นิยายรักไม่จำกัดบท
Cheapter
14
ในห้วงความรัก
“เริ่มรู้สึกอย่างนี้ตั้งแต่ตอนไหน”
เสียงของหญิงสาวเจ้าของห้องดังขึ้นในขณะที่เธอกำลังเลื่อนฝ่ามือลูบไล้เส้นผมสีน้ำตาลนุ่มสลวยผ่านโบว์ติดแผลเล็กๆที่เจ้าของนอนพิงตักของเธออยู่บนเตียงนอน
“หมายถึงรู้สึกเจ็บอย่างนี้หรือว่ารู้สึกอย่างนี้กับพะแพงล่ะ..”
“ก็..”อมยิ้มก้มลงมองเจ้าของดวงตาสวยภายใต้อ้อมแขนตัวเอง
“จริงๆก็จริงก็อยากจะรู้ทั้งสองนั่นแหละ
แต่ถ้าขี้เกียจเล่าก็ไม่เป็นไร”
คนโดนถามอมยิ้มเล็กๆแล้วยื่นมือขึ้นไปลูบแก้มคนสวยเจ้าของตัก
“อยากฟังเหรอ
งั้นไม่เป็นไรเล่าให้ฟังก็ได้
ก็..ถ้าเรื่องที่ว่ารู้สึกยังไงกับพะแพงก็รู้สึกอย่างนี้มานานแล้วแหละแต่ก็ไม่กล้าบอก
ส่วนความรู้สึกปวดหัวจนแทบจะระเบิดน่ะก็พึ่งจะมาเป็นช่วงหลังๆที่เริ่มจะมีอะไรกับพะแพงนั่นแหละ..”
คนฟังหลุดยิ้มกว้างออกมาตั้งแต่ได้ยินว่าเอิ้นมีความรู้สึกกับตัวเองมาตั้งนานแล้วด้วยซ้ำ
เลยไม่ได้ตั้งใจฟังประโยคหลังนั้น
แถมเมื่ออดดีใจไม่ได้ก็กลายเป็นเผลอโน้มหน้าลงไปหอมแก้มเอิ้นฟอดใหญ่ๆจนคนโดนหอมจ้องหน้าตาแป๋ว
ทั้งงงทั้งดีใจและเขิน
จนไม่กล้าพูดอะไรต่อได้แต่มองหน้าหวานๆของพะแพงที่ยิ้มแล้วยิ้มอีก
ยิ้มในแบบที่แสดงความดีใจที่สุดในสามโลกของหล่อน
จนเอิ้นรับรู้ได้ว่าหล่อนน่าจะรู้สึกดีมากๆนั่นล่ะถึงได้ลืมตัวก้มลงหอมตัวเองก่อนอย่างนี้ทั้งๆที่จริงแล้วตัวเองต้องเป็นฝ่ายจู่โจมก่อนแท้ๆ
“รู้สึกอย่างนี้กับเค้ามานานแล้วอย่างนั้นเหรอ..”
หล่อนเอ่ยปากถามออกมาแล้วหลังจากที่ยิ้มค้างมาพักใหญ่ๆ
“อืม..ใช่”
“แล้วทำไมไม่บอกกันบ้างเลย
ทำไมใจร้ายปล่อยให้เค้า...คิดไปเองอยู่ได้
ทำไม..”
พูดไม่จบคนที่นอนตักก็รีบยื่นนิ้วขึ้นไปปิดปากห้ามพะแพงก่อน
“ชู่วว์...ใครจะกล้าคิดว่าเพื่อนสนิทของตัวเองที่คบกันมาเป็นสิบๆปีจะมีใจให้ตัวเองเหมือนๆกันเล่า
เค้าไม่ใช่คนหลงตัวเองขนาดนั้น
แค่รู้สึกว่าพะแพงติดเค้ามากๆและคงจะขาดเค้าไม่ได้ตามประสาวัยรุ่นทั่วไปเท่านั้น
เค้าแค่คิดว่าพะแพงคงไม่ได้คิดอะไรกับเค้ามากเกินเพื่อนหรอก
เค้าเลยพยายามไม่คิดอะไรกับพะแพงจนกระทั่งเริ่มรู้ตัวว่าพะแพงน่าจะคิดเหมือนๆกันกับเค้านั่นแหละ”
“รู้ตัว..รู้ตัวตอนไหน..”
เสียงเหนียมๆอายๆพยายามถามต่อ
“ก็..”
อมยิ้มหวานๆตอบเช่นเคย“ตอนที่เค้าเริ่มแกล้งเข้าไปคบกับหลินเป็นแฟนนั่นแหละ
เค้าเลยเห็นอาการแปลกๆของพะแพง
ตอนแรกก็ไม่แน่ใจหรอกว่าพะแพงเป็นอะไร
แต่มาหลังๆก็เริ่มคิดว่าน่าจะใช่แล้วแหละว่าพะแพงน่าจะหึงเค้า
ยิ่งวันที่เค้าจูบพะแพงแล้วพะแพงไม่ได้ต่อต้านอะไรก็เลยมั่นใจว่าพะแพงน่าจะคิดเหมือนกันกับเค้าแล้วแหละ
เค้าก็เลย..”
“ก็เลย..ก็เลยอะไร..”
“ก็เลยปล้ำไง”
“บ้า!”
ถึงกลับสบถออกมาทันที
“หายไปหมดเลยความโรแมนติก
อุตสาห์ฟังตั้งนาน”
“เอ้าก็มันเรื่องจริง
ก็ที่เราเป็นมันก็เป็นอย่างนี้จะว่าไม่โรแมนติกมันก็ไม่โรแมนติกแหละ
แต่มันก็ทำให้เค้ารู้ว่าพะแพงมีใจให้เค้าจริงป่ะล่ะ
เพราะไม่งั้นพะแพงคงไม่ยอมให้เค้าทำอย่างนั้นมาเรื่อยๆหรอก
ใช่มะ”
เสียงอ่อนเสียงหวานอ้อนตอนท้ายเลยทำให้พะแพงแอบมองตาค้อนแสดงความงอนให้เล็กๆเพราะตัวเองก็เถียงต่อไม่ได้ในเมื่อมันก็เป็นความจริงทั้งนั้น
“ถ้าพะแพงเป็นเค้าพะแพงจะทำยังไงให้คนปากแข็งยอมรับว่ากำลังมีใจให้กับเราล่ะ
รึถ้าเขาไม่ทำวิธีนี้เราจะมีโอกาสได้เปิดใจกันอย่างนี้มั้ย”
คนนอนหนุนตักพะแพงยังคงส่งเสียงอ้อนถามคำถามมาเช่นเคย
แถมมือของหล่อนก็ยังโน้มขึ้นไปจับแก้มพะแพงลูบๆคลำๆเอาไว้อีก
เล่นเอาเจ้าของตักจากที่หน้านิ่วคิ้วขมวดก่อนหน้านั้นค่อยๆคลายใบหน้าออกกลายเป็นยิ้มหวานไปในที่สุด
“ก็น่าจะบอกดีๆก็ได้นี่นา”
หล่อนพยายามอมลมทำเป็นต่อว่านิดๆแก้เก้อเขินตามสไตล์ไป
“ก็บอกดีๆแล้วนี่ไงว่า..”
หยุดชะงักเล็กๆด้วยความเคยชินเพราะกลัวว่าจะเจ็บก่อนจะพยายามเพยอปากอีกครั้ง“..รัก
เค้ารักพะแพงนะ”
คนฟังยิ้มหวานหน้าแดงระเรื่อด้วยความดีใจแต่เมื่อนึกอะไรขึ้นได้แล้วจึงรีบเปลี่ยนสีหน้าและถามหล่อนออกไปทันที
“ไม่ปวดหัวแล้วเหรอ”
“ก็..ปวดอยู่
แต่ยาก็ช่วยไว้ได้มาก
แต่เดี๋ยวก็คงต้องกินกันไว้อีก”
“กินกันไว้อีก?นี่ปวดขนาดนั้นเลยเหรอ
เค้ารู้สึกไม่ดีเลยนะ
ถ้าการที่เอิ้นรักเค้าแล้วต้องเป็นอะไรแบบนี้เค้าขอให้เราเป็นแบบเดิมดีกว่า”
“นั่นไง!ก็เพราะว่าพะแพงเป็นซะแบบนี้ไงเค้าก็เลยไม่กล้าที่จะบอกคำๆนี้กับพะแพง
เพราะกลัวบอกไปแล้วพะแพงเห็นอาการของเค้าแล้วจะกลายเป็นไม่สบายใจ
ดีไม่ดีพะแพงก็ไม่ยอมคบกับเค้าอีก”
“ไม่ยอมคบ?
นี่เอิ้นกลัวไม่ได้คบกับเค้าอย่างนั้นเหรอ”
“ก็ใช่สิ”
“แล้วไม่กลัวตัวเองจะเป็นอะไรไปมากกว่านี้หรือไง
ถามจริงๆเถอะ
ถ้าวันหนึ่งเอิ้นปวดหัวหนักมากๆจนกระทั่งทนไม่ไหวแล้วจะทำยังไง”
“ต้องไหวสิ
และถึงไม่ไหวยังไงเค้าก็จะทน
และเค้าก็ทนมาได้แล้วด้วย”
“ทนมาได้แล้วอย่างนั้นเหรอ?
นี่แสดงว่ามันมีตอนที่ปวดขนาดนั้นจริงๆด้วยใช่มั้ย
ตอนไหนเนี่ย” มองคนนอนตักอย่างเป็นห่วง
“อยากรู้เหรอ..”
ถามกลับพะแพงที่รีบพยักหน้ารับทันที
“..ถ้าอย่างนั้นพะแพงต้องสัญญานะว่าจะไม่บอกให้เราเลิกกันและไม่ห้ามให้เค้าทำอะไรต่อจากนี้ทั้งสิ้นถ้าเค้าเล่าให้ฟังหมดแล้วน่ะ..”
คนฟังมีสีหน้ากังวลเมื่อได้ยินคำขอ
แต่เมื่อได้ยินหล่อนรบเร้าให้รับคำขอนั้นเธอก็เลยจำใจยอมตกลงว่าจะไม่เลิกกับเอิ้นเด็ดขาดถ้าเอิ้นเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังแล้ว
“ก็..ถ้าตอนที่ปวดหนักๆและทรมานที่สุดก็คงจะเป็นตอนที่เราสองคนมีอะไรกันนั่นแหละ
เค้าคิดว่าตอนนั้นอาจจะเป็นตอนที่เค้ามีความสุขที่สุดและรู้สึกรักและหลงพะแพงมากที่สุดมันก็เลยทำให้เค้าปวดหัวและทรมานมากที่สุดด้วยล่ะมั้ง”
“ว่าไงนะ!
งั้นไม่ต้อง..”
ทำท่าเหมือนกำลังจะพูดอะไรแต่ก็โดนเอิ้นพูดขัดไว้ก่อน
“หยุด!กำลังจะห้ามเค้าใช่มั้ย!
สัญญาแล้วนะห้ามกลับคำสัญญา
ห้ามสั่งไม่ให้เค้าเลิกทำอย่างนั้นกับพะแพงเลยนะ!
และก็อย่าแม้แต่จะคิดเลย
เพราะคนที่เจ็บคือเค้า
และถ้าเค้าทนได้ก็แสดงว่าเค้าอยากทำอย่างนั้นจริงๆ”
“แต่..”
“นะ
นี่พอซะทีเถอะวันนี้เค้าก็บอกไปแล้วว่าเค้ารักพะแพง
แต่เค้ายังไม่ได้ยินคำว่ารักเค้าจากพะแพงบ้างเลยเอาแต่บอกให้เค้าเลิกรักๆ
ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นทำท่าเหมือนจะต้องการเค้าม๊ากมาก
แต่สุดท้ายพอได้ยินคำว่ารักจากปากเค้าแล้วทำไมพะแพงเองไม่คิดจะบอกให้เค้าดีใจบ้างเลย”
คนโดนถามหยุดชะงัก
หน้าตาเลิ่กลั่กทันทีเมื่อโดนถามคืน
“หรือพะแพงไม่ได้รักเค้าอย่างนั้นเหรอ
หรือแค่หวง หรือว่าแค่ไม่อยากให้คนอื่น..”
“ทำไมจะไม่รัก!
เค้าสิรักเอิ้นมากที่สุด
รักมากๆ
มากจนบางทีตัวเค้าเองยังกลัวว่าจะอยู่ยังไงในวันที่ต้องเสียเอิ้นไปเลย
เค้าพูดจริงๆนะตลอดเวลาที่ผ่านมา
ที่เค้าไม่กล้าบอกรักเอิ้นก็เพราะว่าเค้ากลัวเสียเอิ้นไป
เค้าไม่อยากให้เอิ้นจากเค้าไปไม่ว่าจะจากกันจากสถานะอะไรเค้าก็ทำใจไม่ได้ทั้งนั้น
เค้าถึงไม่กล้าบอกรักเอิ้นไง
เพราะเค้ากลัวว่าถ้าบอกไปแล้วแต่เอิ้นไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นกับเค้าแล้ว
แม้แต่สถานะของเพื่อนเค้าก็อาจจะไม่ได้รับจากเอิ้นอีกน่ะ..”ทั้งพูดทั้งร้องไห้ออกมาจนได้
“เด็กโง่..”
คนบนตักค่อยๆลุกขึ้นนั่งยิ้มก่อนจะโน้มหน้าไปจุมพิตหล่อนเบาๆแถมด้วยการเช็ดน้ำตาบนใบหน้าสวยให้เมื่อเธอละใบหน้าออกมาอมยิ้มจ้องมองเจ้าของดวงตาหวานอีกครั้ง
“ขอบใจนะที่สารภาพรักพร้อมๆกับบอกความกลัวที่จะเสียเพื่อนอย่างเค้าไปน่ะ
แต่ไม่เฉลียวใจบ้างเลยเหรอว่าจะมีเพื่อนที่ไหนที่ตามใจตัวเองได้ทุกวันอย่างเค้าบ้าง
ถ้าเราสองคนตัดคำว่าเพื่อนออกไปสิ่งที่เราสองคนพยายามทำให้กันเสมอมาตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีมานี้มันก็คือการเป็นแฟนดีๆนี่เองนะ
ไม่มีเพื่อนผู้หญิงคนไหนที่เค้าทนตามง้องอนเพื่อนสาวของตัวเองได้ขนาดเค้าหรอก
ถ้าเป็นคนอื่นพะแพงอาจโดนตบข้อหาสร้างความหมั่นไส้ไปแล้วก็ได้”
“อ้อเหรอออ!”
คนฟังจากกำลังเคลิ้มๆกลายเป็นใบหน้าคิ้วขมวดทันทีทั้งๆที่กำลังจะโรแมนติกแล้วแท้ๆ
“นี่!เปรียบเทียบให้ฟังเฉยๆ
ขี้งอนจังเลยนะเรา
ตั้งแต่เด็กจนโตมีวันไหนบ้างมั้ยที่เค้าไม่ได้ง้อพะแพง
จำได้บ้างหรือเปล่าเนี่ย”
ทั้งพูดทั้งยื่นมือไปลูบผมให้พะแพงคลายอาการหัวร้อนเล็กๆของหล่อนลงและหล่อนก็เริ่มนึกตามขึ้นได้ว่าไม่มีวันไหนที่เอิ้นจะไม่ง้อตัวเองจริงๆด้วยแหละ
“เถียงไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ”
คนโดนถามพยักหน้ารับใบหน้าหงิ๋มๆเจี่ยมเจี๊ยมเมื่อเริ่มสำนึกได้
“งั้นก็ดีแล้วล่ะอย่ามัวแต่เถียงกันเลย
เสียเวลาอยู่ด้วยกันมามากแล้ว
เค้าไม่อยากให้เวลาที่มีค่าของเราสองคนต้องหมดไปโดยเปล่าประโยชน์มาเถอะนะ
มาเถอะ เค้าคิดถึงอ้อมอกนุ่มๆของพะแพงจะแย่อยู่แล้ว”
เสียงอ่อนเสียงหวานมาพร้อมแววตาอ่อนโยนและอ้อมกอดที่เอิ้นพยายามประครองกายของพะแพงลงกับพื้นเตียงหลังจากนั้น
“แต่..แต่เค้ากลัวจังเลย
เค้าทั้งกลัวว่าเอิ้นจะปวดหัวอีกถ้าเรามีอะไรกันอีก
แถมทุกๆครั้งหลังจากที่เรามีอะไรกันแล้วมันยังมักจะมีเรื่องร้ายต่างๆตามมาอีกไม่รู้ว่าเอิ้นจะสังเกตุมั้ย”
ร่างข้างบนชะงักทันทีเมื่อตัวเองกำลังนั่งค่อมพะแพงและกำลังจะถอดเสื้อผ้าหล่อนออกทั้งหมดแต่ได้ยินน้ำเสียงไม่สบายใจของหล่อนดังขึ้นมาก่อน
“พะแพงกลัวเหรอ..”
คนโดนถามพยักหน้ารับสีหน้าหวั่นๆ
“กลัวสิ..”
“งั้น..ถ้าหลังจากนี้ไปมันจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับเรา
หรือเราสองคนจะต้องเจ็บตัวเพราะการมีอะไรกัน
เค้าก็ขอให้เราสองคนเต็มที่กับมันและมีความสุขกับมันให้มากๆให้สมกับที่เราจะเจ็บตัวเพราะมันดีมั้ย”
พยายามยิ้มอย่างอ่อนโยนเมื่อเอ่ยคำปลอบขวัญหล่อน
แม้จะเป็นคำกำกวมที่ฟังดูทะลึ่งตึงตัง
แต่ความหมายของมันที่เอิ้นต้องการกล่าวกับพะแพงก็ทำให้อีกคนรู้และเข้าใจได้ว่าเธอกำลังกล่าวความรู้สึกของคำว่าสุขออกมาจากใจจริงๆอยู่
ไม่ได้ลามก ไม่ได้ทะลึ่ง
แต่มันคือความสุขจากการที่ทั้งสองได้สลับกันสัมผัสกันและกัน
เพื่อถ่ายเทความรู้สึกคิดถึงหรือแม้กระทั่งคำว่ารักที่ทั้งสองพึ่งสารภาพให้กันละกันฟังไปเมื่อครู่นี้..
“หรือพะแพงกลัวที่จะมีความสุขกับเค้า”
“ไม่ได้กลัว
แต่เค้ากลัวเอิ้น..”
“ชู่ว์..”
รีบยื่นนิ้วลงไปปิดปากปรามคนสวยที่แสดงสีหน้าวิตกกังวลไม่เลิกซักทีแม้ร่างกายหล่อนจะถูกเธอปลดเปลื้องเสื้อผ้าทั้งหมดออกไปแล้วก็ตาม
“พอเถอะนะ..วันนี้ตอนนี้เรายังอยู่ด้วยกันก็ยังมีความสุขกันอยู่
ทำไมต้องนึกถึงเรื่องที่ยังมาไม่ถึงด้วยล่ะ
ป่วยการที่เราจะวิตกในสิ่งที่ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นจริงหรือเปล่า
และถ้ามันจะเกิดขึ้นจริงๆยังไงมันก็คงต้องเกิดอยู่แล้วใช่มั้ย
ทำไมเราไม่ตักตวงความสุขก่อนหน้านั้นให้มากที่สุดก่อนล่ะ..”
และน้ำเสียงอ่อนโยนจากเจ้าของดวงตาหวานที่เต็มไปด้วยแววความรักด้านบนก็ทำให้พะแพงค่อยๆคลายสีหน้ากังวลลง
ก่อนจะปล่อยตัวปล่อยใจให้หล่อนนำพาร่างกายเข้าสู่บทเพลงรักอีกครั้งจนได้
แม้ภายในจริงๆเธอจะยังคงเป็นห่วงหล่อนอยู่ยังไงก็ตาม
--<><><><>--
“พะแพงชอบส่วนไหนของเค้าที่สุด..”
เสียงแสนหวานของร่างเปลือยเปล่าขาวนวลด้านล่างดังขึ้นถามพะแพงเมื่อเธอกำลังก้มลงใช้ปลายลิ้นค่อยๆละเลงเลียไปทั่วๆผิวกายของหล่อน
เริ่มจากปลายเท้า ขาหน้าแข้ง
พื้นที่แสนรักแล้วมาหยุดอยู่ที่ใต้เนินเนื้อหน้าอก
แต่เมื่อได้ยินหล่อนเอ่ยถามคำถามขึ้นมาก่อนก็เลยจำเป็นต้องหยุดชะงักลงกระทันหัน
“ถามทำไมเนี่ย..”
ถามหล่อนกลับด้วยความงงนิดๆเมื่อรู้ว่าหล่อนไม่ชอบให้หยุดลงกลางคันเท่าไหร่เหตุฉไนจึงถามขึ้นมาดื้อๆ
“ก็อยากรู้ว่าพะแพงชอบส่วนไหนมากที่สุด
ในเมื่อเราสองคนเปิดใจให้กันแล้ว
เค้าก็อยากจะรู้ทุกๆอย่างจากปากพะแพงบ้าง
อยากถามความรู้สึกของพะแพงบ้าง
ว่าสำหรับเค้าแล้วพะแพงชอบส่วนไหนอะไรยังไงไง..”
“อ๋อ”
อมยิ้มนิดๆก่อนจะนึกคำตอบ
“อืม..ก็ชอบทุกส่วนนะ”
“ไม่เอาดิ
เอาดีๆเอาที่ส่วนชอบที่สุด
อย่างเค้าเค้าก็ยังบอกว่าเค้าชอบหน้าอกของพะแพงที่สุดเลย”
“อ๋อ
เอ่อ งั้นก็เอ่อ..เค้าก็ชอบหน้าอกเอิ้นเหมือนกัน
หน้าอกเอิ้นก็สวยแล้วก็ใหญ่เหมือนๆกัน”
หน้าแดงระเรื่อตอนที่บอกหล่อน
และในขณะที่พูดก็อดที่จะยื่นมือไปบีบจับและออกแรงขยำมันไม่ได้
“อ๊า~~เบาๆสิ”
คนโดนจับถึงกับครางเสียงหลง
“ขอโทษทีลืมตัวทุกทีเวลามองเห็น”
ทั้งพูดทั้งยิ้มก่อนจะเลื่อนตาตัวเองจากตำแหน่งใบหน้าด้านบนลงมายังใบหน้าเล็กๆด้านล่างระหว่างกึ่งกลางขาเอิ้นอีกหน้า
“เอ่อจริงๆก็มีอีกส่วนที่ชอบเหมือนกัน..”
ทั้งพูดทั้งอมยิ้มเมื่อจ้องมองมันก่อนจะอดใจไม่ไหวเผลอก้มหน้าลงไปจุมพิตเบาๆจนเจ้าของร่างถึงกลับสะดุ้งแอ่นร่าง
ณ ส่วนนั้นรับทันที
“เค้าชอบส่วนนี้ของเอิ้น..”
ยื่นมือไปลูบๆคลำๆในขณะที่บอก
“เค้าชอบเอิ้นน้อยที่สุดเลย
เห็นทีไรอดที่จะหอมไม่ได้ทุกครั้งเลยไม่รู้ว่าเป็นอะไร”
พูดเสร็จก็ก้มลงไปหอมส่วน
“เอิ้นน้อย”นั้นโชว์จนคนโดนหอมสะดุ้งโหยงอีกครั้ง
“บ้าาา..นี่ไปๆมาๆพะแพงทะลึ่งกว่าเค้าแล้วนะนี่รู้มั้ย”
หน้าแดงระเรื่อจ้องมองดวงตาหื่นกระหายของร่างด้านบนอย่างขำๆนึกถึงวันแรกที่เจ้าหล่อนโดนเธอปลดเปลื้องเสื้อผ้าแล้วหน้าแดงแจ๋ทำตัวไปถูกไม่กล้าแม้แต่กระทั่งลืมตามองหน้าตัวเธอแล้วก็ได้แต่หัวเราะ
นี่เพราะหล่อนจำที่เธอทำแล้วนำมาเลียนแบบหรือว่าจริงๆแล้วหล่อนก็เป็นคนหื่นลึกแค่ไม่กล้าแสดงออกในช่วงแรกๆเท่านั้นใช่มั้ย
“ทะลึ่งกว่าที่ไหนนี่ยังไม่ได้ครึ่งเอิ้นเสียด้วยซ้ำ”
“จะถือว่าเป็นคำชมแล้วกันนะ”
ร่างด้านล่างยิ้มหวานรับคำชมของพะแพงก่อนจะกลายเป็นครางเสียงหลงเมื่อหล่อนก้มลงละเลงปลายลิ้นลงใจกลางหว่างขาของเธอต่อ
แถมหล่อนยังพยายามแยกหว่างขาทั้งสองออกจากกันให้มันที่สุด
ในตอนที่ก้มใบหน้าของตัวเองลงไปซุกไซ้ดมดอมสลับกับใช้ปากดูดกลืนกลีบดอกไม้งามทั้งสองของเอิ้นอีกด้วย
เล่นเอาคนโดนระเรงบทรักถึงกลับสั่นคราง
ขาทั้งสองข้างก็เริ่มเกร็งอีกครั้งเมื่อพะแพงพยายามใช้นิ้วมือทั้งสองของตัวเองดุนดันเข้าไปยังช่องว่างใจกลางนั้นต่อ
ทั้งดูดทั้งดันเข้าดันออกเป็นจังหวะจากช้าไปเร็วด้วยท้วงท่าที่พะแพงคุ้นชินและรู้ดีว่าคนนอนรอรับบทรักนั้นชอบที่จะให้ดึงจังหวะรักเกมส์เอาไว้ให้นานที่สุด
และหล่อนชอบมากที่จะให้ความรู้สึกเสียวสะท้านอย่างนี้เกิดขึ้นกับตัวเองเรื่อยๆไม่มีหยุด
จนกว่าหล่อนจะร้องขอให้เร่งจังหวะเองเมื่อหล่อนเริ่มจะถึงจริงๆแล้วอย่างในตอนนี้..
“อ๊ะ
อ๊า พะแพง เร็วขึ้นอีก
เร็วขึ้นอีกค่ะ เค้ากำลังจะถึงแล้ว
อ๊ะ อ๊า~...”
ส่งเสียงหวานสั่นบอกสัญญาณพร้อมๆกับลมหายใจที่ถี่ขึ้นเรื่อยๆตามการสูบฉีดของจังหวะหัวใจ
เล่นเอาพะแพงใบหน้าแดงเถือกเมื่อเหลือบตาขึ้นไปมองวงหน้าสวยของเอิ้นที่กำลังขบกัดริมฝีปากตัวเองไปมาจนใบหน้าเหยเกไปหมด
ยิ่งมองยิ่งจ้องความรู้สึกอยากก็ทำให้พะแพงรีบเร่งจังหวะพร้อมๆกับการโน้มใบหน้าไปมอบจุมพิตให้กับเอิ้นหลังจากนั้นด้วย
“เอิ้น..เอิ้นสวยจังเลย
เค้ารักเอิ้นนะ..เค้ารักเอิ้นที่สุดเลยรู้มั้ย”ละปากออกมาได้ก็เอ่ยปากเพ้อรำพันทันที
“อ๊ะ..อ๊า
เค้าก็รักพะแพง เค้าก็ อ๊ะ
อ๊าา พะแพง พะแพง เค้าถึงแล้ว...”
พูดไม่จบประโยคร่างกายเปลือยเปล่าขาวนวลของเอิ้นก็สั่นสะดุ้งขึ้นเสียก่อน
เธอทิ้งร่างเหนื่อยหอบตัวเองลงกับพื้นเตียงก่อนจะค่อยๆหลับดวงตาสวยลงในตอนที่พะแพงเลื่อนตัวไปประพรมจูบปลอบประโลมร่างสั่นเทิ้มหลังจากนั้นด้วย
“เค้ารักเอิ้นนะ
ได้ยินมั้ย”
ค่อยๆกระซิบกระซาบใบหน้าสวยที่หลับตาพริ้มหลังจากนั้น
โดยที่เจ้าหล่อนก็พยักหน้ารับพร้อมกับโน้มหน้าขึ้นมามอบจูบลึกล้ำให้กับพะแพงแทนคำตอบจากปากว่า
ใช่..เธอก็รักพะแพงมากเช่นเดียวกัน
“ใกล้จะถึงเวลากลับแล้วใช่มั้ย..”
ร่างที่นอนเหนื่อยล้าชำเรืองตามองนาฬิกาในห้องพะแพงก่อนจะหน้าละห้อยเมื่อพบว่ามันใกล้เวลากลับแล้วจริงๆด้วย
“งื้ออ..ยังไม่อยากกลับเลยง่าา..”ส่งเสียงออดอ้อนร่างขาวนวลด้านข้างที่นอนตะแคงอมยิ้มจ้องมองท่าทางเหมือนเด็กน้อยของคนรักอย่างขำๆ
“ไม่อยากก็ต้องกลับ
เดี๋ยวเพื่อนจะซวยนะ
อยากให้น้องเค้าซวยหรือไง
นางยิ่งเคืองๆเอิ้นอยู่
ถ้าไปทำให้นางโดนพ่อดุอีกมีหวัง...”
“เออ..จริงสินะ”
ชะงักทันทีที่นึกขึ้นได้
“นี่..ถ้าไปทำให้เพื่อนโกรธอีกมีหวังเค้าโดนกีดกันไม่ให้มาหาพะแพงอีกแน่ๆ
อุตส่าห์เข้าทางน้องได้แล้วแท้ๆ
เออ..ว่าไปแล้วน้องพะแพงนี่เห็นยิ้มๆกระริ้มกระเรี่ยตลอดไม่นึกว่าตอนโมโหนางก็น่ากลัวนะ”
“น่ากลัว?”
“ใช่น่ากลัว
ทั้งตอนที่เดินเข้าไปหาเข้าในโรงเรียนแล้วถามเรื่องที่ว่าพะแพงเป็นอะไร
ทั้งตอนที่โทรเรียกให้เค้าออกมาหาพะแพงตอนค่ำแล้วพอเค้ามาถึง
พะเพื่อนก็เอาแต่ทำหน้าตาถมึงทึงใส่เค้าเหมือนกับว่าไม่พอใจในตัวเค้ามากๆ
นี่เค้ายังแอบคิดเลยนะว่าไม่แน่ว่าถ้าเค้าเป็นผู้ชายอาจจะโดนพะเพื่อนชกหน้าไปแล้วก็ได้”
หลุดขำทันทีที่ได้ยินข้อความที่คลับคล้ายคลับคลาว่าน้องชายก็บอกตัวเองอย่างนี้เหมือนกัน
“บ้า..น้องเค้าไม่ใจร้ายขนาดนั้นหรอกน่า”
แก้ตัวแทนน้องชายด้วยรอยยิ้มมีพิรุธของตัวเองไป
“ไม่ใจร้าย
หึ ก็หวังว่าอย่างนั้นล่ะนะ
ไหนบอกว่าแอบชอบเค้าแล้วไหงกลายเป็นวางท่าจะตีหัวกันไปได้
ถ้าไม่รู้จักกันจะคิดว่าพะเพื่อนจงเกลียดจงชังเค้าแล้วมั้งเนี่ย”
“ไม่กล้าเกลียดเอิ้นหรอก
อยากมากก็อาจจะแค่มีอารมณ์ร่วมกับพี่สาวมากไปเท่านั้น
เค้าเดานะว่าเพื่อนอาจจะแค่สงสารเค้า”
“ไม่ใช่แค่สงสารพะแพงหรอก...เค้าคิดว่าน้องชายพะแพงอาจจะรักพะแพงมากๆก็ได้
นี่คงรักมากจนกระทั่งมองข้ามความสำคัญของคนที่ตัวเองแอบปลื้มไปแล้วมั้ง
เอ..จะว่าไปแล้วก็น่าอิจฉาพะแพงนะเนี่ยที่มีน้องชายน่ารักขนาดนี้
เห็นแอบกัดจิกพะแพงบ่อยๆจริงๆแล้วทั้งรักทั้งหวงพี่สาวของตัวเอง
อืม..ผู้หญิงคนไหนได้ไปเป็นแฟนคงจะโชคดีเนอะ
พะเพื่อนคงจะดูแลดีเหมือนดูแลพี่สาวตัวเอง”
“งั้น..อยากโชคดีก็ลองไปเป็นแฟนน้องเค้าดูสิ”
“บ้า
ไปไม่ทันแล้ว
สถานะเปลี่ยนตั้งแต่เห็นเค้าปีนขึ้นบ้านหาพะแพงแล้วมั้ง
ป่านนี้คงรู้ตัวแล้วล่ะว่าเค้าเป็นได้แค่พี่สะใภ้
ไม่สิพี่เขย เอ้ย..เป็นอะไรดีอะ”
“นั่นดิเป็นอะไรดีล่ะ”
คนสวยต่อหน้าลุกขึ้นมาอมยิ้มทันทีที่เห็นเจ้าหล่อนทำเสียงยอกย้อนเล่นคำก่อนหน้านั้น
“ยังจะถามอีก
ก็..เป็นแฟนพะแพงไง
เค้าเป็นแฟนของพะแพงแล้วนะ
และวันนี้เราก็เป็นแฟนกันเต็มๆตัวแล้วด้วย
นี่จะเป็นวันแรกที่เราได้เริ่มคบกันเป็นจริงเป็นจังสักทีหลังจากเราสองคนไม่ยอมบอกสถานะอะไรให้แก่กันเลย
แต่วันนี้พะแพงรู้แล้วว่าเค้ารักพะแพง
และเค้าก็รู้แล้วว่าพะแพงรักเค้า
ใช่มั้ย..”เอ่ยปากถามคนสวยหน้าแดงระเรื่อต่อหน้าก่อนที่หล่อนจะพยักหน้าอายๆรับ
“ไม่เอาดิ
อย่าพยักหน้ารับเฉยๆบอกแล้วใช่มั้ยมีโอกาสบอกก็ให้รีบบอกอย่าเก็บเอาไว้ก่อนที่มันจะสายเกินไปน่ะ”
ได้ยินคนต่อหน้าบอกคำขอด้วยข้อความแปลกๆแล้วความรู้สึกกลัวลึกๆในใจพะแพงก็เกิดขึ้นอีก
จริงสินะวันนี้ตอนนี้เมื่อเราสองคนได้มีโอกาสบอกรักกันแล้วเราก็ควรจะรีบใช้โอกาสนั้นให้คุ้มค่าที่สุดอย่างที่เอิ้นเฝ้าบอกเราใช่มั้ย
ทั้งคิดทั้งจ้องมองดวงตาสวยต่อหน้าด้วยความรู้สึกทั้งรักและทั้งเป็นห่วงก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปสวมกอดหล่อนไว้แนบแน่นหลังจากนั้น
“อย่าพูดคำว่าสายเกินไปอีกได้มั้ยเค้าไม่ชอบ
ฟังนะ..
เค้ารักเอิ้นนะ
รักมากที่สุด
และเค้าจะไม่ยอมให้มีวันที่เอิ้นบอกว่ามันสายเกินไปแล้วอย่างเด็ดขาด..”
--<><><><>--
“มีโอกาสบอกก็ให้รีบบอก
อย่าเก็บเอาไว้ก่อนที่มันจะสายเกินไปน่ะ”
ประโยคจากเสียงหวานดังขึ้นซ้ำๆในหัวพะแพงตลอดเวลาที่เธอหันไปเห็นเจ้าของคำพูดในชุดนักเรียนยิ้มหวาน
และเมื่อนึกภาพเหตุการณ์ณช่วงเวลาที่หล่อนกล่าวคำนี้กับเธอแล้วพะแพงก็อดที่จะดีใจจนกระทั่งเผลอยิ้มหวานหน้าแดงออกมาไม่ได้
“ยิ้มอะไร”
เจ้าของคำพูดในห้วงความคิดมีอาการงงเล็กๆจนกระทั่งวางปากกาในมือลง
หลังจากที่จดงานบนกระดานสลับกับนั่งหันมายิ้มให้พะแพงอยู่พักใหญ่ๆ
“ก็..ไม่มีอะไร
แค่นึกถึงสิ่งดีๆก็เลยอดอมยิ้มไม่ได้”
“สิ่งดีๆ?”
“ใช่
ดีมากๆเลย..”
กระซิบกระซาบบอกเอิ้นไปในขณะที่มือตัวเองก็ลอบลงไปใต้โต๊ะนั่งเรียนเพื่อที่จะไปจับมือหล่อนมาแอบกอบกุมไว้
เล่นเอาคนโดนจับมือถึงกลับหลุดยิ้มหวานหน้าแดงทันทีที่เห็นอาการแปลกๆแต่ก็แฝงไว้ด้วยความน่ารักของหล่อนอย่างนั้นเข้า
“เป็นอะไร..”
กระซิบกระซาบพะแพงด้วยน้ำเสียงเบาแสนเบาด้วยกลัวเพื่อนๆที่ยังนั่งทำงานอยู่ในห้องจะได้ยินเช่นเดียวกัน
“ก็ไม่มีอะไร
แค่อยากจะบอกว่า..”
นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะดึงมือเอิ้นที่ตัวเองกอบกุมอยู่ขึ้นมาวางแผ่ไว้กับโต๊ะแล้วเอาปากกาในมือค่อยๆเขียนรูปหัวใจดวงโตๆลงไปกลางฝ่ามือนั้น
จนคนโดนเขียนหน้าแดงกร่ำเมื่อพะแพงละใบหน้าออกมาจากฝ่ามือขึ้นมาบอกบางอย่างกับตัวเองหลังจากนั้นด้วย..
“เค้าจะพยายามบอกคำนี้เสมอ
ถ้าเค้ามีโอกาสบอกกับเอิ้นนะ”
ฮ้าา..น่าดีใจชะมัดเลยที่ทำให้นางฟ้าขี้งอนกลายร่างเป็นนางฟ้าขี้อ้อนได้ขนาดนี้
รู้งี้บอกรักนางตั้งแต่แรกแล้วก็ดี..นั้นคือความคิดที่เอิ้นเฝ้าแต่คิดเมื่อเห็นนางฟ้าแสนสวยพยายามเอาอกเอาใจเล็กๆน้อยๆให้กับตัวเองในระหว่างคาบที่เรียน
หรือแม้กระทั่งคาบพักเที่ยงที่หล่อนชวนเธอซื้อขนมปังออกมานั่งทานเล่นที่ลานม้านั่งที่ห่างไกลผู้คนด้วยไม่อยากไปนั่งในโรงอาหารที่คนพลุกพล่าน
และแค่เอิ้นได้ฟังข้อความอ้อนๆที่หล่อนบอกว่า
“อยากนั่งคุยกับเอิ้นเพียงลำพังแค่สองคนเท่านั้น”
เอิ้นก็เลยตามใจไม่ไปกินข้าวที่โรงอาหารแล้วมุ่งตรงไปนั่งกระหนุงกระหนิงคุยกันเพียงลำพังอย่างตอนนี้แทน..
“กินแค่นี้แน่ใจนะว่าจะไม่หิวน่ะ”เป็นเอิ้นที่ถามขึ้นเมื่อมองเห็นพะแพงกัดกินแซนวิสแค่คำสองคำแล้วก็วางไว้ไม่กินอีกเลย
“ไม่หิวหรอก
เค้าอิ่มแล้ว”
“อิ่ม
อิ่มอะไรไม่เห็นกินอะไรเลย”
“ก็..อิ่มใจไง
อิ่มมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วด้วย”
“บ้าาา..ระวังเหอะเดี๋ยวก็เป็นโรคกระเพาะหรอก”
“ก็เพาะว่ารักเอิ้นใช่ป่ะ”
“แหนะ
ยังกล้าเล่นมุกนี้อีกเนอะ
นี่ละนะข้อเสียของคนขี้เก๊กมัวแต่เก๊กหน้าขรึมวางฟอร์มงอน
เลยไม่รู้ว่ามุกอะไรที่เค้าเลิกเล่นกันไปนานแล้ว”
ทักท้วงไปด้วยใบหน้าแดงแจ๋
ไม่แพ้คนพูดเลยแต่หล่อนยังฝืนเล่นมุกฝืดๆของหล่อนต่อไปด้วยหวังว่ามันจะพออ้อนคนรักของตัวเองได้บ้าง
และพะแพงก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเอิ้นคงจะรู้ว่าที่เธอพยายามทำไปทั้งหมดทั้งๆที่มันไม่ใช่ตัวเองเลยก็เพราะว่าเธอรักหล่อนเหลือเกินนั่นแหละ..
“ไม่ต้องฝืนหรอก
ทำตัวเป็นปกติเหอะเค้ารู้แล้วแหละว่าพะแพงรักเค้า”
“ทำไม
ไม่ชอบให้เค้าอ้อนเหรอ”
น่าละห้อยทันที่เมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ก็เปล่า
ก็ชอบ แล้วก็ชอบมากด้วย
แต่ก็กลัวว่าพะแพงจะเหนื่อยซะก่อนที่ต้องมาเอาใจเค้าทั้งๆที่ไม่เคยอย่างนี้
ไม่ต้องห่วงหรอกนะเค้ารักพะแพงที่เป็นพะแพง
ไม่ว่าพะแพงจะเป็นยังไงเค้าก็รักเหมือนเดินนั่นล่ะ”
ขยับหัวตัวเองไปมานิดๆในตอนที่พูดก่อนจะก้มลงล้วงหยิบยาในกระเป๋าขึ้นมากินอีก
“ปวดหัวเหรอ”พะแพงรีบถามทันทีที่นึกขึ้นได้
“อืม
ปวดมาตลอดนั่นแหละ
ตอนก่อนจะเรียนก็กินไม่เห็นเหรอ”
“ก็เห็นอยู่
งั้น..”
“นี่!จะบ่นเรื่องนี่อีกใช่มั้ย
ห้ามบ่นเลยนะ
เค้าทนได้และเค้าโอเคพะแพงรู้ไว้แค่นี้ก็พอ
เค้าใจมั้ย”
คนฟังพยักหน้าที่คิ้วขมวดด้วยความเป็นห่วงรับอย่างหวั่นๆ
ถึงแม้ต่อหน้าเธอจะไม่พูดอะไรแต่ในใจเธอกลับเป็นห่วงเอิ้นเหลือเกิน
“อย่าว่างั้นงี้เลยนะ
เอิ้นลองไปหาหมอตรวจดูมั้ย”
“หมอเหรอ
ไปมาแล้ว
แล้วก็ไม่เจออะไรเลยสักอย่างหมอก็เลยให้ยามานี่แหละ
แต่ก็ช่างมันเถอะสักวันมันคงจะหายเองแหละ
เฮ้ย..ไม่เอาดิไม่พูดเรื่องนี้
ไหนบอกอยากคุย อยากสวีทกับเค้าไง”
ชะงักทันทีที่โดนเอิ้นเบรคไม่ให้พูดเรื่องนี้อีกครั้ง
ก่อนจะค่อยๆเรียบๆเคียงๆเล่าบางอย่างกับหล่อนในสิ่งที่ตัวเองเฝ้าแต่แอบคิดในใจว่าบางทีนี่อาจจะเป็นสาเหตุของเรื่องทั้งหมดก็ได้..
“ไม่รู้ว่าเอิ้นเคยอ่านนิยายหรือเปล่า
คือมันมีนิยายเรื่องนึงที่แบบ..”
คนฟังเลิ่กคิ้วด้วยความแปลกใจ
“แบบ?”
“ที่แบบเอิ้นเป็นพระเอก
หลินเป็นนางเอก และเค้าเป็นนางอิจฉาไงเล่า”
นั่นคือสิ่งที่พะแพงได้แต่คิดในใจเพราะเปลี่ยนใจไม่กล้าพูดออกมาเมื่อเห็นใบหน้าแปลกใจอย่างสุดๆของเอิ้น
เมื่ออยู่ๆได้ยินคนอย่างพะแพงชวนคุยบางอย่างที่แปลกประหลาดในความคิดหล่อนอย่างนั้นเข้า
“เดี๋ยวนะ!
พะแพงอ่านนิยายด้วยเหรอ
เฮ้ยจริงดิ!
ไหนแต่ก่อนเค้าถามว่าชอบอ่านนิยายมั้ยทำไมบอกว่าไม่ชอบ
จำได้ว่าพะแพงบอกว่าอ่านแต่หนังสือเรียนอย่างเดียวพ่อไม่ชอบให้ทำอะไรอย่างนี้ไม่ใช่เหรอ
แล้วนี่อ่านเรื่องอะไรล่ะ”
“เอ่อ..”
คนโดนทักเลิ่กลั่กหน้าเอ๋อทันทีเมื่อได้ยินท้าวความหลังครั้งเก่าเข้า
เมื่อครั้งที่ตัวเองยังเก๊กวางฟอร์มแกล้งทำเป็นไม่รู้สึกอะไรกับเอิ้นอยู่
ในตอนนั้นเมื่อเห็นเอิ้นชวนคุยเรื่องนิยายรักที่เกี่ยวกับเพื่อนรักเพื่อนด้วยความซึนของตัวเองที่ไม่อยากให้เพื่อนอ่านใจตัวเองออกในตอนนั้น
เธอเองเลยรีบบอกปัดว่าไม่ชอบอ่านอะไรทำนองนี้เพราะเธอเป็นเด็กเรียนนั่นเอง
ตายแล้ว..ถ้าขืนมารู้อีกว่าเราโกหกนี่โดนเกทับด้วยคำพูดเหน็บแหนมของหล่อนแน่ๆเลย
แถมรู้ว่าชอบอ่านนิยายแนวเพื่อนรักเพื่อนอีก
แถมยังเพ้อเจ้อถึงขนาดคิดว่าตัวเองเป็นตัวเอกในเรื่องอีก
โอ๊ยแม่คุณคงค่อนแคะเราต่างๆนาๆอีกแน่ๆ
“อย่าบอกนะว่าชอบอ่านแนวเพื่อนรักเพื่อนอ่ะ”
เสียงดังเข้ามาในห้วงความคิดของพะแพงจนพะแพงเลิ่กลั่กรีบหันมาเก๊กยิ้มสวยต่อ
“ปะๆเปล่าๆเขาอ่านนิยายทั่วไปน่ะ
พวกซีไรท์น่ะ คือมันมีนิยายเกี่ยวกับเอ่อ
เอ่อช่างมันเถอะ ไม่คุยเรื่องนี้ดีกว่า
มาคุยเรื่องของเราสองคนดีกว่า”
“เอ๊า
เป็นงั้นไป” คิ้วขมวดมองด้วยความงงไปกันใหญ่
แต่เมื่อเห็นอีกคนยิ้มหวานออดอ้อนแล้วเอิ้นก็รีบเปลี่ยนเรื่องหันมาคุยกะหนุงกะหนิงกับหล่อนเพื่อรักษาบรรยากาศดีๆของการเป็นแฟนวันแรกของทั้งสองเอาไว้..
“ไม่รู้ว่าเอิ้นจะจำแม่น้ำตอนที่เราเคยไปตอนป.3ได้ป่ะ
แม่น้ำที่มีสะพานแขวนยาวๆที่...”
“ที่มีทางเดินขนาบสะพานไปตลอดจนถึงอีกฝั่งใช่มั้ย”
คนถามยิ้มหวานพยักหน้ารับทันที
“จำได้สิทำไมจะจำไม่ได้”
“ตอนนั้นเป็นวันเสาร์อาทิตย์เราสองคนไปเรียนพิเศษกันแล้ววันนั้น..”
“พ่อกับแม่ของพะแพงไม่ได้มารับ
พ่อเค้าเลยอาสาไปส่งพะแพงที่บ้านแต่ไปๆมาๆดันพาเราสองคนขับรถเล่นไปจนถึงแม่น้ำนั้นแล้วจอดรถแถวริมน้ำ
พ่อเค้าชวนพวกเราไปถ่ายรูปที่สะพานและพวกเราก็เลยกลายเป็นนางแบบจำเป็นให้พ่อจนเหนื่อยเลยขอตัวลงมานั่งเล่นแถวๆริมน้ำกัน
แล้ว..”คนพูดหันมาเหล่ตามองพะแพงเมื่อนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น
ที่เธอก็ไม่อยากจะเล่าเลยเพราะห่วงความรู้สึกของคนฟัง
จนคนฟังหันมายิ้มแล้วพยักหน้าตอบรับส่งสัญญาณให้รู้ว่าหล่อนโอเคกับเหตุการณ์นั้นแล้วและหล่อนก็เลยเล่าต่อเองเสียเลย..
“..วันนั้นเขาที่โต๋เต๋ๆเดินเล่นที่ริมน้ำเกิดลื่นหญ้าจนไหลตกลงไปในน้ำ
ดีที่เอิ้นมาช่วยไว้ได้ก่อนเค้าเลยตะเกียกตะกายปีนฝั่งขึ้นมาได้ก่อนไม่งั้นเราทั้งคู่คงจมน้ำกันแน่เลย”
“อืม..ก็ว่ายน้ำกันไม่เป็นทั้งสอง
แม้กระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่เป็นเลย”
“ใครว่ายไม่เป็น?
เค้าว่ายเป็น
มีแต่เอิ้นนี่ล่ะไม่ยอมหัดว่าย
ชวนไปว่ายน้ำด้วยก็ไม่ยอม
รู้มั้ยตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งนั้นเค้าก็รีบไปเรียนว่ายน้ำเลยนะ”
“ก็รู้นี่ว่าทำไมเค้าถึงไม่อยากว่ายน้ำ
จริงๆแค่เจอน้ำเค้าก็ไม่อยากเข้าใกล้แล้ว”
“อืมก็รู้แหละก็เลยไม่ว่า
เพราะรู้ว่าเอิ้นเป็นโรคกลัวน้ำตั้งแต่เรื่องของแม่
เค้าถึงรู้ไงว่าตอนที่เอิ้นช่วยเค้าตอนนั้นเอิ้นต้องใช่ความพยายามอย่างมากในการช่วยเค้าให้ขึ้นมาจากน้ำให้ได้ทั้งๆที่ตัวเองกลัวน้ำจะตายน่ะ
แถมตอนนั้นรองเท้านักเรียนเค้าลอยน้ำไปเอิ้นยังพยามช่วยเอากลับมาให้อีก
นี่ดีนะที่ได้เชือกฟางกับถุงพลาสติกที่เอิ้นนึกประดิษฐ์ขึ้นมาช่วยเค้าได้ทันทีทันใดน่ะ
นึกถึงภาพที่เอิ้นขว้างให้ถุงมันลอยไปกับพื้นน้ำแล้วไปเกี่ยวเอารองเท้าลอยคืนกลับมาได้แล้วเค้ายังดีใจและตื่นเต้นไม่หายเลย
ตอนนั้นเค้าดีใจมากๆเลยรู้มั้ยทั้งลุ้นทั้งเหนื่อยจนกระทั่งเผลอหลับคาตักเอิ้นไปเลยน่ะ”
“อื้ม
แล้วนี่นึกยังไงถึงพูดถึงเรื่องในตอนนั้นล่ะเนี่ย..”
คนโดนถามยิ้มหวานหน้าแดงระเรื่อ
ก่อนจะค่อยๆรวบรวมความกล้าสารภาพความในใจของตัวเองออกมา
เมื่อคิดว่าไหนๆก็ไหนๆแล้ว
สิ่งต่างๆที่รู้สึกดีเกี่ยวกับหล่อนเธอควรจะบอกออกมาให้หมดดีกว่า
“ก็..ตอนนั้นเป็นตอนที่เค้าเริ่มรู้สึกชอบเอิ้นจริงๆ
เป็นครั้งแรกที่เค้ารู้สึกว่าเค้าชอบเอิ้นในแบบที่ไม่ใช่เพื่อนไง”
“เหรอ..”
คนฟังก็ยิ้มหวานด้วยความดีใจ
นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองคุยกันแบบเปิดใจหลังจากที่สารภาพรักกันมาแล้ว
ใช่สินะ เธอก็ควรจะบอกหล่อนเหมือนกันสินะ
“อืม..เค้าก็คิดว่าเค้าก็น่าจะเริ่มชอบพะแพงก็จากตอนนั้นเหมือนกันพึ่งมารู้ตัวว่าตัวเองตอนนั้นว่าไม่อยากจะเสียเพื่อนคนนี้ไปจนกระทั่งลืมสิ่งที่กลัวที่สุดในชีวิตไปเลย
เค้าพูดจริงๆนะจนถึงทุกวันนี้เค้าก็ยังกลัวการว่ายน้ำอยู่เลย
แต่ในวันที่พะแพงตกน้ำวันนั้นเค้าดันลืมไปซะสนิทว่าเค้ากลัวน้ำ
ตอนนั้นในหัวคิดแค่ว่าจะทำยังไงให้พะแพงปลอดภัยเท่านั้นเอง
บ้าจัง..เราเริ่มชอบกันพร้อมกันตั้งนานแล้วแต่แค่ไม่เคยบอกกันซักทีแค่นั้นหรือนี่..
นั้นคือสิ่งที่พะแพงคิดในขณะที่กำลังยิ้มหวานด้วยความดีใจเมื่อจ้องมองตาเจ้าของใบหน้าสวยที่ก็ยิ้มหวานไม่แพ้ตัวเองอยู่เลย
“คิดถึงวันที่นอนตักเอิ้นในครั้งแรกตอนนั้นจัง...”
“งั้นก็นอนตักอีกสิ..”
ยิ้มแล้วก้มลงมองที่ตักตัวเองเสมือนเป็นการเชื้อเชิญให้พะแพงนอนตักตัวเองทางอ้อม
“บ้า..นอนได้ที่ไหนในโรงเรียนคนตั้งเยอะตั้งแยะ”
“งั้นก็ค่อยไปนอนที่บ้าน”
“อีกตั้งนานกว่าจะค่ำ
กว่าเอิ้นจะมาหาเค้าอาะ..”
ส่งเสียงหงอยๆอ้อนเจ้าของใบหน้าสวยที่กำลังอมยิ้มอยู่ต่อหน้า
“ทำไมทำเสียงอย่างนั้น
น้อยใจใช่ม้าา..รู้มั้ยว่าเวลาพะแพงน้อยใจนี่สังเกตุง่ายมากๆเลยนะ
แก้มพะแพงน่ะจะบวมๆเหมือนอึ่งอ่าง
ยิ่งน้อยใจมากก็ยิ่งบวมมากเนี่ยตอนนี้กำลังบวมมากแสดงว่าน้อยใจมากเลยล่ะสิ”
ทั้งพูดทั้งขำอีกคนที่ยังคงงอนแก้มอมลมตุ๊บป่องต่อไป
“เอางี้มั้ยถ้าพะแพงกลัวว่าเราจะเจอกันดึก
งั้นตอนเลิกเรียนพะแพงแวะไปที่บ้านเค้าก่อนมั้ย
เราสองคนจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันนานขึ้นอีก”
ดวงตาเป็นประกายทันทีที่ได้ยินคำแนะนำอย่างนั้น
แม้ไม่มีคำตอบออกจากปากพะแพงแต่ใบหน้าแดงระเรื่อและท่าทางหงิมๆติ๋มๆเมื่อยามที่คนถามยื่นมือมาดึงมือพะแพงที่วางไว้หน้าตักไปกอบกุมไว้
ก็ทำให้เอิ้นพอจะเดาได้ว่าอีกคนคงยินดีในคำเชิญชวนและไม่มีทางจะปฏิเสธแน่นอน
--<><><><>--
“พี่แพงจะอยู่นานมั้ยเนี่ย”
เสียงที่เก๊กทำเป็นดุจากใบหน้าเรียบๆของหนุ่มน้อยหน้ามนดังขึ้นเมื่อเขาพาพี่สาวเดินผ่านบ้านแฟนสาวของหล่อนแล้วหยุดยืนถามด้วยความไม่พอใจนิดๆ
แต่ก็จำใจต้องทำตามแผนการของหล่อนที่ขอร้องให้เขาช่วยพามาบ้านแฟนสาวในตอนเลิกเรียน
เมื่อหล่อนยังติดทัณฑ์บนของพ่อที่ห้ามไม่ให้ออกจากบ้านอยู่
เลยจำเป็นต้องวางแผนหลอกพ่อกับแม่ว่าพวกเขาทั้งสองต้องการซื้อของและกินอาหารเย็นด้วยกันอีก
เล่นเอาคนโดนถามสะดุ้งเฮือกเมื่อหันไปมองใบหน้าคิ้วขมวดของเขากำลังจ้องเขม็งไปที่แฟนสาวของตัวเองด้วยความไม่พอใจนิดๆ
“เอ่อ
ก็ไม่นานหรอก เดี๋ยวไงโทรหาอีกทีแล้วกัน”
“ไม่นาน..หึ
ไม่เชื่อหรอกเดี๋ยวก็เหมือนตอนกลางคืนอีกนั่นแหละ
นี่ก็ไม่รู้ว่าจะมาหาทำไมอีกกลางคืนก็จะอยู่ด้วยกันแล้วแท้ๆ”
“ชู่วววว์”
เมื่อพี่สาวได้ยินก็รีบเดินเข้าไปประชิดตัวน้องชายหวังให้เขาเงียบเสียงบ่นที่กำลังทำให้คนที่สามกำลังกระอักกระอ่วนใจอย่างที่เป็นอยู่นี้เสียที
“นี่..พี่กับเอิ้นโอเคกันแล้ว
เลิกบ่นได้แล้ว ไม่มีอะไรแล้วเข้าใจมั้ย
แล้วก็นี่อ๊ะ
เอิ้นเอามาฝากเราพี่เก็บเอาไว้ให้กะจะเอาให้เราตอนกลับบ้าน”
ชะงักทันทีเมื่อได้ยินพี่สาวบอกพร้อมๆกับยื่นตุ๊กตาหมีตัวเล็กๆและห่อชอคโกแลค2ห่อมาให้
“มีลายเซ็นเอิ้นด้วยนะ
เห็นมะ เขาเซ็นให้ตรงนี้”
ชี้ชวนให้น้องชายตัวเองดูลอยปากกาที่เอิ้นเซ็นใส่โบว์พร้อมๆกับข้อความว่า
ขอบใจนะ ของหล่อน
ตอนนี้จากที่กำลังงอนๆอยู่ก็กลายเป็นลังเลใจว่าจะโกรธต่อหรือไม่โกรธต่อดีนะ
“นะ
พี่ขอโทษแทนเอิ้นแล้วกัน
ถือว่าขอล่ะนะ
ช่วยหน่อยนะเพราะถ้าเพื่อนไม่ช่วยพี่อีกพ่อก็คงดุพี่อีกเพราะพี่ก็ติดทัณฑ์บนออกจากบ้านไม่ได้อยู่
แต่ถ้าได้เพื่อนช่วยยืนยันว่าพาพี่ไปซื้อของด้วยอย่างน้อยพ่อกับแม่ก็น่าจะเชื่อ”เสียงอ่อนเสียงหวานสำหรับการขอร้องน้องชายในครั้งแรกของปี
หรือว่าน่าจะทั้งชีวิตเลยก็ได้ที่เธอยอมพูดดีๆกับน้องแบบนี้
เล่นเอาน้องชายใจอ่อนได้แต่ถอนหายใจ
แต่ก็ยังไม่วายขอถามให้หายข้องใจเสียก่อน
“เฮ้อ..สรุปว่าดีกันจริงๆแล้วใช่ป่ะ
ตอบมาให้สบายใจก่อน”
“ดีกันแล้ว
แล้วก็ดีกันมากๆด้วย
ไปเหอะไปอยู่กับแบงค์ก่อนเถอะเดี๋ยวเสร็จธุระแล้วเดี๋ยวพี่โทรหา
ไม่นานหรอก”
“ไม่นานแน่นะ..”
คนโดนถามยิ้มแหยๆแทนคำตอบ
และน้องชายตัวดีก็ดันหัวไวเข้าใจความหมายซะด้วยเลยไม่อยากต่อล้อต่อเถียงอะไรพี่สาวมาก
ได้แต่บอกลาแล้วรีบเดินไปบ้านเพื่อนของเขาที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกันฆ่าเวลารอดีกว่า
เมื่อรู้อยู่แล้วว่ายังไงๆก็นานแน่ๆ
“ดุจังเลยอ่ะ
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะใจอ่อนนะ”
เป็นเสียงของเอิ้นที่ดังขึ้นเมื่อเห็นว่าน้องชายแฟนตัวเองเดินลับตาไปแล้ว
“อื้ม
ก็คงใกล้แล้วแหละ
พยายามให้น้องเค้าเห็นว่าตัวเองจริงใจกับเค้าบ่อยๆก็แล้วกัน”
อมยิ้มให้หล่อนก่อนจะเดินเข้าบ้านตามกันไปหลังจากนั้น