วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

 ซ้อนเล่ห์รัก 


[ PART 1 : ฝ้าย ]

Chapter 3

แผนสารภาพรักที่เธอไม่อิน

สวัสดีตอนเย็นค่ะ บังเอิญเจอกันอีกแล้วนะคะ..” เสียงของฉันดังขึ้นพร้อมๆกับการก้าวเดินออกจากมุมเสาของที่จอดรถ เพื่อที่จะให้ทันจังหวะที่พี่คนสวยหน้าบึ้งกำลังก้มหน้าก้มตาเดินออกมาจากรถหรูของเธอ หลังจากที่ฉันแอบรอเธออยู่ตรงนี้เกือบๆชั่วโมงแล้ว

เธอเงยหน้าขึ้นมามองฉันด้วยสายตาราบเรียบเช่นเคยก่อนจะก้มหน้าเดินดุ่มๆต่อ

เฮ้ย..เดี๋ยวสิคะพี่ นี่ใจคอพี่จะไม่ทักหนูตอบหน่อยเหรอฉันรีบเดินเข้าไปจับมือเธอดึงไว้ให้หันมามองตัวเอง อยู่คุยกับหนูสักแป๊บก่อนได้มั้ยหนูมีเรื่องจะคุยกับพี่ค่ะ

เธอชะงักแล้วหันหน้ามามองฉันที่ยังคงจับมือเธอไว้อยู่

ทำไมพี่ไม่ยอมคุยกับหนูเลยทั้งๆที่หนูพยายามคุยกับพี่มาตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา พี่รู้มั้ยว่าหนูพยามมาดักเจอพี่ตลอดเลยนะ พี่อาจจะเห็นว่ามันเป็นการบังเอิญนะ แต่จริงๆแล้วมันเป็นความตั้งใจของหนู...” ฉันพยายามร่ายถึงสิ่งที่ฉันตระเตรียมมาในการแก้ปัญหาการไม่ชอบหน้าฉันของเธอก่อนหน้านั้น ในเมื่อจีบอ้อมๆแล้วไม่ได้ผล ก็บอกมันตรงๆไปเลยแล้วกัน

หนูตั้งใจมาเจอหน้าพี่ทุกๆวันเพราะว่าหนูชอบพี่!!”

ให้ตายเถอะฉันพูดออกไปแล้วสำหรับแผนสารภาพรักเพื่อหวังให้เธอเลิกรู้สึกไม่ชอบขี้หน้าฉันสักที ไหนดูซิว่าเธอจะมีปฏิกริยาอย่างไรบ้าง

คนต่อหน้ามีท่าทางชะงักเล็กๆเมื่อได้ยินสิ่งที่ฉันตะโกนบอกเธอออกไป ก่อนจะกลับมาแสดงสีหน้าราบเรียบของเธออีกครั้งแล้วจับมือฉันที่จับมือเธอค้างไว้ยกขึ้นมาปิดปากของฉันที่เริ่มงงขึ้นมานิดๆ

ดะๆเดี๋ยวสิ พี่ไม่ได้ยินที่หนูพูดเหรอฉันละมือออกจากปากแล้วรีบเรียกเธอไว้ทันทีที่เห็นเธอหันหลังให้ฉันและกำลังจะเดินหนีฉันอีกแล้ว

พี่ไม่ยินที่หนูบอกว่าชอบพี่เหรอรีบคว้ามือเธอไว้อีกครั้งเมื่อเดินตามทัน ซึ่งเธอก็รีบหันใบหน้านิ่งๆแต่ก็แอบเลิ่กคิ้วตอนที่จ้องมองใบหน้าซีเรียสของฉันเสมือนว่าเธอกำลังถามย้ำข้อความเก่าที่ฉันพูดเมื่อครู่นี้อีกครั้ง

หนูชอบพี่ ได้ยินมั้ยคะ

เธอสแยะยิ้มส่งมา พร้อมกับคิ้วที่เลิ่กขึ้นสูงกว่าเมื่อกี้อีกเสียอีก

เพ้อเจ้อ!”ว่าแล้วก็สะบัดมือออกจากฉันแล้วรีบเดินลิ่วๆหนีฉันไป ส่วนฉันก็ไม่ยอมลดละแม้จะหน้าชาเหมือนโดนตบหน้าอย่างจัง เมื่อได้ยินประโยคทักทายประโยคแรกในชีวิตของฉันและเธอด้วยคำว่า เพ้อเจ้อก็ตาม

หน็อยยย...อะไรคือเพ้อเจ้อ ฉันอยากรู้นัก

พี่คะ! ทำไมพี่พูด..”

หนูเป็นอะไรหรือเปล่าคะ!” เสียงป้าแม่บ้านคนที่เคยช่วยพี่คนนี้ดังขึ้นมาพร้อมๆกับการขยับกายเข้ามาแทรกระหว่างฉันกับเธอ เล่นเอาฉันที่กำลังวิ่งไปดักด้านหน้าพี่เขาถึงกับชะงักทันทีเมื่อเห็นใบหน้าของป้าแม่บ้านจ้องเขม็งมาที่ฉันเหมือนไม่ไว้ใจ เมื่อหล่อนคิดว่าฉันกำลังยุ่งวุ่นวายกับคนที่เคยให้สินน้ำใจหล่อนหรือเปล่า

มีปัญหาอะไรหรือเปล่าบอกป้าได้นะป้าแม่บ้านถามพี่คนนั้นที่พยักหน้าส่งซิกมาทางฉันแล้วรีบเดินหนีฉันไป ทิ้งให้ป้าแม่บ้านยืนกันฉันไว้ไม่ให้เดินตามเธอขึ้นไปและเธอก็หนีฉันไปอีกครั้งจนได้

โอ๊ยย..ให้ตายเถอะอะไรกันนี่ กำลังจะคุยกันรู้เรื่องแล้วแท้ๆดันหนีไปได้ซะอีก

/////////////////////////////

ค่ำวันนั้น ฉันได้แต่นอนหงุดหงิดในห้อง เฝ้าคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างฉันกับเธอ คำว่าเพ้อเจ้อที่ดังออกมาจากใบหน้าสวยเฉี่ยวและการแสยะยิ้มจากปากจิ้มลิ้มเล็กๆของเธอทำให้ฉันแทบจะกรี๊ดดังๆออกมาเสียทุกครั้ง ด้วยไม่นึกว่าจะยังมีคนที่ไม่อินกับการสารภาพรักของฉันได้ขนาดนี้

บ้าชะมัดเลย แล้วนี่กล้าดียังไงถึงมาเดินหนีฉันทั้งๆที่ฉันสารภาพรักไปแล้วอย่างนั้นอีก ไหนจะการที่ฉันพยายามจับมือเธอไว้แล้วเธอดันเอามือฉันมาปิดปากฉันไว้อีก ทำกันขนาดนี้ตบหน้ากันตรงๆมาเลยยังจะดีกว่าม้าง..

เออ..แต่จะว่าไปแล้วก็รู้สึกเหมือนโดนตบหน้าล่ะนะ หน็อยย..ไม่เคยเอ่ยปากทักทายฉันตอบเสียที แต่พอพูดออกมาทีก็เล่นเอาซะกันหน้าสั่นหน้าชาเลยนะยัยพี่หน้าบึ้ง หรือนี่เธอเป็นคนปากร้ายใช่มั้ย ก็คงใช่ เพราะถ้าไม่ปากร้ายก็ต้องเป็นคนขี้อายมากแน่ๆถึงได้แกล้งด่าคนอื่นออกมาทั้งๆที่เขามาสารภาพรักตัวเองอย่างนี้น่ะ

 เอ๊ะ..ใช่สินะหรือว่านี่จะเป็นการแสดงออกของผู้หญิงขี้อายเวลาเขินกันนะ..

นั่นคือสิ่งที่ทำให้ฉันเริ่มยิ้มออก เมื่อสรุปสิ่งที่เกิดขึ้นได้ว่าจริงๆแล้วเธออาจจะกำลังเขินฉันอยู่ก็ได้ถึงได้พูดห้วนๆแล้วรีบเดินหนีฉันไปอย่างนั้นน่ะ

แต่ข้อสรุปชวนหลงตัวเองของฉันก็ต้องโดนทำลายไปในตอนเช้าของวันต่อมา เมื่อได้ยินคำที่ความหมายใกล้ๆเคียงกับข้อความเมื่อเย็นวานอีกครั้ง

ติ๊งต๊อง!”

นั่นคือเสียงแข็งๆจากใบหน้าสวยเฉี่ยวเมื่อเธอหันใบหน้าที่เลิ่กคิ้วสูงมาตอบฉัน ในตอนที่ฉันพยายามบอกว่าชอบเธออีกครั้ง เล่นเอาซะฉันหุบยิ้มหน้าเหวอ ก่อนจะรีบถามย้อนเธอกลับไปเมื่อเห็นว่าเธอกำลังจะเปิดประตูรถแล้วเดินหนีขึ้นไปนั่งในนั้นอีกแล้ว

อะไรคือติ๊งต๊องอ่ะพี่

เธอหันมาสแยะยิ้ม ก็ความหมายเดียวกันกับเพ้อเจ้อนั่นแหละ

แหนะ..ตอบยาวกว่าเมื่อวานนิดนึง แต่ก็ยังไม่วายประชดประชันฉันอีก

แล้วทำไมต้องว่าหนูเพ้อเจ้อด้วย ในเมื่อหนูมาดีหนูมาบอกพี่ว่าชอบแท้ๆ

ชอบ?” เกลียดจริงๆเลยท่าแสยะยิ้มเมื่อเธอย้อนถามคำถามเดิมจากฉันอย่างเมื่อวานนี่อีกนี่

ใช่ หนูชอบพี่

ตลก!” เป็นศัพท์คำใหม่ที่เธอใช้ฟาดฉันแทนคำว่าเพ้อเจ้อ เธอจะเอาอะไรมาชอบฉัน เธอกับฉันเจอกันไม่กี่ครั้งเอง

ก็ชอบ ก็หนูชอบทุกๆอย่างที่เป็นพี่

จริงเหรอคนฟังทั้งพูดทั้งหัวเราะเยาะ งั้นรู้หรือเปล่าว่าฉันชื่ออะไร

เอ่อ..” เล่นเอาฉันชะงักหน้าตาล่อกแล่กทันทีที่ได้ยินเธอย้อนถามอย่างนั้น

ไม่รู้ใช่มั้ย งั้นก็ไม่น่าจะชอบจริงแล้วมั้ง เพราะคนชอบกันปลื้มกันจริงๆเขาก็ต้องพยายามรู้จักเราและหาข้อมูลเราให้ได้มากที่สุดก่อนถึงจะมาสารภาพรักอย่างนี้แล้วล่ะ หรือเธอว่าไง..”

นั่นคือประโยคสุดท้ายที่ฉันจะได้ยินในช่วงเช้าของวัน เมื่อเธอบอกฉันอย่างนั้นเสร็จ แม่เจ้าประคุณก็รีบสตาร์ทเครื่องเร่งรถออกไปอย่างกับจะแข่งF1 ทิ้งให้ฉันได้แต่ยืนอึ้งค้างเมื่อนึกขึ้นได้ว่าจริงๆแล้วฉันก็ไม่แม้แต่จะรู้จักชื่อเธออย่างว่าจริงๆแหละ..

บ้าชะมัดเลย วืดอีกแล้วอ่ะ..

////////////////////////

เป็นยังไงบ้างวะเจ๊คนสวยของแก ความสัมพันธ์คืบหน้าไปถึงไหนแล้ว”

เสียงยัยนุ่นถามฉันขึ้นในคาบเรียนของวันนั้นเมื่อฉันกำลังนั่งเหม่อมองไปที่กระดานเลคเชอร์ทั้งๆที่อาจารย์ยังไม่เข้าคาบดี เล่นเอาฉันได้สติรีบหันมาตามคำถามที่มาพร้อมน้ำเสียงเยาะเย้ยของตัวตั้งตัวตีท้าประลองฉันในเรื่องนี้ เพราะเมื่อเธอรู้ว่าโจทย์ยากของฉันก็คือพี่ผู้หญิงแสนสวยและแสนรวยคนหนึ่ง ที่ยัยนัทบอกว่าท่าทางจะจีบยากแล้ว เธอก็รีบเห็นดีเห็นงามสนับสนุนให้พวกเพื่อนที่เหลือรับข้อเสนอคำท้าทายในโจทย์ยากข้อนั้นของฉันทันที

“ก็..ก็ดี ก็ตอนนี้ก็คุยกันบ้างแล้ว”

“คุยกันบ้างแล้ว” ยัยนุ่นเลิ่กคิ้วด้วยความเซอร์ไพรส์หรือจะไม่เชื่อก็ไม่รู้นะเมื่อเธอจึงรีบถามฉันกลับมาอย่างไว “คุยอะไรกันวะ”

“ก็..” เลิ่กลั่กเหงื่อตกทันทีเมื่อนึกถึงคำว่าเพ้อเจ้อและติ๊งต๊องประโยคแรกที่หล่อนทักทายด้วย “ก็ทักทายเรื่องทั่วไป สัพเพเหระอ่ะ”

“อ้าวจริงสิ แกคุยกับพี่เขาแล้วเหรอวะ ตอนไหนวะเนี่ย” ยัยนัทรีบถามด้วยความแปลกใจต่อเมื่อเธอยังไม่เห็นในตอนที่ฉันวืดสองครั้งล่าสุดนั่น

ก็เริ่มคุยกันมาได้วันสองวันแล้ว

เรื่องไรวะ

เลิ่กลั่กมองหน้าเพื่อนที่เหลือที่เริ่มหันมาฟังฉันด้วยความสนใจ จะบอกพวกเขาไปว่าไงดีในเมื่อการคุยกันของเธอกับฉันมันฟังดูเหมือนการด่ากันยังไงไม่รู้ “เอ่อ ก็เรื่องทั่วไปอ่ะแก เฮ้ย คนจะจีบกันมันก็ต้องชวนคุยกันไปเรื่อยๆป่ะ แล้วทำไมฉันต้องบอกพวกแกด้วยอ่ะ ขอส่วนตัวนิดนึงได้ป่ะ”

“ส่วนตัวว่างั้น” ยัยนัทหัวเราะหึ  “แล้วพี่เขาชื่อไร ทำงานอะไรวะ”

เลิ่กลั่กอีกครั้งเมื่อได้ยินคำถามจี้ใจดำที่ตัวเองก็ยังหาคำตอบไม่ได้เหมือนกัน ก่อนจะมองหน้าเพื่อนๆที่รอฟังเรื่องราวของฉันด้วยใจจดจ่อ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะสนใจจริงๆหรือว่าแค่จับผิดฉันเท่านั้นกันแน่

“เฮ้ย! เดี๋ยวฉันจะพาพี่เขามาเปิดตัวกับพวกแกเลยดีป่ะ พวกแกจะถามเขาทีเดียวเลย ขี้เกียจพูดเดี๋ยวหาว่าฉันโม้ให้พวกแกอิจฉาอีก” เป็นการเอาตัวรอดที่ชาญฉลาดของฉัน เมื่อเพื่อนๆได้ยินแค่นั้นก็เลิกถามฉันแล้วพากันสามัคคีเบ๊ปากให้ฉันด้วยความหมั่นไส้ทันที

ได้ยินยัยนุ่นหันไปคุยกับยัยสายรุ้งเรื่องผู้คนใหม่ของนางเพื่อนๆที่เหลือก็เลยพากันหันไปเมาส์มอยต่อ และฉันเองก็รีบหันไปตั้งใจฟังเรื่องราวของยันนุ่นทันทีเมื่อได้ยินบางข้อความที่น่าสนใจเข้า

          พี่เชษฐ์เขาตื้อฉันมากเลยนะแก พยายามตามฉันทุกอย่าง นี่เขารู้ข้อมูลของฉันเกือบทุกอย่างแล้วนะ ทั้งชื่อทั้งเบอร์โทรและก็ห้องที่ฉันอยู่อีก

อ้าวจริงดิ แล้วพี่เขารู้ได้ไงวะ

เห็นนิติคอนโดบอกว่าเขามาถามหาฉันแล้วพวกนิติก็เลยให้ข้อมูลฉันไปหมดเลยอ่ะแก

นิติคอนโดอย่างนั้นเหรอ ดวงตาฉันเปล่งประกายทันทีที่คิดอะไรได้ ความคิดพิชิตใจยัยพี่คนนั้นกลับมาโลดแล่นอีกครั้งหลังจากที่โดนดับฝันไปก่อนหน้านี้ ใช่สินะทำไมฉันนึกไม่ถึงเลยนะ เดินผ่านทุกวันแท้ๆ

///////////////////////

สวัสดีค่ะพี่ หนูอยากรบกวนสอบถามอะไรพี่ได้มั้ยคะ..”

ฉันในชุดนักศึกษายืนฉีกยิ้มหวานหยดย้อยให้พี่ผู้ชายฝ่ายนิติคอนโดที่ฉันจำได้ว่าเขาเคยแซวฉันในช่วงที่ฉันมาอยู่ใหม่ๆ แล้วก็เลิกแซวไปเมื่อรู้ว่าใครเป็นคนซื้อคอนโดให้ฉันอยู่

ครับดวงตาเขาเปล่งประกายทันทีที่เงยหน้าจากเคาน์เตอร์มาเห็นว่าเป็นฉัน ทำให้พี่ผู้หญิงคนที่อยู่ข้างๆถึงกลับค้อนขวับให้อย่างไว

เอ..พี่รู้จักพี่ผู้หญิงคนสวยๆ เอ่อ..ที่เป็นเจ้าของรถแลมโบกินีสีขาวมั้ยคะ

แลมโบกีนี่สีขาว คุณนาราน่ะเหรอ..อุ้ย!” เสียงพี่ผู้ชายหยุดลงไปเมื่อเจอศอกพี่ผู้หญิงคนข้างๆกระทุ้งเอวเข้าให้อย่างแรง

หล่อนกระซิบกระซาบเขาเบาๆแต่ฉันก็ยังได้ยินอยู่ดี

จำไม่ได้เหรอว่า คุณนาราบอกว่าห้ามบอกข้อมูลของเธอกับใคร เดี่ยวก็โดนเธอ..” หล่อนหยุดพูดแล้วยกมือขึ้นมาทำท่าเชือดคอตัวเองโชว์พี่ผู้ชายคนนั้นที่เริ่มล่อกแล่กเมื่อนึกขึ้นได้เช่นกัน แล้วพอฉันเห็นแค่นั้นก็เลยได้แต่ยิ้มแหยๆบอกปัดเขาไปเพราะก็ไม่อยากทำให้เขาลำบากใจเช่นเดียวกัน

เอ่อ..ไม่เป็นไรคะ ไม่ต้องบอกหนูก็ได้ค่ะ หนูแค่อยากรู้จักว่าเจ้าของรถเป็นใครแค่นั้นเอง เห็นรถเขาจอดใกล้ๆรถหนูเลยอยากทำความรู้จักไว้บ้างค่ะ” พูดเสร็จฉันก็ฉีกยิ้มหวานขอบคุณพี่นิติทั้งสองก่อนจะขอตัวลากลับออกมา แล้วเปลี่ยนใบหน้าไร้เดียงสาของตัวเองเป็นคิ้วขมวดด้วยความหงุดหงิดทันทีเมื่อนึกถึงสิ่งที่เจอ

หน็อยย...นี่ดักทางเราเอาไว้ก่อนแล้วงั้นเรอะยัยพี่หน้าบึ้ง นี่ถึงขนาดสั่งห้ามนิติไม่ให้บอกข้อมูลตัวเองให้ใครรู้เลยเรอะ

หน็อยย เธอเป็นใครกันแน่นี่..มีอำนาจอะไรทำไมคนถึงกลัวนักกลัวหนานะ ทั้งคิดทั้งกำหมัดด้วยความหงุดหงิดของตัวเองไป ในเมื่อหาข้อมูลอะไรเธอไม่ได้เลย สิ่งที่ได้ยินจากที่เขาหลุดปากเมื่อครู่นี้ก็มีเพียงแค่ชื่อเท่านั้นเอง

นารา..อย่างนั้นเหรอ..ให้ตายเถอะแล้วจะเอาไปสืบอะไรได้เนี่ย งุ่นง่านเดินออกจากห้องนิติลงมาถึงที่จอดรถก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้ เมื่อเห็นรถแลมโบกีนี่สีขาวจอดอยู่ที่จอดรถประจำของมัน

เดี๋ยวนะ..ใช่สินะ..ทำไมฉันโง่อย่างนี้ล่ะ..