นิยายรักไม่จำกัดบท
Cheapter
13
การสารภาพรักที่น่ากลัว
“พี่แพงอิ่มแล้วเหรอ
ทำไมกินข้าวน้อยจัง”
เสียงของพะเพื่อนดังเรียกสติพะแพงกลางวงอาหารเย็นหลังจากที่เขาเห็นพี่สาวรวบช้อนส้อมเก็บแล้วทั้งๆที่ข้าวยังเหลืออยู่เต็มจาน
มองดูหน้าตาก็เห็นเหม่อซึมๆเลยนึกเป็นห่วงจนต้องถามหล่อนไป
“เหนื่อยค้างเมื่อคืนเหรอ”
คนโดนถามหันมาเหล่ตามองเขาอย่างเบื่อๆ
อยากให้รู้ว่าไม่ได้ขำและไม่มีอารมณ์จะตอกกลับหรอกนะไม่ต้องมาหยอกอะไรทำนองนี้เลย
เพราะตอนนี้เธอเศร้าเกินกว่าจะมองโลกให้สดใสเหมือนเดิมได้แล้ว
“อ้าวไม่ตอบแฮะ
แสดงว่าเหนื่อยจริง..”
ยังมีการอมยิ้มแซวพี่สาวอีกเหมือนเดิมไม่ได้ดูสถานะการณ์อะไรเลย
“อืมเหนื่อย..”คนโดนแซวตอบกลับเขาไปด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหยโรยแรง
จนทุกคนเริ่มรู้สึกแล้วล่ะว่าพะแพงคงจะเหนื่อยจริงๆ
“งั้นเหนื่อยก็ไปพักก่อนก็ได้นะพะแพง
เดี๋ยวแม่จัดการเอง”
พยักหน้ารับแม่ทันทีที่ได้ยินข้อความเป็นห่วงของแม่ดังมาหลังจากนั้น
“ค่ะแม่..”
“อ้าว!
จะขึ้นบ้านแล้วเหรอ
งั้นเดี๋ยวพี่แพงอย่าพึ่งนอนนะเดี๋ยวผมเอาของเข้าไปให้รอผมกินข้าวเสร็จก่อนอย่าพึ่งล๊อคห้องเดี๋ยวผมตามเอาขึ้นไปให้”
“อืม..”พยักหน้ารับน้องชายอีกครั้งก่อนจะเดินซังกะตายขึ้นห้องตัวเองไป
ตอนนี้เมื่อถึงห้องพะแพงก็ได้แต่ทิ้งร่างไร้เรี่ยวแรงของตัวเองลงนอนคว่ำกับพื้นเตียงหวังให้ตัวเองหลับตาแล้วนอนหลับไปไม่ต้องมาคิดถึงเรื่องแย่ๆอะไรก่อนหน้านั้นอีก
เวลาผ่านไปน่าจะไม่นานหลังจากนั้นเสียงเคาะประตูหน้าห้องก็ดังขึ้น
“พี่แพงเปิดประตูห้องให้หน่อยผมเอาของมาให้”
ลุกขึ้นงัวเงียเดินไปเปิดประตูให้เขาทันทีที่นึกขึ้นได้เรื่องที่เขาบอกจะเอาของมาให้
แต่เมื่อเปิดประตูออกไปแล้วพะแพงก็แทบจะรีบปิดประตูหนีทันทีที่เห็นสาวสวยหน้าหวานยืนอยู่ข้างๆเขา
ซึ่งก็เป็นคนเดียวกันกับที่ทำให้เธอเศร้าสร้อยหมดอะไรตายอยากอยู่นี่นั่นล่ะ
“พี่แพงอย่าพึ่งปิด
แล้วก็อย่าส่งเสียงดังไป
ถ้าไม่อยากตายหมู่พร้อมกันตอนนี้อีกน่ะ
เงียบๆแล้วก็รับพี่เอิ้นเข้าไปในห้องด้วยซะ”
กระซิบกระซาบบอกพี่สาวตัวเองในตอนที่ดันประตูค้างไว้ก่อนจะพยายามส่งซิกให้พี่สาวอีกคนเข้าไปในห้องหลังจากนั้น
“ไปล่ะคุยกันดีๆนะ
แล้วอย่ารุนแรงแบบเมื่อคืนอีกล่ะ”
เอิ้นแทบจะหน้าแทรกแผ่นดินทันทีที่ได้ยินน้องชายพะแพงแซวอย่างนั้น
ได้แต่ยืนยิ้มแหยๆทำทีขอบใจเขาแล้วรีบก้าวเข้ามาในห้องที่ประตูลอคลูกบิดไว้ทันที
“มาได้ยังไงอีกเนี่ย!”
เจ้าของห้องคิ้วขมวดมองผู้มาเยือนด้วยสีหน้าไม่พอใจทั้งงงทั้งเคือง
“นี่อย่าบอกนะว่าแอบเข้ามาอีกเนี่ย”
“ก็ใช่ไง
ไม่งั้นจะเข้ามาในนี้ได้ยังไง”
ยิ้มเจื่อนๆมองเจ้าของคำถามที่แสดงหน้าเป็นนัยๆว่าไม่พอใจในคำตอบที่หล่อนไม่อยากรู้
เลยลดความกวดลงแล้วตอบคำถามด้วยความตั้งใจขึ้นกว่าเดิม
“เอ่อ เค้าเข้ามาตั้งแต่ช่วงเย็นแล้ว
แอบเข้ามาน่ะ
พอดีโทรหาพะแพงไม่ติดสักทีก็เลยโทรหาพะเพื่อน
ก็คุยกันเรื่องที่เค้าทะเลาะกับพะแพงอีก
คิดว่าคงคุยกันไม่จบง่ายๆ
และถ้าเข้ามาหาที่บ้านดีๆพะแพงก็คงไม่คุยกับเค้า
น้องก็เลยแนะนำวิธีนี้”
“วิธีนี้?วิธีที่แอบเข้ามาเนี่ยนะ”
“อืม..ก็ไม่เชิงแอบหรอก
แค่เข้ามาทางหน้าบ้านแล้วเพื่อนก็พาเค้าเดินลัดเลาะแอบเข้าไปทางด้านหลังไม่ให้แม่เห็นน่ะ”
“แล้วไปอยู่ไหนมา”
“ก็นั่งรออยู่ในห้องพะเพื่อนนั่นแหละ”ทั้งตอบทั้งยิ้มแหยๆ
“หน็อยย
ไอ้น้องตัวแสบเห็นคนอื่นดีกว่าพี่ตัวเองอีกแล้ว”
คิ้วขมวดนึกถึงภาพหนุ่มน้อยยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จ้องมองตัวเองในตอนที่กินข้าว
มิน่า ที่แท้ก็รู้อยู่แล้วว่าเอิ้นจะมาหาเรานี่เอง
ก็เลยดี๊ด๊าเป็นพิเศษ
หน็อย..คำว่าพี่เอิ้นของผมดังวนอยู่ในหัวพะแพงทันที
นี่เห็นคนอื่นดีกว่าพี่ตัวเองจริงๆด้วย
เห็นทียัยคนเจ้าชู้คนนี้จะรู้ว่าหล่อนจะได้ใช้ลูกไม้อ้อนเธอโดยผ่านทางน้องชายอีกนานแน่ๆเลยไปแอบตีสนิทกับเขาอย่างนี้เนี่ย
“ขี้โกงนี่!”
จ้องมองคนเจ้าชู้ต่อหน้าด้วยสายตาทั้งค้อนทั้งเคือง
“ก็ถ้าไม่ขี้โกงอย่างนี้เค้าจะคุยกับพะแพงมั้ยล่ะ”
“อย่ามาพูด!
อยากคุยแต่ไล่ให้เค้าไปคุยกับคนอื่นแล้วตัวเองก็กลับไปคุยกับน้องหลินของตัวเองอย่างนั้นเนี่ยนะ”
“เฮ้ย!
ก็แค่พูดเล่น!
เข้าใจป่ะว่าเค้าเคยขู่พะแพงแบบนี้แล้วพะแพงก็เคยยอมเค้า
ครั้งนี้เค้าก็แค่คิดว่าถ้าเค้าขู่พะแพงว่าจะคุยกับคนอื่นเดี๋ยวพะแพงก็ง้อเค้าอีก
แต่กลายเป็นว่าพะแพงไม่ง้อ
ซ้ำยังปิดเครื่องหนีเค้าอีก
แล้วเค้าควรทำยังไงอ่ะ”
“ทำยังไง
หึ!
ก็ต้มมาม่าต่อไปดิ!”
“ต้มเสร็จแล้ว!
แล้วก็รีบมานี่อย่างที่เห็นนี่ล่ะ
นี่เลิกพูดประชดประชันสักทีเถอะ
ถ้าเค้าแคร์คนอื่นเค้าจะรีบมาหาพะแพงขนาดนี้มั้ย
ลองตัดความอคติออกแล้วใช้สมองคิดดีๆซิ
ว่าเค้าแคร์ใคร”
“แคร์ใคร
ก็แคร์เด็กคนนั้นไง
ก็เห็นเม้นท์โพสดีใจครบรอบที่ได้คบกันขนาดนั้น
จะให้เค้าคิดว่าแคร์ใคร
โทษนะไม่ใช่แต่เฉพาะเค้าหรอกมั้งที่คิด
คนทั้งโรงเรียนนี่ก็คงคิดว่าเอิ้นแคร์เด็กคนนั้นทั้งนั้นล่ะมั้ง”
“ก็ใช่ไง!
ก็เพราะทุกคนในโรงเรียนรู้หมดแล้วว่าเค้ากับหลินคบกัน
เค้าถึงต้องทำอย่างนั้นไง
ก็ทุกคนที่นี่รู้ว่าเค้าเป็นแฟนหลินหมดแล้ว
แล้วจะให้ทำยังไงเมื่อน้องเค้าโพสอย่างนั้นขึ้นมา”
“แฟนอย่างนั้นเหรอ!”
พะแพงหัวเราะหึ
ตอนนี้น้ำตาเริ่มกลับมาคลอเบ้าตาเธออีกรอบแล้ว
“ใช่สินะลืมไปเลยว่าหลินเป็นแฟนเอิ้น”
น้ำเสียงน้อยเนื้อต่ำใจทำให้เอิ้นรับรู้ได้ว่าอีกคนกำลังจะหนีเธอออกจากห้องอีกแล้ว
เธอเลยรีบเอื้อมมือไปดึงแขนหล่อนไว้ทันทีที่หล่อนกำลังก้าวขาเดินไปทางประตู
“อย่างี่เง่าได้มั้ย
คุยกันดีๆสิ”
“ก็ไม่ได้งี่เง่า
แต่จะให้คุยทำไมอีกในเมื่อคำตอบของทุกอย่างมันก็มีอยู่ในประโยคเมื่อกี้หมดแล้ว
เอิ้นก็บอกหมดแล้วว่าหลินเป็นแฟนเอิ้น
เค้าสิควรจะถามตัวเองมากกว่าว่า
ถ้าหลินเป็นแฟนเอิ้น
แล้วเค้าล่ะเป็นใคร”
“เออ!แล้วพะแพงอยากเป็นใครล่ะ!
เค้าก็อยากถามพะแพงเหมือนกัน!”
ชะงักทันทีที่ได้ยินเสียงน้อยเนื้อต่ำใจของเอิ้นดังออกมาในตอนที่ดึงแขนตัวเองรั้งไว้อย่างนั้น
“พะแพงอายที่คนอื่นแซวว่าเป็นคู่จิ้นกัน
เค้าก็อุตสาห์พยายามไม่เข้าใกล้พะแพงให้สนิทกันเกินไป
พยายามทำตัวให้เป็นแค่เพื่อนที่ไม่สนิทกันให้
ด้วยหวังว่าพะแพงกับครอบครัวจะสบายใจบ้าง
พอมีเรื่องที่เพจนั้นเอาเรื่องของเราไปโพสจนคนพากันแซวเรากันหนักขึ้นแล้วพ่อแม่พะแพงไม่สบายใจ
เค้าก็อุตสาห์ตามหาให้ว่าใครเป็นแอดมิน
อุตสาห์พยายามเบี่ยงเบนประเด็นเรื่องของเราด้วยการแกล้งเป็นแฟนกับหลินให้
และคิดว่าทุกอย่างน่าจะโอเค
แต่พอจะโอเค
พะแพงก็กลายเป็นแสดงท่าทางอะไรก็ไม่รู้ให้เค้าคิดว่าพะแพงกำลังหวงเค้าอยู่
เค้าพยายามห้ามใจไม่ให้คิดเองเออเองแล้วนะว่าพะแพงกำลังมีใจให้เค้า
แต่ท้ายที่สุดเค้าก็ทำไม่ได้
เพราะเวลาที่อยู่ด้วยกันสองคนพะแพงก็เป็นอย่างนี้ทุกทีจะไม่ให้เค้าคิดเข้าข้างตัวเองได้ยังไง
แต่พอเรามีอะไรกันและเหมือนจะจะใช่ในทุกๆอย่างแล้ว
พะแพงก็กลับไปเป็นพะแพงคนเดิมคนที่ไม่ได้แสดงออกอะไรต่อหน้าคนอื่นเลยว่าพะแพงรู้สึกยังไงกับเค้าบ้าง
และเค้าก็ไม่รู้ว่าควรทำตัวยังไง
นี่เค้าก็พยายามทำตามใจพะแพงที่สุดแล้วนะ
ไม่ว่าอยากให้เค้าอยู่ในสถานะอะไรของพะแพงเค้าก็ไม่เคยงอแงเลย
มีแต่พะแพงซะอีกที่งอแง
เหมือนจะใช่แต่ก็ไม่ใช่”
ได้ยินคนตรงหน้าร่ายความรู้สึกอัดอั้นต้นใจของหล่อนออกมาพร้อมๆกับน้ำตาแล้วพะแพงก็ได้แต่อึ้ง
จากที่เคยตั้งท่าจะงอนหล่อนก็กลายเป็นเริ่มรู้สึกผิดขึ้นมาเสียเอง
“พะแพงต้องการอะไรจากเค้า!
อยากจะปิดบังเรื่องของเราหรือต้องการจะเปิดเผยกันแน่”
“พอเหอะ
เค้าไม่อยากพูดเรื่องนี้แล้ว”
“ไม่อยากพูด
เพราะพะแพงก็ให้ความชัดเจนคนอื่นไม่ได้เหมือนกันใช่มั้ย
พะแพงก็ต้องการจะปิดบังเรื่องของเราตลอดใช่มั้ย
พะแพง..”
“หยุดได้แล้วจะดราม่าทำไมเนี่ย!”
รีบเบรคเอิ้นทันทีที่เริ่มรู้ตัวว่าตอนนี้เหตุการณ์กำลังพลิกผัน
จากคนโกรธอย่างเธอกลายเป็นคนผิดที่จะต้องเริ่มง้อหล่อนเองเสียแล้ว
“อยู่กับคนอื่นอารมณ์ดีต้มมาม่าให้เขากิน
พอมาอยู่กับเค้าจะมาร้องไห้ชวนดราม่าอย่างนี้เนี่ยนะ..”
“ก็พะแพงกำลังชวนเค้าทะเลาะไม่จบอยู่เนี่ย
ไม่รู้ว่าโมโหอะไรอะไรกันนักกันหนากะอีแค่ต้มมาม่าให้คนอื่น
มาอยู่กับพะแพงเค้าทำให้ยิ่งกว่าต้มมาม่าเสียอีกทำไมไม่เห็นความดีเค้าบ้าง
จะเอาเรื่องเล็กๆน้อยๆของคนอื่นมาเปรียบเทียบกับตัวเองทำไม
หรือจะให้เค้าแท๊กพะแพงบอกคนอื่นมั้ยล่ะเวลาเค้าทำอย่างนั้นกับพะแพงน่ะ”
“บ้า!”
อมยิ้มทันทีที่เห็นเจ้าของห้องหน้าแดงแก้มอมลมอีกเมื่อหล่อนอายที่เธอท้าทายอย่างนั้น
“งั้นเค้าแท๊กดีกว่า”
แกล้งยกมือถือตัวเองขึ้นมากดโชว์
“ตอนนี้อยู่บ้านเมียแล้ว
อ๊ะ กดรับแท๊กสิ”
“บ้า
หยุดเลย ใช่เรื่องล้อเล่นมั้ยเนี่ย
เดี๋ยวเถอะ” ยกมือขึ้นเตรียมจะตบขู่
“เห็นมั้ยล่ะว่าสุดท้ายแล้วมันก็จบลงที่พะแพงไม่กล้าเหมือนเดิม
แล้วตอนนี้เราจะทะเลาะกันไปเพื่ออะไร
เค้าไม่ได้อยากดราม่านะ
แล้วก็ไม่ได้ชอบการร้องไห้ด้วย
คิดว่าถ้าเราสองคนคุยกันดีๆมันก็น่าจะมีความสุขกว่านี้
เราสงบศึกกันสักทีดีมั้ย
นะ วันนี้เค้าอุตสาห์มาหาพะแพงแต่หัววันแล้ว
เรามีเวลาอยู่ด้วยกันเยอะขนาดนี้แล้ว
พะแพงจะปล่อยให้เสียเวลาเปล่าอย่างนั้นเหรอ...”
ทำตาหวานตอนยื่นมือไปรอเกี่ยวก้อยกับพะแพง
“คืนดีกันเถอะนะ
เดี๋ยวจะพากินอย่างอื่นที่อร่อยกว่ามาม่าหรอก..”
คำพูดกำกวมทำให้พะแพงเหล่ตามองแรงทันที
“อะไร”
“บอกตรงนี้ไม่ได้
ต้องไปตรงนั้นก่อน”
ชี้มือที่ที่เตียงพะแพงโดยที่อีกคนเท้าสะเอวตั้งท่ารอที่จะบ่นให้แม่คนจอมหื่นของตัวเองแล้ว
แต่ก็อย่าได้หวังว่าคนชวนกินจะสะทกสะท้านอันใด
เพราะเมื่อพะแพงเริ่มบ่นว่าหล่อนทะลึ่งเอิ้นก็รีบพุ่งตัวไปสวมกอดและบดขยี้จูบให้พะแพงทันที
เล่นเอาคนเก๊กตั้งท่าซึนก่อนหน้านั้นอ่อนระทวยทนไม่ไหว
จนในที่สุดก็ต้องยอมกินของที่หล่อนคอมเฟิร์มนักหนาว่าอร่อยกว่ามาม่าจนได้..
เฮ้อ..คนบ้าอะไรทั้งหลอกล่อเก่งทั้งออดอ้อนเก่ง
แถมยังสวยอีก
แล้วอย่างนี้พะแพงจะหนีหล่อนพ้นได้ไงกันน๊าา..
--<><><><>--
“อร่อยใช่มั้ย..”
เสียงถามแสนหวานของเอิ้นดังขึ้นมาหลังจากได้ยินร่างด้านบนส่งเสียงซี๊ดปากเบาๆเหมือนกำลังอร่อยในอาหารรสชาดจัดจ้านอยู่
ซึ่งคนโดนถามเองก็ไม่ได้ตอบอะไรได้แต่พยายามร่อนสะโพกตัวเองไปมาหวังให้ใบหน้าที่ปากอยู่ตำแหน่งเดียวกันกับส่วนล่างของเธอได้กลับมาใช้ลิ้นทำงานต่อซักที
เนื่องจากเธอก็เกร็งขาไว้จนจะไม่ไหวอยู่แล้ว
เพราะด้วยความที่คนรักของตัวเองครีเอทท่าทางประหลาดให้
โดยหล่อนจัดให้พะแพงนั่งคุกเข่าค่อมใบหน้าตัวเองที่นอนบนเตียงไว้ก่อนจะใช้ลิ้นละเลงทำรักให้
เล่นเอาพะแพงทั้งสั่นทั้งเกร็งจนทรงตัวไม่ได้ต้องเอนตัวใช้แขนไปพิงกับพนังของห้องด้านหัวเตียงไว้
แล้วร้องครวญครางด้วยเสียงประหลาดๆอย่างที่คนคุมเกมส์รักได้ยินนั่นแหละ
แล้วยิ่งพะแพงร้องครางเป็นเสียงเหมือนกำลังเผ็ดกับอาหารรสจัดแม่เจ้าประคุณก็ยิ่งเร่งจังหวะปลายลิ้นเข้าไปใหญ่
หนำซ้ำยังแกล้งหยุดถามจนพะแพงเองอายที่จะตอบและก็ไม่อยากให้เกมส์รักต้องมาค้างคาด้วยเรื่องไร้สาระอย่างนี้
เธอเลยเป็นคนเดินเกมส์ต่อโดยการร่อนสะโพกไปมาหวังให้มันได้โดนกับปลายลิ้นของหล่อนเอง
และยิ่งเร่งยิ่งร่อนความรู้สึกเสียวสะท้านเมื่อใจกลางส่วนรักไปโดนกับปลายลิ้นหนักๆเข้าก็ทำให้พะแพงถึงสรวงสวรรค์ในที่สุด
“อ๊ะ
อ๊ะ เอิ้น เค้าถึงแล้ว...”
บอกร่างด้านล่างไปในขณะที่ตัวเองสะดุ้งร่างค้างในท่านั่งเอาไว้
เมื่อรู้สึกเปียกปอนส่วนนั้นไปหมดและรู้ว่าหล่อนก็คงจะเปียกด้วยนั่นแหละ
พะแพงเลยไม่กล้าที่จะทิ้งร่างลงไปตรงๆตอนนี้
แต่ขอรอให้ทุกอย่างพร้อมกว่านี้ก่อนแล้วเธอจะลงไปกอดซบกับร่างของหล่อนให้หนำใจเอง..
“อร่อยใช่มั้ย..”
ร่างด้านล่างอมยิ้มถามอีกครั้งเมื่อพะแพงค่อยๆทิ้งร่างลงนอนกอดคลอเคลียหล่อน
“อืม..”
เหล่ตามองหล่อนอย่างเหนื่อยๆ
“รู้แล้วยังจะถามอีก
จะถามเพื่อ?”
“เอ้า
ก็อยากรู้รีวิวแหละ
ตอนชวนกินเห็นทำท่าไม่เชื่อว่าอร่อย”
ยื่นหน้าไปหอมแก้มพะแพงที่มองตัวเองด้วยสายตาทั้งเหนื่อยทั้งอาย
แต่ก็ไม่ได้ต่อว่าอะไรตัวเองได้แต่มองหล่อนลุกขึ้นประพรมจูบให้ร่างเหนื่อยหอบของตัวเองไป
“อยากกินบ้างจัง”
หล่อนหยุดอยู่ต่อหน้าพะแพงแล้วอมยิ้ม
“ทำให้กินบ้างหน่อยนะ”
“ได้สิ
แต่จะอร่อยหรือเปล่าอีกเรื่องหนึ่งนะ”
อมยิ้มรับในตอนที่เอิ้นเริ่มยกตัวนั่งค่อมหน้าตัวเองบ้างแต่ยังไม่ทันได้ทำอะไรโทรศัพท์เจ้าหล่อนก็ดังขึ้นเสียก่อน
“ว่าไงหลิน...”นั่นคือเสียงที่หล่อนขานเมื่อกดรับโทรศัพท์ได้
และแค่ได้ยินแค่นั้นพะแพงก็แทบจะรีบลุกขึ้นจากเตียงทันที
ดีที่เอิ้นรีบดึงไว้ก่อน
หล่อนทำตาเล็กตาน้อยทั้งยกนิ้วชี้ปิดปากปรามไม่ให้พะแพงเสียงดังก่อนจะหันไปคุยกับคนในสายต่อ
“อืม
ใช่ พี่อยู่บ้านเพื่อน
แล้วแต่จะคิด อืม
แค่นี้นะพี่ง่วงจะนอนแล้ว”
เสียงตอบรับคนในสายเงียบไปพร้อมๆกับการหันมามองพะแพงที่คิ้วขมวดด้วยความงอนรอแล้ว
“อะไร..จะว่าอะไรเค้าใช่มั้ย
ไม่ได้มีอะไรเลยนะบอกไว้ก่อนเลย
น้องเค้าแค่โทรมาถามเฉยๆว่าอยู่ที่ไหน”
“เหรอ
ก็เลยบอกว่าอยู่กันเพื่อนงั้นสิ”
“นี่ก็ใช่ไง
จะให้เค้าบอกว่าอยู่กับเมียมั้ยล่ะ
นี่
กำลังจะกลับไปทะเลาะกันอีกแล้วนะรู้ตัวมั้ยเนี่ยว่าตัวเองขี้หึงเกินไปแล้วนะ”
“ตัวเองก็ร้อนตัวเกินไปเหมือนกันแหละ”
“ไม่ได้ร้อนตัวเลย
แค่อยากทำให้เห็นว่าเค้าเลือกพะแพงก็เท่านั้น
เค้าเลือกที่จะวางสายน้องเพื่อที่จะอยู่กับพะแพงน่ะเข้าใจมั้ย
เห็นหรือยังว่าใครสำคัญกว่ากัน
ที่เค้าต้องรับสายก็เพราะว่าเค้าลืมปิดเครื่องแค่นั้น
และตอนนี้เค้าก็ปิดแล้วด้วยเห็นมั้ย”
ยกโทรศัพท์หน้าจอมืดๆขึ้นโชว์พะแพงที่เริ่มยิ้มออกตั้งแต่ได้ยินหล่อนบอกว่าเลือกตัวเองแล้ว
“นะ
ไม่ทะเลาะกันแล้วนะ
เรามาต่อกันดีกว่าเค้าไม่อยากเสียเวลา
เค้าอยากอยู่กับพะแพงคืนนี้ให้นานที่สุดเท่าที่เค้าจะทำได้”
ทั้งพูดทั้งดึงร่างพะแพงลงมาหอม
ก่อนที่ตัวเองจะพยายามกลับเข้าสู่ท่ารักท่าเดิมเมื่อครูนี้อีกครั้ง
ด้วยหวังว่าท่ารักท่านี้จะนำพาความสุขมาสู่ทั้งเธอและพะแพงทั้งคืนจนกว่าจะมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายได้ขอร้องให้หยุดลงอีกครั้ง..
--<><><><>--
“โอ๊ย
เมื่อวานนี้หวานมากเลยนะเอิ้น
ชั้นเห็นที่น้องคนนั้นแทกแกแล้วหวานเว่อร์
นี่ตกลงน้องคนนั้นเป็นแฟนแกจริงๆเหรอ..”
เสียงของเพื่อนนักเรียนร่วมชั้นดังขึ้นในตอนเย็นเลิกเรียนของวันถัดมา
เล่นเอาคนโดนทักสะดุ้งเฮือกทันทีเมื่อนึกขึ้นได้ว่าคนที่กำลังเดินกับตัวเองในตอนนี้ไม่ใช่คนที่แท๊กตัวเองและหล่อนก็กำลังงอนในประเด็นนี้จนเมื่อคืนตัวเองต้องง้อหล่อนทั้งคืนอยู่
“เอ่อ..ก็..มันเป็นโพสเล่นๆ
คือ เอ่อ แล้วแต่จะคิดแล้วกัน”
ทั้งพูดทั้งหันมายิ้มแหยๆมองพะแพงที่เริ่มหันหลังจะเดินหนีตัวเองไปอีกทางแล้ว
“อะไรกลัวเมียหลวงหึงล่ะสิ”
เพื่อนคนนั้นอมยิ้มเมื่อเห็นท่าทางเลิ่กลั่กของเอิ้น
“รู้แล้วยังจะถามอีก
ไม่ดูเวล่ำเวลาเล้ย”
แขวะเพื่อนเสร็จก็รีบร้องเรียกพะแพงทันที
“พะแพง!”
“ไม่ต้องตามมาจะเข้าห้องน้ำ”
หล่อนตะโกนบอกทั้งที่เดินหันหลังนั่นแหละ
“เขาจะขรี้ไม่ต้องตามเขาไปหรอก
ตามอะไรกันนักกันหนา รำคาญแทน”
เพื่อนคนนั้นหันกลับมาแขวะเอิ้นด้วยความหมั่นไส้ทำเอาเอิ้นมองแรงก่อนจะมองดูพะแพงเดินไปเข้าห้องน้ำคนเดียวด้วยความเป็นห่วง
ส่วนตัวพะแพงที่ไม่ได้โกรธอะไรเอิ้นเท่าไหร่หรอก
เพียงแต่รำคาญหูที่จะต้องมาฟังเรื่องของเด็กคนนั้นที่วันนี้ทั้งวันเธอที่นั่งข้างเอิ้นตลอดต้องได้ยินเพื่อนๆแซวและถามไถ่เสมอ
หนำซ้ำยังพลอยโดนแซวด้วยมุกตลกเมียหลวงและเมียน้อยอย่างที่ตัวเองไม่ชอบด้วย
ทำให้เธอไม่ค่อยสะดวกใจที่จะยืนฟังด้วยเท่าไหร่หากได้ยินใครพูดถึงเรื่องเด็กคนนั้นอีก
และวิธีการเลี่ยงในรอบนี้ก็คือการขอตัวมาเข้าห้องน้ำคนเดียวอย่างนี้นี่เอง
ทำนั้นทำนี่อยู่ครู่หนึ่งและกำลังจะเดินออกจากห้องน้ำเสียงปริศนาของใครบางคนก็ดังขึ้นทักให้เธอหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องน้ำก่อน
“เมื่อคืนพี่เอิ้นไปค้างที่บ้านพี่อีกแล้วใช่มั้ย..”
คิ้วขมวดทันทีที่หันไปเห็นว่าเป็นเด็กสาวนัยต์ตาหยีคนที่เป็นศัตรูหัวใจเดินออกมาจากด้านในห้องน้ำ
ด้วยใบหน้าและท่าทางเหมือนกำลังหาเรื่องตัวเองอยู่
“คิดว่าแค่การที่พี่เอิ้นไปนอนด้วยทุกวันมันจะทำให้พี่เอิ้นเปลี่ยนใจจากหนูได้หรือคะ
หนูถามจริงๆว่าพวกพี่ทั้งสองคบกันในฐานะอะไรกันแน่
เพื่อน เพื่อนสนิท หรือคู่นอน
โทษทีนะคะที่หนูไม่ใช้คำว่าแฟนเพราะพวกพี่ทั้งสองก็ไม่เคยบอกว่าเป็นแฟนกันสักทีหนูก็เลยไม่รู้จะเรียกพวกพี่ว่ายังไงดี”
พะแพงยืนนิ่งมองเด็กสาวต่อหน้ากำลังต่อว่าตัวเองเป็นชุดด้วยท่าทางสงบแม้ในใจตัวเองกำลังเดือดปุดๆแค่ไหนแล้วก็ตาม
“ไม่ตอบหน่อยหรือคะ
หรือว่าตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอยู่ในฐานะอะไรของเค้า
ตัวหนูหนูยังรู้นะคะว่าอยู่ในฐานะอะไรของพี่เอิ้น
เพราะพี่เอิ้นบอกรักหนู
และหนูก็เป็นแฟนของพี่เอิ้น
คนทั้งโรงเรียนรู้เรื่องของเรากันหมด
แล้วพี่ล่ะคะเคยบอกคำว่ารักกันบ้างมั้ยหรือว่ามีแต่เอากันอย่างเดียวเลยไม่ได้..”
เพี๊ยะ!!
หยุดพูดทันทีเมื่อคนฟังอยู่ๆก็ยื่นมือมาตบหน้าตัวเองดังลั่น
“มีสิทธิ์อะไรมาพูดอย่างนี้กับฉัน
เธอเป็นใครแล้วฉันเป็นใคร
ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่นของเธอนะ
และถึงฉันจะเป็นอะไรกับเอิ้น
เธอก็ไม่มีสิทธิ์จะมาละลาบละล้วงอะไรทั้งนั้น
ถ้าเธออยากรู้มากนัก
เธอก็ไปถามคนที่เธอบอกว่าเป็นแฟนเธอดูสิ”
คนโดนตบยืนอึ้งยกมือขึ้นจับแก้มตัวเองใบหน้าก็ยังสั่นไม่หาย
“นี่พี่ตบหนูเหรอ!”
“ใช่
ฉันตบเพราะว่าเธอกำลังล้ำเส้นกับฉัน
เธอกำลังปีนเกลียวฉันอยู่
ทั้งๆที่ฉันเป็นรุ่นพี่เธอ
อายุก็ห่างกันตั้ง2-3ปีแต่เธอก็ยังกล้าพูดกับฉันอย่างนี้
หรือคิดว่าฉันไม่โกรธเหรอ”
“หึ
หนูว่าพี่โกรธเพราะว่าหนูรู้ทันพี่เรื่องพี่เอิ้นมากกว่า
อ้อ..หรือว่าเพราะหนูจี้ใจดำเรื่องที่พี่เอิ้นไม่เคยบอกรักพี่อย่างงั้นใช่มั้ยเลยทนฟังไม่ได้
เอ..หรือว่าอิจฉาเรื่องที่หนูบอกว่าพี่เอิ้นบอกรักหนูกันแน่นะ”
ใบหน้ายียวนของเด็กต่อหน้าทำให้พะแพงถึงกับห้ามใจไม่ได้กลายเป็นยกมือขึ้นจะตบหน้าเจ้าหล่อนอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้ดูเหมือนเด็กสาวคนต่อหน้าก็ไม่ยอมเหมือนกัน
หล่อนก็รีบยกมือขึ้นจับมือของพะแพงไว้แล้วกลายเป็นใช้มืออีกข้างของตัวเองจิกรั้งดึงผมพะแพงที่ก็พยายามจิกรั้งทั้งทึ้งผมหล่อนทั้งจิกทั้งหยิกกันไปมา
ทั้งสองตะลุมบอนทั้งจิกทั้งตบกันอยู่ครู่หนึ่งเสียงคนกลางที่เป็นต้นตอของปัญหาทั้งหมดก็รีบวิ่งเข้ามาห้าม
เมื่อรับรู้ได้ถึงความผิดสังเกตุที่พะแพงหายไปเข้าห้องน้ำนานเกินไป
“หยุด!หยุด!หยุด!เดี๋ยวเน้!”
คนห้ามรีบดึงหลินที่ดูโมโหมากจนออกแรงตีพะแพงมากกว่าออกก่อน
“พี่มันก็เป็นได้แค่ตัวอิจฉา!
ไม่มีวันได้เป็นนางเอกหรอก!”
คนห้ามหันไปมองพะแพงที่คิ้วขมวดเตรียมจะเดินมาตบปากหล่อนอีกครั้งเมื่อได้ยินหล่อนพูดดูถูกตัวเองอย่างนั้น
“หยุด!
พะแพงหยุด!”
ห้ามพะแพงเสร็จก็หันไปบอกเด็กสาวในอ้อมกอดตัวเองที่ยังตะโกนยั่วโมโหอีกคนไม่หาย
“นี่ก็หยุดเลย!
พูดบ้าอะไรเนี่ย!”
“ก็พูดให้ตัวอิจฉาเข้าใจในบทบาทตัวเองยังไงคะ
เผื่อเขาจะหลงคิดว่าตัวเองเป็นนางเอก
ดูสิแม้แต่การกระทำก็ยังสถุนไม่แพ้พวกนางร้ายที่ชอบใช้อารมณ์ในนิยายรักโง่ๆเลย”
อีกคนง้างมือเตรียมเดินเข้าใส่อีกแล้วเมื่อได้ยินอย่างนั้นจนเอิ้นต้องรีบหันมาเอ็ดหลินเข้า
“พูดบ้าอะไรเนี่ย!
ใครนางร้าย!”
“เค้าเองแหละนางร้าย”
เป็นพะแพงที่ตอบขึ้นแทน
“แล้วน้องของเอิ้นก็นางเอกไง
เดี๋ยวไงช่วยอธิบายสถานะของเราสองคนให้น้องเอิ้นฟังด้วยนะ
เค้าอาจจะไม่ฉลาดพอที่จะอธิบายสถานะของเราให้น้องเขาเข้าใจได้
ไปล่ะนะอยู่นานไม่ได้
เดี๋ยวจะอดใจไม่ได้อีก”
กัดปากกัดฟันมองเด็กสาวที่มีใบหน้าคิ้วขมวดไม่พอใจไม่ต่างกัน
ก่อนจะสะบัดร่างเดินลิ่วๆออกจากห้องน้ำไป
ทิ้งให้เอิ้นไปแต่ยืนอึ้งค้าง
นึกไม่ถึงว่าพะแพงจะกล้าระเบิดอารมณ์ถึงขั้นตบตีกับคนอื่นได้ขนาดนี้
ทั้งๆที่หล่อนเป็นคนเรียบร้อยและไม่เคยมีเรื่องกับใครสักที
อย่างมากก็แค่โกรธแล้วก็งอนเดินหนีหายและปิดโทรศัพท์เท่านั้น
แล้วนี่พวกเธอสองคนคุยเรื่องอะไรกันแน่เนี่ย..
ฝ่ายคนที่โดนด่าว่าเป็นนางร้ายได้แต่วิ่งออกไปนอกโรงเรียนด้วยเนื้อตัวมอมแมมผมเผ้ากระเซอะกระเซิงจนใครหลายๆคนที่เหลียวตามาเห็นพะแพงต้องจ้องมองด้วยความสงสัยในตอนที่เธอนั่งรอรถ
เช่นเดียวกันกับพะเพื่อนที่เพิ่งจะเลิกเรียนแล้วเดินออกมาเพื่อจะรอรถมารับกลับบ้านแล้วเจอเข้ากับพะแพงพอดี
“พี่แพง!พี่แพงเป็นอะไรเนี่ย!”
เขาเดินเข้ามาใกล้ๆพี่สาวที่นั่งปลีกตัวออกห่างจากเด็กนักเรียนคนอื่น
ทั้งกระซิบกระซาบถามหล่อนด้วยกลัวว่าคนอื่นจะได้ยินในเรื่องที่เขาคิดว่าพี่สาวอาจจะไม่อยากบอกใครก็ได้
“ไม่ได้เป็นอะไร..”
ตอบเขาไปก่อนจะยื่นไม้ยื่นมือขึ้นไปจับเผ้าจับผมตัวเองเมื่อนึกขึ้นได้ถึงเรื่องที่ตัวเองโดนทึ้งหัวมา
ทั้งเลื่อนมือมาจับหน้าจับตาตัวเองก่อนจะเจอมือของน้องชายยื่นมาจับที่แก้มตัวเองพร้อมๆกันหลังจากนั้นด้วย
“ไม่ได้เป็นอะไร
แต่นี่รอยฝ่ามือ
แถมนี่ยังเป็นรอยเล็บอีก”
ทั้งพูดทั้งลูบหลังแก้มแถวๆใบหูพี่สาวตัวเอง
เห็นได้ชัดว่าเป็นรอยเล็บห้ารอยข่วนยาวไปจนถึงใบหู
นี่หล่อนคงไปเจอใครฟ้อนเล็บใส่มาแน่ๆ
“ใครทำพี่แพง”
รีบถามหล่อนทันทีที่นึกถึงใครบางคนได้
“พี่เอิ้นเหรอ
นี่พี่เอิ้นทำพี่แพงขนาดนี้เลยเหรอ”
“ไม่ใช่เอิ้น
แล้วก็ไม่ต้องถามมากหรอกน่า
ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง”
“ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง
แต่พี่แพงเป็นพี่ของผมนะ
อยู่บ้านพ่อกับแม่ยังไม่กล้าตีพี่แพงให้เป็นรอยขนาดนี้เลย
แล้วนี่มันเป็นใครทำไมถึงกล้าทำพี่แพงได้”
หันไปมองหน้าเขาเมื่อได้ยินน้ำเสียงไม่พอใจของน้องชาย
ตอนนี้แววตาที่เคยกระริ่มกระเรี่ยและขี้เล่นของเขากลายเป็นขึงขังด้วยความโมโหราวกลับว่าเขาพร้อมที่จะมีเรื่องกับใครก็ได้ที่ได้ยินพี่สาวบอกว่ามันคนนั้นเป็นคนที่ทำให้หล่อนเป็นริ้วรอยได้ขนาดนี้
“ไม่เป็นไรหรอก
ช่างมันเถอะ พี่ไปทำเค้าก่อนเองแหละ..”
สารภาพน้องชายไปเมื่อนึกขึ้นได้ว่าจริงๆตัวเองก็ผิดที่ควบคุมอารมณ์ไม่ได้จนเริ่มก่อน
นี่ก็ไม่รู้ว่ายัยเด็กคนนั้นจะโกรธตัวเองจนถึงขั้นไปฟ้องครูมั้ย
และก็ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้เธออาจจะโดนครูเรียกเข้าห้องปกครองโทษฐานที่มีเรื่องตบตีกับนักเรียนรุ่นน้องด้วยก็ได้
เฮ้อ..เป็นเด็กเรียนมาตั้งนานตั้งแต่ประถมจนถึงม.ปลายกลายเป็นมาตกม้าตายตอนเกือบจะเรียนจบนี่ละเนอะ
ดีไม่ดีเรื่องของเธอกับเอิ้นก็อาจจะแดงขึ้นมาเพราะเด็กคนนั้นเอาไปฟ้องครูอีกแน่ๆ
เอาสิไหนๆก็ไหนๆแล้วถ้าจะซวยก็ซวยให้สุดๆไปเลยแล้วกัน
ทั้งคิดทั้งถอนหายใจอย่างเศร้าๆเมื่อรับรู้ได้ถึงเรื่องราวร้ายๆเรื่องใหม่ที่เกิดขึ้นมากับตัวเองหลังจากที่มีอะไรกับเอิ้นอย่างที่เธอคาดการณ์ไว้
ครั้งนี้อาจจะไม่ใช่แค่เจ็บตัวธรรมดาๆก็ได้
มันอาจจะหนักขึ้นมาอีกขั้นตรงที่มีเรื่องมีราวทะเลาะเบาะแว้งกับคนอื่นอีก
เฮ้อ..อะไรมันจะซวยขนาดนี้นะ
พะแพงแกจะไหวมั้ยเนี่ย..
น้องชายเห็นอาการไม่สบายใจของพี่สาวที่กำลังเหม่อลอยด้วยความคิดปลงๆของหล่อนก็กลายเป็นไม่สบายใจตาม
ตอนนี้เขาได้แต่จ้องมองเข้าไปในโรงเรียนก็จะตัดสินใจวิ่งเข้าไปในนั้นอีกครั้ง
“พี่แพงรอผมอยู่ตรงนี้ก่อนนะ
ผมขอเข้าไปทำธุระในโรงเรียนก่อนแป๊บนึง
เดี๋ยวไงวันนี้เราคงต้องทำบางอย่างก่อนกลับบ้าน..”
--<><><><>--
พะแพงเดินเก้ๆกังๆขนาบข้างพะเพื่อนเข้าไปในบ้านโดยที่มือของเขาทั้งสองข้างนั้นถือถุงหิ้วใบใหญ่สองใบที่ใส่ถุงอาหารเอาไว้ในนั้นอยู่
ทั้งสองพากันเดินแนบชิดติดกันตามแผนที่พะเพื่อนได้วางไว้กับพี่สาวก่อนหน้านั้น
หลังจากที่เขากลับออกมาจากโรงเรียนแล้วพาหล่อนแวะไปซื้อกระเพราะปลาที่ตลาดโต้รุ่งก่อนกลับเข้าบ้าน..
“พี่แพงจะให้แม่และพ่อเห็นรอยที่หน้าอย่างนี้ไม่ได้นะ
โดยเฉพาะพ่อ ถ้าเห็นได้เป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ”
นั่นคือสิ่งที่น้องชายของพะแพงเกริ่นก่อนจะบอกแผนของตัวเอง
โดยมีพะแพงพยักหน้าเจื่อนๆรับเขาด้วยเพราะกำลังคิดอยู่เหมือนกันว่าจะทำยังไงดีถ้าพ่อกับแม่ถาม
“เราสองคนจะต้องไม่กินข้าวเย็นกับพ่อแม่
เพราะการนั่งกินข้าวต่อหน้าจะทำให้สังเกตุเห็นรอยแผลพี่แพงได้ง่าย
เพราะงั้นเดี๋ยวเราแวะไปโต้รุ่งไปหาอะไรๆอร่อยกินกันก่อนกลับบ้าน
เราจะได้อ้างพ่อกับแม่ได้ว่าเราสองคนกินข้าวมาจากข้างนอกมาแล้ว”
ยิ้มรับแผนน้องชายทันที
ไม่น่าเชื่อว่าเด็กชายที่ชอบกัดชอบจิกเธอตลอดจะกลายเป็นคนหาทางออกช่วยในสถานการณ์ที่มีแนวโน้มจะเลวร้ายได้ดีอย่างที่เขากำลังช่วยอยู่ในขณะนี้
“แม่หวัดดีครับ”
เป็นพะเพื่อนที่หันไปสวัสดีแม่ก่อนแล้วรีบส่งซิกให้พี่สาวตัวเองรีบไหว้แม่ในขณะที่แม่หันมายังไม่ทันเต็มๆหน้า
“อ้าว
ทำไมวันนี้กลับบ้านค่ำกันจังล่ะ”
“อ๋อวันนี้วันเกิดเพื่อนผมครับ
เพื่อนผมเลี้ยงชาบูแล้วเพื่อนผมก็ชวนพี่แพงไปกินด้วยเราก็เลยได้ไปกินด้วยกันแล้วก็เลยกลับมาค่ำอย่างที่เห็นล่ะครับ”
พี่สาวที่แอบอยู่ด้านหลังหันใบหน้าข้างที่ไม่มีรอยมาพยักยิ้มรับน้องชายและส่งให้แม่ก่อนจะหันกลับไปหลบตาต่อ
“อ้าวกินเลี้ยงวันเกิด
นี่กินข้าวกันมาแล้วเหรอนี่”
“ใช่ครับ
กินแล้วครับอิ่มมากเลย
ใช่มั้ยพี่แพง”
“ใช่ๆคะ”
พะแพงหันใบหน้าด้านที่ไม่มีรอยมาพยักตอบรับแม่อีกครั้ง
“อ๊ะนี่!ผมซื้อกระเพราะปลาร้านที่ขึ้นชื่อแถวนั้นมาฝากแม่ด้วยครับ
แม่กับพ่อจะได้กินได้เลยไม่ต้องทำกับข้าว
เดี๋ยวไงพวกผมขอตัวขึ้นไปอาบน้ำพักผ่อนก่อนนะครับ
พวกผมเหนื่อยแล้ว
ปะๆพี่แพงเรารีบไปกันเถอะ”
คุณนายพรพรรรณจ้องมองลูกทั้งสองชักชวนกันขึ้นบ้านอย่างงงๆแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรแม้จะสงสัยลึกๆว่าทำไมวันนี้สองคนนี้ดูรักกันผิดปกติกว่าทุกวันก็ตาม
ส่วนลูกทั้งสองนั้นพอขึ้นไปบนบ้าน
ฝ่ายน้องชายก็รีบตามเข้าไปในห้องพี่สาวด้วยท่าทางรีบเร่งเพื่อที่จะทำแผลให้พี่สาวของตัวเอง
ซึ่งในระหว่างที่ทำแผลไปนั้นเขาก็ไม่ลืมที่จะบ่นเรื่องราวที่เขาไม่พอใจให้พี่สาวได้ฟังด้วย
“ถ้าพี่เอิ้นปล่อยให้พี่แพงเป็นอย่างนี้อีกทีหลังนะ
ผมจะไม่ให้พี่เอิ้นคบกับพี่แพงอีกแล้ว
และผมจะไม่คุยกับพี่เอิ้นอีกเลยถึงพี่เอิ้นจะเคยเป็นคนที่ผมปลื้มแค่ไหนก็ตาม
ผมจะไม่ให้พี่แพงคุยกับพี่เอิ้นอีกเลยดีมั้ยหรือพี่แพงคิดว่าไง..”
คนเป็นพี่สาวถึงกลับหลบตาถมึงทึงของน้องชายตัวเองทันทีที่ได้ยินเขากล่าวถึงคนรักของตัวเองด้วยน้ำเสียงเชิงตำหนิอย่างนี้
“มีอย่างที่ไหนปล่อยให้ใครก็ไม่รู้มาทำร้ายคนที่ตัวเองคบด้วย
ผมไม่โอเคหรอกนะ
และไม่ว่าใครก็คงจะไม่โอเคหรอกถ้าได้รู้เรื่องนี้”
“รู้เรื่องทั้งหมดแล้วเหรอ..”
ถามเขากลับด้วยเสียงหงอยๆของตัวเอง
“รู้ดิ
รู้แล้วด้วยว่าใครเป็นคนทำ
เพราะผมเข้าไปถามพี่เอิ้นมาเองเลย
เฮ้อคิดแล้วก็น่าโมโห
มีอย่างที่ไหนปล่อยให้แฟนตัวเองเจ็บอย่างนี้เนี่ย!”
“พี่คงไม่ใช่แฟนเขาหรอก..”
“ไม่ใช่แฟน
แต่ทำอย่างนี้เนี่ยนะ
เฮ้ย!นี่ผมโมโหจริงๆแล้วนะเนี่ย
ถ้าพี่เอิ้นเป็นผู้ชายผมต่อยแล้วนะเนี่ย
ผมจะไม่ให้พี่แพงคุยกับพี่เอิ้นอีกเลยดีมั้ย..”
ยิ่งได้ยินน้องชายตัวเองบอกอย่างนั้นพะแพงก็ยิ่งน้ำตาซึมยิ่งก้มหน้าหลบตาเขาเข้าไปใหญ่
และด้วยท่าทางที่ไม่พูดไม่คุยไม่ยอมเอออออะไรของพี่สาวก็ทำให้พะเพื่อนกลายเป็นไม่สบายใจเสียเอง
หากเรื่องราวของพี่สาวตัวเองยังไม่เคลียร์เขาก็คงค้างคาในความรู้สึกไม่ต่างกัน
และที่สำคัญเขาไม่ชอบเลยที่พี่สาวตัวเองต้องมาร้องไห้เพราะคนอื่น
ทั้งๆที่คนในบ้านประคบประหงมหล่อนยังกับไข่ในหินทุกคนไม่เว้นแม้แต่เขาที่เป็นน้องชายแท้ๆ..
“พี่แพงกล้าเลิกกับพี่เอิ้นมั้ย..”
ถามพี่สาวที่ยังก้มหน้าก้มตาไม่กล้ามองหน้าตัวเองอีกครั้งและเมื่อไม่ได้คำตอบเลยทำให้น้องชายอย่างเขาต้องตัดสินใจบางอย่างออกไป
“เอางี้ดีกว่า
ผมว่าพี่สองคนน่ะคุยกันให้รู้เรื่องดีกว่าจะเอายังไงกัน
ถ้าวันนี้พี่เอิ้นมา
พี่แพงก็คุยกับพี่เอิ้นให้เข้าใจและเคลียร์กันไปเลยนะ
อย่าให้ค้างๆคาๆกันอย่างนี้ผมไม่ชอบ
ไหนบอกว่าคบกับพี่แพงแต่ยังพยายามปล่อยข่าวว่าคบกับยัยพี่หลินนั้นอีกตลอดเวลาอย่างนี้หมายความว่ายังไงกัน
จะคบหรือจะเลิกหรือจะเลือกใคร
คุยกันเลยนะเพราะไงเดี๋ยวพี่เอิ้นก็ต้องมาหาพี่แพงแน่ๆล่ะคืนนี้”
นั่นคือประโยคสุดท้ายที่พะเพื่อนทิ้งท้ายไว้ก่อนจะปล่อยให้เจ้าของห้องนั่งพักผ่อนไปในห้อง
แต่เข้าจริงๆพะแพงกลับไม่ได้พักอะไรเลยเอาแต่คิดถึงภาพที่เด็กสาวตาหยีคนนั้นเยาะเย้ยตัวเองเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเธอกับเอิ้น
“หนูว่าพี่โกรธเพราะว่าหนูรู้ทันพี่เรื่องพี่เอิ้นมากกว่า
อ้อหรือว่าเพราะหนูจี้ใจดำเรื่องที่พี่เอิ้นไม่เคยบอกรักพี่อย่างงั้นใช่มั้ยเลยทนฟังไม่ได้
เอ..หรือว่าอิจฉาเรื่องที่หนูบอกว่าพี่เอิ้นบอกรักหนูกันแน่นะ”
น้ำตาตกทันทีที่คิดตามเด็กคนนั้นได้
ใช่สินะเพราะมัวแต่เอาแต่หลงใหลได้ปลื้มกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เอิ้นมอบให้จนไม่ลืมหูลืมตาแถมยังทึกทักเอาเองว่าเธอกับหล่อนน่าจะใจตรงกัน
หล่อนก็น่าจะรักเธอเหมือนที่เธอรักหล่อนสุดหัวใจ
เลยไม่ได้เอะใจอะไรจนเผลอลืมบางเรื่องที่สำคัญไปว่า..จริงๆแล้วตัวเองก็ไม่เคยได้ยินคำว่ารักจากปากเอิ้นเลยจริงๆนั่นแหละ
ใช่..
เธอไม่เคยบอกรักฉันเลยเอิ้น
มีเพียงข้อความที่เธอมักจะบอกฉันให้คิดว่าไม่มีเพื่อนที่ไหนเข้าทำกันอย่างที่เธอกับฉันทำกันเท่านั้น
ส่วนที่เหลือมันก็เป็นคำพื้นๆที่เพื่อนทั่วๆไปมักจะพูดกัน
หรือแม้แต่ฉันกับเธอก็พูดมันบ่อยๆไปไม่มีอะไรที่พิเศษไปกว่าคำว่าเพื่อนเลย
ยิ่งคิดก็ยิ่งน้อยใจยิ่งเสียใจจนน้ำตาตัวเองไหลเอ่อพรั่งพรูออกมาหลังจากนั้น
โดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงไปง่ายๆเลยแม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานสักเพียงใด
--<><><><>--
เสียงเคาะประตูห้องพะแพงดังขึ้นในช่วงกลางดึกในขณะที่หญิงสาวเจ้าของห้องจัดการอาบน้ำอาบท่าดูแลตัวเองให้หายจากอาการเศร้าสร้อยเสียน้ำตาก่อนหน้านั้นไปจนหมดแล้ว
และเธอในชุดนอนก็เดินซึมกระทื่อไปเปิดประตูให้หลังจากนั้นทันทีเมื่อรู้อยู่แล้วว่าคงจะเป็นน้องชายและแขกผู้มาเยือนยามวิกาล
ที่น้องชายย้ำนักย้ำหนาว่าวันนี้ทั้งสองต้องคุยกันให้รู้เรื่องและเคลียร์ทุกอย่างให้จบให้ได้
“พะแพง..”
เสียงละห้อยของแขกผู้มาเยือนดังขึ้นทันทีเมื่อหล่อนเดินเข้ามาอยู่ในห้องกับพะแพงเพียงลำพังแล้ว
“เป็นยังไงบ้าง
หน้าเป็นรอยขนาดนี้เลยเหรอนี่”ทั้งพูดทั้งยื่นมือไปจับใบหน้าของพะแพงเพื่อดูแผลใกล้ๆแต่ก็โดนหล่อนสะบัดหน้าออกทันที
“พะแพง!”
“อย่ามัวเสียเวลาอยู่เลย
เพื่อนบอกแล้วใช่มั้ยวันนี้เรื่องที่เราสองคนต้องเคลียร์ทุกอย่างให้จบน่ะ”
ชะงักและหน้าเสียทันทีที่ได้ยินคำพูดตัดบทไม่ถนอมน้ำใจจากพะแพงอย่างนั้น
“นี่ตกลงเราจะต้องเลิกกันให้ได้ใช่มั้ย
พะแพงถึงจะสบายใจน่ะ”
“ใครกันแน่ที่สบายใจ
และที่สำคัญเราก็คงไม่ได้เลิกกันอยู่แล้วเพราะเราไม่ได้คบกันตั้งแต่ต้น
ลืมไปแล้วเหรอว่าเราไม่ได้อยู่ในสถานะอะไรกันเลย”
“ไม่ได้อยู่ในสถานะอะไรยังงั้นเหรอ
ทำไมถึงพูดอย่างนั้น
นี่ที่เค้าทำไปทั้งหมดมันไม่ได้บ่งบอกสถานะอะไรเลยอย่างนั้นเหรอ
นี่ไม่รู้เลยเหรอว่าเค้าคิดยังไง”
“ไม่รู้
และก็ไม่เคยจะรู้เลยว่าที่ผ่านๆมามันคืออะไรเหมือนกัน
นี่เขาต้องขอบใจน้องหลินของเอิ้นนะที่ช่วยชี้ทางสว่างให้เข้าได้มองเห็นความจริงว่าใครสำคัญกับเอิ้น
และเอิ้นรักใครกันแน่”
“รักใครกันแน่อย่างนั้นเหรอ
ใคร?”
“ก็น้องหลินไง”
“แล้วไม่คิดว่าเป็นตัวเองบ้างเหรอ”
“ไม่!”ปฏิเสธไปพร้อมๆกับน้ำตาที่ไหลพราก
“มีแต่คนหลงตัวเองเท่านั้นล่ะที่จะคิดเข้าข้างตัวเองว่าเขารักเราทั้งๆที่เขาไม่เคยบอกรักเราสักที
และเค้าก็เคยหลงตัวเองมามากพอแล้ว
ตอนนี้เค้าคงพอแล้วเพราะว่าเค้าเริ่มเข้าใจอะไรมากขึ้นแล้วล่ะ”
“เริ่มเข้าใจอะไรมากขึ้นอย่างนั้นเหรอ
นี่อย่าบอกนะแค่คำว่ารักมันก็ชี้ชัดความจริงใจในสถานะทั้งหมดที่คนสองคนมีให้กันแล้วน่ะ
นี่ถ้างั้นที่เค้าแกล้งบอกว่ารักหลินตลอด
เค้าก็คงรักหลินจริงๆใช่ป่ะ”
“ก็คงงั้น”
คนตอบแกล้งหัวเราะหึทั้งน้ำตา
“พูดอย่างนี้แสดงว่ายังไงๆก็อยากจบกับเค้าแน่ๆใช่มั้ย..ถ้าไม่ได้ยินคำนี้เนี่ย..”
“ก็คงงั้น..”
คนตอบยังคงตอบข้อความเก่าโดยน้ำเสียงที่แกล้งหัวเราะทั้งๆที่น้ำตาหล่อนยังไหลอาบหน้าอยู่เล่นเอาคนถามที่มองหล่อนกลับด้วยใบหน้าน้อยเนื้อต่ำใจของตัวเองกลายเป็นหลุดร้องไห้โหออกมาเช่นเดียวกัน
เธอยืนก้มหน้าร้องไห้อยู่นานก่อนจะเงยหน้ามองพะแพงที่ยังคงแกล้งยิ้มทั้งน้ำตาด้วยใบหน้ายียวนที่แสร้งทำให้เห็นว่าหล่อนไม่ได้เจ็บอะไรเลยทั้งๆที่จริงนั้นเจ็บแสนเจ็บ..
“นี่ทุกๆอย่างจะจบลงไปเพราะคำๆนี้จริงๆหรือนี่”
น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสมเพชตัวเองของเอิ้นดังขึ้นหลังจากนั้น
“..ถ้าอย่างนั้นฟังนะ
เค้าเองก็มีบางอย่างที่อยากจะบอกพะแพงเหมือนๆกัน”
คนกล่าวเงียบเสียงลงในตอนที่ยกมือขึ้นมาปัดป่ายร่องรอยน้ำตาบนหน้าตัวเองออกจนหมด..
“ฟังนะ
เค้า..คะ
เค้า อะ อะ โอ๊ย เค้า รัก
โอ้ยพะแพง...”
คนฟังถึงกลับคิ้วขมวดทันทีที่เห็นคนต่อหน้าค่อยๆพูดบางคำเหมือนกำลังใช้ความพยายามอย่างมาก
และยิ่งไปกว่านั้นเมื่อหล่อนกำลังตะกุกตะกักกล่าวคำเหล่านั้นออกมา
อยู่ๆเลือดกำเดาก็ค่อยๆไหลออกมาจากจมูกทั้งสองของหล่อน
และใบหน้าที่ขาวๆซีดๆก่อนหน้านั้นก็กลายเป็นแดงกร่ำ
ทั้งคิ้วขมวดปากบู้บี้เหมือนว่าหล่อนกำลังทุกข์ทรมานและเจ็บปวดกับอะไรสักอย่างจนในที่สุดเมื่อหล่อนทนไม่ไหวหล่อนก็ล้มลงไปกองกับพื้นดื้อๆ..
“เฮ้ยเอิ้นเป็นอะไรน่ะ
ทำไม ทำไมเลือดกำเดาออกเยอะอย่างนี้
เฮ้ย!
เอิ้น!
เอิ้น”
ทั้งร้องเรียกเสียงหลงทั้งพยุงตัวเอิ้นขึ้นมามองดูด้วยความตกใจ
“เค้าปวด
ปวดหัวมากๆเลย โอ๊ย..ขอยาให้เค้าที
ช่วยเอายาแก้ปวดในกระเป๋าส่งให้เค้าที”
รีบวิ่งเอายามาให้เอิ้นตามที่สั่งหลังจากนั้นทันที
“เฮ้ย ไหวมั้ยไปหาหมอป่ะ”
ทั้งพูดทั้งพยายามใช้ทิชชู่ซับเอาเลือดของเอิ้นออกให้ด้วย
“ไม่เป็นไร..กินยาแล้วเดี๋ยวสักพักก็ดีขึ้น..”
จ้องมองอีกคนเหมือนไม่ค่อยไว้ใจอาการจนลืมความบาดหมางเมื่อครู่นี้ไปซะสนิท
“นี่เป็นอะไรเนี่ย
เค้าคิดว่าอาการนี้หายแล้ว
นี่ยังไม่หายดีอีกเหรอ”
คนเจ็บคิ้วขมวดมองหน้าพะแพง
“นี่..ยังไม่เข้าใจอีกเหรอว่าเค้าเป็นอะไร
งั้นดูอีกรอบนะ..”
พยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนจะกัดฟันพูดบางอย่างอีกครั้ง
“เค้า..อึ๊
รัก..อ๊าา
พะแพง โอ๊ยย..”
พูดจบเลือดกำเดาที่หยุดไหลไปก่อนหน้านั้นอยู่ๆก็พรั่งพรูออกจากจมูกทั้งสองข้างเหมือนเดิม
จนพะแพงตกใจรีบเอาทิชชู่มาซับให้เอิ้นอีก
“เฮ้ย
เป็นอะไรเนี่ย!”
จ้องมองท่าทางปวดหัวของอีกคนอย่างไม่เข้าใจก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้
“อย่าบอกนะว่าที่ปวดหัวจนเลือดกำเดาไหลออกมาเยอะๆนี่คือ..เป็นเพราะว่าเอิ้นบอกรักเค้าอย่างนั้นเหรอ!”
คนโดนถามพยักหน้ารับ
“ใช่ มันจะเป็นทุกครั้งเลยที่เค้าพยายามบอกคำนี้กับพะแพง”
“ทำไมอ่ะ”
“ไม่รู้เหมือนกัน
เค้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเค้าเป็นอะไร
รู้แต่ว่าถ้าเค้ามีความรู้สึก
เอ๊อะ!”ชะงักอีกครั้งพร้อมๆกับเลือดกำเดาที่ซึมออกมาอีก
“..รู้สึกอย่างนั้นกับพะแพงแล้วเค้าจะปวดหัวมากๆ
มากจนทนไม่ไหวจนบางทีก็เลือดกำเดาออกอย่างที่เห็น”
“ทำไมล่ะ..”
เป็นข้อความเดิมที่พะแพงถามซ้ำๆด้วยความไม่เข้าใจ
แต่ในชั่วขณะกลับนึกอะไรบางอย่างได้ในข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับนิยายเรื่องนั้น..
หรือว่าจะเป็นเพราะนิยายเรื่องนั้นอีก
นี่คือเรื่องไม่ดีอีกเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นกับเอิ้นเมื่อฉันพยายามเปลี่ยนบทอย่างนั้นเหรอ
จ้องมองคนต่อหน้าด้วยความรู้สึกผิดทันทีเมื่อเริ่มคิดได้ว่าต้นเหตุทั้งหมดน่าจะมีสาเหตุมาจากตัวเองที่คิดจะเปลี่ยนบทในนิยายเรื่องนั้นแน่ๆ
“เป็นเพราะเค้าแน่ๆเลยที่เอิ้นเป็นแบบนี้!”
โน้มตัวเข้าไปสวมกอดเอิ้นด้วยความสงสารทั้งร้องไห้งอแงจนอีกคนต้องผละร่างออกมาเช็ดน้ำตาปลอบใจให้เธอแทนเสียเอง
“ไม่ได้เป็นเพราะพะแพงหรอกนะ
มันไม่ได้เกี่ยวกันเลย
อย่าโทษตัวเองอย่างนั้นสิ..”
“ไม่หรอก
มันเป็นเพราะเค้านี่แหละ..”
คนฟังคิ้วขมวดทันทีที่ได้ยินน้ำเสียงรบเร้าเฝ้าโทษความผิดให้ตัวเองอย่างนั้น
“ทำไมถึงคิดว่าเป็นเพราะตัวเอง
ทำไม มีอะไรอย่างนั้นเหรอ..”
คนโดนถามชะงัก
จากที่กำลังโทษตัวเองอยู่ก็กลายเป็นก้มหน้าครุ่นคิดถึงสิ่งผิดปกติที่ตัวเองเจอ
ในเมื่อมันเป็นเรื่องที่คนทั่วไปยากจะเชื่อได้แล้ว
เหตุใดเธอจะกล้าบอกคนรักของเธอกัน
และแน่นอนว่าตัวเองก็ยังไม่มั่นใจอยู่ดีแม้จะเจอเหตุการณ์ร้ายๆหลายเหตุการณ์ยืนยันความจงใจในสิ่งผิดปกติทั้งหมดนี้แล้วยังไงก็ตาม
และที่สำคัญเธอเองก็ไม่กล้าบอกหล่อนด้วยว่าเธอเองเชื่อนิยายยูริเรื่องนั้นเป็นตุเป็นตะ
มันช่างเป็นเรื่องที่ทั้งน่าอายและน่าขำเมื่อเธอจะสรุปว่าเรื่องราวทั้งหมดมันเป็นเพราะว่าเธอคิดว่าตัวเองและเอิ้นคือตัวเอกในนิยายเรื่องนั้น
“เค้า..เค้าแค่คิดว่าถ้าเราไม่รักกันมันก็คงไม่เป็นอย่างนี้..”
เปลี่ยนคำพูดที่น่าสงสัยเคลือบแคลงของตัวเองเป็นคำสารภาพรักไปแทนและนั่นก็ทำให้เจ้าของอาการเจ็บปวดถึงกลับยิ้มออกแล้วทิ้งตัวซบกอดกับพะแพงทันที
“ไม่หรอก
อย่าโทษอย่างนั้นสิ
งั้นก็เท่ากับว่าเค้าทำตัวเองเจ็บเอง..เพราะว่าเค้าก็รู้สึกอย่างนั้นกับพะแพงเอง
พะแพงไม่ได้บังคับเค้าเลย..”
“รู้สึกเองอย่างนั้นเหรอ..”
เจ้าของอ้อมกอดยิ้มทั้งน้ำตา
“ใช่
รู้สึก รู้สึกเอง เค้ารู้สึก..”
ยังพูดไม่จบประโยคพะแพงก็โน้มใบหน้าลงมามอบจูบดูดดื่มให้เอิ้นก่อน
เป็นจูบลึกล้ำที่แทนคำตอบรับที่ว่าเธอรู้และเข้าใจความรู้สึกทั้งหมดของคนต่อหน้าแล้ว
“ไม่ต้องพูดแล้วนะ
เค้ารู้แล้ว
เค้ารู้ว่าเอิ้นรู้สึกยังไงกับเค้าแล้ว”