Lovely Mafia Girl
ลูกสาวเจ้าพ่อ ขอเป็นแฟนหนู
Special part : First date night
Chapter
3
Sisterly..
ฉันวางโทรศัพท์
รีบยกนิ้วชี้ขึ้นมาทำท่าทางจุ๊ปากแล้วยิ้มหวานกระซิบกระซาบคุยกับเธอทันที
“ไม่ได้ทำอะไร พี่เนยจะเสียงดังทำไม
นั่งทำงานไปเงียบๆเหมือนเดิมดิ..”
พี่เนยคิ้วขมวดทำตาขมึงใส่ฉัน
เธอก็โน้มหน้ามากระซิบกระซาบคุยโต้ตอบกับฉันเหมือนกัน
“จะบ้าเหรอ
ทำอะไรเนี่ย มือไม้กี้นี่ซนจัง
แล้วนี่ก็อยู่โรงเรียนนะ
ใครมาเห็นเข้าจะทำยังไงเนี่ย”
พี่เนยเอ็ดฉันมือข้างที่ถือปากกาก็ยื่นมาตีไหล่ฉันด้วยความโมโหของเธอไป
“ก็อย่าทำตัวโวยวายสิ
เงียบๆไปก็ไม่มีใครรู้หรอก
อยู่กันสองคนอยู่แล้วนี่
พี่เนยก็ยังเค้ย..”
ฉันแกล้งพูดเสียงสูงทั้งจ้องเขม็งทำตาเจ้าเล่ห์มองพี่เนยไป
ก่อนจะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่โต้เถียงกับเธอต่อ
“..ตอนที่กี้โดน
กี้ไม่เห็นจะโวยวายบอกใครเลยนะ
ตอนนี้พี่เนยก็ทำแบบกี้บ้างสิ..”
“ห๊ะ!!??”
พี่เนยคิ้วขมวดมองหน้าฉันด้วยความงงสุดชีวิต
เหมือนเธอไม่เชื่อว่าจะได้ยินคำพูดแบบนี้ออกมาจากปากฉันได้
เธอได้แต่นั่งจ้องหน้าฉันค้างไว้
จนฉันต้องพยักเพยิดให้เธอหันไปทำงานของเธอต่อ
“ทำงานต่อดิ..เร็วๆ”
พี่เนยเม้มปากทำสายตางอนๆมองหน้าฉัน
เธอนิ่งอยู่ครู่นึงก่อนจะตัดสินใจก้มลงไปเขียนงานของเธอต่อโดยที่ไม่ได้พูดอะไรเรื่องนั้นต่อเลย..
หึ..ทำท่าทางแบบนี้แสดงว่ายอมสินะ..
ฉันยิ้มทันทีที่คิดได้
โหมดความคิดชั่วร้ายกลับมาติดเครื่องอีกครั้งหนึ่งทันที..
เมื่อพี่เนยกลับไปก้มหน้าเงียบเขียนงานของเธอต่อ
มือข้างที่วางอยู่ตรงเนินเนื้อนั้นของฉันก็เริ่มเดินทางคืบคลานไปมาเรื่อยๆ
มันเดินทางผ่านเนินเนื้อด้านล่างจนไปถึงกึ่งกลางระหว่างกลีบดอกไม้ทั้งสองข้างนั้น...
“อุ้ย..”
พี่เนยสะดุ้ง
เธอถึงกับอุทานทันทีที่เนินอูมอิมนั่นโดนนิ้วซนๆของฉันสัมผัสเข้าให้
ตอนนี้พี่เนยก้มหน้าก้มตาเธอคงพยายามเก็บอาการสั่นสะท้านหวั่นไหวที่กำลังเกิดขึ้นกับเธอตอนนี้
แล้วยิ่งเห็นพี่เนยฝืนเก็บความอาการหวามหวั่น
ฉันก็ยิ่งอยากจะเอาชนะด้วยหวังอยากให้เธอหลุดอาการอ่อนระทวยออกมาให้ฉันเห็นใบหน้าที่แลดูอ่อนแอน่าทะนุถนอมเหมือนเวลาที่เรามีอะไรกันอย่างนั้นบ้าง
ตอนนี้ฉันก็เลยยิ่งกลายเป็นห้ามความอยากความท้าทายลึกๆที่แอบซ่อนอยู่ในใจตอนนี้ไม่ได้เลย
ได้แต่ออกแรงกดและเร่งจังหวะการเคลื่อนที่ของนิ้วมือซนๆของฉันให้เร็วเพิ่มขึ้น...
“อือ..”
พี่เนยครางเบาๆตอนที่มือฉันเคลื่อนที่ไปมาระหว่างแนวร่องนอกกางเกงชั้นในของเธอนั้น
ตอนนี้ฉันชำเรืองมองพี่เนยเห็นเธอกำลังคิ้วขมวดหลับตาพริ้ม
มือที่จับปากกานั้นก็กลายเป็นหยุดเขียนค้างกึ๊กเอาไว้
เหมือนเธอจะเกร็งจนเธอทำอะไรต่อไม่ได้เลย...
แล้วยิ่งเห็นใบหน้างามๆด้านข้างของพี่เนยที่แสดงความวาบหวามอ่อนระทวยอย่างนั้น
ฉันก็ยิ่งออกแรงกดพื้นที่ตรงกลางเนินเนื้อน้อยๆระหว่างที่นิ้วกำลังเคลื่อนที่ไปมาให้เร็วและแรงขึ้นอีก
จนพื้นที่แถบๆนั้นเริ่มชุ่มฉ่ำ
ตอนนี้จากที่พี่เนยหลับตาปรี๋นั่งนิ่งเกร็งตัวอยู่แล้วก็กลายเป็นยิ่งคิ้วขมวดเกร็งตัวเข้าไปใหญ่
เธอหน้าแดงกร่ำจนเธอต้องพยายามกัดริมฝีปากของเธอไว้
คงเพราะเธอไม่อยากส่งเสียงร้องอะไรออกมาอีกแล้วจะกลายเป็นมีคนมาได้ยินเข้า
มือเธอข้างที่จับปากกาก็กลายเป็นกำมันไว้แน่นพอๆกับมืออีกข้างที่ไม่ได้ถืออะไรไว้เลย...
ตอนนี้พี่เนยเม้มกัดริมฝีปากใบหน้าเหยเก
เธอก้มหน้าก้มตาลงมองพื้นโต๊ะอยู่ครู่ใหญ่ๆ
ก่อนจะพยายามบังคับฝืนร่างกายหยิบสมุดรายงานทั้งหมดยกขึ้นเหวี่ยงมาทางฉันอย่างแรง...
“อ๊ะ!!
รีบๆเขียนช่วยพี่เลยถ้าอย่างนั้น
มันจะได้เสร็จเร็วๆจะได้รีบๆกลับบ้านไปทำอย่างอื่นให้มันเสร็จๆ”
ฉันหลุดหัวเราะแล้วหยุดกวนเธอทันทีที่ได้ยินเสียงดุๆห้วนๆอย่างนั้น
พี่เนยคิ้วขมวดหน้าแดงกร่ำตอนที่เธอตวาดฉัน
สายตางอนๆของเธอกำลังต่อว่าฉันเรื่องที่ฉันกำลังแกล้งเธอจนกระทั่งเสียสมาธิไม่เป็นอันทำการทำงานอะไร
แถมยังคิดจะทำอะไรก็ไม่รู้อยู่ที่โรงเรียนอีก
สีหน้าของเธอตอนนี้ก็เลยบอกอารมณ์สับสนไปมาระหว่างความโกรธ
โมโหและอาย
หน้างามๆขาวๆนวลๆของพี่เนยก็เลยกลายเป็นแดงแจ๋ไปทั่วทั้งหน้าแล้วตอนนี้...
..ฉันทั้งขำทั้งสงสารพี่เนย
ดูเถิดตอนนี้กลายเป็นฉันเสียเองที่นิสัยไม่ดีคิดรังแกพี่เนยเหมือนๆกับที่เธอเคยทำฉัน
หนำซ้ำยังเป็นหนักกว่าเธอตรงที่หื่นไม่เลือกที่เลือกเวลาเสียอีก
ยิ่งมองผู้หญิงที่จ้องหน้าฉันอย่างเคืองๆงอนๆอย่างนี้แล้ว
ฉันก็ยิ่งเกิดความรู้สึกหลงรักและสงสารเธอจับใจ
ทั้งนึกเห็นใจเธอที่ยอมให้ฉันทำอะไรต่อมิอะไรก็ได้อย่างที่เธอเคยบอกเคยสัญญา
แม้มันจะดูหน้าอายและท้าทายที่จะโดนใครจับได้อย่างนี้ก็ตาม
ตอนนี้ความสงสารและความสำนึกผิดของฉันกำลังต่อว่าฉันให้รู้สึกละอายใจจนไม่รู้จะขอโทษกับนางฟ้าที่แสนจะใจดีคนนี้อย่างไรดี
นึกขึ้นได้แค่เพียงยื่นใบหน้าไปหอมแก้มแล้วก็บอกคำขอโทษเธอเบาๆเท่านั้นเอง...
...เย็นวันนั้นพวกเราก็รีบกลับบ้านมาปฏิบัติภารกิจบางอย่างที่ค้างคาให้แล้วเสร็จด้วยความเร่งรีบ
ก่อนจะรีบแต่งเนื้อแต่งตัวด้วยชุดนักเรียนชุดเก่าลงไปทำงานช่วยที่บ้านข้างล่างกัน..
“...ทำอะไรกันอยู่
ทำการบ้านกันอยู่เหรอทำไมนานจัง
นี่ถ้ายังมีการบ้านที่ต้องทำอยู่ก็พากันขึ้นไปทำให้เสร็จเลยก็ได้นะ..”
เป็นแม่ที่เอ่ยถามฉันตอนที่ฉันรีบเดินเข้ามาหยิบจานมาตักข้าวมันช่วยแม่
แล้วแม่ก็หันไปเหลียวมองดูพี่เนยที่เดินไปเก็บจานชามที่โต๊ะหน้าบ้านไปเก็บด้วยความรีบร้อนพอๆกับฉัน
ฉันเหงื่อตกหน้าแดงได้แต่ยิ้มแหยๆรับแม่ตอนที่ได้ยินคำถามที่ฟังดูเป็นห่วงเป็นใยที่ท่านเข้าใจว่าเราทั้งสองคนขยันทำงานทำการบ้านจนไม่มีเวลาพักแล้วยังต้องรีบลงแม่ดูงานช่วยพ่อกับแม่อีก
จนฉันฟังแล้วรู้สึกผิดได้แต่พยักหน้ารับแล้วแกล้งตอบถูๆไถๆแก้ตัวกับแม่ไป...
“ไม่เป็นไรค่ะ
พวกหนูทำการบ้านเสร็จแล้ว
คือ..เอ่อ..แฮ่ๆ
มันเป็นงานค้างที่โรงเรียนเฉยๆน่ะค่ะแม่
กี้กับพี่เนยรีบๆทำช่วยๆกัน
แป๊บเดียวมันก็เสร็จค่ะ..”
“จริงเหรอ
แล้วไม่เหนื่อยกันเหรอลูก
ไม่พักก่อนล่ะ ดูสีหน้าเราล้าๆนะ
เหงื่อก็ออกด้วย
นี่ร้อนกันหรือไงทำไมหน้าเหงื่อผุดออกมาทั้งสองคนล่ะลูก..”
แม่พูดตอนที่หันไปเจอว่าพี่เนยเดินมาประกบข้างๆโต๊ะเคาน์เตอร์เพื่อที่จะหยิบจับแตงกวามาปลอกเปลือกช่วย
แล้วดันไปเห็นว่าตอนนี้ทั้งหน้าของฉันและพี่เนยต่างมีเหงื่อไหลไคลย้อยทั้งสอง
จนดูเหมือนพึ่งไปทำอะไรที่ต้องใช้เหงื่อกันมา...
พี่เนยสะดุ้งทันทีที่ได้ยิน
มือที่ถือมีดมาปลอกแตงกวาก็ดันเผลอปล่อยตกด้วยความตกใจ
เธอรีบก้มลงเก็บมีดก่อนจะหันมายิ้มแหยๆด้วยหน้าตาล้าๆของเธอไป
ตอนนี้เธอหันหน้าเจื่อนๆแบ่งรับแบ่งสู้ของเธอมาทางฉันเหมือนเธอไม่รู้ว่าจะแก้ตัวกับแม่อย่างไรดี
ฉันมองอาการลุกลี้ลุกลนของพี่เนยแล้วก็รู้สึกขำ
นี่คงกลัวพ่อกับแม่ฉันจะจับพิรุธอะไรได้เรื่องที่เธอทำอะไรกับลูกสาวสุดที่รักของท่านทั้งสองล่ะสิ..
..แหม..ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกน่า..เค้ารู้กันหมดบ้านแล้วว่าเธอกับฉันเป็นอะไรกัน...
ฉันจ้องพี่เนยที่เหงื่อตกใบหน้าซีดเซียวแล้วก็อดขำไม่ได้
ได้แต่กลั้นหัวเราะหึๆแล้วหันมาอธิบายเหตุผลที่ฉันก็พึ่งนึกขึ้นได้ตอนนี้ให้แม่ฟังไป..
“พัดลมที่ห้องมันฝุ่นเยอะน่ะแม่
กี้กับพี่เนยเลยช่วยกันถอดออกมาล้างทำความสะอาดกัน
มันก็เลยร้อนก็เลยเหงื่อออกอย่างที่เห็นนี่ล่ะ
พอล้างเสร็จก็เลยรีบลงมาก็เงยเหงื่อเต็มหน้าอย่างนี้ไง..”
“อ้าวเหรอ..”
แม่หันไปหาพี่เนยทันที
ตอนนี้แม่ก้มลงหาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อบนหน้าให้พี่เนยก่อนจะเอ่ยปากถามเธอด้วยความเป็นห่วงต่อ..
“เนยร้อนมั้ยล่ะลูก..ถ้าร้อนก็บอกแม่นะ
เดี๋ยวไงเดือนหน้าแม่จะบอกให้พ่อเค้าหาช่างมาติดแอร์ให้
พวกหนูจะได้นอนเย็นๆสบายๆกันไง
แม่สงสารหนู หนูคงชินที่จะนอนแต่ห้องแอร์เย็น
มาอยู่กับกี้มันก็ร้อนนิดนึงนะลูกจริงๆแต่ก่อนแม่ก็ให้กี้เปิดประตูกระจกระเบียงนอน
แต่พอกี้โตเป็นสาวแม่ก็เป็นห่วงเค้ากลัวใครจะมาปีนระเบียงหาแม่ก็เลยให้ปิดไว้
ยังไงหนูก็ทนร้อนไปก่อนแล้วกันนะหนูเนย”
“มะๆไม่เป็นไรค่ะแม่
เนยไม่ร้อนเลยแค่นี้
อากาศกำลังเย็นสบายเลยค่ะ
แม่ไม่ต้องลำบากติดก็ได้นะคะคือ..เอ่อ
เนยไม่อยากรบกวนพ่อกับแม่แล้ว
แค่นี้เนยก็รู้สึกว่ารบกวนพ่อกับแม่จะแย่อยู่แล้ว
พัดลมที่อยู่ตอนนี้มันก็เย็นโอเคอยู่ค่ะ
เนยกับกี้นอนสบายดีค่ะ..”
...ฉันสะแหยะยิ้มหันไปชำเรืองมองดูพี่เนยยิ้มแหยๆอธิบายแม่
แล้วภาพตอนนอนในห้องก็ผุดขึ้นในหัวทันที..
..ก็ใช่สิ...ทำไมมันจะร้อน...เย็นจะตาย
ไม่เคยได้นอนร้อนกันสักที
ก็เล่นนอนเปลือยเปล่ากอดกันทั้งคืนอย่างนั้นมันจะไปร้อนอะไร้...เพราะพี่เนยชอบที่จะให้ฉันเปลื้องผ้านอนด้วยกันกับเธอตลอด
แถมวันไหนฉันทำท่าจะใส่เสื้อผ้านอน
เจ้าหล่อนก็ร้องไห้โวยวายกลายเป็นตามมาดึงมารั้นเสื้อผ้าออกจากฉันหมดตัว
จนฉันต้องจำใจนอนเปลือยเปล่าแก้ผ้าล่อนจ้อนกับเธอไปตามที่เธอบอกว่ารู้สึกดีที่ได้นอนกอดกันอย่างนี้ทั้งคืน...
“..ไม่เป็นไรหรอกแม่
ติดแอร์เดี๋ยวมันจะเย็นเวอร์เกินไป
พี่เนยคงไม่ชอบ..”พูดเสร็จฉันก็หันไปยิ้มน้อยยักคิ้วแกล้งแซวพี่เนยเผื่อเธอจะนึกเรื่องราวอย่างว่าออกได้
ซึ่งก็ได้ผลเพราะเธอก็หลุดหัวเราะทันทีทีได้ยินฉันบอกแม่ไปอย่างนั้น
เธอยิ้มแล้วพยักหน้ารับเห็นด้วยกับข้อความฉัน
ก่อนจะหันมาเอาหอบเอากองแตงกวาไปนั่งปอกเปลือกอยู่โต๊ะหลังร้านเงียบๆของเธอไป..
ค่ำวันนั้น
พี่เนยก็จัดการรักษาคำสัญญาของเธอด้วยการมอบบทเพลงรักหวานฉ่ำให้ฉันอิ่มหนำตั้งแต่หัวค่ำจนกระทั่งเกือบจะย่ำรุ่ง....
“..พี่เนย..ไม่เคยมีอะไรกับใครมาก่อนจริงๆเหรอ..”
เป็นฉันที่ถามพี่เนยขึ้นหลังเสร็จจากกิจกรรมรักที่พี่เนยปรนเปรอให้ฉันทั้งคืนแทบจะไม่มีเวลาหยุดเลยตั้งแต่ตอนที่เริ่มแรกๆจนกระทั่งมาถึงตอนนี้
บทเพลงรักหวานฉ่ำที่เธอบรรจงมอบให้ฉันครั้งแล้วครั้งเล่าจนฉันหมดแรงอ่อนระทวยได้แต่นอนซบอกพี่เนย
พร้อมๆกับคำถามที่เกิดขึ้นในหัวเพราะไม่อยากจะเชื่อว่าพี่เนยหญิงสาวในวัย17ปีคนนี้จะเก่งชำนาญเรื่องอย่างว่าจนทำให้ฉันหลงเคลิ้มเสพติดเพลงรักของเธอจนไม่เป็นอันกินอันนอนขนาดนี้ได้...
“ทำไมถามอย่างนั้นล่ะ”
พี่เนยตกใจเธอถึงกับผงกหัวเธอขึ้นมามองหน้าฉันผ่านแสงจันทร์ในความมืดทันทีที่ได้ยินคำถามกำกวมอย่างนั้น
“นี่กี้ไม่เชื่อว่ากี้เป็นคนแรกของพี่อย่างนั้นเหรอเนี่ย..ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะ...”
“กี้ไม่ใช่ไม่เชื่อนะ
แค่อยากจะถามดูว่าพี่เนยไม่เคยมีอะไรกับใครมาก่อนจริงๆเหรอ..ทำไมถึงทำอย่างนั้น..เก่งจัง..”
เธอหลุดหัวเราะทันทีที่ได้ยินฉันอธิบายคำถามจบ
ตอนนี้เธอค่อยๆเลื่อนมือของเธอบรรจงลูบไล้แผ่นหลังของฉันไปมาด้วยความอารมณ์ดีของเธอไป
“นี่กี้ชมพี่เหรอนี่
พูดซะตกอกตกใจหมด
เอ..คนที่ไม่เคยมีอะไรกับใครแต่ทำเรื่องอย่างว่าเก่งนี่
มันน่าแปลกนักใช่มั้ย”
“แปลกสิ
ไม่เคยทำแล้วทำเป็นได้ยังไง
ฮึ...ว่าจะถามตั้งแต่วันแรกๆที่อย่างนั้นด้วยแล้ว
มัวแต่อายอยู่เลยไม่กล้า...ไปหัดทำอย่างนั้นมาจากไหน
ยิ่งกับผู้หญิงด้วยกันอีก..”
พี่เนยหัวเราะรั่วทันทีที่ได้ยินฉันถามกระแนะกระแหนเธอย่างนั้น
“อืมจะให้บอกว่าไงดีล่ะ..เอางี้ดีกว่า...กี้ว่าพี่หน้ามึนมั้ย”
“มึนสิ
มากด้วย”
“นั่นไง
คนหน้ามึนมักจะรู้เรื่องประเภทนี้ไวกว่าคนอื่นๆอยู่แล้ว
แล้วเดี๋ยวนี้คลิปเรื่องอย่างว่าก็มีเยอะ
ไม่แปลกหรอกที่พี่จะรู้วิธีทำอะ..”
พี่เนยทั้งพูดทั้งหัวเราะ
เธอคงคิดว่าฉันกำลังชมเธอว่าเธอน่ามึนอยู่แน่ๆ..
แต่แอ๊ะ
ที่เธอรู้ว่าคลิปเรื่องอย่างว่าเยอะ...งั้นก็แสดงว่าเธอก็ต้องเคยดูแล้วสิ...
“พี่เนยดู..คลิปอย่างว่าด้วยเหรอ..”
“ดูสิ....”
“แล้วไง..แค่ดูอย่างเดียวก็เป็นแล้วนี่นะ
ไม่เชื่อหรอกมันต้องมีภาคปฏิบัติสิ
ไปหัดทำอย่างนั้นกับใครมาบอกกี้มาเดี๋ยวนี้นะ”
“จะไปหัดอะไรกับใครเล่า...ก็หัดกับตัวเองสิ..”
“ห๊ะ..หัดกับตัวเอง
หัดยังไง”
พี่เนยขำทันทีที่ได้ยินเสียงเหวอร้องถามพี่เนยไปด้วยอาการตกอกตกใจอย่างนั้น
“นี่ไม่ต้องแปลกใจหรอกเรื่องบางเรื่องมันก็เป็นเรื่องธรรมชาติ
คนเราทุกคนมันก็ต้องมีบางเวลาที่มีอารมณ์อย่างว่าเกิดขึ้นมาสักครั้งในชีวิตบ้างล่ะ
ขึ้นอยู่ที่ใครจะยืดอกยอมรับได้มั้ยเท่านั้นล่ะ
พี่น่ะก็เป็นแค่คนธรรมดาๆมีอารมณ์มีความรู้สึกเหมือนมนุษย์ทั่วๆไป
เวลาที่พี่คิดถึงกี้ขึ้นมา...พี่ก็....อย่างนั้นตลอดล่ะ..”
“...อะไรคืออย่างนั้นตลอดอ่ะ..”
ฉันยังเหวอค้างตะกุกตะกักถามพี่เนยคืนด้วยความรู้สึกอายแสนอายแต่ก็อยากรู้อยากเห็นมากเกินกว่าจะเก็บคำถามไว้ในใจคนเดียวได้
พี่เนยยิ้มเธอจ้องมองฉันในความมืดอยู่นานกว่าจะโน้มหน้ามากระซิบกระซาบใกล้ๆ...
“..ก็หัดกับตัวเองอย่างที่บอกกี้ไปเมื่อกี้ไง
กี้ไม่เคยเหรอ...”
“บ้า
ใครจะไปเคยกี้ยังเด็กอยู่นะ
พี่เนยพูดเรื่องอะไรนี่
โอ้ยๆๆไม่ฟังแล้วๆ...”
ฉันยกมือสองข้างมาปิดหูไว้ด้วยความอายเหลือเกินที่เผลอคิดตามเรื่องพี่เนยพูดซะเห็นภาพไปไกลแสนไกล...
ใช่..ฉันเห็นภาพในสิ่งที่พี่เนยพูดได้ชัดเจน
เนื่องจากว่าฉันก็เคยหลงเข้าไปดูคลิปอย่างว่าตอนที่ผู้หญิงทำอย่างนั้นด้วย
ฉันก็เลยรู้ว่าสิ่งที่พี่เนยกำลังอธิบายฉันอยู่นี่คืออะไร
แต่ฉันรับไม่ได้และฉันไม่คิดว่าฉันจะทำอย่างนั้นเด็ดขาด
ใช่..ฉันจะไม่ทำอย่างนั้นแน่ๆ...ฉันคงจะไม่มีอารมณ์จนถึงขั้นอดรนทนเก็บความรู้สึกอย่างนั้นเอาไว้ไม่ได้จนถึงขนาดทำเรื่องน่าอายขนาดนั้น
แม้ถึงกระทั่งตอนนี้ที่ฉันฟังพี่เนยพูดมาฉันก็ยังหน้าแดงกร่ำด้วยความรู้สึกเขินอายจนตัวเองไม่กล้าแม้แต่จะนึกว่าช่วงก่อนที่พี่เนยจะมาคบกับฉันนั่น
เธอก็ทำอย่างนั้นเวลาที่เธอคิดถึงฉันเสมออย่างที่เธอบอก...
“..ฮะฮ่า
กี้ไม่เคยก็ไม่แปลกหรอก
เด็กสาวผู้แสนจะไร้เดียงสาอ่อนต่อโลกอย่างกี้จะไปรู้ได้ไงเล่า
และที่สำคัญกี้ก็คงไม่มีโอกาสได้ทำอย่างนั้นแล้วล่ะ
เพราะตอนนี้กี้ก็อยู่กับพี่ตลอดเวลาอยู่แล้วมีคนทำให้อยู่แล้ว
เรื่องอย่างนั้นมันก็คงไม่สำคัญกับกี้หรอกใช่มั้ย..”
“บ้าอะพี่เนยบ้ามากๆเลย
กี้ไม่ฟังพี่เนยแล้ว”
ฉันทั้งพูดทั้งยกมือขึ้นปิดหูตัวเองไว้ก่อนจะโดนพี่เนยยื่นมือมาดึงมือฉันออกแล้วแกล้งกระซิบกระซาบยั่วอารมณ์ฉันอีก
“นี่ไม่ต้องทำเป็นรับไม่ได้หรอก
เรื่องอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องเสียหายนะ
คนที่ไม่รู้จักจัดการกับอารมณ์ตัวเองในทางที่ถูกซะอีกน่ะที่น่าจะโดนตำหนิอ่ะ
กี้คิดดูถ้าพี่น่ะมีอารมณ์แบบนั้นแล้วไม่จัดการด้วยตัวเองเอาแต่วิ่งโร่ออกไปหาผู้ชายป่านนี้พี่จะเป็นยังไงอ่ะ
พี่จะไม่กลายเป็นผู้หญิงOne
night Stand ที่เสี่ยงต่อท้องเสี่ยงต่อโรคอย่างนั้นเหรอ
แล้วกี้น่ะถ้าไม่ได้มาเจอพี่ก่อนสักวันก็ต้องทำอย่างนี้เหมือนกันนั่นล่ะ
เชื่อดิ จะอายทำไมเล่า..”
พี่เนยทั้งพูดทั้งโน้มหน้าเข้ามาใกล้ๆฉัน
เธอคงพยายามเพ่งมองสายตาของฉันผ่านความมืด
“..รู้มั้ยว่าโลกข้างนอกมันโหดร้ายมากเลยนะ
นี่กี้ยังไม่เคยออกไปเจอโลกกลางคืนโลกของแสงสีสักทีนี่น่ะว่ามันอันตรายขนาดไหน
พี่ถึงอยากให้กี้ออกไปเที่ยวไปเปิดหูเปิดตากับพี่บ้าง
บางทีในอนาคตถ้ากี้ได้พบเจออะไรแย่ๆกี้จะได้รับมือได้ไง...”
ฉันหันขวับไปเหล่ตามองแรงพี่เนยทันทีที่ได้ยินเธอวกเข้าไปเรื่องที่เธอยากให้ฉันไปเที่ยวกับเธอในปีใหม่นี้
..แหม
นึกว่าจะมีสาระ...กำลังจะเคลิ้มแล้วเชียว..
“นั่น...วกเข้าเรื่องไปเที่ยวอีกแล้ว..”
“ไม่ได้วก
อันนี้อธิบายให้ฟัง”
“อ๋อเหรอ
แล้วไงล่ะเรื่องที่บอกว่าจะท๊อป3วิชานั่นมันเข้าเค้าบ้างหรือเปล่าล่ะ
อย่าลืมนะต้องท๊อปสามวิชานะ
ไม่อย่างนั้นไม่ไปด้วยนะ”
“โธ่
เข้าเค้าสิ เข้ามากๆด้วย
คอยดูแล้วกันพี่จะเก็บสามแต้มเอามาให้กี้ดูให้ได้เลย”
“เฮอะๆ
อย่าคุยให้มันมากนักเล้ย
เดี๋ยวก็เสียคำพูดตัวเองเปล่าๆ
กี้ว่าเก็บปากเอาไว้พูดตอนที่ผลสอบมันออกมาจะดีกว่ามั้ย..”
พี่เนยหัวเราะคิกๆคักๆในความมืดแล้วโน้มหน้าเข้ามาหอมแก้มฉัน เธอยิ้มกรุ้มกริ่มพร้อมๆกับทำเสียงโยกโย้ท้าทายตอนที่เธอนอนมองหน้าฉันในความมืด...
“..ได้สิ
งั้นพี่จะเก็บปากตัวเองเอาไว้...รอให้ถึงเวลาทีเดียวแล้วพี่ค่อยก็จะพูดกับกี้ดีกว่านะว่า...รักษาสัญญาด้วยนะ...”
***************************************
“..รักษาสัญญาด้วยนะ..”
เสียงกรุ้มกริ่มลอยแทรกเข้ามาแทบจะกระแทกหน้าผากฉัน
ตอนที่ฉันยืนเหวอค้างด้วยความรู้สึกประหลาดใจทันทีที่ได้อ่านข้อความจากเจ้ากระดาษแผ่นสีขาวๆที่พิมพ์ตารางบรรดารายชื่อของนักเรียนชั้นม.5/5ที่เป็นสายชั้นของพี่เนยออกมาแปะติดไว้ตรงบอร์ดหน้าห้อง
ในวันที่ 29ธันวาคม
ก่อนที่โรงเรียนจะหยุดยาวในช่วงปีใหม่...
พี่เนยหยิบเอาไม้บรรทัดขึ้นมาทาบใต้รายชื่อของเธอเพื่อเน้นให้ฉันอ่านข้อความตรงบรรทัดของเธอง่ายๆ...
...เลขที่
32
นางสาวเนรนิมิตร
ธนสารพิบูลทรัพย์...เอ...มันมีเครื่องหมายดอกจันทน์สีแดงๆที่มีคนมาเน้นไว้ตรงช่องคะแนนสามช่อง
ฉันเงยหน้าไล่ดูจากคะแนนของคนข้างบนสุดจนถึงข้างล่างสุดปรากฏว่า
คะแนนพี่เนยที่เน้นเป็นดอกจันทน์ไว้สามช่องนั้น..คือคะแนนที่สูงที่สุดของรายวิชานั้นๆในห้องนั่นซะด้วย..
“ล้อเล่นหรือเปล่านี่”ฉันเหล่ตามองพี่เนยทั้งตกใจทั้งไม่อยากจะเชื่อ..
“ล้อเล่นที่ไหน
เห็นมั้ยนี่ลายเซ็นอาจารย์และเพื่อนๆเค้าก็ยืนอ่านกันเต็มอยู่
อาจารย์พึ่งเอามาติดตอนเที่ยงนี่
พี่คงไม่บ้าถึงขั้นเอาคะแนนไปแก้ขนาดนั้นหรอกนะ...”
ฉันคิ้วขมวดจ้องหน้าพี่เนยด้วยความเหวอค้างก่อนจะหันมายืนอ่านรายชื่อวิชาที่เธอทำคะแนนสูงสุดได้
เอ..มันมีวิชา..
การฟังและการพูดภาษาอังกฤษ
ภาษาอังกฤษเพื่อการท่องเที่ยว
และ....
...หน้าที่พลเมือง????
“..เฮ้ยมีหน้าที่พลเมืองด้วย
พี่เนยเอาอะไรไปสอบกับเพื่อนอ่ะ
แล้วๆอาจารย์เอาอะไรมาตัดเกรดให้พี่เนยอ่ะ”
พี่เนยตาขวางมองแรงฉันทันทีที่ได้ยินฉันส่งเสียงโวยวายราวกับตกตะลึงไม่เชื่อว่าเธอจะท๊อปวิชานี้ได้..
“ทำไมล่ะ
อาจารย์ก็แค่เก็บคะแนนก็สอบก็วัดความรู้ตามที่เราเรียนตามงานที่ส่ง
ทำไมกี้ต้องตกอกตกใจทำยังกับว่าคนอย่างพี่ไม่น่าสอบได้ท๊อปวิชานี้อย่างนั้นล่ะ”
พี่เนยพูดด้วยน้ำเสียงงอนๆต่อว่าฉัน
ตอนนี้พอเพื่อนๆของเธอได้ยินเสียงฉันร้องถามพี่เนยเรื่องเมื่อครู่นี้
พวกเขาก็พากันหัวเราะคิกๆคักๆเหมือนจะขำที่เห็นฉันทำท่าจะไม่เชื่อว่าพี่เนยที่ทำตัวเกรกมะเหรกเกเรจะสอบวิชา..เอ่อ..หน้าที่พลเมือง
ได้ท๊อปด้วย...
“เนยเค้าตั้งใจอ่านหนังสือแล้วก็ทำงานส่งตลอดนะวิชานี้
แถมยังเข้าเรียนทุกคาบอีก
ไม่แปลกหรอกที่เนยจะทำคะแนนได้เยอะอ่ะน้องกี้”
หนึ่งในเพื่อนของเธออธิบายให้ฉันฟัง
ฉันเหลียวกลับไปดูเป็นพี่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ฉันจำได้ว่าเธอเป็นคณะกรรมการโรงเรียนเหมือนๆกันกับฉันด้วย
ฉันหันไปยิ้มและพยักหน้ารับพี่คนนั้น
ก่อนจะหันมามองหน้างอนๆนอยด์ๆของพี่เนยที่เธอเห็นว่าฉันไม่เชื่อมั่นในตัวเธอเอาเสียเลย
“อะๆ
เลิกทำหน้าอย่างนั้นได้แล้ว
กี้แค่งงเฉยๆ ไม่ใช่ไม่เชื่อสักหน่อย”
พี่เนยยังคงคิ้วขมวดมองแรงค้าง
เธอดึงเอาไม้บรรทัดออกมาตีไหล่ฉันแป๊ะๆก่อนจะทำเป็นพูดวกเข้าคำสัญญานั่นอีก
“สอบได้ตามที่ขอแล้ว
ก็อย่าลืมรักษาสัญญาด้วย
อย่าสักแต่ว่าพูด..เข้าใจมั้ย....”
พูดเสร็จเธอก็ยกไม้บรรทัดมาชี้หน้าฉันไว้ทำท่าเหมือนจะข่มขู่ไม่ให้ฉันเบี้ยวสัญญากับเธอ
“รู้แล้วน่า...”
...แล้วตั้งแต่ตอนนั้นพี่เนยคนเกือบเก่งก็ดูจะสดใสร่าเริงกระดี๋กระด๋าเป็นพิเศษ
เธอเดินโอบไหล่ฉันพาเดินเข้าไปในห้องเรียนเธอแล้วทำเป็นชี้ชวนบอกเพื่อนๆก๊กที่จะไปเที่ยวกับเธอว่า
จะมีฉันคนนี้ไปเที่ยวกับเธอด้วย
ฉันมองดูทีท่าเพื่อนๆของเธอแม้พวกเขาจะยิ้มรับทำเป็นตื่นเต้นดีอกดีใจกับพี่เนย
แต่สายตาของพวกเขาที่แอบเหลียวมองฉันแล้วหันไปแอบส่งซิกมุบๆมิบๆกันมันก็ทำให้ฉันรับรู้ได้ถึงพลังงานอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ในนั้นทันที...
เย็นวันนั้นพี่เนยให้รถตู้ไปส่งเธอกับฉันที่ห้างสรรพสินค้าในเมือง
เธอพาฉันไปเคาน์เตอร์แบรนด์เครื่องสำอางค์ต่างประเทศยี่ห้อหนึ่ง
เธอเลือกหยิบเครื่องสำอางค์ขึ้นมาทำเป็นหยิบลองหยิบเทสตั้งหลายอย่างทำท่าเหมือนจะไม่เอาแต่สุดท้ายหล่อนก็คว้าเลือกมันทั้งหมดเอาไปเคาน์เตอร์จ่ายเงินจนได้
ฉันมองดูฝาแป้งพับเจ้าโลโก้ตัวอักษรCไขว้แบบนี้ฉันเห็นมันตั้งกองๆกันอยู่ในห้องพี่เนยตั้งหลายอัน
บางอันฉันลองเปิดฝาขึ้นมาดูก็เห็นลักษณะของแป้งด้านในยังไม่ถูกใช้ไปด้วยก็มี
ทั้งเจ้าลิปสติกพวกนี้อีกฉันเห็นพี่เนยตั้งๆเรียงๆไว้ที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง
บางสีก็ซ้ำกันแต่เธอก็ยังอุตสาห์ซื้อเอามาเรียงไว้จนเต็มหน้าโต๊ะไปหมด
ฉันคิดดูแล้วลิปสติกทั้งหมดของเธอถ้าเธอเอามาเขียนเป็นลงบนพื้นถนนมันคงยาวไปจนสุดโลกจนกระทั่งเป็นเส้นรุ้งเส้นแวงของโลกได้อีกเส้นหนึ่งแน่ๆ....
“พี่เนย
ซื้อไปอีกล่ะ สีนี้พี่เนยก็มีอยู่แล้วนี่”
ฉันหยิบลิปสติกสีแดงๆช้ำๆขึ้นมาส่งให้พี่เนยดูด้วยนึกขึ้นได้ว่าฉันเคยเห็นสีแบบนี้ของยี่ห้อนี้อยู่ในบนโต๊ะเครื่องแป้งของเธอแล้ว...
“ไหน..นี่นะเหรอ..มันแค่คล้ายๆแต่มันคนละเฉดสีกันกี้
คนละคอลเลคชั่นด้วย
นี่น่ะมาใหม่ล่าสุดเลย
พี่ตั้งใจจะเก็บให้ครบทุกๆคอเลคชั่นของแบรนด์นี้เลยรู้ป่ะ
กี้ก็เอาสิเดี๋ยวพี่ซื้อให้
เลือกเอาเลยอยากได้อันไหนอ่ะ”
ฉันคิ้วขมวดมองดูทั้งกล่องมันและตัวลิปสติกของมันแล้วก็ไม่เห็นว่ามันจะต่างกันตรงไหนเลย...
“บ้า
กี้ไม่แต่งหน้า จะให้กี้แต่งไปไหนนี่
ยังเด็กอยู่บ้าเปล่า..กี้นะไม่ใช่พี่เนย..”
“เอ๋า
ก็ซื้อเก็บไว้ใช้
ก็นี่ไงวันมะรืนนี้ที่เราจะไปเที่ยวกันไง
ยังไงๆกี้ก็ต้องแต่งตัวแต่งหน้าอยู่แล้วนี่..”
ฉันส่ายหัวรีบยกนิ้วชี้โยกปัดไปมาทันทีที่ได้ยินพี่เนยพูดอย่างนั้น
“โนๆๆ..
กี้แต่งไม่เป็น”
“แต่งไม่เป็นก็ต้องหัดสิคะซิส..เราเป็นผู้หญิงนะยังไงๆก็หนีไม่พ้นเรื่องสวยๆงามๆหรอก
ไม่ได้ยินเหรอไก่งามเพราะขนคนงามเพราะแต่งน่ะ
เดี๋ยวพี่จะหัดให้กี้เองก็ได้...เนอะ..โอเคนะคะ..”
เธอทั้งพูดทั้งยิ้มหวานพลางหันไปหยิบจับชุดเครื่องสำอางค์ในเคาน์เตอร์ออกมาไว้ให้ฉันอีกชุดหนึ่งก่อนจะเดินไปเช็คเงินกับพี่ๆพนักงาน..
“...น้องสาวคุณเนยเหรอคะ
ทำไมหน้าคล้ายๆกันเลย..”
..พอพี่เนยวางเครื่องสำอางค์ตรงเคาน์เตอร์คิดเงินหนึ่งในพนักงานต้อนรับของเคาน์เตอร์ก็เอ่ยปากทักทายพี่เนยด้วยความพินอบพิเทาทันที...
“คล้ายมั้ยคะ
มีแต่คนว่าคล้ายค่ะ
จริงๆก็ไม่คล้ายนะคะ
เนยว่าเนยสวยกว่า..เนอะ..พี่ว่ามั้ย..”
พี่เนยทำทีเป็นทั้งพูดทั้งขำหัวเราะคิกๆคักๆกับพี่พนักงานคิดเงิน
ก่อนจะหันหน้ามายิ้มน้อยแล้วจูงมือฉันเข้ามาใกล้ๆ
“เดี๋ยวถ้าพวกพี่เห็นคนนี้มาซื้อของในนี้อีก
พวกพี่ช่วยดูแลช่วยเทคแคร์เค้าให้เหมือนๆเนยด้วยนะคะ
เค้าอยากได้อะไรก็จัดให้เค้าเลย
เดี๋ยวเนยจัดการให้เองค่ะ..”
“อ๋อ..น้องเค้าเป็นน้องสาวคุณเนยเหรอคะ”
พี่เนยยิ้มหวานหันหลังมาโอบเอวฉันเข้าไปใกล้ๆ
“เปล่าค่ะ..น้องเค้า..เป็นแฟนเนยค่ะ”
พอพี่เนยบอกพี่ๆพนักงานที่พากันทั้งยืนต้อนรับและคิดเงินให้พี่เนยอยู่นั้นก็พากันเลิกคิ้วทำตาโตราวกับตกใจเพราะไม่อยากจะเชื่อว่าสิ่งที่ได้ยินพี่เนยพูดมาเมื่อครู่นั้นคือเรื่องจริง
แต่คิดว่าพวกเขาคงรู้จักว่าพี่เนยไม่ใช่คนอารมณ์ดีพอที่จะพูดขำๆปล่อยมุกตลกอะไรให้พวกเขาได้ยินเป็นแน่..
“ฟะฟะแฟน..แบบอย่างนี้เหรอคะ..”พี่คนที่คิดเงินพยามถามพร้อมกับยกนิ้วชี้ทั้งสองข้างขึ้นมาชี้จรดกันใกล้ๆกันเหมือนเขาอยากจะถามว่าคำว่าแฟนที่พูดถึงนี่คือ
คนที่คบกันแล้วจู๋จี๋อย่างนั้นใช่มั้ย..
“ใช่ค่ะ..คือ..ยังไงดี
เอาเป็นว่าพี่ดูแลเนยยังไง
ฝากพี่ดูแลเอ่อ..แฟนเนยอย่างนั้นด้วยแล้วกันนะคะ
อ่อ..ลืมแนะนำ..น้องเค้าชื่อกี้ค่ะ..”
“อ๋อ
สวัสดีค่ะคุณกี้...”
ตอนนี้พอพี่เนยแนะนำฉันเสร็จพวกพี่ๆพนักงานก็พากันหันมาทำตาหวานทักทายฉันด้วยน้ำเสียงและท่าทางพินอบพิเทาอย่างพร้อมเพรียงกัน
ฉันต้องต้องรีบยกมือไหว้แล้วรีบก้มหน้าก้มตาน้อมรับคำทักทายของพี่ๆพวกนั้นด้วยความเกรงใจ
ไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยถ้อยคำอะไรกลับคืนไปทำได้แค่เพียงยิ้มแหยๆตอบรับพวกเขาตอนที่ได้ยินคำชมพวกเขาลอยเข้ามาให้ได้ยินแว่วๆ....
“แฟนคุณเนยนี่เอง...มิน่าล่ะสวยเหมือนคุณเนยเลย..สมกั้นสมกันเนอะ..”
ค่ำวันนั้นพี่เนยก็ทำหน้าที่เป็นบิวตี้บล๊อกเกอร์
เธอจัดแจงบรรเลงสอนการแต่งหน้าให้กับฉันทำทีอย่างกับว่าเธอนั้นคือเมคอัพอาสติสผู้เชี่ยวชาญ
ทั้งแต่งหน้าฉันทั้งอธิบายไปด้วยน้ำเสียงที่เหมือนกับว่าเธอกำลังจัดรายการอะไรสักอย่างของเธอยู่...
“..นี่นะคะคุณน้อง
จากที่พี่ดูผิวของคุณน้องแล้วโดยรวมแล้วก็แลดูสุขภาพดีเปล่งปลั่งมากเลยนะคะ
ผิวแก้มคุณน้องก็ดูใสแดงระเรื่อมีเลือดฝาดขาวอมชมพูมองดูสุขภาพผิวดีสวยเด้งมากๆเลยค่ะ
ทั้งรูขุมขนก็กระชับ
ผิวหน้าก็เนียนเวอร์ค่ะ..สวยใสน่าอิจฉามั่กๆเลยค่ะ...”
“เวอร์แล้วๆ
จะสอนแต่งหรือจะมาวิจารณ์ผิวค่ะคุณพี่เนย..”
“เอ้า..ก็ก่อนจะแต่งเราก็ต้องดูทรงดูผิวหน้าของคนที่แต่งให้ก่อนป่ะ
เราต้องรู้จุดเด่นจุดด้อยของคนที่เราจะแต่งหน้าหรือแม้กระทั่งตัวเราเองด้วยสิว่ามีอะไรที่ดีที่สวยควรเน้นหรือว่าอันไหนมันด้อยต้องช่วยเสริมน่ะ”
พี่เนยรีบเถียงฉันก่อนจะยื่นดินสอเขียนคิ้วมาทำเป็นชี้ๆใบหน้าของฉันเพื่ออธิบายอะไรของเธอต่อ...
“อย่างส่วนเด่นของคุณน้องนะคะก็จะเป็นใบหน้ารูปไข่ค่ะ
แน่นอนว่าผู้หญิงใบหน้าเรียวสวยรูปไข่นี่แต่งหน้ายังไงก็สวยนะคะ
เนี่ยดูหน้าคุณน้องโดยรวมแล้วก็สวยเพอร์เฟคทุกอย่างค่ะ
หน้าสวย ดั้งสวยและโด่งเหมือนฝรั่ง
ดั้งอย่างนี้ฝรั่งชอบนะคะนี่
เคยมีฝรั่งมาจีบมั้ยคะ..”
….ฉันเหล่ตามองแรงทันทีที่ได้ยินพี่เนยเล่นมุกนี้....
“โอ๊ะๆมีสินะ
อะๆถ้าอย่างนั้นเราไปต่อกันค่ะ
ดวงตาคุณน้องก็สวยนะคะยิ่งถ้าเรามาเน้นตรงรายละเอียดของดวงตาคุณน้องที่ดำกลมโตให้ใสๆบริ้งๆเด่นๆเข้าไปเลย
ก็จะยิ่งน่าหลงใหลเข้าไปอีกนะคะ
ขอบตาคุณน้องนี่ก็โค้งสวยเป็นคันธนูดีมากเลยค่ะ
นี่คุณพี่ดูแล้วก็ยังแอบคิดเลยว่าตาคุณน้องสวยอย่างกับไปกรีดตาที่ยันฮีมาเลยนะคะนี่
อืม..คิ้วนี่ก็ควรจะกันออกสักนิดนะคะ
คิ้วคุณน้องดกดำเว่อร์ค่ะ
คิ้วเข้มๆนี่บางทีก็จะทำให้หน้าดุไปนะคะ
มันขัดกับตาหวานๆของคุณน้องอ่ะค่ะ
นั่นๆยิ่งขมวดอย่างนี้ก็ยิ่งดุไม่น่ามอง
ไม่ควรเลยค่ะซิส..น็อทดูอิสเลยค่ะ..”
“ยัง..ยังไม่เลิกอีก...”
ฉันคิ้วขมวดเหล่ตามองพี่เนยด้วยเริ่มรำคาญเธอขึ้นมานิดๆ...
“โอ้ย
นี่แค่สกิลการวิเคราะห์โครงหน้า
แค่เบสิคๆนะคะคุณน้อง
นี่คุณพี่ยังไม่พูดถึงริมฝีปากอันจิ้มลิ้มของคุณน้องเลยนะว่าควรจะทำอย่างไรให้มันดูน่าจูบเข้าไปอีกน่ะ
กี้เคยทาสีลิปสีแดงจัดๆพวกแดงเลือดนกมั้ยคะ..”
ฉันส่ายหน้าทันทีที่ได้ยินพี่เนยถาม
“โอ๊ะ..ไม่น่าถามเลยเนอะก็คงจะไม่เคยสินะ
รู้มั้ยว่าถ้าคุณน้องลองทาสีพวกนี้แล้วปากคุณน้องจะดูโดดเด่นน่าหลงใหลน่าจูบขึ้นมาทันทีเลยล่ะ
สีแดงๆแบบผู้ใหญ่ๆมันช่วยเพิ่มความร้อนแรงให้เด็กๆอย่างเราดูเป็นสาวมากขึ้นด้วยนะ
พี่แต่งโทนนี้ไปทีไรไม่มีใครคิดว่าพี่เป็นเด็กมัธยมเลย..”
“เหรอ..ไม่ใช่ว่าหน้าแก่เหรอ...โอ้ย.!!??.”
“หยาบคาย!!??”
เธอเปลี่ยนน้ำเสียงคิ้วขมวดแล้วยื่นดินสอเขียนคิ้วมาเคาะหัวฉันดังป๊อกทันทีที่ได้ยินฉันเบรคเธอแรงอย่างนั้น...
“ห้ามพูด..นั่งเงียบๆไปเลยจะแต่งหน้าให้แล้ว”
...หลังจากนั้นไม่นานพี่เนยก็ละเลงใบหน้าฉันด้วยบรรดาเครื่องสำอางค์ต่างๆที่เธอซื้อมาให้ฉันและที่เธอขนลำเลียงมันมาจากบ้านของเธอด้วย
เธอลองเทสลองแต่งหน้าฉันด้วยโทนต่างๆอยู่นานจนมาหยุดอยู่ที่โทนแต่งหน้าสีน้ำตาลที่เธออุตสาห์เน้นดวงตาของฉันทั้งสองด้วยอายชาโดว์สีน้ำตาลทั้งอ่อนทั้งเข้มไฮไลต์บริเวณเปลือกตาของฉันทั้งบนและล่าง
ทำอย่างกับว่าเธอกำลังระบายสีงานวาดบนผ้าใบของเธออย่างมีความสุข
ฉันมองดูพี่เนยหยิบจับอุปกรณ์โน้นนี่ขึ้นมาแต่งขึ้นมาโชว์และสอนฉันแล้วก็ให้ความรู้สึกว่าเราสองคนเหมือนพี่สาวและน้องสาวจริงๆ...
“เหมือนพี่สาวสอนแต่งหน้าให้น้องสาวเลยอ่ะ..”
“ใคร...พี่กับกี้น่ะเหรอ
อ๋อก็ใช่ไง..เราก็พี่สาวน้องสาวกันไงกี้ก็ยังเคยขอให้พี่เป็นพี่สาวอยู่
จำไม่ได้เหรอคะซิส..”
“..ซิส..พ่อง...สิ”
ฉันเหล่ตามองแรงพี่เนยทันทีที่ได้ยินพี่เนยแกล้งล้อเล่นกับฉันอย่างนั้น
“..ว่าจะทักหลายครั้งล่ะ..มาเรียกกี้ซิสๆน่ะ
กี้ไม่ชอบรู้มั้ย
กี้ไม่ใช่น้องสาวพี่เนยนะ
อุตสาห์ให้เป็นอย่างอื่นแล้วอ่ะ
ยังจะมาล้อเล่นอีกเดี๋ยวก็ยึดตำแหน่งคืนซะหรอก..จะเอามั้ย”
พี่เนยหงายเงิบเธอทั้งขำทั้งตกใจรีบเอามือทาบอก
ฉันได้ยินเสียงเธอแอบอุทานเบาๆว่า
“อุ๊ย..แรงอ่ะ..”ตั้งแต่ตอนที่ฉันสบถด่าเธอประโยคแรกแล้ว...
“โอ้ยล้อเล่นเฉยๆ
แค่พูดกับเพื่อนจนติดแล้วก็เลยมาพูดกับกี้ขำๆเฉยๆ
ก็เมื่อกี๊เห็นกี้บอกว่าเราเหมือนเป็นพี่สาวน้องสาวเลยนี่
พี่ก็เลยรับมุกไปก็เท่านั้น
จะให้พี่รับกี้เป็นน้องสาวจริงๆพี่ก็ไม่เอาหรอก
กี้เป็นเมียพี่นะและพี่เป็นเมียกี้เหมือนกันมันคนละอารมณ์คนละความรู้สึกแล้วอ่ะ
ถ้าจะมาให้บอกว่าเหมือนพี่สาวน้องสาวมันก็ไม่ใช่หรอก
รู้มั้ยว่าถ้าวันหนึ่งเราสองคนเลิกกันพี่ก็คงไม่ให้สถานะน้องสาวกับกี้หรอก..เลิกกันแล้วก็คงจบๆกันไปทางใครทางมัน
พี่คงทำใจไม่ได้อีกถ้าต้องมาเจอกี้ในสถานะอื่น..”
พี่เนยยิ้มมองหน้าฉัน
เธอยื่นมือข้างที่ไม่ได้ถืออะไรขึ้นมาลูบหัวฉัน
จนฉันก็หลงเคลิ้มหายงอน
กลายเป็นทิ้งตัวโอนหัวลงไปกอดซบกับเอวพี่เนยไว้อยู่นาน
กระทั่งพี่เนยพยายามเรียกสติฉันด้วยกันดึงฉันให้ลุกขึ้นมายืนต่อหน้ากระจก..
“ไหน..ดูสิพอแต่งหน้าแล้วแม่สาวน้อยวัย16ก็ดูสวยดูโฉบเฉี่ยวอย่างกับสาวๆมหาลัยเลยเห็นมั้ย
สวยดูดีมีคลาสมากเลยค่ะคุณน้องขา..”
“จริงเหรอ
ทำไมกี้ดูแล้วมันเหมือนพวกเชียร์รีดเดอร์โรงเรียนแต่งหน้ายังไงไม่รู้อ่ะ...”
“ปากเสีย!!??..”
เธอหันมาค้อนขวับทันทีที่ได้ยินฉันว่า
“..นี่พี่ว่าพี่แต่งหน้าให้กี้สวยกว่าพวกนั้นตั้งเยอะ
ดูดีเหมือนเซเลปจะตายดูยังไงเป็นรีดเดอร์โรงเรียนเนี่ย...นอยด์นะเนี่ย..”
“เอ๋า..เซเลปเป็นยังไงกี้ยังไม่เคยเห็นตัวเป็นๆเลย
ที่กี้เคยเห็นก็มีแต่พวกเชียร์รีดเดอร์หรือไม่ก็คฑากรโรงเรียนเราให้เปรียบเทียบเท่านั้นล่ะน่ะ
ก็ไม่ได้ว่าพี่เนยแต่งไม่สวยหรอก
แหม..แม่บิ้วตี้บล๊อกเกอร์เมคอัพอาร์ติสผู้ยิ่งใหญ่
ใครจะมาแต่งหน้าสวยสู้พี่เนยของกี้ได้เล่า
ใช่มั้ยคะซิส....โอ้ย??!!...”
“ซิสพ่องสิ...ตลกล่ะ..”
เธอยื่นแปรงปัดแก้มในมือเธอมาโขกหัวฉันดังป๊อกทันทีที่ได้ยินฉันแกล้งล้อเลียนด้วยประโยคที่ฉันพึ่งสบถด่าเธอไปเมื่อครู่นี้
“เลิกล้อเล่นได้แล้ว
ไหนชุดสวยที่กี้ว่ากี้มีไปเอาออกมาให้พี่ดูสิ..”
พี่เนยหยุดพูดก่อนจะรีบบอกฉันให้รีบไปหาชุดสวยตามที่ฉันได้บอกกับเธอไปเมื่อช่วงตอนเย็นที่ผ่านมา
หลังจากที่พี่เนยพาฉันออกมาจากเคาน์เตอร์เครื่องสำอางค์แล้วจะพาฉันไปเลือกซื้อชุดเพื่อใส่ไปเที่ยว
แต่ฉันก็ปฏิเสธเธอไปโดยอ้างว่าฉันก็มีชุดสวยที่ฉันใส่ไปเที่ยวกับเพื่อนๆอยู่...
...ฉันรีบเดินไปค้นหาชุดกระโปรงระบายสีชมพูและสีขาวครีมออกมาโชว์พี่เนยก่อนจะโดนเธอส่ายหน้าแรงๆให้กับชุดของฉัน....
“นี่น่ะเหรอชุดสวยใส่ไปเที่ยวกี้”
“ใช่..”ฉันยืนอึ้งตอบรับพี่เนยอย่างงงๆตอนที่เห็นท่าทางแปลกๆอย่างนั้น
“เฮ้ยกี้
นี่ไปเที่ยวกลางคืนนะ
ไม่ได้ไปสวนดอกไม้พุทธชาติจะได้มาแต่งหวานพาสเทลอย่างนี้ใช้ไม่ได้เลยๆ
มีอีกมั้ยนี่”
พอได้ยินเจ้าหล่อนโวยวายทำเป็นรับไม่ได้กับชุดของฉัน
ฉันก็คิ้วขมวดทันที….
“อะไรชุดไปเที่ยวกลางวันกับกลางคืนสำหรับเด็กอย่างกี้มันต่างกันตรงไหนล่ะ
กี้ว่าอย่างนี้ก็สวยดีออก
น่ารักดีออก”
“ไม่ได้นะกี้
พี่แต่งหน้าสไตล์นี้ให้กี้แล้วมันก็หาชุดให้เหมาะกันสิ
พวกเสื้อผ้าเหมือนผู้ใหญ่ใส่กี้ไม่มีเหรอ”
ฉันส่ายหน้าทันทีเมื่อนึกถึงเสื้อผ้าที่อยู่ในตู้เสื้อผ้าของฉันตอนนี้..
“ฮือ..กี้จะใส่เสื้อผ้าแบบผู้ใหญ่ทำไมเนี่ย
ก็กี้ยังเด็กอยู่อ่ะ”
“นั่น..เห็นมั้ย
พอพี่บอกจะซื้อให้ก็ทำเป็นอิดออดทำเป็นบอกว่ามีแล้ว
แล้วไงทีนี้ก็ไม่มีอีก
งั้นพรุ่งนี้ไปหาซื้อกันใหม่เลย”
“โอ้ย
พี่เนยไม่ต้องซื้อกี้ไม่อยากให้พี่เนยเปลืองเงิน
แค่ไปเที่ยวครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น
อะๆกี้ใส่ชุดกับพี่เนยก็ได้
มีให้กี้ยืมใส่มั้ย
ตัวเท่าๆกันอยู่แล้วนี่”
พี่เนยมองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงแปลกๆ
ฟังเหมือนคนพูดไม่อยากจะเชื่อกลับมา...
“อย่างกี้นี่นะ...จะใส่ชุดกับพี่..”
****************************************
...30
ธันวาคม...
“โอ้ววว
โนๆๆ พี่เน้ย นี่มันชุดอะไรนี่
กี้ไม่ใส่ด้วยหรอก...”
ฉันร้องโวยวายตอนที่พี่เนยหยิบชุดเดรสผ่าหลังแหวกหน้าแถมยังสั้นจู๋ของเธอขึ้นมาให้ฉันลองใส่
ในช่วงดึกของวันต่อมา
หลังจากที่เราช่วยงานที่ร้านเสร็จแล้วพี่เนยให้คนขับรถที่บ้านขับมารับเราสองคนไปที่บ้านพี่เนยกัน...
“พี่เนยไม่มีชุดที่กระโปรงมันยาวๆกว่านี้เหรอ
สั้นขนาดนี้กี้ไม่กล้าใส่หรอก”
“นั่นไงพี่ก็ว่าแล้วว่ากี้นี่นะจะมาใส่ชุดกับพี่ได้
เดรสที่ยาวกว่านี้ไม่มีหรอก
กี้ก็เห็นว่าพี่ก็ใส่แต่เสื้อผ้าสไตล์นี้
ยาวกว่านี้ก็ไม่ใช่พี่แล้วล่ะ..”
เธอมองดูฉันที่นั่งไหล่ห่อหน้าละห้อยด้วยความเครียดแล้วก็คงจะนึกสงสาร
เลยพยายามปลอบใจฉันโดยการเสนอทางเลือกใหม่ให้..
“งั้นพรุ่งนี้ค่อยไปหาซื้อแล้วกัน
เดี๋ยวพี่พาไปหาซื้อชุดก็ได้วันนี้มันดึกแล้ว..”
“ไม่ได้หรอกพี่เนย
พรุ่งนี้วันที่31วันหยุดก็จริงนะแต่พ่อแม่กี้ก็ต้องพากี้ไปไหว้ญาติผู้ใหญ่อีกอ่ะอำเภอกว่าจะได้มาหาพี่เนยก็คงค่ำมืดอ่ะ
พี่เนยก็ไม่ว่างเหมือนกันไม่ใช่เหรอ
ได้ยินว่าพ่อพี่เนยขอให้พี่เนยไปบ้านปู่ด้วยนี่พรุ่งนี้
เค้ารวมญาติกันนี่พี่เนยก็ต้องอยู่กับพ่อก่อนสิเดี๋ยวก็โดนบ่นหรอก
เราน่ะขออนุญาติพ่อแม่เราก็แค่ช่วงกลางคืนกันนะ
พี่เนยก็แค่บอกพ่อกับแม่กี้ว่าจะพากันกินเลี้ยงที่บ้านเพื่อนพี่เนยเฉพาะแค่ตอนกลางคืนไม่ใช่เหรอ
แล้วจะให้กี้มาขลุกอยู่กับพี่เนยทั้งวันไปหาซื้อนั่นซื้อนี่ได้ไงเล่า
เดี๋ยวพ่อแม่กี้ก็สงสัยเอาหรอก...”
ฉันรีบแย้งพี่เนยทันทีด้วยนึกถึงเหตุการณ์ที่พี่เนยพยายามขออนุญาติพาฉันออกมาเที่ยวกลางคืนด้วยเรื่องโกหกของเธอ
ซึ่งตอนนั้นพ่อกับแม่ก็อนุญาติเพราะเห็นว่าพี่เนยบอกว่าจะให้ลูกน้องของพ่อพี่เนยไปเฝ้าดูแลให้ด้วย
แม้ตอนแรกพ่อกับแม่จะบอกเรื่องที่ว่าบางทีฉันอาจจะได้นอนค้างกับพ่อแม่ที่บ้านญาติที่ต่างอำเภอด้วย
แต่พี่เนยก็บอกว่าเธอจะให้คนขับรถไปรับกี้ที่บ้านตอนค่ำก็ได้
พ่อกับแม่ก็เลยหมดห่วงก็เลยอนุญาติอย่างที่เห็น...
..พี่เนยคิ้วขมวดมองหน้าซีเรียสของฉันก่อนจะเอ่ยเสนอทางออกทางใหม่ให้กับฉันอีก..
“เดรสที่ไม่สั้นมันก็ไม่มีหรอกนะ
ถ้าอยากได้ยาวขึ้นมาหน่อยมันก็มีกระโปรงใส่เที่ยวอยู่ตัวหนึ่งพี่ซื้อมาใส่ตั้งแต่ช่วงแรกๆที่หัดไปเที่ยวอะ
ก็ยาวเลยเข่ามาหน่อยกี้จะใส่ป่ะล่ะ”
ฉันยิ้มออกรีบพยักหน้ารับพี่เนยทันทีที่ได้ยินเธอเสนอไอเดีย
“งั้นก็ใส่กระโปรงตัวนี้กับเกาะอกสีดำแล้วกันเนอะ
มันจะได้คลุมโทนกับชุดพี่
พี่ก็จะใส่ชุดเดรสสีดำตัวโปรดของพี่ตัวนั้นไป...”
พี่เนยทั้งพูดทั้งเดินไปหากระโปรงดำและเสื้อเกาะอกสีดำตัวที่ว่านั้นออกมาให้ฉันลองใส่...
“..โป๊จังเลยอ่ะพี่เนย”
เป็นฉันที่พูดขึ้นหลังจากที่ลองสวมใส่ชุดที่พี่เนยจัดหาให้
แล้วพบว่าเกาะอกที่ตัวเองสวมใส่นั้นมันโชว์ให้เห็นเนื้อหน้าอกตัวเองเกือบๆจะทั้งเนินอยู่แล้วถ้าฉันไม่พยายามดึงรั้งมันขึ้นมาไว้...
“ไม่โป๊หรอกน่า
เขาก็ใส่อย่างนี้กันทั้งนั้นล่ะไปเที่ยวล่ะ..”
“อ๋อย....”
ฉันคิ้วขมวดทำตาละห้อยเข้าไปใหญ่
ไหล่ก็ห่อลงไปเรื่อยๆเมื่อเริ่มรู้ว่ายังไงๆก็หลีกเลี่ยงที่จะใส่ชุดอย่างนี้ไม่ได้อยู่แล้ว
ให้ตายเถอะ..ตอนนี้ฉันไม่มีความมั่นใจเอาเสียเลย
ทำไมฉันต้องมาทำอะไรที่มันไม่ใช่ตัวฉันด้วยนะ
ฉันทั้งคิดทั้งก้มลงมองเจ้าเกาะอกที่สุดแสนจะเซ็กซี่นี้ด้วยความอ่อนเปี้ยละเหี่ยใจ...
“ใส่ไปเถอะนะ
นานๆครั้งใส่ไม่เป็นอะไรหรอก
คนอื่นๆเค้าก็ใส่อย่างนี้กัน..”
พี่เนยเดินเข้ามากอดเอวฉันแล้วก้มหน้าลงมามองฉันที่ยืนไหล่หดคอตกมองชุดนี้แล้วถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า
เธอก้มหน้ามาหอมแก้มฉันแล้วทำเสียงออดอ้อนออเซาะที่เธอชอบทำเวลาที่เห็นฉันทำหน้านอยด์ๆเศร้าๆอย่างนี้
“น่านะ..กี้สวยจะตาย
หุ่นก็ดี ผิวก็ขาวเนียนสวย
ใส่ชุดนี้ยังไงก็สวยอยู่แล้ว
ไม่ต้องกลัวว่าจะโป๊หรอกเดี๋ยวพี่ดูแลกี้เอง
ไปเที่ยวกับแฟนถ้าแฟนอนุญาติให้แต่งชุดอย่างนี้แล้ว
กี้ยังจะต้องกลัวอะไรอีกเล่า..”พี่เนยทั้งพูดทั้งหอม
มือเธอก็อ้อมมากอดแขนของฉันไว้แล้วค่อยๆประครองร่างของฉันให้ไปนั่งตักเธอบนเตียง
ก่อนจะทำเสียงอ่อนเสียงหวานยอให้ฉันเคลิ้มอีก
“นะคะคนดี..ให้พี่ได้อวดคนอื่นๆบ้างสิ
ว่าพี่มีแฟนสวย
กี้น่ะไม่เคยได้ไปเที่ยวกับพี่เสียที
เวลาที่พี่ไปเที่ยว
มีแต่คนมาจีบพี่นะ
ครั้งนี้ถ้ากี้ไปด้วยคนอื่นๆเขาก็จะได้เห็นเสียทีไงล่ะ
ว่าพี่มีแฟนแล้วและแฟนพี่สวยเซ็กซี่ขนาดไหน
เค้าจะได้ชมว่าเราสองคนเหมาะสมกันแล้วก็จะได้ไม่มายุ่งวุ่นวายกับพี่อีกไง..”
“ไม่ต้องมายอเลย..”
ฉันทำเสียงนอยด์หันไปจ้องหน้าพี่เนยที่ยิ้มหวานส่ายหน้าให้ฉันก่อนจะโน้มหน้าเข้ามาหอมแล้วกระซิบกระซาบข้างหูฉันอีก
“ไม่ได้ยอนะคะ
พี่พูดความจริงนะ
กี้ก็ได้ยินพี่บอกว่ากี้สวยอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้วนี่นา
เอ..หรือพี่พูดเบาเกินไปใช่มั้ยกี้เลยไม่ได้ยินน่ะ
ถ้าอย่างนั้นฟังพี่ชัดๆนะคะ
กี้น่ะสวย..สวยที่สุด
แค่พี่เห็นกี้ครั้งแรกพี่ก็ยังแอบเก็บไปฝันถึงเลย
และเพราะว่าความสวยของกี้นี่ล่ะที่ทำให้ผู้หญิงอย่างพี่ยอมแพ้ต่อใจตัวเองแล้วยอมรับสภาพว่าตัวเองชอบผู้หญิงด้วยกันเข้าให้แล้ว...”
พี่เนยพูดเสียงอ่อนเสียงหวานทั้งค่อยๆโน้มใบหน้าให้ริมฝีปากของเธออยู่ใกล้ชิดกับใบหูฉัน
น้ำเสียงกระซิบกระซาบหวานๆที่เปล่งออกมาเวลาที่เธอเคลื่อนริมฝีปากเข้ามาใกล้ๆกับใบหูฉันมันกำลังทำให้ใจของฉันเริ่มที่จะสั่นเต้นระรัวทันทีที่หยุดคิดตามคำป้อยอต่างๆที่ค่อยๆออกมาจากปากเธอตอนนี้ด้วยความวาบหวามใจ...
พี่เนยยื่นริมฝีปากเข้ามาจุมพิตค้างไว้ที่ใบหูของฉัน
ฉันได้ยินเสียงหายใจเบาๆของพี่เนยตอนที่เธอค่อยๆเคลื่อนริมฝีปากลงมาที่ติ่งใบหูด้านล่างของฉันแล้วขบกัดมันเบาๆด้วยความหมั่นไส้ของเธอ...
กลิ่นหอมของเส้นผมพี่เนยหอมโชยลอยเข้ามาที่ปลายจมูกฉัน
เป็นกลิ่นหอมละมุนละไมเหมือนเหล่าแมกไม้พฤกษาที่กำลังเบ่งบานโชว์เกสรงามสลับสีสลับกลิ่นแข่งกัน
เป็นกลิ่นหอมเบาๆจางๆแต่ให้ความรู้สึกหอมนุ่มลึก
จนฉันต้องละจากสิ่งต่างๆที่ทำอยู่เพื่อหันมาดมเจ้าของกลิ่นหอมละมุนละไมกลิ่นนี้
ณ ขณะนั้นทันที
ตอนนี้พี่เนยยิ้มหวาน
เธอละออกจากใบหูแล้วเงยหน้าขึ้นมาจ้องมองฉัน
ดวงตากลมโตสีน้ำตาลคู่นี้เมื่อใดก็ตามที่เจ้าของต้องการอยากจะแสดงความอ่อนโยนอ่อนหวานเธอก็จะเปล่งประกายฉายความไร้เดียงสาสดใสออกมากับทั้งสองข้างของเธอทันที
“..โอเคนะคะ
ไม่ต้องกลัวไม่ต้องกังวลอะไรแล้วถ้าพี่อยู่ข้างๆกี้
กี้ก็ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรแล้วนะ..”
ฉันยิ้มและพยักหน้ารับพี่เนยก่อนจะโน้มตัวลงไปนั่งซบกับหัวไหล่ของเธอไว้....
...ให้ตายเถอะ..ไม่ใช่แต่เฉพาะพี่เนยหรอกที่แพ้ความสวยและความอ่อนโยนของผู้หญิงอย่างที่เธอบอกฉันเมื่อครู่นี้...
ตอนนี้ฉันก็ไม่ต่างอะไรจากเธอเลย
เพราะนอกจากฉันจะแพ้ให้กับความสวยงามของพี่เนยแล้ว
ฉันยังแพ้แม้กระทั่งจริตมายาของผู้หญิงด้วยกันซะอีก
ตอนนี้ไม่ว่าพี่เนยจะพูดอะไรก็ดูมันน่าฟังดูน่าเชื่อไปหมดทุกอย่าง
ฉันแทบจะยอมตายถวายตัวทันทีเลยที่ได้ยินเธอบอกฉันว่าเธอพร้อมจะอยู่ข้างๆเพื่อปกป้องฉันแล้ว...
ใช่..ฉันแพ้คำที่เธอบอกว่าเธอพร้อมจะปกป้องฉัน
ยิ่งโดยเฉพาะกับผู้หญิงที่ดูบอบบางและน่าทะนุถนอมไม่น่าจะปกป้องเราได้อย่างพี่เนยมาพูดด้วยแล้ว
หัวใจฉันก็ยิ่งหวั่นไหว
มันรู้สึกดีเหลือเกินที่เราได้เห็นคนๆหนึ่งที่เราก็รู้ว่าเขาก็อ่อนแอไม่ต่างจากเราแต่เขากลับพยายามแสดงออกซึ่งความแข็งแรง
ด้วยอยากให้เรามั่นใจว่าเราสามารถฝากชีวิตกับเขาไว้ได้
นี่ล่ะสิ่งที่ผู้หญิงอย่างเราต้องการ
ชีวิตรักนี้จะต้องการอะไรไปมากกว่าความรักของใครสักคนที่ไม่จำกัดว่าเค้าจะต้องเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย
แค่ใครสักคนก็ได้ที่ให้ความรู้สึกปลอดภัยเมื่อเขาอยู่ข้างๆเราตลอดเวลา...
...31
ธันวาคม...
..วันนี้เป็นหยุดสิ้นปี
โรงเรียนหยุดและร้านของฉันก็หยุดด้วย
ฉันเดินทางไปต่างอำเภอกับพ่อแม่ตั้งแต่เช้าๆ
ซึ่งก็เหมือนๆกันกับพี่เนยที่ก็เดินทางไปทำธุระกับพ่อของเธอตั้งแต่เช้าๆเช่นเดียวกัน
ด้วยความที่ว่าเราต่างคนต่างก็มีธุระที่ต้องทำกับครอบครัวตั้งแต่เช้าทั้งสอง
เมื่อคืนนี้ก็เลยเป็นคืนแรกที่เราสองคนนอนแยกกัน
โดยพี่เนยนั้นนอนอยู่ที่บ้านของเธอโดยเธอให้คนขับรถเธอขับมาส่งฉันที่บ้านช่วงดึกๆ....
บ้านญาติผู้ใหญ่ที่ครอบครัวฉันเดินทางไปไหว้นั้นก็คือบ้านคุณตาที่อยู่อีกอำเภอหนึ่ง
ตอนเราไปถึงก็มีพวกครอบครัวของน้าๆอีกสามสี่ครอบครัวนั่งคุยกันอยู่ก่อนหน้าแล้ว
ตอนที่ฉันเข้าไปไหว้คุณตาและคุณยายได้ยินเสียงบรรดาคุณน้าทั้งหลายกระซิบกระซาบถามแม่เรื่องฉันกับลูกสาว
สส.อำนาจซึ่งก็คือพี่เนย
ได้ยินเหมือนน้าจะถามแม่ว่าได้ยินข่าวว่าฉันกับพี่เนยชอบพอกันอย่างหญิงชายใช่หรือไม่
แต่แม่ไม่พูดอะไรมากแค่ยอมรับว่าใช่และบอกว่าผู้ใหญ่รับรู้กันทั้งสองฝ่ายแล้วเท่านั้น...
..ช่วงหัวค่ำหลังจากที่ฉันทานข้าวเย็นกับบรรดาญาติและช่วยเก็บกวาดล้างถ้วยล้างชามเสร็จแล้วรถตู้บ้านพี่เนยก็ขับมารับฉันไปบ้านพี่เนยตามที่เธอสั่งทันที..
พอไปถึงบ้าน
พี่เนยคนสวยก็รีบวิ่งเข้ากอดเข้ามาหอมฉันทันทีที่ฉันเดินพ้นขอบประตูห้องเธอเข้ามาได้
เธอทำเป็นออดอ้อนออเซาะว่าเธอคิดถึงฉันเหลือเกินทั้งๆที่จริงวันนี้ทั้งวันเธอก็วิดีโอคอลหาฉันเกือบๆจะทุกๆสามสิบนาทีอยู่แล้ว
ซึ่งความจริงฉันก็คิดถึงเธอไม่ต่างกันเท่าไหร่
ยิ่งพอได้รับสัมผัสกอดๆหอมๆจากตัวนุ่มๆของเธออย่างนั้น
ฉันก็กลายเป็นอดรนทนไม่ไหวต้องจัดการมอบความคิดถึงให้กับเธอไปยกใหญ่ๆหลังจากนั้นทันที...
..22.30
น.
..พี่เนยบรรจงใส่ต่างหูเพชรที่เป็นรูปตัวอักษCไขว่ในกระจก
แล้วพยายามจัดปลายผมหยักศกสีน้ำตาลของเธอให้เข้าทรง
ก่อนจะชำเรืองมองเงาฉันที่ยืนละห้อยไหล่ห่อเพราะกำลังหมดความมั่นใจในชุดสวยของพี่เนยแต่กลายเป็นชุดโป๊แสนโป๊สำหรับเด็กอย่างฉัน..
“อะไรคะ
ทำหน้าหมาหงอยอย่างนั้นอีกแล้ว...”
เธอละตาออกจากกระจกก่อนจะหันมามองฉันเต็มๆตัว
ตอนนี้พอเห็นพี่เนยหันมามองด้วยความเป็นห่วงอย่างนั้น
ฉันก็ยิ่งเพิ่มความออเซาะด้วยอยากให้เธอเอาใจฉัน
เลยกลายเป็นเดินเข้าไปประชิดเธอที่เก้าอี้สตูลที่เธอนั่งอยู่ทำทีเป็นพูดจาออดอ้อนขอร้องเธอทันที...
“..พี่เนยคะ
กี้หวิวๆไงไม่รู้อ่ะ
ไม่เคยใส่ชุดอย่างนี้เลย
เอาอย่างนี้ได้มั้ยพี่เนยเอาเสื้อนอกให้กี้ใส่ทับได้มั้ย
กี้ไม่มั่นใจจริงๆอ่ะ..”
พี่เนยยิ้มอ่อนทำเป็นมองหน้าอ้อนๆของฉันด้วยความเอ็นดูอยู่นานก่อนจะโน้มหน้ามาหอมแก้มด้วยความหมั่นไส้ของเธอไปอีก..
“เด็กหนอเด็ก
แค่นี้ก็ทำเป็นอาย
ทีอยู่กับพี่สองคนไม่ได้ใส่อะไรไม่เห็นจะอายอะไรเลย..”
“อ้าวก็นั่นอยู่กันสองคนป่ะ
อันนี้มันมีคนที่3ที่4เค้าอาจจะไม่ได้มองกี้ด้วยความรักด้วยความชื่นชอบเหมือนที่พี่เนยมองกี้ก็ได้นี่
อย่างน้อยๆก็หาอะไรปกปิดกี้ไว้หน่อยก็ได้นะคนอื่นๆเขาจะได้ไม่มาว่ากี้ว่าหุ่นไม่ดีแล้วยังอยากโชว์อีกไงคะ..”
พี่เนยหลุดขำทันทีที่ได้ยินฉันบอกอย่างนั้น
เธอลุกขึ้นมายืนอยู่ข้างๆฉันต่อหน้ากระจก..“หุ่นไม่ดีตรงไหนกัน
ดูสินี่หน้าอกหน้าใจตัวเองก็มีล้น
ทรวดทรงองค์เอวอะไรก็มีมาก
พี่มองดูแล้วหุ่นกี้นี่ดีกว่าสาวๆมหาลัยบางคนเสียอีกนะ
ยิ่งใส่ชุดอย่างนี้ไปก็ยิ่งสวยอ่ะ
พี่ว่าคนอื่นๆเสียอีกนะที่เขาต้องแอบมองกี้ด้วยความอิจฉากันอ่ะ
จะอายทำไมนี่”
เธอทั้งพูดทั้งยิ้มทำทีเป็นปัดผมเผ้าที่ฉันเอามันมาปกเนินเนื้อหน้าอกฉันออกมาไว้ด้านหลัง
ก่อนจะยื่นมือมาดันหลังตรงให้หน้าอกฉันผายออก..
ตอนนี้พอฉันยืดตัวไหล่ตรงแล้ว
พี่เนยก็ทำเป็นยืนเก๊กท่าสวยเทียบกับฉันในเงากระจก
ฉันเหล่ตามองดูพี่เนยยื่นมือของเธอทำทีมาเชยคางฉันขึ้นก่อนจะหันมาทำตาหวานจือปากแล้วบอกให้ฉันทำท่าจือปากแบบเธอบ้าง..
..แหม..บางทีก็ต้องดูคนทำด้วยป่ะ
ถ้าเป็นพี่เนยทำมันยังไงมันก็ต้องสวยเซ็กซี่เป็นธรรมดาอยู่แล้วมั้ยล่ะ
ก็ไอ้ท่าทางจือปากทำท่าเหมือนจะจูบฉันแหล่ไม่จูบฉันแหล่อยู่นี่เธอก็ชอบทำเวลาที่เธอต้องการจะอ่อยฉัน
ซึ่งมันก็ได้ผลดีเสียด้วย
เพราะเวลาฉันมองริมฝีปากแดงๆที่เธอเพยอโชว์ให้เห็นฟันขาวนิดๆของเธอเมื่อไหร่
ใจฉันก็จะสั่นไม่เป็นจังหวะกลายเป็นเผลอตัวโอนกายเข้าไปบดขยี้ริมฝีปากสวยคู่นั้นด้วยความใคร่กระหายไปเสียทุกๆครั้ง...
ยิ่งฉันมองดูเธอตอนนี้ยิ่งไปกันใหญ่
เพราะทั้งเสื้อผ้าหน้าผมทุกๆองค์ประกอบที่เธอกำลังเป็นกำลังทำอยู่
ณ ตอนนี้ล้วนแล้วแต่ทำให้ฉันใจเต้นตุ้มๆต่อมๆแทบจะหายใจไม่เป็นจังหวะ
ตั้งแต่เผลอไปมองเห็นเนินหน้าอกจากชุดเดรสแหวกหน้าอกเปลือยแผ่นหลังสีดำตัวโปรดที่เธอใส่ให้ฉันดูครั้งนั้นแล้วกลายเป็นว่าฉันก็กลายเป็นแอบชอบสไตล์การแต่งตัวโป๊ๆเปลือยๆของพี่เนยอย่างนั้นไปด้วย
แม้จะไม่กล้าแสดงออกเพราะกลัวพี่เนยจะยิ่งแต่งตัวอย่างนั้นเอาใจฉันแล้วกลายเป็นแต่งออกไปให้ใครต่อใครดูอีก
แต่ทุกๆครั้งที่เราได้อยู่ด้วยกันในโอกาสพิเศษ
ฉันก็จะชอบให้เธอแต่งตัวสวยๆเซ็กซี่อย่างนั้นมาอยู่กับฉันเสมอ...
ยิ่งดูตอนนี้ที่เธอพยายามจือปากสีแดงเลือดนกแล้วยื่นใบหน้าที่เมคอัพด้วยโทนสีน้ำตาลที่มีประกายของอายชาโดว์สีน้ำตาลและเกล็ดระยิบระยับของอายชายโดว์สีขาวประกายมุกที่เธอแต้มทาสลับไล่เฉดสีกันแล้วแล้วยิ่งทำให้ใบหน้าสวยๆคมๆของพี่เนยนั้นดูสวยโดดเด่นชวนมองชวนจ้อง
ดูราวกับว่ามีแสงของดวงดาวมากมายกำลังส่องแสงระยิบระยับวับวาวอยู่บนใบหน้าเธอยังไงยังงั้น...
“..เอ๋า
ทำไมไม่ลองจือปากแบบพี่ดูล่ะ..”ตอนนี้เสียงของพี่เนยดังเข้ามาเรียกสติของฉันอีกครั้งจนฉันต้องละออกจากหน้าเธอแล้วแกล้งทำเป็นหน้านิ่วคิ้วขมวดแกล้งปิดบังอาการตกอยู่ในภวังค์ไม่ให้พี่เนยจับไต๋ได้อีก..
“..ไม่เอาอ่ะ
พี่เนยทำพี่เนยก็สวยอยู่แล้วนี่
บางทีไอ้ความเซ็กซี่บางทีมันก็ต้องดูคนทำด้วยสิว่ามีลักษณะมีราศรีอะไรพอจะทำได้มั้ย
อย่างกี้นี่เอาแค่น่ารักๆก็พอได้ป่ะ
ถ้าจะพยายามเซ็กซี่มันก็คงยังอีกไกลอ่ะ
กี้ทำไม่ไหวหรอก
กี้ขอเสื้อนอกพี่เนยมาสวมทับอีกชั้นหนึ่งแล้วกันนะ..นะ..พี่เนยไม่ห่วงความรู้สึกกี้เหรอ
นี่กี้อุตสาห์ตามใจพี่เนยสุดๆแล้วนะ
กี้แค่ขอเสื้อนอกใส่ทับกันอุจาดตาไว้บ้างทำให้กี้บ้างไม่ได้เหรอ...”
“โห..พูดซะรู้สึกผิดเลย
อะก็ได้ๆ เดี๋ยวหาเสื้อนอกมาให้ใส่ทับก็ได้อ่ะ...”
เธอทั้งยิ้มทั้งพูดด้วยความรู้สึกขำก่อนจะเดินไปเอาเสื้อนอกสีดำที่ชายเสื้อยาวลงมาเกือบจะเสมอกับชายกระโปรงมาสวมให้ฉัน..
“มั่นใจขึ้นหรือยัง...
ทีนี้พร้อมจะไปเที่ยวกับพีได้หรือยังคะ...คนเก่งของพี่....”