ซ้อนเล่ห์รัก
Chapter 3
แผนสารภาพรักที่เธอไม่อิน
“สวัสดีตอนเย็นค่ะ บังเอิญเจอกันอีกแล้วนะคะ..” เสียงของฉันดังขึ้นพร้อมๆกับการก้าวเดินออกจากมุมเสาของที่จอดรถ
เพื่อที่จะให้ทันจังหวะที่พี่คนสวยหน้าบึ้งกำลังก้มหน้าก้มตาเดินออกมาจากรถหรูของเธอ
หลังจากที่ฉันแอบรอเธออยู่ตรงนี้เกือบๆชั่วโมงแล้ว
เธอเงยหน้าขึ้นมามองฉันด้วยสายตาราบเรียบเช่นเคยก่อนจะก้มหน้าเดินดุ่มๆต่อ
“เฮ้ย..เดี๋ยวสิคะพี่
นี่ใจคอพี่จะไม่ทักหนูตอบหน่อยเหรอ” ฉันรีบเดินเข้าไปจับมือเธอดึงไว้ให้หันมามองตัวเอง
“อยู่คุยกับหนูสักแป๊บก่อนได้มั้ยหนูมีเรื่องจะคุยกับพี่ค่ะ”
เธอชะงักแล้วหันหน้ามามองฉันที่ยังคงจับมือเธอไว้อยู่
“ทำไมพี่ไม่ยอมคุยกับหนูเลยทั้งๆที่หนูพยายามคุยกับพี่มาตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา
พี่รู้มั้ยว่าหนูพยามมาดักเจอพี่ตลอดเลยนะ พี่อาจจะเห็นว่ามันเป็นการบังเอิญนะ
แต่จริงๆแล้วมันเป็นความตั้งใจของหนู...” ฉันพยายามร่ายถึงสิ่งที่ฉันตระเตรียมมาในการแก้ปัญหาการไม่ชอบหน้าฉันของเธอก่อนหน้านั้น
ในเมื่อจีบอ้อมๆแล้วไม่ได้ผล ก็บอกมันตรงๆไปเลยแล้วกัน
“หนูตั้งใจมาเจอหน้าพี่ทุกๆวันเพราะว่าหนูชอบพี่!!”
ให้ตายเถอะฉันพูดออกไปแล้วสำหรับแผนสารภาพรักเพื่อหวังให้เธอเลิกรู้สึกไม่ชอบขี้หน้าฉันสักที
ไหนดูซิว่าเธอจะมีปฏิกริยาอย่างไรบ้าง
คนต่อหน้ามีท่าทางชะงักเล็กๆเมื่อได้ยินสิ่งที่ฉันตะโกนบอกเธอออกไป
ก่อนจะกลับมาแสดงสีหน้าราบเรียบของเธออีกครั้งแล้วจับมือฉันที่จับมือเธอค้างไว้ยกขึ้นมาปิดปากของฉันที่เริ่มงงขึ้นมานิดๆ
“ดะๆเดี๋ยวสิ พี่ไม่ได้ยินที่หนูพูดเหรอ” ฉันละมือออกจากปากแล้วรีบเรียกเธอไว้ทันทีที่เห็นเธอหันหลังให้ฉันและกำลังจะเดินหนีฉันอีกแล้ว
“พี่ไม่ยินที่หนูบอกว่าชอบพี่เหรอ” รีบคว้ามือเธอไว้อีกครั้งเมื่อเดินตามทัน
ซึ่งเธอก็รีบหันใบหน้านิ่งๆแต่ก็แอบเลิ่กคิ้วตอนที่จ้องมองใบหน้าซีเรียสของฉันเสมือนว่าเธอกำลังถามย้ำข้อความเก่าที่ฉันพูดเมื่อครู่นี้อีกครั้ง
“หนูชอบพี่ ได้ยินมั้ยคะ”
เธอสแยะยิ้มส่งมา
พร้อมกับคิ้วที่เลิ่กขึ้นสูงกว่าเมื่อกี้อีกเสียอีก
“เพ้อเจ้อ!”ว่าแล้วก็สะบัดมือออกจากฉันแล้วรีบเดินลิ่วๆหนีฉันไป
ส่วนฉันก็ไม่ยอมลดละแม้จะหน้าชาเหมือนโดนตบหน้าอย่างจัง เมื่อได้ยินประโยคทักทายประโยคแรกในชีวิตของฉันและเธอด้วยคำว่า
“เพ้อเจ้อ”ก็ตาม
หน็อยยย...อะไรคือเพ้อเจ้อ ฉันอยากรู้นัก
“พี่คะ! ทำไมพี่พูด..”
“หนูเป็นอะไรหรือเปล่าคะ!” เสียงป้าแม่บ้านคนที่เคยช่วยพี่คนนี้ดังขึ้นมาพร้อมๆกับการขยับกายเข้ามาแทรกระหว่างฉันกับเธอ
เล่นเอาฉันที่กำลังวิ่งไปดักด้านหน้าพี่เขาถึงกับชะงักทันทีเมื่อเห็นใบหน้าของป้าแม่บ้านจ้องเขม็งมาที่ฉันเหมือนไม่ไว้ใจ
เมื่อหล่อนคิดว่าฉันกำลังยุ่งวุ่นวายกับคนที่เคยให้สินน้ำใจหล่อนหรือเปล่า
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่าบอกป้าได้นะ” ป้าแม่บ้านถามพี่คนนั้นที่พยักหน้าส่งซิกมาทางฉันแล้วรีบเดินหนีฉันไป
ทิ้งให้ป้าแม่บ้านยืนกันฉันไว้ไม่ให้เดินตามเธอขึ้นไปและเธอก็หนีฉันไปอีกครั้งจนได้
โอ๊ยย..ให้ตายเถอะอะไรกันนี่
กำลังจะคุยกันรู้เรื่องแล้วแท้ๆดันหนีไปได้ซะอีก
/////////////////////////////
ค่ำวันนั้น
ฉันได้แต่นอนหงุดหงิดในห้อง เฝ้าคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างฉันกับเธอ
คำว่าเพ้อเจ้อที่ดังออกมาจากใบหน้าสวยเฉี่ยวและการแสยะยิ้มจากปากจิ้มลิ้มเล็กๆของเธอทำให้ฉันแทบจะกรี๊ดดังๆออกมาเสียทุกครั้ง
ด้วยไม่นึกว่าจะยังมีคนที่ไม่อินกับการสารภาพรักของฉันได้ขนาดนี้
บ้าชะมัดเลย
แล้วนี่กล้าดียังไงถึงมาเดินหนีฉันทั้งๆที่ฉันสารภาพรักไปแล้วอย่างนั้นอีก
ไหนจะการที่ฉันพยายามจับมือเธอไว้แล้วเธอดันเอามือฉันมาปิดปากฉันไว้อีก ทำกันขนาดนี้ตบหน้ากันตรงๆมาเลยยังจะดีกว่าม้าง..
เออ..แต่จะว่าไปแล้วก็รู้สึกเหมือนโดนตบหน้าล่ะนะ
หน็อยย..ไม่เคยเอ่ยปากทักทายฉันตอบเสียที
แต่พอพูดออกมาทีก็เล่นเอาซะกันหน้าสั่นหน้าชาเลยนะยัยพี่หน้าบึ้ง หรือนี่เธอเป็นคนปากร้ายใช่มั้ย
ก็คงใช่ เพราะถ้าไม่ปากร้ายก็ต้องเป็นคนขี้อายมากแน่ๆถึงได้แกล้งด่าคนอื่นออกมาทั้งๆที่เขามาสารภาพรักตัวเองอย่างนี้น่ะ
เอ๊ะ..ใช่สินะหรือว่านี่จะเป็นการแสดงออกของผู้หญิงขี้อายเวลาเขินกันนะ..
นั่นคือสิ่งที่ทำให้ฉันเริ่มยิ้มออก
เมื่อสรุปสิ่งที่เกิดขึ้นได้ว่าจริงๆแล้วเธออาจจะกำลังเขินฉันอยู่ก็ได้ถึงได้พูดห้วนๆแล้วรีบเดินหนีฉันไปอย่างนั้นน่ะ
แต่ข้อสรุปชวนหลงตัวเองของฉันก็ต้องโดนทำลายไปในตอนเช้าของวันต่อมา
เมื่อได้ยินคำที่ความหมายใกล้ๆเคียงกับข้อความเมื่อเย็นวานอีกครั้ง
“ติ๊งต๊อง!”
นั่นคือเสียงแข็งๆจากใบหน้าสวยเฉี่ยวเมื่อเธอหันใบหน้าที่เลิ่กคิ้วสูงมาตอบฉัน
ในตอนที่ฉันพยายามบอกว่าชอบเธออีกครั้ง เล่นเอาซะฉันหุบยิ้มหน้าเหวอ ก่อนจะรีบถามย้อนเธอกลับไปเมื่อเห็นว่าเธอกำลังจะเปิดประตูรถแล้วเดินหนีขึ้นไปนั่งในนั้นอีกแล้ว
“อะไรคือติ๊งต๊องอ่ะพี่”
เธอหันมาสแยะยิ้ม
“ก็ความหมายเดียวกันกับเพ้อเจ้อนั่นแหละ”
แหนะ..ตอบยาวกว่าเมื่อวานนิดนึง แต่ก็ยังไม่วายประชดประชันฉันอีก
“แล้วทำไมต้องว่าหนูเพ้อเจ้อด้วย ในเมื่อหนูมาดีหนูมาบอกพี่ว่าชอบแท้ๆ”
“ชอบ?” เกลียดจริงๆเลยท่าแสยะยิ้มเมื่อเธอย้อนถามคำถามเดิมจากฉันอย่างเมื่อวานนี่อีกนี่
“ใช่ หนูชอบพี่”
“ตลก!” เป็นศัพท์คำใหม่ที่เธอใช้ฟาดฉันแทนคำว่าเพ้อเจ้อ
“เธอจะเอาอะไรมาชอบฉัน เธอกับฉันเจอกันไม่กี่ครั้งเอง”
“ก็ชอบ ก็หนูชอบทุกๆอย่างที่เป็นพี่”
“จริงเหรอ” คนฟังทั้งพูดทั้งหัวเราะเยาะ “งั้นรู้หรือเปล่าว่าฉันชื่ออะไร”
“เอ่อ..” เล่นเอาฉันชะงักหน้าตาล่อกแล่กทันทีที่ได้ยินเธอย้อนถามอย่างนั้น
“ไม่รู้ใช่มั้ย งั้นก็ไม่น่าจะชอบจริงแล้วมั้ง เพราะคนชอบกันปลื้มกันจริงๆเขาก็ต้องพยายามรู้จักเราและหาข้อมูลเราให้ได้มากที่สุดก่อนถึงจะมาสารภาพรักอย่างนี้แล้วล่ะ
หรือเธอว่าไง..”
นั่นคือประโยคสุดท้ายที่ฉันจะได้ยินในช่วงเช้าของวัน
เมื่อเธอบอกฉันอย่างนั้นเสร็จ แม่เจ้าประคุณก็รีบสตาร์ทเครื่องเร่งรถออกไปอย่างกับจะแข่งF1
ทิ้งให้ฉันได้แต่ยืนอึ้งค้างเมื่อนึกขึ้นได้ว่าจริงๆแล้วฉันก็ไม่แม้แต่จะรู้จักชื่อเธออย่างว่าจริงๆแหละ..
บ้าชะมัดเลย
วืดอีกแล้วอ่ะ..
////////////////////////
“เป็นยังไงบ้างวะเจ๊คนสวยของแก ความสัมพันธ์คืบหน้าไปถึงไหนแล้ว”
เสียงยัยนุ่นถามฉันขึ้นในคาบเรียนของวันนั้นเมื่อฉันกำลังนั่งเหม่อมองไปที่กระดานเลคเชอร์ทั้งๆที่อาจารย์ยังไม่เข้าคาบดี
เล่นเอาฉันได้สติรีบหันมาตามคำถามที่มาพร้อมน้ำเสียงเยาะเย้ยของตัวตั้งตัวตีท้าประลองฉันในเรื่องนี้
เพราะเมื่อเธอรู้ว่าโจทย์ยากของฉันก็คือพี่ผู้หญิงแสนสวยและแสนรวยคนหนึ่ง ที่ยัยนัทบอกว่าท่าทางจะจีบยากแล้ว
เธอก็รีบเห็นดีเห็นงามสนับสนุนให้พวกเพื่อนที่เหลือรับข้อเสนอคำท้าทายในโจทย์ยากข้อนั้นของฉันทันที
“ก็..ก็ดี ก็ตอนนี้ก็คุยกันบ้างแล้ว”
“คุยกันบ้างแล้ว”
ยัยนุ่นเลิ่กคิ้วด้วยความเซอร์ไพรส์หรือจะไม่เชื่อก็ไม่รู้นะเมื่อเธอจึงรีบถามฉันกลับมาอย่างไว
“คุยอะไรกันวะ”
“ก็..” เลิ่กลั่กเหงื่อตกทันทีเมื่อนึกถึงคำว่าเพ้อเจ้อและติ๊งต๊องประโยคแรกที่หล่อนทักทายด้วย
“ก็ทักทายเรื่องทั่วไป สัพเพเหระอ่ะ”
“อ้าวจริงสิ
แกคุยกับพี่เขาแล้วเหรอวะ ตอนไหนวะเนี่ย” ยัยนัทรีบถามด้วยความแปลกใจต่อเมื่อเธอยังไม่เห็นในตอนที่ฉันวืดสองครั้งล่าสุดนั่น
“ก็เริ่มคุยกันมาได้วันสองวันแล้ว”
“เรื่องไรวะ”
เลิ่กลั่กมองหน้าเพื่อนที่เหลือที่เริ่มหันมาฟังฉันด้วยความสนใจ
จะบอกพวกเขาไปว่าไงดีในเมื่อการคุยกันของเธอกับฉันมันฟังดูเหมือนการด่ากันยังไงไม่รู้
“เอ่อ ก็เรื่องทั่วไปอ่ะแก เฮ้ย คนจะจีบกันมันก็ต้องชวนคุยกันไปเรื่อยๆป่ะ
แล้วทำไมฉันต้องบอกพวกแกด้วยอ่ะ ขอส่วนตัวนิดนึงได้ป่ะ”
“ส่วนตัวว่างั้น”
ยัยนัทหัวเราะหึ “แล้วพี่เขาชื่อไร
ทำงานอะไรวะ”
เลิ่กลั่กอีกครั้งเมื่อได้ยินคำถามจี้ใจดำที่ตัวเองก็ยังหาคำตอบไม่ได้เหมือนกัน
ก่อนจะมองหน้าเพื่อนๆที่รอฟังเรื่องราวของฉันด้วยใจจดจ่อ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะสนใจจริงๆหรือว่าแค่จับผิดฉันเท่านั้นกันแน่
“เฮ้ย! เดี๋ยวฉันจะพาพี่เขามาเปิดตัวกับพวกแกเลยดีป่ะ พวกแกจะถามเขาทีเดียวเลย
ขี้เกียจพูดเดี๋ยวหาว่าฉันโม้ให้พวกแกอิจฉาอีก” เป็นการเอาตัวรอดที่ชาญฉลาดของฉัน
เมื่อเพื่อนๆได้ยินแค่นั้นก็เลิกถามฉันแล้วพากันสามัคคีเบ๊ปากให้ฉันด้วยความหมั่นไส้ทันที
ได้ยินยัยนุ่นหันไปคุยกับยัยสายรุ้งเรื่องผู้คนใหม่ของนางเพื่อนๆที่เหลือก็เลยพากันหันไปเมาส์มอยต่อ
และฉันเองก็รีบหันไปตั้งใจฟังเรื่องราวของยันนุ่นทันทีเมื่อได้ยินบางข้อความที่น่าสนใจเข้า
“พี่เชษฐ์เขาตื้อฉันมากเลยนะแก
พยายามตามฉันทุกอย่าง นี่เขารู้ข้อมูลของฉันเกือบทุกอย่างแล้วนะ
ทั้งชื่อทั้งเบอร์โทรและก็ห้องที่ฉันอยู่อีก”
“อ้าวจริงดิ แล้วพี่เขารู้ได้ไงวะ”
“เห็นนิติคอนโดบอกว่าเขามาถามหาฉันแล้วพวกนิติก็เลยให้ข้อมูลฉันไปหมดเลยอ่ะแก”
นิติคอนโดอย่างนั้นเหรอ
ดวงตาฉันเปล่งประกายทันทีที่คิดอะไรได้
ความคิดพิชิตใจยัยพี่คนนั้นกลับมาโลดแล่นอีกครั้งหลังจากที่โดนดับฝันไปก่อนหน้านี้
ใช่สินะทำไมฉันนึกไม่ถึงเลยนะ เดินผ่านทุกวันแท้ๆ
///////////////////////
“สวัสดีค่ะพี่ หนูอยากรบกวนสอบถามอะไรพี่ได้มั้ยคะ..”
ฉันในชุดนักศึกษายืนฉีกยิ้มหวานหยดย้อยให้พี่ผู้ชายฝ่ายนิติคอนโดที่ฉันจำได้ว่าเขาเคยแซวฉันในช่วงที่ฉันมาอยู่ใหม่ๆ
แล้วก็เลิกแซวไปเมื่อรู้ว่าใครเป็นคนซื้อคอนโดให้ฉันอยู่
“ครับ” ดวงตาเขาเปล่งประกายทันทีที่เงยหน้าจากเคาน์เตอร์มาเห็นว่าเป็นฉัน
ทำให้พี่ผู้หญิงคนที่อยู่ข้างๆถึงกลับค้อนขวับให้อย่างไว
“เอ..พี่รู้จักพี่ผู้หญิงคนสวยๆ เอ่อ..ที่เป็นเจ้าของรถแลมโบกินีสีขาวมั้ยคะ”
“แลมโบกีนี่สีขาว คุณนาราน่ะเหรอ..อุ้ย!” เสียงพี่ผู้ชายหยุดลงไปเมื่อเจอศอกพี่ผู้หญิงคนข้างๆกระทุ้งเอวเข้าให้อย่างแรง
หล่อนกระซิบกระซาบเขาเบาๆแต่ฉันก็ยังได้ยินอยู่ดี
“จำไม่ได้เหรอว่า คุณนาราบอกว่าห้ามบอกข้อมูลของเธอกับใคร เดี่ยวก็โดนเธอ..”
หล่อนหยุดพูดแล้วยกมือขึ้นมาทำท่าเชือดคอตัวเองโชว์พี่ผู้ชายคนนั้นที่เริ่มล่อกแล่กเมื่อนึกขึ้นได้เช่นกัน
แล้วพอฉันเห็นแค่นั้นก็เลยได้แต่ยิ้มแหยๆบอกปัดเขาไปเพราะก็ไม่อยากทำให้เขาลำบากใจเช่นเดียวกัน
“เอ่อ..ไม่เป็นไรคะ ไม่ต้องบอกหนูก็ได้ค่ะ หนูแค่อยากรู้จักว่าเจ้าของรถเป็นใครแค่นั้นเอง
เห็นรถเขาจอดใกล้ๆรถหนูเลยอยากทำความรู้จักไว้บ้างค่ะ” พูดเสร็จฉันก็ฉีกยิ้มหวานขอบคุณพี่นิติทั้งสองก่อนจะขอตัวลากลับออกมา
แล้วเปลี่ยนใบหน้าไร้เดียงสาของตัวเองเป็นคิ้วขมวดด้วยความหงุดหงิดทันทีเมื่อนึกถึงสิ่งที่เจอ
หน็อยย...นี่ดักทางเราเอาไว้ก่อนแล้วงั้นเรอะยัยพี่หน้าบึ้ง
นี่ถึงขนาดสั่งห้ามนิติไม่ให้บอกข้อมูลตัวเองให้ใครรู้เลยเรอะ
หน็อยย
เธอเป็นใครกันแน่นี่..มีอำนาจอะไรทำไมคนถึงกลัวนักกลัวหนานะ
ทั้งคิดทั้งกำหมัดด้วยความหงุดหงิดของตัวเองไป ในเมื่อหาข้อมูลอะไรเธอไม่ได้เลย
สิ่งที่ได้ยินจากที่เขาหลุดปากเมื่อครู่นี้ก็มีเพียงแค่ชื่อเท่านั้นเอง
นารา..อย่างนั้นเหรอ..ให้ตายเถอะแล้วจะเอาไปสืบอะไรได้เนี่ย
งุ่นง่านเดินออกจากห้องนิติลงมาถึงที่จอดรถก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้ เมื่อเห็นรถแลมโบกีนี่สีขาวจอดอยู่ที่จอดรถประจำของมัน
เดี๋ยวนะ..ใช่สินะ..ทำไมฉันโง่อย่างนี้ล่ะ..