นิยายรักไม่จำกัดบท
Cheapter
12
อุบัติเหตุและความพิศวง
“พะแพงขาเป็นอะไรน่ะ
ทำไมได้เดินท่านั้นล่ะเธอ”
เสียงเพื่อนสาวร่วมห้องของพะแพงทักเธอหน้าโรงเรียนเมื่อหล่อนกำลังยืนรอเพื่อนอยู่แล้วเห็นพะแพงเดินกระโผลกกะเผลกผ่านตัวเองไป
คนโดนทักสะดุ้งนิดๆ
“เอ่อ เค้าปวดขาน่ะ
เอ่อพอดีขาเคล็ดน่ะ
คือนั่งผิดท่าไปหน่อย..”แอบยิ้มแหยๆเมื่อนึกถึงการนั่งผิดท่าที่ดุเดือดของตัวเองเมื่อคืนนี้
ที่คงจะเกร็งมากเกินไปหน่อยเพราะทำเสร็จใหม่ๆเธอก็ถึงกับขาชาจนเธอเองยังทายว่าพรุ่งนี้คงต้องปวดขาแน่ๆ
แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆซะด้วย..
“อ้าวเหรอ
อ้าวนี่แขนก็เป็นแผลนี่ไปโดนอะไรมาอีกล่ะนั้น”
ชี้ไปที่แผลที่แขนซ้ายของพะแพงอีก
“อันนี้น่ะเหรอเอ่อ
อุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะ
เค้าโดนรถเฉี่ยวน่ะ”
“อ้าว
อีกแล้วเหรอ
เห็นวันศุกร์ก็โดนกระถางตกใส่กับเอิ้นนี่
ใช่ป่ะ” พะแพงพยักหน้ารับทั้งยิ้มแหยๆ
“เฮ้ย ช่วงต้องระวังหน่อยนะเนี่ย
เข้าวัดทำบุญบ่อยๆเลยนะ
ดวงไม่ดีกันทั้งคู่เลยสังเกตป่ะเนี่ย”
ชะงักนิดๆแต่ก็คิดตามเพื่อนคนนั้นเหมือนกัน
เออ..ใช่สินะ
ช่วงนี้เรากับเอิ้นรู้สึกว่าจะดวงไม่ค่อยดีเลยเจอแต่อุบัติเหตุตลอด
โดยเฉพาะเอิ้นที่เจ็บตัวมาตลอดเลยตั้งแต่..ตั้งแต่ตอนที่แขนเข้าเฝือกตอนนั้นแล้ว
หันไปขอบใจเพื่อนคนนั้นที่เป็นห่วงตัวเอง
ก่อนจะบอกลาหล่อนที่เดินไปกับเพื่อนของหล่อนต่อ
ส่วนตัวเองก็ได้แต่ยืนอึ้งคิดถึงอุบัติเหตุต่างๆที่คนรักของตัวเองเจอมาตั้งแต่ตอนที่เริ่มมีปัญหากัน..ใช่สินะ
เริ่มจากที่เอิ้นเริ่มจะเข้ามาประชิดตัวฉันแล้วก็เริ่มล่วงเกินฉันตั้งแต่ตอนนั้นนั่นแหละ
แล้วเอิ้นก็โดนเลย..
นึกถึงภาพที่หล่อนแขนหัก
หัวแตก
หรือแม้กระทั่งปวดหัวบ่อยๆจนเลือดกำเดาออกแล้วก็เห็นได้ชัดว่าเรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นภายในช่วงระยะเวลาที่เราเริ่มที่จะมีอะไรกันตลอด
ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นหล่อนไม่เคยจะเป็นอะไรเลย
สุขภาพก็แข็งแรงดีทุกอย่าง
ส่วนตัวเอง
มาคิดๆดูแล้วแม้จะไม่ได้โดนเต็มๆเหมือนเอิ้นแต่ก็ถือว่าเกือบจะโดนในทุกๆครั้งเลยตั้งแต่รอบที่กระถางตกลงมานั่นแล้วด้วย
ใช่สินะ..ทั้งกระถาง
ทั้งเกือบโดนรถชนตอนยืนรอรถอยู่หน้าโรงพยาบาลแล้วเอิ้นมาช่วยไว้ได้
แล้วก็กลายเป็นมาโดนรถเฉี่ยวในหมู่บ้านนั่นอีก
จริงๆแล้วฉันก็เกือบจะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นกับตัวเองตลอดนี่นา
ไม่สิจริงๆแล้วครั้งที่กระถางตกลงมานั่นถ้าเอิ้นไม่ช่วยไว้ก็ไม่แน่ว่าจริงๆแล้วคนโดนอาจจะเป็นตัวเองก็ได้..
ยิ่งคิดยิ่งนึกก็ยิ่งเห็นความผิดปกติของชีวิตตัวเองในช่วงนี้
หรือว่าเหตุการณ์ร้ายๆทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี่มันเป็นเพราะฉันกับเอิ้นมีอะไรกันอย่างนั้นเหรอ
แอบคิดด้วยความกังวลใจก่อนจะมีเสียงๆหนึ่งดังเรียกสติด้านข้าง
“พะแพงเป็นอะไรนี่
ทำไมแขนเป็นแผลอย่างนี้ล่ะ..”
หันไปหาเจ้าของเสียงก็เห็นเป็นครูพี่แอนยืนทำหน้าสงสัยในชุดฟอร์มนักศึกษาอยู่ด้านข้างตัวเอง
จนตัวเองต้องรีบยกมือไหว้หล่อน
“เฮ้ย
บอกแล้วไงว่าไม่ต้องไหว้”
หล่อนแอบดุเบาๆก่อนจะหันมาคุยเรื่องแผลต่อ
“หรือเป็นแผลที่โดนกระถางตกใส่เมื่อวันศุกร์หรือเปล่า”
“เอ่อ
เปล่าๆค่ะ เป็นแผลจากที่หนูโดนรถเฉี่ยวน่ะค่ะ”
“อ้าว
โดนรถเฉี่ยว เดี๋ยวนะวันศุกร์ก็โดนกระถางตกใส่นี่
แล้วนี่ก็โดนรถเฉี่ยวอีกอย่างนั้นเหรอ
เฮ้ยระวังตัวด้วยนะช่วงนี้ทำไมเจอแต่อุบัติเหตุเลยล่ะ”
เป็นคนที่ทักคนที่สองของวันสำหรับเรื่องนี้
จนพะแพงเองก็เริ่มหน้าเสีย
เมื่อตัวเองก็เริ่มคิดได้แล้วแต่ก็ยังมีคนตามมาย้ำให้คิดซ้ำอีก
“เฮ้ย
หน้าซีดเลยอ่ะ
พี่ขอโทษนะที่ทักไปอย่างนั้นน่ะ
อย่าคิดมากดิ”
คนบอกยื่นมือไปตบไหล่ให้กำลังใจพะแพงจนพะแพงเริ่มยิ้มออก
“เป็นยังไงบ้าง
ไม่ได้คุยกันเลยนะ ตั้งแต่..เอ่อ
ตั้งแต่..”คุณครูคนสวยพยายามชวนคุยต่อถึงเรื่องครั้งสุดท้ายที่ได้คุยกันในตอนที่เธอพยายามวีดีโดคอลไปหาพะแพงแล้วเจอเอิ้นเดินเข้ามาขัดจังหวะ
จนพะแพงก็เริ่มนึกขึ้นได้ถึงเรื่องในวันนั้นเช่นเดียวกัน
เธอจึงรีบยกมือขึ้นไหว้ขอโทษหล่อนด้วยความรู้สึกผิดทั้งจากตัวเองและแทนอีกคนที่แสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมกับครูในวันนั้นด้วย
“เอ่อ
หนูขอโทษนะคะครูพี่แอน
ขอโทษแทนเอิ้นด้วยที่เสียมารยาทกับครูวันนั้น
คือวันนั้นเอิ้นอารมณ์ไม่ค่อยดีน่ะค่ะ
เค้าก็เลยหงุดหงิดและก็กวน..เอ่อ
อย่างที่เห็น”
“หงุดหงิด..”
ครูพี่แอนอมยิ้ม
“หงุดหงิดเพราะว่าหึงพะแพงใช่มั้ยล่ะ
คงโกรธที่พี่โทรหาพะแพงใช่มั้ย”
คนโดนทักสะดุ้งโหยงรีบมองซ้ายมองขวาทันทีที่โดนครูพี่แอนแซวด้วยกลัวใครจะมาได้ยินด้วย
โชคดีที่บริเวณนั้นไม่มีใครยืนอยู่ใกล้ๆ
“ไม่ใช่ๆค่ะ ไม่ได้หึง”
หันมายิ้มแหยๆตอบหล่อน
“เค้าชอบแกล้งหนูอย่างนี้ตลอดแหละค่ะ”
“แกล้งเหรอ
งั้นก็แล้วไป นึกว่าหึง
งั้นก็แสดงว่าพี่โทรไปหาพะแพงได้ใช่มั้ยถ้างั้น”
“ก็..เอ่อ..ก็ได้นะคะ
ก็ถ้าครูอยากโทรมา ก็โทรค่ะ”
ได้แต่ยิ้มแหยๆให้หล่อน
ในใจก็นึกถึงบทในนิยายที่แพรี่หึงเอริณเรื่องครูฝึกสอน
นี่ฉันคงไม่โดนเอิ้นหึงจากเรื่องครูฝึกสอนอีกใช่มั้ยถ้ายังคุยอยู่กับครูพี่แอนอย่างนี้เนี่ย
มีการเป็นห่วงความรู้สึกของคนรักตัวเองนิดๆเมื่อคิดว่าคงจะดีกว่านี้ถ้าเธอเลิกคุยกับครูพี่แอนดีกว่าหากว่าใครผ่านมาเห็นเข้าแล้วเอาไปนินทาแล้วเอิ้นได้ยินเข้าหล่อนคงเสียความรู้สึกอีกแน่ๆ
“เอ่อ
งั้นเดี๋ยวไงหนูขอตัวเข้าห้องเรียนก่อนนะคะ”
พยายามจะบอกลาหล่อนไปทันทีเมื่อคิดได้
“อ้าวเดี๋ยวสิ
พี่ว่าจะคุยเรื่องนิยายกับเราอยู่เลยอ่ะ
พี่ว่านิยายมันแปลกๆไปอ่ะ
พะแพงได้เข้าไป..”
“ทำไมโทรหาแล้วไม่รับสายอ่ะ
มัวทำอะไรอยู่คะ ที่รัก”
ยังไม่ทันที่ครูพี่แอนจะอธิบายหรือถามไถ่เกี่ยวกับนิยายที่หล่อนสงสัยเสียงจากบุคคลที่สามที่พะแพงกลัวเหลือเกินว่าหล่อนจะมาเห็นเข้าก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะให้พะแพงสะดุ้งโหยงเหงื่อตกเข้าจนได้
“ทำไรอยู่คะ
ที่รัก”
หล่อนเดินมาโอบไหล่พะแพงพร้อมทั้งย้ำคำสรรพนามก่อนหน้านั้น
ก่อนจะหันไปยิ้มน้อยให้ครูพี่แอน
จนคนโดนโอบต้องพยายามสะบัดอ้อมแขนเอิ้นออกจากไหล่ตัวเองแล้วเตือนสติหล่อนเบาๆ
“กำลังคุยกับครูพี่แอนอยู่..”
“อืม..”
หล่อนพยักหน้ารับงึกๆ
“ครู..”
พะแพงเตือนสติหล่อนอีกครั้งให้เข้าใจถึงคำว่าครูแล้วควรจะยกมือไหว้ครูเดี๋ยวนี้ด้วย
แต่หล่อนก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ซ้ำยังหันมาชวนพะแพงให้เดินขึ้นห้องไปด้วยกันอีก
“เอ่อ
งั้นพะแพงขึ้นห้องไปเถอะเดี๋ยวพี่ไปเซ็นชื่อก่อนก็ได้
เหมือนเพื่อนพะแพงกำลังหงุดหงิดน่ะ..”
“ใครเพื่อน?”
คนได้ยินหันไปมองพะแพงทันทีที่ได้ยินครูพี่แอนบอกอย่างนั้น
“เค้าเป็นเพื่อนพะแพงงั้นรึ?”
กระซิบกระซาบถามพะแพงด้วยความไม่พอใจทันที
“เออ
ดิ” ขยิบตาส่งซิกให้เอิ้นก่อนจะหันไปส่งยิ้มแหยๆให้ครูพี่แอน
“เดี๋ยวไงไว้เจอกัน
แล้วค่อยคุยกันใหม่นะคะ”
“ไม่เป็นไรเดี๋ยวพี่โทรหาพะแพงเลยดีกว่า
เดี๋ยวเย็นนี้พี่โทรไปหานะคะ
ไปล่ะคนสวย”
คนนอกบทสนทนาถึงกลับหันขวับไปมองพะแพงทันทีที่ได้ยินครูพี่แอนบอกจะโทรหาหล่อน
เล่นเอาพะแพงสะดุ้งเฮือกทั้งเหงื่อตกทั้งเลิ่กลั่กทำอะไรไปต่อไม่เป็นเลยเมื่อเอิ้นยื่นแขนมาหยิกตัวเองรัวๆหลังจากนั้น
“โทรหาอย่างงั้นรึ!”
“โอ๊ย!
เจ็บ!
หยิกทำไมนิ!”
“บอกไม่ให้คุยกับครูคนนี้แล้วยังจะหน้ามึนคุยอีกเหรอ
หน็อยย..ว่าคนอื่นเจ้าชู้หลายใจ
ทีตัวเองแอบกิ๊กกับใครซะเองอย่างนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน”
“ไม่ได้กิ๊กอะไรเลย
บ้าเปล่า แล้วก็เลิกบ่นได้แล้ว
เดี๋ยวคนอื่นได้ยิน เข้าใจมั้ย!”
คนโดนห้ามหน้ามุ้ยอย่างเสียอารมณ์สุดๆ
ได้แต่เดินกระฟัดกระเฟียดด้วยอารมณ์งอนหนีจากหล่อนไป
จนพะแพงต้องรีบวิ่งตามและไปทันเจ้าหล่อนอยู่ที่ด้านข้างของอาคารเรียนตัวเอง
เธอเลยรีบดึงหล่อนให้เข้าไปนั่งคุยที่นั่งด้านหลังที่ไม่ค่อยมีคนเดินเพ่นพล่านเท่าไหร่
“เดี๋ยวก่อนเซ้!
จะรีบไปไหนเนี่ย!”
ดึงมือหล่อนไว้เมื่อเห็นหล่อนตั้งท่าจะลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วเดินหนีอีก
“อ้าวก็ทำท่าเหมือนไม่อยากคุยกับเค้าไม่ใช่เหรอ
ถ้ากลัวครูคนนั้นเห็นก็จะไม่คุยให้ไง”
“บ้าหรือเปล่าใช่ที่ไหนกัน
เค้าแค่ไม่อยากให้คนอื่นมาแซวเราไม่ใช่เฉพาะแค่ครูคนนั้นหรอกน่า”
พยายามอธิบายหล่อนไปในตอนที่มองใบหน้าซีเรียสไม่พอใจของหล่อน
“อะไรกัน..เอิ้นไม่เคยเป็นอย่างนี้ซักที
หรือนี่คือหึงเค้าอย่างนั้นเหรอ”
อมยิ้มกระซิบกระซาบถามหล่อนในประโยคสุดท้ายนั่น
“แล้วคิดว่าไงล่ะ”
คนตอบหันมาถามกลับหน้าตายเฉย
แทนที่จะตอบตรงๆ
“ก็ไม่รู้สิ
แต่ไม่กล้าคิดว่าหึงหรอก
ไม่กล้าคิดว่าตัวเองจะสำคัญกับเอิ้นขนาดนั้น”
ทั้งพูดทั้งยิ้มหวานมือก็ยื่นไปแอบจับมือเอิ้นที่วางอยู่บนหน้าตักภายใต้โต๊ะม้าหินอ่อนที่ทั้งสองนั่งอยู่
คิดว่าอย่างน้อยก็น่าจะง้อหล่อนบ้าง
และการง้อในฉบับของพะแพงแม่สาวจอมเก๊กและขี้อายก็เลยทำได้แค่แอบซ่อนมือตัวเองไปจับมือหล่อนอยู่ใต้โต๊ะอย่างที่เห็นนั่นแหละ..
“ดีกันนะ
ไม่มีอะไรหรอก
เค้าพึ่งได้คุยกับครูพี่แอนแค่วันนี้เมื่อกี๊
แป๊บเดียวเท่านั้นเอง
ก่อนหน้านั้นเอิ้นก็เห็นนี่ว่าเค้าแทบจะไม่ได้คุยโทรศัพท์กับใครเลย
นอกจาก..กับเอิ้นแค่สองคนอย่างนั้น..”
ทั้งพูดทั้งหน้าแดงระเรื่อ
เมื่อนี่เป็นครั้งแรกที่พะแพงพยายามง้อเอิ้นด้วยน้ำเสียงหวานๆอย่างที่เอิ้นมักจะพูดกับตัวเอง
และนั่นเลยทำให้คนโดนง้อแอบหันมาเหล่มองมือใหม่หัดอ้อนอย่างพะแพงเข้า
ด้วยอารมณ์ที่ว่าไม่รู้ควรจะตกใจหรือจะขำเจ้าหล่อนดี..
“ง้อเป็นด้วย?
ปกติไม่เคยเสียงหวานง้อใครอย่างนี้สักทีนิ”ทั้งพูดทั้งหัวเราะหึๆ
“ก็ไม่เคยง้อหรอก
ถ้าคนนั้นไม่สำคัญกับเค้าน่ะ..”
ต่อปากต่อคำไปโดยที่มือข้างล่างก็ยังกอบกุมมือหล่อนไว้อยู่ก่อนจะเริ่มรู้สึกถึงอะไรที่ผิดปกติบางอย่างจึงดึงมือหล่อนขึ้นมาดูใกล้ๆ
“เฮ้ยมือเอิ้นไปโดนอะไรมาอีกเนี่ย!”สะดุ้งตกใจทันทีที่เพ่งมองแล้วเห็นเป็นพลาสเตอร์ปิดแผลติดไว้ที่รอบๆมือซ้ายหล่อนอีกแล้ว
“เนี่ยเหรอ..
ก็เมื่อเช้าตอนกลับบ้านโดนประตูหนีบมือน่ะ
คือตอนนั้นมันมึนๆง่วงๆเปิดประตูเสร็จแล้วก็ยกมือหนีไม่ทันมันก็เลยหนีบเข้าให้
แต่ไม่ต้องห่วงนะ เนี่ยมือซ้าย
มือขวาน่ะเค้าจับลูกบิดค้างไว้เลยไม่เป็นอะไรยังใช้ได้อยู่..”
คนตอบยกมือขึ้นโชว์ในตอนที่บอกเล่าเรื่องราวด้วยใบหน้าราบเรียบของตัวเองราวกับว่าไม่มีอะไรหนักหนาสาหัส
ซึ่งช่างแตกต่างจากคนฟังที่หน้าถอดสีไม่มีอารมณ์จะขำหรือจะอายข้อความสองแง่สองง่ามของหล่อนเลย
เมื่อมองแผลที่มือของคนรักแล้วก็นึกถึงเรื่องที่ตัวเองโดนทักเมื่อเช้าแล้วก็เลยกลายเป็นคิดมากจนใจเสียไปกันใหญ่..
นี่มันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแล้วล่ะ
เดี๋ยวคอยดูนะถ้าวันนี้เราโดนอะไรเหมือนเอิ้นอีกก็คงจะชัดว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับชีวิตเราจริงๆแล้วล่ะช่วงนี้
--<><><><>--
“เอิ้นเป็นไงบ้างได้ข่าวว่าโดนกระถางตกใส่หัวนี่นา”
เป็นเสียงจากตัวแทนเพื่อนร่วมห้องที่พากันเดินกรูเข้ามาถามไถ่เอิ้น
เมื่อทั้งสองเดินเข้าไปถึงในห้องเรียนแล้ว
“ก็โอเคขึ้นแล้วล่ะ
นี่ไงมีโบว์เก๋ๆติดหัวด้วยสวยมะ”
ทำเป็นปล่อยมุกให้เพื่อนๆได้หัวเราะกันครืนก่อนที่พวกเขาจะพากันสำรวจบาดแผลเอิ้นต่อด้วยความเป็นห่วง
บ้างก็ลูบๆคลำๆที่หัว
บ้างก็มองรอบๆตัวเอิ้นเพื่อหาร่องรอยบาดแผลวันนั้นอีก
“แสดงว่าโดนกระแทกแรงเลยใช่ป่ะ
หัวก็แตก คอก็เคล็ดเนี่ย”
“หืม?”
คนโดนถามทำหน้างง
“ยังไงนะ?”
“อ้าวก็นี่ไง
คอก็เป็นรอยช้ำจ้ำๆอยู่นี่ไง
มันฟกช้ำเพราะโดนเศษกระถางร่วงใส่อีกใช่ป่ะ”ชี้มือไปที่แถวๆหลังคอของเอิ้นด้วย
คนโดนทักถึงกับชะงักกึก
รีบเอามือจับคอตัวเองก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้แล้วรีบหันมามองตัวการร่องรอยนั้นที่ก็นั่งยิ้มแหยๆตั้งแต่เห็นเพื่อนทักแล้วล่ะแต่ก็ไม่กล้าจะบอกให้เอิ้นรู้ตรงๆว่ารอยที่เพื่อนทักตรงนั้นมันไม่ได้โดนกระถางหรอกนะ
ซึ่งเจ้าของร่องรอยก็รับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าเมื่อเช้าเธอคงจะพลาดลืมสำรวจร่องรอยเหล่านั้นไปด้วยนั่นแหละ
เลยปล่อยให้มันเป็นรอยประเจิดประเจ้อมาโรงเรียนขนาดนี้
เลยได้แต่ทำใจดีสู้เสือเออออห่อหมกกับเพื่อนไปว่ารอยที่เห็นนั้นก็คือรอยช้ำจากการที่โดนกระถางกระเด็นใส่นั่นเอง..
“เออใช่
กระถางมันกระเด็นใส่แรงมาก
นึกขึ้นมาแล้วก็โมโหให้กระถางจริงๆเลย
เล่นอะไรไม่รู้เรื่อง!”
“ห๊ะ!”
เพื่อนชะงักทันทีที่ได้ฟังในประโยคหลังนั้น
โดยเฉพาะพะแพงที่รู้แล้วล่ะว่าหล่อนกำลังแขวะตัวเองอยู่เลยถึงกับเลิ่กลั่กแกล้งหันไปยิ้มหวานกับเพื่อนที่งงๆไป
ก่อนที่เจ้าของประโยคแสนงงเมื่อกี้จะพยายามอธิบายให้เพื่อนฟังใหม่อีกครั้ง
“เอ่อ..หมายถึง
เด็กพวกนั้นที่แตะบอลน่ะ
แตะไม่รู้เรื่องไง ใช่มั้ยพะแพง”
เจ้าของชื่อสะดุ้งทันที
ได้แต่พยักหน้าแหยๆของตัวเองรับเมื่อหันไปเห็นเอิ้นเหล่ตามองแรงด้วยทั้งค้อนทั้งเคืองจนต้องแอบแขวะตัวเองทางอ้อมอย่างนี้
“อะห๊ะ
ใช่ๆเล่นอะไรก็ไม่รู้เนอะ
สงสัยเค้าคงไม่ได้ตั้งใจอะนะ
เอิ้นอย่าโกรธเค้าเลยน้า”
ทำเป็นยกมือขึ้นมาตบไหล่เอิ้นปลอบใจ
ทั้งที่จริงทำเพื่อแก้เขินในตอนที่ตอบรับคำกระแนะกระแหนตัวเองทางอ้อมของหล่อน
ซึ่งนั่นก็ทำให้เพื่อนๆที่อยู่ต่อหน้าสังเกตุเห็นแผลที่มือพะแพงจนต้องพากันร้องทักกันอีกครั้ง
“เฮ้ย
มือไปโดนอะไรมาพะแพง
ไหนวันที่โดนกระถางตกใส่น่ะมีแต่เอิ้นไม่ใช่เหรอที่โดน
ได้ข่าวว่าพะแพงไม่โดนนี่
แล้วนี่แผลอะไรเหรอ”
คนโดนทักชะงักอีกครั้ง
“เอ่อนี่อ่ะเหรอ
เค้าโดนรถเฉี่ยวเมื่อวานนี้น่ะ”
“อ้าว
อีกแล้วเหรอเฮ้ยทำไมมีเรื่องต่อๆกันเลยล่ะ
ดวงไม่ดีแพคคู่หรือเปล่านี่ทั้งเอิ้นทั้งพะแพงเลย
คราวก่อนก็เห็นเอิ้นเข้าเฝือกใช่ป่ะ
แล้วก็หัวแตก แล้ววันนี้ก็พะแพงอีก”
แล้วพอได้ยินเพื่อนคนนั้นทักแค่นั้นทั้งวงสนทนาก็พากันเออออห่อหมกเห็นด้วยถึงความซวยของทั้งสองในช่วงนี้ไปกันใหญ่
จนพะแพงจากที่ได้ยินเพื่อนทักขึ้นมาก่อนหน้านี้ก็หน้าเสียไปรอบหนึ่งแล้ว
ยิ่งมาฟังหลายๆคนที่สังเกตุเหมือนกันและพูดเป็นเสียงเดียวกันเธอก็ยิ่งใจเสียไปกันใหญ่
ได้แต่หันไปมองหน้าเอิ้นที่คิ้วขมวดมองพวกเขาเหล่านั้นจับกลุ่มพูดกันถึงเรื่องความซวยของทั้งสองก่อนจะหันมามองพะแพงแล้วส่ายหน้าให้หล่อนเบาๆ
“เรื่องไร้สาระ
อย่าคิดมากเลยนะ..”
นั่นเป็นข้อความจากน้ำเสียงกระซิบกระซาบเบาๆของเอิ้นที่พูดขึ้นเมื่อเธอแอบกุมมือพะแพงไว้ที่ใต้โต๊ะเรียน
แล้วทำเป็นหันไปฟังเพื่อนๆพูดกันจนกระทั่งพวกเขาพากันแยกย้ายออกจากโต๊ะของทั้งสองไป
“เค้าไม่คิดว่ามันไร้สาระนะเอิ้น
จริงๆแล้วเค้าก็เริ่มคิดได้เรื่องนี้มาสักพักแล้วล่ะ
จริงๆนะ
ตั้งแต่พวกเราสองคน..เอ่อ..ตั้งแต่ครั้งนั้นแล้วที่อยู่ในหอประชุมน่ะ
ถ้าเอิ้นจำได้
ครั้งนั้นวันต่อมาเอิ้นก็แขนเข้าเฝือกเลยจำได้มั้ย
แล้วที่เอิ้นหัวแตกนั่นก็อีก..”เป็นพะแพงที่เริ่มหันมาพูดเรื่องนี้กับเอิ้นอีกครั้งเมื่อทั้งสองอยู่กันตามลำพังแล้ว
เธอพยายามอธิบายถึงการใกล้ชิดกันของทั้งสองตั้งแต่ครั้งแรกที่เธอโดนเอิ้นจูบในหอประชุมเก่าและครั้งต่อๆมาเมื่อเริ่มมีอะไรกันอีก
“แล้วไง?
พะแพงกำลังจะบอกว่าที่เรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นนี้มันเป็นเพราะเราสองคนอยู่ใกล้กันอย่างนั้นเหรอ..”
“ก็..เค้าก็ไม่แน่ใจหรอก
แต่มันก็แปลกที่แต่ก่อนเราก็ไม่ได้เป็นอะไรต่อๆกันขนาดนี้เลย”
“พะแพงไม่สบายใจใช่มั้ย”
ถามคนหน้าซีดๆต่อหน้าที่ยังคงมีสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัดอยู่เหมือนเดิม
“งั้นเราจะลองห่างกันดูสักพักมั้ยล่ะ
เผื่อพะแพงจะได้สบายใจขึ้น”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะ
เฮ้อ..
เค้าแค่..แค่กลัวว่าเอิ้นจะเจ็บตัวกับเรื่องอะไรอีกแค่นั้นเอง”
“กลัว?กลัวทำไม
ถ้ามันจะเป็นเรื่องจริง
พะแพงก็ควรจะกลัวที่ตัวเองจะเจ็บตัวเหมือนกันสิ”
ส่งสายตาเป็นห่วงมองไปยังแผลที่แขนของพะแพงเหมือนกัน
“อย่าคิดมากสิ
มันอาจเป็นแค่ช่วงเวลานี้เท่านั้นแหละ
เดี๋ยวมันก็หายเอง
”ยื่นมือไปจับมือพะแพงกุมไว้อีกครั้งหวังจะปลอบใจให้หล่อนหยุดอาการคิดมากอย่างนี้เสียที
แต่หล่อนก็ยังมีสีหน้าวิตกกังวลอยู่เช่นเดิม
“งั้นเอาเป็นว่า..ถ้าอยากรู้ว่าเรื่องที่พะแพงคิดจะเป็นจริงมั้ย
เดี๋ยวไงเราพิสูจน์ดูมั้ย..”
“พิสูจน์ยังไง”
คนฟังตื่นเต้นขึ้นมาทันทีที่เห็นอีกคนทำท่าเหมือนจะเริ่มเชื่อเธอบ้างแล้ว
“ก็..”
โน้มหน้าเข้าไปเอามือป้องปากตัวเองกระซิบกระซาบกับหูพะแพง
“เดี๋ยวคืนนี้เค้าไปหาพะแพงอีกนะ
แล้วเราก็ลองทำแบบนั้นอีกดูว่าจะเป็นอะไรอีกมั้ย”
“บ้า!”
คนฟังผละหน้าแดงๆออกมาจากหล่อนทันที
“นี่ก็..ไม่ดูเวล่ำเวลาเลยเนอะ
อุตสาห์ตั้งใจฟัง”
ยื่นแขนไปตบแขนเอิ้นเบาๆด้วยความหมั่นไส้ในขณะที่คนโดนตบนั้นได้แต่หัวเราะคิกๆคักๆชอบใจที่ทำให้พะแพงหลุดออกมาจากห้วงอารมณ์กังวลจนได้ถึงแม้จะด้วยเรื่องทะลึ่งตึงตังก็ตามทีเถอะ
ยังไงซะนางฟ้าก็ควรจะมีใบหน้าสดใสยิ้มแย้มตลอดเวลาดีกว่าจะมาเครียดทำหน้ามุ้ยอย่างนี้นะ
ทั้งคิดทั้งมองหญิงสาวคนต่อหน้าที่ก็จ้องตาเธออย่างงอนๆแต่ก็ไม่วายแอบมีความเว้าวอนประหลาดๆเจือออกมาให้เห็นตลอด
และมันคงเป็นสายตาของสถานะบางอย่างที่เปลี่ยนไปจากคำว่าเพื่อนของเธอทั้งสองแล้วนั่นเอง
นั่งจ้องตากันอมยิ้มกันอยู่สักพักก็ได้ยินเสียงเพื่อนที่นั่งแถวๆประตูห้องเรียกเอิ้นว่ามีคนมาหาและนั่นเลยทำให้พะแพงเปลี่ยนสีหน้าทันทีเมื่อหันไปมองหน้าห้องแล้วเจอเข้ากับหลินที่กำลังยืนอมยิ้มมองมาที่ทางนี้อยู่
“เอ่อ
เดี๋ยวเค้าไปหาน้องเค้าแป๊บนึงนะ”
เจ้าตัวเหมือนจะรู้ว่าพะแพงเริ่มจะไม่พอใจอีกแล้ว
เธอเลยเลิ่กลั่กเหมือนกำลังตัดสินใจอะไรอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะล้วงเอาโทรศัพท์และกระเป๋าตังค์ออกมาวางไว้กับหน้าตักพะแพงทั้งหมด
“เค้าไปคุยไม่นานหรอก
อ๊ะนี่โทรศัพท์เค้ากระเป๋าตังค์เค้า
ของๆเค้าทุกอย่างอยู่กับพะแพงหมดเลย”
“เพื่อ??”
เงยหน้างงๆทั้งคิ้วขมวดขึ้นมาถามหล่อนน้ำเสียงไม่พอใจนิดๆ
“ก็จะได้แน่ใจไงว่าไปไม่นานจริงๆ
แล้วเค้าก็จะกลับมาหาพะแพงจริงๆ
เพราะว่าของทุกอย่างของเขาอยู่กับพะแพงหมดเลย
รวมทั้ง..”
อมยิ้มให้คนฟังที่ยังคงทำหน้างงๆอยู่
ก่อนจะโน้มหน้าลงไปกระซิบกระซาบข้อความที่เบาแสนเบากับหล่อนต่อจากประโยคนั้นต่อ
“หัวใจของเขาด้วย..”
คนฟังหน้าแดงฉ่าเมื่อหล่อนเงยหน้ามาส่งยิ้มหวานไร้เดียงสาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นให้
“ไปนะ อย่าลืมดูแลให้เค้าดีๆล่ะ”
ว่าจะโกรธก็โกรธไม่ลงซะแล้วเมื่อเจอลูกอ้อนลูกใหญ่ของเอิ้นอย่างนั้น
ตอนนี้พะแพงเลยได้แต่นั่งหน้าแดงระเรื่อหัวใจก็พองโตทั้งสั่นทั้งรู้สึกดี
เรียกได้ว่าจะโกรธก็โกรธไม่ลงเลยแม้จะเห็นหล่อนวิ่งกระดี้กระด้าออกไปหาใครบางคนข้างนอกนั้นด้วยท่าทางน่าหมั่นไส้แค่ไหนก็ตาม
ให้ตายเถอะ...แล้วนี่หัวใจของฉันก็คงไปอยู่กับเธอทั้งหมดเหมือนกันแล้วใช่มั้ยเอิ้น
ฉันถึงไม่กล้าที่จะโกรธอะไรเธอ
เพราะกลัวจะเป็นการทำลายหัวใจตัวเองด้วยหากเราสองคนจะต้องทะเลาะกันเรื่องนั้นอีกครั้ง..
--<><><><>--
เย็นวันนั้น..เป็นอันว่าวันนี้ทั้งสองไม่ได้ทะเลาะกันเรื่องเด็กหลินเพราะว่าเอิ้นทำตามที่บอกคือออกไปคุยกับหล่อนแป๊บเดียวแล้วก็รีบกับมาหาพะแพงในห้องเรียนต่อ
และแม้ทั้งสองจะอยู่ด้วยกันตลอดเวลาในวันนี้พะแพงก็ไม่ได้คุยอะไรเกี่ยวกับหลินกับเอิ้นเลย
ด้วยกลัวว่าบรรยากาศระหว่างเธอทั้งสองจะเสียไป
ในเมื่อเธอเองก็เห็นแล้วว่าเอิ้นนั้นพยายามขนาดไหนที่จะแสดงให้เห็นว่าระหว่างหล่อนและหลินไม่มีอะไรกันจริงๆ
จนกระทั่งคาบเลิกเรียนที่ทั้งสองต้องแยกกันกับบ้านเพราะเอิ้นมีนัดกับเพื่อนในชมรมจึงบอกให้พะแพงกลับบ้านก่อน
“พี่พะแพงคะ”
เป็นเสียงของใครบางคนที่ตอนเช้าเธอเห็นหล่อนเดินมาหาคนรักของตัวเองที่หน้าห้องเรียน
และตอนนี้หล่อนก็ยืนแอบอยู่ที่มุมตึกที่ไม่มีคนอยู่และเมื่อพะแพงเดินผ่านหล่อน
หล่อนก็รีบเรียกพะแพงไว้
“หลิน
ว่าไง เอ่อ เอิ้นไม่ได้อยู่กับพี่หรอกนะ
เค้าไปชมรมน่ะ”นึกขึ้นได้ว่าหล่อนอาจจะถามหาเอิ้นอีกเลยบอกหล่อนไปก่อน
“ค่ะ
หลินทราบค่ะ
เมื่อกี้โทรถามพี่เอิ้นพี่เอิ้นก็บอกแล้วค่ะ
คือหลินอยากคุยกับพี่พะแพงค่ะ
ขอคุยด้วยได้มั้ยคะ
ยิ้มรับหล่อนอย่างงงๆ
“ได้สิ คุยเรื่องอะไรล่ะ”
“ก็เรื่องพี่เอิ้นแหละค่ะ
พอดีหลินคิดว่าหลินไม่ค่อยสบายใจเรื่องพี่เอิ้นเท่าไหร่เลย
เดี๋ยวนี้พี่เอิ้นแปลกๆไปน่ะค่ะ
หลินเลยอยากจะมาถามพี่พะแพง
เพราะเห็นพี่เอิ้นบอกว่าพี่พะแพงเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุด..”
หล่อนย้ำสถานะสุดท้ายจนพะแพงเองก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติของคำนั้น
จนเธอเองก็เริ่มหน้าเปลี่ยนสี
จากที่ยิ้มแย้มก่อนหน้านั้นก็เริ่มซีเรียสขึ้นมาเมื่อเห็นแววตาหยีๆของหล่อนกำลังมองตัวเองเหมือนกำลังจับผิดอะไรอยู่
“พี่พะแพงรู้หรือเปล่าคะว่าเมื่อวานหนูไปเยี่ยมพี่เอิ้นอยู่ที่บ้าน
และพี่เอิ้นก็ชวนหนูให้ค้างที่บ้านพี่เขาด้วย
แต่ว่าหนูก็ไม่ได้ค้างเพราะว่ามีน้องของพี่พะแพงมาบอกเรื่องที่พะแพงโดนรถเฉี่ยว”
หน้าพะแพงตอนนี้กลายเป็นคิ้วขมวดซีเรียสอย่างเห็นได้ชัดมือของเธอที่จับกระเป๋าก็กลายเป็นเริ่มสั่น
เพราะแค่ได้ยินคำว่าเอิ้นชวนให้หล่อนค้างที่บ้านลมในหูของพะแพงก็เริ่มไม่เท่ากันทันที
“แต่มันก็มีเรื่องที่น่าแปลกใจอยู่อย่างหนึ่งค่ะ
เพราะตอนที่หลินอยู่กับพี่เอิ้นที่บ้าน
หลินก็ดูแผลพี่เอิ้นทั้งหมดเลยนะคะ
และก็จำได้ว่าพี่เอิ้นเป็นแผลแค่เฉพาะที่หัวเท่านั้น
บริเวณอื่นไม่มีร่องรอยฟกช้ำอะไรเลย
แต่ทำไมเมื่อเช้าพี่เอิ้นกลายเป็นมีรอยช้ำที่คอได้ก็ไม่รู้”
คนฟังชะงักนิดๆเมื่อคิดตามได้ว่ารอยช้ำนั้นคือรอยช้ำอะไร
“ไอ้แผลที่มือที่มาใหม่หลินยังพอเข้าใจนะคะว่าพี่เอิ้นบอกว่าประตูหนีบ
แต่รอยที่คอหลินถาม
พี่เอิ้นก็เอาแต่บอกว่าไม่มีอะไรๆเป็นแค่รอยแผลเก่า
ทำยังกับหลินโง่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นไร”
ทั้งพูดทั้งหัวเราะก่อนจะยิ้มให้พะแพง
“แล้วพี่พะแพงล่ะค่ะคิดว่าหลินโง่มั้ย”
“เอ่อ..พี่ไม่รู้ว่าหลินหมายถึงอะไรนะ
หรือหลินอาจจะโมโหให้เอิ้นเกินไปก็ได้
เดี๋ยวไงอารมณ์ดีๆก่อนค่อยไปถามเขาใหม่อีกทีก็แล้วกันนะ”
“ไม่รู้ว่าหลินหมายถึงอะไรหรือคะ
หึ งั้นหลินขอถามพี่แพงตรงๆได้มั้ยคะ
เมื่อคืนนี้พี่เอิ้นไปค้างกับพี่แพงใช่มั้ยคะ”
ชะงักอีกครั้งแต่ก็ยังฝืนยิ้มตอบ“พี่ไม่ขอตอบนะ
อยากรู้อะไรก็ไปถามเอิ้นเอาเองเถอะ
พี่จะกลับบ้านแล้ว”
“พี่แพง”
ร้องเรียกพะแพงที่กำลังจะเดินหนีตัวเองไป
“หนูคิดว่าหนูกำลังจะโดนแย่งแฟน”
ได้ยินแค่นั้นพะแพงก็ถึงกลับหยุดชะงักทันที
“ถ้าพี่เป็นหนู
พี่จะทำยังไง
จะแย่งตอบมั้ยหรือจะปล่อยให้เขาเอาของๆเราไปดี”
หันมายิ้มให้หลิน
แต่เป็นรอยยิ้มที่ดูก็รู้แล้วว่าฝืนสุดๆ
“แล้วแต่หลินนะ พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน
แต่พี่ก็เอาใจช่วยหลินนะ”
“เอาใจช่วยหลินเหรอคะ”
หลินหัวเราะเบาๆ
“ทำไมพี่ตอบเหมือนนางเอกเลยล่ะ
เอ..หรือว่าพี่จะเป็นนางเอกของเรื่องนี้จริงๆกันนะ..”
คิ้วขมวดทันทีที่ได้ยินเด็กสาวคนข้างหน้าทั้งพูดทั้งหัวเราะ
มองดูท่าทางก็น่าหมั่นไส้เปลี่ยนไปเป็นคนละคนแถมน่าตาที่พะแพงเคยคิดว่าหล่อนก็ดูสวยน่ารักไร้เดียงก็ยังมองดูแล้วให้ความรู้สึกไม่น่าไว้วางใจเหมือนหล่อนกำลังคิดไม่ดีอะไรกับตัวเองอยู่
หรือไม่ก็คงกำลังจะเกลียดตัวเองอย่างน้ำเสียงจงเกลียดจงชังที่หล่อนพูดมาหลังจากนั้นนั่นแหละ
“แต่หลินไม่คิดหรอกนะว่าตัวร้ายในนิยายมันจะเปลี่ยนมาเป็นนางเอกในชีวิตจริงได้...และหลินจะคอยดูว่านิยายรักเรื่องนี้มันจะจบลงยังไง
ยังไงพี่พะแพงก็คอยเอาใจช่วยหลินแล้วกันนะคะ”
--<><><><>--
เย็นวันนั้นพะแพงกลับบ้านมาด้วยความรู้สึกทั้งโกรธทั้งโมโห
เนื่องจากได้ยินคำพูดกระแนะกระแหนของเด็กหลิน
และเธอมั่นใจว่าหล่อนคงจะระแคะระคายเรื่องเธอกับเอิ้นเข้าแล้วล่ะ
แต่หล่อนอาจจะยังไม่มีหลักฐานเลยทำให้ไม่มั่นใจเท่านั้น
และการที่หล่อนมาพูดกับเธอในวันนี้ก็เป็นเหมือนการเหวี่ยงแหลงในน้ำมั่วๆเพื่อหวังให้โดนปลาบ้างนั้นเอง
แต่ช่างเถอะ
นั่นมันยังไม่น่าโมโหเท่ากับที่หล่อนบอกเธอว่าเอิ้นชวนหล่อนค้างที่บ้านเมื่อคืนนี้เลย
ยิ่งได้นึกเทียบกับสิ่งที่เห็นในตอนที่ถามเอิ้นเรื่องที่ว่าหล่อนได้ชวนหลินนอนที่บ้านมั้ย
แล้วหล่อนทำเป็นโมเมไม่ยอมตอบคำถามยิ่งทำให้เธอเชื่อว่าเจ้าคนหื่นของเธอนั้นกำลังจะส่ำส่อนแอบเล่นบทรักคาสโนวี่สับรางอยู่แน่ๆ
ถ้าหล่อนไม่ทะเลาะกับเธอจนต้องมาง้อที่บ้านเสียก่อน
หน็อยแน่คนเจ้าชู้..นี่พอออกจากเราปุ๊บก็จะเอาคนอื่นมาเสียบปั๊บเลยอย่างนั้นรึ
คิดว่าชั้นจะจับไม่ได้ไล่ไม่ทันเลยหรือไงถึงกล้าที่จะหลอกกันอย่างนี้
หึ..
พอเราคุยกับครูพี่แอนแค่นี้ทำเป็นหึงมาต่อว่าเรามากมายและไม่ยอมให้เราคุยด้วย
แต่ทีตัวเองเอาคนอื่นมานอนด้วยก็ได้งั้นรึ...เกินไปแล้วนะ
ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโหยิ่งเสียใจ
จากที่วันนี้หัวใจอิ่มเอมไปด้วยความรักสีชมพูก็เริ่มกลายเป็นหม่นหมองด้วยสีดำแห่งความระแวงแทนเสียแล้ว
นี่ดีที่เราอ่านนิยายของไรท์เตอร์ไปก่อนเลยรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง
แผนการจับปลาสองมือของเอิ้นก็เลยถูกยับยั้งไว้
เออ..จริงสินะ
แล้ววันนี้ไรท์เตอร์อัพนิยายตอนต่อไปหรือยัง
คิดได้ดังนั้นพะแพงก็รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูบล๊อกหวังจะอ่านดูตอนต่อไปหากวันนี้ไรท์เตอร์ใจดีอัพตอนใหม่ขึ้นมาอีก..
เอ๊ะ..เนื้อเรื่องเปลี่ยนอีกแล้วเหรอนี่
คิ้วขมวดทันทีที่เห็นเนื้อหาในนิยายเมื่อวานตอนที่รัณห์ไปนอนค้างที่บ้านแพรี่แล้วมีอะไรกันหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้
ตอนนี้มีเพียงตอนที่แพรี่และเอริณได้กันแล้วตัดบทเป็นเนื้อหาใหม่อีก..
“พี่แพรี่กำลังโกหกอะไรรัณห์อยู่หรือเปล่าคะ”
เสียงของรัณห์ดังขึ้นในตอนที่แพรี่กำลังจะเดินออกจากห้องของรัณห์ไป
เมื่อหล่อนพบว่าการนัดมาหาในวันครบรอบครบกัน1อาทิตย์ของเธอและรัณห์ด้วยการแท๊กหล่อนในFacebookจนเป็นข่าวดังเกรียวกราวไม่เห็นจะมีอะไรมากมายเลย
นอกจากสายตาแปลกๆที่เธอกำลังจ้องมองตามเนื้อตามตัวรวมทั้งใบหน้าตัวเองอยู่..
“ไม่นี่”แกล้งยิ้มกลบเกลื่อนให้หล่อน
“งั้นถ้าไม่มีอะไรแล้วพี่ไปล่ะนะ
พี่นัดเอริณไว้ ต้องรีบไปทำธุระด้วยกัน”
“ไปทำธุระด้วยกัน”
รัณห์หัวเราะหึ
“ธุระที่ทำให้คอเป็นรอยอย่างนี้ใช่มั้ย”
ชี้มือไปที่รอยที่คอของแพรี่ทันทีจนคนโดนทักสะดุ้งเฮือกหันไปมองรัณห์ด้วยท่าทางเลิ่กๆลั่กๆ
“เอ่อ..รอยพี่โดนขอบประตูชนน่ะ”
“ประตูชน?คิดว่ารัณห์ไม่รู้เหรอว่านี่คือรอยอะไร
หรือคิดว่ารัณห์โง่มากใช่มั้ยถึงจะกล้ามาโกหกรัณห์หน้าด้านๆอย่างนี้
รอยอย่างนี้ใครเห็นก็ดูออกทั้งนั้นแหละว่ามันคือรอยดูดน่ะ”
แพรี่ชะงัก
ใบหน้าสลดลงทันที
เมื่อใจลึกๆของตัวเองก็ไม่ได้อยากโกหกหล่อนเลยได้แต่ก้มหน้ายอมรับหลังจากนั้น
“พี่ขอโทษ
พี่แค่ไม่อยากจะเสียเค้าไป”
สารภาพความจริงหลังจากนั้น
“แล้วไง
งั้นตอนนี้ก็เลยจะทิ้งรัณห์ไปหาพี่เอริณอย่างนั้นใช่มั้ย”
“พี่ขอโทษ
แต่พี่ต้องไปดูแลเขา..”
“ดูแลเค้า
แต่วันนี้ครบรอบอาทิตย์หนึ่งที่เราครบกันนะ
พี่แพรี่ไม่เห็นความสำคัญของรัณห์เลยใช่มั้ย”
ทั้งพูดทั้งร้องไห้จ้องมองใบหน้ารู้สึกผิดของแพรี่ก่อนจะร้องไห้โวยวายขึ้น
“งั้นไปเลย ถ้าพี่แพรี่ไม่เห็นความสำคัญของรัณห์
พี่ก็แพรี่ไปเลย
แต่ถ้าไม่อยู่กับรัณห์ในวันนี้
รัณห์จะถือว่าพี่แพรี่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับรัณห์
และรัณห์จะตัดขาดจากพี่แพรี่ทันทีถ้าพี่แพรี่ก้าวออกจากห้องของรัณห์ไป”
คนโดนขู่ชะงักทันทีที่หันไปเห็นอีกคนร้องไห้ฟูมฟายอย่างนั้น
เธอไม่ได้ต้องการทำให้เด็กน้อยไร้เดียงสาคนนี้ต้องเสียน้ำตาเลย
แล้วตอนนี้เธอจะทำอย่างไรดี
เธอรู้สึกผิดจนไม่กล้าที่จะทำอะไรให้หล่อนต้องร้องไห้เสียใจเพราะตัวเองอีกแล้ว
คิดได้ดังนั้นแพรี่ก็เอื้อมมือไปดึงร่างสั่นสะอื้นของรัณห์มากอดปลอบใจ
ก่อนจะประพรมจูบไปทั่วๆใบหน้าแล้วพาอุ้มร่างของหล่อนไปที่เตียงนอนต่อ...
“เฮ้ยยย..จะได้กันอีกแล้วเร๊อะ!”
ถึงกลับอุทานออกมาเมื่ออ่านมาถึงตอนนี้แล้วพบว่านิยายกำลังจะเข้าสู่บทNCของแพรี่กับรัณห์อีกครั้งแล้ว
หลังจากที่ก่อนหน้านั้นพะแพงอุตส่าห์ดีใจว่าไรท์เตอร์เปลี่ยนบทใหม่ไม่ให้สองคนนี้ได้กันที่บ้านของแพรี่
แต่มาตอนนี้กลายเป็นว่าแพรี่โดนหลอกให้ไปที่บ้านรัณห์ด้วยเรื่องของวันครบรอบคบกันหนึ่งอาทิตย์บ้าบออะไรนั่น
แล้วโดนอีกคนใช้ความสงสารหลอกล่อให้แพรี่หลงมีอะไรกับตัวเองแทน
คิ้วขมวดจ้องมองบทเลิฟซีนถึงพริกถึงขิงของตัวละครทั้งสองต่อจากนั้นก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้
เดี๋ยวนะบทเปลี่ยนอีกแล้ว
ถ้างั้น..
พะแพงรีบเปิดFacebookทันที
ในนั้นมีการแจ้งเตือนของคำขอเป็นเพื่อนของครูพี่แอนและการแจ้งเตือนข่าวที่เอิ้นโดนแท๊กสถานะอะไรบางอย่าง
และเมื่อคลิ๊กเข้าไปอ่านก็พบว่าเป็นสถานะของยัยเด็กหลินที่แท๊กเอิ้นไปว่า..
“ครบรอบ1อาทิตย์แล้วนะคะที่รัก”
นึกแล้วเชียว..ว่าต้องเป็นไปตามบทในนิยาย
นี่ยัยเด็กหลินกล้าโพสสถานะในเฟสอย่างที่รัณห์ทำเพื่อเรียกร้องความสนใจจากแพรี่จริงๆด้วย
(แอบคิดด้วยความโมโหจนลืมเรื่องน่ากลัวที่ว่าชีวิตจริงกำลังเปลี่ยนไปตามนิยายอีกแล้วไปเลย
)
กัดปากกัดฟันอ่านข้อความต่อด้วยความโมโหค้าง
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะโมโหให้ยัยเด็กหลินดีหรือเอิ้นดีเพราะรายนั้นก็ดันไปคอมเมนท์กุ๊กๆกิ๊กๆหยอดหวานตอบเด็กคนนั้นเฉยอีก..
“ฉลองมั้ยล่ะ
จะกินอะไรว่ามา”
นั่นคือสิ่งที่เอิ้นคอมเมนต์เด็กคนนั้น
“มาม่าก็พอค่ะ
ต้มให้กินหน่อยนะคืนนี้”
ลมออกหูพะแพงทันทีที่ได้อ่านข้อความตอบกลับของหลิน
ตอนนี้ใจพะแพงเดือดปุดๆ
จนแทบอยากจะเขวี้ยงโทรศัพท์ทิ้งทันทีที่นึกถึงหน้าตากระริ้มกระเหรี่ยของเอิ้นเวลาที่หล่อนพูดจาเอาใจใครต่อใครอย่างนั้นได้
หน็อยยย..ยัยคนเจ้าชู้ทำไมถึงไม่เก็บอาการบ้าง
ทำไมกล้าออกหน้าออกตาได้ถึงขนาดนี้
นี่ไม่คิดว่าถ้าเรามาอ่านเจอจะรู้สึกเสียใจเลยใช่มั้ย
ทำไมเธอไม่นึกถึงใจคนอื่นบ้างนะ
ทีตัวเองเห็นเราคุยกับคนอื่นยังโกรธแทบเป็นแทบตายแล้วตัวเองมาคุยกับคนอื่นด้วยถ้อยคำอย่างนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน
คิ้วขมวดน้ำตาคลอจ้องมองข้อความโทรศัพท์ด้วยความน้อยใจและเสียใจก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้
เออจริงสินะ
รู้แล้วว่าจะสั่งสอนไอ้คนไม่รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเราอย่างไร
แถมวิธีนี้น่าจะเรียกร้องความสนใจเอิ้นจากยัยเด็กหลินได้อีก
ทีใครทีมันใช่มั้ย งั้นด้ายยยย...
รีบคลิ๊กกลับไปที่หน้าการแจ้งเตือนของตัวเองแล้วกดรับคำขอเป็นเพื่อนของครูพี่แอนทันที
ตอนนี้พะแพงคนสวยไม่สนสี่สนแปด
ไม่ได้อ่านสถานะหรือรายละเอียดโพสอะไรของครูพี่แอนเลย
เธอเอาแต่กดไลค์รัวๆทุกโพสทุกข้อความทุกรูปภาพ
ด้วยหวังว่ามันจะแจ้งเตือนขึ้นฟีดข่าวใครบางคนว่าเธอกับครูพี่แอนเป็นเพื่อนกันในเฟสแล้วนะ
ไม่สิแค่นี้ยังไม่หนำใจ
แค่การกดไลค์โพสและภาพคนหน้ามึนอย่างเอิ้นจะไปแคร์อะไร
มันต้องคอมเมนต์ข้อความเหมือนอย่างที่หล่อนทำกับเด็กของหล่อนสิ..
พยายามเลื่อนอ่านสถานใหม่ๆของครูพี่แอนก่อนจะเลือกคอมเมนต์สเตตัสที่ว่า
“มีนักเรียนแวะเอาขนมมาให้คุณครูที่หอด้วย
น่ารักมากๆ”
“พึ่งรู้ว่าหอครูพี่แอนอยู่ใกล้ๆบ้านหนูนี่เอง
เดี๋ยววันหลังหนูแวะเอาขนมไปฝากบ้างนะคะ”
นั่นคือสิ่งที่พะแพงคอมเมนต์ในสเตตัสที่ครูพี่แอนเช็คอินที่หอตัวเอง
“มาสิคะ
มาวันนี้ก็ได้นะ กำลังหิวเลย
ถ้าพะแพงเอาข้าวมาฝากก็คงจะดีย์^_^”
“เอาเป็นข้าวเลยเหรอ
งั้นต้องรอหนูทำก่อนนะ”
“ได้ๆยินดีรอเลยค่ะ
รีบๆมานะคะคนสวย^_^”
นั่งยิ้มแหยๆมองข้อความตอบกลับของตัวเอง
ด้วยนึกละอายใจที่แอบใช้ประโยชน์จากครูพี่แอนอยู่ครูหนึ่งก็มีสายจากคนที่เธอหวังผลให้หล่อนเห็นความสำคัญวีดีโอคอลมาจนได้..
“ว่างมากเหรอถึงได้มีเวลาจะทำกับข้าวให้คนอื่นกินน่ะ!”
นั่นคือประโยชน์แรกที่หล่อนทักพะแพงเมื่อพะแพงรับสายหล่อนแล้วแถมการทักของหล่อนยังมาพร้อมแววตาขมึงทั้งดุทั้งค้อนในเวลาเดียวกันอีก
เล่นเอาคนโดนแขวะถึงกลับสะดุ้งโหยงแต่ก็ยังไม่ลืมความโมโหก่อนหน้านั้น
จึงจิกกัดหล่อนกลับไปบ้าง
“ก็ไม่ได้ว่างเท่าไหร่
แต่ก็พอจะมีเวลาต้มมาม่าให้คนอื่นกินได้บ้าง..”
“ต้มมาม่า?”ปลายสายคิ้วขมวดทันที
“หน็อยย นี่ประชดเค้าเหรอ
อ๋อนี่ที่คอมเมนต์ครูคนนั้นเพราะต้องการประชดเค้าที่เค้าคอมเมนท์น้องเค้าแค่นั้นเหรอ”
“ก็ไม่นี่
ประชดอะไร เค้าก็คุยกับครูตามปกติ
เอิ้นน่าจะเข้าใจผิดมากกว่านะ”
ยิ้มน้อยยียวนคนปลายสายไปน่าหมั่นไส้สุดๆ
“เข้าใจผิดเหรอ..”
เอิ้นหัวเราะหึแววตาฉายแววเจ้าเล่ห์ขึ้นบ้าง
“งั้นไม่คุยก็ได้
เชิญพะแพงคุยกับครูพี่แอนตัวเองไปเถอะถ้างั้น
เค้าก็จะไปคุยกับน้องเค้าเหมือนกัน
ไปล่ะ”
“เฮ้ย!”
รีบร้องเรียกเสียงหลงทันทีที่เห็นอีกคนจะวางสายทิ้งตัวเองไปดื้อๆอย่างนั้น
“อะไรอ่ะ นี่ยังจะไปคุยกับหลินอีกเหรอ
เอ๊!
เดี๋ยวนะคุยกับหลิน
ตอนนี้เอิ้นอยู่ไหนนี่”รีบถามหล่อนกลับทันทีที่นึกอะไรขึ้นได้
“อยู่บ้าน..”
หล่อนตอบกลับด้วยใบหน้าราบเรียบแต่แววตากลับมีบางอย่างที่ผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด
“บ้านใคร
ไหนลองแพนกล้องให้เค้าดูซิ”
ปลายสายมีท่าทางอึกอักไม่ยอมทำตามอยู่ครู่หนึ่งจนพะแพงต้องออกคำสั่งซ้ำ
และนั่นก็ทำให้พะแพงแทบจะน้ำตาหยดต่อหน้าเอิ้นทันทีเมื่อหล่อนแพนกล้องไปให้เห็นว่าหล่อนกำลังยืนอยู่ใกล้ๆกับเตาแก๊สที่กำลังต้มมาม่าในห้องครัวของใครสักคนที่พะแพงมั่นใจว่าไม่ใช่ของบ้านเอิ้นแน่นอน..
“หึ
กำลังต้มมาม่าอยู่อย่างนั้นเหรอ
หึ ขอโทษที่ขัดจังหวะวันครบรอบนะถ้างั้น
ลาก่อน แล้วก็ไม่ต้องมาเจอกันอีกเลยนะ..ชาตินี้”
ทั้งพูดทั้งหัวเราะด้วยน้ำเสียงสมเพชตัวเองที่สุดก่อนจะตัดสายทิ้ง
แล้วปิดเครื่องทันที
บ้าชะมัดเลยทำไมชีวิตฉันต้องมาเจออะไรแย่ๆอย่างนี้ด้วยนะ
นั่นคือความคิดของพะแพงในตอนที่เธอเอาแต่ร้องไห้พรั่งพรูน้ำตาแห่งความเสียใจออกมา
เมื่อได้รับรู้ว่าตัวเองกำลังจะกลับไปเป็นนางอิจฉาของนิยายรักในชีวิตจริงอีกครั้งแล้ว..