นิยายรักไม่จำกัดบท
Cheapter
3
ตัวร้ายยอมแพ้และการตอบกลับของเพื่อนรัก
“เอิ้นไปกินข้าวกันป่ะ”
เสียงของพะแพงดังขึ้นเมื่อตอนเที่ยงของวันหลังจากที่ออดพักเที่ยงดังขึ้นแล้วและเอิ้นก็เก็บของเตรียมตัวลุกขึ้นไปกินข้าวโดยที่ไม่ทันได้สังเกตุท่าทางกุลีกุจอของเพื่อนสาวที่ก็ลุกตามขึ้นทันที
ไม่เหมือนทุกครั้งที่หล่อนเอาแต่เอ้อระเหยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดเช็คโน่นเช็คนี่เกือบๆจะสิบนาทีถึงจะไปกินข้าวได้
ซึ่งก็สืบเนื่องมาจากที่แผนการล้วงเอาความลับเมื่อเช้าล้มไม่เป็นท่า
แถมยังไม่ได้ความลับอะไรกลับมาเลยนอกจากความฟินล้วนๆเท่านั้น
พะแพงคนสวยเลยต้องรีบดำเนินการแผนสองด้วยการรีบตามเพื่อนสาวไปกินข้าวด้วยดีกว่าเผื่อว่าเด็กคนนั้นจะไปกินกับเธอด้วย
“อ๊ะ
ก็ไปสิ”
คนโดนชวนหันมายิ้มงงๆมองท่าทางตื่นตัวของเพื่อนสาว
สงสัยหิวข้าวแน่ๆดูสินี่เตรียมจะวิ่งอย่างเดียวเลย
ทั้งคิดทั้งยิ้ม
“แล้ววันนี้เอิ้นได้ชวนหลินไปกินข้าวด้วยหรือเปล่าล่ะ”
เหล่มองคนถามนิดๆ
“ก็..ไม่ได้ชวนหรอกแต่เดี๋ยวหล่อนก็คงจะมาเพราะเคยคุยกันไว้แล้วว่าต้องมากินข้าวด้วยกันทุกวัน”
หน้าถอดสีทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น
แม้จะดีใจที่แผนการประชิดตัวทั้งสองสำเร็จทำให้เธอสามารถเข้าไปกินข้าวร่วมวงพวกหล่อนเพื่อสืบหาความคืบหน้าได้
แต่ข้อความชวนสะเทือนใจรุนแรงอย่าง
“เคยคุยกันไว้แล้วว่าต้องมากินข้าวด้วยกันทุกวัน”
ก็ทำให้พะแพงแทบจะตีหน้าไม่ถูกอารมณ์เลยทีเดียว
“มันคงเป็นความรักที่ไม่ถึงกับสุข
มันคงเป็นความทุกข์ที่ไม่ถึงกับเศร้า...มันจึงเป็นความรักที่ทั้งซึ้งทั้งเหงาอยู่ด้วยกัน...”
ได้ยินเสียงร้องเพลงจากใครก็ไม่รู้ลอยผ่าเข้ามาเป็นOST.ของเรื่องแล้ว
พะแพงก็ยิ่งสะเทือนใจไปกันใหญ่
ได้แต่ทำหน้าพะอืดพะอมจะยิ้มก็ไม่ยิ้มจะร้องก็ไม่ร้องจนคนสวยตรงหน้าต้องทักเอา
“นี่
หิวข้าวขนาดนั้นเลยเหรอ
หน้าซีดเชียว งั้นเรารีบไปกินกันเถอะป่ะ”
และนั่นก็ทำให้พะแพงคนสวยได้แต่เดินตัวแข็งตามเพื่อนไปด้วยใบหน้าบอกอารมณ์สับสันไปหมดของเธอ
--<><><><>--
“เดี๋ยวพะแพงนั่งจองที่ไว้ก่อนก็ได้นะ
คนเยอะเค้ากลัวเราโดนแย่งที่
เดี๋ยวยังไงจะสั่งกับข้าวมาเผื่อด้วยเลยเอาแบบเดียวกันกับที่เค้ากินมั้ย”
เสียงเอิ้นดังขึ้นในตอนที่เธอชี้ชวนให้พะแพงนั่งรอที่โต๊ะอาหารในโรงอาหารที่ตอนนี้มันคราคลั่งไปด้วยเด็กนักเรียนเกือบๆจะทั้งโรงเรียนแล้ว
และด้วยความเป็นห่วงเพื่อนกลัวเธอจะไม่มีที่นั่งดีๆสบายๆนั่ง
เมื่อเอิ้นเห็นที่นั่งที่ว่างเธอก็รีบวิ่งมาจองไว้แล้วรีบเรียกให้พะแพงมานั่งรอเลยเผื่อว่าใครคนอื่นจะมาแย่งที่พวกเธอซะก่อนหากทิ้งโต๊ะไว้แล้วไปด้วยกันทั้งสองคนอย่างนั้น
“อื้ม
เอาแบบเดียวกันกับที่เอิ้นสั่งเลยก็ได้
ง่ายๆ จะได้รีบกินไม่ต้องรอเค้าทำหลายครั้งเปลืองเวลา”
ยิ้มหวานบอกเพื่อนสาวในขณะที่กำลังนั่งลงโต๊ะ
สายตาก็มองตามหล่อนยกมือบ้ายบายแล้ววิ่งหายไปในฝูงชนไปยังร้านอาหารที่เธอทั้งสองมักจะสั่งมากินเป็นประจำ
นั่งรอนั่งมองนั่นมองนี่อยู่ครู่หนึ่งเสียงจากใครบางคนก็เรียกความสนใจจากพะแพงจนเธอต้องรีบหันไปมอง
“เอ่อ
พี่เอิ้นยังไม่มาเหรอคะ”
เจ้าของเสียงยืนยิ้มขยับแว่นตาอันใหญ่โตแก้เขินอยู่ต่อหน้าท่าทางเก้ๆกังๆยังไงไม่รู้
“เอ่อ
อ๋อ มาแล้วแต่ไปสั่งกับข้าวอยู่น่ะ
ทำไมเหรอ หลินมีอะไรหรือเปล่า”
ยิ้มมองหล่อนด้วยใบหน้าบอกอารมณ์ไม่ถูกของตัวเองเหมือนเดิม
“เอ่อ
พี่เอิ้นเขานัดให้หลินมากินข้าวด้วยน่ะค่ะ
เอ่อ เขาบอกให้มานั่งรอเลย”
“อ๋อ...”
จริงสินะ
สองคนนี้นัดกันให้มากินข้าวด้วยกันตลอดเวลานี่นาลืมไปเลย
แกล้งยิ้มหวานกลบเกลื่อนใบหน้าเจื่อนๆสะเทือนใจของตัวเองอีกครั้ง
“จริงด้วย เอิ้นบอกอยู่ว่าหลินจะมากินข้าวด้วยวันนี้
พี่ก็ลืมเลย”
“ค่ะ
พี่เอิ้นนั่งตรงไหนคะ
ตรงนี้หรือเปล่า”
หล่อนชี้มือไปที่ที่นั่งตรงข้ามพะแพง
“เอ่อ
คงใช่ ทำไมเหรอ”
“อ๋อ
พี่เขาบอกให้หลินนั่งอยู่ข้างๆเขาน่ะค่ะ”
ทั้งพูดทั้งยิ้มแหยๆในตอนที่หล่อนขยับร่างไปนั่งลงต่อหน้าพะแพง
ทิ้งให้อีกคนนั่งอึ้งแล้วอึ้งอีกเนื่องจากทำอะไรต่อไปไม่เป็น
ได้แต่สะเทือนใจกับภาพบาดตาที่จะเห็นในอนาคตอีกไม่กี่นาทีต่อไปนี้
ไม่ได้สิพะแพง ต้องคุมตัวเองให้ได้
คิดการณ์ใหญ่ใจต้องนิ่ง
เรื่องแค่นี้เอง
ถ้ายังทนเสียใจไม่ได้แล้วถ้าเจอความลับที่ทำให้อึ้งกว่านี้จะชอคตายเลยหรือไงกัน
ทั้งคิดทั้งทอดถอนลมหายใจตัวเอง
ก่อนจะพยายามยิ้มแย้มแกล้งถามคนต่อหน้าในสิ่งที่อยากรู้
ยังไงๆก็เห็นตัวเป็นๆของหล่อนแล้วถามเลยแล้วกันจะได้รู้ดำรู้แดงกันไปเลยเสียที..
“เอ่อ
เมื่อวานมีเรื่องอะไรกันหรือเปล่า
พี่เห็นเอิ้นโพสสถานะแล้วแทกหลินน่ะ
งอนอะไรกันเหรอ”
“เมื่อวานหรือคะ”
ยิ้มแหยๆโชว์ดวงตาหยีๆภายใต้ตาโตๆของหล่อนก่อนจะอึกๆอักๆตอบพะแพงไปเหมือนเกรงอะไรบางอย่างมากๆ
“ก็ไม่มีอะไรมากค่ะแค่พี่เอิ้นเขาโกรธให้หลินที่ไม่รอเขาที่โรงเรียนก่อน”
“รอเหรอ??รอทำไม??”
“ก็เห็นพี่เอิ้นบอกว่ามีธุระต้องคุยกับพี่พะแพงก่อนน่ะค่ะ
แต่เขาอยากให้หลินรอกลับพร้อมเขา
เขาเลยสั่งให้หลินรอเขาที่โรงเรียนก่อน
แต่..เอ่อ
เมื่อวานหลินก็มีธุระของหลินเหมือนกัน
หลินก็เลยไม่ได้รอพี่เขา
พี่เขาคงโกรธหลินที่หลินไม่ทำตามคำสั่งเขาน่ะค่ะ”
คนฟังออกอาการคล้ายคนจะเป็นลมตั้งแต่ได้ยินประโยคที่ว่า
“เอิ้นอยากให้หล่อนรอกลับด้วยแล้ว”
ยิ่งฟังๆที่หล่อนพูดทั้งหมดก็ยิ่งให้ความรู้สึกว่าเด็กคนนี้มีความสำคัญกับเอิ้นมากจนถึงขนาดที่เอิ้นต้องโกรธให้และถึงขั้นงอนหนักมากๆเมื่อหล่อนไม่รอกลับด้วยอีก
แล้วนี่ฉันก็เป็นต้นเหตุให้พวกหล่อนทั้งสองทะเลาะกันจริงๆหรือนี่
แอบคิดเปรียบเทียบระหว่างชีวิตจริงกับนิยายเรื่องนั้น..ตอนนี้ในนิยายนางร้ายคงสะใจที่ได้แกล้งให้สองคนนี้ทะเลาะกันได้จริงๆ
แต่ทำไมตัวเธอกลับรู้สึกแย่และเสียใจยังไงไม่รู้เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตัวเองน่าสมเพทถึงขั้นที่ว่าตัวเอกต้องยอมเสียสละช่วงเวลาที่มีค่าระหว่างพวกเขาทั้งสองเพื่อมาปลอบใจเธออย่างนี้
นี่..ฉันเป็นแค่เพื่อนรักที่เธอสงสารและไม่กล้าปล่อยทิ้งไว้ให้เหงาใจเหมือนในนิยายตอนนี้จริงๆสินะ...
สีหน้ายิ้มแย้มของพะแพงเปลี่ยนไปเป็นเศร้าอย่างเห็นได้ชัดจนหลินเห็นแล้วยังตกใจ
“พี่พะแพงเป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
“เอ่อ
ปะๆเปล่าจ๊ะ” ได้สติขึ้นมาทันที
“เออ..แล้วเป็นไงบ้าง
กับเอิ้นตอนนี้น่ะ”กลับมาแกล้งยิ้มแย้มเข้าเรื่องที่จะถามต่อ..
“พี่เอิ้นหรือคะ..”
คนโดนถามยิ้มหน้าแดงขึ้นมาทันที
“ก็..ก็ดีค่ะ
ถ้าไม่ติดว่าดุ พี่เอิ้นก็ถือว่าดีค่ะ”
“เหรอ..งั้นเรา...ชอบเขามั้ยล่ะ”อกสั่นขวัญแขวนนิดๆเมื่อพยายามถามคำถามนี้
“ชอบ??”
คนโดนถามถึงกับทำหน้างง
“ชอบยังไงคะ”
“ก็ชอบแบบ..เอ่อ..”
“อะแฮ้ม!!คุยอะไรกันอยู่”
ทั้งสองสะดุ้งโหยงทันทีที่ได้ยินเสียงของบุคคลที่สามในบทสนทนาดังแทรกขึ้น
“เอ่อ
ไม่มีอะไร”
ยิ้มแหยๆให้เพื่อนสาวก่อนจะหันไปส่งซิกกับอีกคน
“ไม่มีอะไรเนอะหลิน”
“ค่ะๆไม่มีอะไร”
มองท่าทางรนรานเหมือนพวกหล่อนกลัวตัวเองมากๆแล้วเอิ้นก็ได้แต่แหล่ตามองค้อน
“นี่ทำไมต้องทำท่าตกอกตกใจขนาดนั้นด้วย
ไม่เคยเห็นคนสวยขนาดนี้หรือไงกัน..”
“ค่าาาา
ไม่เคยเห็นเลยค่าาา
นี่ตกตะลึงพรึงพรึดกันไปหมดเลยใช่มั้ยหลิน”เป็นพะแพงที่ตอบกลับด้วยอารมณ์ขันต่อก่อนจะหันไปส่งซิกถามอีกคนที่ไม่กล้าตอบรับได้แต่ยิ้มแหยๆแทนคำตอบไป
นั่นก็ทำให้คนสวยที่ยืนถือถาดข้าวมาวางไว้ถึงกับรีบนั่งลงข้างๆหล่อนแล้วยื่นมือไปดึงหูให้เจ้าหล่อนร้องโอดโอยครวญครางไปใหญ่
“ทำไมต้องทำหน้าทำตาอย่างนั้นยัยลิงน้อย
เธอจะว่าชั้นไม่สวยใช่มั้ย
ชั้นรู้นะ”
ได้ยินเสียงเล็กเสียงน้อยของเด็กลิงตอบกลับพร้อมๆกับดวงตาเล็กๆที่หรี่ลงออดอ้อนคนต่อหน้าในตอนที่หล่อนขอโทษกันแล้วพะแพงก็ได้แต่สะเทือนใจทำอะไรไปไม่ถูก
ด้วยทั้งเจ็บทั้งจุกที่เห็นภาพบาดตาบาดใจอยู่ต่อหน้าตัวเองโดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย
ได้แต่แกล้งยิ้มให้หล่อนทั้งสองก่อนจะเลื่อนถาดข้าวตัวเองมาก้มหน้าตักกล้ำกลืนฝืนกินด้วยความพะอืดพะอมไปตลอดคาบเที่ยงนั้นทั้งคาบ
เฮ้อ..ฉันคิดถูกหรือคิดผิดนี่ที่มากินข้าวกับพวกเธอทั้งสองคน...
--<><><><>--
สรุปว่าวันนี้นอกจากพะแพงคนสวยจะค้นพบว่าตัวเองคว้าน้ำเหลวในการสืบดูความก้าวหน้าในความสัมพันธ์ของทั้งสองแล้ว
เธอยังพบว่าไม่ควรเอาตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือแทรกแซงช่องว่างระหว่างพวกเขาเลยเพราะนอกจากจะทำตัวไม่ถูกแล้วเธอยังรู้สึกเจ็บมากๆอีกในทุกๆครั้งที่มองเห็นเพื่อนสาวหันไปคุยหยอกล้อกับเด็กของหล่อนไม่ว่าจะเป็นตอนเที่ยงหรือตอนเย็นคาบว่างก่อนจะเลิกเรียนอย่างนี้อีก..
“นี่!!เวลาที่ฉันเรียกเธอต่อหน้าคนอื่นทีหลังให้ขานรับด้วยนะว่าที่รัก
ไม่ใช่ทำหน้าเจื่อนๆแหยๆอย่างนั้นมันไม่ได้ฟีลคนรักเข้าใจมั้ย”
เป็นเสียงออกคำสั่งคนต่อหน้าของเอิ้น
แต่ดันลอยมาเข้าหูคนที่นั่งหันหลังก้มหน้าอ่านหนังสืออยู่ข้างๆอย่างพะแพงเข้า
แน่นอนว่าหญิงสาวขี้น้อยใจอย่างพะแพงก็แทบจะน้ำตาเล็ดทันทีที่ได้ยินแค่นั้น
หนำซ้ำพอเธอหันหลังไปชำเลืองมองเห็นภาพเพื่อนรักตัวเองกำลังโน้มมือไปยีผมเด็กแว่นของหล่อนด้วยอารมณ์ทั้งหมั่นไส้ทั้งเอ็นดูอยู่
ความอึดอัดในใจก็เกิดขึ้นกับพะแพงจนเธอทนดูไม่ไหวต้องลุกขึ้นพรวดพราดจากสนามหญ้าหน้าอาคาร
“พะแพงจะไปไหนน่ะ!”
เพื่อนรักของเธอรีบฉุดมือเธอไว้ทันทีที่เห็นเธอลุกขึ้นหอบหนังสือและกระเป๋าเตรียมจะเดินหนี
“จะไปหาที่เงียบๆอ่านหนังสือ”
“เงียบเหรอ”
รีบเอามือปิดปากตัวเองทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น
“พะแพงว่าเค้าเสียงดังเหรอ”
ไม่ตอบแต่ส่งสายตามองแรงหล่อนแทนก่อนจะพยายามสะบัดมือหนีแต่อีกคนก็ไม่ยอมปล่อยง่ายๆ
“เดี๋ยวสิ
ไหนบอกว่าวันนี้กลับด้วยกันไง
นี่ก็ใกล้จะเลิกแล้วอยู่ด้วยกันตรงนี้ก่อนแล้วกันนะ
ถ้าจะอ่านเดี๋ยวพวกเค้าจะเงียบให้”
“ไม่เป็นไร”
ที่ตอบว่าไม่เป็นไรเพราะได้ยินคำว่า“พวกเค้า”ของหล่อน
ตอนนี้จากที่กำลังจะหายโกรธก็กลายเป็นงอนเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวเสียอีกที่ได้ยินคำพูดเหมือนตัวเองเป็นคนนอกของพวกเขาอย่างนั้น
“อยู่ด้วยกันไปสองคนนั่นล่ะ
เค้าไม่อยากกวน”
“ไม่กวน??
อะไรคือกวนน่ะพะแพง
พะแพงแค่อ่านหนังสือ”
ถามหล่อนด้วยความงงและความซื่อของตัวเอง
ก็เมื่อกี้ยังเห็นก้มหน้าอ่านหนังสือเงียบๆอยู่เลยแล้วทำไมบอกว่าตัวเองกวนคนอื่นอย่างนั้นล่ะ
“นี่..พะแพงเป็นอะไรหรือเปล่า”
ถามย้ำอีกครั้งเมื่อคิดได้ว่าหล่อนอาจจะกำลังงอนอะไรก็ได้
“เปล่า”
แกล้งยิ้มให้คนถามก่อนจะสะบัดมือหล่อนออก
“ปล่อยมือได้แล้วเค้าจะไปหาที่อ่านหนังสือ”
“ไม่อ่ะ
นี่แสดงว่าพะแพงกำลังโกรธ
ถ้าโกรธอย่าเดินหนีอย่างนี้ต้องอยู่ด้วยกันก่อน”ทั้งพูดทั้งออกแรงดึงอีกเหมือนเดิม
“ปล่อย!!”
“ไม่!!”
“บอกให้ปล่อย!!”
คนโดนจับมือพยามออกแรงสะบัดมือเฮือกสุดท้ายเพื่อฝืนแรงมือเพื่อนสาว
แต่ดูเหมือนครั้งนี้อีกคนก็ออกแรงดึงมากเกินไปเช่นเดียวกัน
กลายเป็นว่าพอยื้อยุดฉุดกระชากอย่างนั้นกระเป๋าในมือพะแพงดันหลุดออกจากมือแล้วลอยเคว้งไปโดนหน้าคนที่นั่งมองทั้งสองทะเลาะกันด้วยสีหน้าไม่สู้ดีเข้า
และตอนนี้แว่นตาที่หล่อนสวมอยู่ก็โดนกระเป๋ากระแทกแล้วดันตกออกจากหน้าร่วงลงสู่พื้นอย่างรุนแรงจนขาแว่นทั้งสองหักและกระจกเลนส์แว่นตาทั้งสองข้างก็แตกไปหมด
“เฮ้ย!!
หลินเป็นยังไงบ้าง”
เอิ้นรีบปล่อยมือจากพะแพงแล้ววิ่งเข้าไปช้อนร่างหลินที่นอนแผ่หลาลงกับพื้นเมื่อหล่อนโดนกระเป๋าฟาดหน้าเต็มๆเข้า
และตอนนี้เมื่อพะแพงหันไปมองหลินด้วยทั้งความตกใจและความเป็นห่วง
ภาพที่เห็นเบื้องหน้าก็ทำให้พะแพงแทบจะน้ำตาเล็ดออกมาทันที(อีกแล้ว)
เดี๋ยวนะ!!
นี่ตกลงเรื่องจริงหรือนิยายกันแน่นี่
ทำไมภาพเบื้องหน้าถึงเหมือนกับฉากที่แพรี่กำลังประครองร่างของรัณห์เมื่อหล่อนถูกเอริณแกล้งจนล้มขึ้นมาดูด้วยอาการตะลึงงัน
เพราะภาพต่อหน้าที่แพรี่เห็นในฉากนั้นคือภาพเมื่อรัณห์ไม่ได้ใส่แว่นหนาเตอะของตัวเองแล้วเผยให้เห็นใบหน้าเรียวสวยน่ารักสมวัยของหล่อน
จนแพรี่ผู้ที่พระเอกของเรื่องถึงกับสตั้นทันที..
นี่เป็นฉากแรกที่แพรี่เห็นหน้ารัณห์นางเอกของเรื่องชัดๆหลังจากที่เจ้าหล่อนเอาแต่ใส่แว่นตาหนาเตอะเทอะทะมาโรงเรียนตลอด
นี่มัน..นี่มันตอนที่10แล้วนี่
เฮ้ย แล้วทำไมข้ามไปตอนที่10เลยล่ะ
ห้วงความคิดของพะแพงชะงักทันทีเมื่อคิดได้ว่าจริงๆเมื่อวานนี้มันยังอยู่ตอนที่สามอยู่เลยแล้วไหงตอนนี้เนื้อเรื่องกลายเป็นเร่งรัดกลายเป็นตอนที่สิบไปเสียละ
นี่ครึ่งเรื่องแล้วใกล้ตอนจบเข้ามาทุกทีแล้วสินะ
ทั้งคิดทั้งคิ้วขมวด
ใบหน้าบอกอารมณ์ทั้งงงทั้งตกใจก่อนจะกลายเป็นเปลี่ยนอารมณ์มาเสียใจเต็มๆเมื่อเห็นเพื่อนรักของตัวเองหันมามองเธอด้วยสายตาเชิงตำหนิเข้า
“พะแพง!!
แว่นน้องเขาแตกเลยเห็นมั้ย!!”
“ฮ้า..”ชะงักทันทีที่ได้ยินน้ำเสียงเชิงต่อว่าอย่างนั้น
ก็แล้วไง
แว่นแตกแล้วไง
แล้วหันมามองด้วยสายตาอย่างนี้นี่หมายความว่าเป็นความผิดฉันอย่างนั้นรึ
ยืนอึ้งน้ำตาคลอมองอีกคน
อยากพูดก็พูดอะไรไม่ออก
ได้แต่เถียงหล่อนในใจด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจไป
“บอกแล้วใช่มั้ยให้ใจเย็นๆฟังกันบ้าง
ไม่ใช่เอะอะก็ โอ๊ะ!!”
หล่อนหยุดต่อว่าทันทีเมื่อพะแพงเดินเข้ามาผลักหล่อนล้มไปกองกับหลินอยู่ที่พื้นแล้ววิ่งหนีไปดื้อๆ
ทิ้งให้คนล้มนั่งเหวอได้แต่มองด้านหลังเพื่อนตัวเองหายไปต่อหน้าต่อตาโดยที่ไม่ยอมขอโทษและไม่ยอมบอกเหตุผลเลยว่าหล่อนทำอย่างนี้ทำไม..
--<><><><>--
พะแพงวิ่งตะเหลิดตะเลอหนีเพื่อนรักของตัวเองไปทางห้องน้ำด้านหลังโรงเรียนที่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่
เธอยืนน้ำตาซึมอยู่หน้ากระจกห้องน้ำอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกลายเป็นกลั้นไม่อยู่เมื่อคิดได้ว่าช่างมันเถอะยังไงๆตรงนี้ก็ไม่มีใครอยู่หรอกจะร้องหรือไม่ร้องก็ไม่มีใครสนใจอยู่แล้ว
ป่วยการที่เธอจะต้องทนเข้มแข็งยิ้มแย้มในเมื่อสิ่งที่เธอเจอมาทั้งวันนั้นแทบทำให้เธอล้มทั้งยืนไม่มีแรงแม้กระทั่งยืน
พะแพงคิดว่ามันคงดีถ้าได้ร้องไห้ออกมาเสียที
หลังจากนี้แล้วเธอจะกลับมาเป็นพะแพงคนที่ยิ้มแย้มแจ่มใสเสียทีจะได้ไม่ต้องมาทนทำหน้ายิ้มเจื่อนๆจะยิ้มก็ไม่ยิ้มจะร้องก็ไม่ร้องต่อหน้าคนใจร้ายคนนั้นอีก
ทั้งคิดทั้งหลับตาปล่อยให้สายน้ำตาพรั่งพรูออกมาเลยไม่ทันได้สังเกตว่าข้างๆเธอมีร่างๆหนึ่งยืนอยู่ข้างๆตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้
รู้สึกตัวอีกทีร่างๆนั้นก็ยื่นผ้าเช็ดหน้ามาให้ต่อหน้าแล้ว..
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ??พะแพง”
คนโดนทักสะดุ้งลืมตา
ก่อนจะรีบยกมือไหว้หล่อนทันทีที่นึกขึ้นได้ว่าต่อหน้าคือครูฝึกสอนที่พึ่งเข้ามาสอนได้ไม่ทันถึงเทอมแต่เธอก็คุ้นหน้าหล่อนมาก
เพราะครูฝึกสอนคนนี้ค่อนข้างจะเด่นและถือว่าเป็นดาวของกลุ่มครูฝึกสอนที่มาสอนทั้งหมด
“เอ่อปะๆเปล่าค่ะ”รีบตอบหล่อนไปพร้อมๆกับยกมือขึ้นเช็ดร่องรอยน้ำตาของตัวเองออก
แต่อีกคนตรงหน้าดันยกมือที่จับผ้าเช็ดหน้าข้างนั้นยื่นมาเช็ดคราบเหล่านั้นให้พะแพงก่อน
เล่นเอาพะแพงชะงักทันทีที่หันไปเห็นรอยยิ้มหวานๆของใบหน้าเรียวสวยที่แต่งแต้มไปด้วยเมคอัพอ่อนๆในตอนที่หล่อนกำลังค่อยๆเช็ดหน้าด้วยความทะนุถนอมให้
“สะอาดแล้วล่ะค่ะ”
“ขอบคุณค่ะ”
ยกมือไหว้ครูฝึกสอนคนนั้นด้วยความเกรงใจทันที
“ไม่เป็นไรค่ะ”
ครูคนนั้นยิ้มหวานให้พะแพงก่อนจะชวนคุยต่อ
“ไง..ทะเลาะกับคู่จิ้นเหรอ
ชื่ออะไรนะเอิ้นใช่มั้ยนะ”
“เอ๋??..”ยิ้มให้ครูคนนั้นด้วยความงงนิดๆ
“ครูรู้จักเอ่อ..หนูกับเอิ้นด้วยหรือคะ”
ถามหล่อนไปเพราะไม่คิดว่าคุณครูฝึกสอนบุคลิกท่าทางจริงจังดูวิชาการมากๆคนนี้จะมารู้จักฉายาออนไลน์ของพวกเธอได้
นี่ดังขนาดคุณครูฝึกสอนยังรู้จักอย่างนั้นหรือนี่
“รู้จักสิคะ
ทั้งสองคนเลย
นี่เราดังขนาดนี้จะไม่ให้ไม่รู้จักได้ยังไงกัน
ครูก็ไม่ได้เชยขนาดนั้นนะคะ”
“อุ้ย
หนูไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นค่ะ”
รีบยกมือไหว้ขอโทษหล่อนทันที
ใบหน้าของพะแพงตอนนี้ก็ได้แต่ยิ้มแหยๆด้วยเขินนิดๆที่กลายเป็นเผลอไปทักคุณครูด้วยประโยคกระแนะกะแหนอย่างนั้นเข้าให้
น่าอายชมัดเลย
จริงด้วยสิครูเขาก็ยังเป็นวัยรุ่นอยู่เลยนี่นาจะมาเชยถึงขนาดไม่รับรู้ข่าวสารโซเซียลได้อย่างไรกัน
พูดอะไรไม่คิดเลยนะพะแพง!!
ทั้งคิดทั้งยิ้มเจื่อนๆโดยที่ครูคนสวยต่อหน้าก็เอาแต่ยิ้มตอบกลับด้วยความเอ็นดูก่อนจะยื่นมือมาจับเบาๆที่หัวของพะแพงในตอนที่หล่อนกล่าวขอตัวกลับหลังจากนั้น
“นี่..อย่ายอมแพ้ง่ายๆนะ
ครูติดตามและเอาใจช่วยเราทั้งสองคนอยู่
สู้ๆนะ ครูไปก่อนนะคะ..”
ซึ่งนั่นก็ทำให้พะแพงถึงเหวอทำหน้าไม่ถูกเลยทีเดียว
ด้วยไม่รู้ว่าคุณครูคนนั้นต้องการจะสื่อถึงอะไรกันแน่
ได้แต่ยกมือขึ้นไหว้ขอบคุณหล่อนก่อนจะรีบออกมากจากห้องน้ำเหมือนกันเพราะได้ยินเสียงสัญญาณออดเลิกเรียนดังขึ้นหลังจากนั้นแล้ว
--<><><><>--
เย็นวันนั้นพะแพงกลับมาบ้านด้วยสภาพน้ำตาคลอเบ้าตาจะร้องไม่ร้องแหล่เช่นเดียวกับทุกๆวัน
แต่วันนี้ความน้อยเนื้อต่ำใจมันทวีขึ้นสูงมากเมื่อดันไปนึกถึงแววตาของเพื่อนที่ตัวเองแอบรักเมื่อยามที่หล่อนหันมาต่อว่าทำเหมือนว่าเธอเป็นต้นเหตุทำให้แว่นเด็กคนนั้นแตกทั้งๆที่มันไม่ใช่ความผิดของเธอเลยสักนิด
ฮึ้ย!!
ให้ตายเถอะยิ่งคิดก็ยิ่งน้อยใจ!!
และความน้อยใจที่เก็บกดเอาไว้ทั้งวันก็ถูกทำลายจนมันพรั่งพรูออกมาเป็นน้ำตาทันทีที่เธอเดินเข้าห้องนอนตัวเองแล้ว
ตอนนี้พะแพงสาวน้อยหน้าหวาน
สาวสวยที่เป็นหนึ่งในดาวของโรงเรียนทนที่จะอยู่ในร่างนางฟ้าอ่อนโยนผู้เอาแต่ยิ้มและใจดีที่สุดในโรงเรียนไม่ได้อีกแล้ว
เธอคิดว่ามันคงเกินจะทนแล้วและขนาดที่ว่าจะแอบร้องไห้ในห้องน้ำเธอก็ยังแอบทำไม่ได้เลย
ที่นั่นไม่ใช่ที่ของฉันเลย
บ้าชมัดเลยและแม้กระทั่งคนที่คิดว่าน่าจะเป็นคนของตัวเองแท้ๆหล่อนก็ยังไม่ใช่ของเธอเหมือนกัน
นี่ชีวิตจริงฉันคงเป็นได้แค่นางร้ายที่ไม่ได้มีความจำเป็นในนิยายชีวิตจริง
ไม่จำเป็นจะต้องมีบทเลยด้วยซ้ำแต่คนเขียนนิยายก็ยังอุตสาห์ยัดเยียดบทบาทอันน่าเศร้าน่ารันทดใจให้กับเธออีก...
ใจร้ายเกินไปแล้วนะ...ถ้าจะเขียนไม่ให้ฉันสมหวัง
ก็อย่าให้ได้เจอะเจอกับตัวเอกอย่างนี้ตลอดไปได้มั้ย
ฉันคงทนไม่ได้หรอกที่ต้องเห็นคนที่ตัวเองรักกำลังมีใจให้กับคนอื่นทุกวันๆแทนที่จะเป็นตัวเองอย่างนี้
นั่นคือสิ่งที่พะแพงคิดในขณะที่คิดถึงใบหน้าหวานๆของตัวเอกของเรื่อง
ที่เวลาดีหล่อนนั้นดีแสนดี
เวลาที่หล่อนเอาอกเอาใจก็แทบจะทำให้พะแพงนั้นแทบจะยอมตายถวายตัวให้หล่อนทันที
แต่นี่ ณ
ตอนนี้..หล่อนกลับไม่สนใจที่จะแยแสแม้กระทั่งจะโทรหาถามข่าวคราวเหมือนอย่างทุกวันก็ยังไม่มี
นี่คงโกรธฉันที่ทำเด็กของเธอเป็นอย่างนั้นใช่มั้ย
บ้าชะมัดเลย แล้วมันใช่ที่ไหนกันล่ะ
ฉันไม่ได้ทำอะไรเด็กคนนั้นซะหน่อย
หล่อนล้มลงไปเองแท้ๆแต่เธอกลับคิดว่าฉันเป็นคนทำ..
แอบน้ำตาคลอทันทีที่สิ้นสุดความคิดตัดพ้อแล้วมองไปเห็นหน้าจอโทรศัพท์มืดๆเงียบๆไม่มีเสียงเรียกเข้าเหมือนวันที่ผ่านๆมา
นี่คงโอ๋กันอยู่สินะเลยไม่ว่างจะโทรมาถามข่าวข่าวฉันอย่างนี้
ตอนนี้ความน้อยเนื้อต่ำใจทำให้พะแพงคนสวยเอาแต่ร้องห่มร้องไห้ก่อนจะทนไม่ได้เมื่อคิดว่าเรื่องทั้งหมดที่มันเกิดขึ้นมาก็เพราะนิยายรักยูริเจ้ากรรมเรื่องนั้นแท้ๆ
นึกแล้วก็น่าโมโห
แล้วทำไมนี่ถึงได้ข้ามไปตอนที่10ไวอย่างนี้ล่ะเนี่ย
จริงๆมันต้องผ่านอะไรไปเยอะกว่านี้สิพระเอกนางเอกถึงจะเริ่มชอบกันได้น่ะ
นี่กลายเป็นว่าเราไม่ทันได้เริ่มเดินแผนการเปลี่ยนตอนจบเท่าไหร่เลยแต่นิยายดันข้ามไปเป็นตอนที่10ซะแล้วอย่างนั้นเหรอ
ยิ่งคิดก็ยิ่งงง
และด้วยความงงก็ทำให้พะแพงรีบเปิดดูเว็บบล๊อกที่อัพโหลดนิยายเรื่องนั้นเพื่ออ่านนิยายเหล่านั้นต่อ
ตอนที่10
เป็นตอนที่แพรี่เริ่มหันมาสนใจรัณห์จริงๆจังๆแล้วหลังจากที่หนีจากแผนการเรียกร้องความสนใจของเอริณได้สำเร็จ
และหนึ่งในเรื่องที่ทำให้แพรี่หันมาสนใจรัณห์จริงๆจังๆก็คือการที่แพรี่ได้เห็นใบหน้าสวยใสน่ารักของรัณห์ในตอนที่หล่อนไม่ได้ใส่แว่นในฉากนั้น
เรียกได้ว่าเธอตกหลุมรักรัณห์ตั้งแต่ที่เห็นใบหน้าที่แท้จริงครั้งแรกเลยก็ว่าได้
พะแพงทั้งอ่านทั้งคิด
ในหัวก็มีภาพตอนที่เพื่อนรักของตัวเองประครองกอดยัยเด็กลิงของหล่อนขึ้นมามองด้วยอาการตะลึงงันเหมือนได้เห็นอะไรบางอย่างที่นอกเหนือความคาดหมายมากๆ
ก่อนที่หล่อนจะตั้งสติได้และหันมาต่อว่าเธอเรื่องที่หล่อนคิดว่าเธอเป็นต้นเหตุให้แว่นตาของเด็กหล่อนแตกอีก
ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห
ยิ่งนึกถึงอากัปกริยาท่าทางตะลึงงันของหล่อนที่มีต่อเด็กคนนั้นแล้วพะแพงก็ได้แต่น้อยใจจนน้ำตาคลอ..
ทีกับฉันเธอไม่เห็นจะแสดงอาการตื่นเต้นอะไรมากมายเลยไม่ว่าฉันจะแต่งตัวสวยยังไงหรือจะมีใครชมฉันว่าสวยขนาดไหนก็ตาม
คำว่าดาวโรงเรียนไม่เห็นจะมีความจำเป็นอะไรกับฉันเลยในเมื่อคนที่ฉันต้องการเห็นว่าเขามองฉันสวยที่สุดไม่ได้สนใจใยดี
ไม่มีแม้กระทั่งคำชม
มีเพียงแค่รอยยิ้มปกติธรรมดาๆเท่านั้นที่หล่อนมักจะแสดงให้เห็นในตอนที่เธอนึกขึ้นได้
ใช่สินะ..ไม่ว่าฉันจะแกล้งทำเป็นถามเธอว่าฉันสวยมั้ยยังไงคำตอบที่ได้สำหรับเอิ้นก็มีแค่รอยยิ้มธรรมดาเท่านั้นเอง
แต่กับยัยเด็กคนนั้นเธอกลับมอบสายตาสะกดจ้องและท่าทางชวนตะลึงงันเหล่านั้นอีก
ยิ่งคิดก็ยิ่งน่าน้อยใจ
และไอ้ความน้อยใจเมื่อดันไปนึกเปรียบเทียบกับตัวเองมากๆเข้ามันก็เลยกลายเป็นความอิจฉาไปในที่สุด
ตอนนี้พะแพงเริ่มรู้ตัวแล้วล่ะว่าตัวเองกำลังอิจฉาเด็กคนนั้นเข้าให้แล้ว
เฮ้อ..บ้าชะมัดเลยนี่ฉันกลายเป็นตัวอิจฉาของนิยายเรื่องนี้ไปจริงๆแล้วใช่มั้ย...
ทั้งคิดทั้งเหม่อลอยก่อนจะหันไปชำเลืองมองเนื้อหาในนิยายในตอนต่อไปด้วยใจหดหู่และหมดความหวัง
แล้วตั้งแต่นั้นมาหล่อนก็ไม่ได้ใส่แว่นมาตลอด
งั้นตั้งแต่พรุ่งนี้ต้นไปหล่อนก็จะเป็นน้องหลินนางเอกนิยายของพี่เอิ้นจริงๆแล้วสินะ
นั่นคือสิ่งที่พะแพงแอบคิดอย่างกลัวๆได้แต่หวังว่าเนื้อหาในนิยายเรื่องนี้คงจะไม่เป็นความจริงไปซะทุกอย่าง
หากตอนเช้าวันใหม่ของอีกวันเธอไม่ได้เห็นภาพสะเทือนใจที่ยืนยันอีกครั้งว่าเนื้อเรื่องในนิยายกับเรื่องจริงที่อยู่ต่อหน้าคือเรื่องเดียวกันจริงๆเสียก่อน...
ภาพเอิ้นเดินตามเด็กหลินต้อยๆผ่านเธอเข้าไปในโรงเรียนโดยที่ทั้งสองไม่รู้ตัวว่ามีเธอแอบมองอยู่แทบจะทำให้พะแพงแทบจะเข่าทรุดนั่งลงกับเก้าอี้หินอ่อนหน้าโรงเรียนหลังจากนั้นทันที
ให้ตายเถอะ..นี่มันเรื่องจริง
จริงๆด้วย
--<><><><>--
“เฮ้..พะแพงทำไมแกไม่ไปนั่งทำงานด้วยกันตรงนั้นล่ะ
มานั่งโต๊ะตรงนี้คนเดียวทำไม
จะได้คุยงานกันดีๆไง”
เสียงของเพื่อนร่วมห้องของพะแพงดังขึ้นเมื่อหล่อนพยายามเดินจากโต๊ะข้างหลังสุดของห้องที่มีบรรดาเพื่อนร่วมกลุ่ม4-5คนรวมทั้งเอิ้นเพื่อมาหาพะแพงที่นั่งอยู่โต๊ะหน้าสุดของห้องคนเดียว
หล่อนเดินไปๆมาๆเพื่อที่จะหยิบเอาชีทรวมทั้งอุปกรณ์หลายๆอย่างที่กลุ่มต้องการจากพะแพงที่ไม่ยอมมานั่งรวมกับบรรดาเพื่อนๆไม่รู้ว่าทำไม
จนหล่อนอดใจไม่ไหวต้องถามพะแพงไปตรงๆ
“เอ่อ..ขอโทษนะ
คือ เราไม่อยาก ไม่อยาก
เอ่อ..”
พะแพงตอบเพื่อนด้วยท่าทางกระอึกกระอักลำบากใจ
สายตาเธอก็ชำเลืองไปดูเพื่อนสาวคนสวยที่นั่งคุยงานอยู่ที่โต๊ะนั่นจนเพื่อนคนนั้นสังเกตุเห็นเลยทักเข้า
“อย่าบอกนะว่าไม่อยากไปนั่งใกล้เอิ้นน่ะ
อะไรกัน..นี่โกรธกันเหรอ”
“เอ่อ..”
ก้มหน้าหลบตาเพื่อนทันทีที่ได้ยินคำถามแทงใจดำเข้าให้
ซึ่งนั่นก็ทำให้เพื่อนคนนั้นรู้ทันทีว่าคำทายของหล่อนนั้นถูกต้องแล้ว
หล่อนจึงบอกให้พะแพงเบาใจในเรื่องที่ไม่ได้ไปนั่งกับเพื่อนด้วยรู้ว่าคงเป็นการลำบากใจแน่ๆถ้าต้องไปนั่งเผชิญหน้ากันอย่างนั้น
และสิ่งที่ทำให้เพื่อนคนนั้นคาดเดาถึงต้นเหตุปัญหาที่ว่านั้นก็น่าจะมาจากเรื่องเด็กใหม่ของเอิ้นที่กำลังเป็นที่โจษจันว่าหล่อนช่างน่ารักและดูดีขึ้นมากหลังจากไม่ได้สวมแว่นมาโรงเรียนนั่นเอง
และหลังจากที่เพื่อนคนนั้นเดินกลับไปที่โต๊ะบรรดาเพื่อนร่วมโต๊ะก็พากันหันมามองที่โต๊ะพะแพงทันที
ไม่เว้นแม้กระทั่งเอิ้นที่เมื่อหันมาสบเข้ากับตาของพะแพง
อีกคนก็ชิ่งสะบัดหน้าหนีเอิ้นเอาดื้อๆ
ซึ่งนั่นก็ทำให้ทุกคนมั่นใจว่าสองสาวคู่จิ้นชื่อดังของโรงเรียนคงจะมีปัญหาอะไรกันอย่างที่ทุกคนกำลังสงสัยในตอนนี้แน่ๆ
ซึ่งไม่ใช่เฉพาะแค่ตอนนี้
เพราะแม้แต่ตอนพักเที่ยงกินข้าว
จากที่ทั้งสองต้องได้นั่งกินข้าวด้วยกันตอนนี้กลายเป็นภาพของเอิ้นนั่งประกบกับอดีตเด็กแว่นที่ตอนนี้สวยใสของหล่อนไป
ส่วนพะแพงนั้นได้แต่เก็บตัวอยู่บนห้องเรียนไม่ลงมาทานข้าวเลย
เพราะไม่อยากเห็นภาพบาดตาบาดใจของทั้งสองที่คิดว่ายังไงๆก็ต้องเจอแน่ๆ
และพะแพงเองก็ไม่รู้ด้วยว่าจะต้องทำตัวเช่นไรและต้องมองหน้าคนที่ตัวเองแอบรักในสถานการณ์เช่นนั้นอย่างไรดี
และแม้กระทั่งในชั้นเรียนคาบบ่ายที่ทั้งสองต้องออกมารายงานงานกลุ่ม
พะแพงที่ต้องยืนรายงานข้างๆเอิ้นก็ยังทำตัวไม่ถูกถึงขั้นที่ว่าเธอต้องหันหน้าหนีเอิ้นทุกครั้งที่หล่อนหันมาถามหรือส่งต่อบทสนทนาในรายงานต่อ
ซึ่งด้วยอาการหนีเมินหน้าเพื่อนๆทั้งๆที่เป็นงานสำคัญอย่างนั้นก็ทำให้เอิ้นเองเริ่มอดรนทนไม่ไหวเช่นเดียวกัน
เมื่อเอิ้นเองก็พยายามไม่น้อยที่จะถามไถ่หรือชวนคุยเรื่องราวต่างๆตั้งแต่เช้าๆแต่อีกคนกลับไม่สนใจใยดี
กลายเป็นเริ่มแสดงอาการหมางเมินอย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่ตอนที่เพื่อนๆให้ไปรวมตัวกันทำรายงานที่โต๊ะหลังห้องและพะแพงก็ไม่ไป
หรือแม้แต่ตอนก่อนเที่ยงที่เธอพยายามจะเดินเข้าไปชวนพะแพงไปกินข้าวด้วยแต่หล่อนก็เดินหนีอีก
และแม้แต่กระทั่งอาการหนีหน้าไม่ยอมรับไม่ยอมพูดบทสนทนาอะไรตอบโต้ด้วยเลยอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ทำให้เอิ้นเริ่มโมโหหล่อนขึ้นมาจริงๆเสียแล้ว
หน็อย..เสีนการเสียงานอย่างนี้..เห็นทีจะปล่อยเฉยไม่ได้เสียแล้ว..
--<><><><>--
“พะแพง!”
เสียงร้องตะโกนแบบไม่พอใจดังขึ้นจากด้านหลังของพะแพง
และแทบไม่ต้องหันไปมองเธอก็รู้ว่าเจ้าของเสียงคือเอิ้นนั่นเอง
นั่นจึงทำให้เจ้าของเสียงเรียกยิ่งเพิ่มระดับเสียงให้ดังมากขึ้นเข้าไปอีกเมื่อเห็นว่าคนโดนเรียกนั้นไม่ยอมหันมามองกันบ้างเลย
ซ้ำร้ายยังรีบเร่งฝีเท้าให้เดินออกห่างจากเธอไปเรื่อยๆอีก
“พะแพงจะไปไหน!
หยุดคุยกันก่อนสิ!”
ยิ่งร้องยิ่งเรียกคนเดินหนีก็ยิ่งเตลิดเข้าไปใหญ่
จากตอนแรกที่หล่อนตั้งท่าจะเดินออกจากโรงเรียนเพื่อกลับบ้านเพราะเป็นเวลาเลิกเรียนแล้ว
ก็กลายเป็นรีบหันหลังขวับเดินลิ่วๆกลับเข้าไปในโรงเรียนแทน
“นี่จะวิ่งหนีทำไม
หยุดคุยกันก่อนสิ ได้ยินมั้ย
พะแพง!”
จากที่ตอนแรกทั้งสองเดินตามกันไปด้วยความเร็วพอสมควร
ตอนนี้กลายเป็นว่าพะแพงคนสวยเปลี่ยนจากการเดินมาราธอนกลายเป็นวิ่งสี่คูณร้อยเข้าไปในโรงเรียนแทน
และแน่นอนว่าคนตามก็ไม่ยอมแพ้เช่นเดียวกัน
เมื่อเห็นอีกคนเพิ่มสปีดความเร็วต่อหน้าต่อตาอย่างนั้นเธอก็รีบวิ่งมินิฮาฟตามหลังหล่อนไปทันที
ทั้งสองวิ่งหนีวิ่งตามเข้าออกตามห้องเรียนต่างๆของอาคาร
จากที่อยู่กันแค่แถวๆใจกลางโรงเรียนตอนนี้พะแพงก็เริ่มคิดหาทางหนีทีไล่ที่คิดว่าเพื่อนสาวของเธอต้องหาเธอไม่เจอแน่ๆ
ถ้าเธอวิ่งหนีหล่อนเข้าไปอาคารด้านในของโรงเรียนที่ลึกกว่านี้อีก
คิดได้ดังนั้นพะแพงก็เร่งสปีดวิ่งเข้าไปในอาคารโรงพละร้างหลังโรงเรียนที่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่
เพราะมันเป็นแค่อาคารเก่าที่รอเวลาทุบทิ้งและใช้เป็นเพียงที่เก็บอุปกรณ์กีฬาเก่าๆที่ไม่ใช่แล้วเท่านั้น
ซึ่งพอพะแพงวิ่งเข้าไปในอาคารนั้นได้เธอก็มองซ้ายมองขวาหาที่ที่จะหลบทันทีก่อนจะไปพบเข้ากับซอกเก็บม้ากระโดดที่รอบๆมีเบาะสำหรับปูพื้นในวิชายิมนาสติกวางบังไว้
ซึ่งเมื่อเธอวิ่งเข้าไปหลบก็พบว่าภายในก็ช่างเป็นซอกสำหรับหลบที่ดีเหลือเกิน
เพราะนอกจากจะมีพื้นที่กว้างสำหรับคนนั่งได้แล้วยังมีเบาะปูพื้นไว้เหมือนมีการจัดเตรียมสำหรับทำอะไรบางอย่างก่อนหน้านี้
ซึ่งพะแพงก็ได้รู้คำตอบหลังจากนั้นไม่นานว่าพื้นที่แคบๆเล็กๆตรงนี้มีไว้สำหรับทำอะไรเมื่อสายตาของเธอเหลือบไปเห็นบรรดาก้นบุหรี่
ซองและเศษถุงยางที่ใช้แล้วอีกจำนวนหนึ่ง
อี๊...รีบยกมือขึ้นมาปิดปากกันตัวเองหลงกรี๊ดออกมาทันทีที่เห็นเศษของสกปรกของพวกนั้น
บ้าชะมัดเลยนี่อย่าบอกนะว่ามีใครทำอะไรกันตรงนี้นี่..ทั้งคิดทั้งยกปากแหยงๆด้วยกำลังคิดว่าจะหนีออกจากมุมนี้ไปหลบที่อื่นดีมั้ย
แต่คิดได้ไม่เท่าไหร่ร่างระหงส์ของคนที่เธอวิ่งหนีมาก็กลายเป็นพุ่งตัวเข้ามาหาเธอในหลืบนี้ด้วยซะแล้ว
“พะแพง!
วิ่งหนีเค้าทำไมนี่!
แล้วนี่จะหลบเค้าทำไมนี่!”
“ปล่อย!”
รีบสะบัดมือเพื่อนรักออกจากมือตัวเองทันทีที่เห็นหล่อนยื่นมาดึงไว้ตอนที่หล่อนถามคำถามพร้อมๆกับที่พะแพงกำลังจะวิ่งหนีหล่อนอีกครั้ง
“ไม่ปล่อย!
ถ้าพะแพงไม่ยอมคุยด้วยเค้าก็จะไม่ปล่อย!”
“ปล่อย!”ออกแรงสะบัดแขนหล่อนแรงๆอีกครั้ง
“ไม่คุย!”
“ไม่คุยก็ไม่ปล่อย!”
“บอกให้ปล่อย!”
ออกแรงฝืนคนฉุดเฮือกสุดท้ายแต่กลายเป็นว่าอีกคนไม่ยอมเพราะหล่อนก็โมโหที่พะแพงไม่ยอมคุยด้วยดีๆเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
เลยกลายเป็นออกแรงดึงร่างของพะแพงมากอดล๊อคแขนทั้งสองข้างเอาไว้โดยที่คนโดนกอดก็ไม่ยอมพยายามสะบัดตัวหนีเหมือนกัน
ทั้งสองกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่ครู่หนึ่งคนโดนกอดก็ดันพลาดท่าเสียหลักเพราะรองเท้าตกร่องระหว่างเบาะปูพื้นด้านล่างจนตัวเองเซล้มลงไปนอนกับพื้นเบาะโดยที่มีอีกคนล้มลงไปนอนกอดทับร่างเธอไว้ด้านบนอีกเช่นเคย
“ปล่อยนะ!”
พยายามดันร่างข้างบนออกเมื่อรู้ตัวว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในท่าทางชวนคิดลึกเข้าให้แล้ว
แต่อย่าหวังว่าอีกคนจะยอมแพ้ง่ายๆแม้อ้อมกอดของตัวเองอาจจะหลุดออกจากพะแพงออกมาได้
แต่เธอก็ไม่ยอมที่จะให้หล่อนหลุดมือออกไปง่ายๆอีกรอบแน่ถ้าไม่ยอมคุยกันดีๆเสียก่อนน่ะ
ตอนนี้เอิ้นเลยรีบยื่นสองมือของตัวเองไปจับมือของพะแพงตรึงไว้กับเบาะปูพื้นโดยที่ตัวเองก็รีบลุกขึ้นนั่งค่อมร่างของหล่อนไว้
และแน่นอนว่าท่าทางหลังจากนั้นก็คือ
เธอโน้มหน้าลงไปหาพะแพงใกล้ๆจนเกือบจะชนหน้าหล่อนอยู่แล้วถ้าหล่อนไม่เบือนหน้าหนีไปก่อนน่ะ
“จะหนีหน้าทำไมนี่!
หันมาคุยกันดีๆเดี๋ยวนี้นะ!”
ตะคอกหล่อนไปแต่ก็ไม่มีเสียงอะไรตอบรับกลับมานอกจากท่าหันหน้าหนีท่าเดิม
ซึ่งแค่เอิ้นมองเห็นแค่ปลายหางตาของหล่อนก็รู้ว่าอีกคนคงกำลังหน้าบึ้งและตั้งท่าว่าจะงอนหนักอย่างนี้อยู่ตลอดแน่ๆถ้าไม่ทำอะไรซะบ้าง
“จะหันหน้ามาคุยดีๆมั้ย
ถ้าไม่หันมา จะ..ปล้ำนะ!”
อึ๊ก!
แค่ได้ยินแค่นั้นพะแพงก็แอบตาเหลือกโตด้วยความตกใจ
แต่อย่าหวังว่าคนขี้เก๊กอย่างพะแพงจะยอมหันมาตามคำขู่ง่ายๆ
แม้จะแอบเกร็งๆว่าหล่อนพูดจริงหรือพูดเล่นกันแน่ว๊า..
และด้วยอาการขัดๆขืนๆไม่กล้าหันมาด้วยเพราะยังโกรธอยู่แต่ก็แอบสงสัยว่าทำไมคนพูดถึงขู่อย่างนั้นและหล่อนจะกล้าทำจริงๆมั้ย
เธอเลยได้แต่แอบเหล่ๆมองโดยที่หน้าก็ยังแกล้งหันหนีหล่อนเช่นเคย...
“ไม่ยอมหันมาคุยดีๆใช่มั้ย”
เจ้าของคำถามอมยิ้มกรุ้มกริ่มเมื่อชำเรืองมองเห็นสายตาคนที่อยู่ใต้ร่างกำลังเหล่มองด้วยท่าทางฝืนๆประหลาดๆอย่างนั้น
“สงสัยอยากให้ปล้ำแฮะ..”
พูดเสียงเจ้าเล่ห์ลอยลมออกไปด้วยเพราะขำในอากัปกริยาของหล่อนก่อนจะออกแรงตรึงมือทั้งสองของพะแพงขู่อีกครั้ง
ซึ่งนั่นก็ทำให้พะแพงรีบหันขวับกลับมามองเอิ้นที่กำลังแกล้งทำเป็นโน้มหน้าลงมาหอมซอกคอตัวเองทันที
“ทำอะไรน่ะ!”
ตาเหลือกลานดิ้นดุกดิกๆภายใต้ร่างหล่อนทันที
นี่!ถึงจะชอบยังไงก็ไม่ได้ง่ายอย่างนี้นะโว้ย!
นั่นคือสิ่งที่พะแพงคิดเมื่อกำลังออกแรงดันเพื่อนสาวออกจากตัวเองแต่หล่อนก็ไม่ยอมปล่อยง่ายๆ
ยังคงแกล้งก้มลงหอมและไซ้ซอกคอพะแพงไปเรื่อย
ด้วยเพราะเอาเข้าจริงๆกลิ่นหอมๆที่อยู่แถวๆซอกคอของพะแพงนี่ก็หอมยั่วยวนประสาทเธอมิใช่เล่นเลย
จากที่ใช้แค่ปลายจมูกถูๆไถๆ
ไปๆมาๆเลยกลายเป็นใช้ปากจูบและดูดเลียเนื้อผิวนวลเนียนต้นคอพะแพงทั้งแถบไปจริงๆแล้ว
และด้วยอาการก้มลงไซ้ซอกคออย่างไร้สติอย่างนั้นก็ทำให้พะแพงถึงกับดิ้นรนและร้องโวยวายทันที
ใบหน้าเธอก็แดงขึ้นแดงขึ้นด้วยความอาย
ทำอะไรไม่ถูกนึกอะไรก็ไม่ออกได้แต่ร้องด่าหล่อนด้วยคำหยาบที่นึกขึ้นได้ในตอนนั้น
“ปล่อยนะ!
ไอ้บ้า!”
ร่างด้านบนชะงัก
“ไอ้บ้าอย่างนั้นเหรอ??
นี่พะแพงขึ้นเสียงด่าเค้าว่าไอ้บ้าอย่างนั้นเหรอ??”
ถามย้ำเพื่อนสาวคนด้านล่างที่หน้าแดงเถือกไปหมดแล้วเพราะไม่เชื่อหูตัวเอง
“เออ..ไอ้บ้า!
ไอ้!ไอ้คนผีทะเล!”
“แน๊ะ!”
ออกแรงกดมือทั้งสองข้างตรึงลงกับเบาะอีกเมื่อได้ยินคำด่าที่ตัวเองคิดว่าหยาบที่สุดแล้วของเพื่อนสาว
“ยังจะด่าอีกเหรอ
นี่เดี๋ยวนี้กล้าด่าเค้าอย่างนี้แล้วอย่างนั้นเหรอ”
“เออดิ!
ทำไมล่ะ!”
“หน็อย..”คนโดนด่าถึงกลับคิ้วขมวดกัดปากกัดฟันมองคนเบื้องล่างเถียงสู้ตาย
ก่อนจะนึกโมโหให้เด็กดื้อไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆอย่างนี้
หึ
อย่างนี้ต้องสั่งสอนบ้างแล้ว
อุตสาห์บอกให้คุยกันดีๆแล้วแท้ๆ
คิดได้ดังนั้นเอิ้นก็ออกแรงตรึงมือพะแพงหนักขึ้นอีกครั้ง
ก่อนที่ตัวเองจะโน้มตัวลงไปมอบจูบบดขยี้ริมฝีปากนุ่มนิ่มเบื้องล่างด้วยความหมั่นไส้
ด้วยไม่รู้ว่าจะเอาชนะหล่อนได้ยังไงดี
ในเมื่อเธอกอดแล้วก็แล้ว
หอมแล้วก็แล้วก็ยังไม่หายโกรธกันอีกก็คงจะเหลือแต่การจูบนี่กระมัง
ซึ่งนั่นก็ทำให้พะแพงตาเหลือกลานด้วยความตกใจ
ใบหน้าหวานที่แดงอยู่แล้วตอนนี้ก็ยิ่งแดงหนักขึ้นไปใหญ่ด้วยไม่รู้จะดีใจหรือโกรธหรือโมโหให้กับยัยคนบ้าข้างบนนี่ดี
โอ้ย
ท..ท..ทำไมถึงได้กล้ามาจูบกันอย่างนี้เนี่ยย..
ตอนนี้พะแพงทำตัวไม่ถูกแล้ว
ได้แต่พยายามดิ้นรนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกลายเป็นหยุดชะงักเมื่อเจ้าของจูบด้านบนอยู่ๆก็ผละใบหน้าออกจากการจูบมามองเธอด้วยใบหน้าแดงๆของหล่อนต่อ..
“อยู่นิ่งๆสิ..อยากให้เค้าเจ็บเหรอ..”
“เจ็บ??..อะไรคือเจ็บอ่ะ??..”คนด้านล่างคิ้วขมวดมองหน้าเพื่อนสาวตัวเองด้วยความงงแสนงงเมื่อได้ยินที่หล่อนบอก
ก่อนจะกลายเป็นตาโตเหลือกลานเมื่อหล่อนก้มลงมองจูบอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนกับครั้งเมื่อครู่ที่แค่ริมฝีปากบดชิดขยี้กันเฉยๆเพราะเพื่อนสาวของเธอกำลังพยายามนำพาบางอย่างเข้ามาในปากของเธอด้วย
โอ้ย
ตายแล้ว...นี่สินะที่บอกว่าให้ฉันอยู่นิ่งๆไม่งั้นเธอจะเจ็บน่ะ
ทั้งคิดทั้งหลับตาด้วยความอายแสนอายเมื่อรู้สึกว่าหล่อนกำลังพยายามดุนดันปลายลิ้นเรียวๆเล็กๆของหล่อนเคลื่อนที่ไปมาในปากของตัวเองด้วย
โดยที่พะแพงเองไม่กล้าแม้กระทั่งทั่งขยับปากขยับฟันทำอะไรเลย
ด้วยกลัวหล่อนจะเจ็บจริงๆ
ได้แต่ปล่อยตัวปล่อยใจให้อีกคนพยายามมอบจุมพิตแรกที่ตัวเองไม่เคยได้รับจากใครสักที..นี่..จูบแรกของฉันเป็นเอิ้นจริงๆด้วยหรือนี่
...ทั้งคิดทั้งเคลิ้มด้วยเหมือนกำลังตกอยู่ในความฝันที่เป็นจริง
ร่างกายที่ต่อต้านดึงดันเมื่อครู่นี่ก็กลายเป็นอ่อนระทวยไร้แรงสู้ไป
ได้แต่ส่งเสียงครางออกมาเบาๆเมื่อตัวเองเผลอรู้สึกอะไรบางอย่างในตอนที่อีกคนออกแรงกระหวัดกวัดเกี่ยวเพิ่มขึ้นอีก