ซ้อนเล่ห์รัก
Chapter 4
ปากร้ายแต่โปรไฟล์ดี
“รถรุ่นนี้นำเข้ามาในไทยได้ไม่กี่คันหรอกครับ
แล้วก็ทะเบียนรถนี่ก็จดถูกต้องตามกฏหมายด้วย เจ้าของก็มีฐานะสมกับรถดี
พี่ดูชื่อเจ้าของแล้วน่าจะไม่มีปัญหาอะไรอย่างที่น้องฝ้ายสงสัยนะครับ..”
เสียงของพี่วิทย์เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกรมขนส่งทางบก
ผู้ชายที่เคยจีบฉันอีกคนดังขึ้นในร้านอาหารแสนหรูที่ฉันนัดเขาออกมาดินเนอร์
หลังจากที่ก่อนหน้านี้ฉันพยายามใช้เสน่ห์ของตัวเองข้อร้องให้เขาช่วยเช็คดูเจ้าของรถแลมโบกีนี่คันหรูให้ที
เมื่อฉันสงสัยว่าอาจจะเป็นรถสวมทะเบียนและนำเขามาอย่างผิดกฏหมายหรือเปล่า
ด้วยความฉลาดที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน
เมื่อฉันหันไปเห็นรถยัยพี่หน้าบึ้งแล้วเลยคิดได้เรื่องรถคันหรูที่คงจะมีไม่กี่คันในไทย
และป้ายทะเบียนรถที่ก็คงจะสืบชื่อเจ้าของได้ไม่ยากเท่าไหร่
และเมื่อตัวเองก็มีกิ๊กทุกสายงานอาชีพอยู่แล้วยังไงก็คงไม่ยากเกินไปแน่ถ้าจะใช้เสน่ห์ล้วงเอาข้อมูลความลับทางราชการเหล่านั้นออกมา
“เหรอคะ ฝ้ายขอดูเอกสารได้มั้ยคะ”ยิ้มหวานให้เขาก่อนจะยื่นมือขอเอกสารที่เขาถืออยู่ในมือ
ด้วยท่าทางที่แกล้งทำเป็นงงๆและไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ เรียกได้ว่าแกล้งใสซื่อก็ได้..
“เจ้าของรถชื่อนางสาวนารา เอกอัครทรัพย์อย่างนั้นเหรอ เอ๊ะ
นามสกุลทำไมคุ้นๆ”
“ทำไมจะไม่คุ้นล่ะครับ
นามสกุลนี่เอาไปตั้งเป็นชื่อหมู่บ้านจัดสรรตั้งหลายโครงการ ทั้งคอนโด
ทั้งโรงแรมรีสอร์ทหรู ก็ของเจ้าสัววรานนท์ไงครับ นี่ก็ลูกสาวคนเล็กของเขา”
“ลูกสาวคนเล็ก..” ฉันเหลือบตาดูปีพ.ศ.ในบัตรประชาชนของเธอ2529 เอ..อายุ34ปีงั้นเหรอ “แก่จัง..” นั่นคือสิ่งที่ฉันบ่นพึมพัมเบาๆออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ
“แก่เหรอ ฝ้ายว่าคุณนาราเขาแก่เหรอ พี่ว่าเขาก็ยังไม่แก่นะ
อายุกำลังพอดีเลยเนี่ย ผู้หญิงวัย30ต้นๆนี่ล่ะกำลังสวย”
“เอ่อ..ฝ้ายไม่ได้ตั้งใจว่าเขาค่ะ คือเผลอปาก คือ..ฝ้ายเผลอมาเทียบกับอายุตัวเองเข้าน่ะค่ะ”
“เอ้าก็ใช่สิ ฝ้ายก็เพิ่งอายุ21เอง
จะเอาไปเทียบกับเขาทำไมกันล่ะครับ หรือฝ้ายจะดูความสวย เฮ้ยพี่ว่ามันก็คนล่ะแบบนะ
ฝ้ายก็สวยแบบสดใสน่ารัก คุณนาราก็สวยเฉี่ยวดูมีเสน่ห์ในแบบของเขา
มันเทียบกันไม่ได้หรอกว่ามั้ย”
“ค่ะ” ได้แต่ยิ้มรับเขาเบาๆแก้เขิน
ก่อนจะก้มหน้าอ่านข้อมูลในเอกสารเหล่านั้นด้วยความสนใจของตัวเองต่อไปเงียบๆ
จนกระทั่งดินเนอร์นั้นจบลงไป
เย็นวันนั้นหลังจากที่กลับมาจากดินเนอร์พร้อมๆเอกสารพวกนั้น
ฉันก็จัดการเสิร์ชหาข้อมูลของนางสาวนารา เอกอัครทรัพย์ในอินเตอร์เน็ตทันที
แต่มันน่าแปลกว่าแม้จะมีชื่อเธอในเน็ตเยอะยังไงกลับไม่มีข่าวอะไรที่กล่าวถึงรายละเอียดส่วนตัวของเธอเลย
ชื่อของเธอที่ปรากฏในเน็ตเป็นเพียงประวัติของเจ้าสัววรานนท์ที่กล่าวถึงชื่อบรรดาลูกๆทั้งสี่คนแค่นั้นเอง
และที่น่าแปลกก็คือบรรดาพี่ชายทั้งสามของเธอมักจะมีข่าวในแวดวงสังคมไฮโซบ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นข่าวซุบซิบเกี่ยวกับความรัก
หรือข่าวเกี่ยวกับธุรกิจการงานของลูกชายทั้งสามที่ถือว่าเก่งและหยิบจับอะไรก็เป็นเงินเป็นทองทุกอย่าง
เอ..หรือว่าเธอเป็นคนเก็บตัวไม่ค่อยอยากออกสังคมเหมือนพี่ชายทั้งสามกัน
น่าแปลกจังทั้งๆที่เธอก็สวยและดูดีขนาดนี้ ชีวิตเธอจริงๆก็ย่อมจะเป็นที่น่าสนใจกับคนทั่วไปบ้างสิ
แต่นี่กลับไม่มีใครรู้เลยว่าเธอเป็นใคร
ได้แต่พยายามค้นหาประวัติของเธอผ่านทางการอ่านเรื่องราวของครอบครัวเธอไปด้วยความอิจฉา
เมื่อเห็นว่าเธอช่างโชคดีที่เกิดในตระกูลผู้ดีมีเงินและมีชื่อเสียงโด่งดังใครๆก็นับหน้าถือตา
แตกต่างจากฉันราวฟ้ากับดินที่เป็นแค่ลูกสาวแม่ค้าขายผักในตลาดที่ไม่ได้มีฐานะร่ำรวยอะไร
แค่เพียงฉันโชคดีที่เกิดมาสวยและรูปร่างดีเท่านั้นชีวิตเลยพลิกผันได้พบกับความสบาย
ซึ่งมันก็ได้มาอย่างไม่มีเกียรติ
เมื่อฉันได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเด็กเสี่ยจนต้องทะเลาะกับแม่เรื่องนี้บ่อยๆ
นึกถึงภาพวันที่แม่ตัดแม่ตัดลูกกับฉัน
เมื่อแม่ได้ยินเพื่อนบ้านนินทาเรื่องที่ฉันไปเป็นเมียน้อยเสี่ยจนเขาซื้อคอนโดให้อยู่และซื้อรถหรูให้ขับ
“มึงไม่ต้องมาเรียกกูว่าแม่เลยนะ
กูไม่มีลูกระหรี่อย่างมึงหรอก”
ได้ยินแล้วก็เจ็บใจ
ได้แต่กลับมาแอบร้องไห้อยู่คอนโดคนเดียวเงียบๆ
ในเมื่อแม่เลือกที่จะเชื่อคนอื่นมากกว่าลูกสาวที่เฝ้าบอกกับแม่ว่าหนูยังไม่เคยมีอะไรกับใครสักคนแล้วจะว่าหนูเป็นเมียน้อยเขาได้ยังไง
แต่ก็นั้นล่ะนะสังคมไทย ถ้าเห็นใครได้ดีกว่ากันง่ายๆจะทนได้ไง
เขาก็ต้องอิจฉาเป็นธรรมดา ได้แต่คิดปลอบใจตัวเอง และพยายามพิสูจน์ตัวเองให้แม่ได้เห็นอยู่ตั้งนานกว่าแม่จะใจอ่อนยอมให้กลับเข้าบ้านได้อีกครั้ง
และนั่นเลยเป็นต้นเหตุที่ทำให้ฉันพยายามเลือกคนที่จะคบด้วย
อย่างที่ฉันเคยบอกเพื่อนไว้ ถ้าฉันไม่เจอคนที่ดีที่สุด
รวยที่สุดที่สามารถพาฉันและแม่ฉันหนีไปจากสังคมพวกนี้ได้ ฉันก็จะไม่ยอมยกพรหมจรรย์ที่มีค่าที่สุดในชีวิตของฉันให้กับใครเลยตลอดชีวิต..
//////////////////////////////
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ พี่นารา..”
เสียงของฉันดังขึ้นในเช้าของวันถัดมา
ณ เวลาเดิมที่เจ้าของรถแลมโบกีนี่จะลงมายังรถของตัวเอง เล่นเอาคนโดนทักถึงกลับชะงักเล็กๆเมื่อได้ยินฉันเรียกชื่อตัวเองซะด้วย
เธอหันใบหน้าแปลกใจมาจ้องมองพิจารณาใบหน้ายิ้มเล็กยิ้มน้อยของฉันก่อนจะหัวเราะหึเมื่อรู้ว่าฉันคงจะไปหาข้อมูลของตัวเองมาหมดแล้ว
“คงไปถามนิติมาซินะ หึ อุตส่าห์กำชับไม่ให้บอกข้อมูลใครง่ายๆยังจะบอกอีก
อย่างนี้ต้องโดนซะแล้ว”
ได้ยินเสียงแข็งๆของเธอบ่นให้บรรดาพี่นิติพวกนั้นฉันเลยรีบแก้ตัวแทนพวกเขา
“ไม่ใช่ซักหน่อย
คือพี่พวกนั้นไม่ได้บอกข้อมูลอะไรของพี่นาราหรอกนะ
เขาแค่พลั้งปากเรียกชื่อพี่แล้วหนูก็แค่จำได้..”
“พลั้งปากอย่างนั้นเหรอ”
ปากเล็กๆจิ้มลิ้มของเธอเสยะยิ้มอีกแล้ว เกลียดจริงๆเลยอ่ะ
“งั้นเธอรู้อะไรเกี่ยวกับฉันบ้างล่ะ”
“ก็รู้แค่ชื่อพี่...”
“แน่ใจ๊..”
พยักหน้ารับเบาๆ
แม้จะรู้ทั้งหมดเกี่ยวกับเธอหมดแล้วก็ตาม แต่ด้วยท่าทางเธอที่เหมือนไม่ไว้ใจใครง่ายๆเลยก็อดที่จะทำให้ฉันต้องเปลี่ยนแผนแสร้งทำเป็นไม่รู้ว่าเธอเป็นใครเลยจะดีกว่า
อย่างน้อยๆก็อยากให้เธอตัดประเด็นที่ว่าฉันมาตีสนิทกับเธอเพราะเรื่องทรัพย์สินเงินทองเท่านั้น
เธอมองหน้าฉันเหมือนกำลังอ่านใจอยู่ครูหนึ่งก็สะบัดร่างเดินหนีจะขึ้นรถเธออีกแล้ว
“เดี๋ยวสิพี่ พี่จะหนีหนูทำไมนี่ ทำไมไม่ยอมคุยกันดีๆซักที
หรือพี่รังเกียจหนูที่เป็นอย่างนี้ชอบผู้หญิงอย่างนี้ นี่พี่เหยียดเพศใช่มั้ย”
เธอหันใบหน้านิ่งๆมามองฉัน
“ฉันไม่ได้เหยียดเพศ แต่เหยียดคนที่ไม่จริงใจ ฉันจะเหยียดใครก็ตามที่ฉันรู้สึกว่าเขากำลังไม่จริงใจต่อฉัน”
“ไม่จริงใจ หนูไม่จริงใจต่อพี่ตรงไหน
หนูพยายามบอกพี่ตรงๆทุกครั้งว่าหนูชอบพี่”
“ชอบฉัน?” พี่นาราเสยะยิ้ม ก่อนจะออกจากรถเข้ามาประชิดตัวฉัน
“งั้นฉันถามเหตุผลเธอได้มั้ย เธอชอบฉันเพราะอะไร
ชอบที่ตัวฉัน รถของฉัน หรือเงินของฉัน”
คำถามจากใบหน้าราบเรียบแต่แฝงมากับดวงตาดุดันคู่นั้นทำให้ฉันชะงักเล็กๆ
“ชอบ..ชอบที่ตัวพี่สิ” พยายามฝืนดวงตาตัวเองไม่ให้ล่อกแล่กเมื่อรู้ว่าเธอกำลังจับพิรุธที่สายตาของฉันอยู่
“งั้นเหรอ จะให้ฉันเชื่อเธอได้อยู่เหรอ ในเมื่อเราเจอกันทุกครั้งก็ตรงรถของฉันตลอด
และแสดงว่าเธอก็รู้มาตลอดว่าฉันมีเงิน
จะให้ฉันเชื่อว่าเธอชอบฉันที่เป็นฉันในแบบที่ไม่มีรถหรูๆคันนี้เนี่ยนะ..”
“พี่คิดว่าหนูหวังเงินพี่ใช่มั้ย งั้นพี่ดูนี่นะ..” ฉันเปิดกระเป๋าของตัวเองหยิบรีโมท์รถปอร์เช่ร์ที่จอดอยู่ใกล้ๆรถเธอขึ้นมากดสวิชซ์ปลดรถประตูรถโชว์
“นั่นรถหนู
พี่เห็นป่ะหนูก็มีรถเหมือนพี่นะ
แม้จะไม้ได้เป็นรุ่นเดียวกันแต่มันก็หรูไม่ต่างกันเลย
และหนูก็อยู่ที่คอนโดนี่ที่พี่ก็รู้ว่าราคามันไม่ใช่น้อยๆ
ถ้าไม่ใช่ว่าที่บ้านหนูก็มีฐานะเหมือนพี่หนูจะมีปัญญาซื้อรถและซื้อคอนโดอย่างที่นี่มั้ย”
คำอธิบายของฉันทำให้เธอคิ้วขมวดเป็นปมเล็กๆแต่ก็ยังคงจ้องมองฉันด้วยใบหน้าราบเรียบเหมือนเดิม
“หนูไม่ได้หวังเงินพี่นะ พี่เลิกคิดไม่ดีกับหนูได้แล้ว
ถ้าพี่บอกว่าพี่ไม่ได้เหยียดเพศพี่ก็ควรให้โอกาสหนูจีบพี่นะ”
ใบหน้าสวยเฉี่ยวจ้องมองฉันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะแสยะยิ้ม
“จีบเหรอ หึ ก็เอาสิ แต่ฉันจีบยากนะ คงไม่เหมือนคนทั่วๆไปที่เธอเคยเจอหรอก
ฉันกลัวว่าเธอจะถอดใจซะก่อน” พูดเสร็จแม่เจ้าประคุณก็หันหลังขวับเดินขึ้นรถแล้วออกรถไป
ทิ้งให้ฉันยืนอึ้งอยู่ครู่นึงก่อนจะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าในที่สุดเธอก็ยอมให้ฉันจีบเธอได้แล้ว
นึกดีใจที่แผนการหลอกล่อของตัวเองสำเร็จจนได้
หึ ขอโทษที่ต้องโกหกนะ ถ้าไม่บอกว่าเป็นคนรวยมีฐานะเหมือนๆกัน เธอก็คงไม่ยอมให้ฉันเข้าใกล้เธอแน่ๆ
นี่ล่ะนะ ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล
////////////////////////////////////
“สวัสดีตอนเย็นค่ะ พี่นารา”
เสียงฉันกล่าวทักทายพี่นาราที่ก้าวขาลงมาจากรถด้วยท้วงท่าสง่างามในชุดแสกทำงานสีขาวของเธอในช่วงเย็นของวันเดียวกัน
เธอยืนปิดรีโมทรถก่อนจะถอดแว่นตาดำที่เธอใส่ออกแล้วยืนจ้องมองฉันอย่างพินิจพิเคราะห์
“นี่เธอไม่มีเรียนเหรอ ทำไมฉันเห็นเธอใส่ชุดนักศึกษา แต่มายืนดักรอฉันอยู่นี่ทั้งวันอยู่ได้
หรือที่ใส่ชุดนักศึกษาเพราะว่าเป็นชุดอาชีพอื่น..”
เสียมารยาท..ต่ำที่สุดเลย นี่หรือความคิดของผู้ดีมีเงิน...นั่นคือสิ่งที่ฉันคิดในใจเมื่อรู้ว่าเธอกำลังหลอกด่าเรื่องอาชีพที่มักใส่ชุดนักศึกษาทำงาน
“หนูจะไม่โกรธพี่นะ ถึงแม้หนูจะรู้ว่าพี่หลอกด่าหนู
หนูมีเรียนแล้วก็เรียนเต็มๆคาบด้วย
นี่คือชีทที่หนูเรียนและก็นี่คือสมุดที่หนูจดเลคเชอร์จากที่อาจารย์สอนในวันนี้”
ทั้งพูดทั้งพยายามฝืนยิ้มหวานสู้
มือก็ยกเอาบรรดาเอกสารรวมทั้งสมุดจดงานโชว์เธอที่สะแหยะยิ้มจากใบหน้าสวยเฉี่ยวจิ้มลิ้มของเธอรับแล้วสบัดร่างจะเดินหนีฉันอีกแล้ว
“พี่จะไปไหนน่ะ ใจคอพี่จะไม่ทักหนูสักคำเลยเหรอ”
เธอหันใบหน้าเรียบๆมามองฉัน
“ก็ทักแล้วไง”
“ไหน? ที่หลอกด่าหนูเมื่อกี้นี่นะ”
“ถ้าคิดว่าฉันด่าก็แล้วแต่ แต่ฉันถามดีๆ
ซึ่งคำถามดีๆมันก็อยู่ก่อนหน้าประโยคนั้นนั่นแหละ”
พอได้พูดยาวแล้วก็กวนตีนไม่ใช่เล่นเลยนะเรา
นั่นคือความคิดในขณะที่ใบหน้าของฉันพยายามแสร้งยิ้มหวานอย่างยิงฟันให้เธออยู่
แม้จะรู้สึกโกรธและน่าโมโหแค่ไหนฉันก็จะอดทนไว้เพื่อความสำเร็จที่หอมหวานและผลตอบแทนอันคุ้มค่าที่ฉันจะได้รับตามมาเมื่อเธอตกหลุมรักฉันแล้ว
ฉันเห็นยัยพี่นาราเลิ่กคิ้วจ้องมองท่าทางยิ้มยิงฟันของฉันแล้วอมยิ้มตาม
ท่าทางเหมือนกำลังพอใจที่เธอกวนฉันได้
“ไม่มีอะไรแล้วใช่มั้ย ถ้าไม่ ฉันจะขึ้นห้องนะ ฉันเหนื่อย
ทำงานมาทั้งวันอยากพักผ่อน”
คนถามถามด้วยใบหน้าแบบไม่รู้ไม่ชี้
จนฉันต้องตอบรับไปด้วยเสียงเบาๆว่าค่ะ
ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้ถึงการหยอดมุกจีบของวันนี้ที่ฉันตั้งใจมาดักเธอเพื่อที่จะบอกเธอว่า...
“หนูคิดถึงพี่นะคะ..”
เธอเลิ่กคิ้วทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น
แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรตอบ มีเพียงท่าทางอมยิ้มแบบแปลกๆให้ฉันก่อนที่เธอจะหันหลังเดินจากฉันไปหลังจากนั้น
ทิ้งให้ฉันยืนอึ้งค้างเพราะผิดหวังที่แอบคิดว่าเธอน่าจะมีปฏิกิริยาตอบรับที่มากกว่านั้นกลับมาบ้าง
“อ้าวไหนบอกว่าคุยกันแล้ววะ แล้วเมื่อกี้คือไร ทำไมแกวืดค้างอย่างนั้นล่ะ”
เสียงยัยนัทที่พึ่งกลับมาจากข้างนอกแล้วเดินมาเห็นฉันดังแทรกเข้ามาเรียกสติฉันให้ละทิ้งอาการเหวอๆก่อนนั้นไป
“ไม่รู้สิ คงอยู่ในช่วงเล่นตัวมั้ง” ตอบปัดยัยนัทไปอย่างเซ็งๆและเบื่อหน่ายสุดๆ
“ฉันก็ไม่เข้าใจหล่อนเหมือนกันแหละ ผู้หญิงอะไรเข้าใจยากสุดๆ”
“ธรรมดาแหละแก แกก็เป็นเหมือนกัน ไม่ลองถามผู้ชายที่มาจีบแกบ้างล่ะ
จะได้รู้ว่าเขารู้สึกยังไงกับแกเวลาที่แกเล่นตัวกับเขาน่ะ”
เหล่ตามองแรงยัยนัททันทีที่ได้ยินอย่างนั้น
“แกจะว่ากรรมตามสนองฉันใช่ป่ะ”
“ไม่น้าาา ใครจะว่าแกแม่นางฟ้าตัวท๊อปประจำแก๊งค์เราเล่า
ก็อย่างที่แกบอกตอนแกเล่นตัวแหละ แกมีสิทธิ์เลือก มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธใครก็ได้ ตราบใดที่แกยังไม่เจอคนที่ใช่
อันนี้ฉันก็หมายถึงในกรณีเจ๊คนสวยของแกด้วยล่ะวะ พี่แกก็คงจะคิดอย่างนั้นเหมือนกัน..”
ได้ยินดังนั้นฉันก็ได้แต่พ่นลมหายใจแห่งความหงุดหงิด
“เซ็งว่ะ
อย่าให้เห็นว่าตกหลุมรักฉันหัวปรักหัวปรำเหมือนผู้ชายพวกนั้นแล้วกัน
แม่ไถเอาเงินให้หมดตูดเลยคอยดู”
“อุ้ย ชั่วจริงๆเลยแก ฉันล่ะขนลุกแทนเจ๊แกจริงๆ
ภาวนาให้เจ๊เขาไม่ตกหลุมรักแกง่ายๆแล้วกันนะ ฉันสงสารเจ๊แกว่ะ”
ยัยนัททั้งพูดทั้งยิ้มน้อยมองฉันที่ตาเขียวปั๊ดเมื่อฟังที่หล่อนพูดคล้ายๆแช่งไม่ให้ฉันจีบพี่นาราติดด้วยความไม่พอใจก่อนจะยื่นไม้ยื่นมือมาโอบไหล่ขอโทษ
“อ๊ะๆฉันล้อเล่นน่า ป่ะๆเซ็งใช่มั้ย งั้นคืนนี้เราไปแด๊นซ์กันเถอะป่ะ”