิบเอากระเป๋าของเธอแล้วรีบเดินมุ่งตรงออกไปทางประตูห้องทันที

          กินยาแล้วก็รีบนอนนะ พี่ไม่อยากกวน อยากให้เราได้พักผ่อนเยอะๆ

นั่นเป็นข้อความที่ออกมาจากใบหน้าด้านข้างของพี่นาราก่อนที่เธอจะก้าวขาอออกจากห้อง ที่ฉันก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอไม่หันมาบอกฉันดีๆก่อนออกไปกัน หรือนั่นคือการเก็บงำอาการเขินอายของเธอใช่มั้ย และแค่มองปลายจมูกคมๆแหลมๆของเธอในใบหน้าด้านข้าง ฉันก็แอบอมยิ้มทันทีเมื่อรู้สึกได้ว่ามันแอบมีสีแดงระเรื่อเจือมาในจมูกขาวๆของเธอที่ฉันเห็นมาตลอดก่อนหน้านั้นด้วย

          น่ารักจัง...