นิยายรักไม่จำกัดบท
Cheapter
4
เพื่อนที่ไหนเขาทำกัน?!
“อืออ..เอิ้นน...”พะแพงพยายามออกเสียงเรียกอีกคนเมื่อรู้ตัวว่าตัวเองกำลังจะทนไม่ไหว
และนั่นเลยทำให้คนจูบที่ก็กำลังจะหมดความอดทนที่จะคุมสติเอาไว้ไม่ให้ทำบางอย่างถึงกลับรีบผละออกมามองเพื่อนสาวของตัวเองทันทีเมื่อตัวเองเริ่มได้สติเช่นเดียวกัน...
ตอนนี้เอิ้นลุกขึ้นมานั่งค่อมร่างพะแพงไว้และมือก็ยังคงตรึงมือพะแพงไว้อยู่เช่นเคย
แต่ใบหน้าที่แดงระเรื่อด้วยอ่อนระทวยเพราะรสจูบเมื่อครู่นี้เริ่มกลับมาเก๊กทำเป็นขึงขังอีกครั้งเมื่อเธอพยายามถามคำถามที่ก่อนหน้านั้นยังไม่ได้คำตอบเลย
“ตกลงเป็นอะไรตอบเค้าได้หรือยัง
ทำไมต้องหนีหน้ากันอย่างนี้ด้วย...”
ไม่มีคำตอบออกมาจากปากพะแพงเช่นเคย
มีเพียงแค่ดวงตาหวานๆที่ตอนนี้กลายเป็นขมึงมองตอบด้วยความค้อนเคือง
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าหล่อนจะเคืองเพราะว่าโดนขโมยจูบหรือเคืองที่ถามคำถามเข้าชนวนเหตุที่ทำให้ทะเลาะกันอีกแล้ว
“ไม่ตอบอีกแล้ว...
งั้นจะปล้ำจริงๆแล้วนะรอบนี้”
แกล้งพูดขู่หล่อนก่อนอีกคนที่หน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความเคืองอยู่แล้วจะกลายเป็นโกรธเข้าไปใหญ่ได้แต่สะบัดสะบิ้งตัวเองด้วยความโมโหโกรธาเมื่อทำอะไรเจ้าหล่อนไม่ได้เลยได้แต่นอนตัวแข็งฟังหล่อนขู่อยู่ได้
หน็อยย กัดปากกัดฟันมองหล่อนด้วยความโมโห
ใช่สิ..ตอนนี้จะทำอะไรเรายังไงก็ได้สินะ
มองร่างด้านบนด้วยความน้อยใจไปก่อนที่จะโดนหล่อนออกแรงตรึงมือขู่เพื่อถามคำถามย้ำอีกครั้ง
“ไม่ตอบงั้น..”
“หน็อยยย..ยังจะถามอีกเหรอ
นี่ยังไม่รู้อีกเหรอว่าเค้าเป็นอะไรน่ะ”
ในที่สุดก็ทนไม่ได้หลุดปากพูดกับหล่อนออกมาจนได้
“แล้วเป็นอะไรล่ะ”
คนอยู่ข้างบนถามด้วยใบหน้าใสซื่อ
จนเหมือนจะซื่อบื้อเสียด้วยซ้ำ
นั่นเลยทำให้คนที่อยู่ด้านล่างถึงกลับเบ๊ปากงอเป็นสระอิด้วยความหมั่นไส้ให้ซะเข้าให้
“ทำหน้าอย่างนี้...เดี๋ยวก็..”
กัดฟันข่มขู่ตอบโต้ทันทีที่เห็นท่าทางยั่วยวนชวนไฟรท์ของพะแพงอีก
“งั้นจะปล้ำจริงๆแล้วนะถ้ายังยั่วโมโหไม่ยอมตอบกันอย่างนี้อีก
อยากให้ปล้ำใช่มั้ย ห๊ะ!”
“โว๊ยย!
ปล้ำบ้าอะไร!”
พะแพงตะโกนตอบโต้บ้างที่เริ่มทนเก็บความหมั่นไส้หล่อนไม่ได้แล้ว
“ไปปล้ำเด็กตัวเองโน้นสิ
จะมายุ่งอะไรกับเค้าอีก
ไป!
ปล่อยได้แล้ว!
“ไม่ปล่อย!”
คนโดนตะคอกแอบอมยิ้มเมื่อได้ยินที่หล่อนหลุดปากออกมา
ก่อนจะออกแรงตรึงมือหล่อนไว้ให้อยู่กับเบาะอีกครั้ง
“นี่อย่าบอกนะว่าโกรธให้เค้าเรื่องหลินน่ะ
นี่งอนเค้าเรื่องหลินเหรอ”
“ไม่ได้ง๊อน!
ปล่อย!”
“ไม่ได้ง๊อนน
แต่เสียงสูงอย่างนี้นี่นะ”
แอบหัวเราะคิกๆคักๆทันทีที่ได้เห็นการแสดงออกของหล่อน
“ทำไม!
ยิ้มทำไม!
หน้าเค้ามันน่าขำตรงไหนไม่ทราบ
ชิส์..ใช่ซี้
ใครมันจะไปสวยหวานเหมือนน้องหลินของเอิ้นกันเล่า
มองหน้าเค้าแล้วขำ
แต่มองน้องคนสวยของตัวเองเนี่ย..หึ..หมั่นไส้
ไม่อยากจะพูด!”
“ก็พูดมา
พูดออกมาซะขนาดนั้นแล้วก็เล่าให้จบไปเลยสิ”
“อย่ากวน....ได้มะ”
“ไม่ได้กวน
มีแต่พะแพงนั่นแหละที่กวนเค้า”
อมยิ้มนิดๆที่แถๆไถๆแกล้งหล่อนได้สำเร็จ
“นี่รู้ตัวมั้ยว่าพะแพงกวนเค้าจนเค้าทำอะไรไม่ได้เลย
เอาแต่คิดว่าพะแพงเป็นอะไรโกรธอะไรให้เค้าอีกทั้งวันน่ะ...”
กัดปากกัดฟันมองเอิ้นด้วยความน้อยใจทันทีที่ได้ยินหล่อนบอกอย่างนั้น
“งั้นก็ขอโทษด้วยแล้วกันที่กวนใจเอิ้นอย่างนั้นน่ะ”
“ใช่ซะที่ไหนเล่า!
อย่าประชดได้มะ!
” ออกแรงตรึงแขนพะแพงอีกเมื่อได้ยินคำพูดคำจายอกย้อนอย่างนั้น
“ถ้ากวนใจเค้าจริงๆ
เค้าไม่มาวิ่งตามง้องอนอย่างนี้หรอกนะ
เป็นเพื่อนกันมาตั้งนานแล้วยังไม่รู้ใจเค้าอีกเหรอ
นี่..พะแพงเค้าบอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าพยายามงอนหรือโกรธให้มันบ่อยนักน่ะ
บางทีเค้าก็ไม่รู้นะว่าเค้าจะง้อพะแพงได้ยังไงน่ะ”
“งั้นก็ไม่ต้องง้อสิ!”
“เถียงอีก!
เงียบไปเลย
ถ้าไม่อยากโดนปล้ำน่ะ”
โน้มใบหน้าลงไปหาหล่อนใกล้ๆในตอนที่ทำท่าขู่ว่าจะปล้ำอีก
“ฟังก่อนได้มั้ย อย่าพึ่งพูดแทรกดิ
เห็นมั้ยว่าเพราะความเอาแต่ใจของพะแพงมันทำให้เกิดอะไรขึ้นบ้าง
แว่นของน้องเขาต้องมาแตกมาเพราะอะไร”
คนฟังน้ำตาคลอเบ้าตั้งแต่ได้ยินคำพูดของคนที่ตัวเองรักต่อว่าตัวเองว่าเอาแต่ใจแล้ว
แล้วไหนจะยังคำพูดที่เหมือนว่าหล่อนกำลังต่อว่าว่าเธอเป็นต้นเหตุที่ทำให้แว่นเด็กของหล่อนแตกอีก
ตอนนี้พะแพงคนขี้น้อยใจเลยทั้งโกรธทั้งโมโหทั้งเสียใจและน้อยใจจนไม่รู้จะทำอะไร
ได้แต่ออกแรงฮึดดึงมือตัวเองออกมาจากมือของเอิ้นแล้วโน้มมือฟาดหน้าหล่อนไปสุดแรงจนอีกคนหยุดชะงักหน้าหัน
ได้แต่นั่งอึ้งทับร่างหล่อนค้างไว้พร้อมๆกับทบทวนว่านี่หล่อนตบตัวเองทำไมกัน
“ตบเค้าทำไมเนี่ย..”
ค่อยๆหันหน้าซื่อบื้อของตัวเองมาถามหล่อนเมื่อนึกไม่ออก
“ยังจะถามอีกเหรอ
โง่หรือเปล่านี่”
ทั้งพูดทั้งยกมือเตรียมจะตบด้วยความหมั่นไส้อีกรอบแต่รอบนี้อย่าหวังว่าอีกคนจะยอมให้ตบง่ายๆเพราะหล่อนก็รีบยกมือขึ้นมาลอคแขนพะแพงไว้ก่อนจะดันลงไปตรึงไว้กับเบาะอีกเช่นเคย
“เนี่ยไง
เห็นมะ
ทั้งๆที่บอกให้พูดกันดีๆแล้วแท้ๆแต่พะแพงก็ไม่ฟังอีกซ้ำยังใช้กำลังกันอีก
นี่กล้าดียังไงมาตบเค้าเนี่ย
ถ้าเป็นคนอื่นเนี่ยโดนตบคืนแล้วนะ
เห็นว่าเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กหรอกนะเลยยอมให้ตบง่ายๆอย่างนี้น่ะ”
หืมม..ปากหรือนี่
แทนที่จะพูดให้หล่อนหายงอนตอนนี้พะแพงคนขี้งอนเลยกลายเป็นน้อยใจเข้าไปใหญ่...คำก็เพื่อนสองคำก็เพื่อน
โอ๊ยย หงุดหงิดชะมัดจะตอกย้ำอะไรนักหนาวะ
ทั้งคิดทั้งดิ้นดุกดิ๊กๆขัดขืนหล่อนปากก็โวยวายร้องเรียกให้คนมาช่วย
“ช่วยด้วยค่ะ
ช่วย อุ๊บ..”
เงียบเสียงร้องลงไปเพราะเพื่อนเธอรีบเคลื่อนตัวลงมาปิดปากด้วยปากของหล่อนไว้
“จะร้องทำไม
อยากให้คนเข้ามาเห็นว่าเราเอากันอย่างนั้นเหรอ!”
“ห๊ะ!”
ตาเหลือกลานทันทีที่ได้ยินคำพูดที่ฟังดูหยาบๆจากเอิ้นเพื่อนรักที่ดูเหมือนจะแสนดีของเธออย่างนั้น
นี่..ทำไมเธอกล้าพูดคำนี้ออกมาได้
บ้าชะมัดเลย ไม่อายหรือไง
ทั้งคิดทั้งหน้าแดงฉ่าด้วยความอายแสนอายปากที่งึมๆงัมๆพยายามจะร้องตะโกนขอให้คนช่วยก่อนหน้านั้นก็กลายเป็นเงียบลงไปเมื่อเห็นอีกคนยกตัวแล้วทำท่าเหมือนจะปลดกระดุมเสื้อนักเรียนตัวเองออกจากตัวด้วย..
“เฮ้ย!ทำอะไรน่ะ”
ถามหล่อนคืนอย่างเหวอๆ
“ก็ถอดๆมันออกไปด้วยกันทั้งสองนี่ล่ะ
ถ้าคนเขามาเห็นจะได้พูดได้ว่ามันเต็มใจทำด้วยกันทั้งสองไม่มีใครบังคับข่มขืนใจใคร”
“โอ๊ย!
อิบ้า!
อิคนผีทะเล!”
“แหน๊ะ!
ด่าอีกแล้ว
หน็อย...ตอนนี้ขึ้นอีเลยเร๊อะ”
ยื่นมือไปปลดกระดุมเสื้อพะแพงแกล้งทันทีที่ได้ยินคำหยาบคายคำที่สองออกมาจากปากเพื่อนสาวอีก
นั่นเลยทำให้อีกคนพยายามขัดขืนฝืนตัวออกจากเงื้อมมือคนผีทะเลจนเสื้อผ้าของตัวเองกลายเป็นหลุดลุ่ยสมใจหล่อนจนได้
ตอนนี้กลายเป็นว่าเมื่อกระดุมเสื้อผ้าแถวบนของพะแพงหลุดออกจากกัน
ภาพเนินเนื้อหน้าอกสวยกับปลายขอบบราสีดำก็โผล่ขึ้นมายั่วอารมณ์เอิ้นคนขี้แกล้งจนอดใจไม่ได้เมื่อเผลอก้มลงไปมองนานๆเข้า
หล่อนเลยจัดการก้มหน้าลงไปสำเร็จโทษด้วยการหอมเนินเนื้อนั้นเบาๆด้วยตั้งใจแค่จะแกล้งเล่นๆ
แต่เอาเข้าจริงๆดันอดรนทนไม่ไหวซะเอง(อีกแล้ว)
เมื่อได้กลิ่นกายหอมๆผนวกกับความนุ่มนิ่มของเนินเนื้อนั้นตอนที่จมูกดุนดันๆไปๆมาๆ
จากที่แค่ใช้ปลายจมูกหอมก็กลายเป็นก้มลงจุมพิตและใช้ริมฝีปากดูดเนินเนื้อนั้นจากเบาๆแล้วกลายเป็นแรงขึ้นแรงขึ้นในที่สุด
จนรอบๆเนินเนื้อนั้นเป็นรอยช้ำไปหมดแล้ว..
“เอิ้นนน..พอได้แล้ว..”
เสียงครวญครางของอีกคนดังมา
และเมื่อได้ยินเสียงเหมือนว่าหล่อนกำลังร้องไห้ด้วยแล้วสติสตังของเอิ้นก็กลับมาทันที
ตอนนี้เธอรีบยกตัวขึ้นมามองคนด้านล่างที่น้ำตานองหน้าและกำลังมองเธอด้วยสายตาตัดพ้อน้อยใจด้วยไม่รู้ว่าเพื่อนต้องการอะไรจากตัวเองกันแน่
ทั้งๆที่ก่อนหน้านี่หล่อนย้ำแล้วย้ำอีกเรื่องสถานะเพื่อนรักแต่กับตอนนี้หล่อนกับยัดเยียดสัมผัสทางกายที่น้อยคนนักจะทนไม่หวั่นไหวได้
และโดยเฉพาะพะแพงที่แอบมีใจให้เอิ้นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
ยังไงๆเธอก็ต้องมีความรู้สึกพิเศษจนตัวเองเริ่มทนไม่ไหวเมื่อเผลอคิดว่าหรือหล่อนจะแค่แกล้งเธอให้เสียใจเล่น
เพราะหล่อนแอบหมั่นไส้เธอแทนเด็กของตัวเองเท่านั้นเอง
และด้วยความน้อยใจเมื่อดันไปนึกเรื่องเหล่านั้นเข้าน้ำตาจากดวงตาหวานๆแสนเศร้าก็ไหลเอ่อนองใบหน้าพะแพงจนคนมองเห็นยังตกใจเมื่อคิดได้ว่าหล่อนคงจะเกลียดตัวเองที่แกล้งหล่อนแรงเกินไปแล้วเช่นเดียวกัน...
“พะแพง...เค้า...เค้าขอโทษ..”
เสียงอ่อยๆบอกหล่อนในตอนที่ยื่นมือไปติดกระดุมเสื้อคืนให้
“เค้าแค่..แค่..อยากให้พะแพงยอมพูดเหตุผลที่งอนเค้าดีๆแค่นั้น
ไม่ได้ต้องการให้มันเลยเถิดขนาดนี้
อย่าโกรธกันเลยนะ”
ก้มหน้ามองตาหล่อนด้วยสายตาละห้อย
ตอนนี้แม้ตัวเองจะยังนั่งทับหล่อนอยู่แต่อาการขึงขังจำพวกจับมือตรึงขึงกับเบาะกลับไม่มีแล้ว
มีเพียงน้ำเสียงที่อ่อนโยนลงและสายตาเป็นห่วงเป็นใยเมื่อยังมองเห็นอีกคนน้ำตาไหลรินออกมาเรื่อยๆ
“เค้าขอโทษ..เฮ้อ..ทำไมนะ
ทำไมแค่การที่เค้าอยากรู้ว่าพะแพงเป็นอะไรทำไมถึงได้โกรธเค้านักมันถึงได้ยากเย็นอย่างนี้นะ
ทำไมเค้าถามพะแพงดีๆพะแพงก็ไม่ยอมตอบเค้าเลย
แค่การคุยกันด้วยเหตุผลดีๆมันทำไมยากเย็นขนาดนี้นะ
นี่เราจะต้องทะเลาะกันอีกกี่ครั้ง
หรือพะแพงจะต้องโกรธเค้าอีกกี่ครั้ง
พะแพงถึงกลับไปใจดีๆใจเย็นๆเหมือนก่อนหน้านั้นได้น่ะ”
ทั้งพูดทั้งก้มลงมองอีกคนที่น้ำตาคลอมองหน้าเธอด้วยความน้อยใจไป
ส่วนตัวเองก็นึกสงสารหล่อนได้แต่ยื่นมือลงไปเช็ดน้ำตาบนหน้าให้
พร้อมทั้งโน้มตัวลงไปหอมหน้าผากปลอบใจหล่อนเบาๆก่อนจะใช้ฝ่ามือค่อยๆลูบหัวหล่อนปลอบใจไปเบาๆในระหว่างที่พูดด้วย
“คุยกันดีๆเถอะนะ
เค้าไม่อยากให้สถานการณ์มันแย่ลงอย่างนี้เลย
นะคะ พะแพงคุยกับเค้าดีๆเถอะนะ”
คนโดนหอมหน้าผากเมื่อสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนที่กลับมาอีกครั้งของคนต่อหน้าแล้วก็เริ่มมีสีหน้าดีขึ้น
เธอพยักหน้างึกงักรับคำขอของเอิ้นหลังจากนั้น
“เนี่ย..กลับมาเป็นเด็กดีอย่างนี้ค่อยน่ารักหน่อย
เห็นมั้ยว่าการที่เราใช้แต่อารมณ์มันทำให้เกิดอะไรขึ้นมาบ้าง
แค่เมื่อวานที่พะแพงใช้อารมณ์ก็ทำให้เราทะเลาะกันจนคนอื่นต้องเดือดร้อนแล้วเห็นมั้ย
เห็นมั้ยว่าแว่นน้องเค้าแตกเพราะอะไร”
แค่ได้ยินแค่นั้นพะแพงก็คิ้วขมวดด้วยเพราะความน้อยใจกลับคืนมาอีกครั้ง
ตอนนี้จากที่อารมณ์กำลังเย็นลงก็กลายเป็นงอนหนักเข้าไปใหญ่
“เฮอะ
จะว่าเค้าเป็นต้นเหตุที่ทำให้แว่นน้องแตกอีกใช่มั้ย
หึ ขอโทษด้วยแล้วกันนะ
แค่นี้ก็รู้แล้วล่ะว่าอะไรเป็นอะไรน่ะ”
“อะไรคืออะไรเป็นอะไรอ่ะ
นี่พูดอย่างนี้อีกแล้วนะ
ทำไมพะแพงถึงไม่ยอมฟังและไม่ยอมรับ”
“จะให้ยอมรับอะไรล่ะ
เค้าเหรอที่เป็นคนผิด
เลิกเข้าข้างเลิกหลงเด็กตัวเองได้แล้ว
รู้มั้ยว่าเอิ้นน่ะหลงเด็กตัวเองจนโงหัวไม่ขึ้นแล้วนะ
มองไม่เห็นหัวคนอื่นด้วยซ้ำ
มองไม่เห็นแม้กระทั่งหัวเขา
แล้วก็เพราะคิดแค่ว่าเค้ามันงี่เง่าเอาแต่ใจก็เลยนึกแต่จะโยนความผิดให้เค้าอย่างนั้นเหรอ
ถ้างั้นอยากโทษว่าเค้าเป็นต้นเหตุที่ทำให้แว่นแฟนตัวเองก็โทษไปเลยนะ
ถ้าคิดแล้วสบายใจก็คิดเลย”
“ใครแฟน
นี่พะแพงกำลังใช้อารมณ์อีกแล้วนะ
แล้วทำไมต้องเถียงเค้าด้วย
ก็เมื่อวานก็เห็นกันอยู่ว่าเพราะพะแพงไม่ยอมฟังเค้าเลยเอาแต่อารมณ์ของตัวเอง
เค้าจะฉุดจะรั้งยังไงก็ไม่ฟังเค้า
กลายเป็นกระเป๋าตัวเองไปโดนน้องเค้าจนแว่นน้องเค้าแตกอย่างนั้นน่ะ
ลืมแล้วรึไง ห๊ะ!!”
ขึ้นเสียงเรียกสติเพื่อนสาว
นั่นเลยทำให้พะแพงอึ้งไปครูหนึ่งด้วยนึกถึงภาพเมื่อวานเข้าให้
คิดๆดูแล้ว
มันก็จริงอะนะ...
ทำตาล่อกแล่กมองคนข้างบนคิ้วขมวดจ้องมองตัวเอง
ตอนนี้หล่อนคงหมั่นไส้มากโขเห็นได้จากการกัดปากกัดฟันของหล่อนเมื่อมองมาที่ตัวเอง
“นี่แล้วรู้มั้ย
ว่าค่าแว่นน้องเค้า
เค้าก็ต้องออกให้อีกน่ะ
ทั้งๆที่ไม่ใช่เรื่องเลยแต่เค้าก็ยังต้องรับผิดชอบให้พะแพงน่ะ”
“หน็อย..”
กัดปากกัดฟันทันทีที่ได้ยินหล่อนบอก
“งั้นไม่ต้องรับผิดชอบ!
เค้าจะจ่ายเองก็ได้
เท่าไหร่กันเชียว!”
“ห้าพัน!
ค่าตัดแว่นใหม่ห้าพัน!”
“ด้ายยย
เงินแค่นี้ไม่มีปัญหา
จะได้จบๆเรื่อง
ขี้เกียจฟังคำทวงบุญคุณคนเหมือนกัน”
“หน็อยย
นี่อวดรวยเหรอ รู้หรอกว่ารวย
นี่ถ้าไม่สำนึกผิดและไม่สำนึกบุญคุณก็ไม่ต้องมาทำเป็นจะชดใช้ให้น้องเขาหรอกนะ
เค้ามีปัญญาจ่ายให้”
“เออ!
จ่ายไปเลยน้องตัวเอง!ที่รักของตัวเองนี่!
จะเปย์จะจ่ายยังไงเอิ้นก็ไม่แคร์อยู่แล้วนี่
แล้วจะมาพูดทำไม จะมาตามรังควานเค้าทำไม
ในเมื่อคนของตัวเองตัวเองดูแลได้อยู่แล้วนี่
ส่วนเค้ามันจะงี่เง่าจะเอาแต่ใจจะขี้งอนจะอะไรก็ช่างเค้า
ไม่ต้องมาแคร์เค้าเลย
ไปห่วงคนของตัวเองเหอะ
แค่นี้ก็รู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร!”
“อะไรเป็นอะไร!
หมายความว่ายังไง
พูดคำนี้อีกล่ะ
นี่ตกลงที่พูดที่เคลียร์กันมาทั้งหมดไม่รู้เรื่องเลยใช่มั้ย!”
“เออไม่รู้เรื่อง!
และไม่อยากรู้ด้วย!
กลับไปหาคนที่คุยรู้เรื่องของตัวเองเลยไป
ไปเลยไปอยู่กับคนที่เอิ้นแคร์เลยไปจะมาสนใจอะไรเค้านักหนา
เค้ามันไม่ได้สำคัญเท่าใคร
ไม่ได้สำคัญเท่ากับ..อุ๊บ...”
โวยวายไม่ทันจบเพราะอีกคนรีบโน้มตัวลงไปหยุดเสียงเธอด้วยริมฝีปากหล่อนก่อน
หล่อนโน้มตัวลงไปมอบจูบลึกล้ำหวังให้อีกคนเลิกโวยวายซะทีเพราะคงไม่เป็นอันทำอะไรสักอย่างหากยังทะเลาะกันอยู่อย่างนี้
และเพราะคิดว่าทางที่ดีหล่อนควรจะเป็นคนหยุดเรื่องทั้งหมดด้วยการยอมให้เธอเหมือนทุกครั้งดีกว่า..
“เลิกพูดเลิกโวยวายสักทีได้มั้ย
ถ้าพะแพงไม่ได้สำคัญกับเค้า
เค้าจะตามง้อพะแพงขนาดนี้มั้ยนี่
คิดเอาเองแล้วกันนะมันต้องสำคัญขนาดไหนเค้าถึงต้องตามง้อด้วยวิธีนี้นี่
วิธี...วิธีที่แบบ..เฮ้อ..”ถอนหายใจใหญ่ทั้งส่ายหน้าก่อนจะลุกขึ้นจากตัวพะแพงแล้วมานั่งชันเข่าด้านข้างหล่อน
ตอนนี้เอิ้นเด็กสาวที่ใบหน้าสวยหวานไม่ต่างจากพะแพงกำลังรู้สึกกลุ้มใจในความรู้สึกบางอย่างของตัวเองอยู่
ทำไมนะ..ทำไมนะ..เฮ้ออ..
สะบัดหัวเลิกที่จะคิดฟุ้งซ่านในบางเรื่องก่อนจะหันหน้ามามองคนที่นอนมองเธอด้วยสายตาไม่เข้าใจเช่นเดียวกัน
หล่อนทั้งคิ้วขมวดทั้งเม้มปากในใจก็กำลังสับสนในความรู้สึกที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นว่ามันคืออะไรกันแน่...
“เลิกทะเลาะกันเถอะนะพะแพง
เฮ้อ..แล้วก็
เค้าขอโทษในทุกๆอย่างแล้วกัน
อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นในวันนี้..คิดซะว่ามันเป็นแค่เพื่อนหยอกกันก็แล้วกันนะ..”
--<><><><>--
ตึง!!
เสียงประตูห้องของพะแพงดังขึ้นพร้อมท่าทางกระฟัดเฟียดของเจ้าของห้องที่ออกอาการไม่พอใจและไม่สบอารมณ์ตั้งแต่ตอนที่เธออยู่โรงเรียนแล้ว
และตอนนี้เมื่อเธอกลับมาถึงห้องที่เธอเชื่อว่าเป็นพื้นที่ส่วนตัวเธอเลยจัดการปลดปล่อยมันออกมาซะเต็มที่
ในเมื่อที่อื่นตัวเองก็ต้องเก็บงำความรู้สึกไม่พอใจเอาไว้ตลอดถึงแม้เรื่องที่เจอมันจะน่าน้อยใจและน่าโมโหขนาดไหนก็ตาม
ฮึ้ยยย
คิดขึ้นมาแล้วมันก็น่าโมโห
ภาพก่อนที่เธอจะตัดสินใจวิ่งหนีเพื่อนออกมาชวนให้อารมณ์หงุดหงิดเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
ยัยคนบ้า!ยัยคนผีทะเล!
ทำกันขนาดนั้นยังมีหน้ามาบอกให้เราคิดแค่ว่าเพื่อนหยอกกันอีกงั้นเร๊อะ!
ใบหน้าหวานๆของพะแพงกลายเป็นคิ้วขมวดด้วยความโมโหโกรธา
นึกถึงภาพสุดท้ายที่พอหล่อนบอกอย่างงั้นปุ๊บเธอก็รีบยื่นมือไปตบเพี๊ยะที่แก้มหล่อนด้วยความหมั่นไส้เข้าให้
ก่อนจะลุกขึ้นผลักร่างหล่อนล้มแล้วรีบวิ่งหนีหล่อนออกมา
อารมณ์ในตอนนั้นเรียกได้ว่าทั้งโกรธทั้งเคืองจนไม่สามารถจะอยู่มองหน้าหล่อนได้
ได้แต่วิ่งตะเลิดตะเลอด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจออกมานอกโรงเรียนแล้วรีบขึ้นรถกลับบ้านไม่สนใจหันกลับไปมองอีกคนที่พยายามวิ่งหนีและเรียกตัวเองไว้เลย
หน็อยย..คำก็เพื่อนสองคำก็เพื่อน
อยากรู้นักว่าเพื่อนที่ไหนเขาหยอกกันอย่างนี้บ้างเนี่ย
นึกถึงภาพที่หล่อนทั้งกอดทั้งหอมทั้งไซ้ซอกคอตัวเองแล้วความหงุดหงิดที่มาพร้อมกับความสงสัยก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นอีก
เอ๊ะ
หรือว่าเพื่อนคนอื่นๆเขาเล่นกันอย่างนี้เหรอ
คิ้วขมวดใบหน้าเหยเกทันทีที่มีคำถามจากห้วงคำคิดหนึ่งดังมาถาม
เอ..แต่ก็ไม่น่านะ
หรือว่าจะ แต่..เอ๊ะ..
ก็ไม่รู้สินะ
เราก็ไม่เคยสนิทกับเพื่อนผู้หญิงคนไหนเลยนอกจากเอิ้น
ตั้งแต่เล็กจนโตก็คบแต่กับเอิ้นอยู่แค่คนเดียว
คนอื่นที่ผ่านเข้ามาคุยไม่ได้สนิทชิดเชื้อด้วย
เลยไม่รู้ว่าเพื่อนผู้หญิงคนอื่นๆเขาจะหยอกกันเล่นแบบถึงเนื้อถึงตัวกันอย่างนี้หรือเปล่า
ยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัยแต่ความสงสัยทั้งหมดก็ถูกกลบไปด้วยภาพใบหน้าเอิ้นตอนที่หล่อนโน้มตัวลงมามอบจูบลึกล้ำต่อหลังจากนั้น
เดี๋ยวนะ
แล้วเพื่อนผู้หญิงเขาก็เล่นจูบกันอย่างนี้ใช่มั้ย
มันก็อาจจะใช่หรอก
แต่จะถึงขนาดที่แบบว่าใช้..เอ่อ..ลิ้นอย่างเอิ้นด้วยนี่มันจะมีใครบ้าทำอย่างนั้นอยู่เหรอ..
เออ..ใช่สินะ
เริ่มนึกอะไรขึ้นได้ก่อนจะสบถออกมาด้วยความหัวเสียหลังจากนั้น..
อึ้ยย
ยัยบ้า!!มีเพื่อนที่ไหนเขาใช้ลิ้นจูบกันอย่างนั้นบ้างเนี่ย!!
นึกถึงสัมผัสกะหวัดกวัดเกี่ยวที่หล่อนพยายามถ่ายทอดให้ตัวเองด้วยความไม่เต็มใจก่อนหน้านั้นแล้วก็โมโห..ไม่สิ..จะว่าไม่เต็มใจมันก็ไม่ใช่ซะทีเดียว
ก็ในเมื่อเธอในตอนนั้นก็เผลอไผลปล่อยตัวปล่อยใจไปกับจูบแรกของตัวเอง
แถมยังเป็นจูบแรกจากคนที่ตัวเองแอบรักอีกทำไมเธอจะไม่รู้สึกอ่อนละทวยถึงขนาดไม่กล้าต่อต้านหรือขัดขืนอะไรเจ้าของจูบกันเลยเล่า
ยิ่งนึกถึงสัมผัสนุ่มนิ่มของริมฝีปากหล่อนแล้วใบหน้านิ่วคิ้วขมวดของพะแพงก็กลายเป็นคลายออกและเปลี่ยนสีเป็นแดงซ่านด้วยความอาย
โอ้ยให้ตายเถอะ
ถ้าฉันเจอหน้าหล่อนอีกทีฉันจะต้องทำหน้ายังไงดีนี่เอิ้น!
พะแพงได้แต่เอามือกุมหน้าแดงๆของตัวเองไว้เมื่อนึกอะไรไม่ออกด้วยทำตัวไม่ถูกและทำใจไม่ถูกด้วย
เนื่องจากคำว่าเพื่อนที่หล่อนย้ำแล้วย้ำอีกยังคงเป็นสิ่งกีดขวางความรู้สึกทางใจไม่ให้พะแพงกล้าปล่อยใจให้หลงรักหล่อนไปมากกว่านี้อีก
ในเมื่อเธอไม่ได้รู้สึกอะไรกับฉันและย้ำกันขนาดนั้น..ฉันก็ควรจะทำใจแล้วใช่มั้ย
พยายามหักห้ามความรู้สึกตัวเองด้วยการไปอาบน้ำอาบท่าหวังให้น้ำอุ่นๆช่วยชะโลมความว้าวุ่นในใจให้ได้บ้าง
ซึ่งก็ได้ผลดีเพราะพะแพงคนสวยขี้งอนก็หายจะอาการฟุ้งซ่านเหล่านั้นทันทีที่เธออาบน้ำเสร็จ
ซึ่งนั่นก็ทำให้เธอพยายามตั้งสมาธิเพื่อมานั่งทำการบ้านและอ่านหนังสือในกิจกรรมลำดับต่อไปของวันต่อ
--<><><><>--
เสียงเตือนจากข้อความโทรศัพท์รัวกระหน่ำดังเมื่อพะแพงเปิดเครื่องขึ้น
ก็หลังจากที่เธอปิดเครื่องไว้ในตอนที่รีบวิ่งหนีเอิ้นกลับบ้านแล้วอีกคนรีบโทรตามไม่หยุดเสียทีเธอเลยตัดสินใจปิดเครื่องเอาไว้นั่นล่ะ
จากเวลานั้นจนมาถึงตอนนี้ก็เกือบๆจะสี่ทุ่มนับๆดูก็เกือบๆหกชั่วโมงเห็นจะได้ที่เธอเผลอปิดเครื่องไว้
ด้วยพยายามตั้งสติไม่อยากคิดมากเรื่องอะไรอีกก็เลยลืมเช็คโทรศัพท์เลย
และตอนนี้เมื่อเธอกำลังอึ้งด้วยกำลังคลิ๊กดูจำนวนเมสเสจและข้อความที่แสดงให้เห็นว่าเธอพลาดสายใครไปบ้างมือของเธอก็ไปกดพลาดโดนปุ่มรับสายเมื่อมีใครบางคนพยายามเฟซไทม์เข้าหาเธอเข้าจนได้
“พะแพง!
เดี๋ยวๆหยุด!
” เป็นเอิ้นที่รีบห้ามเสียงหลงเมื่อเห็นเธอทำท่าจะปิดสาย
“ไหว้ล่ะ อย่าตัดสายเลย
คุยกันก่อนเถอะนะ”คนในสายทั้งพูดทั้งยกมือข้างเดียวไหว้ขอร้องปะหลกๆท่าทางและสีหน้าของเอิ้นในตอนนี้บ่งบอกว่าหล่อนกำลังกังวลใจกับเพื่อนสาวของตัวเองเป็นอย่างมาก
“นี่จะหลบหน้าจะไม่ยอมรับสายเค้าให้ได้เลยใช่มั้ยพะแพง
ทำไมพะแพงใจร้ายอย่างนี้
นี่กะจะตัดเพื่อนกันเลยใช่มั้ย”
ได้ยินคำว่าเพื่อนแล้วพะแพงก็ตาเขียวปั๊ด
ตั้งท่าจะกดปิดโทรศัพท์อย่างเดียว
จนอีกคนเห็นท่าไม่ดีต้องตัดสินใจทำบางอย่างเพื่อหยุดการกระทำหักหาญน้ำใจของหล่อนก่อน
“เดี๋ยว!!ที่รัก!!”
ได้ผลแฮะ..เพราะพะแพงก็ชะงักทันทีที่เห็นเอิ้นร้องเรียกเสียงหลงอย่างนั้น
ด้วยไม่เคยได้ยินคำๆนี้ออกมาจากปากเวลาคุยกันสองคนเสียที
แต่ไหนแต่ไรจะได้ยินคำนี้เวลาหล่อนพูดหยอกเล่นเรื่องเธอกับเพื่อนคนอื่นๆเท่านั้น
แต่เวลาจะคุยกันสองคนทีไรก็จะใช้แค่คำว่าเค้ากับตัวเองหรือไม่ก็เรียกแทนว่าพะแพงไปเลย
ที่รักอย่างนั้นเร๊อะ
เหล่ตามองอีกคนด้วยยังไม่หายเคืองแต่ก็ยังอยากรู้ว่าหล่อนจะมาง้อไม้ไหนอีก
“นะคะที่รัก
คุยกันก่อนนะ นะ..”
พะแพงหัวเราะหึก่อนจะจ้องมองไปที่ภาพเอิ้นในหน้าจอ
มองซ้ายมองขวาเหมือนกำลังหาอะไรบางอย่างด้วยความสงสัยอยู่ครู่หนึ่งก็เก๊กเสียงห้วนๆถามหล่อนออกไปด้วยความสงสัย...
“นึกยังไงมาเรียกที่รัก
ไม่เคยเรียกอย่างนี้สักที
ตัวจริงป่ะนี้”
คนในสายหลุดหัวเราะทันที“ตัวจริงเสียงจริง
จริงยิ่งกว่าจริงเสียอีก
ไม่เชื่อก็ลองถามเรื่องตอนเย็นดูสิว่าเค้าทำอะไรพะแพงบ้าง”
“หยุด!
ห้ามพูดถึงเรื่องนั้นอีกถ้ายังอยากจะคุยกันน่ะ
ไม่งั้นปิดเครื่องอีกนะ”
“โอ๊ะ!
ดะ
ดะ เดี๋ยว!
ขอโทษ
ไม่พูดก็ไม่พูดค่ะ”รีบร้องเรียกพะแพงเสียงหลงหน้าตาตื่น
“อะไรกัน ทำไมดุอย่างนี้
ทำไมช่วงนี้พะแพงเปลี่ยนไปเยอะเลยนะ
ทำไม..”
“หยุด
จะคุยเรื่องอะไรก็คุย
สั้นๆไม่ต้องเยอะ ไม่งั้นวางนะ”
ชะงักทันทีที่ได้ยินข้อความตัดบทไม่ถนอมน้ำใจอย่างนั้นอีก
“เฮ้อ..ก็ได้ๆสั้นๆก็ได้
แค่เป็นห่วงอยากรู้ว่าอยู่ไหน
ก็เลยโทรมาเช็คว่ากลับถึงบ้านหรือยัง”
ได้ยินคำว่าเช็คว่ากลับถึงบ้านหรือยังพะแพงก็แสยะมุมปากแหยงๆ..
“หึ
เป็นห่วงเลยโทรมาเช็คว่ากลับถึงบ้านหรือยังงั้นเร๊อะ
ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก
ไม่เคยเป็นห่วงซักทีนี่
โน้น..ไปห่วงเด็กตัวเองโน้นโทรไปถามเขาสิว่าถึงบ้านหรือยังจะมาถามเค้าทำไม
เค้าก็เป็นแค่เพื่อนเท่านั้น”
“พะแพง!!
“ทำมะ
หรือจะเถียงว่าเค้าไม่ใช่เพื่อน
ย้ำแล้วย้ำอีกไม่ใช่เหรอว่าเค้าเป็นแค่เพื่อน
ถ้าเป็นแค่เพื่อนจะมาห่วงกันมากมายทำไม
ไปห่วงเด็กของตัวเองเซ้!!”
ทั้งเสียงทั้งหน้ายียวนกวนโอ๊ยเต็มที่
“พะแพง!!”
“ทำไมหรือไม่จริง!!”คิ้วขมวดขึ้นเสียงต่อ
“นี่!!หยุดโมโหซะทีได้มั้ย
ถ้าโมโหแล้วจะโง่ขนาดนี้ก็เลิกโมโหไปเลยนะ..ถ้าเค้าเป็นห่วงเด็กคนนั้นเค้าไม่โทรมาหาพะแพงอย่างนี้หรอก!!”
“ง้านนหร๊ออ!!”
ยังทำหน้าและเสียงโยกโย้กวนอารมณ์อยู่เช่นเคย
“ฮึ้ยย!!”
คนในสายกัดฟันหมั่นไส้พะแพงเต็มที่
ทั้งขยิบปากยุบยิบเหมือนพยายามจะไม่พูดบางอย่าง
แต่ท้ายที่สุดเมื่อเห็นใบหน้ากวนโอ๊ยท้าทายอารมณ์ของหล่อนที่จนถึงปานนี้ก็ยังไม่หยุดเสียทีแล้วก็อดรนทนไม่ได้กลายเป็นตะแบงเสียงดังผ่านโทรศัพท์ออกมาด้วยความโมโหของตัวเองเหมือนกัน..
“พะแพง!!
นี่ถ้าไม่โง่เกินไปก็น่าจะรู้แล้วนะว่าไม่มีเพื่อนที่ไหนเขาทำอย่างที่เราทำกันหรอก!!”
กึ๊ก!!
เป็นการเบรคอารมณ์ที่ได้ผลชะงัด
เพราะเมื่ออีกคนได้ยินอย่างนั้นเธอก็กลายเป็นหยุดใบหน้ายียวนลงไป
กลายเป็นใบหน้างุนงนแทนเมื่อนางพยายามทบทวนสิ่งที่ได้ยินจากเอิ้นด้วยความสับสนของนางต่อ
“ว่าไงนะ..มะ..หมายความไง..”
ถามเอิ้นคืนอย่างเหวอๆไม่คิดว่าจะได้ยินอะไรทำนองนี้..
“นี่ยังจะต้องถามอีกเหรอว่าหมายความว่าอะไร
นี่ทำไปทั้งหมดนี่ยังดูไม่ออกอีกเหรอว่าเค้าน่ะ...โอ๊ะ..โอ๊ยยย!!”
พะแพงคิ้วขมวดทันทีที่เห็นว่าอยู่ๆคนพูดก็ร้องโอ๊ยแล้วหยุดชะงักก้มหน้าก้มตายกมือขึ้นกุมขมับตัวเองราวกับว่ากำลังเจ็บปวดกับอะไรสักอย่างอย่างรุนแรงอยู่
“ปะ..เป็นอะไรอ่ะเอิ้น!!
เอิ้น!!”
ร้องถามเสียงหลงด้วยความความตกใจเมื่อยังได้ยินเสียงร้องครวญครางอย่างเจ็บปวดทรมานของหล่อนดังเข้ามาในสายเรื่อยๆ
“เอิ้น
เป็นอะไรหรือเปล่า
นี่เป็นจริงหรืออำกันเล่นนี่..”
“โอ๊ยยยย..
เป็นจริงๆ..ไม่รู้เป็นอะไรอยู่ๆก็ปวดหัวขึ้นมาน่ะ..แต่..แต่คงไม่เป็นไรมากหรอกมั้ง
สงสัยเค้าปวดหัวเพราะคิดมากน่ะ
เอ่อ..อาจจะเป็นเพราะเครียดน่ะ
แต่..โอ๊ย.โอ๊ยย...เดี๋ยวนะ
เดี๋ยวแค่นี้ก่อนแล้วกันนะ
เดี๋ยวไงพรุ่งนี้ค่อยคุยกันใหม่แล้วกันนะ..”
พูดเสร็จก็ตัดสายทิ้งฉับ
ทิ้งให้พะแพงที่นั่งมองดูอาการไม่สบายของเพื่อนที่ตัวเองรักต้องกังวลและพะว้าพะวงตามด้วยความเป็นห่วง..
นี่เอิ้นปวดหัวคิดมาก
คิดมากเพราะเรื่องเราอย่างนั้นเหรอ..
..แล้วร้องดังขนาดนั้น
จะเป็นอะไรมากมั๊ยนี่..
--<><><><>--
เช้าวันต่อมาในเวลาก่อนเข้าเรียน
พะแพงที่มาถึงโรงเรียนก่อนและทำตัวไม่ถูกไม่รู้ว่าควรจะทำหน้าอย่างไรหากต้องเจอกับเพื่อนสาวของตัวเองหน้าโรงเรียนที่มีผู้คนเยอะแยะอย่างนั้น
เธอจึงรีบเดินขึ้นห้องเรียนโดยที่ไม่นั่งรออีกคนอย่างที่เคยทำเป็นนิสัย
และเมื่อมาถึงหน้าห้องเรียนพะแพงก็เจอเข้ากับน้องหลินเด็กลิงน้อยของเพื่อนสาวตัวเองที่ยืนเก้ๆกังๆอยู่หน้าห้องเหมือนหล่อนกำลังรอใครอยู่..
“เอ่อ
พี่พะแพงคะ พี่พะแพงเห็นพี่เอิ้นมั้ยคะ”
หล่อนยิ้มโชว์ใบหน้าขาวสวยหมวยน่ารักปราศจากแว่นของหล่อนทันทีที่เห็นพะแพงเดินเข้ามาใกล้
“เอ่อ..มะไม่
ไม่เห็นจ๊ะ”
ตอบหล่อนไปด้วยใบหน้าเหยเกในแบบที่ไม่รู้ว่าควรจะยิ้มหรือจะบึ้งดีนั่นล่ะ
“ทำไมหรือจ๊ะ มีอะไรกับเอิ้นอย่างนั้นเหรอ”
ถามหล่อนกลับไปเมื่อนึกขึ้นได้ว่าทำไมถึงได้มาถามหาเอิ้นแต่เช้าขนาดนี้
“เอ่อ
คือเมื่อคืนหลินโทรไปหาพี่เอิ้นเห็นว่าพี่เอิ้นไม่สบายน่ะค่ะแล้วเมื่อเช้าพี่เอิ้นก็โทรบอกว่าคงไม่ได้มาโรงเรียนพร้อมกันให้มาก่อนเลย
ก็เลยคิดว่าพี่เอิ้นคงจะเป็นอะไรไม่สบายมากหรือเปล่า
ถึงขนาดไม่รอมาโรงเรียนพร้อมหลินขนาดนั้น”
ได้ยินแค่นั้นกระเป๋าในมือพะแพงก็แทบจะหลุดมือหล่นพื้น
“มะ..ไม่รอมาโรงเรียนพร้อมกัน..”
ยิ้มให้หล่อนแบบกล้ำกลืนที่สุดในสามโลกในตอนที่แกล้งถามย้ำ
“อ๋อ
ใช้สินะพี่ก็ลืมไปว่าเราสองคนมาโรงเรียนพร้อมกันทุกวันนี้นา
เอ..นี่มาโรงเรียนพร้อมกันอย่างนี้แสดงว่าตอนกลับก็คงจะกลับด้วยกันใช่มั้ย..”ยังพยายามถามหล่อนต่อด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
เมื่ออยากรู้ก็อยากรู้และเจ็บก็เจ็บ..
เด็กสาวคนต่อหน้ายิ้มหวานหน้าแดงระเรื่อ
ดวงตาเล็กของหล่อนก็ยิ่งหยีลงอีกเมื่อได้กล่าวถึงอีกคนในบทสนทนาด้วยความรู้สึกพิเศษอย่างเห็นได้ชัด
“ค่ะ..ก็กลับด้วยกันทุกวันค่ะ
มีแค่เมื่อวานนี่ล่ะค่ะที่พี่เอิ้นไม่ว่างไปส่ง
เอ่อ เห็นบอกว่าติดธุระคุยกับเพื่อนอยู่
แต่ตอนค่ำก็แวะไปหาหลินอยู่ที่บ้านนะคะ”
“แวะไปหา?”
รีบถามหล่อนด้วยความตกใจทันที
“ไปหาที่บ้าน ตอนค่ำเนี่ยนะ”
“ใช่ค่ะ
ก็ ทานข้าวเย็นด้วยกันแล้วก็
เอ่อ..”
หล่อนหยุดพูดแล้วบิดตัวซ้ายขวาเหมือนกำลังอายบางอย่าง
ทั้งยิ้มหวานตาหยีหน้าก็แดงขึ้นเรื่อยๆจนพะแพงเองเริ่มเรียบเรียงถึงสถานการณ์ต่อไปของเรื่องได้
อ๋อ..นี่คงจะเป็นตอนที่สิบเอ็ดที่แพรี่เริ่มไปหารัณห์ที่บ้านทุกวัน
จากที่แค่คุยกันตอนเย็นก็เริ่มกินข้าวด้วยกันและค้างคืนนอนด้วยกัน
และจากนั้นก็..มีอะไรในที่สุด
สะเทือนใจขึ้นมาทันทีเมื่อนึกถึงบทNCของแพรี่และรัณห์ในCheapterนี้
นี่อย่าบอกนะว่าสองคนนี้จะมีอะไรกันแล้วนี่...คิดได้ก็เริ่มตะกุกตะกักถามคนต่อหน้าด้วยอาการใจเสียของตัวเองทันที
“นี่
หลินพี่ถามอะไรหน่อยสิ
เอิ้นไปบ้านหลินบ่อยมั๊ย
“เอ่อ..ก็..ก็บ่อยค่ะ”
“เคยค้างที่บ้านมั้ย”
หล่อนยิ้มแหยๆหน้าแดงฉ่า
ทำทีเป็นตะกุกตะกักเคอะเขินอยู่แป๊บนึงแต่ยังไม่ทันได้ตอบอะไรพะแพงดีเสียงจากบุคคลที่สามในบทสนทนาก็ดังขึ้นแทรกขัดจังหวะเสียก่อน
“มาทำอะไรที่นี่เนี่ย”
หล่อนยื่นมือมาจับไหล่หลินจนคนโดนจับสะดุ้งรีบหันไปตามเสียง
“พี่เอิ้น
มาตอนไหนเนี่ย ทำไมหลินโทรหาแล้วไม่รับสาย”
“ก็พึ่งมาถึงเมื่อกี้เนี่ยล่ะ
ทำไมนี่เราโทรมาหาพี่เหรอ..คือ..พอดีกดรับสายไม่ได้น่ะ”
เอิ้นทั้งพูดทั้งเหล่มองไปที่มือของตัวเองซึ่งนั่นก็ทำให้คนถามร้องเสียงหลงทันทีที่หันไปมองตามแล้วเจอว่ามือขวาของหล่อนโดนเข้าเฝือกไว้ด้วย
“เฮ้ย
มือของพี่เอิ้นไปโดนอะไรมาน่ะ
ทำไมได้เข้าเฝือกด้วยล่ะ”
ทั้งถามทั้งยื่นมือไปจับมือของเอิ้นมาดูด้วยความเป็นห่วง
นั่นเลยทำให้ให้อีกคนที่ยืนดูด้วยความน้อยใจยิ่งได้แต่น้อยใจเข้าไปใหญ่
ตอนนี้พะแพงที่หน้าซีดใจเสียมาตั้งแต่ได้ยินเรื่องที่หลินบอกว่าเอิ้นไปส่งหล่อนที่บ้านทุกวันแล้ว
แล้วยิ่งมาเห็นภาพบาดตาบาดใจที่แสดงความเป็นห่วงที่ทั้งสองมีให้ต่อกันอีกก็ได้แต่เจ็บจุกจนสีหน้าออกอาการไม่สู้ดีเข้าไปใหญ่
ด้วยรู้สึกพะอืดพะอมที่จะต้องทนมองเห็นภาพหวานต่อหน้า
และเมื่อไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไรเธอเลยได้แต่สะบัดร่างก้มหน้าก้มตาเดินลิ่วๆด้วยอาการกระฟัดกระเฟียดเล็กๆ
ที่คนอื่นอาจจะมองไม่เห็น
แต่สาวสวยหน้าหวานอีกคนกลับมองเห็นมันตั้งแต่แว็บแรกที่หล่อนเริ่มคิ้วขมวดจ้องมองเธอด้วยอาการไม่พอใจแล้ว..
และนั่นก็ทำให้เธอสัมผัสถึงพลังงานลึกลับที่คุ้นเคย
ที่ทำให้เธอลอบถอนหายใจยาวๆอีกครั้งเมื่อนึกขึ้นได้ว่า
การง้องอนเมื่อคืนนั้นจบลงด้วยการเริ่มงอนใหม่อีกครั้งแล้วสำหรับเพื่อนสาวของเธอ..
--<><><><>--
“พะแพงไม่ไปกินข้าวเหรอ..”
เสียงหวานๆดังขึ้นเรียกสติพะแพงในขณะที่กำลังเท้าคางนั่งเหม่อมองไปด้านนอกหน้าต่างของห้องเรียน
และเมื่อเธอหันไปมองก็เห็นเป็นเพื่อนผู้หญิงร่วมห้องที่เดินถือขนมและน้ำหวานผ่านเข้ามาทางประตูห้องและหล่อนคงจะแปลกใจที่เห็นพะแพงนั่งซึมนั่งเหม่ออยู่ในห้องคนเดียวแทนที่จะเดินลงไปกินข้าวเหมือนคนอื่นๆ
เลยลองถามพะแพงด้วยความเป็นห่วงดู
“เอ่อ..คือวันนี้เค้าไม่หิวข้าวน่ะ
คือ..ไดเอทน่ะ”
ยิ้มอายๆให้เพื่อนคนนั้นในตอนที่นึกหาเหตุผล
“ไดเอท!?”
เพื่อนคนนั้นตาโต
“โห หุ่นดีอย่างนี้ยังจะไดเอทอีกเหรอ”
ทั้งพูดทั้งก้มมองแก้วชานมไข่มุกตัวเองด้วยสีหน้าละอายใจเล็กๆก่อนจะยกขึ้นมาดูดฮวบใหญ่ๆเมื่อนึกขึ้นว่าช่างมันเถอะถึงชั้นจะไม่กินยังไงๆก็ไม่สวยเท่าพะแพงอยู่ดีนั่นล่ะน่ะ
“หึหึ..พะแพงกินน้ำตาลบ้างก็ได้นะ
จะได้อารมณ์ดีช่วงนี้เห็นหน้าบึ้งบ่อยๆ
โอ๊ะ ไม่แซวดีกว่าแค่นี้แล้วกัน”
หน้าเสียเล็กๆเมื่อเริ่มเข้าใจความหมายของเพื่อนที่คงจะแซวพะแพงเรื่องที่กำลังงอนกับเอิ้นที่พวกเขาพากันจับกลุ่มนินทากันทั้งวันนั่นเอง
และนั่นก็ทำให้พะแพงถึงกับนั่งเลิ่กๆลั่กๆด้วยเริ่มทำตัวไม่ถูกไม่รู้ว่าควรจะอยู่ในห้องต่อเพื่อที่จะคุยกับเพื่อนคนนั้นอีกดีมั้ย
เพราะใจเธอวันนี้ไม่มีอารมณ์อยากจะคุยอะไรกับใครเลย
แม้กระทั่งเอิ้นที่วันนี้ช่วงเช้าพยายามจะง้องอนด้วยการหันมาชวนเธอคุยยังไงพะแพงก็ยังใจแข็งไม่ยอมคุยด้วยอยู่ดี
จนกระทั่งตอนพักเที่ยงกินข้าวที่หล่อนก็พยายามชวนเธอไปกินข้าวด้วยเช่นเคยแต่เธอก็ปฏิเสธไปด้วยเหตุผลที่ว่าไม่หิว
ทั้งที่จริงเป็นเพราะเธอไม่อยากลงไปนั่งมองหน้าเอิ้นและเด็กของหล่อนกระหนุงกระหนิงกันมากกว่า
และเมื่อต้องอยู่ในสถานการณ์กระอักกระอ่วนใจจากเรื่องที่ว่านี้พะแพงเลยแกล้งบอกเพื่อนไปว่าตัวเองลืมธุระสำคัญที่จะต้องไปตอนเที่ยงทั้งที่จริงเธอก็ไม่รู้จะไปไหนเหมือนกัน
ได้แต่เดินยิ้มหวานออกมาจากห้องแล้วเตร็ดเตร่เดินไปตามทางเดินของอาคารเรียนไปเรื่อยจนกระทั่งตัดสินใจเดินขึ้นไปบนชั้นดาดฟ้าที่มักจะลืมปิดประตูเอาไว้และช่วงนี้เธอคิดว่าคงไม่มีใครอยู่ที่นั่นแน่ๆ..
“เฮ้อ!!!
เมื่อไหร่จะเลิกเรียนซะทีเนี่ยยยย!!!”
นั่นเป็นข้อความแรกที่พะแพงตะโกนขึ้นเสียงดังเมื่อเดินไปอยู่บนลานดาดฟ้าคนเดียวได้แล้ว
“ก็รออีกสามคาบเองทนไม่ได้หรือไง..ทำไมต้องโวยวายขนาดนั้นด้วย”
อึ๊ก!!สะดุ้งโหยงทันทีที่ได้ยินเสียงใครบางคนแทรกขึ้นมาทั้งๆที่คิดว่าน่าจะไม่มีคนอื่นอยู่ด้วยแล้วแท้ๆ
หันไปมองที่มาของเสียงก็เห็นว่าเป็นครูฝึกสอนคนสวยที่เคยเจอกันในห้องน้ำและตอนนี้หล่อนกำลังยืนยิ้มมองมาที่เธออย่างขำๆโดยที่ในมือของหล่อนนั้นกำลังคีบบุหรีค้างไว้อยู่ด้วย
บุหรี่??
พะแพงถึงกับหน้าเหวอทันทีที่ก้มลงไปเห็นบุหรี่ในมือของหล่อน
และนั่นก็ทำให้ครูฝึกสอนคนนั้นรีบปล่อยบุหรี่ในมือทิ้งลงกับพื้นก่อนจะรีบใช้ส้นรองเท้าบี้ก้นบุหรี่ให้ดับสนิทเหมือนกัน
“ชูว์..ห้ามบอกใครนะคะ
เดี๋ยวเด็กจะไม่เคารพครู
แค่นี้ก็ไม่ค่อยฟังที่ครูสอนเท่าไหร่แล้วเอาแต่แซวกัน”
ครูคนสวยทั้งพูดทั้งยกนิ้วชี้ขึ้นทำท่าจุ๊ปากตัวเองทั้งยิ้มแหยๆให้พะแพงตอนที่เดินเข้ามาหาเธอหลังจากนั้น
“คือ..ครูเครียดเรื่องสอนน่ะก็เลยสูบ
แต่ครูไม่ได้สูบตลอดหรอกนะ
นานๆครั้งน่ะ
แล้วก็..เราก็ห้ามเลียนแบบครูด้วยเข้าใจมั้ยครูสูบได้แค่คนเดียว..”
“ค่ะ”
ยิ้มแหยๆรับที่ครูคนนั้นสอน
“แล้วนี่นึกยังไงถึงมาตะโกนเสียงดังอย่างนี้
ครูได้ยินตอนแรกยังคิดว่าเป็นเด็กเกรกมะเหรกเกเรที่ไหนมาร้องซะอีก
หันมาเจอว่าเป็นพะแพงแล้วก็ตกใจบุหรี่แทบจะติดคอครูแหนะ”
หลุดหัวเราะทันทีที่ได้ยินครูพูดแซวด้วยการยกเรื่องบุหรี่มาเป็นมุกอย่างนั้น“เอ่อไม่มีอะไรค่ะ
แค่..แค่
เบื่อๆเซ็งๆน่ะค่ะ”
“เบื่อๆเซ็งๆ??
เซ็งอะไร
อ๋อ นี่อย่าบอกนะว่าเซ็งเอิ้นน่ะ”
ครูคนนั้นทั้งพูดทั้งอมยิ้มในตอนที่แกล้งแซวพะแพงเรื่องคู่จิ้น
ซึ่งนั่นก็ทำให้พะแพงได้แต่สำลักไอแค่กๆด้วยไม่คิดว่าครูจะมาแซวตัวเองเล่นๆเรื่องแบบนี้อีกแล้ว
อะไรกัน..ครูคนนี้ดูเป็นวัยรุ่นมากกว่าที่เราคิดเสียอีก
ทั้งสูบบุหรี่
ทั้งติดตามข่าวคราวบนโลกออนไลน์จนสามารถเอามาแซวนักเรียนได้ขนาดนี้
เออ
พึ่งเคยเห็นคนที่มีบุคลิกกับน่าตาขัดกันทุกอย่างก็วันนี้นี่ล่ะ
ทั้งคิดทั้งจ้องมองครูคนสวยก้มลงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดบางอย่าง
“นี่ครูแซวเล่นๆไม่ต้องเขินขนาดนั้นก็ได้
หยุดไอแก้เขินได้แล้ว
บอกแล้วไงว่าครูเป็นแฟนคลับของเราทั้งสองคนน่ะ
นี่แสดงว่าไม่เชื่อใช่ป่ะว่าครูติดตามเรา
งั้นดูนี่นะ...”ยื่นโทรศัพท์ที่กดอะไรเมื่อครู่นี้ส่งให้พะแพงดู
“นี่ไง
ครูติดตามเพจนี้ด้วยนะ
แล้วก็ครูก็ติดตามไอจีเราด้วย
นี่ไงเห็นมั้ย”
“โอ้ย”รีบยกมือไหว้ขอบคุณแทบไม่ทันที่เห็นอย่างนั้น
“ขอบคุณนะคะที่ติดตามแต่นั่นไม่ใช่ไอจีของหนูหรอกค่ะแล้วก็เพจนั้นก็ไม่ใช่ของหนูด้วย”
“รู้ค่ะ
ครูรู้ว่าไม่ใช่ แต่ครูก็อยากติดตามเราไง
นี่รู้หรือเปล่าว่าเราสองคนน่ะน่ารักมากๆเลยนะ
ครูน่ะก็เผลอแอบจิ้นเราทั้งสองคนบ่อยๆ
ช่วงนี้ก็เลยหงุดหงิดเป็นพิเศษหน่อยที่เห็นอีกคนเขาแบบว่า..เอ่อ..”หยุดพูดทันทีที่เห็นสีหน้าของพะแพงเปลี่ยนไปเมื่อได้ยินเหมือนครูกำลังจะพูดถึงเรื่องของเอิ้นและหลินอีกแล้ว
“เอ่อ..งั้นช่างมันเถอะครูว่าครูไม่พูดดีกว่า
เราคงไม่อยากฟังเรื่องของแพรี่กับรัณเท่าไหร่สินะ
เอ้ยไม่ใช่สิ ไม่ใช่แพรี่กับรัณสิ
ต้องเอิ้นกับหลินสิ”
ชะงักในคำพูดผิดๆของคุณครูฝึกสอนทันที
“แพรี่กับรัณห์??
เดี๋ยวนะคะอย่าบอกนะคะว่าครูอ่านนิยายเรื่องจิ้นนักรักซะเลยด้วยน่ะ”
ครูคนนั้นยิ้มแหยๆ
“ก็เอ่อ..เอ่อ..ก็อ่านด้วยประมาณนั้นแหละ”
“แต่นี่มันนิยาย..เอ่อ..นิยายยูรินี่คะ
ครูอ่านนิยายยูริด้วยเหรอ”
ครูคนนั้นยังยิ้มหวานเหมือนเดิมแต่จะมีเพิ่มเติมก็ตรงแอบมีสายตาเจ้าเล่ห์แปลกๆมองกลับมาที่พะแพงด้วย
“ก็อ่านไง
ก็คงจะเหมือนกับเราใช่มั้ยล่ะที่อ่านนิยายเรื่องนี้เหมือนกันก็เลยรู้จักชื่อตัวเอกของนิยายน่ะ
เอ..อ่านนิยายยูริอย่างนี้แสดงว่าก็ต้องชอบอ่านเรื่องหญิงรักหญิง
งั้นเรื่องที่คนแซวเรากับเอิ้นก็จริง..อุ๊บ” คนฟังรีบโผเขาไปปิดปากครูฝึกสอนด้วยความลืมตัวทันที
“ไม่ใช่นะคะ
ครูกำลังเข้าใจผิด หนูแค่ชอบอ่านเฉยๆ
คือหนูชอบอ่านนิยายทุกประเภทค่ะไม่ใด้เฉพาะเจาะจงว่าจะต้องเป็นนิยายยูริ
เอ่อ จริงๆแล้วหนูชอบอ่านนิยายวายมากกว่าค่ะ”
“จริงเหรอคะ”
ยังไม่หยุดยิ้มกรุ้มกริ่มอีกเมื่อเห็นท่าทางเลิ่กลั่กหน้าแดงของพะแพงอย่างนั้น
“เสียดายจังเลยนึกว่าชอบอ่านนิยายเรื่องนี้เป็นพิเศษ
ว่าจะเมาส์อะไรด้วยสักหน่อย
ครูอุตสาห์แอบคิดว่านิยายเรื่องนี้มันเหมือนชีวิตจริงของพะแพงกับเอิ้นยังไงไม่รู้
เนี่ยได้โอกาสมาคุยกับพะแพงใกล้ๆอย่างนี้ก็ดีเหมือนกันนะ
ครูเก็บไว้ในใจคนเดียวอึดอัดจะแย่อยากมีคนที่อ่านนิยายเรื่องนี้เหมือนกันมาเมาส์มอยกันน่ะ
คือหมายถึงเรื่องที่ครูคิดว่านิยายเรื่องนี้เหมือนพวกเราทั้งสองคนนั่นแหละ..”
พะแพงนั้นหน้าเหวอมาตั้งแต่ได้ยินว่าครูคนนี้ชอบอ่านนิยายยูริแล้วยิ่งมาได้ยินเรื่องที่ครูคนนี้บอกว่าหล่อนคิดว่าเนื้อเรื่องในนิยายเหมือนชีวิตของเธอแล้วก็ยิ่งเหวอไปกันใหญ่
นี่..นี่ไม่ใช่แต่เฉพาะเธอหรอกใช่มั้ยที่คิดว่านิยายเรื่องนี้เหมือนกับชีวิตตัวเอง
“มะ..เหมือนยังไงคะ”
เลิ่กๆลั่กๆถามครูคนนั้นกลับคืนไปทันที
“ก็..แพรี่ตัวเอกเป็นดาวโรงเรียนแสนสวยก็เหมือนเอิ้นไง
ส่วนรัณห์ตัวเอกอีกคนที่เป็นรุ่นน้องจอมเอ๋อใส่แว่นหน้าเตอะก็เหมือนหลินไง
แล้วเรื่องที่ทั้งสองไม่ชอบหน้ากันแต่ต้องแกล้งเป็นแฟนกันงั้นอีก
ส่วนเอรินเพื่อนสาวคนสนิทแสนสวยตัวร้ายของเรื่องครูก็คิดว่า...เอ่อ..เหมือน..”มีการแอบสบตาพะแพงนิดนึงในตอนที่จะพูดถึงหล่อน
นั่นเลยทำให้ครูคนนั้นเห็นว่าพะแพงเปลี่ยนสีหน้ากลายมาเป็นเศร้าอีกแล้ว
“เอ่อ..ช่างมันเถอะ
เอาเป็นว่าครูว่านิยายเรื่องนี้มันเหมือนชีวิตพวกเธอมากๆเลยนะ
นี่ครูยังตกใจเลยที่มาเห็นพวกเธอทั้งสามคนในโรงเรียนแบบนี้น่ะ”
“เหรอคะ”พะแพงแกล้งยิ้มกลบเกลื่อนร่องรอยความเศร้าที่แสดงออกทางสายตาของตัวเองเมื่อครู่นี้
“แต่หนูว่ามันคงเป็นเรื่องบังเอิญมากกว่าค่ะ
และที่สำคัญหนูกับเอิ้นก็ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรพิเศษเหมือนในนิยายด้วย
เราสองคนเป็นได้แค่เพื่อนร่วมห้องธรรมดาๆแค่นั้นค่ะ”
“เพื่อนร่วมห้องธรรมดาๆงั้นเหรอ..”
ครูคนนั้นยื่นมือมาลูบผมพะแพงทันทีที่ได้ยินน้ำเสียงแปลกๆของพะแพง
“ฟังดูเศร้าๆยังไงไม่รู้นะ
ไม่รู้ว่าครูคิดมากไปเองหรือเปล่า
แต่ครูก็ไม่ได้อยากเห็นพะแพงต้องมาเศร้าไม่ว่ากับอะไรก็ตาม
ไม่ว่าตอนนี้พะแพงจะกลุ้มใจกับเรื่องอะไร
ครูก็ขอให้มันผ่านไปด้วยดีนะ
เข้าใจมั้ย
อย่าคิดมากนะตั้งใจเรียนหนังสือซะนะเด็กดี
เพื่ออนาคตของตัวเองนะคะ”
ทั้งพูดทั้งลูบหัวพะแพงที่เผลอเงยหน้าไปสบตาคุณครูคนนั้นเข้า
และรอยยิ้มหวานๆจากดวงตาอ่อนโยนที่หล่อนหรี่ลงตารอยยิ้มก็ทำให้พะแพงเผลอยิ้มตามทันที
“จำไว้นะแม้นิยายมันอาจจะเหมือนชีวิตจริงยังไง
ถ้าเราไม่เอาใจไปยึดติดกับมัน
นิยายก็จะเป็นเพียงแค่นิยายเท่านั้น
ชีวิตจริงเราสร้างเองได้
เราเปลี่ยนเองได้ขอเพียงแค่ลองมองหาสิ่งใหม่ๆหรือคนใหม่ๆดูบ้าง
เข้าใจที่ครูพูดมั้ยคะ”
พยักหน้ารับคุณครูคนสวยก่อนจะยิ้มให้หล่อนตอนที่ตอบรับหล่อนด้วยความสบายใจแบบประหลาดๆหลังจากนั้น
“เข้าใจค่ะคุณครู
ขอบคุณนะคะ”