นิยายรักไม่จำกัดบท
Cheapter
10
นิยายที่เริ่มเปลี่ยนบท
ตื้ด..ตื้ด..ตื้ด
เสียงสั่นที่โทรศัพท์บนโต๊ะหัวเตียงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
จนหญิงสาวที่อยู่บนเตียงได้ยินเข้าจึงพยายามถามไถ่อีกคนเมื่อนึกขึ้นได้ว่าน่าจะเป็นโทรศัพท์ของหล่อน
“เอิ้น..
เสียงโทรศัพท์เอิ้นหรือเปล่า
อ๊ะ..อ๊า~~
อื้มมม..”
“อื้มมม...”
คนโดนถามเงยหน้าจากบางอย่างขึ้นมาบอก
“ปล่อยให้ดังไปอย่างนั้นล่ะ
อ๊า~~...”
“แต่มันดังนานแล้วนะ
อ๊ะ อ๊า~~..”
“ช่างมันเถอะน่า
ทำต่อให้เสร็จเถอะนะ ขอร้องล่ะ
อย่าหยุดตอนนี้เลย..อ๊า
อื้มม”
พูดเสร็จเจ้าหล่อนก็รีบก้มลงไปใช้ลิ้นละเลงบางสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าข้างล่างต่อ
พอๆกับอีกคนที่โน้มหน้าขึ้นไปใช้ลิ้นกับบางอย่างที่อยู่บนหน้าตัวเองเช่นเดียวกัน
ต่างคนต่างใช้ปลายลิ้นทำรักให้กันพร้อมๆกันเพียงแต่ร่างทั้งสองอยู่คนละด้านเป็นหัวท้ายและบนล่างเท่านั้น..
“ลองท่า69ดูมั้ย..”
นั่นคือชื่อท่าตอนที่เอิ้นเสนอไอเดียให้พะแพงที่นอนเหนื่อยล้าก่อนหน้านั้นลุกขึ้นมาร่วมรักกับเธออีกรอบ..
“อะไรคือ69?”คนได้ยินถึงกลับรีบถามแม่คนครีเอทีฟเมื่อได้ยินชื่อท่าประหลาด
ยิ่งเห็นตอนนางลุกขึ้นจัดท่าทางให้แล้วเธอก็ยิ่งอึ้งไปกันใหญ่
“เนี่ย..พะแพงนอนลงไปเฉยๆนะ
เดี๋ยวเค้าจะอยู่ข้างบนอย่างนี้..”
คนบอกนั่งค่อมส่วนหัวของพะแพงแล้วโน้มใบหน้าของตัวเองไปหาเนินเนื้อส่วนล่างของพะแพง
“แล้ว?..”จ้องมองเนินเนื้อส่วนล่างของหล่อนที่อยู่ต่อหน้าตัวเองอย่างเหวอๆ
“ก็ทำอย่างที่เค้าทำนี้ไง
ทำไปพร้อมๆกัน..”
พูดเสร็จแม่คนครีเอทก็ก้มหน้าละเลงปลายลิ้นลงบนร่องเนินเนื้อแสนรักของพะแพง
เล่นเอาคนโดนกระทำถึงกับร้องครวญครางไปไม่เป็นเสียงเพราะยังตั้งตัวไม่ทัน
แต่เมื่อเห็นหล่อนนำทางให้ดูพะแพงก็เริ่มเก็ทและเริ่มเข้าใจคอนเซ็ปท์ของท่า
เจ้าหล่อนก็เลยรีบโน้มใบหน้าของตัวเองขึ้นไปหาหว่างขาเอิ้นที่เธอพยายามจับขาทั้งสองข้างของหล่อนถ่างออกแล้วจ่อปลายลิ้นของตัวเองขึ้นไปดุนดันใจกลางมันเหมือนอย่างที่อีกคนกำลังพยายามทำเช่นเดียวกัน
อ๋อ..อีท่า69นี่คือหัวท้ายสลับไขว้กันอยู่อย่างนี้ใช่มั้ย
ก็ดีนะต่างคนต่างทำให้กันมีความสุขและต่างรับความสุขไปพร้อมๆกันและถึงสรวงสวรรค์ไปพร้อมๆกันอย่างที่พะแพงและเอิ้นกำลังเริ่มจะถึงหลังจากที่ได้ยินเสียงโทรศัพท์โทรเข้าหาหลังจากนั้น..
“อื้มมๆ
อื้มๆ อืมมม อ๊ะ~~..”
เสียงร้องที่ไม่เป็นคำเกิดจากการที่ปากทั้งสองไม่ว่างเมื่อทั้งกำลังดูดและเลียสลับกันไป
จนต่างฝ่ายต่างสั่นเกร็งและกลายเป็นเผลอสลับกันร้องครวญครางออกมาเพื่อให้สัญญาณกันและกันว่าในไม่ช้านี้พวกเธอจะถึงที่หมายปลายทางแล้วนะ
“อ๊ะ
อ๊ะ
อ๊าา~~..”เป็นพะแพงที่ร้องขึ้นก่อนเมื่อเธอไม่สามารถทนต่ออาการสั่นเกร็งที่มาจากส่วนล่างได้จนต้องละปากออกมาจากเนินเนื้อรักของเอิ้นซึ่งก็ถึงสรวงสวรรค์ตามมาติดๆเหมือนกัน
จนขาตัวเองที่ตั้งชั้นจากการนอนคุกเข่าหมดแรงแล้วร่วงลงมายังแถวๆลำคอพะแพงที่นอนอยู่กับที่นอน
ต่างคนต่างหมดแรงเหนื่อยหอบ
ได้แต่นอนซบร่างกายเปลือยเปล่ากันและกันเอาไว้แม้จะอยู่คนละหัวคนละหาง
ขาไปทางหัวไปทางก็ตาม..
“เก่งจังเลยค่ะ
จุ๊บบบ..”
“อ๊าา..”เป็นพะแพงที่ร้องเสียงหลงหลังจากที่ได้ยินคำชมจากเอิ้นแล้วหล่อนมอบจุมพิตเป็นรางวัล
แต่ดันไปมอบให้เนินเนื้อนั้นที่ตอนนี้ยังไม่ทันได้หายสั่นเกร็งดี
คนโดนจูบเลยสะดุ้งขึ้นมาร้องครวญครางอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้อีก
“บ้าอ่ะ!
เอิ้นแกล้งกันอีกแล้ว
พอแล้วขึ้นมานอนตรงนี้ดีๆเลย
เค้าไม่ชอบให้หัวเอิ้นอยู่ต่ำกว่าเค้า
เค้าถือ..”
“แต่เมื่อกี้ก็อยู่ต่ำกว่าไอ้นี่ด้วยนี่”ยิ้มน้อยยียวนในตอนที่ชี้มือไปที่ไอ้นี่..
“ก็เมื่อกี้
แต่ตอนนี้เสร็จแล้วก็รีบขึ้นมาเลย
ขึ้นมานอนกอดเค้าดีๆเร็ว..”
เป็นการบังคับที่น่าทำตามมาก
เมื่อเอิ้นได้ยินคำเชิญชวนให้มานอนกอดของหล่อน
เธอก็รีบพลิกร่างตัวเองขึ้นไปนอนกอดคลอเคลียกับหล่อนทันที
ฮ้า..ผิวกายนวลเนียน
นุ่มก็นุ่ม หอมก็หอม
แถมยังมีไออุ่นจากร่างกายที่ผ่านการออกกำลังเมื่อกี้มาอีก
เป็นใครรู้ก็คงอิจฉาเราอ่ะนะ
นั่นคือสิ่งที่เอิ้นคิดในขณะที่กำลังเอาหัวไปถูๆไถๆกับหน้าอกของพะแพง
“เค้าชอบหน้าอกพะแพงที่สุดเลย
หน้าอกสวยและใหญ่”
ทั้งชมทั้งยื่นมือไปบีบจับด้วยความหมั่นเขี้ยว
“อื้มมม..รู้แล้วน่า
ได้ยินมาไม่ต่ำกว่าสิบครั้งแล้วมั้งวันนี้”
อมยิ้มเล็กๆเมื่อหันไปเห็นคนจับกำลังพยายามใช้ปลายลิ้นละเลงมันทั้งขยำหน้าอกเธอไปพร้อมๆกันอีก
“ก็จริงนี่นา
ชอบก็บอกว่าชอบเค้าไม่อยากเก็บไว้..”
ยิ้มหวานให้เจ้าของหน้าอกก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้อีก
“เออว่าไปแล้วมีอีกอย่างที่เค้าชอบมากๆอีกเหมือนกัน..”
“อะไร?”
“ก็ท่านี้ง้ายย~~”
คนตอบยิ้มหวานก่อนจะยกตัวขึ้นค่อมพะแพงที่เหวอค้างอีกแล้ว
“อะไร
นี่จะต่ออีกเหรอนี่”
“ช่ายยย..”
ตอบรับพะแพงด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นสุดๆของตัวเอง
มือก็จัดท่าทางพะแพงให้เป็นท่าร่วมรักแบบชายหญิงที่เจ้าตัวชอบมากๆอีก
“ถามหน่อยทำไมชอบท่านี้
ทั้งๆที่ตัวเองก็เป็นผู้หญิงเหมือนๆกัน”พะแพงอดสงสัยเจ้าหล่อนไม่ได้เลยต้องถาม
“เอ้าก็เคยบอกไปแล้วไง
ท่านี้เค้าเห็นหน้าพะแพงใกล้ๆเวลาพะแพงมีความสุขน่ะพะแพงสวยมากๆเลยรู้มั้ย
มาเถอะอย่าถามให้เสียเวลาเลย
วันนี้เค้าถอดเฝือกออกแล้วเค้าทำท่านี้ถนัดกว่าวันนั้นแล้ว
แล้ววันนี้พะแพงก็ต้องกอดเค้าด้วยนะ”
“อย่างนี้น่ะเหรอ..”
คนถามอมยิ้มยื่นแขนสองข้างไปโอบกอดเอวเอิ้นไว้
นึกขำที่หล่อนออกคำสั่งทำท่าทางนั่นโน้นนี่แต่สุดท้ายไม่วายก็อยากให้ตัวเองกอดอยู่ดีนั่นแหละ
คงเหมือนที่หล่อนบอกตั้งแต่ตอนแรกที่หล่อนถอดเฝือกแล้วว่าหล่อนอยากใช้สองมือกอดและอยากให้เธอกอดด้วย
เป็นคนหื่นที่น่ารักจริงๆเลยแฮะ
ทั้งคิดทั้งยิ้มจ้องมองหล่อนแทรกร่างกายท่อนล่างเขาผสานตัวเองก่อนจะขยับเอวโยกเข้าโยกออกของหล่อน
และด้วยความที่ตัวเองก็แอบรู้มาว่าหล่อนคงจะชอบที่เธอครางเป็นชื่อหล่อนและทำใบหน้าเหยเก
ตัวเองก็เลยพยายามพยายามร้องด้วย
กอดด้วย ใบหน้าก็เหยเกด้วย
เล่นเอาคนทำมีอารมณ์เพิ่มขึ้นจนเผลอครางเป็นชื่อพะแพงทันทีเมื่อทั้งสองเริ่มทำไปนานๆเข้า..
“อ๊ะ
อ๊าา~~..เอิ้นคะ..”
“พะแพง
อ๊าา~~...พะแพง
มองหน้าเค้าสิ อยากนั้นล่ะๆ
สวยจังเลย..จูบหน่อย
อื้มม~~..”
ทั้งขอจูบทั้งโยกส่วนล่างอย่างถี่
โดยที่อีกคนก็รีบตอบรับโดยกว่าโน้มใบหน้าตัวเองไปมอบจูบแลกลิ้นกันให้
มือพะแพงก็กอดหลังหล่อนไว้แน่นส่วนขาก็กะหวัดกวัดเกี่ยวเอวเอาไว้ด้วยกลัวว่าร่างกายของหล่อนจะหลุดออก
อารมณ์กำลังได้ที่และความเสียววูบๆวาบๆกำลังจะทำให้พวกเธอกำลังถึงสรวงสวรรค์ในไม่ช้าหากไม่มีเสียงเปิดประตูห้องดังขึ้นมาขัดจังหวะเสียก่อน
“เอิ้น!
เป็นยังไงบ้าง!
ทำไมไม่รับโทรศัพท์
ทะ..”
เจ้าของคำถามตาค้างเมื่อเปิดประตูพรวดพราดเข้ามาในห้องนอนลูกสาวแล้วเห็นภาพชวนตกตะลึงเข้าให้เต็มๆตา
เต็มๆท่า
จนคนเป็นพ่อหยุดคำถามนั้นค้างไว้ด้วยเพราะอึ้งจนทำอะไรต่อไปไม่เป็น
เช่นเดียวกันกับสองสาวที่อยู่บนเตียงที่
ณ
ขณะนั้นขาก็ยังกระหวัดกวัดเกี่ยวกันอยู่และอีกคนก็กำลังโยกส่วนล่างอยู่
หลักฐานคาตาอย่างนี้เล่นเอาทั้งสองไปต่อไม่เป็น
อธิบายไม่ถูก
ได้แต่หันหน้าซีดๆเซียวๆเหงื่อตกมาทางพ่อตัวเอง
“พ่อ..ทำไมไม่เคาะประตูห้องก่อนเนี่ยยย..”
--<><><><>--
พะแพงนั่งก้มหน้าก้มตาเช็ดเหงื่อตัวเองอยู่บนเก้าอี้บาร์ด้านหลังของห้องรับแขก
โดยที่ในห้องรับแขกนั้นมีเอิ้นและพ่อกำลังทำการสนทนาถึงเรื่องราวชวนหน้าซีดเหงื่อตกของทั้งสองอยู่..
ก่อนหน้านั้นหลังจากที่ทั้งสามเผชิญหน้ากันแบบไม่ทันได้ตั้งตัวและไม่ได้ตั้งใจ
เอิ้นนั้นยังพอทำใจได้เพราะว่าต่อหน้าคือพ่อของตัวเอง
ส่วนพะแพงนั้นแทบจะลมจับทันที
ดีที่ตั้งสติได้เลยรีบผละตัวออกมาจากเอิ้นแล้วเอาผ้าห่มคลุมร่างกายเปลือยเปล่าของตัวเองไว้
ส่วนเอิ้นนั้นยังอุตส่าห์ลุกขึ้นจากเตียงทั้งสภาพเปลือยเปล่าอย่างนั้นไปหยิบเอาเสื้อคลุมอาบน้ำมาสวมแล้วเดินถือมาเผื่อพะแพงที่เอาแต่หันหลังหนีพ่อเอิ้น
ไม่กล้าสบตา
และแม้แต่ยกมือไหว้ในตอนนั้นเธอก็ยังลืมเลย..
“รีบแต่งตัวแล้วตามพ่อลงไปคุยที่ห้องรับแขก
ทั้งสองคนเลย”
ผู้เป็นพ่อพูดเสร็จก็รีบเดินออกจากห้องไปทิ้งให้ทั้งสองรีบพากันแต่งตัวด้วยความกังวล
โดยเฉพาะพะแพงที่ดูสติหลุด
และหวาดกลัวมาก
“เอิ้น
ทำไงดี พ่อเอิ้นเห็นแล้ว
แล้วพ่อเอิ้นจะบอกพ่อกับแม่เค้ามั้ยอ่ะ”
“ไม่บอกหรอก
ไม่ต้องกลัวนะ
เค้ากุมความลับของพ่อเอาไว้เยอะอยู่
พ่อไม่กล้าฮือกับเค้าหรอกถ้าเค้ายกเรื่องพวกนั้นมาขู่”
“แล้วเค้า..เค้าจะโดนพ่อเอิ้นด่ามั้ยเนี่ย..”
“ด่าเรื่องอะไรล่ะ
ด่าเรื่องมาเป็นเมียลูกสาวตัวเองอย่างนั้นเหรอ
หึ
ให้เค้าทายตอนนี้พ่อก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าจะคุยอะไรกับเค้าดี..”
ทั้งพูดทั้งยกมือไปจับไหล่พะแพงทั้งสองข้างไว้
“ไม่ต้องกลัวนะ
จะไม่มีใครว่าอะไรพะแพงได้
และเค้าจะไม่ยอมให้พ่อว่าอะไรพะแพงเด็ดขาด
ตั้งสติแล้วลงไปนั่งรอเค้าอยู่ตรงเก้าอี้บาร์
เดี๋ยวเค้าจะคุยกับพ่อก่อนเอง”
นั่นคือสิ่งที่เอิ้นปลอบพะแพงให้คลายความกังวลใจลงก่อนที่ทั้งสองจะเดินลงมาหาพ่อที่ห้องรับแขก
และพะแพงก็ออกไปนั่งรอเอิ้นที่เก้าอี้บาร์ตามที่หล่อนสั่ง..
ตอนนี้เมื่อพะแพงแอบชำเรืองมองดูเอิ้นในห้องรับแขก
ก็เห็นหล่อนกำลังยกไม้ยกมือเหมือนกำลังอธิบายอะไรบางอย่างกับพ่อของหล่อนอยู่
โดยที่พ่อของหล่อนก็นั่งกอดอกคิ้วขมวดมองลูกสาวเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างด้วยความกังวลไม่แพ้กันกับคนที่กำลังอธิบายเลย
เฮ้อ
ขอให้เรื่องราวทุกอย่างคลี่คลายไปในทางที่ดีด้วยเถอะนะ..
นั่นคือสิ่งที่พะแพงคิด
ณ
ขณะที่นั่งรอทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่ด้วยความเป็นห่วงจนเวลาล่วงเลยผ่านไปและเอิ้นก็เดินออกมาจากห้องรับแขกโดยที่พ่อของหล่อนนั้นยังคงนั่งกอดอกอยู่ที่เดิม
“เอิ้น..พ่อว่ายังไงบ้าง”
รีบกระซิบกระซาบถามไถ่อีกคนทันทีที่หล่อนเดินเข้ามาหยุดต่อหน้าแล้ว
“เอ่อ
พ่ออยากคุยกับพะแพงด้วยนะ
ป่ะ เข้าไปคุยกับพ่อเค้าพร้อมกันทั้งสามคนเลย”
พะแพงหน้าเสียทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น
“ไม่ต้องกลัวนะ
เค้าคุยกับพ่อเรื่องของเราไว้หมดแล้ว
พ่อแค่อยากคุยกับพะแพงบ้างแค่นั้น
และเค้าก็จะนั่งอยู่ข้างๆพะแพงด้วย
พะแพงไม่ต้องห่วง..”
ได้ยินข้อความที่มาพร้อมดวงตาหวานให้กำลังใจเธอแล้ว
พะแพงก็ฮึดสู้
ทำเป็นใจดีสู้เสือเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นเพื่อคุยกับพ่อเอิ้นทันที
“สวัสดีค่ะน้าวิศ”
เป็นพะแพงที่ยิ้มแหยๆยกมือไว้แล้วรีบก้มหน้าหลบตา
“วิศรุต” พ่อของเอิ้นหรือที่เธอมักจะเรียกว่า
“น้าวิศ”เพราะพ่อของเอิ้นมีอายุน้อยกว่าพ่อกับแม่ของพะแพง
“พะแพงทำตัวตามสบายเถอะ
คุยกับน้าเป็นปกติเหมือนเดิมเถอะนะไม่ต้องเกร็งหรอก
เดี๋ยวเอิ้นเค้าจะว่าน้าอีกว่าไปเอ็ดอะไรหนู
ทำไมหนูกลัวอย่างนี้น่ะ”
“พ่อ!”
คนโดนกล่าวถึงคิ้วขมวดรีบเบรคไม่ให้พ่อตัวเองพูดอะไรต่อ
“ประชดหนูป่ะเนี่ย!”
“เอ้า!
อะไรกับพ่ออีก
นี่ตามใจแล้วนะอุตสาห์ช่วยพูดให้พะแพงเบาใจลง
ใช่มั้ยพะแพง
หนูไม่ได้รู้สึกว่าน้าประชดใช่มั้ยลูก”
“เอ่อ..”
คนกลางถึงกับเลิ่กลั่กเมื่อได้ยินคนเป็นพ่อถามหาพวกต่อหน้าลูกสาวอย่างนั้น
“เอ่อ หนูโอเคค่ะน้า
คือ..ถ้าน้าไม่ได้ว่าอะไรหนูก็ไม่ได้เป็นอะไรค่ะ”
“ว่าอะไรอย่างนั้นเหรอ..”
คนเป็นพ่ออมยิ้มแล้วหันไปเหล่ตามองลูกสาวทันทีที่เห็นเด็กสาวคนต่อหน้าออกท่าทางสำนึกผิด
แถมใบหน้าของหล่อนยังละห้อยเหมือนรู้ว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นเป็นเรื่องที่ผิดต่อความรู้สึกคนเป็นพ่ออย่างตัวเองมาก
“ไม่เป็นไรหรอกนะ
ตอนแรกน้ายอมรับนะก็ตกใจแรงเหมือนกันที่ได้รู้ที่ได้เห็นน่ะ
แต่เมื่อได้ฟังที่เอิ้นบอกน้ามาทั้งหมด
น้าก็พอเข้าใจได้นะ
ไม่ต้องห่วงนะน้าทำงานกับคนอย่างเราสองคนมาเยอะ
หมายถึงคนที่มีแฟนเป็นเพศเดียวกันน่ะ
ก็เข้าใจพวกเราได้ในระดับหนึ่ง
ก็คิดซะว่าโลกมันเปลี่ยนไปแล้วเปิดกว้างกับเรื่องพวกนี้แล้ว
ดีซะอีกเอิ้นจะได้ไม่..”
“ไม่ต้องท้องก่อนแต่งใช่มะ”ลูกสาวรีบพูดแทรกพ่อตัวเองทันที
“เลิกใช้คำนี้ซะทีเถอะคิดว่าคนอื่นจะเป็นเหมือนพวกตัวเองหรือไง”
“อ้าวอะไรอีกแกนี่!”
“พ่อนั่นแหละเมื่อไหร่จะเลิกแขวะหนูต่อหน้าคนอื่น
ถ้าพูดเยอะกว่านี้เดี๋ยวความลับของพ่อกับนางแบบ
“ฟ”โดนหนูเอาไปแฉแน่”
“เฮ้อ!
แกก็ซะอย่างนี้เจ้าเอิ้น
พ่อพูดดีด้วยก็ไม่ได้”
คิ้วขมวดมองลูกสาวที่ทำท่าเหมือนกำลังข่มขู่ตัวเองก่อนจะหันไปหาอีกคนที่ยิ้มแหยๆมองสองคนทะเลาะกันอย่างหวั่นๆ
แล้วเลยกลายเป็นหันมาฟ้องหล่อนเข้า
“เนี่ยพะแพง เอิ้นก็เป็นซะอย่างนี้
ถามจริงๆชอบเจ้าเอิ้นได้ไง
ขนาดพ่อเป็นพ่อยังว่านิสัยมันไม่ดีเลย”
“พ่อ!”
ลูกสาวรีบเถียง
“เอ่อ..เอิ้นนิสัยดีค่ะ”
แต่พะแพงรีบตัดบทด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักของตัวเองก่อนที่ทั้งสองจะเถียงกันไปมากกว่านี้
“สำหรับหนูแล้ว
เอิ้นเขาเป็นคนที่นิสัยดีมาก
และเขาก็ดูแลหนูได้ดีด้วย..”
ได้ยินแค่นั้นคนเป็นพ่อก็ยิ้มน้อยเหล่ตามองลูกสาวที่หน้าแดงระเรื่อทันทีที่ได้ยินพะแพงชมตัวเองต่อหน้า
“หนูก็รู้ว่าที่พวกหนูทำมันไม่ถูก
แต่ว่า..”
“ทำไมจะไม่ถูกเล่า!
ถูกสิ!
ดีมากๆด้วย!
เอ้า!
เอิ้นไปเปิดแชมเปญขวดที่พ่อเอามาจากฝรั่งเศสมาฉลองหน่อยเร็ว
อย่างนี้ต้องดื่มหน่อย”
ยิ่งกว่าเหวอเสียอีกเมื่อได้ยินที่คนเป็นพ่อกล่าวตัดบทอย่างนั้น
ยิ่งเห็นลูกสาวของเขาหันมาอมยิ้มมองตัวเองแล้วยื่นมือมากุมไว้
พะแพงก็ยิ่งอึ้งไปกันใหญ่
เดี๋ยวนะ..นี่คือ
พ่อเอิ้นไม่ได้ว่าอะไรใช่มั้ย
ทั้งคิดทั้งงง
ตาก็จ้องมองพ่อเอิ้นยกโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมาขอถ่ายรูปพวกเธอทั้งสองไว้เก็บไว้เป็นที่ระลึกเหมือนภูมิใจในตัวลูกสาวตัวเองยังไงยังงั้น..
“เรื่องนี้เอิ้นได้พ่อมาเต็มๆเลย
ตาถึงเหมือนพ่อไม่มีผิด
เห็นมั้ยบอกแล้วเชื้อไม่ทิ้งแถว
สเปคดีนะเรารู้จักเลือกคนสวยซะด้วย”
“พ่อ!
เอาอีกแล้ว!”
คนเป็นลูกรีบขึ้นเสียงตัดบทพ่อด้วยทั้งเขินทั้งอาย
“อ้าวหรือไม่จริง
ชอบคนสวยก็ไม่บอก
แล้วไปจีบเค้าติดได้ยังไงนี่เรา”ทั้งพูดทั้งหัวเราะ
พอๆกับพะแพงที่แอบกลั้นขำจนหน้าแดงฉ่า
ได้แต่ก้มหน้าก้มตาหัวเราะเบาๆเพราะกลัวว่าจะเสียมารยาทเมื่อครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้พูดคุยกับน้าวิศในฐานะพ่อของคนที่เธอรัก
ได้แต่ก้มหน้าอายๆของตัวเองฟังทั้งสองหยอกล้อต่อเถียงกันต่อ..
“โอ้ยทำไมพ่อพูดงี้
ทำไมจะจีบไม่ได้ หนูก็สวยนะพ่อ!”
“เออ
ใช่สินะ” ทั้งพูดทั้งขำ
“ฉันก็ลืมไปว่าเรื่องนี้แกก็ได้แม่แกมาเหมือนกัน”
เป็นคำพูดต่อล้อต่อเถียงที่มีกลิ่นความรักและความคิดถึงแม่ของเอิ้นลอยออกมาให้ได้ยินด้วยครั้งแรก
พะแพงถึงกลับรีบเงยหน้ามองทั้งสองทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น
ตอนนี้ภาพที่เห็นเบื้องหน้าก็คือมือของพ่อที่เอื้อมมือมาจับมือเอิ้นเอาไว้ก่อนจะกล่าวบางอย่างที่บ่งบอกว่าถึงภายนอกเขาจะดูเย็นชาแต่ลึกๆแล้วเขาก็เป็นห่วงความรู้สึกลูกสาวคนนี้มากเหลือเกิน
“พ่อก็ไม่มีอะไรจะให้แกได้เท่ากับให้ความสุขแกหรอกนะเอิ้น
พ่อรู้ว่าแกขาดอะไร
และถ้าพ่อสามารถหาสิ่งที่แกขาดมาทดแทนได้พ่อก็จะทำ..”
ทั้งพูดส่งรอยยิ้มอบอุ่นมาให้เอิ้นที่ก็ยิ้มแล้วน้ำตาคลอเล็กๆก่อนจะหันมาทางพะแพง
“บางทีพะแพงก็อาจจะเป็นสิ่งที่ขาดไปของเอิ้น
ถ้ามันไม่ลำบากหนูเกินไปพ่อก็อยากให้หนูเข้ามาเติมเต็มตรงจุดนั้นของเอิ้นด้วยได้มั้ย”
คนเป็นพ่อทั้งพูดทั้งยื่นมือมาจับมือพะแพงไปกุมมือเอิ้นเอาไว้
ก่อนที่คนโดนถามคำถามจะยิ้มออกมาอย่างสุดหัวใจในตอนที่ตอบรับคำขอร้องของเขาหลังจากนั้น..
“ค่ะ
น้า..หนูสัญญาว่าจะอยู่เติมเต็มชีวิตให้กับเอิ้น
หนูจะอยู่ดูแลเอิ้นให้เองค่ะ”
--<><><><>--
บ่ายวันนั้นหลังจากที่คู่พ่อลูกพากันเลี้ยงฉลองต้อนรับพะแพงกันได้พักใหญ่ๆ
คนเป็นพ่อเมื่อสังเกตุอาการของพะแพงว่าหล่อนค่อนข้างเกร็งและดูกังวลเป็นพิเศษก็เลยสั่งให้เอิ้นไปส่งพะแพงที่บ้านเมื่อคิดว่าหล่อนอาจจะอยากกลับบ้านแล้วก็ได้เพราะหล่อนไม่ยอมดื่มอะไรด้วยเลยเอาแต่นั่งแข็งทื่อข้างๆลูกสาวตัวเองอย่างนี้
และเพื่อเป็นการรับขวัญคนพิเศษของลูกสาวตัวเอง
คนเป็นพ่อก็เลยใจป้ำให้ลูกสาวถอยรถสปอร์ตหรูคันใหม่ล่าสุดของเขาออกไปใช้สำหรับส่งหล่อนที่บ้านด้วยซะเลย
“อยากอวดบ้านเขาให้รู้ว่าเรามีเงินว่างั้น..”
เป็นเอิ้นที่กระซิบกระซาบพ่อของตัวเอง
เมื่อรับกุญแจใหม่เอี่ยมอ่องจากพ่อมา
นี่น่าจะเป็นคันที่3ของปีส่วนสองคันก่อนก็จอดอยู่โรงจอดรถรอวันปลดประจำการเหมือนดารานางแบบสาวกิ๊กของเขาล่ะสินะ
แอบคิดในใจตอนที่เหล่มองพ่อ
“ไม่ได้อวด
แต่ก็ต้องทำให้สมฐานะเขา
นั่นลูกสาวใครแล้วพ่อเขาเป็นใคร
แกจะโต๋ๆเต๋ๆไปส่งลูกเค้าง่ายๆได้ยังไง
เดี๋ยวเค้าว่าแกกระจอกนะ
อ๊ะ เอาไปขับดีๆ ระวังด้วย
รู้ใช่มั้ยว่าหวง
คันนี้พึ่งนำเข้ามาได้แค่สิบคันในไทยเอง
นี่ถ้าไม่เห็นว่าเป็นหนูพะแพงฉันไม่ให้แกขับง่ายๆอย่างนี้นะ”
“รู้แล้วน่า..”
แอบเหล่ตามองแรงพ่อตัวเอง
ก็คงจะเหมือนกับรถคันอื่นๆที่ถึงแม้เธอจะขับได้หมดทุกคันยังไงแต่ก็ต้องรอเวลาให้รถคันนันตกรุ่นก่อนถึงจะยอมให้ลูกสาวขับได้
นั้นก็เลยเป็นเหตุผลหนึ่งที่เอิ้นไม่เอารถยนต์พ่อมาใช้เลย
แม้ตัวเองจะถือว่าเป็นเจ้าของรถพวกนี้คนหนึ่งเหมือนกันและมีใบขับขี่สามารถขับได้อย่างถูกกฏหมายยังไงก็ตาม
ด้วยเพราะรำคาญเวลาพ่อเธอบ่นเรื่องรถเป็นรอยทั้งๆที่เป็นนิดๆหน่อยๆ
ทำให้เธอเลือกที่จะนั่งรถเมลล์ไปโรงเรียนเองดีกว่าเพื่อความสบายใจ
คิดซะว่าเอาไว้รอขับรถที่ซื้อมาจากเงินเดือนตัวเองน่าจะสบายใจกว่า
โดยก่อนไปส่งพะแพงนั้น
เอิ้นก็ไม่ลืมที่จะขอฝากรักกับหล่อนอีกหนึ่งบทในตอนที่พาหล่อนขึ้นไปเอาของใช้ทั้งหมดลงมาด้วย...
“เมื่อกี้ตอนอยู่กับพ่อขอบใจนะที่บอกกับพ่อเค้าว่าเค้าเป็นคนดีน่ะ”
เป็นเสียงของเอิ้นที่ดังขึ้นในขณะที่กำลังหวีผมดำสลวยของพะแพงให้เมื่อทั้งสองเสร็จจากบทรักและกำลังแต่งตัวเตรียมพาพะแพงกลับบ้าน
“ไม่เห็นต้องขอบใจเลย
ก็พูดความจริง
เอิ้นซะอีกที่ช่วยเค้าไม่ให้โดนพ่อเอิ้นว่า”
“พ่อน่ะเหรอ
ไม่เคยว่าคนอื่นหรอก
เลิกห่วงได้เลยมีแต่ว่าเค้านี่ล่ะ
ถึงได้ขอบใจพะแพงไง
ที่ช่วยทำให้เค้าดูดีในสายตาพ่อเค้าขึ้นมาบ้าง”
ทั้งพูดทั้งลูบผมนุ่มสลวยของพะแพงไป
ส่วนอีกคนก็หันมาบอกให้เธอนั่งลงบ้างเพื่อที่หล่อนจะได้สลับหวีผมให้เธอด้วย
“ยังเจ็บแผลที่หัวอยู่มั้ยนี่”
เสียงคนสลับหวีถามขึ้นมาบ้าง
หลังจากที่จับผมสีน้ำตาลอ่อนของเอิ้นขึ้นมาหวีพร้อมๆกับใช้มือลูบโบว์ติดแผลเล็กๆที่หัวหล่อนไปด้วย
“ก็นิดหน่อย
แต่ก็กินยาแล้วแหละ
เดี๋ยวก็หายไม่เป็นไรหรอกแค่นี้ชิลด์ๆ
ห่วงตัวเองเถอะ หายเหนื่อยหรือยัง”
อมยิ้มทันทีที่พูดถึงเรื่องที่ทำให้พะแพงเหนื่อยก่อนหน้านั้น
“คอยดูนะเย็นนี้พะแพงต้องหลับยาวแน่ๆเลย
ได้ออกกำลังกายขนาดนั้นน่ะ”
ทั้งพูดทั้งยิ้มน้อยยียวน
“บ้า
นี่ก็พูดอะไรก็เข้าเรื่องนั้นตลอด
คิดดีไม่ได้เลยเนอะ ทะลึ่ง
รีบไปส่งเค้าเถอะมันเย็นแล้ว
ตัวเองก็จะได้พักผ่อนด้วยเข้าใจมั้ย”
บอกเจ้าของห้องไปก่อนที่หล่อนจะขานรับและรีบพาตัวเองไปส่งที่บ้านด้วยรถคันงามหลังจากนั้น
“เค้าไม่ลงไปส่งนะ
เดี๋ยวคนในบ้านได้กลิ่นเหล้าเค้าอีกน่ะ”
เป็นเสียงสาวคนขับที่หันมายิ้มหวานบอกพะแพงตอนที่รถเคลื่อนที่มาจอดอยู่ต่อหน้าบ้านของพะแพงแล้ว
และเธอก็นึกขึ้นได้เรื่องกลิ่นเหล้าที่เธอดื่มฉลองกับพ่อของเธอมา
หากลงไปส่งมีหวังภาพลักษณ์ดีๆที่อุตส่าห์ได้คืนกลับมาตอนช่วยพะแพงไว้
ได้หายไปหมดเพราะกลิ่นเหล้าแน่ๆ
“อืม..ไม่เป็นไร”
“งั้นเดี๋ยวเค้าโทรหานะ
อย่าปิดเครื่องหนีเค้าซะล่ะ”
“อื้มม..รู้แล้วน่า”
ยิ้มหวานบอกลาหล่อนไปก่อนจะลงจากรถเดินเข้าบ้านแล้วไปเจอเข้ากับหกสายตาที่พากันจับจ้องมองเธออยู่เนื่องจากพวกเขาพากันมานั่งทานของว่างที่สวนด้านหน้ากันพอดี๊พอดี
“นั่นรถปอร์เช่ใช่มั้ยนั่น
แล้วนั้นคนที่ขับก็พี่เอิ้นนี่”เจ้าของสายตาคู่แรกกล่าวขึ้นก่อนอย่างตื่นเต้นเมื่อเขารีบเดินออกมาชะเง้อรถปอร์เช่สีแดงสดที่กำลังถอยรถออกเพื่อเตรียมตัวออกจากซอย
“ก็เห็นแล้วนี่จะถามทำไม”
“โอ้โห
เท่โคตรๆอ่ะ พี่เอิ้นโคตรดีย์เลยอ่ะ
แสดงว่านั่นรถพ่อพี่เอิ้นใช่ป่ะ”
ทั้งพูดทั้งตาโตทั้งเดินตามพี่สาวเข้าไปในบ้าน
“อืม..”
“โห
รถพ่อพี่เอิ้นโคตรแพงอ่ะ
แสดงว่าพ่อพี่เอิ้นก็ต้องรวยโคตรๆสินะ
ขนาดของเรายังรถเบนซ์กับฟอร์จูนเนอร์ธรรมดาๆเลย”
“แล้วรถตู้ที่จอดอยู่อีกสามคันนั่นล่ะ”
หันไปเหล่ตามองรถตู้ที่จอดนิ่งสงบที่ที่โรงจอดรถหน้าบ้านเพื่อเถียงกับน้องชาย
“อ้าวก็นั่นรถตู้
ยังไงไม่เท่เท่ารถสปอร์ตหรอก”
“ก็ถ้ามันสวยขนาดนั้น
ถ้าแกสอบเข้าเตรียมทหารได้ฉันจะออกให้แกคันหนึ่ง
ไอ้ที่ฉันไม่ซื้อมาขับเพราะว่าฉันไม่ชอบไม่ใช่ว่าฉันไม่มีเงินเข้าใจมั้ย”
เสียงพ่อลอยลมมาหยุดการสนทนาของพะแพงกับพะเพื่อน
เล่นเอาทั้งสองสะดุ้งเฮือกทันที
“พ่อเอิ้นกลับมาแล้วสินะ
เอิ้นเลยได้เอารถพ่อมาส่งอย่างนี้น่ะ”พ่อหันมาถามพะแพงต่อเมื่อเห็นหล่อนยืนยิ้มแหยๆในขณะที่ยกมือไหว้พ่อกับแม่เมื่อเธอเดินมาถึงโต๊ะที่ทั้งสองนั่งอยู่
“เอ่อใช่ค่ะ
พึ่งกลับมาช่วงสายๆนี่เองค่ะ”
“แล้วเอิ้นโอเคขึ้นแล้วเหรอ
ทำไมขับรถมาส่งเราได้”
“ก็
โอเคขึ้นมากแล้วค่ะ”
ใจอยากจะบอกพ่อว่าโคตรจะมากและทรงพลังที่สุดด้วยเมื่อนึกถึงบทรักที่หล่อนปรนเปรอให้เธอทั้งวันทั้งคืนสองวันก่อนหน้านั้นจนมาถึงวันนี้อีก
นี่ถ้าพ่อหล่อนไม่มาขัดจังหวะเสียก่อนก็ไม่แน่ว่าจนถึงตอนนี้หล่อนก็อาจจะยังไม่ยอมปล่อยให้เธอกลับมาบ้านก่อนก็เป็นได้
“ดีขึ้นก็ดีแล้วล่ะ
ก็คงมีแต่เรานี่ล่ะมั้งที่หน้าดูโทรมๆล้าๆเหมือนเพลียๆไม่ค่อยสบาย
ได้นอนหรือเปล่าเมื่อคืนนี้”
อึ๊ก
แค่ได้ยินคำถามสุดท้ายจากพ่อ
พะแพงก็ถึงกลับเลิ่กลั่กมองซ้ายมองขวาทันทีตอนนี้ไม่เพียงพ่อเท่านั้นที่รอฟังคำตอบ
ยังมีแม่และเจ้าน้องชายตัวแสบที่จ้องมองตาลุกวาวเหมือนกำลังลุ้นกับคำตอบของพี่สาวตัวเองยังไงไม่รู้
“เอ่อ
นอน..เอ่อ..”
ถ้าจะตอบว่านอนหลักฐานบนขอบตาก็ฟ้องท่นโถ่
ถ้าตอบว่าไม่นอนคำถามที่พ่อจะถามต่อไปก็คือ
ทำอะไรกันทำไมไม่นอนสินะ
คิดได้ดังนั้นก็ได้แต่อึกๆอักๆจนพ่อต้องโบกมือปัด
“อ่ะๆ
ไม่อยากตอบก็ไม่ต้องตอบ
ไปนอนไป เห็นแล้วรำคาญลูกตา”
พอได้ยินเสียงพ่อว่าพี่สาวดังนั้นน้องชายก็ยิ้มนอนทันที
“ฮั่นแน่
ผมว่า..”
“แกก็ด้วย
ไปอ่านหนังสือเตรียมสอบแล้วก็หยุดทำหน้ากระริ่มกระเรี่ยอย่างนี้สักทีฉันรำคาญตา
เข้าใจมั้ย!!”
“ครับพ้ม!!”
ตอบรับพ่อเสียงดังด้วยความเคยชินมือไม้ตัวเองก็แนบชิดกับลำตัวไปตามท่าทางทหารที่พ่อมักจะสอนให้เขาทำเสมอๆ
ทำให้พี่สาวคนสวยแอบอมยิ้มท่าทางน้องชายก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาด้วยความโล่งใจเมื่อพ่อบอกให้ตัวเองขึ้นไปผักผ่อนแล้วก็ละสายตาจากตัวเองไปไม่หันมาจับผิดอีกอย่างเมื่อกี้แล้ว..
เฮ้อ
ค่อยยังชั่วหน่อย..
บ่ายวันนั้นพะแพงที่เหนื่อยจากการไม่ได้นอนต่อกันมาสองคืนสองก็ได้หลับยาวไปและตื่นขึ้นมาอีกทีก็กลายเป็นค่ำเลยเมื่อได้ยินเสียงพะเพื่อนมาร้องเรียกอยู่หน้าห้อง
“พี่แพง
พ่อให้มาตามไปกินข้าวอ่ะ
ดึกแล้วนะจะไม่กินข้าวเลยเหรอ
พี่แพงได้ยินมั้ย หลับอยู่ใช่หรือเปล่า
พี่แพง!!”
“อื้มม
ได้ยินล้าวว”
เสียงงัวเงียของหล่อนดังออกมาจากในห้อง
“กินกันไปก่อนเลยก็ได้..”
“กินก่อนที่ไหนเค้าพากันกินกันตั้งนานแล้ว
เนี่ยพ่อให้เพื่อนขึ้นมาดูพี่แพงว่านอนไหลตายหรือยัง
ถ้ายังก็ปลุกให้ตื่นขึ้นมาทานข้าวก่อนแล้วจะนอนต่อก็ค่อยนอน”
“เออๆ
ตื่นแล้วล่ะๆ เดี๋ยวสักหน่อยจะลงไปหรอก”
บอกน้องชายหน้าห้องไปเมื่อตัวเองลุกขึ้นมายืดแข้งยืดขาแล้วลุกขึ้นไปอาบน้ำหลังจากนั้น
ในใจก็ไม่ได้คิดอยากกินอาหารเย็นเท่าไหร่เลยไม่ได้ลงไปทานต่อ
แม้เธอจะจัดการอาบน้ำอาบท่าตัวเองแล้วก็ตาม
แถมเมื่อดูนาฬิกาพอเห็นว่าเป็นเวลาเกือบๆจะสองทุ่มอยู่แล้วก็เลยตัดสินใจเปลี่ยนเป็นชุดนอนเตรียมจะนอนต่อทันที..
เอ..สองทุ่มแล้วอย่างนั้นเหรอ
นี่ดึกแล้วนี่แล้วคนที่บอกว่าจะโทรหาทำไมหล่อนถึงไม่โทรหาเธอกันล่ะ
แอบนึกถึงใครบางคนตอนที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเผื่อว่าหล่อนจะโทรเข้ามาตอนนอนหลับไปก่อนหน้านั้นก็ได้
แต่ก็ไม่มีสายไหนโทรเข้าหาเธอในเวลานั้นเลย
เอ...หรือบางทีหล่อนอาจจะเหนื่อยอย่างเธอแล้วเผลอหลับไปยาวเลยก็ได้เมื่อกลับไปถึงบ้านแล้ว
นึกถึงบทรักที่ตัวเองพยายามปรนเปรอให้หล่อนจนหล่อนอิ่มเอมและแอบขอร้องให้เธอทำให้ตัวเองบ่อยๆรอบหลังๆแล้วก็อดที่จะอมยิ้มด้วยความสุขและภูมิใจในตัวเองไม่ได้เลย..
นี่ต้องยกความดีความชอบให้นิยายเรื่องนั้นเลยน่ะนี่
อมยิ้มจ้องมองในโทรศัพท์ก่อนจะกดเปิดดูหน้าเว็บบล๊อกนิยายเมื่อนึกขึ้นได้ว่าบางทีไรท์เตอร์อาจจะอัพโหลดตอนใหม่ลงไปแล้วก็ได้
ดีไม่ดีก็อาจจะมีบทNCใหม่เพิ่มขึ้นอีกให้เธอได้จดจำไปใช้กับสาวหน้าหวานคนที่ออดอ้อนขอให้เธอทำให้อย่างไม่เบื่อคนนั้นด้วย..
นั่งก้มอ่านหน้าเว็บบล๊อกนิยายก่อนจะตาโตเมื่อพบว่าไรท์เตอร์อัพเดตตอนใหม่ลงไปแล้วจริงๆด้วย
“จะไปไหน
เค้ายังไม่ได้บอกให้กลับเลยไม่ใช่เหรอ”เสียงของแพรี่ดังขึ้นพร้อมๆกับการเอื้อมมือไปดึงเพื่อนสาวของตัวเองไว้เมื่อเห็นว่าหล่อนเอากระเป๋ามาให้ตัวเองแล้วก็จะเดินออกจากห้องไปดื้อๆ
“ก็จะกลับบ้าน
เอากระเป๋ามาให้ตามที่บอกแล้วจะอะไรอีก”
“จะกลับบ้านหรือจะไปหาครูฝึกสอนคนนั้นกันแน่
นึกว่าไม่รู้เหรอว่านัดกันไปไหนต่อ”
“แล้วจะทำไม
รู้แล้วจะทำไม อีกคนก็ขึ้นเสียงใส่ไม่แพ้กัน
“จะทำไมอย่างนั้นเหรอ...”
แพรี่มองหน้าเอรินอย่างหัวเสียเมื่อเห็นว่าหล่อนก็ตั้งท่าจะเถียงไม่ตอบไม่ยอมให้ตัวเองง่ายๆเหมือนทุกครั้ง
หน็อย..ตั้งแต่ได้รู้จักครูพี่แนนนี่เปลี่ยนไปเยอะเลยนะ
ทั้งคิดทั้งกัดฟันกรอดๆ
มือที่ดึงแขนหล่อนไว้ก็ออกแรงดึงแรงขึ้นจนคนโดนดึงร้องเสียงหลงเมื่อเริ่มเจ็บจริงๆ
“โอ้ย
ปล่อยนะ จะทำอะไรเนี่ย ปล่อย
เค้าจะ...”
เสียงร้องเงียบไปเมื่ออยู่ๆคนดึงกลายเป็นดึงร่างเอรินเข้ามาโอบกอดแล้วมอบจุมพิตบดขยี้ริมฝีปากคนหัวแข็งที่ไม่ยอมฟังคำเตือนของตัวเองเรื่องครูคนนั้นเลย
จ้องแต่จะเถียงช่วยหล่อนและหาทางหนีไปหาหล่อนตลอด
หน็อย..ได้..ยังไงๆก็ต้องโดนยัยครูฝึกสอนคนนั้นหลอกฟันอยู่แล้ว
เธอไม่ได้หวงเนื้อหวงตัวอยู่แล้วนี่
แล้วทำไมคนที่เป็นเพื่อนเธอมาตั้งนานอย่างฉันจะทำอย่างที่คนอื่นหวังกับร่างกายเธอไม่ได้กัน
ยังไงเธอก็ไม่ได้แคร์อยู่แล้วใช่มั้ยว่าคนแรกของเธอจะต้องเป็นใคร
ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห
ทำไมแค่คิดว่าเอริณจะต้องไปเป็นของใครที่เธอไม่ไว้ใจแล้ว
ความหวงในใจลึกๆก็สั่งให้เธอทำบางอย่างเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของกับหล่อนก่อนที่จะไปเป็นของใครเข้าจนได้...
แพรี่ทั้งกอดทั้งมอบจุมพิตเร้าร้อนให้เอริณ
ทั้งพยายามถอดเสื้อผ้าของหล่อนออกจากตัวจนหมดก่อนจะพาร่างอ่อนระโหยโรยแรงของหล่อนไปที่เตียงนอนของตัวเองต่อหลังจากนั้น...
เฮ้ยยยย!!!
คนอ่านตาโตด้วยความตกใจทันทีที่อ่านมาถึงย่อหน้านี่
เดี๋ยวๆๆนะ
ทำไมกลายเป็นแพรี่ไปได้กับเอริณแทนรัณห์เสียแล้วล่ะ
ตาเหลือกลานอ่านบทรักNCต่อจากนั้นด้วยความตกใจ
ทั้งลุ้นว่าจริงๆสองคนนี้อาจจะไม่ได้กันจริงๆก็ได้เพราะอาจจะมีใครมาขัดจังหวะอย่างที่ไรท์เตอร์ชอบเขียนเป็นมุกอีก
แต่จนแล้วจนรอดจากย่อหน้านั้นจนย่อหน้าที่จบวรรคบทNC
ไม่มีวรรคไหนเลยที่จะไม่บรรยายภาพว่าทั้งสองกำลังมีอะไรกันในแบบที่ว่าเร้าร้อนสุดๆ
และแถมท้ายที่สุดทั้งสองยังพลัดกันทำให้กันทั้งวันทั้งคืนต่อจากนั้นอีก
เดี๋ยวนะ..นี่มันเรื่องของฉันจริงๆหรือนี่
ฉันกับเอิ้นตอนนี้คือเราสองคนมีอะไรกันแล้ว
แล้วสองคนในเรื่องนี้ก็มีอะไรกันแล้วเหมือนฉันเปี๊ยบเลย
แถมเรื่องที่นำพาให้ทั้งสองได้กันยังเหมือนกันตรงที่แพรี่หึงเอริณเรื่องครูฝึกสอนคนนั้นอีก
ยิ่งคิดก็ยิ่งตกใจ
เมื่อเนื้อเรื่องมันก็ชวนผวาจิตตก
จากที่เคยอ่านแล้วมีความฟินความขำและความสนุกประทับใจ
แต่เมื่อคิดได้ว่าทุกๆอย่างในนั่นกำลังเปลี่ยนไปตามชีวิตเธอจริงๆแล้วพะแพงก็เริ่มกลัวนิยายเรื่องนั้นขึ้นทันที
ลางสังหรณ์บางอย่างทำให้พะแพงพยายามก้มลงอ่านย่อหน้าต่อไปของเรื่องต่อด้วยความกังวล..
“รัณห์
รัณห์มาที่นี่ทำไม นี่มันดึกแล้วนะ”
“รัณห์ก็จะมาดูไงว่าพี่แพรี่เป็นอะไรทำไมไม่รับโทรศัพท์รัณห์เลย
วันนี้ทั้งวันรัณห์โทรหาพี่แพรี่ตลอดแต่พี่ก็ไม่รับสายตลอดมีอะไรผิดปกติหรือเปล่า
พี่แพรี่มีอะไรปิดบังรัณห์หรือเปล่า”
“ก็เปล่า
ก็แค่ไม่ว่างรับ”
คนสวยต่อหน้าหน้าบอกปัดเด็กน้อยของตัวเองไปเมื่อคิดว่าไม่อยากจะทะเลาะอะไรกับหล่อนอีกคนแล้วในเมื่อตัวเองก็เหนื่อยจากการปรนเปรอบทรักให้เพื่อนสาวตัวเองมาทั้งวันแล้วเช่นเดียวกัน
“ไม่ว่างรับ
หึ จริงเหรอ ไม่เชื่อหรอก
ปกติพี่แพรี่โทรตามรัณห์ทั้งวัน
แล้วแค่รัณห์ไม่ได้รับสายพี่แพรี่ครั้งเดียวพี่ก็บ่นให้รัณห์แทบตายแล้ว
แต่นี่พี่ไม่รับสายรัณห์ทั้งวันเลยนะ
มันจะไม่ผิดปกติไปหน่อยเลย”
“ก็ไม่มีอะไรผิดปกตินี่
รัณห์ก็เห็นแล้วนี่ว่าพี่โอเคทุกอย่าง”
“มันก็แค่ต่อหน้ารัณห์แค่ตอนนี้ล่ะ”
สาวน้อยกัดปากกัดฟันมองคนต่อหน้าอย่างหมั่นไส้
“รู้แล้วว่ารัณห์จะทำยังไง
คืนนี้รัณห์จะมานอนกับพี่แพรี่”
“ห๊ะ!
นอนด้วยอย่างนั้นเหรอ”
นั่นคือสิ่งที่ทั้งแพรี่ในนิยายและพะแพงในชีวิตจริงกำลังสบถออกมาด้วยความตกใจเมื่อได้อ่านมาถึงย่อหน้านี้
เดี๋ยวนะแล้วไงต่อทีนี้
ก้มลงอ่านย่อหน้าต่อไปมือไม้ตัวเองก็สั่นเมื่อเริ่มคิดได้ว่าถ้านิยายเรื่องนี้คือชีวิตจริงของเธอ
งั้นตอนต่อไปจากนี้ก็คือบทนี้น่ะสิ..
แพรี่ดึงรัณห์เข้ามาสวมกอดปลอบใจเมื่อเห็นหล่อนร้องไห้ไม่หยุดเสียที
ทั้งสงสารทั้งรู้สึกผิดที่ตัวเองเผลอไปมีอะไรกับเพื่อนของตัวเองจนปล่อยให้คนรักอีกคนของตัวเองผิดหวังและเสียใจเมื่อหล่อนได้รู้ความจริงอย่างนี้
ตอนนี้ในหัวนึกอะไรไม่ออก
มีแค่ความรู้สึกผิดในใจที่สั่งให้แพรี่พยายามก้มลงไปจุมพิตแทนคำขอโทษก่อนจะประครองร่างที่พยายามต่อต้านสัมผัสเร้าโรมของเธอทุกอย่างให้ไปสงบสติอยู่ที่เตียงนอนหลังจากนั้น
“จะทำอะไร”
เสียงของเด็กน้อยที่ยังคงร้องไห้อยู่ตลอดร้องถามแพรี่เมื่อเห็นหล่อนกำลังพยายามปลดเปลื้องเสื้อผ้าตัวเองออกจากตัว
แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับมีเพียงสัมผัสจากริมฝีปากที่หล่อนพยายามจุมพิตไปทั่วๆตัวเมื่อร่างของรัณห์เปลือยเปล่าแล้ว
“ปล่อยรัณห์นะ
คิดว่าทำอย่างนี้รัณห์จะหายโกรธเหรอ”
“ก็ไม่ได้คิดว่ารัณห์จะหายโกรธ
แต่พี่ทำไปเพราะว่าพี่รักรัณห์ต่างหาก”
“รักอย่างนั้นเรอะ”
เด็กสาวหัวเราะหึอารมณ์สมเพชตัวเองเต็มที่
“รักรัณห์และรักพี่เอริณด้วยใช่มั้ยเลยทำอย่างนี้เหมือนๆกัน”
“ไม่
พี่ไม่ได้รักเอริณ พี่แค่สงสารเค้า
พี่แค่ไม่อยากให้เค้าโดนคนอื่นหลอก”
ห๊ะ!
โทรศัพท์ในมือพะแพงล่วงลงกับพื้นเตียงทันทีที่อ่านมาถึงย่อหน้านี้
อีบ้า!นี่มันบทนิยายบ้าบออะไรไร้เหตุผลที่สุดเลย
อิพระเอกไปมีอะไรกับตัวร้ายเพราะไม่อยากให้คนอื่นมาหลอกฟันอย่างนี้เนี่ยนะ
โอ้ย อิไรท์บ้าเอาอะไรคิดเนี่ย..
ทั้งคิดทั้งขยุ้มผมตัวเองด้วยความหงุดหงิดและงุนงง
ไม่นึกว่าจะได้อ่านบทนิยายรีไรท์ใหม่บ้าๆบอๆไร้เหตุผลอย่างนี้
โคตรจะเฟลเลยนะไม่อินเลยแหละตอนนี้
คิ้วขมวดจ้องมองโทรศัพท์ก่อนจะสงบสติพยายามหยิบมันขึ้นมาอ่านต่ออีกครั้งด้วยความใจเย็นหวังว่าเนื้อหาอาจจะไม่เป็นอย่างที่เธอคิดก็ได้
แต่ย่อหน้าหลังจากนั้นก็เป็นไปตามที่พะแพงคิดเลยคือ
รัณห์ก็ยอมมีอะไรกับแพรี่ที่ขอโทษตัวเองและบอกว่ารักตัวเองที่สุดจนได้...
เฮ้ย..คิดมาได้ยังไงอย่างนี้ก็เท่ากับอินังแพรี่มันมีเมียสองคนอะดิ
พ่นลมหายใจแห่งความหงุดหงิดออกมาเมื่อนึกถึงความไม่สมเหตุสมผลของนิยายเอาซะเลย
ก่อนจะพยายามปลอบใจตัวเองซ้ำๆว่า
เอาน่ายังไงๆมันก็เป็นแค่นิยายไม่ใช่เรื่องจริงซักหน่อยจะต้องจริงจังอะไรกับมันนักหนาเล่า...
แต่เดี๋ยวนะ
ชะงักทันทีเมื่อคิดอะไรขึ้นได้อีก
ไม่สิ
จริงๆเรื่องนี้มันอาจจะเป็นเรื่องจริงของเราและตอนที่เราอ่านตอนนี้ก็คือตอนที่กำลังเกิดขึ้นในชีวิตเราตอนนี้ก็ได้
คิดได้แค่นั้นพะแพงก็รีบกดโทรศัพท์ออกไปหาเบอร์เอิ้นด้วยใจร้อนรนทันที
ปลายสายไม่มีการตอบรับใดๆ
และไม่ว่าพะแพงจะรีบกดโทรศัพท์ออกไปเบอร์หล่อนซ้ำๆเท่าไหร่หล่อนก็ไม่รับสายเธอเลย
นี่เป็นอะไรนี่ทำไมเธอถึงไม่ยอมรับสายฉันเลยเอิ้น
ตอนนี้พะแพงเริ่มใจไม่ดีแล้วเมื่อคิดได้ว่าหรือบางทีปลายสายอาจจะกำลังอยู่กับใครบางคนที่ทำให้รับสายไม่ได้
และบางทีหล่อนอาจจะกำลังทำบางสิ่งบางอย่างอย่างถึงพริกถึงขิงอยู่จนไม่สามารถเสียเวลาออกมารับสายได้เมื่อคิดว่ามันช่างเป็นอะไรที่กำลังขัดความสุขหล่อนอย่างไม่น่าให้อภัย
ภาพบทรักของหล่อนที่หล่อนปรนเปรอให้เธอแล้วมีคนโทรศัพท์เข้าหาไม่ว่าจะเป็นเบอร์พ่อหล่อนหรือแม้แต่เบอร์คนอื่นแล้วหล่อนก็ไม่ยอมรับเลย
เอาแต่บอกว่าไม่อยากโดนขัดจังหวะแห่งความสุขในตอนนั้นปรากฏขึ้นมาในหัวพะแพงให้เธอแทบจะน้ำตาเล็ดทันทีเมื่อคิดได้ว่าตอนนี้ชีวิตจริงของตัวเองกำลังเป็นแบบนิยายไปแล้ว
และตอนนี้ไม่แน่ว่าแพรี่ในชีวิตจริงก็กำลังปรนเปรอรสสวาทให้กับรัณห์สาวน้อยของหล่อนอยู่ก็ได้
คิดได้ดังนั้นพะแพงก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดไพรเวทแล้วรีบเดินทางออกไปหาคนที่ปลายสาย
ด้วยทั้งกังวลทั้งโมโห
ทั้งหงุดหงิดและงุ่นง่านจนไม่สามารถจะทนอยู่เฉยๆได้แล้วหากเธอยังติดต่อหล่อนไม่ได้สักทีอย่างนี้
“พี่แพงจะไปไหนน่ะ”
เสียงของพะเพื่อนร้องทักเธอขึ้นเมื่อเขาเห็นท่าทางรีบร้อนของพี่สาวในตอนที่กำลังมุ่งตรงออกไปที่ประตูรั้วหน้าบ้าน
ผ่านสนามหญ้าที่เขากำลังนั่งเล่นกีตาร์อยู่
“เอ่อ
จะไปทำธุระ เอ่อจะไปเซเว่นหน้าหมู่บ้านแป๊บหนึ่งน่ะ
พอดีนัดเพื่อนไว้”
“นัดเพื่อนไว้?
ตอนนี้เนี่ยนะ?
ดึกแล้วนี่
ใครอ่ะ?”
“ไม่ใช่ธุระจะอยากรู้ไปทำไม”
“เอ้าก็เผื่อพ่อถาม”
“ก็ไม่ต้องบอกดิ
บอกไม่รู้ไม่ชี้ก็จบ”
ขมึงตาใส่น้องชายทันทีที่เห็นท่าทางอยากรู้อยากเห็นไม่จบไม่สิ้นของเขาก่อนจะชี้หน้าขู่อีกครั้ง
“แล้วก็ไม่ต้องบอกพ่อกับแม่ด้วย
เข้าใจมั้ย
ไม่งั้นจะฟ้องพ่อเรื่องที่เราแอบหนีเที่ยวกลางคืนเหมือนกัน”
สะดุ้งเบาๆแต่ก็ยังไม่วายอยากรู้เรื่องของพี่สาวอยู่ดี
“งั้นบอกมาก่อน ว่านี่จะไปไหน
ไปหาพี่เอิ้นใช่ป่ะ”
“รู้แล้วจะถามทำไมอีก”
พูดเสร็จก็สะบัดปลายผมหางม้าตัวเองเดินลิ่วๆออกจากบ้านไป
หวังจะโทรเรียกGrabให้มารับที่เซเว่นหน้าปากซอย
และในขณะที่กำลังเดินด้วยอาการเร่งรีบนั้นเธอก็ยังไม่วายพยายามกดโทรออกหาคนที่ไม่ยอมรับโทรศัพท์เธอเลย
และกระทั่งตอนนี้แม้เธอจะโทรหาหล่อนซ้ำๆเกือบๆจะยี่สิบรอบแล้วหล่อนก็ยังไม่ยอมรับอยู่เหมือนเดิม
นี่ใจคอเธอจะไม่รับสายฉันจริงๆใช่มั้ยเอิ้น
ทั้งคิดทั้งเสียใจ ทั้งกดโทรศัพท์
ทั้งพยายามส่งข้อความหาหล่อนโดยที่ไม่ได้มองทางข้างหน้าเลยว่าตอนนี้กำลังมีรถยนต์วิ่งเข้ามาในซอยหมู่บ้านด้วยความเร็วสูงมาก
และมันก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะลดความเร็วลงเลยเมื่อมุ่งหน้าเข้ามาหาพะแพงที่กำลังเดินก้มหน้าเดินดุ่มๆอยู่ในตอนนี้
เอี๊ยด!!...ตุ๊บบ!!
“พี่แพง!!ระวัง!!”
พะแพงเซล้มไปกองกับพื้นทันทีที่สิ้นเสียงเรียกของพะเพื่อน
ที่แอบเดินตามเธอมาเมื่อเขาได้ยินว่าเธอจะไปหาพี่เอิ้นของเขา..
“โอ๊ยย
อะไรเนี่ย โอยย..”
คนล้มถึงกับร้องโอดครวญ
“เป็นยังไงบ้างพี่แพง
ทำไมเดินไม่ดูรถเลย
นี่ดีนะไม่โดนมันชนเข้าเต็มๆน่ะ
ไหนดูซิเป็นยังไงบ้าง”
หยิบจับแขนพี่สาวฝั่งที่เขาเห็นรถยนต์คันนั้นวิ่งมาแฉลบถูสีข้างหล่อนก็เห็นเป็นเลือดกำลังไหลออกจากรอยถลอกปลอกเปิกนั่น
และรอยช้ำแดงๆที่กำลังจะเขียวขึ้นเรื่อยๆ
ดีที่หล่อนใส่กางเกงยีนส์หนาๆมา
ขาเลยไม่เป็นรอยถลอกอะไร
แต่พะเพื่อนก็คิดว่าภายใต้ร่มผ้าเหล่านั้นอาจจะมีแผลฟกช้ำอยู่ก็เป็นได้
“เลือดออกเยอะเลยอ่ะ
ขยับแขนได้ป่ะเนี่ย”
ลองให้พี่สาวตัวเองขยับแขนดูเมื่อคิดว่าแขนหล่อนอาจจะหักก็เป็นได้
“อ๊ะ
อ๊ะ เดี๋ยวๆเจ็บๆ..”
“เจ็บเหรอ?
งั้นไปหาหมอดีกว่าเผื่อว่าแขนพี่แพงจะหัก
ป่ะเร็วๆ”
รีบยกพี่สาวตัวเองให้ลุกขึ้นก่อนจะเดินไปเก็บโทรศัพท์ของหล่อนที่หล่นอยู่กับพื้น
โดยที่หน้าจอยังโชว์ให้เห็นว่าหล่อนกำลังโทรหาใครอยู่และใครคนนั้นก็ไม่มีทีท่าว่าจะรับสายหล่อนเลย
และเมื่อเลื่อนดูบันทึกการโทรเหล่านั้นทั้งหมดก็เห็นว่ามีแต่พี่สาวตัวเองเท่านั้นที่โทรหาหล่อนฝ่ายเดียวจนยาวลงมาเป็นแถบตั้งแต่หนึ่งชั่วโมงที่แล้วจนกระทั่งตอนนี้
ไหนบอกว่านัดพี่เอิ้นไว้
แล้วนัดได้ยังไง
ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้รับโทรศัพท์อย่างนี้
ทั้งคิดทั้งขมวดคิ้วก่อนจะหันมาถามพี่สาวที่หน้าหงอยๆของตัวเองเมื่อเริ่มประติดประต่อเรื่องราวอะไรได้บ้างแล้ว..
“นี่อย่าบอกนะว่าเพราะมัวแต่โทรหาพี่เอิ้นที่ไม่ได้รับสายตลอด
เลยไม่ได้มองทางอย่างนี้น่ะ..”