ซ้อนเล่ห์รัก
Chapter 5
ตื้อเท่านั้นถึงจะครองโลก
“ว้าว ลูกสาวตระกูลเอกอัครทรัพย์เลยเหรอแก เลิศสุดๆเลยอ่ะ
อย่างนี้ก็รวยโคตรๆสิ”
เสียงตื่นเต้นของยัยนัทดังขึ้นท่ามกลางเสียงดนตรีเพลงเด๊นซ์ที่ดีเจกำลังเปิดอยู่ในขณะนี้
เมื่อกลางดึกก่อนหน้านั้นหลังจากที่ฉันและยัยนัทพากันเดินทางเข้ามาถึงในผับและเราสองคนก็ดื่มกันเมาพอประมาณและยัยนัทกับฉันก็เริ่มพูดคุยเรื่องสัพเพเหระทั่วๆไป
รวมถึงเรื่องของพี่นาราที่เธออยากรู้ว่าหล่อนเป็นใครโปรไฟล์ดีแค่ไหนทำไมคนที่ไม่ยอมใครเลยอย่างฉันถึงทนยอมหงุดหงิดอยู่ได้
“อืม ลูกสาวคนเล็กแหละ ฉันเคยเห็นแต่ข่าวบรรดาพี่ชายทั้งสามคนของเขาเห็นว่าเป็นตระกูลนักธุรกิจตัวยงของประเทศหยิบจับอะไรก็เป็นเงินเป็นทองไปหมด”
“แล้วไงวะ คนรวยขนาดนั้นมาทำอะไรอยู่ที่นี่ หรือว่าเค้ามาทำงาน
อ้อหรือว่าจะทำหมู่บ้านจัดสรรหรือคอนโดในจังหวัดเราอีก”
“ก็คงงั้นมั้ง ฉันยังไม่รู้รายละเอียดเรื่องนั้น
รู้แค่ว่าพี่นาราก็ทำงานกับที่บ้านเธอนั่นแหละ
งานที่เธอได้รับมอบหมายมาก็จากกงสีอะไรเทือกนี้แหละ”
“เชื้อสายจีนสินะ มิน่าดูหมวยๆสวยๆผิวพรรณดี โห
ถ้าเจ๊แกจะจีบยากก็ไม่แปลกหรอก ผู้หญิงรวยๆระมัดระวังตัวเองสูงเว้ย เขากลัวจะมีคนชั่วๆมาสูบเขา”
หลับตาปี๋ทันทีที่ยัยนัทพ่นน้ำลายจากความชั่วมากระแทกโดนหน้าฉันเต็มๆ
“ไม่ต้องชมเพื่อนแกขนาดนั้นก็ได้
เรามันก็คนประเภทเดียวกันนั่นแหละไม่งั้นจะเพื่อนกันได้เหรอ”
“หืม กระแนะกระแหนเก่งสมกับเป็นเพื่อนฉันนะแก อ๊ะไหนชนแก้วสิ” พูดเสร็จยัยนัทก็ยกแก้วเหล้าชนกับฉันดังแกร้ง ก่อนจะพากันลุกขึ้นเต้นตามจังหวะเพลงบ้างเบาๆด้วยท่าเต้นเซ็กซี่ประจำของเราทั้งสองเป็นการแก้เครียด
และที่สำคัญพวกเราก็แค่อยากวัดเรตติ้งในทุกๆครั้งที่มาเที่ยว
อยากรู้ว่าเสน่ห์ของพวกเรามันจะยังคงร้อนแรงเหมือนเดิมมั้ย
มองเห็นรอบๆโต๊ะฉันมีหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่รายล้อม
พวกเขาพากันจ้องตาพวกเราเป็นมัน
นั่นเลยทำให้ฉันสังเกตุว่าโต๊ะผู้หญิงแถวๆนั้นก็เหล่ตามองพวกฉันด้วยความหมั่นไส้เช่นเดียวกันด้วย..ช่วยไม่ได้อ่ะนะก็คนมันสวย
เต้นยั่วด้วยท่าเต้นเซ็กซี่อยู่ไม่นานบรรดาผู้ชายทั้งหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ก็พากันสลับสับเปลี่ยนกันเข้ามาชนแก้วและขอเบอร์
แต่ฉันเลือกที่จะคุยและสานสัมพันธ์ปลอมๆเพื่อทดสอบเสน่ห์ตัวเองก็ชายวัยกลางคนรูปร่างท่าทางสมาร์ท
ที่ฉันเห็นเขาเข้ามานั่งที่โต๊ะใกล้ๆฉันพร้อมๆกับบอดิการ์ดสองคนที่ยืนดูแลอยู่ใกล้ๆโต๊ะเขา
มองดูก็รู้ว่าต้องเป็นพวกมีเงินมีอำนาจ และตอนนี้ฉันก็อยากจะทดสอบเสน่ห์กับพวกมีเงินมีอำนาจเพื่อลบปมในใจที่ยัยพี่นาราเทฉันครั้งแล้วครั้งเล่าก่อนหน้านั้นลงไปให้ได้ด้วย
อย่างน้อยๆถ้าเป็นผู้ชายยังไงๆเขาก็หลงฉันล่ะวะ
นั่นคือสิ่งที่ฉันคิดในขณะที่กำลังซบหัวลงไปแกล้งหนุนไหล่เขา เมื่อฉันแกล้งบอกกับเขาไปว่าฉันรู้สึกเมาเหลือเกินเหมือนจะยืนไม่ไหวแล้วยังไงไม่รู้
ซึ่งเขาก็รีบโอบไหล่ฉันไว้พร้อมๆกับการกระยิ่มยิ้มย่องเมื่อเห็นบรรดาโต๊ะรอบๆพากันมองด้วยความอิจฉาอยู่
“เสี่ยทำงานอยู่ที่ไหนนะคะ พรุ่งนี้เสี่ย.. โอ๊ย”
เป็นฉันที่ถามเขาด้วยเสียงอ้อนๆก่อนจะร้องโอ๊ยขึ้นเมื่อรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างลอยมากระทบหัวด้านหลังเข้าอย่างแรง
และเมื่อหันไปมองหาก็เห็นว่ามันเป็นก้อนน้ำแข็งก้อนใหญ่ๆก้อนหนึ่ง
“ใครขว้างน้ำแข็งใส่หัวหนูเนี่ย” ฉันหยิบมันขึ้นมามองอย่างงุนงง
พอๆกับเสี่ยคนนั้นที่ก็งุนงงไม่แพ้กันแต่เขาก็ยังพอมีสติกว่ารีบเรียกบอดิการ์ดมาดูแลฉันและตามหาที่มาของก้อนน้ำแข็งปริศนาก้อนนั้นด้วย
แต่มันคงเป็นไปได้ยากเพราะรอบๆโต๊ะก็มีแต่ภาพความวุ่นวายของบรรดานักท่องเที่ยวที่บ้างก็ยกมือขึ้นโบกเต้นไปมา
บ้างก็ยกมือขึ้นเรียกบรรดาบริกร บ้างก็ยกมือเรียกกัน เมื่อมีภาพคนจำนวนมากกำลังยกแขนพร้อมๆกันอย่างนั้นมันก็เลยกลายเป็นพลางตัวคนร้ายที่ขว้างน้ำแข็งมาใส่ฉันโดยปริยาย
แต่ถ้าให้ฉันทายก็คงเป็นบรรดาคนที่ไม่พอใจฉัน
อาจจะเป็นผู้หญิงที่อิจฉาฉัน หรือไม่ก็บรรดากิ๊กเก่าของฉันมาเห็นภาพบาดตาบาดใจก่อนหน้านั้นแล้วทนไม่ไหวเลยจัดมาดอกใหญ่ๆก็ได้
ซึ่งนั่นก็ทำให้ฉันหมดอารมณ์เฮฮาร่าเริงไปโดยปริยาย
ได้แต่บอกลาเสี่ยคนนั้นและบ่ายเบี่ยงไม่ให้เขาสานสัมพันธ์ต่อเพื่อที่จะกลับไปคอนโดของตัวเองให้เร็วที่สุด
//////////////////
“เฮ้ยได้ข่าวว่าเจ๊คนสวยแกเป็นลูกสาวตระกูลเอกอัครทรัพย์เลยเหรอวะ โห..โจทย์ของแกนี่ไม่ใช่เล่นเลยนะ ยากจริงๆซะด้วย”
เสียงของยัยนุ่นดังทักฉันในคาบเรียนของเช้าวันถัดมา
เล่นเอาฉันที่กำลังจะนั่งลงเก้าอี้เลคเชอร์ถึงกับรีบหันไปมองยัยนัทที่ยิ้มแหยๆรออยู่ก่อนแล้ว..
“อีนัทรู้โลกรู้จะอะไรซะอีกล่ะ” เพื่อนอีกคนอมยิ้มหัวเราะคิกคักพูดดักทางให้
“โทษที ฉันก็แค่อยากอวดเพื่อนว่าผู้หญิงของแกก็ไม่ได้กระจอกนะเว้ย
นี่ลูกสาวเศรษฐีอันดับต้นๆของเมืองไทยเลยนะ
ฉันน่ะตื่นเต้นแทนแกก็เลยรีบมาเรียนแต่เช้า..”
“เพื่อที่จะมาเมาส์ฉันนี่นะ” จิกตามองยัยนัทอย่างหมั่นไส้เมื่อพูดดักทางหล่อนได้
“อย่าหาทำนะเว้ยทีหลังฉันไม่ชอบ
มิน่ารอไปเรียนตอนเช้าก็ไม่เห็น ที่แท้มาก่อนนี่เอง พอๆกันกับ..” เงียบเสียงลงไปเมื่อนึกถึงภาพลานจอดรถว่างเปล่าไม่มีรถหรูสีขาวที่มักจะมาจอดประจำ
ไม่รู้ว่าเจ้าของขับไปไหนตั้งแต่เช้าทำให้วันนี้ฉันพลาดโอกาสที่จะทำคะแนนกับหล่อนไปเลย
“พอๆกันกับ..อะไรวะ”
“เปล่า ไม่มีอะไร” ฉันรีบเปลี่ยนสีหน้าตอบรับเพื่อนทันที
“เหรอ เออ..แต่ว่าฉันไม่ได้มาเช้าเพื่อเมาส์เรื่องแกเท่านั้นนะเว้ย
ฉันเอาการ์ดงานแต่งพี่ชายฉันมาแจกเพื่อนที่เป็นอาจารย์อยู่มหาลัยเราด้วยน่ะ
ฉันต้องขับรถไปหลายที่เกรงใจถ้าจะมากับแก คิดว่าเอารถมาเองน่าจะสะดวกกว่า..”
“งานแต่งพี่ชายแก พี่นนท์เนี่ยนะ อ้าวพี่นนท์แกแต่งงานแล้วเหรอ แต่งกับใครอ่ะ
ทำไมฉันเห็นพี่แกแบบว่า...”ฉันตาโตทันทีที่นึกถึงพี่ชายคาสโนว่าของยัยนัทที่หน้าตาและนิสัยถอดแบบกันทุกอย่าง
ประมาณว่าน้องสาวเป็นเด็กเสี่ยยังไง พี่ชายก็เป็นอย่างนั้น..
“ใช่แต่งแล้ว แต่งกับเจ๊คนหนึ่ง ก็กิ๊กของพี่นนท์ที่แกเลือกๆอยู่นั่นแหละ
แกไม่รู้จักหรอกเพราะเจ๊แกไม่ใช่รุ่นเราอายุมากกว่าพี่นน์ตั้งเยอะแหนะ
ตอนแรกก็ว่าจะไม่แต่งหรอกนะแต่มีปัญหานิดหน่อย คือผู้หญิงท้องน่ะ
นี่ก็รอให้เขาคลอดลูกก่อนถึงมาแต่งกัน แม่อยากให้แต่งกับคนนี้แหละ เพราะเห็นเจ๊แกรักพี่นนท์ดีมีอะไรแกก็เปย์ตลอด
พี่นนท์ก็เลยใจอ่อนยอมปล่อยให้ผู้หญิงท้อง แล้วก็เลือกแต่งงานกับเจ๊แกนี่ล่ะ”
“แล้วพี่นนท์แกรักเมียแกมั้ยล่ะ”
“รักสิ ไม่รักคงไม่แต่งด้วยหรอก
คนนี้แหละที่แกรักที่สุดและเมียแกก็คงรักพี่นนท์ที่สุดด้วย” ยัยนัททั้งยิ้มทั้งพูด
แววตาเมื่อนึกถึงพี่ชายของเธอทำให้ฉันรู้ว่าเธอทั้งรักและเป็นห่วงพี่ชายของเธอไม่ใช่น้อย
คงเบาใจที่พี่ชายตัวเองเป็นฝั่งเป็นฝาเสียที
หลังจากที่สร้างปัญหาให้ครอบครัวมาพักใหญ่ๆ
“เฮ้อ..นี่ฉันก็หวังว่าสักวันฉันก็จะมีคนที่ฉันรักที่สุดและรักฉันมากที่สุดมาแต่งงานบ้างเหมือนกันนะเนี่ย
คงจะดีไม่น้อยถ้าเจอคนดีๆที่ต่างก็รักกัน”คนพูดยิ้มหวานท่าทางหน้าตาชวนฝันก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้เมื่อหล่อนลูบๆคลำๆผมตัวเองต่อหน้าฉัน..
“เอ้อ แล้วหัวแกเป็นไงบ้าง โดนน้ำแข็งฟาดเมื่อคืน”
ได้ยินเพื่อนถามดังนั้นฉันก็รีบยกมือขึ้นจับหลังหัวทันที
“ก็โนนิดๆแหละ ก็ปวดๆอยู่นะเมื่อคืน แต่ตอนนี้ก็ดีขึ้นแล้วล่ะ”
“เออ แกต้องระวังตัวด้วยนะเว้ยโจทก์เก่าแกยิ่งเยอะๆอยู่
ฉันได้ยินที่ยัยนัทมันเล่าให้ฟังเรื่องนี้อยู่ นึกเป็นห่วงแกเหมือนกัน
แกน่ะยิ่งมีคนหมั่นไส้เยอะทั้งผู้หญิงทั้งผู้ชาย ยังไงช่วงนี้ก็ต้องระวังตัวให้มากนะเว้ย”
ยัยสายรุ้งรีบพูดแทรกและทำทีแนะนำด้วยความเป็นห่วงไป
“รวมทั้งพวกแกด้วยป่ะ”
“แหนะ..ก็ปากแกเป็นซะอย่างนี้
จะไม่ให้ใครหมั่นไส้แกได้ยังไง”
“แต่กับเจ๊นารายัยฝ้ายไม่เป็นอย่างนี้นะเว้ย ฉันเห็นฝ้ายมันเหวอแล้วเหวออีก
หน้านี่หงอเชียวเวลาเจ๊แกสะบัดหน้าหนีมันแต่ล่ะครั้งน่ะ” ยัยนัทรีบฟ้องเพื่อนๆถึงอาการวืดที่เธอเห็นฉันได้รับจากพี่นาราในแต่ละครั้ง
เล่นเอาเพื่อนหัวเราะกันคิกๆคักๆ ซึ่งฉันเดาว่าคงจะมาจากการสมน้ำหน้า แต่ก็ไม่วายหวังดีแอบปลอบใจด้วยน้ำเสียงกระแนะกระแหนให้ฉันได้คิดตามพวกหล่อนหลังจากนั้นอีก
“เออ..จีบผู้หญิงก็ต้องอย่างนี้แหละแก ท่องไว้นะโว้ย
ตื้อเท่านั้นถึงจะครองโลก ตื้อเจ๊แกบ่อยๆเดี๋ยวแกก็ใจอ่อนเอง”
ตื้อเท่านั้นถึงจะครองโลก...อย่างนั้นเหรอ ฉันจะลองพยายามดูแล้วกันนะ...
/////////////////////
บ่ายวันนั้นหลังจากที่ฉันได้ยินคำแนะนำแกมประชดประชันของเพื่อนๆในเรื่องที่ว่าตัวเองต้องพยายามตามตื้อให้หนักเข้าไว้แม้จะรู้สึกเหนื่อยหน่ายขนาดไหนก็ตามแล้วก็พลอยรู้สึกเครียดและปวดหัวขึ้นมาทันที
เลยได้แต่พาตัวเองไปนั่งดื่มกาแฟในคาเฟ่ร้านประจำที่ตัวเองมักจะไปนั่งดื่มแก้เครียด
ด้วยเพราะภายในร้านตกแต่งสวยงามบรรยากาศดี
และเพื่อนๆในกลุ่มก็มักจะไปนั่งประจำเพราะที่นั้นเป็นที่ๆมักจะมีคนที่มีรสนิยมดีรวมทั้งการเงินดีชอบผ่านแวะเข้ามาดื่มและถ่ายรูปเช็คอิน
ทำให้โอกาสจะได้เจอคนดีๆมีฐานะของพวกหล่อนเพิ่มมากขึ้น
สำหรับฉันไม่ได้ชอบเพราะเรื่องอย่างว่า
แต่เป็นเพราะว่าร้านอยู่ระแวกเดียวกันกับคอนโด
และฉันก็ชอบที่จะมานั่งที่นั่งติดกระจกหน้าร้านเพื่อมองวิวถนนหนทางด้านหน้าที่ทำให้ฉันได้หายเบื่อหายเซ็งลงไปได้
และบ่อยครั้งมันก็กลายเป็นการเช็คเรตติ้งตัวเองอย่างไม่ได้ตั้งใจ
เนื่องจากบางทีก็มีผู้ชายมองเห็นฉันจากตรงนี้แล้วเดินตรงเข้ามาในร้านเพื่อพยายามสานสัมพันธ์กับฉัน
ทำให้ฉันรู้สึกดีว่าตัวเองนั่นเป็นคนมีค่าที่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็มักจะมีคนเข้าหาเสมอๆ
นั่งดื่มกาแฟรสโปรดอยู่ที่นั่งประจำเพื่อมองวิวถนนของเมืองด้านหน้าได้สักพัก
ภาพรถเข็นคุณป้าขายลูกชิ้นปิ้งที่กำลังจอดขายอยู่ริมฟุตบาธเยื้องๆคาเฟ่ก็ทำให้ฉันหันไปจ้องมองด้วยความแปลกใจทันที
เมื่อเห็นว่ามีรถหรูสีขาวคันคุ้นตากำลังจอดเทียบท่าอยู่ติดบริเวณนั้น และหญิงสาวเจ้ารถก็เดินลงมาจากรถด้วยท่าทางสง่างามเพื่อที่จะมาซื้อลูกชิ้นร้านป้าร้านนั้นด้วย
เดี๋ยวนะ..นี่พี่นาราซื้อลูกชิ้นปิ้งข้างทางอย่างนั้นเหรอ
จ้องมองดูเธอกำลังรอป้าคนขายปิ้งลูกชิ้นที่เธอเลือกส่งไปให้
ทั้งแปลกใจว่าทำไมผู้หญิงสวยท่าทางถือตัวที่ฉันเห็นก่อนนั้นถึงได้ทำตัวติดดินอย่างนี้
ทั้งๆที่ตอนนี้เธอก็แต่งตัวดูดีด้วยชุดสูททำงานสีขาวแสนแพง
ดูท่าทางการยืนรอก็ยังกับเจ้าแม่แฟชั่นเพราะความสูงชะลูดแถมยังใส่ส้นสูงแหลมปี๊ดอีก
รูปร่างท่าทางใครมองก็คงจะรู้ว่าเป็นผู้ดีมีเงินแน่ๆ แม้จะใส่แว่นตาดำปิดบังใบหน้าไว้ยังไงแต่โหงวเฮ้งคนรวยก็ยังคงเปล่งประกายอยู่ดีนั่นแหละ
สงสัยจะซื้อไปให้น้องหมากินแน่ๆเลย
นั่นคือสิ่งที่ฉันคิดเมื่อเห็นเธอหันไปเรียกสุนัขจรจัดที่อยู่แถวนั้นสี่ห้าตัวให้เดินมาหาตัวเองที่ได้ลูกชิ้นจากป้ามาแล้ว
และเธอก็เอาให้หมาพวกนั้นกินอย่างที่ฉันคิดจริงๆแต่จะทำให้ฉันแปลกใจกว่าเดิมนิดหน่อยก็ตรงที่เธอก็กินลูกชิ้นถุงนั้นไปพร้อมๆกับการให้สุนัขจรจัดด้วย..
เดี๋ยวนะ..ตัวเองก็กินลูกชิ้นปิ้งข้างทาง
แถมยังยืนกินพร้อมๆกับป้อนน้องหมาข้างทางอีก นี่ไม่อายสายตาคนเลยหรือไงนะ
จ้องมองเธอที่กำลังเคี้ยวลูกชิ้นปิ้งที่เธอถืออยู่ในมือพร้อมๆกับยื่นลูกชิ้นให้สุนัขแถวนั้นอย่างเหวอๆ
และในขณะที่เธอกำลังยื่นให้น้องหมาพลันสายตาของฉันก็ดันไปมองเห็นรอยยิ้มจากปากจิ้มลิ้มเล็กๆของเธอเข้า
เลยพลอยทำให้ฉันแอบยิ้มตามไปด้วยเมื่อคิดได้ว่ารอยยิ้มของเธอในตอนนี้ก็ดูน่ารักและเต็มไปด้วยความสุขดีนะ
เฮ้อ..แตกต่างจากที่ฉันเคยเห็นก่อนหน้านั้นเสียจริง
อิจฉาหมาจังเลยแฮะ..
เย็นวันนั้นหลังจากที่แอบมองเธออยู่ในคาเฟ่เงียบๆและคิดได้ว่าจริงๆเธอก็ไม่ใช่คนใจร้ายอะไรสักเท่าไหร่
และฉันก็น่าจะอดทนพยายามตามตื้อพิชิตใจเธอให้ได้อย่างที่เพื่อนแนะนำน่าจะดีกว่า
คิดได้ดังนั้นฉันเลยแวะซื้อช่อดอกกุหลาบช่อเล็กๆหวังไปมอบให้เธอที่ลานจอดรถในเวลาเลิกงานประจำของเธอ
แต่จนแล้วจนรอดจากก่อนเวลาห้าโมงเย็นที่เธอจะกลับมาประจำ
กลายเป็นเวลาล่วงเลยผ่านไปเป็นเกือบๆจะห้าชั่วโมงแล้ว
แต่ฉันก็ยังไม่เห็นแม้เงาของรถเธออยู่ดี
จนฉันต้องตัดสินใจขึ้นห้องไปก่อนเมื่อคิดว่าวันนี้เธออาจจะติดธุระทำให้ไม่สามารถกลับมาเวลานี้ได้
เอาเป็นว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าฉันจะไปดักเจอเธอแต่เช้าอีกทีแล้วกัน
ความคิดของฉันเกี่ยวกับการกลับคอนโดไม่ตรงเวลาของพี่นาราของฉันเริ่มสั่นคลอน
เมื่อฉันพบว่าการมาดักรอเจอพี่นาราทั้งเช้าและเย็นในระยะสามวันหลังจากนั้นไม่เป็นผลเลย
เมื่อฉันไม่มีโอกาสได้พบเธอเลยและแม้แต่รถของเธอฉันก็ยังไม่เห็นว่ามันจะย้ายไปจอดในส่วนอื่นของที่จอดรถของคอนโดฉันอีกด้วย
นี่เธอน่าจะไม่ได้ติดธุระธรรมดาเสียแล้ว
และดีไม่ดีตอนนี้เธออาจจะกำลังจงใจหลบหน้าฉันอยู่ก็เป็นได้