นิยายรักไม่จำกัดบท
Cheapter
1
ฉันคือตัวร้าย?
(อ่านบทIntroduceก่อนนะ)
พะแพงละสายตาออกมาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์พร้อมๆกับพ่นลมหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย
เธอคิ้วขมวดกลับมามองภาพในหน้าจอที่เป็นรูปการ์ตูนผู้หญิงสองคนกอดคอกันแล้วก็ได้แต่ส่ายหัว..
ทำไมนะนิยายรักส่วนใหญ่ถึงชอบเขียนให้ตัวเอกตัวหนึ่งหน้าตาดี
ส่วนตัวเอกอีกตัวหนึ่งกลับเป็นคนธรรมดาหน้าตางั้นๆ
ส่วนตัวร้ายกลับกลายเป็นคนสวยหรือไม่ก็เป็นคนหน้าตาดีมากๆไปได้
ทั้งๆที่ดูก็น่าจะคู่ควรกับตัวเอกแล้วแท้ๆแต่คนเขียนกลับเขียนให้ไม่ได้กัน
ซึ่งก็เหมือนกันกับนิยายหญิงรักหญิงเรื่อง
“จิ้นนักรักซะเลย”จากงานเขียนของไรท์เตอร์
“DarkWorm”
ที่เธออุตสาห์ลงทุนติดตามอ่านมาตั้งแต่ปีก่อนตั้งแต่ต้นจนจบ
ตอนแรกเนื้อหามันก็น่ารักอ่านดูฟินๆดีอยู่หรอก
เพราะ“แพรี่”ตัวเอกที่เป็นดาวของโรงเรียนไปจับพลัดจับพลูเจอเข้ากับ“รัณห์”เด็กนักเรียนสาวรุ่นน้องจอมเอ๋อใส่แว่นหน้าเตอะแล้วแกล้งกันไปกันมาจนกลายเป็นรักกันจริงๆ
ทิ้งให้“เอริณ”เพื่อนสนิทสาวสวยที่แอบรักตัวเองต้องกลายเป็นตัวร้ายพยายามเข้ามากั้นกลางความรักของทั้งสองแต่ก็ไม่เป็นผล
สุดท้ายแล้วตัวเอกสองคนได้ครองรักกันอย่างแฮปปี้เอนดิ้ง
ทิ้งให้เพื่อนสนิทผิดหวังเสียใจ
จนสุดท้ายทนไม่ได้ต้องลาออกจากโรงเรียนไปในที่สุด...
อ่านแล้วก็สะท้อนใจเมื่อเริ่มคิดได้ว่าเนื้อหามันช่างคลับคล้ายคลับคลากับบางเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดมาสดๆร้อนๆก่อนหน้านี้เหลือเกิน..
ตัวเอกหน้าตาดี...เป็นดาวโรงเรียน..กำลังแกล้งเด็กรุ่นน้องที่หล่อนไม่ชอบ
แกล้งกันไปแกล้งกันมาสุดท้ายก็ได้กัน
ทิ้งให้ใครบางคน..อึ๊ก..สะดุดกับความคิดของตัวเองเมื่อนึกถึงใครบางคนได้..
ใช่..ใครบางคนบางคนที่เป็นเพื่อนสนิทและแอบรักตัวเอกมาตลอดเวลาแต่ตัวเอกกลับไม่รู้ตัวเลย
เพื่อนสนิทที่น่าสงสารทั้งๆที่ใกล้ชิดกับตัวเอกตลอดเวลาแท้ๆแต่กลับไม่ได้สมหวัง
สุดท้ายได้กลายเป็นแค่ตัวร้าย
กลายเป็นแค่ตัวอิจฉาในนิยายเท่านั้น
….หรือนี่ฉันจะเป็นได้แค่ตัวอิจฉาอย่างนั้นหรือนี่
...
คอตกหน้าซบหัวเข่าทันทีที่ที่เริ่มคิดได้ว่าตัวเองคงเป็นได้แค่ตัวร้ายของนิยายรักในชีวิตจริงเสียแล้ว...
แล้วนี่...เด็กคนนั้นจะเป็นนางเอกของเธอจริงๆเหรอ..เอิ้น
--<><><><>--
เสียงออดจากรถประจำทางดังขึ้นเป็นทางยาว
เมื่อล้อกำลังเคลื่อนที่เข้าสู่เขตหน้าประตูหน้าโรงเรียนมัธยมสหวิทย์
โรงเรียนชื่อดังประจำจังหวัด
และนั่นก็ทำให้เด็กสาวแสนสวยในชุดนักเรียนที่แสนจะเรียบร้อยอย่างพะแพงรีบกุลีกุจอเงยหน้าจ้องมองดูว่าบรรดาเด็กนักเรียนที่อยู่ในรถประจำทางคันนั้นจะมีเพื่อนสาวที่เธอตั้งหน้าตั้งตารออยู่นี่หรือไม่
แต่คนแล้วคนเล่าที่เดินผ่านลงมา
จากรถคันแรกที่เธอเห็นเมื่อเธอเริ่มมานั่งรอจนกระทั่งตอนนี้ผ่านไปเกือบจะสิบกว่าคันแล้วเธอก็ยังไม่เห็นเอิ้นเดินลงมาเสียที
ทั้งๆที่หล่อนเป็นคนตรงต่อเวลา
และมาโรงเรียนด้วยเวลาเดิมเป็นประจำทุกๆวัน
และตอนนี้ก็ใกล้จะถึงเวลาที่จะเข้าแถวหน้าเสาธงแล้วด้วยสิ
เอ..หรือวันนี้เอิ้นจะไม่มาเรียน
เป็นอะไร
ไม่สบายอย่างนั้นเหรอ...แอบคิดถึงหล่อนด้วยความเป็นห่วงก่อนจะรีบหยิบโทรศัพท์โทรออกไปหาคนที่อยู่ในห้วงความคิดมาตลอด
ปลายสายส่งเสียงทักทายสดใสมาทันทีที่หล่อนกดรับสาย
“ฮายย..พะแพงว่าไง”
“เอิ้น..เอิ้นไม่มาโรงเรียนเหรอวันนี้
ไม่สบายหรือเปล่า”
“เปล่านี่ก็สบายดีนะ
ตอนนี้ก็อยู่ในโรงเรียนแล้วด้วย”
“อ้าวเหรอ
ทำไมเค้านั่งรอเอิ้นอยู่ที่หน้าโรงเรียนตั้งนานทำไมไม่เห็นเอิ้นเลยล่ะ
คือเค้านั่งรอจะเดินเข้าไปในโรงเรียนพร้อมกันกับเอิ้นน่ะ”
“อ้าวงั้นเหรอ..คือตอนนี้เค้าอยู่ที่หน้าห้องเด็กคนนั้นอยู่น่ะ
เอ่อ..หมายถึงหลินน่ะ
คือเมื่อเช้าเค้ามาโรงเรียนพร้อมยัยนี่น่ะ
เค้าจะดูว่ายัยนี่จะแอบเอาภาพของพวกเรามาแพคขายส่งอีกหรือเปล่า
ก็เลยดักรอที่หน้าบ้านแล้วก็มาโรงเรียนพร้อมกันกับยัยนี่เลย”
“มาพร้อมกันอย่างนั้นเหรอ!!”
เป็นความเซอร์ไพรส์ที่ทำเอาพะแพงหูอื้อตาลายทำอะไรไม่ถูกเลยทีเดียว
ได้แต่ยืนอึ้งค้างก่อนจะรีบรนรานถามปลายทางไปเมื่อนึกอะไรบางอย่างที่ชวนสะเทือนใจขึ้นได้อีก
“..เดี๋ยวๆนะ
แล้วเมื่อกี้ได้ยินว่าไปดักรออยู่ที่หน้าบ้าน
นี่รู้จักบ้านเด็กคนนั้นแล้วอย่างนั้นเหรอ”
“ก็ใช่ไง
ก็เค้าตามสืบไง
ก็จะได้รู้ไงว่าเด็กคนนั้นแอบเอาอะไรของเรามาขายด้วยหรือเปล่าไง
นี่รู้เปล่าว่ายัยเด็กคนนั้นหน้าเจื่อนเลยนะพอเห็นหน้าเค้าที่หน้าบ้านน่ะ...”
ลมแทบจับทันทีที่ได้ยิน
ตอนนี้พะแพงสุดสวยก็เริ่มหน้าเจื่อนตามเด็กของเพื่อนสาวเธอแล้วเมื่อเริ่มคิดได้ว่านิยายเรื่องที่เธออ่านเมื่อคืนมันกำลังจะเป็นเรื่องจริงจริงๆแล้ว
ใช่..นี่คือCheapter2
ตอนบุกถึงบ้าน
แพรี่บุกไปหารัณห์ถึงบ้านเพื่อที่จะแกล้งทำเป็นแฟนด้วยการมาโรงเรียนด้วยกัน
และเมื่อมาถึงโรงเรียนพร้อมกัน
เอริณตัวอิจฉาเพื่อนสนิทสุดสวยก็กรี๊ดแตกทันทีที่เห็นคนที่ตัวเองแอบรักกำลังจูงมือคนอื่นเข้ามาในโรงเรียน
กรี๊ดดด
พะแพงก็อยากจะกรี๊ดอย่างเอริณเช่นเดียวกัน
แต่เธอกลับกรี๊ดอย่างตัวอิจฉาไม่เป็น
ได้แต่เข่าอ่อนนั่งทรุดลงกับม้านั่งพร้อมกับอาการหน้าซีดปากชาเหมือนกำลังจะเป็นลมในไม่ช้าเมื่อได้รู้ว่าเขาไปถึงไหนกันแล้ว
โอ้ย..ให้ตายเถอะ
แล้วฉันจะทำอย่างไรดีนี่
นี่ต้องแกล้งทำเป็นไม่สนใจแล้วปล่อยให้สองคนนั้นแกล้งกันไปกันมาจนหลงชอบกันจริงๆอย่างนั้นใช่มั้ย
หรือ..ฉันจะตามไปกรี๊ดใส่หน้าเอิ้นด้วยความโมโหอย่างนั้นดี
..ไม่นะ
พะแพง ถ้าเธอคิดร้ายๆก็เท่ากับเธอยอมรับบทร้าย
เธอเป็นนางอิจฉาในนิยายเรื่องนั้นจริงๆน่ะสิ..สมองส่วนดีกระซิบกระซาบแนะนำร่างกายไร้สติเบลอๆของเธอให้
“งั้นเหรอ..ฉันไม่ใช่ตัวร้ายอย่างนั้นเหรอ
แล้วถ้านี่คือนิยายเรื่องนั้นจริงๆและฉันคือตัวร้ายจริงๆ
ฉันจะทำยังไงดีล่ะ
ถ้าฉันยอมปล่อยเขาไป
ก็เท่ากับฉันยอมเสียคนที่ฉันแอบรักมาตลอดอย่างนั้นเหรอ..”
พยายามเถียงสมองส่วนนั้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
มือก็โบกปัดไปมา
โดยที่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองได้กลายเป็นเป้าสายตาให้เด็กที่เดินผ่านไปผ่านมาได้ขำในอริยาบทของพี่ดาวโรงเรียนสุดสวยเข้าให้
และแม้กระทั่งเอิ้นเองที่ได้ยินเสียงบ่นพึมๆพัมๆฟังไม่เป็นคำจากพะแพงเมื่อหล่อนกำลังต่อสู้กับความคิดของหล่อนอยู่ก็ต้องรีบถามกลับมาด้วยความสงสัย
“อะไรนะ
เมื่อกี้พะแพงว่าอะไรนะ
อะไรคือตัวร้าย
แล้วเมื่อกี้ได้ยินว่าแอบรักใครยังไงนะ”
สะดุ้งโหยงทันทีที่ได้ยินเสียงของเพื่อนสาวดังเข้ามาเรียกสติในสาย
“เอ่อๆ
ไม่มีอะไรๆ เอ่อ..งั้นแค่นี้ดีกว่านะ
เดี๋ยวเค้าจะเดินเข้าโรงเรียนแล้วล่ะถ้างั้น
เอิ้นก็รีบๆขึ้นห้องนะ
อย่าพยายามไปมีเรื่องอะไรกับใครเลยถ้าไม่จำเป็น
คนอื่นจะมองไม่ดี”
โดยเฉพาะเค้า..นั่นคือสิ่งที่พะแพงคิด
ณ ขณะที่ได้ยินปลายสายขานรับงึมงัมๆในสายก่อนจะวางสายไป
ทิ้งให้ตัวเองนั่งอึ้ง
ได้แต่คิดทบทวนถึงนิยายเรื่องนั้นด้วยความกังวลใจไป
บ้าชะมัดเลย
ทำไมเรื่องราวมันทะแม่งๆชวนให้คิดตามว่านี่คือเรื่องเดียวกันกับนิยายเรื่องเมื่อคืนยังไงไม่รู้
แล้วดูสิเอิ้นก็กำลังอยู่กับเด็กคนนั้นเหมือนตัวเอกทั้งสองในนิยายเรื่องนั้นแล้วด้วย
แล้วเราล่ะ....เราคือนางร้ายของนิยายเรื่องนั้นจริงๆเหรอ...
แล้วจะเอาไง..จะปล่อยให้เอิ้นไปกับเด็กคนนั้น
หรือว่าฉันจะตามเอิ้นไปตามบทของตัวร้ายดีล่ะ..
ไม่ใช่สิ
เราไม่ใช่ตัวร้าย
จำไว้ว่าเราไม่ใช่ตัวร้าย..เพราะฉะนั้นเลิกคิดแล้วเข้าห้องเรียนไปตั้งใจเรียนดีๆซะพะแพง
--<><><><>--
“เฮ้..เอิ้น”
เสียงหวานๆดังเรียกสติเอิ้นที่กำลังนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดจ้องมองหน้าซีดๆเซียวของเด็กแว่นคนต่อหน้า
และเมื่อละสายตาออกมาจากหล่อนได้ใบหน้าก็ผ่อนคลายทันทีที่เห็นว่าคนเรียกคือเพื่อนสาวคนสวยของตัวเองที่เดินยิ้มแหยๆดูหน้าตาไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่เลยเมื่อหล่อนเห็นเธอนั่งอยู่กับยัยเด็กแว่นข้างๆเข้า...
“อ้าวพะแพง
ไหนว่าจะเดินเข้าห้องแล้ว
ทำไม..”
ถามหล่อนไปทันทีเมื่อนึกถึงประโยคสุดท้ายของบทสนทนาในโทรศัพท์เมื่อครู่นี้ได้
คนโดนถามสะดุ้งโหยงก่อนจะแบ่งรับแบ่งสู้ตอบคำถามหล่อน
เมื่อตัวเองไม่สามารถต่อกรกับความต้องการของก้นบึ้งลึกๆในหัวใจที่เรียกร้องให้มาหาหล่อนได้
คิดว่ายังไงขอมาเป็นไม้กันหมายังดีกว่านั่งโง่ๆอยู่ห้องไม่รู้สี่รู้แปดอะไรเลย
เธอเลยจำเป็นต้องเปลี่ยนทิศทางจากเดินเข้าห้องเรียนกลายเป็นอาคารเรียนของยัยเด็กแว่นที่เธอถามหากับคนแถวๆนั้นเอา...
“เอ่อ
เค้าแวะมาหาน่ะ
คิดว่าเผื่อเอิ้นจะมีอะไรให้ช่วย...”
ช่วยตัวเองไม่ให้แห้วล่ะสิไม่ว่า
ยิ้มแหยๆทันทีที่ได้ยินความคิดของตัวเองขัดบทในใจ
เออ!!
เรื่องของฉัน
“ช่วยอย่างงั้นเหรอ”
เอิ้นยิ้มงงๆ
ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าบางทีเพื่อนสาวอาจเป็นห่วงกลัวเธอมีเรื่องกับเด็กคนนี้เลยทำทีเป็นมาหาเธอมากกว่า
คิดได้ดังนั้นเธอก็รีบเชิญชวนให้พะแพงมานั่งร่วมวงสนทนาด้วย
“พี่พะแพง
สวัสดีค่ะ...”เป็นเสียงทักทายจากผู้ร่วมสนทนาของเอิ้นที่นั่งอยู่ก่อนหน้านั้น
และเมื่อพะแพงเห็นหล่อนยกมือไหว้
ใบหน้าไม่สู้ดีของตัวเองก็ออกอาการประหม่าด้วยทำหน้าไม่ถูกไม่รู้ว่าควรจะยิ้มสู้หรือยิงฟันให้หล่อนดี
ได้แต่ยักเย้อยักย่นจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม
จะบึ้งก็ไม่บึ้งจนเพื่อนตัวเองหันมาสังเกตุเห็นและทักเข้าเธอจึงรีบตั้งสติตอบรับหล่อนกลับ
“หวัด..หวัดดีจ๊ะ
ไงคะ ชื่อหลินใช่มั้ยเอ่ย...”
กัดฟันยิ้มแหยๆในตอนที่ถามหล่อนคืน
“ชะ..ชะ
ใช่คะ”
“เรียกยัยนี่ว่าลิงน้อยก็ได้
ลิงน้อยจอมกะล่อน”เจ้าของคำพูดทั้งพูดทั้งยื่นมือไปยีผมลิงน้อยของหล่อน
ปล่อยให้พะแพงที่กำลังจะยิ้มทัก
ได้แต่จ้องมองท่าทางกึ่งๆเอ็นดูอย่างนั้นด้วยใบหน้าเหวอๆน้ำตาก็แทบจะเล็ดออกมาทันทีที่เริ่มคิดอะไรขึ้นได้
ดะ..ดะ..เดี๋ยวนะ
นี่..นี่..มีฉายาให้กันแล้วเหรอ
นี่ถึงขนาดตั้งฉายาเอาไว้เรียกกันแค่สองคนแล้วอย่างนั้นเหรอ!!
กรี๊ดดดดด!!!
นั่นคือเสียงที่อยู่ในก้นบึ้งหัวใจลึกๆๆๆลึกจนเกือบจะมองไม่เห็น
เพราะพะแพงคนสวยเรียบร้อยก็ไม่กล้าที่จะกรี๊ดออกมาอยู่ดีแม้สิ่งที่เห็นต่อหน้าต่อตาตอนนี้แทบจะทำให้เธอคลั่งจะตายอยู่แล้วก็ตาม
นี่เธอคบกับฉันมาตั้งแต่ป.1จนถึงม.6
เธอยังไม่เคยมีฉายาเรียกฉันสักทีเลยนอกจากชื่อ“พะแพง”และ
“เค้ากับตัวเอง”
ตามประสาเพื่อนๆพูดกันเท่านั้น
แต่ทำไมยัยเด็กคนนี้ถึงได้คำหวานเฉพาะเจาะจงไปแล้วทั้งๆที่พึ่งจะรู้จักกันได้ไม่เท่าไหร่เลย
ยิ่งคิดก็ยิ่งสะเทือนใจ
และความสะเทือนใจที่พยายามเก็บกดไว้ด้วยใบหน้าหม่นๆน้ำตาคลอๆเหมือนคนจะร้องไม่ร้องแหล่ก็ทำให้เอิ้นผิดสังเกตุจนต้องร้องทักพะแพงขึ้นอีก
“เฮ้ย
พะแพงเป็นอะไรไปทำไมหน้าซีดเหมือนคนจะเป็นลมอย่างนั้น
แล้วนั่นจะร้องไห้เหรอ”
สะดุ้งเล็กๆเมื่อโดนทักเรื่องน้ำตาก่อนจะรีบยื่นมือมาปัดป่ายร่องรอยออก
“เอ่อ
ปะๆเปล่า เอ่อ แค่ขำกับชื่อเรียกน้องเขาน่ะ
ไปตั้งชื่อน้องเขาอย่างนั้นทำไม
ชื่อดีๆก็มีให้เรียกอยู่..”
“อยากเรียกอ่ะ
จะเรียกอย่างนี้ล่ะจนกว่าจะพอใจ
ใครจะทำไม” คนตอบทั้งพูดทั้งหันไปจ้องตาเด็กแว่น
และมือก็ก็ดึงหูหล่อนด้วยความหมั่นไส้ไป
ได้ยินเสียงร้องโอดโอยครวญครางทั้งการส่งสายตาเล็กตาน้อยออดอ้อนเพื่อนสาวคนสวยจากเด็กแว่นแล้ว
ความหงุดหงิดเล็กๆก็เพิ่มขึ้นในใจพะแพงอีก
นี่มัน...ไม่น่าจะใช้แค่แกล้งจีบกันแล้วม้างงงงง
พะแพงเอ้ย
โอ้ยยย
อกอีกแป้นจะแตก
ขืนดูอยู่อย่างนี้ใบหน้าหวานๆของพะแพงคงมีเส้นเลือดขอดขึ้นเต็มไปหมดแน่ๆ
ความดันๆๆๆ
ตายๆๆๆ
ทั้งคิดทั้งฝืนสะแหยะยิ้มภายใต้ใบหน้ามืดมัวของตัวเอง
ตอนนี้พะแพงรู้ตัวว่าขืนอยู่ดูต่อตัวเองคงต้องได้ตรอมใจตายแน่ๆ...งื้อออ....
จ้องมองภาพเบื้องหน้าด้วยอาการทั้งน้อยใจทั้งเสียใจก่อนจะขอตัวเพื่อนกลับ
แต่กระนั้นก็ยังไม่วายไปสังเกตุเห็นรอยแผลฝกช้ำแดงๆที่ริมฝีปากของยัยเด็กแว่นเข้า...และนั่นก็ทำให้พะแพงถึงกับเก็บมานั่งคอตกครุ่นคิดทั้งวันไม่เป็นอันทำอะไรอีกเลยแม้แต่การใช้สมาธิในการเรียนหนังสือทั้งๆที่เธอควรจะตั้งใจเรียนอย่างทุกวันแล้วแท้ๆ
เฮ้อ...เวรแล้วฉัน
ไม่น่าไปหาเขาให้เห็นภาพบาดตาบาดใจอย่างนั้นเลย..พะแพงเอ้ยพะแพง
--<><><><>--
เสียงออดเลิกเรียนดังขึ้นพร้อมๆกับเสียงอึกกะทึกคึกโครมของเด็กนักเรียนที่พากันทั้งเดินทั้งวิ่งออกนอกโรงเรียนเพื่อกลับบ้านหรือทำกิจกรรมอื่นๆร่วมกันในยามเย็น
เช่นเดียวกันกับที่เอิ้นรีบเดินเข้ามาบอกให้พะแพงกลับก่อนเพราะว่าเธอต้องไปทำธุระส่วนตัวของเธอต่อ
“อ้าว
ไม่กลับด้วยกันเหรอ...”
ยืนยิ้มแห้งทันที
จากที่กำลังยิ้มหวานเมื่อเห็นเพื่อนสาวคนที่ตัวเองแอบชอบเดินยิ้มร่าเข้ามาหาก่อนหน้านั้น
พะแพงก็กลายเป็นผิดหวังเมื่อได้ยินคำบอกกล่าวของหล่อน
“เอ่อ
พอดีอาจารย์คนึงนิจเรียกน่ะ
คงจะเรียกให้ไปแนะนำน้องที่แข่งคอสเวริ์ดน่ะ
คิดว่าคงจะนานยังไงซะพะแพงกลับก่อนดีกว่าเค้าไม่อยากให้รอ”
“อ๋อ...”
ยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจ
“แล้วไป...เค้าก็นึกว่าจะไปหา..”
“หา..หาใคร
เด็กคนนั้นน่ะเหรอ เฮ้ย
ไม่แล้วล่ะ วันนี้เค้าปล่อยให้นางเป็นอิสระก่อน
ได้แกล้งมาทั้งวันแล้วพอใจแล้ว”
หัวเราะหึทันทีเมื่อได้ยินว่าเอิ้นแกล้งยัยเด็กคนนั้นมาทั้งวันแล้ว
หึ..ใช่สินะ..แล้วเธอก็ปล่อยให้ฉันนั่งหงอยนั่งเศร้าอยู่คนเดียวกับกับข้าวโง่ๆที่สั่งมากินโดยที่ไม่มีใครกินเป็นเพื่อนอย่างทุกวัน
ทั้งๆที่มันไม่เคยเป็นมาก่อน
เธอและเอิ้นควรจะต้องนั่งกินข้าวด้วยกันอย่างมีความสุขแท้ๆ
แต่ยัยเด็กแว่นนั่นกลับได้ตัวเพื่อนสาวเธอไปนั่งประกบตัวเช้ากลางวันเที่ยงและเกือบจะเย็นเสียด้วยซ้ำไปถ้าไม่ติดว่าเอิ้นโดนครูเรียกตัวไปเสียก่อนน่ะ
คิดแล้วก็น่าน้อยใจ
และอาการน้อยใจก็แสดงออกทางสายตาของพะแพงให้เอิ้นได้สังเกตุเห็นอีกจนได้
“เป็นอะไรหรือเปล่า
ทำไมทำหน้าอย่างนั้น
นี่งอนว่าไม่ได้กลับด้วยเหรอ..”
เหล่ตามองค้อนคนถามด้วยสายตาเคืองๆ
“งอนสิ..ก็แต่ก่อนเค้าเคยกลับด้วยนี่
หึ..แต่ก็ช่างมันเถอะ
ถ้าเอิ้นมีธุระก็รีบไปทำเถอะ”
อมยิ้มทันทีที่ได้ยินเสียงตัดพ้อน้อยใจของพะแพง
“อะไรกันแค่นี้ทำเป็นงอน
ในปีๆหนึ่งมีไม่ได้กลับบ้านด้วยกันแค่ไม่กี่วันเอง
แถมเรายังมาโรงเรียนด้วยกันเกือบทุกวันอีก”
“แต่ไม่ใช่วันนี้ป่ะ”
คนตาหวานรีบเถียงคืนทันที
“เอ๋า..ก็..ก็..ก็แค่วันนี้..”
“แน่ใจเหรอว่าจะแค่วันนี้น่ะ”
จ้องมองสายตาลังเลใจของเอิ้นด้วยอาการน้อยใจไป
ยังไงๆซะเธอก็เลือกที่จะทำอะไรบ้าๆแผลงๆของเธออยู่อีกเหมือนเดิมนี่นา
ฉันจะไปห้ามอะไรเธอได้เล่า..
“ช่างมันเถอะ
เค้ากลับก่อนแล้วกัน”
“งั้นเดี๋ยวเย็นนี้เค้าโทรหานะ”
“โทรหาทำไม
ไม่ใช่แฟนสักหน่อย”
คนฟังชะงักจ้องมองพะแพงทันทีที่ได้ยินข้อความแปลกๆ
ซึ่งก็ไม่ใช่เฉพาะเอิ้นหรอกที่งงกับคำพูดของหล่อน
เพราะแม้แต่เจ้าของคำพูดยังงงใจว่าทำไมตัวเองถึงกล้าหลุดปากพูดประโยคที่สื่อความหมายแบบนั้นออกมาต่อหน้าเพื่อนสาวได้
ทั้งๆที่ตั้งใจไว้ว่าที่จะพูดมันออกมาให้หล่อนได้ยินแล้วแท้ๆ
เพราะถึงแม้พะแพงจะแอบรักเอิ้นยังไง
เธอก็ไม่กล้าเปิดเผยความในใจตัวเองออกไปด้วยกลัวว่าสถานะทางใจของเพื่อนที่ตัวเองสนิทที่สุดและคบกันมาตั้งแต่ป.1จะเปลี่ยนแปลงไปเมื่อได้รู้ว่าเธอได้คิดกับหล่อนเกินเพื่อนไปแล้วน่ะสิ
ไม่ว่าฉันจะรู้สึกชอบเธอแค่ไหน
หรือจะรักเธอยังไง
แต่ถ้ามันจะทำให้ฉันต้องเสียเธอไปตลอดชีวิตแล้ว
ฉันก็ขอไม่บอกคำว่ารักเธอออกไปดีกว่า
ฉันยอมเก็บคำว่ารักเอาไว้ในใจดีกว่าจะต้องมาเสียใจเมื่อได้รู้ว่าเธอไม่ได้รักฉันอย่างที่ฉันฝัน...
นั่นคือสิ่งที่พะแพงเฝ้าแต่นึกในใจตลอดระยะเวลา12ปีก่อนหน้านั้น
“เอ๋..ทำไมพะแพงพูดอะไรแบบนั้นล่ะ”เสียงเอิ้นดังเข้ามาในห้วงความคิด..
“เอ่อ..ไม่มีอะไรหรอก
เค้าหมายถึงไม่ต้องโทรหาเค้าหรอกเราไม่ใช่แฟนอย่างที่พวกชอบจิ้นเรามโนสักหน่อยไม่ต้องโทรมาก็ได้
แค่นี้ก็วุ่นวายพอแล้ว
เดี๋ยวเอิ้นก็ลำบากไปตามจองล้างจองผลาญพวกนั้นอีก”
ยิ้มหวานกลบเกลื่อนสายตาน้อยใจตัวเองก่อนจะบอกลาเพื่อนสาวที่พยักหน้างึกๆงักๆรับคำแล้วไปทำธุระของหล่อนต่อ
ทิ้งให้พะแพงเดินออกจากโรงเรียนเหงาๆพร้อมๆกับความคิดฟุ้งซ่านที่แอบบ่นให้ตัวเองที่เผลอหลุดปากพูดอย่างนั้นกับหล่อนไปได้อย่างไร
ถ้าเกิดเอิ้นรู้ว่าตัวเองมีใจให้แล้วเธอจะทำอย่างไรต่อไปดี
คิดเล็กคิดน้อยตามประสาสาวน้อยช่างมโนไปเรื่อยจนกระทั่งสายตาไปเจอกับบางคนเข้า
เอ๋..
เด็กคนนั้นนี่...หยุดยืนอึ้งทันทีที่เห็นหลินกำลังเดินแบกของดุ่มๆออกมาจากทางเดินอีกฝั่งหนึ่งของโรงเรียน
ในใจก็กำลังคิดสับสนถึงสิ่งที่ทำให้เธอครุ่นคิดกังวลใจจนไม่มีสมาธิที่จะเรียนเลยทั้งวัน
กระทั่งทนไม่ไหวต้องตัดสินใจเดินตรงเข้าไปถามเด็กคนนั้นให้หายคาใจดีกว่าจะมาคาดเดาไปเองจนประสาทจะกินหัวเธออย่างนี้
“หลิน..”
ค่อยๆเรียกหล่อนด้วยเสียงหวานๆพร้อมๆกับรอยยิ้มแห่งความเป็นมิตรที่เธอมักจะหยิบยื่นให้กับทุกๆคนที่อยู่โรงเรียนเสมอจนเธอได้ฉายาจากเด็กนักเรียนที่นี่ว่า
“นางฟ้าบนดิน”หรือ
“รอยยิ้มแห่งวีนัส”
“คะ!!??”
คนโดนเรียกหยุดชะงักพร้อมๆกับดวงตาเบิกโพลงกว้างขึ้นอีกครั้งเมื่อหันมาเห็นว่าเป็นเพื่อนสาวคนสนิทของรุ่นพี่จอมโหดที่แกล้งเธอไม่หยุดสักทีในช่วงนี้
เฮ้ย!
ไหนบอกว่าวันนี้จะยอมปล่อยให้กลับบ้านดีๆแล้วไง
แล้วไหงส่งตัวแทนมาอีกล่ะ
นั่นคือสิ่งที่หล่อนคิดในขณะที่กำลังเก้ๆกังๆว่าจะหยุดคุยหรือจะรีบวิ่งหนีหล่อนไปอีกคนดี
“ทำไมหน้าซีดแบบนั้น
เป็นอะไรหรือเปล่าจ๊ะ”
เมื่อเห็นอาการหน้าซีดๆและท่าทางแบ่งรับแบ่งสู้ของหล่อน
คนมาถามก็พยายามทำใจดีเข้าสู้
หวังว่าหล่อนคงจะคลายใจและเบาใจลงเมื่อเห็นว่าเธอมาดีและไม่ได้คิดร้ายใดๆต่อเธอเลย
“เอ่อ
ปะๆเปล่าค่ะพี่ หนูแค่เหนื่อยนิดหน่อยค่ะ”
“เหนื่อยนิดหน่อย..”
อมยิ้มเล็กๆ
ท่าทางยังเป็นมิตรเช่นเคย
“โดนเอิ้นแกล้งมาทั้งวันล่ะสินะ”
“ค่ะ
ประมาณนั้นล่ะค่ะพี่”
“แย่หน่อยนะช่วงนี้
เอิ้นเขาก็เป็นคนแบบนี้ล่ะ
ถ้าโกรธหรือไม่พอใจอะไรขึ้นมาเขาก็จะพยายามหาทางเอาคืนด้วยวิธีแสบๆของเขาเสมอนั่นล่ะ
หวังว่าคงไม่โกรธเขาหรอกใช่มั้ย”
ได้ยินน้ำเสียงอ่อนโยนของพี่สาวแสนสวยตรงหน้าแล้วหลินก็ได้แต่ยิ้มแหยๆแทนคำตอบในใจที่คิดได้แค่ว่าจะให้หายโกรธง่ายๆได้ไงฟะโดนแกล้งซะขนาดนั้นน่ะ
กำลังจะขอตัวพี่สาวคนสวยต่อหน้ากลับเพราะไม่อยากจะคุยอะไรกับหล่อนต่อด้วยไม่ไว้ใจกลัวหล่อนจะหาเรื่องแกล้งเธออีกคน
แต่หล่อนก็ดันยื่นมือมาจับหน้าผากที่ติดปลาสเตอร์ปิดแผลด้วยท่าทางเหมือนกำลังเป็นห่วงให้เธอต้องอึกๆอักๆหยุดยืนอยู่ต่อหน้าด้วยความเกรงใจอีกครั้ง
“นี่แผลวันนั้นใช่มั้ย
วันที่เอิ้นแกล้งให้เราล้มอยู่ใต้อาคารน่ะ”
“เอ่อใช่ค่ะ”
หน้าแดงนิดๆเมื่อเงยหน้าขึ้นไปแล้วเห็นสายตาสวยกำลังจ้องมองด้วยความอ่อนโยนโดยที่ไม่รู้ตัวว่าอีกคนกำลังเริ่มแผนการหลอกเอาความลับอะไรกับตัวเองอยู่
“..ขอโทษแทนเอิ้นอีกครั้งแล้วกันนะ
พี่ก็ห้ามเขาแล้วแต่เขาไม่ฟังพี่เลย
รั้นแต่จะทำอย่างเดียว
เออ..แล้วแผลที่ปากเรานี่มาจากไหนเหรอ..”
เลื่อนมือลงมาที่ริมฝีปากเด็กสาวในขณะที่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทั้งสงสัยทั้งเป็นห่วงอีก
คนโดนถามยิ้มแหยๆไม่กล้าตอบคำถาม
จนพะแพงต้องถามย้ำอีก
“อย่าบอกนะว่าเอิ้นทำอีกน่ะ”พยักหน้าแหยๆของตัวเองเมื่อได้ยินพี่สาวคนสวยถามคำถามจี้อีกครั้ง
“ทำอะไรอ่ะ
เอิ้นทำอะไรกับปากหลินอย่างนั้นเหรอ”
“เอ่อ..”หยุดชะงักอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะค่อยๆเรียบๆเคียงๆบอกด้วยท่าทางเนียมๆอายๆ
“พี่เขากัดหนูน่ะค่ะ..”
“กัด??
กัดปากนี่นะ..”
คนถามคิ้วขมวดทวีความสงสัยขึ้นด้วยระดับสูงปรี๊ด
..เดี๋ยวนะถ้ากัดปาก..ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า
หมายความว่า...
“อย่าบอกนะ..ว่า..เอิ้น..จูบ..หลิน..น่ะ..”
“ค่ะ
พี่เอิ้น..เขาจูบหลินค่ะ”
--<><><><>--
แสงไฟสาดส่องพื้นผนังสีชมพูพลาสเทลที่ถูกออกแบบและตกแต่งให้ส่วนประกอบต่างๆในห้องมองดูสวยน่ารักแถมยังมีความหรูหราซ่อนอยู่ในมุมต่างๆสมกับที่เป็นห้องนอนของลูกสาวสุดที่รักของทหารยศนายพลที่มีทั้งอำนาจและความมั่งคั่งทางการเงินอยู่ในตัว
แต่ถึงห้องนอนจะให้ความรู้สึกน่ารักและสดใสสร้างความกระชุ่มกระชวยให้คนอยู่ยังไง
กระนั้นพะแพงหญิงสาวเจ้าของห้องกลับเดินไหล่ห่อเข้ามานอนทิ้งตัวบนเตียงสีชมพูของตัวเองอย่างไร้เรี่ยวแรงทันทีที่ปิดห้องลงไปได้แล้ว
โอย
เขาจูบกันแล้ววววว เขาจูบกันแล้ววววว
ชั้นจะทำยังไงดีเนี่ย...
นั่นคือสิ่งที่เด็กสาวเฝ้าแต่คิดพร่ำเพ้อในขณะที่มือก็จิกรั้งผ้าปูที่นอนด้วยท่าทางหัวฟัดหัวเหวี่ยงทั้งหงุดหงิดและโมโห
ใจก็เอาแต่โทษตัวเองว่าไม่น่าปล่อยให้สองคนนี้ใกล้ชิดกันได้เลย
ไม่สิ
ฉันไม่ได้ปล่อยให้เอิ้นใกล้ชิดเด็กคนนี้ด้วยซ้ำ
หล่อนเป็นคนเดินเข้าไปหาเขาเองนี่นา
บ้าชะมัดเลยยิ่งนึกก็ยิ่งเสียใจยิ่งโมโห
และความโมโหที่มาพร้อมๆกับคำว่าทำอะไรไม่ได้เลยในเมื่อเธอไม่ได้เป็นอะไรกับหล่อนยิ่งทำให้เธอหงุดหงิดเข้าไปอีก..
ยิ่งนึกถึงคำที่เด็กคนนั้นเล่าให้ฟังว่าเอิ้นเป็นคนจูบหล่อนตั้งแต่วันแรกที่เจอด้วยซ้ำแล้ว..เส้นเลือดในสมองของเธอก็สูบฉีดรุนแรงจนใบหน้าและลูกตาเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงเถือกด้วยความร้อนผ่าวจากไฟรักสุมอกจนแทบจะมอดไหม้ลงไปเสียให้ได้
ซึ่งแค่เธอได้ยินที่เด็กคนนั้นสารภาพในตอนนั้นเธอก็แทบจะเดินเซออกมาจากหล่อนโดยไม่ได้บอกกล่าวคำลาอะไรหล่อนเลย
เอาแต่เดินเหม่อๆเอ๋อๆจนกระทั่งขึ้นรถเมลล์กลับบ้านผิดสาย
ซ้ำร้ายยังต้องรอรถสายใหม่ที่จะกลับมาที่บ้านเป็นชั่วโมงสองชั่วโมงอีก
รู้งี้ให้คนขับรถไปรับก็ดี...เพราะมัวแต่อยากไปโรงเรียนและกลับบ้านกับเอิ้นทุกๆวันคุณหนูอย่างเธอเลยต้องมานั่งรถเมลล์แล้วขึ้นผิดๆถูกๆสายอยู่อย่างนี้เวลาที่ไม่มีใครนั่งไปด้วย
วันดีคืนดีก็แค่เลยป้ายแต่ถ้าโชคร้ายหรือไม่มีสติหน่อยเธอก็ต้องนั่งรถอ้อมโลกไปจนเกือบสุดเมืองอย่างที่เห็นนี่ล่ะ
ขอบคุณที่เธอทนอยู่ในวันดีๆอย่างนี้ได้อีกวันนะพะแพง!!
ขอบคุณที่ไม่เป็นลมหรือหลุดกรี๊ดดังๆออกมาเสียก่อน!!
นั่นเป็นสิ่งที่เธอพยายามบอกใจให้คิดบวกเข้าไว้แม้จะรู้สึกแย่แค่ไหนก็ตามในวันเฮงซวยอย่างนี้
แม้เรื่องที่ได้ยินและเห็นต่อหน้าในวันนี้ทั้งวันแทบจะทำให้เธอเป็นลมให้ได้ยังไงเธอก็ยังพยายามฝืนร่างตัวเองไว้ด้วยความมีสติของเธอ
ยิ่งเรื่องหลังที่ว่าแม้จะอยากกรี๊ดยังไงเธอก็ไม่กล้ากรี๊ดออกมา
นั่นก็เป็นเพราะว่ามันไม่ใช่แนวของพะแพงเลยน่ะสิ
ใช่..เพราะพะแพงคนสวยไม่ใช่สายกรี๊ดสายหวีด
หรือเป็นผู้หญิงจำพวกที่เห็นอะไรไม่ชอบใจไม่เข้าท่าแล้วจะเหวี่ยงจะวีนและกรี๊ดแตกอย่างนางร้ายในละคร
นั่นเลยทำให้เธอแอบเชื่อในใจลึกๆว่าแม้เรื่องราวที่เห็นมันจะชัดเจนเหมือนนิยายเรื่องนั้นยังไงก็ตาม
แต่ความดีงามในตัวเธอเองที่เธอคิดเอาเองว่าเธอเป็นคนดีนั่นล่ะจะพิสูจน์ว่ายังไงๆเธอต้องไม่ใช่นางร้ายแน่ๆ
ถึงฉันจะไม่ใช่นางเอกยังไง
แต่ฉันก็ไม่ใช่นางร้ายชัวร์
ไม่สิ..จริงๆก็อยากเป็นนางเอกอยู่นะ..ถ้าเป็นได้น่ะ...แอบคิดด้วยความหวัง
ก่อนจะกลายเป็นน้อยเนื้อต่ำใจเมื่อนึกถึงพระเอกของเรื่องเข้า..
ดูเถิด..แม้กระทั่งตอนนี้หล่อนก็ยังไม่สนใจใยดีจะโทรหาเธอเลย
ทั้งๆที่บอกว่าเย็นแล้วจะโทรหาแท้ๆแต่ก็...เฮ้ออออ...
ฉันไม่น่าไปห้ามเขาไม่ให้โทรหาเลย..
รู้งี้..ไม่เล่นตัวดีกว่า...
แอบคิดถึงท่าทางยโสโอหังของตัวเองเมื่ออยู่ต่อหน้าเพื่อนรักแล้วก็ได้แต่กลุ้มใจ
ทำไมนะเวลาที่อยู่ต่อหน้าเอิ้นอาการที่เธออยากจะแสดงอะไรกับหล่อนจะกลายเป็นฝืนๆเก๊กๆไปเกือบทุกครั้ง
ทั้งเวลาที่อยากให้หล่อนกอดหรือหอมเหมือนๆกับตอนเป็นเด็ก
เธอก็ยังต้องเก๊กห้ามเพื่อนไว้ไม่ให้ทำอย่างนั้นแม้ใจจริงๆอยากให้หล่อนทำแค่ไหนก็ตาม
จริงๆแล้วถ้าเราไม่ใช่เพื่อนสนิทกันมันคงจะดีกว่านี้นะ
ความรู้สึกต่างๆมันคงจะแสดงออกมาได้ดีกว่าที่เป็นในตอนนี้เสียอีก...ทั้งคิดทั้งเหม่อมองไปที่โทรศัพท์
หัวใจก็เริ่มคิดถึงเจ้าของคำพูดที่ว่าจะโทรหาตัวเองจนทนไม่ไหว
ได้แต่ชั่งใจว่าหรือตัวเองจะโทรไปหาดีมั้ย
คิดเล็กคิดน้อยด้วยเหตุผลว่าตัวเองเป็นคนสวยควรจะมีศักดิ์ศรีและควรจะไว้ตัวไม่ควรจะเสนอตัวไปหาเขาง่ายๆด้วยการโทรไปหาเขาก่อนอะไรทำนองนั้นอยู่ครู่นึง
ภาพมโนของการจูบของเอิ้นและเด็กแว่นก็ทำให้เธอรีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาทันทีด้วยกลัวว่าขืนยังเล่นตัวอยู่อย่างนี้มีหวังยัยเด็กแว่นได้ตัวเอิ้นไปครองจริงๆแน่ๆล่ะทีนี้
กดโทรออกหมายเลขในใจออกไปแต่ปลายสายกลายเป็นสายไม่ว่าง...
ทำไมสายไม่ว่างล่ะ...นั่งอึ้งมองโทรศัพท์อยู่ครู่หนึ่งปลายสายก็โทรกลับมา
“พะแพง
ว่าไง มีอะไรเหรอเมื่อกี้เค้าติดสายอยู่”
“ติดสายอยู่??..”
แค่ได้ยินว่าติดสายอยู่
สกิลแห่งการจับผิดก็ทำให้รีบถามหล่อนออกไปทันที
“อย่าบอกนะว่าคุยกับหลินน่ะ”
“เออ
ใช่ กำลังคุยกับยัยลิงน้อยอยู่
จะดูว่าหล่อนกลับบ้านหรือยังหรือแอบไปไหนทำอะไรอีกน่ะ”
แทบจะเงิบแล้วเงิบอีกเมื่อได้ยินคำตอบเพื่อนสาว
แค่คำตอบที่ยอมรับว่าใช่..หล่อนคุยกับยัยเด็กแว่นนั้นอยู่ก็แทบทำให้เธอน็อคล้มตึงลงไปกับที่นอนในยกแรกแล้ว
หนำซ้ำยังได้ยินคำเรียกแทนกันด้วยชื่อหวานๆอีก
แล้วยังจะเช็คเวลากลับบ้านกันอีก
โอ้ยย
ใจพะแพงอยากจะเขวี้ยงโทรศัพท์ทิ้งทันทีถ้าไม่ติดกับความคิดที่ว่า
เธอไม่ใช่นางร้ายและไม่จำเป็นต้องโมโหขนาดนั้นด้วย
เข้าใจมั้ยยยย!!
สูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ๆ
ก่อนจะกัดฟันทำเสียงสดใสตอบกลับไปยังปลายสาย
“หรอ..ว่าแล้วเชียว
ไอ้เราก็เป็นห่วงนึกว่าเป็นอะไร
เห็นบอกจะโทรหา
นึกว่าจะโทรถามว่ากลับบ้านหรือยังเหมือนลิงน้อยของเอิ้นซะอีก”
“อ้าว...ก็ไหนบอกไม่ให้โทร
เค้าก็ไม่โทรสิ โทรไปเดี๋ยวก็ว่าเค้าอีก”
“ว่า??...หึ!..ว่าอะไร
เค้าจะว่าอะไรเอิ้นมิ๊ทร๊าบบบ”
“ก็ว่า..อ้าวเฮ้ย!?
แล้วทำไมต้องทำเสียงสูงอย่างนั้นด้วย
นี่พูดๆอยู่เหมือนกำลังโกรธอะไรเค้าอยู่ด้วยซ้ำ
ทำไม มีอะไรหรือเปล่านี่
ตกลงโทรมาหาทำไม
เป็นอะไร ใครทำอะไรพะแพงอีกบอกเค้ามา
เดี๋ยวเค้าจะจัดการให้”
ยัยลิงน้อยเธอนั่นล่ะที่ทำให้อารมณ์ฉันหงุดหงิดอยู่นี่
จัดการได้มั้ยล่ะ!
นั่นคือสิ่งที่เธอคิดในขณะที่ทำปากมุบมิบ
ด้วยคันปากอยากบอกปลายสายออกไปแต่ใจไม่กล้า
ได้แต่นั่งเขี่ยผ้าปูเตียงเงียบๆไปไม่ส่งเสียงอะไรเลยจนปลายสายต้องถามย้ำ
“พะแพงเป็นอะไร
ตกลงเป็นอะไรอีกคะคุณหญิง”
“ไม่ได้เป็นอะไร
แค่นี้ล่ะ แค่โทรมาเช็คเฉยๆว่ากลับถึงบ้านหรือยัง
ถ้ากลับแล้วก็แล้วไป”
“อ้าว..ก็..”
ยังไม่ทันที่ปลายสายจะตอบกลับอะไรเธอก็กดตัดสายโทรศัพท์ทิ้ง
มิหน้ำซ้ำอาการงอนน้อยใจเพื่อนรักยังทำให้เธอถึงกับปิดเครื่องเพื่อกันไว้ไม่ให้หล่อนโทรเข้ามาหาเธอได้อีก
หน็อยย..นี่เป็นห่วงเด็กคนนั้นว่าจะกลับบ้านตอนไหนแต่ไม่ได้สนใจใยดีฉันเลยอย่างนั้นเร๊อะ
น้ำตาแห่งความน้อยใจพรั่งพรูออกมาทันทีเมื่อคิดได้ว่าเธอไม่ได้มีความสำคัญเท่ากับเด็กคนนั้นเลย
บ้าชะมัดเลย..แล้วนี่ทำไมฉันต้องมาร้องไห้ให้เธอหนักขนาดนี้ด้วยนะเอิ้น
ทั้งๆที่เราไม่ได้เป็นอะไรกันแท้ๆ
และตัวเองก็ไม่เคยคิดที่จะสารภาพรักกับหล่อนเลยด้วยซ้ำ
นี่ฉันจะต้องอกหักทั้งๆที่ยังไม่ได้เริ่มรักเธอเลยจริงๆอย่างนั้นเหรอ
ทั้งคิดทั้งร้องไห้ฟูมฟาย
หวังว่าน้ำตาแห่งความน้อยใจจะช่วยชะล้างใจให้หายฟุ้งซ่านเสียที
--<><><><>--
“วันนี้มาคนเดียวอีกแล้วเหรอจ๊ะพะแพง
แฟนไปไหนแล้วล่ะ
ทำไมไม่ค่อยเห็นไปไหนมาไหนด้วยกันเลยเดี๋ยวนี้”
เสียงเพื่อนร่วมห้องแซวพะแพงในห้องเรียนตอนเช้าของวันใหม่
ทำเอาคนโดนแซวหยุดชะงักด้วยทั้งเขินและทั้งสะเทือนใจในคราวเดียวกันจนใบหน้าเหวอบอกอารมณ์ไม่ถูกเลยทีเดียว..
“เอ่อ..ไม่รู้เหมือนกัน
เค้าก็ไม่ค่อยได้เจอเอิ้นเลยช่วงนี้”
ยิ้มแหยๆให้เพื่อนคนนั้นเมื่อตอบคำถามที่สื่อถึงแฟนในโลกโซเซี่ยลของเธอ
ที่แน่นอนว่านอกจากพวกเธอจะถูกบรรดาชาวเน็ตแซวว่าเป็นคู่จิ้นที่สวยน่ารักสมกันที่สุดแล้ว
บรรดาเพื่อนร่วมห้องของพวกเธอก็ต่างมีความเห็นไม่ต่างจากโลกออนไลน์เลย
แรกๆพวกเธอก็ขำดีอยู่หรอก
กับการมีชื่อเสียงจากข่าวคู่จิ้น
แต่หลังๆเมื่อมีภาพของเธอแพร่หลายออกไปหลายๆสื่อกลายเป็นว่าเธอโดนหลายๆคอมเมนต์เทะโลมส่อเสียดไปทางลามกอนาจารและคุกคามเรือนร่างพวกเธอมากกว่าจะบอกว่าเธอน่ารักสดใสแบบเด็กๆ
บางคอมเมนต์ลามปามเลยเถิดไปขนาดที่ว่า
หากพวกเธอได้ผู้ชายสักครั้งคงจะติดใจและลืมลีลาการตีฉิ่งกันไปเลย
แน่นอนว่ามีบางคนเป็นเดือดเป็นร้อนกับคอมเมนต์พวกนั้นมาก..โดยเฉพาะเอิ้น
ซึ่งเวลาที่เอิ้นโมโหโกธาพวกบ้ากามพวกนั้น
มันก็ทำให้พะแพงรู้สึกตะขิดตะขวงใจที่จะแอบคิดเกินเลยกับเพื่อนไป
ในเมื่อเพื่อนอาจจะไม่ได้คิดอะไรอย่างที่ตัวเองคิด
หล่อนเลยเป็นเดือดเป็นแค้นพวกนั้นนัก...
“อ้าวเหรอ
เออ..นี่..เห็นวันก่อนเอิ้นน่ะ..”
เพื่อนคนนั้นทำท่าจะกระซิบกระซาบฟ้องอะไรกับพะแพงต่อ
แต่เสียงกระแอมของคนที่สามในบทสนทนาก็ดังเตือนสติให้เพื่อนคนนั้นหันไปยิ้มแหยๆให้หล่อนก่อน
“นินทาอะไรมิทราบจ๊ะ”
“อุ๊ย..เปล่า..”
เพื่อนคนนั้นยิ้มกรุ้มกริ่มก่อนจะเปลี่ยนมาแซวคนทักต่อ
“เอ้อ..ได้ข่าวว่าได้เมียใหม่แล้วนี่เธอ”
แน่นอนว่าพะแพงสำลักทันทีที่ได้ยินคำถามนั้น
“เมียใหม่ก็ส่วนเมียใหม่สิ
นี่เมียใหญ่ส่วนนั่นเมียน้อย”
คนโดนถามทั้งพูดทั้งเดินมาโอบกอดคอพะแพง
จนคนโดนกอดน่าแดงฉ่า
ได้แต่พยายามปัดป้องเอามือของหล่อนออกจากตัวแต่กลับโดนหล่อนกอดรัดยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
“นี่ไม่ต้องมาฟ้องอะไรเมียเราเลยนะ
เราขออนุญาติเมียเราแล้วใช่มั้ยคะที่รัก”
หันมายิ้มหวานมองใบหน้าพะแพงที่แดงแล้วแดงอีกไม่รู้จะตอบรับหล่อนว่าอะไร
ได้แต่งึกๆงักๆพยักหน้ารับมุกแล้วบอกให้หล่อนปล่อยตัวเองเสียที
แต่อย่านึกว่าคนกอดจะยอมปล่อยง่ายๆ
เพราะพอเพื่อนคนนั้นเดินหนีไปทิ้งให้พวกเธออยู่กันสองต่อสองหล่อนกับกอดพะแพงแน่นกว่าเดิม
ซ้ำยังโน้มหน้าลงมาขโมยหอมแก้มเธอฟอดใหญ่ๆอีกหลายๆฟอดอีก
“โอ๊ยยย!!”
พะแพงตาเหลือกมองคนขี้ขโมยยิ้มกรุ้มกริ่มหัวเราะคิกๆอยู่ต่อหน้า
“ทำอะไรน่ะ
นี่บอกแล้วใช่มั้ยว่าห้ามหอมอย่างนี้ต่อหน้าคนอื่นอีกน่ะ”
ทำเสียงดุๆห้วนๆต่อว่าหล่อน
ทั้งที่ในใจกระดี๊กระด๊าเต็มที่
ได้แต่นับ1-10ด้วยกลัวว่าจะหลุดยิ้มให้หล่อนไป
ให้ตายเถอะอุตสาห์ตั้งใจไว้ว่าวันนี้ทั้งวันจะเก๊กโกรธหล่อนให้ได้แล้วแท้ๆ
ไม่ได้นะพะแพง อย่าเผลอใจอ่อนเชียว
คิ้วขมวดมองหน้าหวานๆของเอิ้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสะบัดหน้าหนีไปตั้งหลักนั่งหันหลังกอดอกให้หล่อนต่อ..
“อะไรกัน
ยังโกรธไม่หายอีกเหรอ
เอ้อไม่สิ..ตกลงพะแพงโกรธอะไรให้เค้า
เค้ายังไม่รู้เลยนะนี่
เมื่อวานโทรหาก็ปิดเครื่อง
จะคุยก็ไม่คุย จะเคลียร์ก็ไม่เคลียร์”
คนขโมยหอมแก้มยืนต่อว่า
ก่อนจะนั่งลงกับเก้าอี้ของตัวเองแล้วกอดอกนั่งมองอีกคนที่ยังคงนั่งหันหลังให้เธอไม่ยอมหันมามองกันบ้างเลย
“อะไรกันน่ะ..”
แอบบ่นงึมๆงัมๆให้หล่อนเมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับใดๆกลับมา
ก่อนจะมองซ้ายมองขวาแล้วยื่นมือไปเขี่ยปลายผมหางม้าของหล่อนเล่น
เขี่ยๆเล่นๆอยู่ครู่หนึ่งด้วยหวังว่าหล่อนจะหันมาบ้าง
แต่จนแล้วจนรอดแม่สาวขี้ใจน้อยก็ไม่ยอมแม้แต่จะแยแสดูเธอเลย
“เฮ้อ..
อะไรกันนักกันหนานะ
เมื่อคืนก็ไม่ได้นอนทั้งคืน...ง่วงนอนจะตายอยู่แล้ว~~งึมๆๆ..”
ทั้งพูดทั้งบิดขี้เกียจและทำท่าหาวหวอดๆจนคนนั่งหันหลังก็อดที่แอบชำเลืองมาดูหล่อนไม่ได้เมื่อได้ยินคำว่าไม่ได้นอน
ซึ่งแน่นอนว่าว่าเอิ้นก็แอบมองเห็นท่าทางเก๊กๆแอบมองของคนนั่งหันหลังเช่นเดียวกัน...
“เฮ้อง่วงนอนจังเลย
รู้งี้น่าจะนอนตั้งแต่หัววันดีกว่าไม่น่าโทรตามคนขี้งอนที่ปิดเครื่องหนีเค้าเลย..”
คนฟังชะงักทันทีเมื่อได้ยินเสียงคนด้านหลังบ่นพึมๆพัมๆอีกครั้ง
“..ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้นางฟ้าใจดีคนเดิมเป็นอะไรไปนะ
รู้สึกว่าจะอารมณ์เสียบ่อยๆ
สงสัยไม่ค่อยได้น้ำตาล”
ใกล้แล้ว..ใกล้ที่พะแพงจอมเก๊กจะหลุดยิ้มแล้วล่ะ
ด้วยเพราะคำพูดของเอิ้นที่มาพร้อมๆกับการเขี่ยๆไถๆหลังของเธอก็พอจะทำให้เธอรู้ว่าหล่อนกำลังหมายถึงใคร
และถึงจะหน้าบึ้งหรือตั้งใจโกรธขนาดไหนแต่เมื่อปลายหางตาของพะแพงหันไปเห็นชอคโกแลคทอบบาโลนสีขาวค่อยๆเคลื่อนตัวผ่านโต๊ะมาหยุดที่ต่อหน้าแล้วเธอก็รีบหันใบหน้าที่จะยิ้มไม่ยิ้มแหล่ไปหาที่มาของมันทันที
“อ๊ะ
ซื้อน้ำตาลมาฝาก
อารมณ์ไม่ดีอย่างนี้ต้องกินชอคโกแลคนะรู้มั้ย
เค้าอุตสาห์แวะเซเว่นซื้อมาฝากเมื่อเช้า”
เจ้าของมือที่กำชอคโกแลคทอบบาโลนค้างไว้ยิ้มหวาน
สายตาก็จ้องมองมาที่พะแพงที่หลุดยิ้มแล้วก็ยิ้มอีก
ยิ้มอย่างที่ไม่เคยยิ้มมาก่อนเลยในช่วงระยะเวลาหลังๆมานี่
หลังจากที่พวกเธอสองคนมีข่าวคู่จิ้นออกมา
ซึ่งเหตุผลที่ทำให้พะแพงหลุดยิ้มออกมาก็ใช่ว่าจะมาจากแท่งชอคโกแลคซะทีเดียว
ในเมื่อหันไปมองมือของหล่อนที่กำแท่งชอคโกแลคค้างไว้แล้วยังมองเห็นบางอย่างที่ดูยังไงก็ไม่เข้ากันกับคนสวยท่าทางทันสมัยและเป็นแฟชั่นนิสต้าตัวยงอย่างเอิ้นเอาซะเลย
แต่หล่อนก็ยังคงนำมันมาติดตัวเสมอแม้คนอื่นจะแซวว่ามันเชยแสนเชยและไม่เข้ากับตัวหล่อนยังไงก็ตาม
ภาพนาฬิกาพลาสติกสีชมพูลายมินนี่เมาส์ที่ยังคงอยู่ที่ข้อมือหล่อนตลอด
ตั้งแต่ที่เธอซื้อให้หล่อนเป็นของขวัญวันเกิดตอนป.3
แน่นอนว่ามันดูฮิตและแพงมากในยุคนั้นเพราะมันคือของลิขสิทธิ์แท้ชิ้นแรกที่เธอตั้งใจเก็บตังซื้อให้หล่อน
แต่พอเวลาผ่านล่วงเลยมา
แทนที่หล่อนจะเลิกใส่แม่เจ้าประคุณก็ดันใส่มันไว้ตลอดไม่ยอมถอดเปลี่ยนสักทีแม้ว่าจะมีของขวัญชิ้นไหนที่ทันสมัยดูดีกว่านี้แล้วก็ตาม
“ของขวัญชิ้นแรกจากเพื่อนรักจะให้ถอดทิ้งง่ายๆได้ยังไง
และที่สำคัญเค้าใส่จนติดแล้วด้วย
ไม่มีไอ้นี่ก็มาโรงเรียนไม่ได้”
นั่นคือสิ่งที่หล่อนบอกเหตุผลกับพะแพงตอนที่เธอถามหล่อนว่าทำไมไม่เปลี่ยนอันใหม่ใส่เสียทีเล่นเอาคนฟังยิ้มแล้วยิ้มอีก
ยิ้มจนแก้มปริเหมือนกับตอนนี้ที่เธอกำลังรับแท่งชอคโกแลคแท่งนั้นมาถือไว้แล้วนั่นล่ะ
“หายโกรธแล้วใช่มั้ย”
เจ้าของชอคโกแลคยิ้มหวานถามพะแพงด้วยเสียงออดอ้อนอีกครั้ง
ทั้งๆที่จริงตั้งใจว่าจะถามว่าโกรธอะไรมากกว่าแท้ๆ
แต่นึกๆดูแล้วเอาเป็นว่าเธอง้อพะแพงโดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองผิดอะไรเลย
มันคงจะทำให้สถานการณ์ตึงเครียดในตอนนี้ผ่อนคลายลงไวกว่านี้แน่ๆ
คนรับชอคโกแลคพยักหน้างึกงักๆโดยที่ใบหน้าก็แกล้งกลับมาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เหมือนเดิมอีก
เธอหยิบมันขึ้นมาอ่านนั้นอ่านนี้อยู่ครู่หนึ่งก็นึกอะไรขึ้นได้..
“ทำไมต้องซื้อสีขาวมา”
“ก็..ไม่มีอะไรมาก
แค่อยากให้ใจดีๆใจเย็นๆเหมือนแม่ชีเลยซื้อสีขาวมาให้”
“บ้า”
ยื่นชอคโกแลคไปเคาะหัวเพื่อนสาวทันทีที่ได้ยินคำตอบ
“คิดได้เนาะ”
“ก็จริง
เดี๋ยวนี้พะแพงหงุดหงิดง่ายมากๆเลยรู้มั้ย
เค้าอยากให้พะแพงใจดีๆใจเย็นๆเหมือนแต่ก่อนให้มาก
เค้าไม่ชอบพะแพงเวอร์ชั่นนี้เลย
เค้าเดาใจไม่ถูก ไม่รู้ว่าพะแพงเป็นอะไร”
คนตอบทำสายตาออดอ้อนตอนที่ถามคำถามหลังนั่น
“ก็เปล่า
ไม่ได้เป็นไรหรอก..”
ยังเก๊กเสียงตอบเหมือนเดิม
“สงสัยไม่มีเพื่อนกินข้าวเหมือนแต่ก่อนมั้ง”
หลุดขำทันทีที่ได้ยินคำตอบ
“แค่ไม่กินข้าวด้วยวันเดียวเองเนี่ยนะ”
พะแพงหันหน้าค้อนๆตาเหลือกมามองเพื่อนเมื่อเห็นว่าหล่อนกำลังตลกกับสิ่งที่เธอจริงจัง
จนอีกคนหุบยิ้มเลิกขำแล้วเก๊กซีเรียสคุยกับเธอต่อ...
“อ๊ะๆก็ได้ๆงั้นเดี๋ยววันนี้ไปกินข้าวด้วยนะ
โดดไปกินตั้งแต่ห้าโมงเลย
นั่งกินตั้งแต่ห้าโมงจนถึงบ่ายเลยดีมั้ยชดเชยที่เมื่อวานเค้าไม่ได้กินด้วย”
“บ้า”
ได้ยินคำตอบที่เหมือนประชดแล้วพะแพงก็ได้แต่แก้มอมลมงอนตุ๊บป่องต่อ
แต่ในใจลึกๆก็ยังหวังว่าหล่อนคงจะไม่หลอกให้นั่งกินข้าวคนเดียวแบบเมื่อวานแล้วใช่มั้ย
“จริงๆนะ”
ถามหล่อนกลับไปด้วยความไม่แน่ใจอีกครั้ง
เอิ้นยิ้มหวาน
ก่อนจะยื่นมือไปจับมือพะแพงให้ขึ้นมาเกี่ยวกับนิ้วก้อยของตัวเองไว้
จนคนโดนเกี่ยวกลายเป็นยิ้มหวานหน้าแดงแล้วแดงอีกที่ได้ยินข้อความจากเสียงหวานๆของหล่อนหลังจากนั้นอีก..
“จริงๆสิคะ
อ๊ะสัญญาเลยก็ได้
วันนี้เราไปกินข้าวด้วยกันนะคะที่รัก”