ซ้อนเล่ห์รัก
Chapter 2
โจทย์พิเศษ
ค่ำคืนแห่งการทับถมเย้ยหยันของกลุ่มสาวดาวมหาลัยอย่างพวกฉันจบลงไปพร้อมๆกับการทิ้งท้ายข้อความท้าทายแกมเสียดสี
ทิ้งให้ฉันเฝ้าแต่ครุ่นคิดนึกถึงโจทย์ที่ตัวเองก็ยังไม่รู้เลยว่าความพิเศษที่กำลังหานั้นคืออะไร
ได้แต่ทั้งคิดทั้งขับรถกลับคอนโดในคืนนั้นด้วยใจเหม่อลอย จนกระทั่งรถกำลังจะเข้าจอดเทียบท่าที่จอดรถประจำของตัวเองในคอนโด
“เฮ้ย!รถใครวะ”
รีบสบถออกมาทันทีที่เห็นรถสีขาวคันงามของใครไม่รู้มาจอดแย่งที่จอดรถที่ประจำของตัวเองอยู่ในตอนนี้
ทำให้ฉันต้องขยับรถไปจอดในที่จอดรถที่ว่างอยู่ใกล้ๆแทนด้วยความหงุดหงิด
“เออว่ะ
โห..รถใครวะโคตรสวยเลย แลมโบกินี่ป่ะเนี่ย อย่างแจ่ม”
เป็นเสียงของยัยนัทที่ติดรถฉันกลับมาด้วยเนื่องจากอยู่คอนโดเดียวกันและเธอก็ขี้เกียจขับรถออกไปเอง
“นี่..ฉันหมายถึงว่ารถใครวะแย่งที่จอดฉัน
ไม่ได้หมายความว่ามันสวยน่ะเว้ย”
“เอ้า..แล้วไงวะที่จอดรถว่างๆที่อื่นก็มีนี่
แกก็ให้เขาจอดไปเหอะ เนี่ย..รถคันนี้ต่ำๆยี่สิบล้านนะแก
ถ้ามันจะมีใครสักคนที่เป็นเจ้าของรถคันนี้ได้ แสดงว่าคนๆนั้นต้องรวยมากๆ”
“แล้วไง”
ฉันคิ้วขมวดยืนท้าวสะเอวจ้องมองตาลุกวาวของยัยนัท
เมื่อเราทั้งสองเดินออกมาจากรถของฉันและมาหยุดอยู่หน้ารถคนนั้น “อย่าบอกนะว่าถ้าเป็นเสี่ยแก่ๆแกก็จะ...”
“ใช่สิ
โอกาสที่ฉันจะได้รู้จักคนรวยๆขนาดนั้นมาอยู่ตรงหน้าแล้วทำไมฉันจะไม่รีบคว้าล่ะยะ”
เธอทั้งพูดทั้งกุมมือทำท่าทางและดวงตาชวนฝันในเรื่องเพ้อเจ้อของเธอไป
ปล่อยให้ฉันได้แต่ท้าวสะเอวจ้องมองเจ้ารถยี่สิบล้านคันต่อหน้าด้วยความหงุดหงิด
หงุดหงิดที่โดนแย่งที่ และหงุดหงิดที่อยู่ๆคอนโดแห่งนี้จะมีรถคันใหม่ที่สวยและหรูกว่าฉันมาจอดแล้ว
บ้าจริง..เจ้าของรถคันนี้เป็นใครกันนะ..
คำตอบสำหรับความสงสัยถูกเฉลยขึ้นในเช้าวันต่อมา
เมื่อฉันกำลังเดินลงมายังที่จอดรถของคอนโดพร้อมๆกับยัยนัทเพื่อที่จะไปมหาลัยด้วยกันดังเช่นทุกๆเช้า
“เฮ้ย..นั่นเจ้าของรถแลมโบกีนี่คันนั้นป่ะวะ”
เป็นยัยนัทที่รีบชี้ชวนฉันให้รีบมองดูด้านหลังของผู้หญิงผมสีน้ำตาลอ่อนยาวสลวยร่างสูงสะโอดสะองค์ในชุดสูทผ่าไหล่สีดำ
ที่กำลังเดินนำหน้าพวกฉันไปที่รถคันนั้นพร้อมๆกับที่เสียงสัญญาณรถคันนั้นดังขึ้นเมื่อหล่อนเดินไปถึง
ซึ่งทันทีที่ฉันเห็นอย่างนั้นฉันก็รีบดึงยัยนัทไว้แล้วลากให้เดินเข้าไปแอบมองหล่อนอยู่ที่หลังรถยนต์คันนึง
“อะไรวะ?” ยัยนัทรีบถามฉันทันทีที่เห็นฉันกำลังจ้องมองและพิจารณาผู้หญิงคนนั้นอยู่อย่างเงียบๆเมื่อหล่อนหันใบหน้าเรียวสวยมาให้ฉันเห็นตอนที่กำลังยืนรอให้ประตูรถหล่อนเปิดขึ้น
หืมม..โคตรสวย..
นั่นคือความคิดของฉันในแว๊บแรกที่เห็นใบหน้าของหล่อนแบบเต็มๆ
นี่ขนาดว่าฉันเป็นคนที่หลงตัวเองและก็ไม่เคยชมใครว่าสวยเลยนอกจากชมตัวเอง
ฉันก็ยังเผลอชมหล่อนไปอย่างไม่ตั้งใจได้ขนาดนั้น
ดูผิวพรรณก็ขาวนวลดูก็รู้ว่าต้องเป็นผู้ดีมีตะกูลและน่าจะมีเชื้อสายจีน
เพราะสายตาเธอดูโฉบเฉี่ยวสวยคม
แถมเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายเครื่องประดับต่างๆก็ดูดีมีคราสไม่ว่าจะเป็นกระเป๋า
รองเท้า ต่างหูก็ดูเหมือนหล่อนเลือกสรรมาใส่แต่ของดีมีแบรนด์ทั้งสิ้น หล่อนดูสวยและเพอร์เฟ็กไปหมดเสียทุกอย่าง
จนกระทั่งฉันยังอดที่จะอิจฉาไม่ได้เลยเมื่อคิดว่าหล่อนช่างเหมือนภาพวาดที่ถูกวาดมาให้องค์ประกอบทุกอย่างพอเหมาะพอเจาะและน่ามองอย่างไม่น่าเบื่อ..
และที่สำคัญ..รถที่หล่อนขึ้นไปนั่งก็ช่างสวยปราดเปรียวควรค่าที่จะเป็นรถของหล่อนเหลือเกิน
“อะไรวะ เมียน้อยใครหรือเปล่าวะ
ทำไมถึงมีรถแพงขนาดนั้นได้”
“เมียน้อยเหรอ?”หันไปแหล่มองยัยนัทที่คงจะคิดเป็นแต่เรื่องเดียวซึ่งก็คือเรื่องที่ตัวเองเป็นนั่นแหละ
“แกคิดว่าจะมีเสี่ยที่ไหนทุ่มเงินยี่สิบกว่าล้านซื้อรถให้เมียน้อยขนาดนี้อยู่เหรอวะ
เมียหลวงเขาจะไม่ว่าอย่างงั้นรึ”
“เอ้า
ก็ไม่รู้แหละก็เห็นสวยขนาดนั้นก็เผื่อมีใครที่รวยมากๆอุปถัมป์อะไรอย่างนี้ไง เออ
แล้วนี่แกจะมาขึ้นเสียงใส่ฉันทำไมวะ
ทำยังกับว่าแกโกรธแทนเขาที่ฉันว่าเขาเป็นเมียน้อยงั้นแหละ”
โดนทักอย่างนั้นฉันก็เลยเลิ่กลั่กเล็กๆ
เมื่อใจก็แอบคิดไปแล้วจริงๆว่าพี่คนนั้นลักษณะท่าทางดูเป็นผู้ดีขนาดนั้นเขาคงไม่ใช่เมียน้อยหรอก
“ฉันว่าไม่ใช่...พี่เขาคงไม่ใช่เมียน้อยหรอก
ฉันดูโหงวเฮ้งคนออก เค้าดูบุคลิกดีเกินกว่าจะเป็นน้อยคนไปได้”
“ว่างั้น..” ยัยนัทแอบชำเรืองดูฉันทันทีที่ได้ยินเสียงอ่อยๆตอนที่เถียงแทนพี่เขาด้วยความแปลกใจ
ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้ “เออๆช่างเถอะ งั้นเราก็รีบไปเรียนเถอะ เดี๋ยวจะสายเอาเปล่าๆ”
ในคาบเรียนวันนั้น
ฉันได้แต่นั่งกอดอกไขว่ห้างเฝ้านึกถึงแต่ภาพใบหน้าเนียนสวยของพี่คนนั้น
ทั้งคิดตามยัยนัทในเรื่องที่หล่อนทึกทักเอาว่าพี่คนนั้นอาจจะเป็นเมียน้อยใครสักคนก็ได้ถึงได้มีรถหรูขนาดนั้นขับ
ไม่ได้..อย่าเอามาตรฐานชีวิตตัวเองไปตัดสินคนอื่นสิ
นั่นคือสิ่งที่ฉันคิดได้เมื่อหันไปเห็นบรรดาเพื่อนในกลุ่มกำลังเมาส์มอยส์เรื่องกระเป๋าหรูของพวกหล่อน
และแม้จะอยากคิดอย่างนั้น แต่สิ่งที่ฉันเห็นและรับรู้ได้จากการเป็นผู้หญิงในแบบของพวกฉันก็คือการที่ผู้หญิงอย่างเราจะมีเงินจับจ่ายใช้สอยซื้อหาของหรูหราต่างๆอย่างที่ใจต้องการได้มันก็ได้มาจากวิธีนี้ทั้งนั้นนี่นา..
ใช้เซ็กส์แลกเงิน
เรือนร่างแลกเงิน แม้ฉันจะไม่ได้แลกสิ่งของพวกนั้นมาจากเรือนร่างของฉันโดยตรง
แต่ยังไงวันหนึ่งฉันก็คงต้องให้ใครสักคนไปแน่ๆ
ใครสักคนที่มีค่าและสามารถตอบแทนสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตฉันด้วยมูลค่าที่ฉันพึงพอใจได้..
และใครคนนั้นเขาอาจจะเป็นโจทย์พิเศษอย่างที่เพื่อนพวกนี้กำลังรอจากฉันอยู่ก็เป็นได้...
////////////////////
เย็นวันนั้นหลังจากที่ฉันกลับเข้าคอนโดแล้วและชวนยัยนัทออกมาหาอะไรกินข้างนอกในช่วงค่ำๆของวัน
ระหว่างที่พวกฉันกำลังเดินมายังลานจอดรถภาพของผู้หญิงที่ปรากฏอยู่ในห้วงความคิดฉันทั้งวันก็ปรากฏต่อหน้าอีกครั้ง...
“หนูพึ่งย้ายมาอยู่ใหม่หรือจ๊ะ”
เสียงของป้าแม่บ้านคอนโดดังขึ้นอยู่แถวๆรถแลมโบกี่นี่คันงามที่พี่คนนั้นกำลังยกกล่องอะไรลงมาอยู่สองสามกล่อง
ซึ่งแค่ได้ยินว่าแม่บ้านกำลังคุยกับพี่คนนั้น ฉันก็รีบดึงยัยนัทที่กำลังจะเดินตรงไปที่รถตัวเองให้มาแอบที่หลังรถใกล้ๆกับจุดที่หล่อนอยู่ทันที..
“ค่ะ พึ่งมาเมื่อวานก่อนนี่เองค่ะป้า”
“อ้อเหรอจ๊ะ แล้วหนูมาอยู่กับใครล่ะ”
“อยู่คนเดียวค่ะ ห้องหนูชั้น8ค่ะป้า เดี๋ยวไงฝากป้าช่วยดูแลให้ด้วยนะคะ”
พี่คนนั้นทั้งพูดทั้งยื่นแบงค์สีม่วงวางลงบนมือป้าแม่บ้าน
“อุ้ย
ตายแล้วลูกป้ารับไว้ไม่ได้ หน้าที่ดูแลที่นี่มันก็เป็นหน้าที่ป้าอยู่แล้วหนูไม่ต้องให้เอ่อ..”
“ไม่เป็นไรค่ะป้า
เมื่อกี้ป้าก็ช่วยหนูยกของตั้งเยอะ แล้วหนูอยู่ที่นี่คนเดียวตัวคนเดียว พึ่งมาอยู่ได้ไม่นานยังไม่รู้จักอะไรอีกเยอะเลย
หนูคงจะได้รบกวนป้าอยู่เรื่อยๆแน่เลย ยังไงป้าช่วยรับน้ำใจจากหนูไปด้วยแล้วกันนะคะ
คิดซะว่าช่วยดูแลลูกสาวอีกคนแล้วกัน..” พี่คนนั้นทั้งพูดทั้งรบเร้าให้ป้าแม่บ้านรับเงินไป
จนป้าเกรงใจต้องรับสินน้ำใจจากเธอไปในที่สุด
สปอร์ตชะมัด..นั่นคือสิ่งที่ฉันคิดในขณะที่แอบมองพี่คนนั้นเดินถือกล่องนำป้าเข้าลิฟท์ไป
ดีจัง
สวยก็สวย รวยก็รวย แถมยังใจป้ำอีก และที่สำคัญก็มาอยู่ที่นี่คนเดียวเสียด้วย
นึกถึงประโยคที่เธอย้ำกับป้าว่าอยู่ที่นี่ตัวคนเดียวแล้วก็พอจะเดาได้ว่า
เธอน่าจะโสดแน่ๆ...
หลังจากที่แอบมองเธออย่างเงียบๆอยู่นาน
ตอนนี้ใบหน้าฉันก็กลายเป็นเปื้อนรอยยิ้มขึ้นมาเพราะมีความคิดบางอย่างโลดแล่นอยู่ในหัวตัวเองเสียแล้ว
“แกว่าผู้หญิงที่สวยและรวยขนาดนั้นจะจีบยากมั้ยวะ”
รีบหันไปถามยัยนัททันที
“ก็ต้องยากสิ
เมื่อกี้ได้ยินว่าอยู่คนเดียวตัวคนเดียวด้วยก็แสดงว่ายังไม่มีใครจีบติดสักคน..”
“ใช่มะ..”
อมยิ้มทันทีเมื่อได้ยินเพื่อนพูดอย่างนั้น “งั้น..ฉันรู้แล้วว่าโจทย์พิเศษของฉันคือใคร..”
“ใครวะ..” ยัยนัทคิ้วขมวดหันมามองฉันที่จ้องมองไปที่รถแลมโบกี่นี่คันนั้นก่อนจะตาโตเมื่อนึกอะไรขึ้นได้ด้วยความฉลาดล้ำเลิศของเธอเข้า
“เฮ้ยยย..อย่าบอกนะว่า..พี่ผู้หญิงคนเมื่อกี้อ่ะ”
ฉันหันมายักคิ้วให้ยัยนัท
“ใช่..แกว่าไง โจทย์ของฉันยากพอมั้ย มันยากพอที่จะให้พวกแกรับคำท้าของฉันได้ป่ะ”
ทั้งพูดทั้งยิ้มจ้องมองไปที่ใบหน้างงๆของยัยนัท
“เอาจริงดิแก แกมาแนวไหนเนี่ย เป็นเลสป่ะเนี่ย ทำไมอยู่ๆจะมาเอาผู้หญิง
ขนลุกป่ะเนี่ย”
“เลสบ้าอะไร แกก็เห็นว่าฉันชอบผู้ชาย แต่นี่คือความท้าทายที่สุดของฉันเว้ย
ผู้หญิงที่ทั้งสวยทั้งรวยขนาดนี้ แกคิดว่าเขาจะหลงฉันหัวปักหัวปำอย่างที่พวกผู้ชายพวกนั้นเป็นกันมั้ย”
อมยิ้มในตอนที่คิดถึงภาพต่างๆที่เคยเกิดขึ้นในอดีตในตอนที่เทผู้ชายซ้ำแล้วซ้ำเล่าของฉัน
“ฉันอยากรู้ว่าเสน่ห์ของฉันมันจะมีมากขนาดไหน..”
“ว่างั้น..” ยัยนัทอมยิ้มทั้งยักคิ้วท่าทางมีพิรุธเหมือนแอบขำในท่าทางหลงตัวเองของฉัน
และถ้าเดาไม่ผิดเธอก็คงจะรอสมน้ำหน้าฉันในตอนที่รู้ว่าฉันจีบพี่คนนั้นไม่ติด
ไม่แม้แต่จะคุยกับฉันสักคำเลย แม้เวลาจะผ่านจากวันนั้นมาเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์อย่างในตอนนี้ก็ตาม...
“เอาไงวะเปลี่ยนแผนดีมั้ย
เปลี่ยนไปจับเสี่ยแก่ๆดีกว่าเนอะ”น้ำเสียงปนหัวเราะของยัยนัทดังขึ้นมาเรียกสติฉันที่จ้องมองรอยล้อรถแลมโบกีนี่คันนั้นอีกครั้งหนึ่ง
“ไม่..ทำไมฉันจะต้องเปลี่ยนด้วย ยังไม่ทันได้เริ่มสักหน่อย”
“ไม่ทันได้เริ่ม”
เธอหัวเราะดังกว่าเมื่อกี้เสียอีก “ได้ๆงั้นเดี๋ยวฉันจะไปบอกเพื่อนๆที่เหลือให้ว่าแกยังไม่ถอดใจหรอกเพราะแผนของแกยังไม่เริ่มเลยแล้วกันนะ”
เสียงหัวเราะจากหลังประโยคนั้นดังอยู่ในหัวฉันทั้งวัน
และภาพใบหน้าบึ้งมึนตรึงของพี่คนนั้นก็อยู่ในหัวของฉันทั้งวันเช่นเดียวกัน
น่าโมโหชะมัด ทั้งๆที่ฉันพยายามเข้าไปตีสนิทอย่างสุภาพแล้วแท้ๆแต่ทำไมเธอถึงวางตัวเฉยชากับฉันได้ถึงเพียงนี้นะ
นึกถึงวันแรกที่ตัวเองแกล้งวิ่งตามเข้าไปในลิฟท์ให้ทันพี่คนนั้นในตอนเช้าและได้อยู่กับเธอสองต่อสองในลิฟท์
“ขอบคุณนะคะ
ที่เปิดลิฟท์ให้”
เป็นฉันที่ทักทายเธอด้วยน้ำเสียงที่แกล้งทำเป็นกระหืดกระหอบเมื่อตัวเองแกล้งทำเป็นวิ่งเข้ามาเกือบไม่ทันจนพี่คนนั้นต้องกดลิฟท์ค้างไว้ให้
“ถ้าไม่ได้พี่กดลิฟท์ให้หนูต้องไปเรียนสายแน่ๆเลยค่ะ”
ทั้งพูดทั้งพยายามจัดชุดนักศึกษาของตัวเองเพื่อให้พี่คนนั้นเห็นว่าตัวเองดูดีแค่ไหนในชุดนักศึกษา
ด้วยหวังว่าจะได้รับรอยยิ้มจากเธอบ้าง แต่ก็เปล่าเลย มีเพียงใบหน้าสวยที่จ้องมองมาที่ฉันด้วยดวงตาราบเรียบเหมือนกำลังพินิจพิเคราะห์อะไรบางอย่างในตัวฉันอยู่
“พี่พึ่งย้ายมาอยู่ที่นี่หรือคะ
หนูไม่คุ้นหน้าพี่เลย จำได้ว่าไม่เคยมีคนสวยขนาดนี้อยู่ในคอนโดนี้มาก่อน”
แอบปล่อยมุกหยอดเธอนิดๆด้วยหวังจะตีสนิทนั่นแหละ
แต่ก็เหมือนเคย มีเพียงใบหน้าสวยที่ปราศจากรอยยิ้มจ้องมองมาที่ฉันเท่านั้น
ฉันพยายามส่งยิ้มให้เธอแต่ก็ต้องเก้อเมื่อเธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออกหาใครแล้วรีบเดินออกจากลิฟท์ไปทันทีเมื่อลิฟท์เปิดออก
ปล่อยให้ฉันยืนอึ้ง
ได้แต่จ้องมองภาพไร้มนุษยสัมพันธ์โดยสิ้นเชิงของพี่คนนั้นด้วยอาการเหวอๆของตัวเองไป
นั่นคือการวืดครั้งแรก..และถึงแม้จะคิดได้ว่ามันเงียบผิดปกติตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันยังไง
และส่อแววว่าจะนกจริงจังขนาดไหน
แต่ฉันก็ยังพยายามฝืนตัวเองให้ไปพบเจอเธอเพื่อสร้างความบังเอิญแบบจอมปลอมต่อไป
ไม่ว่าจะเป็นแกล้งเข้าไปทักเธอที่คอฟฟี่ช๊อปด้านล่างคอนโดเสมือนว่าบังเอิญมาเจอเธอที่มาดื่มกาแฟ
ทั้งที่จริงตัวฉันแอบสะกดรอยเดินตามมา
หรือไม่ว่าจะเป็นแกล้งออกมาจากห้องน้ำในฟิตเนสที่ตัวเองก็แอบซ่อนอยู่ในนั้นตั้งนานกว่าเธอจะเดินเข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเห็นฉันในนั้น
ซึ่งแน่นอนว่าในการทักทายอย่างบังเอิญของฉันนั้นมันมักจะนำพาใบหน้าราบเรียบจนเหมือนคนหน้าบึ้งมาให้ฉันซะทุกที
ทั้งๆที่ฉันจำได้ว่าเธอเองยิ้มให้คนนั้นคนนี้ในคอนโดบ่อยไป
เอ..หรือเธอเกลียดฉันที่ฉันสวยและสาวกว่าหรือเปล่านะ ทำไมเธอจึงเอาแต่หน้าบึ้งใส่ฉันอย่างนั้นกัน
นั่นคือความคิดของฉันเมื่อเริ่มนึกขึ้นได้ถึงอาการเฉยชาแปลกๆทุกๆครั้ง
ทั้งๆที่ยังไม่ได้รู้จักกันเลย
ก็อาจใช่..คนสวยบางทีก็อิจฉาคนที่ดูสวยกว่าและสาวกว่า
นี่คงกลัวฉันแย่งซีนซินะถึงได้แสดงท่าทางแย่ๆออกมาต่อฉันตลอดน่ะ เมื่อเริ่มขบคิดถึงต้นเหตุปัญหาขึ้นมาได้ตอนนี้ฉันก็เริ่มสบายใจขึ้นมาหน่อยแล้ว
แต่กระนั้นก็ยังไม่วายพยายามคิดหาหนทางที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านั้นให้หมดไปอยู่เช่นเคย
แย่สิทีนี้
ในเมื่อเธอรู้สึกไม่ถูกชะตากับฉันอย่างนี้แล้ว
การเข้าหาแบบบังเอิญของฉันก็คงจะใช้ไม่ได้ผลแล้วใช่มั้ย?