วันศุกร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2563

นิยายรักไม่จำกัดบท

Cheapter 1
ฉันคือตัวร้าย?
(อ่านบทIntroduceก่อนนะ)
พะแพงละสายตาออกมาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์พร้อมๆกับพ่นลมหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย เธอคิ้วขมวดกลับมามองภาพในหน้าจอที่เป็นรูปการ์ตูนผู้หญิงสองคนกอดคอกันแล้วก็ได้แต่ส่ายหัว..
ทำไมนะนิยายรักส่วนใหญ่ถึงชอบเขียนให้ตัวเอกตัวหนึ่งหน้าตาดี ส่วนตัวเอกอีกตัวหนึ่งกลับเป็นคนธรรมดาหน้าตางั้นๆ ส่วนตัวร้ายกลับกลายเป็นคนสวยหรือไม่ก็เป็นคนหน้าตาดีมากๆไปได้ ทั้งๆที่ดูก็น่าจะคู่ควรกับตัวเอกแล้วแท้ๆแต่คนเขียนกลับเขียนให้ไม่ได้กัน
ซึ่งก็เหมือนกันกับนิยายหญิงรักหญิงเรื่อง จิ้นนักรักซะเลย”จากงานเขียนของไรท์เตอร์ DarkWorm” ที่เธออุตสาห์ลงทุนติดตามอ่านมาตั้งแต่ปีก่อนตั้งแต่ต้นจนจบ ตอนแรกเนื้อหามันก็น่ารักอ่านดูฟินๆดีอยู่หรอก เพราะแพรี่”ตัวเอกที่เป็นดาวของโรงเรียนไปจับพลัดจับพลูเจอเข้ากับรัณห์”เด็กนักเรียนสาวรุ่นน้องจอมเอ๋อใส่แว่นหน้าเตอะแล้วแกล้งกันไปกันมาจนกลายเป็นรักกันจริงๆ ทิ้งให้เอริณ”เพื่อนสนิทสาวสวยที่แอบรักตัวเองต้องกลายเป็นตัวร้ายพยายามเข้ามากั้นกลางความรักของทั้งสองแต่ก็ไม่เป็นผล สุดท้ายแล้วตัวเอกสองคนได้ครองรักกันอย่างแฮปปี้เอนดิ้ง ทิ้งให้เพื่อนสนิทผิดหวังเสียใจ จนสุดท้ายทนไม่ได้ต้องลาออกจากโรงเรียนไปในที่สุด...
อ่านแล้วก็สะท้อนใจเมื่อเริ่มคิดได้ว่าเนื้อหามันช่างคลับคล้ายคลับคลากับบางเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดมาสดๆร้อนๆก่อนหน้านี้เหลือเกิน..
ตัวเอกหน้าตาดี...เป็นดาวโรงเรียน..กำลังแกล้งเด็กรุ่นน้องที่หล่อนไม่ชอบ แกล้งกันไปแกล้งกันมาสุดท้ายก็ได้กัน ทิ้งให้ใครบางคน..อึ๊ก..สะดุดกับความคิดของตัวเองเมื่อนึกถึงใครบางคนได้..
ใช่..ใครบางคนบางคนที่เป็นเพื่อนสนิทและแอบรักตัวเอกมาตลอดเวลาแต่ตัวเอกกลับไม่รู้ตัวเลย
เพื่อนสนิทที่น่าสงสารทั้งๆที่ใกล้ชิดกับตัวเอกตลอดเวลาแท้ๆแต่กลับไม่ได้สมหวัง สุดท้ายได้กลายเป็นแค่ตัวร้าย กลายเป็นแค่ตัวอิจฉาในนิยายเท่านั้น
….หรือนี่ฉันจะเป็นได้แค่ตัวอิจฉาอย่างนั้นหรือนี่ ...
คอตกหน้าซบหัวเข่าทันทีที่ที่เริ่มคิดได้ว่าตัวเองคงเป็นได้แค่ตัวร้ายของนิยายรักในชีวิตจริงเสียแล้ว...
แล้วนี่...เด็กคนนั้นจะเป็นนางเอกของเธอจริงๆเหรอ..เอิ้น
--<><><><>--
เสียงออดจากรถประจำทางดังขึ้นเป็นทางยาว เมื่อล้อกำลังเคลื่อนที่เข้าสู่เขตหน้าประตูหน้าโรงเรียนมัธยมสหวิทย์ โรงเรียนชื่อดังประจำจังหวัด และนั่นก็ทำให้เด็กสาวแสนสวยในชุดนักเรียนที่แสนจะเรียบร้อยอย่างพะแพงรีบกุลีกุจอเงยหน้าจ้องมองดูว่าบรรดาเด็กนักเรียนที่อยู่ในรถประจำทางคันนั้นจะมีเพื่อนสาวที่เธอตั้งหน้าตั้งตารออยู่นี่หรือไม่
แต่คนแล้วคนเล่าที่เดินผ่านลงมา จากรถคันแรกที่เธอเห็นเมื่อเธอเริ่มมานั่งรอจนกระทั่งตอนนี้ผ่านไปเกือบจะสิบกว่าคันแล้วเธอก็ยังไม่เห็นเอิ้นเดินลงมาเสียที ทั้งๆที่หล่อนเป็นคนตรงต่อเวลา และมาโรงเรียนด้วยเวลาเดิมเป็นประจำทุกๆวัน และตอนนี้ก็ใกล้จะถึงเวลาที่จะเข้าแถวหน้าเสาธงแล้วด้วยสิ
เอ..หรือวันนี้เอิ้นจะไม่มาเรียน เป็นอะไร ไม่สบายอย่างนั้นเหรอ...แอบคิดถึงหล่อนด้วยความเป็นห่วงก่อนจะรีบหยิบโทรศัพท์โทรออกไปหาคนที่อยู่ในห้วงความคิดมาตลอด ปลายสายส่งเสียงทักทายสดใสมาทันทีที่หล่อนกดรับสาย
ฮายย..พะแพงว่าไง”
เอิ้น..เอิ้นไม่มาโรงเรียนเหรอวันนี้ ไม่สบายหรือเปล่า”
เปล่านี่ก็สบายดีนะ ตอนนี้ก็อยู่ในโรงเรียนแล้วด้วย”
อ้าวเหรอ ทำไมเค้านั่งรอเอิ้นอยู่ที่หน้าโรงเรียนตั้งนานทำไมไม่เห็นเอิ้นเลยล่ะ คือเค้านั่งรอจะเดินเข้าไปในโรงเรียนพร้อมกันกับเอิ้นน่ะ”
อ้าวงั้นเหรอ..คือตอนนี้เค้าอยู่ที่หน้าห้องเด็กคนนั้นอยู่น่ะ เอ่อ..หมายถึงหลินน่ะ คือเมื่อเช้าเค้ามาโรงเรียนพร้อมยัยนี่น่ะ เค้าจะดูว่ายัยนี่จะแอบเอาภาพของพวกเรามาแพคขายส่งอีกหรือเปล่า ก็เลยดักรอที่หน้าบ้านแล้วก็มาโรงเรียนพร้อมกันกับยัยนี่เลย”
มาพร้อมกันอย่างนั้นเหรอ!!” เป็นความเซอร์ไพรส์ที่ทำเอาพะแพงหูอื้อตาลายทำอะไรไม่ถูกเลยทีเดียว ได้แต่ยืนอึ้งค้างก่อนจะรีบรนรานถามปลายทางไปเมื่อนึกอะไรบางอย่างที่ชวนสะเทือนใจขึ้นได้อีก
“..เดี๋ยวๆนะ แล้วเมื่อกี้ได้ยินว่าไปดักรออยู่ที่หน้าบ้าน นี่รู้จักบ้านเด็กคนนั้นแล้วอย่างนั้นเหรอ”
ก็ใช่ไง ก็เค้าตามสืบไง ก็จะได้รู้ไงว่าเด็กคนนั้นแอบเอาอะไรของเรามาขายด้วยหรือเปล่าไง นี่รู้เปล่าว่ายัยเด็กคนนั้นหน้าเจื่อนเลยนะพอเห็นหน้าเค้าที่หน้าบ้านน่ะ...”
ลมแทบจับทันทีที่ได้ยิน ตอนนี้พะแพงสุดสวยก็เริ่มหน้าเจื่อนตามเด็กของเพื่อนสาวเธอแล้วเมื่อเริ่มคิดได้ว่านิยายเรื่องที่เธออ่านเมื่อคืนมันกำลังจะเป็นเรื่องจริงจริงๆแล้ว
ใช่..นี่คือCheapter2 ตอนบุกถึงบ้าน แพรี่บุกไปหารัณห์ถึงบ้านเพื่อที่จะแกล้งทำเป็นแฟนด้วยการมาโรงเรียนด้วยกัน และเมื่อมาถึงโรงเรียนพร้อมกัน เอริณตัวอิจฉาเพื่อนสนิทสุดสวยก็กรี๊ดแตกทันทีที่เห็นคนที่ตัวเองแอบรักกำลังจูงมือคนอื่นเข้ามาในโรงเรียน
กรี๊ดดด พะแพงก็อยากจะกรี๊ดอย่างเอริณเช่นเดียวกัน แต่เธอกลับกรี๊ดอย่างตัวอิจฉาไม่เป็น ได้แต่เข่าอ่อนนั่งทรุดลงกับม้านั่งพร้อมกับอาการหน้าซีดปากชาเหมือนกำลังจะเป็นลมในไม่ช้าเมื่อได้รู้ว่าเขาไปถึงไหนกันแล้ว
โอ้ย..ให้ตายเถอะ แล้วฉันจะทำอย่างไรดีนี่
นี่ต้องแกล้งทำเป็นไม่สนใจแล้วปล่อยให้สองคนนั้นแกล้งกันไปกันมาจนหลงชอบกันจริงๆอย่างนั้นใช่มั้ย
หรือ..ฉันจะตามไปกรี๊ดใส่หน้าเอิ้นด้วยความโมโหอย่างนั้นดี
..ไม่นะ พะแพง ถ้าเธอคิดร้ายๆก็เท่ากับเธอยอมรับบทร้าย เธอเป็นนางอิจฉาในนิยายเรื่องนั้นจริงน่ะสิ..สมองส่วนดีกระซิบกระซาบแนะนำร่างกายไร้สติเบลอๆของเธอให้
งั้นเหรอ..ฉันไม่ใช่ตัวร้ายอย่างนั้นเหรอ แล้วถ้านี่คือนิยายเรื่องนั้นจริงๆและฉันคือตัวร้ายจริงๆ ฉันจะทำยังไงดีล่ะ ถ้าฉันยอมปล่อยเขาไป ก็เท่ากับฉันยอมเสียคนที่ฉันแอบรักมาตลอดอย่างนั้นเหรอ..” พยายามเถียงสมองส่วนนั้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ มือก็โบกปัดไปมา โดยที่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองได้กลายเป็นเป้าสายตาให้เด็กที่เดินผ่านไปผ่านมาได้ขำในอริยาบทของพี่ดาวโรงเรียนสุดสวยเข้าให้ และแม้กระทั่งเอิ้นเองที่ได้ยินเสียงบ่นพึมๆพัมๆฟังไม่เป็นคำจากพะแพงเมื่อหล่อนกำลังต่อสู้กับความคิดของหล่อนอยู่ก็ต้องรีบถามกลับมาด้วยความสงสัย
อะไรนะ เมื่อกี้พะแพงว่าอะไรนะ อะไรคือตัวร้าย แล้วเมื่อกี้ได้ยินว่าแอบรักใครยังไงนะ”
สะดุ้งโหยงทันทีที่ได้ยินเสียงของเพื่อนสาวดังเข้ามาเรียกสติในสาย
เอ่อๆ ไม่มีอะไรๆ เอ่อ..งั้นแค่นี้ดีกว่านะ เดี๋ยวเค้าจะเดินเข้าโรงเรียนแล้วล่ะถ้างั้น เอิ้นก็รีบๆขึ้นห้องนะ อย่าพยายามไปมีเรื่องอะไรกับใครเลยถ้าไม่จำเป็น คนอื่นจะมองไม่ดี”
โดยเฉพาะเค้..นั่นคือสิ่งที่พะแพงคิด ณ ขณะที่ได้ยินปลายสายขานรับงึมงัมๆในสายก่อนจะวางสายไป ทิ้งให้ตัวเองนั่งอึ้ง ได้แต่คิดทบทวนถึงนิยายเรื่องนั้นด้วยความกังวลใจไป
บ้าชะมัดเลย ทำไมเรื่องราวมันทะแม่งๆชวนให้คิดตามว่านี่คือเรื่องเดียวกันกับนิยายเรื่องเมื่อคืนยังไงไม่รู้ แล้วดูสิเอิ้นก็กำลังอยู่กับเด็กคนนั้นเหมือนตัวเอกทั้งสองในนิยายเรื่องนั้นแล้วด้วย แล้วเราล่ะ....เราคือนางร้ายของนิยายเรื่องนั้นจริงๆเหรอ...
แล้วจะเอาไง..จะปล่อยให้เอิ้นไปกับเด็กคนนั้น หรือว่าฉันจะตามเอิ้นไปตามบทของตัวร้ายดีล่ะ..
ไม่ใช่สิ เราไม่ใช่ตัวร้าย จำไว้ว่าเราไม่ใช่ตัวร้าย..เพราะฉะนั้นเลิกคิดแล้วเข้าห้องเรียนไปตั้งใจเรียนดีๆซะพะแพง
--<><><><>--
เฮ้..เอิ้น”
เสียงหวานๆดังเรียกสติเอิ้นที่กำลังนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดจ้องมองหน้าซีดๆเซียวของเด็กแว่นคนต่อหน้า และเมื่อละสายตาออกมาจากหล่อนได้ใบหน้าก็ผ่อนคลายทันทีที่เห็นว่าคนเรียกคือเพื่อนสาวคนสวยของตัวเองที่เดินยิ้มแหยๆดูหน้าตาไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่เลยเมื่อหล่อนเห็นเธอนั่งอยู่กับยัยเด็กแว่นข้างๆเข้า...
อ้าวพะแพง ไหนว่าจะเดินเข้าห้องแล้ว ทำไม..” ถามหล่อนไปทันทีเมื่อนึกถึงประโยคสุดท้ายของบทสนทนาในโทรศัพท์เมื่อครู่นี้ได้
คนโดนถามสะดุ้งโหยงก่อนจะแบ่งรับแบ่งสู้ตอบคำถามหล่อน เมื่อตัวเองไม่สามารถต่อกรกับความต้องการของก้นบึ้งลึกๆในหัวใจที่เรียกร้องให้มาหาหล่อนได้ คิดว่ายังไงขอมาเป็นไม้กันหมายังดีกว่านั่งโง่ๆอยู่ห้องไม่รู้สี่รู้แปดอะไรเลย เธอเลยจำเป็นต้องเปลี่ยนทิศทางจากเดินเข้าห้องเรียนกลายเป็นอาคารเรียนของยัยเด็กแว่นที่เธอถามหากับคนแถวๆนั้นเอา...
เอ่อ เค้าแวะมาหาน่ะ คิดว่าเผื่อเอิ้นจะมีอะไรให้ช่วย...”
ช่วยตัวเองไม่ให้แห้วล่ะสิไม่ว่า ยิ้มแหยๆทันทีที่ได้ยินความคิดของตัวเองขัดบทในใจ!! เรื่องของฉัน
ช่วยอย่างงั้นเหรอ” เอิ้นยิ้มงงๆ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าบางทีเพื่อนสาวอาจเป็นห่วงกลัวเธอมีเรื่องกับเด็กคนนี้เลยทำทีเป็นมาหาเธอมากกว่า คิดได้ดังนั้นเธอก็รีบเชิญชวนให้พะแพงมานั่งร่วมวงสนทนาด้วย
พี่พะแพง สวัสดีค่ะ...”เป็นเสียงทักทายจากผู้ร่วมสนทนาของเอิ้นที่นั่งอยู่ก่อนหน้านั้น และเมื่อพะแพงเห็นหล่อนยกมือไหว้ ใบหน้าไม่สู้ดีของตัวเองก็ออกอาการประหม่าด้วยทำหน้าไม่ถูกไม่รู้ว่าควรจะยิ้มสู้หรือยิงฟันให้หล่อนดี ได้แต่ยักเย้อยักย่นจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม จะบึ้งก็ไม่บึ้งจนเพื่อนตัวเองหันมาสังเกตุเห็นและทักเข้าเธอจึงรีบตั้งสติตอบรับหล่อนกลับ
หวัด..หวัดดีจ๊ะ ไงคะ ชื่อหลินใช่มั้ยเอ่ย...” กัดฟันยิ้มแหยๆในตอนที่ถามหล่อนคืน
ชะ..ชะ ใช่คะ”
เรียกยัยนี่ว่าลิงน้อยก็ได้ ลิงน้อยจอมกะล่อน”เจ้าของคำพูดทั้งพูดทั้งยื่นมือไปยีผมลิงน้อยของหล่อน ปล่อยให้พะแพงที่กำลังจะยิ้มทัก ได้แต่จ้องมองท่าทางกึ่งๆเอ็นดูอย่างนั้นด้วยใบหน้าเหวอๆน้ำตาก็แทบจะเล็ดออกมาทันทีที่เริ่มคิดอะไรขึ้นได้
ดะ..ดะ..เดี๋ยวนะ นี่..นี่..มีฉายาให้กันแล้วเหรอ นี่ถึงขนาดตั้งฉายาเอาไว้เรียกกันแค่สองคนแล้วอย่างนั้นเหรอ!!
กรี๊ดดดดด!!!
นั่นคือเสียงที่อยู่ในก้นบึ้งหัวใจลึกๆๆๆลึกจนเกือบจะมองไม่เห็น เพราะพะแพงคนสวยเรียบร้อยก็ไม่กล้าที่จะกรี๊ดออกมาอยู่ดีแม้สิ่งที่เห็นต่อหน้าต่อตาตอนนี้แทบจะทำให้เธอคลั่งจะตายอยู่แล้วก็ตาม
นี่เธอคบกับฉันมาตั้งแต่ป.1จนถึงม.6 เธอยังไม่เคยมีฉายาเรียกฉันสักทีเลยนอกจากชื่อ“พะแพง”และ “เค้ากับตัวเอง” ตามประสาเพื่อนๆพูดกันเท่านั้น แต่ทำไมยัยเด็กคนนี้ถึงได้คำหวานเฉพาะเจาะจงไปแล้วทั้งๆที่พึ่งจะรู้จักกันได้ไม่เท่าไหร่เลย ยิ่งคิดก็ยิ่งสะเทือนใจ และความสะเทือนใจที่พยายามเก็บกดไว้ด้วยใบหน้าหม่นๆน้ำตาคลอๆเหมือนคนจะร้องไม่ร้องแหล่ก็ทำให้เอิ้นผิดสังเกตุจนต้องร้องทักพะแพงขึ้นอีก
เฮ้ย พะแพงเป็นอะไรไปทำไมหน้าซีดเหมือนคนจะเป็นลมอย่างนั้น แล้วนั่นจะร้องไห้เหรอ”
สะดุ้งเล็กๆเมื่อโดนทักเรื่องน้ำตาก่อนจะรีบยื่นมือมาปัดป่ายร่องรอยออก
เอ่อ ปะๆเปล่า เอ่อ แค่ขำกับชื่อเรียกน้องเขาน่ะ ไปตั้งชื่อน้องเขาอย่างนั้นทำไม ชื่อดีๆก็มีให้เรียกอยู่..”
อยากเรียกอ่ะ จะเรียกอย่างนี้ล่ะจนกว่าจะพอใจ ใครจะทำไม” คนตอบทั้งพูดทั้งหันไปจ้องตาเด็กแว่น และมือก็ก็ดึงหูหล่อนด้วยความหมั่นไส้ไป ได้ยินเสียงร้องโอดโอยครวญครางทั้งการส่งสายตาเล็กตาน้อยออดอ้อนเพื่อนสาวคนสวยจากเด็กแว่นแล้ว ความหงุดหงิดเล็กๆก็เพิ่มขึ้นในใจพะแพงอีก
นี่มัน...ไม่น่าจะใช้แค่แกล้งจีบกันแล้วม้างงงงง พะแพงเอ้ย
โอ้ยยย อกอีกแป้นจะแตก ขืนดูอยู่อย่างนี้ใบหน้าหวานๆของพะแพงคงมีเส้นเลือดขอดขึ้นเต็มไปหมดแน่ๆ
ความดันๆๆๆ ตายๆๆๆ ทั้งคิดทั้งฝืนสะแหยะยิ้มภายใต้ใบหน้ามืดมัวของตัวเอง ตอนนี้พะแพงรู้ตัวว่าขืนอยู่ดูต่อตัวเองคงต้องได้ตรอมใจตายแน่ๆ...งื้อออ....
จ้องมองภาพเบื้องหน้าด้วยอาการทั้งน้อยใจทั้งเสียใจก่อนจะขอตัวเพื่อนกลับ แต่กระนั้นก็ยังไม่วายไปสังเกตุเห็นรอยแผลฝกช้ำแดงๆที่ริมฝีปากของยัยเด็กแว่นเข้า...และนั่นก็ทำให้พะแพงถึงกับเก็บมานั่งคอตกครุ่นคิดทั้งวันไม่เป็นอันทำอะไรอีกเลยแม้แต่การใช้สมาธิในการเรียนหนังสือทั้งๆที่เธอควรจะตั้งใจเรียนอย่างทุกวันแล้วแท้ๆ
เฮ้อ...เวรแล้วฉัน ไม่น่าไปหาเขาให้เห็นภาพบาดตาบาดใจอย่างนั้นเลย..พะแพงเอ้ยพะแพง
--<><><><>--
เสียงออดเลิกเรียนดังขึ้นพร้อมๆกับเสียงอึกกะทึกคึกโครมของเด็กนักเรียนที่พากันทั้งเดินทั้งวิ่งออกนอกโรงเรียนเพื่อกลับบ้านหรือทำกิจกรรมอื่นๆร่วมกันในยามเย็น เช่นเดียวกันกับที่เอิ้นรีบเดินเข้ามาบอกให้พะแพงกลับก่อนเพราะว่าเธอต้องไปทำธุระส่วนตัวของเธอต่อ
อ้าว ไม่กลับด้วยกันเหรอ...” ยืนยิ้มแห้งทันที จากที่กำลังยิ้มหวานเมื่อเห็นเพื่อนสาวคนที่ตัวเองแอบชอบเดินยิ้มร่าเข้ามาหาก่อนหน้านั้น พะแพงก็กลายเป็นผิดหวังเมื่อได้ยินคำบอกกล่าวของหล่อน
เอ่อ พอดีอาจารย์คนึงนิจเรียกน่ะ คงจะเรียกให้ไปแนะนำน้องที่แข่งคอสเวริ์ดน่ะ คิดว่าคงจะนานยังไงซะพะแพงกลับก่อนดีกว่าเค้าไม่อยากให้รอ”
อ๋อ...” ยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจ “แล้วไป...เค้าก็นึกว่าจะไปหา..”
หา..หาใคร เด็กคนนั้นน่ะเหรอ เฮ้ย ไม่แล้วล่ะ วันนี้เค้าปล่อยให้นางเป็นอิสระก่อน ได้แกล้งมาทั้งวันแล้วพอใจแล้ว”
หัวเราะหึทันทีเมื่อได้ยินว่าเอิ้นแกล้งยัยเด็กคนนั้นมาทั้งวันแล้ว
หึ..ใช่สินะ..แล้วเธอก็ปล่อยให้ฉันนั่งหงอยนั่งเศร้าอยู่คนเดียวกับกับข้าวโง่ๆที่สั่งมากินโดยที่ไม่มีใครกินเป็นเพื่อนอย่างทุกวัน ทั้งๆที่มันไม่เคยเป็นมาก่อน เธอและเอิ้นควรจะต้องนั่งกินข้าวด้วยกันอย่างมีความสุขแท้ๆ แต่ยัยเด็กแว่นนั่นกลับได้ตัวเพื่อนสาวเธอไปนั่งประกบตัวเช้ากลางวันเที่ยงและเกือบจะเย็นเสียด้วยซ้ำไปถ้าไม่ติดว่าเอิ้นโดนครูเรียกตัวไปเสียก่อนน่ะ
คิดแล้วก็น่าน้อยใจ และอาการน้อยใจก็แสดงออกทางสายตาของพะแพงให้เอิ้นได้สังเกตุเห็นอีกจนได้
เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมทำหน้าอย่างนั้น นี่งอนว่าไม่ได้กลับด้วยเหรอ..”
เหล่ตามองค้อนคนถามด้วยสายตาเคืองๆ “งอนสิ..ก็แต่ก่อนเค้าเคยกลับด้วยนี่ หึ..แต่ก็ช่างมันเถอะ ถ้าเอิ้นมีธุระก็รีบไปทำเถอะ”
อมยิ้มทันทีที่ได้ยินเสียงตัดพ้อน้อยใจของพะแพง “อะไรกันแค่นี้ทำเป็นงอน ในปีๆหนึ่งมีไม่ได้กลับบ้านด้วยกันแค่ไม่กี่วันเอง แถมเรายังมาโรงเรียนด้วยกันเกือบทุกวันอีก”
แต่ไม่ใช่วันนี้ป่ะ” คนตาหวานรีบเถียงคืนทันที
เอ๋า..ก็..ก็..ก็แค่วันนี้..”
แน่ใจเหรอว่าจะแค่วันนี้น่ะ” จ้องมองสายตาลังเลใจของเอิ้นด้วยอาการน้อยใจไป ยังไงๆซะเธอก็เลือกที่จะทำอะไรบ้าๆแผลงๆของเธออยู่อีกเหมือนเดิมนี่นา ฉันจะไปห้ามอะไรเธอได้เล่า..
ช่างมันเถอะ เค้ากลับก่อนแล้วกัน”
งั้นเดี๋ยวเย็นนี้เค้าโทรหานะ”
โทรหาทำไม ไม่ใช่แฟนสักหน่อย”
คนฟังชะงักจ้องมองพะแพงทันทีที่ได้ยินข้อความแปลกๆ ซึ่งก็ไม่ใช่เฉพาะเอิ้นหรอกที่งงกับคำพูดของหล่อน เพราะแม้แต่เจ้าของคำพูดยังงงใจว่าทำไมตัวเองถึงกล้าหลุดปากพูดประโยคที่สื่อความหมายแบบนั้นออกมาต่อหน้าเพื่อนสาวได้ ทั้งๆที่ตั้งใจไว้ว่าที่จะพูดมันออกมาให้หล่อนได้ยินแล้วแท้ๆ
เพราะถึงแม้พะแพงจะแอบรักเอิ้นยังไง เธอก็ไม่กล้าเปิดเผยความในใจตัวเองออกไปด้วยกลัวว่าสถานะทางใจของเพื่อนที่ตัวเองสนิทที่สุดและคบกันมาตั้งแต่ป.1จะเปลี่ยนแปลงไปเมื่อได้รู้ว่าเธอได้คิดกับหล่อนเกินเพื่อนไปแล้วน่ะสิ
ไม่ว่าฉันจะรู้สึกชอบเธอแค่ไหน หรือจะรักเธอยังไง แต่ถ้ามันจะทำให้ฉันต้องเสียเธอไปตลอดชีวิตแล้ว ฉันก็ขอไม่บอกคำว่ารักเธอออกไปดีกว่า ฉันยอมเก็บคำว่ารักเอาไว้ในใจดีกว่าจะต้องมาเสียใจเมื่อได้รู้ว่าเธอไม่ได้รักฉันอย่างที่ฉันฝัน...
นั่นคือสิ่งที่พะแพงเฝ้าแต่นึกในใจตลอดระยะเวลา12ปีก่อนหน้านั้น
เอ๋..ทำไมพะแพงพูดอะไรแบบนั้นล่ะ”เสียงเอิ้นดังเข้ามาในห้วงความคิด..
เอ่อ..ไม่มีอะไรหรอก เค้าหมายถึงไม่ต้องโทรหาเค้าหรอกเราไม่ใช่แฟนอย่างที่พวกชอบจิ้นเรามโนสักหน่อยไม่ต้องโทรมาก็ได้ แค่นี้ก็วุ่นวายพอแล้ว เดี๋ยวเอิ้นก็ลำบากไปตามจองล้างจองผลาญพวกนั้นอีก” ยิ้มหวานกลบเกลื่อนสายตาน้อยใจตัวเองก่อนจะบอกลาเพื่อนสาวที่พยักหน้างึกๆงักๆรับคำแล้วไปทำธุระของหล่อนต่อ ทิ้งให้พะแพงเดินออกจากโรงเรียนเหงาๆพร้อมๆกับความคิดฟุ้งซ่านที่แอบบ่นให้ตัวเองที่เผลอหลุดปากพูดอย่างนั้นกับหล่อนไปได้อย่างไร ถ้าเกิดเอิ้นรู้ว่าตัวเองมีใจให้แล้วเธอจะทำอย่างไรต่อไปดี คิดเล็กคิดน้อยตามประสาสาวน้อยช่างมโนไปเรื่อยจนกระทั่งสายตาไปเจอกับบางคนเข้า
เอ๋.. เด็กคนนั้นนี่...หยุดยืนอึ้งทันทีที่เห็นหลินกำลังเดินแบกของดุ่มๆออกมาจากทางเดินอีกฝั่งหนึ่งของโรงเรียน ในใจก็กำลังคิดสับสนถึงสิ่งที่ทำให้เธอครุ่นคิดกังวลใจจนไม่มีสมาธิที่จะเรียนเลยทั้งวัน กระทั่งทนไม่ไหวต้องตัดสินใจเดินตรงเข้าไปถามเด็กคนนั้นให้หายคาใจดีกว่าจะมาคาดเดาไปเองจนประสาทจะกินหัวเธออย่างนี้
หลิน..” ค่อยๆเรียกหล่อนด้วยเสียงหวานๆพร้อมๆกับรอยยิ้มแห่งความเป็นมิตรที่เธอมักจะหยิบยื่นให้กับทุกๆคนที่อยู่โรงเรียนเสมอจนเธอได้ฉายาจากเด็กนักเรียนที่นี่ว่า “นางฟ้าบนดิน”หรือ “รอยยิ้มแห่งวีนัส
คะ!!??” คนโดนเรียกหยุดชะงักพร้อมๆกับดวงตาเบิกโพลงกว้างขึ้นอีกครั้งเมื่อหันมาเห็นว่าเป็นเพื่อนสาวคนสนิทของรุ่นพี่จอมโหดที่แกล้งเธอไม่หยุดสักทีในช่วงนี้ เฮ้ย! ไหนบอกว่าวันนี้จะยอมปล่อยให้กลับบ้านดีๆแล้วไง แล้วไหงส่งตัวแทนมาอีกล่ะ นั่นคือสิ่งที่หล่อนคิดในขณะที่กำลังเก้ๆกังๆว่าจะหยุดคุยหรือจะรีบวิ่งหนีหล่อนไปอีกคนดี
ทำไมหน้าซีดแบบนั้น เป็นอะไรหรือเปล่าจ๊ะ” เมื่อเห็นอาการหน้าซีดๆและท่าทางแบ่งรับแบ่งสู้ของหล่อน คนมาถามก็พยายามทำใจดีเข้าสู้ หวังว่าหล่อนคงจะคลายใจและเบาใจลงเมื่อเห็นว่าเธอมาดีและไม่ได้คิดร้ายใดๆต่อเธอเลย
เอ่อ ปะๆเปล่าค่ะพี่ หนูแค่เหนื่อยนิดหน่อยค่ะ”
เหนื่อยนิดหน่อย..” อมยิ้มเล็กๆ ท่าทางยังเป็นมิตรเช่นเคย “โดนเอิ้นแกล้งมาทั้งวันล่ะสินะ”
ค่ะ ประมาณนั้นล่ะค่ะพี่”
แย่หน่อยนะช่วงนี้ เอิ้นเขาก็เป็นคนแบบนี้ล่ะ ถ้าโกรธหรือไม่พอใจอะไรขึ้นมาเขาก็จะพยายามหาทางเอาคืนด้วยวิธีแสบๆของเขาเสมอนั่นล่ะ หวังว่าคงไม่โกรธเขาหรอกใช่มั้ย”
ได้ยินน้ำเสียงอ่อนโยนของพี่สาวแสนสวยตรงหน้าแล้วหลินก็ได้แต่ยิ้มแหยๆแทนคำตอบในใจที่คิดได้แค่ว่าจะให้หายโกรธง่ายๆได้ไงฟะโดนแกล้งซะขนาดนั้นน่ะ
กำลังจะขอตัวพี่สาวคนสวยต่อหน้ากลับเพราะไม่อยากจะคุยอะไรกับหล่อนต่อด้วยไม่ไว้ใจกลัวหล่อนจะหาเรื่องแกล้งเธออีกคน ต่หล่อนก็ดันยื่นมือมาจับหน้าผากที่ติดปลาสเตอร์ปิดแผลด้วยท่าทางเหมือนกำลังเป็นห่วงให้เธอต้องอึกๆอักๆหยุดยืนอยู่ต่อหน้าด้วยความเกรงใจอีกครั้ง
นี่แผลวันนั้นใช่มั้ย วันที่เอิ้นแกล้งให้เราล้มอยู่ใต้อาคารน่ะ”
เอ่อใช่ค่ะ” หน้าแดงนิดๆเมื่อเงยหน้าขึ้นไปแล้วเห็นสายตาสวยกำลังจ้องมองด้วยความอ่อนโยนโดยที่ไม่รู้ตัวว่าอีกคนกำลังเริ่มแผนการหลอกเอาความลับอะไรกับตัวเองอยู่
“..ขอโทษแทนเอิ้นอีกครั้งแล้วกันนะ พี่ก็ห้ามเขาแล้วแต่เขาไม่ฟังพี่เลย รั้นแต่จะทำอย่างเดียว เออ..แล้วแผลที่ปากเรานี่มาจากไหนเหรอ..” เลื่อนมือลงมาที่ริมฝีปากเด็กสาวในขณะที่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทั้งสงสัยทั้งเป็นห่วงอีก
คนโดนถามยิ้มแหยๆไม่กล้าตอบคำถาม จนพะแพงต้องถามย้ำอีก
อย่าบอกนะว่าเอิ้นทำอีกน่ะ”พยักหน้าแหยๆของตัวเองเมื่อได้ยินพี่สาวคนสวยถามคำถามจี้อีกครั้ง
ทำอะไรอ่ะ เอิ้นทำอะไรกับปากหลินอย่างนั้นเหรอ
เอ่อ..”หยุดชะงักอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะค่อยๆเรียบๆเคียงๆบอกด้วยท่าทางเนียมๆอายๆ “พี่เขากัดหนูน่ะค่ะ..”
กัด?? กัดปากนี่นะ..คนถามคิ้วขมวดทวีความสงสัยขึ้นด้วยระดับสูงปรี๊ด ..เดี๋ยวนะถ้ากัดปาก..ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า หมายความว่า...
อย่าบอกนะ..ว่า..เอิ้น..จูบ..หลิน..น่ะ..”
ค่ะ พี่เอิ้น..เขาจูบหลินค่ะ
--<><><><>--
แสงไฟสาดส่องพื้นผนังสีชมพูพลาสเทลที่ถูกออกแบบและตกแต่งให้ส่วนประกอบต่างๆในห้องมองดูสวยน่ารักแถมยังมีความหรูหราซ่อนอยู่ในมุมต่างๆสมกับที่เป็นห้องนอนของลูกสาวสุดที่รักของทหารยศนายพลที่มีทั้งอำนาจและความมั่งคั่งทางการเงินอยู่ในตัว
แต่ถึงห้องนอนจะให้ความรู้สึกน่ารักและสดใสสร้างความกระชุ่มกระชวยให้คนอยู่ยังไง กระนั้นพะแพงหญิงสาวเจ้าของห้องกลับเดินไหล่ห่อเข้ามานอนทิ้งตัวบนเตียงสีชมพูของตัวเองอย่างไร้เรี่ยวแรงทันทีที่ปิดห้องลงไปได้แล้ว
โอย เขาจูบกันแล้ววววว เขาจูบกันแล้ววววว ชั้นจะทำยังไงดีเนี่ย...
นั่นคือสิ่งที่เด็กสาวเฝ้าแต่คิดพร่ำเพ้อในขณะที่มือก็จิกรั้งผ้าปูที่นอนด้วยท่าทางหัวฟัดหัวเหวี่ยงทั้งหงุดหงิดและโมโห ใจก็เอาแต่โทษตัวเองว่าไม่น่าปล่อยให้สองคนนี้ใกล้ชิดกันได้เลย
ไม่สิ ฉันไม่ได้ปล่อยให้เอิ้นใกล้ชิดเด็กคนนี้ด้วยซ้ำ หล่อนเป็นคนเดินเข้าไปหาเขาเองนี่นา บ้าชะมัดเลยยิ่งนึกก็ยิ่งเสียใจยิ่งโมโห และความโมโหที่มาพร้อมๆกับคำว่าทำอะไรไม่ได้เลยในเมื่อเธอไม่ได้เป็นอะไรกับหล่อนยิ่งทำให้เธอหงุดหงิดเข้าไปอีก..
ยิ่งนึกถึงคำที่เด็กคนนั้นเล่าให้ฟังว่าเอิ้นเป็นคนจูบหล่อนตั้งแต่วันแรกที่เจอด้วยซ้ำแล้ว..เส้นเลือดในสมองของเธอก็สูบฉีดรุนแรงจนใบหน้าและลูกตาเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงเถือกด้วยความร้อนผ่าวจากไฟรักสุมอกจนแทบจะมอดไหม้ลงไปเสียให้ได้ ซึ่งแค่เธอได้ยินที่เด็กคนนั้นสารภาพในตอนนั้นเธอก็แทบจะเดินเซออกมาจากหล่อนโดยไม่ได้บอกกล่าวคำลาอะไรหล่อนเลย เอาแต่เดินเหม่อๆเอ๋อๆจนกระทั่งขึ้นรถเมลล์กลับบ้านผิดสาย ซ้ำร้ายยังต้องรอรถสายใหม่ที่จะกลับมาที่บ้านเป็นชั่วโมงสองชั่วโมงอีก
รู้งี้ให้คนขับรถไปรับก็ดี...เพราะมัวแต่อยากไปโรงเรียนและกลับบ้านกับเอิ้นทุกๆวันคุณหนูอย่างเธอเลยต้องมานั่งรถเมลล์แล้วขึ้นผิดๆถูกๆสายอยู่อย่างนี้เวลาที่ไม่มีใครนั่งไปด้วย วันดีคืนดีก็แค่เลยป้ายแต่ถ้าโชคร้ายหรือไม่มีสติหน่อยเธอก็ต้องนั่งรถอ้อมโลกไปจนเกือบสุดเมืองอย่างที่เห็นนี่ล่ะ
ขอบคุณที่เธอทนอยู่ในวันดีๆอย่างนี้ได้อีกวันนะพะแพง!! ขอบคุณที่ไม่เป็นลมหรือหลุดกรี๊ดดังๆออกมาเสียก่อน!!
นั่นเป็นสิ่งที่เธอพยายามบอกใจให้คิดบวกเข้าไว้แม้จะรู้สึกแย่แค่ไหนก็ตามในวันเฮงซวยอย่างนี้ แม้เรื่องที่ได้ยินและเห็นต่อหน้าในวันนี้ทั้งวันแทบจะทำให้เธอเป็นลมให้ได้ยังไงเธอก็ยังพยายามฝืนร่างตัวเองไว้ด้วยความมีสติของเธอ ยิ่งเรื่องหลังที่ว่าแม้จะอยากกรี๊ดยังไงเธอก็ไม่กล้ากรี๊ดออกมา นั่นก็เป็นเพราะว่ามันไม่ใช่แนวของพะแพงเลยน่ะสิ ใช่..เพราะพะแพงคนสวยไม่ใช่สายกรี๊ดสายหวีด หรือเป็นผู้หญิงจำพวกที่เห็นอะไรไม่ชอบใจไม่เข้าท่าแล้วจะเหวี่ยงจะวีนและกรี๊ดแตกอย่างนางร้ายในละคร นั่นเลยทำให้เธอแอบเชื่อในใจลึกๆว่าแม้เรื่องราวที่เห็นมันจะชัดเจนเหมือนนิยายเรื่องนั้นยังไงก็ตาม แต่ความดีงามในตัวเธอเองที่เธอคิดเอาเองว่าเธอเป็นคนดีนั่นล่ะจะพิสูจน์ว่ายังไงๆเธอต้องไม่ใช่นางร้ายแน่ๆ
ถึงฉันจะไม่ใช่นางเอกยังไง แต่ฉันก็ไม่ใช่นางร้ายชัวร์
ไม่สิ..จริงๆก็อยากเป็นนางเอกอยู่นะ..ถ้าเป็นได้น่ะ...แอบคิดด้วยความหวัง ก่อนจะกลายเป็นน้อยเนื้อต่ำใจเมื่อนึกถึงพระเอกของเรื่องเข้า..
ดูเถิด..แม้กระทั่งตอนนี้หล่อนก็ยังไม่สนใจใยดีจะโทรหาเธอเลย ทั้งๆที่บอกว่าเย็นแล้วจะโทรหาแท้ๆแต่ก็...เฮ้ออออ...
ฉันไม่น่าไปห้ามเขาไม่ให้โทรหาเลย.. รู้งี้..ไม่เล่นตัวดีกว่า...
แอบคิดถึงท่าทางยโสโอหังของตัวเองเมื่ออยู่ต่อหน้าเพื่อนรักแล้วก็ได้แต่กลุ้มใจ ทำไมนะเวลาที่อยู่ต่อหน้าเอิ้นอาการที่เธออยากจะแสดงอะไรกับหล่อนจะกลายเป็นฝืนๆเก๊กๆไปเกือบทุกครั้ง ทั้งเวลาที่อยากให้หล่อนกอดหรือหอมเหมือนๆกับตอนเป็นเด็ก เธอก็ยังต้องเก๊กห้ามเพื่อนไว้ไม่ให้ทำอย่างนั้นแม้ใจจริงๆอยากให้หล่อนทำแค่ไหนก็ตาม
จริงๆแล้วถ้าเราไม่ใช่เพื่อนสนิทกันมันคงจะดีกว่านี้นะ
ความรู้สึกต่างๆมันคงจะแสดงออกมาได้ดีกว่าที่เป็นในตอนนี้เสียอีก...ทั้งคิดทั้งเหม่อมองไปที่โทรศัพท์ หัวใจก็เริ่มคิดถึงเจ้าของคำพูดที่ว่าจะโทรหาตัวเองจนทนไม่ไหว ได้แต่ชั่งใจว่าหรือตัวเองจะโทรไปหาดีมั้ย คิดเล็กคิดน้อยด้วยเหตุผลว่าตัวเองเป็นคนสวยควรจะมีศักดิ์ศรีและควรจะไว้ตัวไม่ควรจะเสนอตัวไปหาเขาง่ายๆด้วยการโทรไปหาเขาก่อนอะไรทำนองนั้นอยู่ครู่นึง ภาพมโนของการจูบของเอิ้นและเด็กแว่นก็ทำให้เธอรีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาทันทีด้วยกลัวว่าขืนยังเล่นตัวอยู่อย่างนี้มีหวังยัยเด็กแว่นได้ตัวเอิ้นไปครองจริงๆแน่ล่ะทีนี้
กดโทรออกหมายเลขในใจออกไปแต่ปลายสายกลายเป็นสายไม่ว่าง...
ทำไมสายไม่ว่างล่ะ...นั่งอึ้งมองโทรศัพท์อยู่ครู่หนึ่งปลายสายก็โทรกลับมา
พะแพง ว่าไง มีอะไรเหรอเมื่อกี้เค้าติดสายอยู่”
ติดสายอยู่??..” แค่ได้ยินว่าติดสายอยู่ สกิลแห่งการจับผิดก็ทำให้รีบถามหล่อนออกไปทันที “อย่าบอกนะว่าคุยกับหลินน่ะ”
เออ ใช่ กำลังคุยกับยัยลิงน้อยอยู่ จะดูว่าหล่อนกลับบ้านหรือยังหรือแอบไปไหนทำอะไรอีกน่ะ”
แทบจะเงิบแล้วเงิบอีกเมื่อได้ยินคำตอบเพื่อนสาว แค่คำตอบที่ยอมรับว่าใช่..หล่อนคุยกับยัยเด็กแว่นนั้นอยู่ก็แทบทำให้เธอน็อคล้มตึงลงไปกับที่นอนในยกแรกแล้ว หนำซ้ำยังได้ยินคำเรียกแทนกันด้วยชื่อหวานๆอีก แล้วยังจะเช็คเวลากลับบ้านกันอีก โอ้ยย ใจพะแพงอยากจะเขวี้ยงโทรศัพท์ทิ้งทันทีถ้าไม่ติดกับความคิดที่ว่า เธอไม่ใช่นางร้ายและไม่จำเป็นต้องโมโหขนาดนั้นด้วย เข้าใจมั้ยยยย!!
สูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ๆ ก่อนจะกัดฟันทำเสียงสดใสตอบกลับไปยังปลายสาย
หรอ..ว่าแล้วเชียว ไอ้เราก็เป็นห่วงนึกว่าเป็นอะไร เห็นบอกจะโทรหา นึกว่าจะโทรถามว่ากลับบ้านหรือยังเหมือนลิงน้อยของเอิ้นซะอีก”
อ้าว...ก็ไหนบอกไม่ให้โทร เค้าก็ไม่โทรสิ โทรไปเดี๋ยวก็ว่าเค้าอีก”
ว่า??...หึ!..ว่าอะไร เค้าจะว่าอะไรเอิ้นมิ๊ร๊าบบบ
ก็ว่า..อ้าวเฮ้ย!? แล้วทำไมต้องทำเสียงสูงอย่างนั้นด้วย นี่พูดๆอยู่เหมือนกำลังโกรธอะไรเค้าอยู่ด้วยซ้ำ ทำไม มีอะไรหรือเปล่านี่ ตกลงโทรมาหาทำไม เป็นอะไร ใครทำอะไรพะแพงอีกบอกเค้ามา เดี๋ยวเค้าจะจัดการให้”
ยัยลิงน้อยเธอนั่นล่ะที่ทำให้อารมณ์ฉันหงุดหงิดอยู่นี่ จัดการได้มั้ยล่ะ!
นั่นคือสิ่งที่เธอคิดในขณะที่ทำปากมุบมิบ ด้วยคันปากอยากบอกปลายสายออกไปแต่ใจไม่กล้า ได้แต่นั่งเขี่ยผ้าปูเตียงเงียบๆไปไม่ส่งเสียงอะไรเลยจนปลายสายต้องถามย้ำ
พะแพงเป็นอะไร ตกลงเป็นอะไรอีกคะคุณหญิง”
ไม่ได้เป็นอะไร แค่นี้ล่ะ แค่โทรมาเช็คเฉยๆว่ากลับถึงบ้านหรือยัง ถ้ากลับแล้วก็แล้วไป”
อ้าว..ก็..” ยังไม่ทันที่ปลายสายจะตอบกลับอะไรเธอก็กดตัดสายโทรศัพท์ทิ้ง มิหน้ำซ้ำอาการงอนน้อยใจเพื่อนรักยังทำให้เธอถึงกับปิดเครื่องเพื่อกันไว้ไม่ให้หล่อนโทรเข้ามาหาเธอได้อีก
น็อยย..นี่เป็นห่วงเด็กคนนั้นว่าจะกลับบ้านตอนไหนแต่ไม่ได้สนใจใยดีฉันเลยอย่างนั้นเร๊อะ น้ำตาแห่งความน้อยใจพรั่งพรูออกมาทันทีเมื่อคิดได้ว่าเธอไม่ได้มีความสำคัญเท่ากับเด็กคนนั้นเลย บ้าชะมัดเลย..แล้วนี่ทำไมฉันต้องมาร้องไห้ให้เธอหนักขนาดนี้ด้วยนะเอิ้น ทั้งๆที่เราไม่ได้เป็นอะไรกันแท้ๆ และตัวเองก็ไม่เคยคิดที่จะสารภาพรักกับหล่อนเลยด้วยซ้ำ นี่ฉันจะต้องอกหักทั้งๆที่ยังไม่ได้เริ่มรักเธอเลยจริงๆอย่างนั้นเหรอ
ทั้งคิดทั้งร้องไห้ฟูมฟาย หวังว่าน้ำตาแห่งความน้อยใจจะช่วยชะล้างใจให้หายฟุ้งซ่านเสียที
--<><><><>--
วันนี้มาคนเดียวอีกแล้วเหรอจ๊ะพะแพง แฟนไปไหนแล้วล่ะ ทำไมไม่ค่อยเห็นไปไหนมาไหนด้วยกันเลยเดี๋ยวนี้”
เสียงเพื่อนร่วมห้องแซวพะแพงในห้องเรียนตอนเช้าของวันใหม่ ทำเอาคนโดนแซวหยุดชะงักด้วยทั้งเขินและทั้งสะเทือนใจในคราวเดียวกันจนใบหน้าเหวอบอกอารมณ์ไม่ถูกเลยทีเดียว..
เอ่อ..ไม่รู้เหมือนกัน เค้าก็ไม่ค่อยได้เจอเอิ้นเลยช่วงนี้” ยิ้มแหยๆให้เพื่อนคนนั้นเมื่อตอบคำถามที่สื่อถึงแฟนในโลกโซเซี่ยลของเธอ ที่แน่นอนว่านอกจากพวกเธอจะถูกบรรดาชาวเน็ตแซวว่าเป็นคู่จิ้นที่สวยน่ารักสมกันที่สุดแล้ว บรรดาเพื่อนร่วมห้องของพวกเธอก็ต่างมีความเห็นไม่ต่างจากโลกออนไลน์เลย
แรกๆพวกเธอก็ขำดีอยู่หรอก กับการมีชื่อเสียงจากข่าวคู่จิ้น แต่หลังๆเมื่อมีภาพของเธอแพร่หลายออกไปหลายๆสื่อกลายเป็นว่าเธอโดนหลายๆคอมเมนต์เทะโลมส่อเสียดไปทางลามกอนาจารและคุกคามเรือนร่างพวกเธอมากกว่าจะบอกว่าเธอน่ารักสดใสแบบเด็กๆ
บางคอมเมนต์ลามปามเลยเถิดไปขนาดที่ว่า หากพวกเธอได้ผู้ชายสักครั้งคงจะติดใจและลืมลีลาการตีฉิ่งกันไปเลย
แน่นอนว่ามีบางคนเป็นเดือดเป็นร้อนกับคอมเมนต์พวกนั้นมาก..โดยเฉพาะเอิ้น
ซึ่งเวลาที่เอิ้นโมโหโกธาพวกบ้ากามพวกนั้น มันก็ทำให้พะแพงรู้สึกตะขิดตะขวงใจที่จะแอบคิดเกินเลยกับเพื่อนไป ในเมื่อเพื่อนอาจจะไม่ได้คิดอะไรอย่างที่ตัวเองคิด หล่อนเลยเป็นเดือดเป็นแค้นพวกนั้นนัก...
อ้าวเหรอ เออ..นี่..เห็นวันก่อนเอิ้นน่ะ..” เพื่อนคนนั้นทำท่าจะกระซิบกระซาบฟ้องอะไรกับพะแพงต่อ แต่เสียงกระแอมของคนที่สามในบทสนทนาก็ดังเตือนสติให้เพื่อนคนนั้นหันไปยิ้มแหยๆให้หล่อนก่อน
นินทาอะไรมิทราบจ๊ะ”
อุ๊ย..เปล่า..” เพื่อนคนนั้นยิ้มกรุ้มกริ่มก่อนจะเปลี่ยนมาแซวคนทักต่อ “เอ้อ..ได้ข่าวว่าได้เมียใหม่แล้วนี่เธอ” แน่นอนว่าพะแพงสำลักทันทีที่ได้ยินคำถามนั้น
เมียใหม่ก็ส่วนเมียใหม่สิ นี่เมียใหญ่ส่วนนั่นเมียน้อย” คนโดนถามทั้งพูดทั้งเดินมาโอบกอดคอพะแพง จนคนโดนกอดน่าแดงฉ่า ได้แต่พยายามปัดป้องเอามือของหล่อนออกจากตัวแต่กลับโดนหล่อนกอดรัดยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
นี่ไม่ต้องมาฟ้องอะไรเมียเราเลยนะ เราขออนุญาติเมียเราแล้วใช่มั้ยคะที่รัก” หันมายิ้มหวานมองใบหน้าพะแพงที่แดงแล้วแดงอีกไม่รู้จะตอบรับหล่อนว่าอะไร ได้แต่งึกๆงักๆพยักหน้ารับมุกแล้วบอกให้หล่อนปล่อยตัวเองเสียที
แต่อย่านึกว่าคนกอดจะยอมปล่อยง่ายๆ เพราะพอเพื่อนคนนั้นเดินหนีไปทิ้งให้พวกเธออยู่กันสองต่อสองหล่อนกับกอดพะแพงแน่นกว่าเดิม ซ้ำยังโน้มหน้าลงมาขโมยหอมแก้มเธอฟอดใหญ่ๆอีกหลายๆฟอดอีก
โอ๊ยยย!!” พะแพงตาเหลือกมองคนขี้ขโมยยิ้มกรุ้มกริ่มหัวเราะคิกๆอยู่ต่อหน้า
ทำอะไรน่ะ นี่บอกแล้วใช่มั้ยว่าห้ามหอมอย่างนี้ต่อหน้าคนอื่นอีกน่ะ” ทำเสียงดุๆห้วนๆต่อว่าหล่อน ทั้งที่ในใจกระดี๊กระด๊าเต็มที่ ได้แต่นับ1-10ด้วยกลัวว่าจะหลุดยิ้มให้หล่อนไป ให้ตายเถอะอุตสาห์ตั้งใจไว้ว่าวันนี้ทั้งวันจะเก๊กโกรธหล่อนให้ได้แล้วแท้ๆ ไม่ได้นะพะแพง อย่าเผลอใจอ่อนเชียว คิ้วขมวดมองหน้าหวานๆของเอิ้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสะบัดหน้าหนีไปตั้งหลักนั่งหันหลังกอดอกให้หล่อนต่อ..
อะไรกัน ยังโกรธไม่หายอีกเหรอ เอ้อไม่สิ..ตกลงพะแพงโกรธอะไรให้เค้า เค้ายังไม่รู้เลยนะนี่ เมื่อวานโทรหาก็ปิดเครื่อง จะคุยก็ไม่คุย จะเคลียร์ก็ไม่เคลียร์” คนขโมยหอมแก้มยืนต่อว่า ก่อนจะนั่งลงกับเก้าอี้ของตัวเองแล้วกอดอกนั่งมองอีกคนที่ยังคงนั่งหันหลังให้เธอไม่ยอมหันมามองกันบ้างเลย
อะไรกันน่ะ..” แอบบ่นงึมๆงัมๆให้หล่อนเมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับใดๆกลับมา ก่อนจะมองซ้ายมองขวาแล้วยื่นมือไปเขี่ยปลายผมหางม้าของหล่อนเล่น เขี่ยๆเล่นๆอยู่ครู่หนึ่งด้วยหวังว่าหล่อนจะหันมาบ้าง แต่จนแล้วจนรอดแม่สาวขี้ใจน้อยก็ไม่ยอมแม้แต่จะแยแสดูเธอเลย
เฮ้อ.. อะไรกันนักกันหนานะ เมื่อคืนก็ไม่ได้นอนทั้งคืน...ง่วงนอนจะตายอยู่แล้ว~~งึมๆๆ..” ทั้งพูดทั้งบิดขี้เกียจและทำท่าหาวหวอดๆจนคนนั่งหันหลังก็อดที่แอบชำเลืองมาดูหล่อนไม่ได้เมื่อได้ยินคำว่าไม่ได้นอน ซึ่งแน่นอนว่าว่าเอิ้นก็แอบมองเห็นท่าทางเก๊กๆแอบมองของคนนั่งหันหลังเช่นเดียวกัน...
เฮ้อง่วงนอนจังเลย รู้งี้น่าจะนอนตั้งแต่หัววันดีกว่าไม่น่าโทรตามคนขี้งอนที่ปิดเครื่องหนีเค้าเลย..” คนฟังชะงักทันทีเมื่อได้ยินเสียงคนด้านหลังบ่นพึมๆพัมๆอีกครั้ง “..ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้นางฟ้าใจดีคนเดิมเป็นอะไรไปนะ รู้สึกว่าจะอารมณ์เสียบ่อยๆ สงสัยไม่ค่อยได้น้ำตาล”
ใกล้แล้ว..ใกล้ที่พะแพงจอมเก๊กจะหลุดยิ้มแล้วล่ะ ด้วยเพราะคำพูดของเอิ้นที่มาพร้อมๆกับการเขี่ยๆไถๆหลังของเธอก็พอจะทำให้เธอรู้ว่าหล่อนกำลังหมายถึงใคร และถึงจะหน้าบึ้งหรือตั้งใจโกรธขนาดไหนแต่เมื่อปลายหางตาของพะแพงหันไปเห็นชอคโกแลคทอบบาโลนสีขาวค่อยๆเคลื่อนตัวผ่านโต๊ะมาหยุดที่ต่อหน้าแล้วเธอก็รีบหันใบหน้าที่จะยิ้มไม่ยิ้มแหล่ไปหาที่มาของมันทันที
อ๊ะ ซื้อน้ำตาลมาฝาก อารมณ์ไม่ดีอย่างนี้ต้องกินชอคโกแลคนะรู้มั้ย เค้าอุตสาห์แวะเซเว่นซื้อมาฝากเมื่อเช้า” เจ้าของมือที่กำชอคโกแลคทอบบาโลนค้างไว้ยิ้มหวาน สายตาก็จ้องมองมาที่พะแพงที่หลุดยิ้มแล้วก็ยิ้มอีก ยิ้มอย่างที่ไม่เคยยิ้มมาก่อนเลยในช่วงระยะเวลาหลังๆมานี่ หลังจากที่พวกเธอสองคนมีข่าวคู่จิ้นออกมา
ซึ่งเหตุผลที่ทำให้พะแพงหลุดยิ้มออกมาก็ใช่ว่าจะมาจากแท่งชอคโกแลคซะทีเดียว ในเมื่อหันไปมองมือของหล่อนที่กำแท่งชอคโกแลคค้างไว้แล้วยังมองเห็นบางอย่างที่ดูยังไงก็ไม่เข้ากันกับคนสวยท่าทางทันสมัยและเป็นแฟชั่นนิสต้าตัวยงอย่างเอิ้นเอาซะเลย แต่หล่อนก็ยังคงนำมันมาติดตัวเสมอแม้คนอื่นจะแซวว่ามันเชยแสนเชยและไม่เข้ากับตัวหล่อนยังไงก็ตาม
ภาพนาฬิกาพลาสติกสีชมพูลายมินนี่เมาส์ที่ยังคงอยู่ที่ข้อมือหล่อนตลอด ตั้งแต่ที่เธอซื้อให้หล่อนเป็นของขวัญวันเกิดตอนป.3 แน่นอนว่ามันดูฮิตและแพงมากในยุคนั้นเพราะมันคือของลิขสิทธิ์แท้ชิ้นแรกที่เธอตั้งใจเก็บตังซื้อให้หล่อน แต่พอเวลาผ่านล่วงเลยมา แทนที่หล่อนจะเลิกใส่แม่เจ้าประคุณก็ดันใส่มันไว้ตลอดไม่ยอมถอดเปลี่ยนสักทีแม้ว่าจะมีของขวัญชิ้นไหนที่ทันสมัยดูดีกว่านี้แล้วก็ตาม
ของขวัญชิ้นแรกจากเพื่อนรักจะให้ถอดทิ้งง่ายๆได้ยังไง และที่สำคัญเค้าใส่จนติดแล้วด้วย ไม่มีไอ้นี่ก็มาโรงเรียนไม่ได้” นั่นคือสิ่งที่หล่อนบอกเหตุผลกับพะแพงตอนที่เธอถามหล่อนว่าทำไมไม่เปลี่ยนอันใหม่ใส่เสียทีเล่นเอาคนฟังยิ้มแล้วยิ้มอีก ยิ้มจนแก้มปริเหมือนกับตอนนี้ที่เธอกำลังรับแท่งชอคโกแลคแท่งนั้นมาถือไว้แล้วนั่นล่ะ
หายโกรธแล้วใช่มั้ย” เจ้าของชอคโกแลคยิ้มหวานถามพะแพงด้วยเสียงออดอ้อนอีกครั้ง ทั้งๆที่จริงตั้งใจว่าจะถามว่าโกรธอะไรมากกว่าแท้ๆ แต่นึกๆดูแล้วเอาเป็นว่าเธอง้อพะแพงโดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองผิดอะไรเลย มันคงจะทำให้สถานการณ์ตึงเครียดในตอนนี้ผ่อนคลายลงไวกว่านี้แน่ๆ
คนรับชอคโกแลคพยักหน้างึกงักๆโดยที่ใบหน้าก็แกล้งกลับมาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เหมือนเดิมอีก เธอหยิบมันขึ้นมาอ่านนั้นอ่านนี้อยู่ครู่หนึ่งก็นึกอะไรขึ้นได้..
ทำไมต้องซื้อสีขาวมา”
ก็..ไม่มีอะไรมาก แค่อยากให้ใจดีๆใจเย็นๆเหมือนแม่ชีเลยซื้อสีขาวมาให้”
บ้า” ยื่นชอคโกแลคไปเคาะหัวเพื่อนสาวทันทีที่ได้ยินคำตอบ “คิดได้เนาะ”
ก็จริง เดี๋ยวนี้พะแพงหงุดหงิดง่ายมากๆเลยรู้มั้ย เค้าอยากให้พะแพงใจดีๆใจเย็นๆเหมือนแต่ก่อนให้มาก เค้าไม่ชอบพะแพงเวอร์ชั่นนี้เลย เค้าเดาใจไม่ถูก ไม่รู้ว่าพะแพงเป็นอะไร” คนตอบทำสายตาออดอ้อนตอนที่ถามคำถามหลังนั่น
ก็เปล่า ไม่ได้เป็นไรหรอก..” ยังเก๊กเสียงตอบเหมือนเดิม “สงสัยไม่มีเพื่อนกินข้าวเหมือนแต่ก่อนมั้ง”
หลุดขำทันทีที่ได้ยินคำตอบ “แค่ไม่กินข้าวด้วยวันเดียวเองเนี่ยนะ”
พะแพงหันหน้าค้อนๆตาเหลือกมามองเพื่อนเมื่อเห็นว่าหล่อนกำลังตลกกับสิ่งที่เธอจริงจัง จนอีกคนหุบยิ้มเลิกขำแล้วเก๊กซีเรียสคุยกับเธอต่อ...
อ๊ะๆก็ได้ๆงั้นเดี๋ยววันนี้ไปกินข้าวด้วยนะ โดดไปกินตั้งแต่ห้าโมงเลย นั่งกินตั้งแต่ห้าโมงจนถึงบ่ายเลยดีมั้ยชดเชยที่เมื่อวานเค้าไม่ได้กินด้วย”
บ้า” ได้ยินคำตอบที่เหมือนประชดแล้วพะแพงก็ได้แต่แก้มอมลมงอนตุ๊บป่องต่อ แต่ในใจลึกๆก็ยังหวังว่าหล่อนคงจะไม่หลอกให้นั่งกินข้าวคนเดียวแบบเมื่อวานแล้วใช่มั้ย
จริงๆนะ” ถามหล่อนกลับไปด้วยความไม่แน่ใจอีกครั้ง
เอิ้นยิ้มหวาน ก่อนจะยื่นมือไปจับมือพะแพงให้ขึ้นมาเกี่ยวกับนิ้วก้อยของตัวเองไว้ จนคนโดนเกี่ยวกลายเป็นยิ้มหวานหน้าแดงแล้วแดงอีกที่ได้ยินข้อความจากเสียงหวานๆของหล่อนหลังจากนั้นอีก..
จริงๆสิคะ อ๊ะสัญญาเลยก็ได้ วันนี้เราไปกินข้าวด้วยกันนะคะที่รัก”