นิยายรักไม่จำกัดบท
Cheapter
2
แผนการเปลี่ยนบทนิยาย
รอยยิ้มโดดเด่นของเอิ้นพุ่งทะลุทะลวงบรรดานักเรียนที่กำลังเดินไปมาในโรงอาหารพร้อมๆกับถาดข้าวของพวกเขา
วงหน้าเรียวยาวของเธอส่องประกายผิวเนื้อขาวสว่างสดใส
มองดูราวกับว่าเด็กสาวผมสีน้ำตาลอ่อนคนนี้กำลังเดินทางไปพร้อมๆกับแสงออร่าที่สว่างไปทั่วๆเรือนร่างของเธอยังไงยังงั้น
ยิ่งมองยิ่งจ้อง...ความหลงไหลได้ปลื้มก็เกิดขึ้นกับหญิงสาวอีกคนที่นั่งยิ้มหวานตาเยิ้มจ้องมองเพื่อนสาวของตัวเองกำลังเดินเฉิดฉายท่ามกลางฝูงนักเรียนเพื่อมุ่งตรงมาหาเธอราวกับตัวเองกำลังอยู่ในภวังค์
ทำไมเอิ้นถึงได้ดูดีอย่างนี้นะ
ไม่สิต้องบอกว่าเอิ้นดูสวยสง่ามากๆเวลาที่เธอเดินท่ามกลางเด็กนักเรียนทั่วๆไปอย่างนี้
เธอดูโตเป็นสาวกว่าพวกเขาเหล่านั้นมากๆ
ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะมีคนสวยอย่างนี้ในโรงเรียนเราด้วย...
หลงไหลพร่ำเพ้อละเมอถึงเพื่อนสาวไปในขณะที่นั่งเท้าคางแอบจ้องหล่อน
โดยที่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองก็ได้รับความหลงไหลคลั่งไคล้จากบรรดาเด็กนักเรียนที่แอบมองรอบๆนั้นไม้แพ้กับเอิ้นเลย
หนำซ้ำพวกเขาเหล่านั้นยังแอบกรี๊ดเล็กๆเมื่อเห็นพี่คนสวยคู่จิ้นอีกคนเดินถือถาดมาหยุดอยู่ต่อหน้า
แล้วสลับกันส่งยิ้มหวานให้กับพี่พะแพงที่พวกเขาแอบมองอยู่ก่อนหน้านั้นแล้วด้วย
“ยิ้มอะไรมิทราบ”
เป็นเอิ้นที่เปิดประเด็นก่อนเมื่อเธอวางถาดลงต่อหน้าพะแพงได้แล้ว
“เปล่า
แค่อารมณ์ดี”
“อารมณ์ดี??”
ถามย้ำด้วยความประหลาดใจในขณะที่นั่งลงต่อหน้าที่นั่งพะแพง
ตาก็จ้องมองใบหน้าหวานที่ยังคงยิ้มไม่หุบเสียทีตั้งแต่ที่เธอเห็นหล่อนนั่งแอบมองเธอจากไกลๆแล้ว
ซึ่งจริงๆตอนแรกเธอเองก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นพะแพง
แค่เห็นประกายขาวออร่าของอะไรสักอย่างแว๊บๆกรายๆผ่านเข้าตาแล้วเลยหันไปมองตาม
ก็เลยรู้ว่ามันมาจากรัศมีผิวขาวนวลเนียนของหล่อนนั่นเอง...
นี่ยังไม่รวมกับดวงตาหวานๆของเด็กนักเรียนที่จ้องมองหล่อนรอบๆตัวหล่อนอีกนะ
ทุกดวงตานี่แทบจะพุ่งชนมาที่พะแพงอยู่แล้ว...ไม่รู้ว่าเจ้าหล่อนจะรู้ตัวมั้ยว่าตัวเองเป็นจุดสนใจและดูโดดเด่นมากขนาดไหนนี่
แค่ระดับไหล่ของหล่อนเวลาที่หล่อนนั่งลงกับเก้าอี้ยังสูงกว่านักเรียนบางคนที่ยืนตรงอยู่ตรงๆด้วยซ้ำ
เห้อ..ทั้งสวยทั้งเด่น
เป็นใครก็ต้องจ้องละมั้งเนอะ
นั่นคือสิ่งที่เอิ้นคิดในขณะที่แอบมองทุกสายตาที่มองเพื่อนสาวของตัวเองด้วยความเป็นห่วง
ใช่...เธอเป็นห่วงหล่อนมากๆ
และนั่นเลยเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เธอพยายามทำทุกๆอย่างที่จะดูแลเพื่อนสาวและปกป้องหล่อนจากสิ่งที่เธอคิดว่ามันเป็นภัยคุกคามความเป็นส่วนตัวที่หล่อนไม่ควรจะได้รับจากใครคนใดบนโลกนี้เลย...
“อารมณ์ดีอย่างนี้ก็ดีแล้วล่ะ
เค้าชอบที่พะแพงยิ้ม
เวลาพะแพงยิ้มแล้วโลกยิ้มตามพะแพงเลยนะรู้ตัวมั้ย
อย่าหงุดหงิดอย่าเครียดอย่างเมื่อเช้าอีกนะ”
บอกเพื่อนสาวคนสวยไปพร้อมๆกับส่งยิ้มหวาน
ซึ่งอีกคนเมื่อได้รับรอยยิ้มพิมพ์ใจจากคนที่ตัวเองแอบชอบแล้วหล่อนก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตาแอบยิ้มทั้งหน้าแดงๆด้วยกลัวว่าคนต่อหน้าจะอ่านใจอะไรตัวเองออก
โอ้ยยย..ความสุขน้อยๆกลับมาหาฉันแล้วนะพะแพง..
นั่งยิ้มนั่งนั่งเขินเขี่ยนั่นเขี่ยนี่บนโต๊ะไปคนเดียวอยู่ครู่หนึ่ง
ใบหูก็กระดิกดุกดิกๆเมื่อได้ยินเสียงขานรับอะไรบางอย่างจากเพื่อนสาวเธอ
“เออ
เดินตรงเข้ามาเลย
ตรงกลางโรงอาหารนี่ล่ะ
ชั้นนั่งอยู่กับพะแพงนี่แหละ”
หืมมมมม??
คิ้วขมวดทันทีที่ได้ยินเสียงเหมือนหล่อนกำลังพูดกับบุคคลที่สาม
ตอนนี้พะแพงคนสวยเลยรีบเงยหน้างงๆขึ้นมามองคนต่อหน้ากำลังคุยสายโทรศัพท์กับใครสักคนด้วยอาการรีบร้อนเหมือนหล่อนกำลังมองหาเขาอยู่
นั่งคิ้วขมวดจ้องมองหล่อนชะโงกซ้ายชะโงกขวาหาอะไรอยู่ครู่หนึ่ง
คำตอบตัวเป็นๆก็เดินดุ่มๆมาหาจนได้..
“นี่มานั่งนี่เลยยัยลิงน้อย
มานั่งข้างๆชั้นนี่”
ตาเหลือกลานทันทีที่ได้ยินคนต่อหน้าเรียกชื่อบุคคลที่สามด้วยสรรพนามแสนหวานที่แสลงใจตัวเองอีกแล้ว
และยิ่งเห็นเพื่อนสาวของเธอกวักมือเรียกยัยลิงน้อยให้มานั่งข้างๆด้วยแล้วดวงตาหวานๆของพะแพงก็ยิ่งเถลือกถลนเข้าไปใหญ่
นี่ขนาดว่าขอร้องให้มากินข้าวด้วยแท้ๆยังต้องเรียกเด็กคนนี้มาด้วยอีก
หนำซ้ำยังให้นั่งข้างๆกันในขณะที่ฉันนั่งแสนห่างอย่างนี้อีก
ให้ตายเถอะทำกันขนาดนี้เอามีดมาแทงฉันให้ตายไปเลยดีกว่าม้างงงงง
งื้ออออ
มองดูระยะห่างของการแบ่งชนชั้นวรรณะแล้วพะแพงก็ได้แต่น้อยใจ
แค่นี้ก็รู้แล้วมั้งว่าอะไรเป็นอะไรใครเป็นใคร
นี่ฉันไม่สามารถเอาอะไรไปสู้เด็กคนนี้ได้เลยเหรอนี่
ยิ่งคิดก็ยิ่งสะเทือนใจมองดูสองคนคุยกันกระหนุงกระหนิงแล้วพะแพงก็แทบจะกะอักเลือด
ได้แต่ก้มมองถาดข้าวต่อหน้าก่อนจะแกล้งตักมาเคี้ยวกินด้วยความพะอืดพะอมไป...
ไปกันหมดแล้ว
ความสุขของฉันน้อยๆของฉัน...จากที่มีอยู่น้อยนิดตอนนี้กลายเป็นไม่เหลืออะไรไว้ติดตัวสักอย่างแล้ว
ก้นบึ้งในหัวใจลึกๆๆๆของเธอแอบร้องไห้กระซิกๆในตอนที่ยกช้อนขึ้นมาอมข้าวค้างไว้...
นี่ฉันเป็นได้แค่นางร้ายจริงๆด้วยสินะ...
ได้ยินเสียงพระเอกนางเอกกัดจิกกระแนะกระแหนอะไรกันไม่รู้อยู่ครู่หนึ่ง
ด้านหน้าก็มีเสียงใครบางคนแทรกเข้ามาอีก
“อุ้ยยย...อะไรกันเอิ้น
วันนี้กินข้าวกับทั้งเมียหลวงเมียน้อยเลยเหรอ”
แน่นอนว่าข้าวในปากพะแพงแทบพุ่งทันทีที่ได้ยินแค่นั้น
“เออสิ
เห็นมั้ยล่ะ
ฮาเร็มน้อยๆน้อยของชั้นเชียวน๊าา~~”คนพูดตอบกลับด้วยความอารมณ์ดี
เหมือนภูมิใจสุดๆ
มือเธอก็เอื้อมไปตบไหล่ยัยลิงน้อยของตัวเองไปแบบชิลล์ๆ
“อ้อเหรอ
อู้หูฉันล่ะแทบไม่อยากเชื่อเลยนะว่าเธอจะจัดการเรื่องราวในครอบครัวได้ดีเยี่ยมขนาดที่ว่าสามารถเรียกเมียทั้งสองมากินข้าวพร้อมหน้ากันได้ขนาดนี้นี่
ครอบครัวหรรษาแท้ๆ”
“แน่นอนดิ
เมียฉัน ผู้หญิงของฉัน
ยังไงๆซะฉันก็จัดการได้อยู่หมัดอยู่แล้ว
ใช่มั้ยคะเมีย..”
หันมาส่งยิ้มมองพะแพงที่ตาเขียวปั๊ดรอไว้ก่อนแล้ว...
“ใครเมียเอิ้น!!”
หล่อนลุกขึ้นตบโต๊ะดังปังจนทั้งสามคนต่อหน้าสะดุ้งโหยง
“ถ้าจะเล่นจะคุยก็คุยกันไปเลยนะ
เค้าอิ่มแล้วจะขึ้นห้องแล้วแค่นี้ล่ะ!!”
พูดเสร็จหล่อนก็สะบัดปลายผมหางม้าเดินลิ่วๆออกจากโรงอาหาร
ปล่อยให้เอิ้นนั่งเหวอหน้างงๆด้วยสงสัยว่าทำไมเพื่อนไม่รับมุกแถมยังดูโกรธให้ตัวเองมากๆขนาดนั้นอีก
เธอมองสองคนที่เหลือด้วยสายตาเลิ่กๆลั่กๆ
ก่อนที่เพื่อนคนที่เดินเข้ามาแซวจะกระซิบอะไรบางอย่างกับตัวเองหลังจากนั้น..
“ชั้นว่าแกจัดการเรื่องในครอบครัวแกได้ไม่เวิร์กเท่าไหร่หรอก
ดูดิ..เมียหลวงแกโกรธแล้ววะ..”
และนั่นก็ทำให้เอิ้นสัมผัสได้ถึงพลังงานความงอนขั้นรุนแรงที่เธออาจจะง้อหล่อนได้ไม่ง่ายแน่ๆ
แถมไม่รู้ว่าจะต้องง้อยังไงด้วยเพราะไม่รู้ว่าเจ้าหล่อนโกรธให้เรื่องอะไรอีก
ซึ่งก็เป็นดังคาดเพราะตลอดคาบบ่ายวันนั้นเอิ้นก็ไม่มีโอกาสได้มองเห็นแม้ใบหน้าของพะแพงคนขี้งอนอีกเลย
เพราะหล่อนเอาแต่หลบหน้าไม่ยอมพูดคุยอะไรด้วยเลยแม้จะส่งข้อความตามง้อยังไง...จนกระทั่งคาบเรียนวันนั้นจบลงไปอย่างงงๆ...
--<><><><>--
ประตูรั้วของคฤหาสสไตล์ยุโรปหลังงามเปิดออกรับรถตู้สีดำรุ่นใหม่ล่าสุดที่ค่อยๆวิ่งไปจอดเทียบท่าที่โรงจอดรถขนาดใหญ่ที่มีบรรดารถตู้และรถยนต์รุ่นต่างๆจอดเรียงรายอยู่ในนั้น
และในขณะที่รถยังไม่ทันดับเครื่องดีเด็กสาวหน้าหวานลูกสาวของเจ้าของบ้านก็รีบเดินหน้ามุ้ยลงมาจากรถเพื่อที่จะมุ่งไปสนามหญ้าหน้าบ้านโดยที่ไม่สนใจฟังเสียงเรียกด้านหลังจากเด็กชายอีกคนเลย
“พี่แพง!
พี่แพงจะรีบไปไหน”
เขาทั้งร้องทั้งรีบเดินตามพะแพง
“ทำไมไม่เอากระเป๋าไปเก็บก่อนเดี๋ยวแม่ก็บ่นอีก”
คนโดนเรียกหันหน้าบึ้งๆมาจ้องมอง
“พะเพื่อน”น้องชายแท้ๆของตัวเองที่ทุกคนแทบจะบอกว่าหน้าถอดพิมพ์กันมายังกะแกะ
แค่อีกคนเป็นหญิงและอีกคนเป็นชายเท่านั้น
และที่สำคัญเขาก็ตัวโตและสูงกว่าพะแพงมากด้วยแม้จะมีอายุเพียง15ปีก็ตาม
“งั้นฝากเอาไปเก็บด้วย
อารมณ์ไม่ดี
ไม่อยากเดินเข้าบ้านตอนนี้เดี๋ยวแม่บ่นอีก”
ยื่นกระเป๋าให้เขาที่เริ่มขมวดคิ้วเข้มๆของตัวเองมองพะแพงด้วยความสงสัย
ก่อนจะทำหน้ายียวนกวนพี่สาวของตัวเองหลังจากนั้น
“ฮั่นแน่!
ทะเลาะกับพี่เอิ้นของผมมาล่ะสิ
รู้นะว่าโดนพี่เอิ้นเทแล้วน่ะ”
“ใครเท!
เดี๋ยวเถอะ”
ยกมือขึ้นเตรียมจะตบหลังเขา
แต่เขาดันรู้ตัวไวกว่าเลยวิ่งหลบเข้าไปในบ้านได้ปล่อยให้พะแพงที่ยังคงมีอารมณ์ฉุนเฉียวค้างอยู่กลายเป็นเกรี้ยวกราดเข้าไปใหญ่เมื่อได้ยินชื่ออีกคนเมื่อครูนี้
หน็อยย..พี่เอิ้นของผมอย่างงั้นเร๊อะ..หึ!จะรู้มั้ยเนี่ยว่าพี่เอิ้นที่ตัวเองปลื้มนักปลื้มหนาเจ้าชู้ขนาดไหนเนี่ย...ทั้งคิดทั้งเดินดุ่มๆไปที่สนามหญ้าหน้าบ้านด้วยไม่อยากให้ใครเห็นใบหน้าบึ้งๆของตัวเองในตอนนี้โดยเฉพาะแม่
ให้ตายเถอะนึกแล้วก็น่าโมโห
มาเรียกเราว่าเมียหลวงแล้วยังไปเรียกเด็กคนนั้นว่าเมียน้อยอีก
นี่แสดงว่ายังไงๆเด็กคนนั้นก็มีความสำคัญกับหล่อนมากถึงขนาดกล้ายกเอามาเทียบเคียงกับคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเพื่อนรักและคู่จิ้นอย่างฉันหรือนี่
บ้าชะมัดเลย!!
ยกตีนเตะตุ๊กตาวัวแต่งสวนหน้าบ้านของตัวเองเสียงดังด้วยความโมโห
ก่อนจะกลายเป็นสะดุ้งตกใจเมื่อได้ยินเสียงแม่ตะโกนมาจากในบ้านว่าทำอะไรกับสวนแสนรักของแม่หรือเปล่า
พะแพงเลยต้องพยายามสงบสติหวังให้ตัวเองอารมณ์ดีก่อนจะเข้าบ้าน
เพื่อที่แม่จะได้ไม่บ่นให้เธอว่าเธอหน้าบึ้งและทำอะไรตึงๆตังๆเหมือนผู้หญิงไม่มีสกุลลุนชาติอีก...
สูดลมหายใจเข้าปอดตัวเองเฮือกใหญ่ก่อนจะเดินไปนั่งเล่นกับชิงช้าเหล็กสีขาวที่สวนหน้าบ้าน
ในใจก็คิดพร่ำเพ้อและต่อว่าให้พระเอกจอมเจ้าชู้ของเรื่องที่เธอไม่ชอบการกระทำของหล่อนเอาเสียเลย
ทำไมนะ ทำไมเอิ้นต้องทำอะไรบ้าๆแผลงๆอย่างนั้นด้วย
นั่งเหม่อนั่งคิดไปคนเดียวเงียบๆความรู้สึกนุ่มๆของอะไรบางอย่างก็มาถูๆไถๆกับขาของตัวเองจนต้องรีบหันลงไปมอง..
“ลัคกี้..”
ยิ้มออกนิดๆเมื่อเห็นว่าเป็น
“เจ้าลัคกี้”
แมวสาวสกอตติชโฟลด์สีเทาแสนรักของตัวเองกำลังใช้หัวของมันคลอเคลียถูไถอยู่กับขาของตัวเองอยู่
~~~
เมี๊ยว~~~
แม้ไม่รู้ว่ามันตอบกลับว่าอะไรแต่เธอก็ทึกทักเอาเองว่ามันคงจะถามว่าเธออารมณ์เสียอะไรทำไมถึงหน้ามุ้ยอย่างนี้
เธอเลยจัดการอุ้มมันขึ้นมาหอม
และทำการ“จกพุง”มันเล่นอย่างที่เธอชอบทำเวลาที่เธอเครียดอะไรอย่างนี้
“..ก็ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกนะลัคกี้
ฉันแค่เบื่อให้คนเจ้าชู้บางคนเท่านั้นเอง...”
แอบบ่นงึมๆงัมๆกับแมวที่นอนมองเธอตาแป๋วอยู่บนตัก
มือของเธอก็ลูบวนหัวของมันไปก่อนจะคิดอะไรขึ้นได้ว่า
เฮ้ย..จะเรียกว่าหล่อนเจ้าชู้คงไม่ใช่ซะทีเดียวนะ
ก็หล่อนยังไม่ได้ตกปากรับคำว่าจะคบกับใคร
หนำซ้ำหล่อนยังไม่รู้ว่าเธอมีใจให้อีก
ดีไม่ดีเธอก็แค่เล่นมุกล้อเล่นเรื่องเมียให้เพื่อนคนนั้นขำเฉยๆเท่านั้นเอง
แต่ฉันไม่ขำ!!
นั่นคือสิ่งที่พะแพงคิดในตอนที่หน้ากลายมาเป็นคิ้วขมวดอีกครั้ง
ตอนนี้เธอมีอารมณ์โมโหกลับคืนมาอีกแล้ว
ให้ตายเถอะสงบสติอารมณ์ตัวเองสิพะแพงอย่าให้ความโกรธครอบงำตัวเองนักได้มั้ย
พยายามหลับตาหักห้ามใจไม่ให้คิดมาก
เลยทำให้ไม่ทันสังเกตุว่าเจ้าลัคกี้แมวสุดรักของตัวเองเดินหนีไปแล้ว
เพราะมันรำคาญที่เธอเอาแต่ยุกๆยิกๆอยู่ไม่เป็นสุขสักที
ได้ยินเสียงมันอีกทีก็ตอนที่มันร้องเมี้ยวๆอยู่ที่ประตูรั้วหน้าบ้านเหมือนมันกำลังหยอกอะไรบางอย่างอยู่
แมวตัวอื่นเหรอ
นั่นคือสิ่งที่พะแพงคิดในตอนที่เธอตัดสินใจเดินจากชิงช้าเหล็กมุ่งตรงมาหาเจ้าลัคกี้หน้าบ้านด้วยกลัวว่าจะมีแมวหนุ่มที่ไหนมาล่อลวงลูกสาวตัวเองออกไปข้างนอกบ้านอีก
แต่สุดปลายทางที่เดินไปภาพที่เห็นไม่เป็นดังคาด
เมื่อเธอมองเห็นมือขาวๆพร้อมนาฬิกาสุดฮิตเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วของใครบางคนกำลังยื่นผ่านประตูรั้วเข้ามาหยอกเจ้าลัคกี้ที่ก็อารมณ์ดีเหลือเกินที่เห็นเจ้าของมือนั่น...
“เอิ้น...”
พอหล่อนมองเห็นเธอดวงตาหล่อนก็ส่องเป็นประกายทันที
ตอนนี้เจ้าของใบหน้าหวานและเป็นคนเดียวกันกับที่ทำให้เธอพร่ำเพ้อรำพันกำลังนั่งเกาะประตูรั้ว
โดยที่มือของหล่อนก็พยายามยื่นเข้ามาเรียกพะแพงที่หันหลังจะเดินหนีทันที
“พะแพงอย่าพึ่งไปสิ
มาคุยกันก่อนได้มั้ย พะแพง..
โอ๊ย!!”
ชะงักทันทีที่ได้ยินเสียงคนหยอกแมวร้องขึ้นเสียงดัง
หันไปมองก็เห็นหล่อนพยายามดึงแขนของตัวเองออกจากซอกเล็กๆของรั้วเหล็กด้วยความทุลักทุเล
ซึ่งนั่นก็ทำให้พะแพงต้องเดินกลับมามองหล่อนด้วยทั้งขำทั้งสงสารทั้งสมเพท
ก่อนจะกลายเป็นอุทานร้องเสียงดังด้วยความตกใจเข้าไปใหญ่ที่เห็นหล่อนออกแรงดึงแล้วปลายมุมของรั้วเหล็กไปเกี่ยวกับแขนเสื้อหล่อนขาดดังแคว่กกเสียงดังแถมยังมีแผลจนเลือดออกเป็นทางยาวอีก..
สภาพหลังจากนั้นก็คือ...พะแพงต้องพยายามดึงเอาเอิ้นที่หน้าถอดสีเข้ามาในบ้านแล้วนั่งทำแผลให้หล่อนอยู่บนชิงช้าหน้าบ้านด้วยอารมณ์เก๊กๆงอนๆของเธอต่อไปเหมือนเดิม..
--<><><><>--
“นี่..แผลเค้าไม่ได้อยู่ตรงนั้นสักกะหน่อย...”เสียงเอิ้นดังขึ้นในขณะที่ก้มลงมองพะแพงกำลังทำแผลที่แขนของตัวเองด้วยใบหน้าบึ้งๆงอนๆของหล่อน
อาการประหลาดของคนต่อหน้าอย่างหันหน้าหนีจากแผลแต่สองมือยังคงเช็ดๆล้างๆแผลให้ตลอดทำให้เอิ้นแอบที่จะอดขำไม่ได้
นี่แสดงว่าเจ้าหล่อนคงงอนหนักอยู่..ไม่อย่างนั้นคงไม่เก้ๆกังๆทำแผลให้อย่างนี้หรอก
นี่คงจะเก๊กวางฟอร์มไม่สนใจเพราะกลัวเราจะรู้ว่าเธอเป็นห่วงเราขนาดไหนสินะ
อมยิ้มเล็กๆทันทีที่เห็นหล่อนหันมาชำเรืองมองปลาสเตอร์ปิดแผลที่อยู่ผิดตำแหน่งไปตั้งคืบหนึ่งของตัวเอง
ก่อนจะดึงพรวดออกมาเสียงดังแคร่กหลังจากนั้น
“โอ้ยยยย!!
ดึงอะไรแรงเบอร์นั้น
เจ็บ!!”
ก้มลงมองแขนตัวเองก่อนจะถูๆไถๆร่องรอยปลาสเตอร์
“ไปหมดแล้วขนของเค้า
นี่..ไม่ต้องแวคให้ก็ได้นะขน
ไม่ได้อยากให้แวคขนให้”
คนดึงปลาสเตอร์ขมึงตามองก่อนจะยื่นปลาสเตอร์ลงไปติดตำแหน่งเก่าแล้วดึงมันออกมาแรงๆอีกครั้ง
“โอ้ยยย
ทำอะไรนี่ เจ็บนะนี่
ทำแผลให้ยังไงกันนี่
นี่มันแกล้งกันชัดๆเลย”
“สมน้ำหน้า!!”
เบ้ปากท้าทายก่อนจะจับลอคแขนเอิ้นที่ยกขึ้นมาลูบคลำๆดูร่องรอยขนตัวเองไว้อีก
“อยู่นิ่งๆจะติดให้ดีๆแล้ว”
“ตั้งใจติดด้วยนะ..อย่าประชดอีก”
“เออน่า
เงียบๆ ถ้าไม่เงียบจะนั่งแวคขนออกทั้งตัวเลยเอามั้ย”
ขนโดนขู่ถึงกลับรีบหุบปาก
ก่อนจะนั่งอมยิ้มมองหล่อนค่อยๆประคับประครองปลาสเตอร์ลงแผลให้ด้วยความนุ่มนวลหลังจากนั้น
“ขอบใจนะที่ทำแผลให้..”
ทำสายตาออดอ้อนขอบคุณคนทำแผลให้
ก่อนจะพยายามโปรยรอยยิ้มหวานเพื่อคุยกับหล่อนต่อแต่ก็โดนอีกคนตัดบทสนทนาลงห้วนๆเข้าให้..
“กลับไปได้แล้ว”
“อะไรกันยังโกรธอยู่เหรอ”
หน้าถอดสีทันที
“เอ้อ..ไม่สิ..นี่โกรธอะไรอะเค้ายังไม่รู้เลย”
เหล่ตามองค้อนคนถามก่อนจะทำเป็นเก็บประเป๋าใส่ยาแล้วลุกขึ้นจะเดินหนี
“อะไรกันจะหนีอีกแล้วจะไม่คุยอีกแล้ว
เค้าอุตสาห์มาหาที่บ้าน
นี่..พะแพงเมื่อเช้าเค้าก็อุตสาห์ขอร้องแล้วแท้ๆว่าโกรธง่ายนัก
มีอะไรก็พูดก็คุยกันสิอย่าหนีหน้ากันอย่างนี้”
ทั้งพูดทั้งรีบลุกขึ้นดึงแขนหล่อนไว้
“ได้มั้ย..คุยกันดีๆได้มั้ย
ตกลงโกรธกันเรื่องอะไร”
“ยังไม่รู้อีกเหรอว่าโกรธเรื่องอะไรน่ะ”
ส่ายหน้าทันทีที่ได้ยินพะแพงถามคืน
ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้“อย่าบอกนะว่าโกรธที่ล้อเล่นเรื่องนั้นน่ะ
เรื่องที่เค้าเรียกพะแพงว่าเมียแค่นั้นน่ะ”
“มันไม่ใช่แค่นั้นหรอกนะ!!”
“ไม่ใช่ยังไง
หรือไม่อยากให้เค้าเรียกเหรอ
อ๋อ..จะว่าเค้าลามปามใช่มั้ย
ก็ได้..ต่อไปเค้าจะไม่เรียกพะแพงว่าเมียแล้วก็ได้
ถ้าพะแพงไม่โอเคไม่อยากให้เล่นหัวเล่นหางอย่างนั้นเค้าไม่ทำก็ได้”
คนฟังหน้าเสียทันทีที่ได้ยินหล่อนบอกว่าจะไม่เรียกเธอว่าเมียอีกแล้ว
“มันใช่อย่างนั้นซะที่ไหนล่ะ!!”
รีบเถียงหล่อนออกไปทันที
“ก็..ก็เอิ้นน่ะ
เรียกทั้งเค้าทั้งเด็กคนนั้นว่าเมีย..”
“แล้วไง..”
อีกคนนั่งอึ้งเมื่อได้ยินที่หล่อนพูดแทรกขึ้นมาด้วยข้อความแปลกๆฟังดูทะแม่งๆอีกแล้ว
โอ้ย
ตายแล้วชั้นนนเผลอหลุดพูดอะไรทำนองนั้นออกมาอีกแล้ว..ยัยบ้าเอ้ยย
พะแพงแอบหลับตาด่าตัวเองในใจด้วยความโมโหก่อนจะหันมาเก๊กหน้าซีเรียสเพื่อแกล้งเถียงข้างๆคูๆด้วยข้ออ้างฟังดูวิชาการมากๆของเธอต่อ
ยังไงซะมันก็ยังดีกว่าจะให้หล่อนรู้ว่าเธอโกรธหล่อนเพราะหึงที่หล่อนเรียกเด็กคนนั้นว่าเมียด้วยก็แล้วกันน่ะ
“ก็
ก็..ก็มันน่าเกลียดมั้ยล่ะ
เอิ้นคิดว่ามันน่าเกลียดมั้ยการที่เรียกผู้หญิงสองคนด้วยคำว่าเมียหลวงเมียน้อยฟังดูเหมือนไม่ให้เกียรติผู้หญิงด้วยกัน
สนุกนักเหรอที่เอาเพศตัวเองมาล้อเล่นอย่างนี้
นี่เมียหลวงนั่นเมียน้อยอย่างนั้นเหรอฟังดูเหมือนผู้หญิงพวกนี้ไม่มีทางเลือกเลยเนอะยังไงๆก็ขาดเธอไม่ได้อย่างนั้นใช่มั้ย
สนุกนักใช่มั้ยที่เอาเพศแม่มาล้อเล่นอย่างนี้
ไหนเอิ้นบอกไม่ชอบที่ผู้ชายคุกคามพวกเราไง
ไหนบอกไม่ชอบที่พวกนั้นคอมเมนต์ดูถูกผู้หญิงอย่างนั้นไงแล้วทำไมเอิ้นเป็นเสียเองล่ะ!!”
หน้าเสียทันทีที่ได้ยินเหตุผลที่พะแพงต่อว่าออกมาเป็นชุดแม้มันจะไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริงเลยซักนิด..
ตอนนี้จากที่เอิ้นตั้งท่าว่าจะเถียงสู้ก็กลายเป็นนั่งนิ่งใบหน้าสลดทันที
ตอนนี้เธอเริ่มเข้าใจเหตุผลที่หล่อนโกรธทั้งหมดแล้ว
ใช่สินะ..มันก็น่าโกรธจริงๆด้วยล่ะ
“..ขอโทษด้วย..เค้าลืมคิด
เค้าคิดว่าพะแพงน่าจะขำ”เสียงหงอยๆค่อยๆขอโทษหล่อนหลังจากนั้น..
“ไม่ขำด้วยเลย”
เก๊กตาขมึงใส่เต็มที่แม้ภายในจะแอบยิ้มย่องที่สามารถโกหกหล่อนได้จริงๆด้วย
หลอกง่ายชะมัดเลย อิอิ~~
“อืม..ตอนนี้รู้แล้วล่ะว่าไม่ขำน่ะ”
แอบส่งสายตาละห้อยมองคนโกรธต่อหน้า
“เค้าขอโทษนะ”
ทั้งง้อทั้งส่งสายตาหวานอ้อนพะแพงที่ทำเป็นกอดอกเชิดหน้าหนีไม่หันมามองเธอบ้างเลย
ด้วยเพราะคนเก๊กโกรธก็กลัวจะหลุดใจอ่อนเมื่อก็รู้ตัวเองว่าแพ้ดวงตาสวยของเอิ้นตลอด
แต่แม้จะพยายามใจแข็งทำเป็นไม่สนใจยังไงเมื่อปลายสายตาของพะแพงหันไปเห็นอะไรแดงๆบางอย่างที่ยื่นผ่านหลังและมาหยุดอยู่ข้างหน้าเธอก็หลุดยิ้มทันที
“อ๊ะ..เอาน้ำตาลมั้ย
เค้าซื้อมันมาฝากคิดว่าพะแพงน่าจะขาดน้ำตาลอีก”
ก้มลงมองมือที่ถือ“กล่องกูลิโกะป๊อกกี้สีแดง”ที่ยื่นผ่านมาด้านหลัง
ก่อนจะหันขวับไปมองหล่อน
“อะไร!!เอาขนมมาล่ออีกแล้ว
เห็นเค้าเป็นอะไรนี่!!”
ยังเก๊กเสียงดุอยู่เช่นเคย
“ก็เห็นว่าเป็นนางฟ้าที่ขาดน้ำตาลคนเดิมนั่นล่ะ
ก็คิดว่าน่าจะต้องมีของอะไรมาเซ่นไหว้บ้างถึงจะง้อได้ก็เลยแวะเซเว่นซื้อมาให้อีกน่ะ”
ทั้งพูดทั้งยื่นมาให้พะแพง
“ไม่อาววว...”
คนพูดสะบัดหน้าหนีทันทีที่เห็นหล่อนรบเร้าให้รับเอาป๊อกกี้กล่องนั้นอีก
เห็นเราเป็นอะไรโกรธก็เอาน้ำตาลมาล่อ..
ทั้งคิดทั้งทั้งทำหน้ามุ้ยแม้จะแอบขำหล่อนสักเพียงใดแต่ก็ยังพยายามเก๊กวางฟอร์มงอนอีกเหมือนเดิมนั่นแหละ
ได้ยินเสียงก๊อกๆแก๊กๆอะไรก็ไม่รู้ดังอยู่ข้างหลังอยู่ครู่หนึ่งแล้วเงียบไป
ก่อนที่สองมือของคนด้านหลังจะยื่นมาจับไหล่ของพะแพงให้หมุนตัวกลับไปหาหล่อนที่กำลังคาบแท่งป๊อกกี้ไว้กับปาก...
“จะรับไปกินดีๆหรือจะให้ป้อนให้จากปากห๊ะ!!”
“เฮ้ยยยยย”
พะแพงถึงกลับร้องโวยวายทันทีที่เพื่อนสาวลอคหน้าเธอไว้แล้วทำท่าเหมือนจะโน้มหน้ามาป้อนแท่งป๊อกกี้แท่งนั้นให้กับเธอดื้อๆ
จนเธอทั้งร้องทั้งดิ้นใบหน้าก็แดงกร่ำขึ้นไปอีกเมื่อใบหน้าของหล่อนใกล้เข้ามาเรื่อยๆจนในที่สุดแท่งป๊อกกี้ก็โดนส่งผ่านจากปากของหล่อนมาหาปากเธอจนได้
คนตาหวานต่อหน้าอมยิ้มในขณะที่ปากยังคาบป๊อกกี้ไว้
และรอยยิ้มที่มาพร้อมดวงตาคู่สวยในระยะประชั้นชิดก็ทำให้พะแพงถึงกับเคลิ้มและไปต่อไม่เป็นเลยทีเดียว...
~~โอ๊ยให้ตายเถอะแค่จะป้อนป๊อกกี้ยังรู้สึกดีขนาดนี้
ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าเปลี่ยนเป็นจูบจริงๆอย่างที่เธอกำลังมโนอยู่นี่จะมีความสุขขนาดไหนกันน๊า~~
ทั้งคิดทั้งเคลิ้มค้างดวงตาก็เหม่อลอยใบหน้าก็แดงขึ้นเรื่อยๆ
จนลืมสังเกตไปว่าคนต่อหน้าค่อยๆกัดแท่งป๊อกกี้เข้ามาเรื่อยๆจนจะชนปากตัวเองมะรอมมะร่อแล้ว
“ว่าไง..จะกินเองหรือจะให้ป้อนจากปาก..”
ได้ยินเสียงหล่อนอยู่นะแต่ไม่ได้ตอบหล่อนในทันทีเนื่องจากกำลังคิดว่าหรือจะให้เอิ้นป้อนจากปากก่อนดีน๊า...
คนโดนป้อนหน้าแดงตาแข็งจ้องมองคนสวยต่อหน้าหยุดป๊อกกี้คำสุดท้ายที่ปลายปากของตัวเองอย่างลุ้นละทึก
ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้
เฮ้ยยย..เดี๋ยวก่อน..
“มะ..ไม่ต้องป้อน
พอแค่นี้ล่ะ”
รีบผลักหล่อนออกด้วยความเสียดายเมื่อนึกขึ้นได้ว่าแม่อยู่ในบ้านและตอนนี้อาจกำลังแอบมองเธอกับเอิ้นอยู่ก็ได้
“แล้วหายโกรธหรือยังล่ะ”
คนป้อนยังดึงดันตั้งท่าจะไม่ยอมหยุดป้อนอีก
“เอ้อๆๆ
หายแล้วๆแค่นี้ล่ะ”
ทั้งพูดทั้งหันไปชำเรืองมองในบ้านผ่านกระจกห้องนั่งเล่น
โชคดีที่แม่ไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้วพะแพงเลยได้แต่ถอนหายใจโล่งอกนึกกลัวจะเกิดประเด็นอะไรให้แม่บ่นระหว่างเธอกับเพื่อนสาวอีก
“..ทำไมไม่ให้ป้อนให้จากปากล่ะ
เผื่อบางทีอาจจะอารมณ์ดีกว่านี้ก็ได้นะ”
อีกคนยังไม่เลิกแหย่
แม้จะยืนเคี้ยวป๊อกกี้แท่งนั้นไปจนหมดแล้วก็ตาม
“นี่บอกแล้วไงว่าอย่าพยายามหอมเค้าหรือทำอะไรทำนองนี้ต่อหน้าคนอื่นน่ะ”
“ทำไมล่ะ
จะบอกว่าเราโตเป็นสาวแล้วยังงั้นเหรอ
ถ้าจะบอกว่าโตเป็นสาวแล้วพะแพงก็ควรจะเลิกขี้งอนเหมือนตอนเป็นเด็กได้แล้วนะ”
“ทำไมอีก..”
คิดว่าอีกคนจะบ่นให้เลยท้าวแขนตั้งท่าจะเถียงต่อ..
“ก็เพราะว่าเค้าก็ไม่รู้ว่าจะง้อพะแพงยังไงให้หายงอนได้นอกจากการหอมน่ะสิ”
ทำตาบ๊องแบ๊วตอนที่บอกหล่อน
ซึ่งมันก็เป็นเรื่องจริงที่เอิ้นมักจะทำอย่างนั้นกับพะแพงเสมอตั้งแต่เล็กจนโต
เพราะพะแพงเวลางอนหรืออารมณ์ไม่ดีหรือแม้แต่เธอเสียใจรู้สึกแย่จากเรื่องอะไรมาก็ตาม
ถ้าหากเอิ้นได้รู้
สิ่งที่เธอจะทำให้เพื่อนสาวหายจากอาการเหล่านั้นก็คือการมอบสัมผัสทางกายอย่างการกอดและการหอม
ซึ่งเธอเองก็เชื่อว่าสิ่งเหล่านั้นจะทำให้เพื่อนรู้สึกดีเพราะพะแพงก็มักจะหายโกรธและอารมณ์ดีขึ้นทุกที
ทำให้เธอชินที่จะกอดและหอมเพื่อนสาวเธอบ่อยๆโดยไม่ได้คิดตะขิดตะขวง
หรือแม้กระทั่งเอะใจเลยว่าอีกคนจะคิดอะไรกับการกอดและหอมของเธอมากกว่าที่เพื่อนทั่วไปจะมอบให้กันไปแล้ว...
สำหรับพะแพงนั้นเธอคุ้นชินและเติบโตขึ้นมาพร้อมกับสัมผัสอบอุ่นจากการกอดและการหอมของเอิ้น
และเธอก็ตกหลุมรักความอบอุ่นเหล่านั้นจนยากที่จะถอดถอนใจออกมาได้
และแม้กระทั่งตอนนี้เองแม้เธอจะแกล้งต่อต้านสัมผัสเหล่านั้นยังไงแต่ใจเธอก็รู้ดีว่าไม่อาจจะหลอกความรู้สึกตัวเองได้เลยว่าเธอต้องการมันแค่ไหน
ซึ่งใบหน้าหม่นๆเหมือนกำลังคิดถึงสัมผัสหรือเสียดายโอกาสเหล่านั้นของพะแพง
ก็ทำให้อีกคนรู้ว่าแม่สาวขี้งอนคงจะไม่หายโกรธง่ายๆหรอกถ้าไม่จบทุกอย่างด้วยการหอมแก้มหล่อนเสียก่อนน่ะ...
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้น
นี่..อยากให้เค้าหอมแต่กลัวแม่บ่นให้ใช่มั้ยล่ะ..”
อมยิ้มเล็กๆตอนที่บอกเพื่อนสาวขี้งอนของตัวเอง
ก่อนจะโน้มตัวโอบกอดไหล่หล่อนให้มายืนชิดหัวชนกันโดยที่หันหลังให้กับบ้าน
แน่นอนว่าเมื่อด้านหน้าพวกเธอถูกบังไว้จนแน่ใจว่าจะไม่มีใครมองเห็นแล้ว...เอิ้นก็รีบหันไปหอมแก้มพะแพงโดยทันที
และสัมผัสอบอุ่นเล็กๆเหล่านี้ก็ทำให้พะแพงมีความสุขจนกระทั่งลืมเรื่องราวคลางแคลงใจต่างๆที่มีต่อเพื่อนสาวที่ตนเองแอบรักไปอย่างสิ้นเชิง...
--<><><><>--
ค่ำวันนั้นพะแพงสาวน้อยแสนสวยแสนงอนและแสนจะขี้น้อยใจ
ผู้ที่เอาแต่มโนเรื่องราวของคนที่ตัวเองแอบรักโดยไม่คิดที่จะสารภาพก็ได้แต่ทำกิจวัตรประจำวันในห้องนอนของตัวเองอย่างการพร่ำเพ้อถึงพระเอกของเรื่องกับแมวตัวโปรดของเธอไปเรื่อย..
“เฮ้อ..เอิ้นก็เป็นซะอย่างนี้ล่ะนะลัคกี้
ชอบทำให้ใจฉันหวั่นไหวอยู่เรื่อยเลย
แล้วอย่างนี้ฉันจะตัดใจจากเอิ้นได้อย่างไรกัน”
แอบคิดถึงแววตาคู่สวยในยามที่หล่อนจ้องตาเพื่อที่จะป้อนป๊อกกี้แล้วก็ได้แต่ถอนใจ
นี่ใจของเธอคงจะอ่อนแอเกินกว่าจะต้านทานพลังทำลายล้างจากรอยยิ้มแสนหวานที่มองดูทั้งสวยทั้งไร้เดียงสาจากพระเอกของเรื่องได้
นี่ขนาดตั้งใจว่าจะโกรธหล่อนให้นานที่สุดแล้วแท้ๆ..แต่ก็ทำไม่ได้อีกจนได้นะ
ทั้งคิดทั้งลูบขนนุ่มนิ่มของเจ้าลัคกี้ไป
นึกถึงท่าทีอ่อนโยนในตอนที่หล่อนหอมแก้มเธอเมื่อตอนเย็นแล้วความสุขในใจที่เกิดขึ้นโดยทันทีก็ทำให้เธอเชื่อว่านี่เธอคงไม่อาจทำใจให้เลิกรักหล่อนได้ง่ายๆแน่
แต่จะทำอย่างไรดีล่ะในเมื่อเธอเองก็ไม่เคยคิดจะเปิดเผยให้เพื่อนสนิทของตัวเองได้รู้ว่าเธอมีใจให้หล่อนในแบบที่ไม่ใช่แค่เพื่อน
คำว่าเพื่อนสนิทมันเติบโตมาพร้อมๆกับพวกเธอจนบางทีก็ไม่อยากจะคิดว่าหากใครบางคนพยายามเอาสถานะอื่นทดแทนแล้ว
มิตรภาพเหล่านั้นจะยังคงอยู่
มากขึ้น หรือหายไปเลย...
นึกถึงเรื่องราวเมื่อครั้งยังเป็นเด็กที่ตัวเองจดจำได้ดีเสมอแม้ไม่แน่ใจว่าเพื่อนของเธอจะจำได้มั้ย
ภาพที่หล่อนพยายามช่วยตัวเองให้พ้นจากการจมน้ำในแม่น้ำลึกที่ไหลผ่านกลางเมือง
ทั้งๆที่คนช่วยไม่สามารถว่ายน้ำได้ยังไงแต่หล่อนก็ยังพยายามช่วยเธอจนขึ้นมาจากน้ำได้อยู่ดี
ความกล้าหาญที่จะช่วยเหลือเพื่อนจนลืมคิดถึงอันตรายของตัวเองของเอิ้นในตอนนั้นทำให้เธอรู้สึกประทับใจจนกระทั่งแอบหลงรักหล่อนตั้งแต่วันนั้นทันทีแม้จะเป็นช่วงเวลาแค่เพียงชั้นป.3ก็ตาม
และหนึ่งในสิ่งที่ทำเธอหลงรักเอิ้นก็คือคำตอบสั้นๆที่หล่อนตอบเธอว่าทำไมถึงต้องช่วยเธอในตอนนั้นด้วย
“..เค้าไม่อยากจะเสียเพื่อนอย่างพะแพงไปน่ะสิ..”
ยิ้มทันทีที่นึกถึงรอยที่มีทั้งความกล้าหาญและความอ่อนโยนในคราวดียวกันของหล่อนเมื่อครั้งที่หล่อนตอบคำถามนั้น
เค้าก็ไม่อยากเสียเอิ้นไปเหมือนกัน
ไม่ว่าจะสถานใดๆก็ตาม
ไม่อยากเสียเอิ้นไปในสถานะคนรักและไม่ต้องการเสียเอิ้นไปในสถานะเพื่อน
เอิ้น..แม้เธอจะไม่ใช่คนรักของฉัน..แต่อย่างน้อยเธอก็ยังเป็นเพื่อนรักของฉันอยู่ตลอดไป..นั่นเป็นความคิดครั้งที่ร้อยล้านแล้วมั้งที่เธอเอาแต่คิดมาตั้งแต่ที่เธอเริ่มรู้ตัวว่าตัวเองแอบรักเพื่อนคนนี้ไปแล้ว
เฮ้อ..ว่าแล้วก็คิดถึงใบหน้าหวานๆตาโตๆของหล่อนจังเลยแฮะ..นี่ขนาดว่าตอนเย็นได้เจอหล่อนที่บ้านแล้วพะแพงก็ยังอดที่จะคิดถึงหล่อนไม่ได้อีก
อมยิ้มเล็กๆในตอนที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาหวังจะกดโทรหาหล่อนแต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเมื่อตอนเย็นก็ได้คุยกับหล่อนไปแล้วหากโทรหาไปอีกมันก็จะดูเหมือนเธอกำลังติดหล่อนมากๆและขาดหล่อนไม่ได้อีกแน่ๆ
คิดเล็กคิดน้อยตามสไตล์สาวน้อยจอมมโนแต่ดันขี้เก๊กอยู่ครู่หนึ่งเธอก็เปลี่ยนเป็นเปิดเฟสบุ๊คขึ้นมาเพื่อส่องดูหน้าเฟสหล่อนแทน
ส่องเฟสดีกว่า..แอบดูเงียบๆหล่อนไม่รู้ตัว
แถมยังได้เห็นหน้าหวานๆของเอิ้นด้วย..ยิ้มหวานในตอนที่คลิกดูหน้าเฟสหล่อนก่อนจะกลายเป็นตาเหลือกลานเมื่อเห็นstatusบางอย่างที่ชวนใจสลาย..
“ตอนเย็นแวะไปหาที่บ้านทำไมไม่เห็น
โทรไปก็ไม่รับสายหมายความว่ายังไงยัยลิงน้อย”
เป็นสถานะที่เอิ้นโพสขึ้นมาเมื่อช่วงหัวค่ำของวันพร้อมๆกับการแท๊กยัยเด็กแว่นของหล่อนลงไปด้วย
โอ๊ยยย
อกอีแป้นจะแตก!!
พะแพงแทบจะปล่อยโทรศัพท์ลงกับพื้นเตียงทันทีที่อ่านสถานะนั้นเสร็จ
นี่หมายความว่าพอกลับจากบ้านเราเธอก็ไปหาเด็กคนนั้นที่บ้านอีกอย่างนั้นหรือนี่
นึกถึงใบหน้าครุ่นคิดของหล่อนในตอนที่เธอเอาเสื้อกันหนาวมาให้เพื่อสวมทับเสื้อที่ขาดตอนที่หล่อนขอตัวกลับแล้วเธอถามหล่อนว่าจะไปไหนต่อหรือเปล่า
“อืม..ไม่หรอก
คงจะกลับบ้านเลย...”
กลับบ้านเลยอย่างนั้นเหรอ
หน็อยย...คนกะล่อนปลิ้นปล้อน!!กลับกลอกหลอกลวงที่สุด!!
ทุบที่นอนด้วยความโมโหจนแมวลัคกี้สะดุ้งโหยง
ไหนบอกว่าจะกลับบ้านเลยแล้วนี่แวะไปหายัยเด็กคนนี้อีกทำไม
นี่สรุปว่ายังไงๆหล่อนก็เห็นยัยเด็กคนนั้นสำคัญกว่าฉันใช่มั้ย
นี่ขนาดว่ามาหาฉันแล้วยังอดคิดถึงยัยเด็กคนนั้นไม่ได้ต้องรีบแวะไปหาหล่อนอีก
ยิ่งคิดก็ยิ่งน้อยใจ
และความรู้สึกเสียใจก็ยิ่งมากขึ้นไปอีกเมื่อคิดได้ว่ายังไงๆพระเอกของเรื่องก็คงต้องเลือกนางเอกอยู่วันยังค่ำ
แม้จะทำให้นางอิจฉาอย่างเธอหลงคิดว่าหล่อนมีใจให้ยังไง
สุดท้ายคนที่ได้ใจพระเอกไปก็คือนางเอกสินะ
นี่ฉันจะต้องเสียเธอไปให้เด็กคนนั้นจริงๆหรือเอิ้น
แอบคิดอย่างเศร้าๆเมื่อนึกถึงนิยาย“จิ้นนักรักซะเลย”ที่เธอคิดว่ามันคล้ายกับเรื่องราวในชีวิตของเธอนักก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดอ่านอีกครั้ง
หึ..ตลกร้ายนัก
เนื้อเรื่องในชีวิตจริงตอนนี้ช่างคล้ายกับตอนที่สามในนิยายเหลือเกิน
แพรี่พระเอกของเรื่องเลือกที่จะทะเลาะกับรัณห์เพื่อที่จะมาง้อเอริณเพื่อนสนิทตัวเองที่บ้าน
เมื่อเธอคิดว่าหล่อนคงจะงอนให้ด้วยสาเหตุที่ว่าเธอทิ้งหล่อนให้เหงาคนเดียวบ่อยๆในช่วงนี้
ด้วยความรักเพื่อนที่ไม่ได้คิดระแคะระคายเลยว่าตัวร้ายที่เป็นเพื่อนรักจะแอบมีใจให้ตัวเอง
แพรี่เลยหลงกลติดกลับดักที่เอริณวางแผนเรียกร้องความสนใจจากเธอให้ออกมาจากรัณห์จนทั้งสองทะเลาะกันในที่สุด..
เดี๋ยวนะ..นี่ตกลงฉันเรียกร้องความสนใจจากเอิ้น
จนเอิ้นทะเลาะกับยัยเด็กคนนั้นหรือนี่
แม้ไม่อยากจะคิดแต่เนื้อเรื่องในนิยายและการดำเนินของตัวละครทั้งสามก็ช่างละม้ายคล้ายคลึงกับชีวิตจริงของเธอ
จนเธอแอบที่จะคิดไม่ได้ว่าเธอได้กลายเป็นนางร้ายของเรื่องจริงๆไปแล้ว
แล้วไง..แล้วที่นี้เรื่องจะเป็นยังไงต่อ
นึกถึงเนื้อเรื่องที่เธอได้อ่านคร่าวๆก่อนจะอ่านดูCheapter3อีกครั้ง
ตอนนี้เมื่อเอริณตัวร้ายเริ่มรู้ตัวว่าแพรี่กำลังจะมีใจให้รัณห์เธอก็พยายามทุกวิถีทางที่จะดึงแพรี่ออกมา
ไม่ว่าจะเป็นการเรียกร้องความสนใจ
การขัดขวางไม่ให้สองตัวเอกได้เจอกันหรือแม้กระทั่งขัดขวางไม่ให้สองคนนี้อยู่ด้วยกันสองต่อสอง...
พยายามขัดขวางอย่างนั้นเหรอ..มันก็จริงล่ะนะก็นางร้ายในเรื่องเป็นเพื่อนสนิทที่แอบรักแพรี่และไม่คิดที่จะบอกแพรี่ว่าตัวเองชอบอยู่แล้ว
ถ้าฉันเป็นหล่อน...วิธีที่จะทำให้ตัวเอกสองคนไม่ได้ครองรักกันโดยไม่จำเป็นต้องบอกรักเพื่อนของตัวเองก็คือการตีเนียนเข้าไปขัดขวาง
การตีเนียนเข้าไปกั้นกลางโดยใช้คำว่าเพื่อนรักของตัวเองทำให้พระเอกของเรื่องเกรงใจนั่นเอง...
เอ..แล้วถ้าฉันเอาวิธีของนางร้ายมาใช้ในชีวิตจริงมันจะเวิร์คมั้ย
ไม่สิ..หรือบางทีนี่อาจะเป็นนิยายเรื่องนั้นและฉันกำลังอ่านบทที่ตัวเองกำลังจะแสดงอยู่ก็เป็นได้
เอ..แต่ฉันก็อาจไปจนจบแล้ว
แล้วก็รู้ว่าวิธีของตัวร้ายมันไม่เวิร์คอยู่ดีนี่นา
หรือฉันจะพยายามแก้บทนิยายชีวิตจริงให้เปลี่ยนไปจากในนิยายเรื่องนี้ให้ได้ดีนี่..
...แล้วถ้าฉันคิดจะเปลี่ยนจริงๆมันจะยังพอมีทางเปลี่ยนตอนจบในนิยายเรื่องนั้นได้บ้างมั้ยนะ
นั่นเป็นเหล่าคำถามที่พะแพงคนสวยจอมมโนเฝ้าแต่คิดทั้งคืนจนกระทั่งทนไม่ไหวต้องมานั่งอ่านนิยายเรื่องนั้นใหม่ตั้งแต่ต้นจนจบอีกครั้ง
หวังทบทวนหาช่องโหว่ของบทนิยายเพื่อที่จะพลิกบทตอนจบอันแสนเศร้าของตัวร้ายให้ได้
ขอให้ฉันเป็นนางร้ายที่ไม่ใช่นางร้ายจริงๆด้วยเถอะ...
--<><><><>--
เช้าวันใหม่ที่แสนจะยุ่งวุ่นวายแต่นางร้ายจำเป็นอย่างพะแพงก็ต้องพยายามทำตามแผนเปลี่ยนตอนจบของนิยายจากการอ่านและวิเคราะห์มาทั้งคืนว่าที่นางร้ายไม่สมหวังในรักเป็นเพราะว่าหล่อนทำตัวเยอะเกินไปนั่นเอง
จริงๆการดำเนินบทของเอริณเพื่อที่จะแย่งแพรี่ในเรื่องนั้นดีทุกอย่าง
แต่พะแพงวิเคราะห์ว่าเป็นเพราะเจ้าหล่อนชอบที่จะมีปฏิกิริยาจำพวกส่งเสียงหวีดกรี๊ดกร๊าด
กระฟัดกระเฟียด
กระเง้ากระงอดใส่แพรี่เวลาที่หล่อนไม่พอใจเสมอ
สร้างความเอือมระอาให้กับแพรี่จนหล่อนเลือกที่จะเทใจไปรักรัณห์นางเอกของเรื่องจริงๆจังๆ
แต่ฉันไม่เยอะและไม่มีวันทำตัวเยอะอย่างนั้นแน่นอน
นั่นคือสิ่งที่พะแพงคิดและมั่นใจมากๆ
เธอคิดว่าเธอค่อนข้างที่จะแสนดี
ไม่กรี๊ด ไม่ขี้งอน
ไม่โกรธง่ายและหายเร็วมากๆเมื่อเทียบกับผู้หญิงทั่วไป
แต่อย่าลืมว่านั่นเป็นสิ่งที่เธอคิดโดยที่ยังไม่เคยถามความเห็นจากเพื่อนรักเกี่ยวกับตัวเธอเลยแม้แต่ครั้งเดียว..
เอาเป็นว่าพะแพงคิดว่าเธอจะดำเนินการขัดขวางพระเอกกับนางเอกอย่างที่ตัวร้ายในเรื่องทำไว้แต่จะเปลี่ยนจากบทร้ายๆของหล่อนเป็นท่าทางที่แสนดีของตัวเองลงไปแทน
ฉันต้องเอาความดีเข้าสู้
นั่นคือสิ่งที่เธอคิดในตอนที่จะเริ่มแผนขัดขวางของตัวเอง
โดยแผนของเธอเริ่มจากการตีเนียนคุยกับเอิ้นเรื่องเด็กคนนั้นเพื่อที่จะล้วงเอาความลับระหว่างทั้งสองออกมาให้หมด
ว่าพวกหล่อนคิดอะไร ทำอะไร
ถึงไหนยังไงกันแล้วบ้าง
“นี่..เมื่อวานเอิ้นทะเลาะกับหลินเหรอ”
เป็นพะแพงที่เปิดประเด็นถามเอิ้นที่นั่งก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาลัยอยู่ในห้องคาบเรียนที่อาจารย์ไม่เข้าสอน
“ทำไมถามอย่างนั้นล่ะ..”
คนโดนถามละตาจากหน้าหนังสือขึ้นมาคิ้วขมวดจ้องมองเพื่อนสาวที่ร้อยวันพันปีไม่เคยที่จะเอ่ยถามเรื่องของยัยลิงน้อยเสียที
ทุกทีก็เห็นบ่นห้ามไม่ให้ไปแกล้งหล่อน
หรือนี่จะบ่นอีกแล้วอย่างนั้นหรือ
นั่นคือสิ่งที่เอิ้นคิดในขณะที่ปิดหนังสือลงเมื่อเริ่มรู้ตัวว่าเพื่อนสาวอาจจะกำลังเยอะกับเธอในไม่ช้า..
“ก็ถามเฉยๆ”
ทั้งตอบทั้งยิ้มหวานหวังเอารอยยิ้มเข้าล่อ
“ก็เมื่อวานเห็นเอิ้นโพสต่อว่าหลินน่ะ
งอนให้กันเหรอ”
เป็นคำแสลงใจที่พะแพงไม่อยากจะพูดเอาเสียเลยแต่ก็ต้องถาม
งอน!
งอน!
งอน!
นี่มันคำที่ใช้กับแฟนหรือไม่ก็คนที่สนิทกันมากๆเท่านั้นนี่ฉันจะถามแทงใจดำตัวเองทำไมกัน..
“งอนเหรอ..ก็เปล่า
จะไปงอนทำไมคนพรรค์นั้น”
ได้ยินเสียงตอบเฉยชาของคนสวยต่อหน้าแล้วพะแพงก็ยิ้มออกนิดๆแต่เมื่อคิดได้ว่ามันช่างเหมือนคำพูดประชดประชันเมื่อพูดถึงคนที่มีความสำคัญกับตัวหล่อนแล้วเธอก็คิ้วขมวดออกอาการขวัญเสียต่อ..
“เอ่อ..ทำไมทำเสียงอย่างนั้นเหมือนเอิ้นประชดน้องเค้าเลยโน๊ะ..”ควบคุมอารมณ์เสียใจเล็กๆของตัวเองมาเป็นคีย์เสียงที่สูงผิดปกติในตอนที่ถามหล่อนต่อ
“ประชดอะไร๊
ไม่ได้ประชดเล๊ย”
คนตอบยิ้มน้อยจ้องมองหน้าตาที่เหมือนจะยิ้มและเหมือนจะร้องไห้ในคราวเดียวกันของพะแพงก่อนจะยื่นหลังมือมาทาบเข้ากับหน้าผากหล่อนเมื่อนึกอะไรขึ้นได้..
“นี่เป็นไรไม่สบายหรือเปล่า
เอ..ตัวก็ไม่ร้อนนะ
แต่ทำไมทำหน้าแย่ๆเหมือนคนไม่สบายอย่างนี้
เมื่อคืนนอนดึกเหรอ”
คนถามยกมือทาบหน้าผากค้างไว้
แววตาก็จ้องมองคนสวยต่อหน้าอย่างอ่อนโยนด้วยคิดว่าหล่อนคงจะเป็นอะไรหรืออาจจะไม่สบายใจอะไรอีกหรือเปล่า
“มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า
เหมือนพะแพงกำลังกังวลอะไรนะ”
“ทำไมคิดอย่างนั้น”
แกล้งเอามือเอิ้นออกจากหน้าผากตัวเองในตอนที่ถามหล่อนคืนด้วยท่าทางฝืนๆเก๊กๆ
ทั้งๆที่ตอนนี้หัวใจเธอกลับมาพองโตอีกครั้งแล้ว...ให้ตายเถอะ
“ก็..ไม่รู้สิ
อาจเป็นเพราะเค้าอ่านใจพะแพงออกมั้ง
เค้าเลยรู้ว่าพะแพงต้องไม่สบายใจอะไรแน่ๆ”
“อ่านใจออกอย่างนั้นเหรอ..”
แอบขำให้หล่อนเล็กๆ
ถ้าอ่านใจเค้าออกจริงก็ต้องรู้สิว่าเค้าคิดยังไงกับเอิ้น...นั่นคือสิ่งที่พะแพงคิดในใจตอนที่มองหล่อนยื่นมือมาจับหน้าผากวัดอุณหภูมิอีกครั้งด้วยความเป็นห่วงของหล่อนต่อ
และแววตาหวานๆของหล่อนที่จ้องตาพะแพงตลอดก็สื่อให้พะแพงเห็นว่าหล่อนเป็นห่วงตัวเองขนาดไหน
เฮ้อ..เนี่ย..ก็เป็นซะอย่างนี้
ชอบมาให้ท่าให้ความหวังกันซะอย่างนี้แล้วเค้าจะไปตัดใจจากเอิ้นยังไงกันเล่า
ต่อให้เป็นผู้ชายอกสามศอกมามองดูท่าทางอ่อนโยนอ่อนหวานของเอิ้นแล้วก็คงใจละลายแล้วละลายอีก
นับประสาอะไรกับเด็กผู้หญิงธรรมดาที่หัวใจแสนจะอ่อนแอและบอบบางอย่างเค้ากันเล่า
ไม่เอาอ่ะ..เค้าไม่อยากให้เอิ้นมองใครด้วยสายตาแบบนี้บ่อยๆเลย
เค้าอยากให้เอิ้นมองเค้าแค่คนเดียวเท่านั้น
นั่นคือสิ่งที่พะแพงคิดก่อนที่จะพยายามตีเนียนทำตามแผนต่อเมื่อรู้ตัวว่าตัวเองไม่อาจจะยกแววตาคู่นี้ให้ใครได้ง่ายๆแล้ว
“ตกลงไม่ได้งอนกันแต่โพสเฟสแกล้งกันอย่างนั้นแค่นั้นเหรอ..”
เอิ้นพยักหน้างึกๆงักๆ
“อืม..ก็ประมาณนั้นแหละ..”
“แล้วหลินว่าไงบ้างล่ะ”
เหล่ตามามองพะแพงนิดๆเมื่อได้ยินอีกคนถามต่อไม่หยุด
“ก็ไม่ได้ว่าอะไร..”
“ไม่ได้ว่าอะไร??..”
อย่างนั้นเหรอ..หึ
มีพิรุธมาก...แค่เห็นหน้าตาเฉไฉเหมือนไม่อยากตอบคำถามอะไรเกี่ยวกับเด็กคนนั้นของหล่อนแล้ว
สกิลการจับผิดของพะแพงก็พุ่งสูงปรี๊ดอีก
มันต้องมี
มันต้องมีอะไรแน่ๆในคำว่าไม่ได้ว่าอะไรคำนั้น
คิดได้ก็รีบถามต่อแต่เปลี่ยนเป็นประเด็นใหม่แทนเผื่อว่าอีกคนจะไม่อยากตอบ..
“แล้วเมื่อเช้าได้..”
“จะถามอะไรเกี่ยวกับหลินอีกเยอะมั้ยนี่”
สะดุ้งทันทีที่โดนเอิ้นตัดบท
“ทำไมถึงถามแต่เรื่องหลิน
สงสัยอะไรเค้าอีกมิทราบ
หรือจะบ่นอะไรให้เค้าอีกอย่างนั้นเหรอ”
“ก็เปล่า
แค่อยากรู้บ้าง”
“อยากรู้??
อยากรู้ทำไม??”
“ก็..”
คิ้วขมวดหน้าแดงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหลุดปากบอกคำแสดงแทงใจตัวเองออกมา
“ก็อยากรู้จักแฟนเพื่อนตัวเองบ้างไม่ได้หรือไง”
“อุ๊บส์..”คนฟังหลุดหัวเราะแถมรีบยกมือขึ้นปิดปากตัวเองทันทีที่คิดว่าตัวเองต้องหัวเราะเสียงดังกว่านี้แน่ๆถ้าขืนยังมองท่าทางแปลกๆของเพื่อนอยู่อย่างนี้น่ะ
“..แฟนอย่างนั้นเหรอ
โฮ๊ะ
สรุปว่าเค้าแอ๊บเก่งมากๆเลยใช่มั้ยถึงหลอกเพื่อนสนิทของตัวเองได้ขนาดนี้นี่”
ทั้งพูดทั้งขำคิกๆคักๆ
“..ตกลงพะแพงก็เชื่อว่าเค้าเป็นแฟนเด็กคนนั้นเหรอ”
คนโดนแซวมองคนที่หัวเราะต่อหน้าด้วยสายตางอนๆ
ทั้งอายทั้งโกรธเมื่อเห็นหล่อนขำในสิ่งที่เธอเฝ้าแต่กังวลมาตลอดในช่วงระยะเวลาหลังๆที่เธอเห็นเพื่อนสาวไปไหนกับเด็กนั่นบ่อยๆ
“ก็เชื่อดิ
ขำทำไม มีอะไรน่าขำอย่างนั้นเหรอ”
“หน้าพะแพงไงน่าขำ
ตอนนี้พะแพงทั้งหน้าแดงทั้งหน้าแหยๆบอกอารมณ์ไม่ถูก
ดูแล้วตลกยังไงไม่รู้”
“ตลกอย่างนั้นเหรอ”
ยื่นสองมือไปยีผมเพื่อนสาวด้วยความหมั่นไส้ทันที
“โอ๊ย!
ยีผมเค้าทำไม!”
“อยากมีเพื่อนหน้าตลกเหมือนกันไง
อยากดูมั้ยว่าตอนนี้หน้าเอิ้นตลกอย่างไงบ้าง”
ทั้งพูดทั้งยักคิ้วยียวนส่งสัญญาณให้อีกคนรู้ตัวว่าตอนนี้หัวของหล่อนยุ่งเยิงขนาดไหน
และหน้าเหวอๆของหล่อนก็สร้างความตลกขบขันให้พะแพงหัวเราะคิกๆคักๆ
จนอีกคนหมั่นไส้รีบโน้มตัวยื่นมือมาจับหน้าพะแพงลอคไว้แล้วพุ่งหน้ามาระดมหอมแกล้งไปทั่วๆใบหน้าหล่อนแก้แค้นเมื่อรู้ว่าหล่อนไม่ชอบให้เธอหอมแก้มอย่างนี้ต่อหน้าใคร..
และนั่นก็ทำให้ทั้งสองเอาแต่หยอกล้อแกล้งกันไปกันมาไม่เป็นอันทำอะไรเลย
ซ้ำยังเป็นเป้าสายตาให้คนรอบข้างได้หันมายิ้มเล็กยิ้มน้อยด้วยความฟินที่เห็นคู่จิ้นแห่งปีกลับมาหยอกกันอีกครั้งแล้วหลังจากที่อีกคนแอบไปมีข่าวกิ๊กกับเด็กแว่นคนใหม่สร้างความสับสนให้กลับกองเชียร์เวอร์ๆ..
ยังไงๆซะเอิ้นกลับมาเป็นของพะแพงอยู่ดีสินะ...