วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Girlfriend
Chapter 13


กับดักและเหยื่อ
 
เช้าวันเสาร์พ่อกับแม่ต้องออกเดินทางไปแต่เช้า เพื่อไปขึ้นเครื่องที่อีกจังหวัดนึง
เมื่อพ่อกับแม่เดินทางออกไปได้ไม่นานฉันก็รีบบึ่งมอเตอร์ไซค์ไปร้านค้าที่อยู่หน้าปากซอยเพื่อซื้อวัตถุดิบที่ฉันต้องการไว้ทันที
ฉันเลือกซื้อสปายด์สีดำ เพราะฉันได้ยินเพื่อนๆพูดกันว่าสีนี้แรงที่สุดในบรรดาสปายด์ทุกสี แต่ฉันก็ไม่แน่ใจว่ามันจะแรงจริงหรือเปล่าในเมื่อมันก็เป็นแค่สปายด์ เพราะฉันไม่เคยกินแล้วเมาเสียที ตั้งแต่ตอนที่เคยแอบกินกับเพื่อนตอนม.4 ตอนนั้นกินไปสองสามขวดก็ยังเฉยๆ แต่ครั้นจะซื้อเบียร์ไปก็เกรงว่าจะเป็นอะไรที่แรงเกินตัว กลายเป็นอาจจะเมาเสียจนไม่รู้เรื่องไปทั้งสองคนก็ได้
...กินนี่นี้ล่ะ ซื้อมันไปสักสิบขวดไม่เมาก็ให้มันรู้ไป... ฉันคิดก่อนที่หยิบสปายด์เหล่านั้นใส่ตระกร้าส่งให้เจ้าของร้านคิดตังค์ พร้อมๆกับสั่งน้ำแข็งเพิ่ม ฉันซื้อเผื่อไว้ เวลากินจะได้เย็นๆ
ฉันแวะกลับเอาของเข้าไปเก็บที่บ้าน โดยแยกสปายด์เข้าไปไว้ที่ห้องนอน ส่วนน้ำแข็งแช่เข้าไปในช่องฟิตของตู้เย็น
ตอนนี้ดูเวลาก็ประมาณ 3 โมงเช้า ฉันนัดกับเอื้อยไว้ประมาณ4โมงครึ่ง ยังพอมีเวลาถมเถฉันจัดการเก็บกวาดบ้านและห้องนอนของฉันให้สะอาดสะอ้าน มันเสร็จเรียบร้อยกอ่น4โมงเช้าพอดี
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยฉันรีบอาบน้ำแต่งตัวใหม่เพื่อที่จะไปรับเอื้อยและพาเอื้อยไปบ้านอันก่อนตามที่ตกลงกันไว้
วันนี้เอื้อยแต่งชุดสวยสีชมพูที่ฉันเคยชอบออกมาอีกแล้ว เธอรวบผมไว้ครึ่งหัว ปล่อยปลายผมหยักศกลงมาปิดต้นคอขาวๆยาวจนไปถึงกลางหลังของเธอไว้ เอื้อยสะพายทั้งกระเป๋าด้านข้างและกระเป๋าเป้สำหรับใส่ของใช้ไว้ด้านหลัง มือข้างหนึ่งเธอถือกีตาร์ของฉันที่เราตกลงกันว่าจะเอาไปซ้อมด้วย มือหนึ่งถือถุงพลาสติกใบใหญ่ๆใบหนึ่ง ในนั้นฉันมองเห็นเป็นกล่องของขวัญ นั่นคงจะเป็นของขวัญที่เธอเตรียมไว้ให้อันนั้นเอง
แม่ออกไปทำงานตั้งแต่เช้าๆแล้ว น่าสงสารนะได้หยุดเฉพาะวันอาทิตย์” เสียงเอื้อยบ่นตอนเอาของมาเก็บไว้หน้ารถของฉันพร้อมๆหยิบหมวกกันน็อคสวมและนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ฉัน
เรามุ่งหน้าไปที่แถวตลาดในเมืองตามเส้นทางที่เอื้อยบอกมา
บ้านของอันนั้นเป็นตึกแถวอาคารพานิชย์ในตลาด ได้ข่าวว่าเธอเป็นลูกของคนมีเงินในตลาดพ่อแม่มีอาชีพค้าขายมีที่มีทางและตึกรามบ้านช่องเยอะ
เรามาจอดรถอยู่ด้านหลังอาคารพาณิชย์ใจกลางตลาดที่เป็นตึกสร้างใหม่ประมาณ10คูหา
อันนอนอยู่ตึกนี้กับอาม่านี้ล่ะ” เสียงเอื้อยเล่าตอนที่ฉันจอดรถอยู่ด้านหลัง ตึกนี้กว่าครึ่งตึกเป็นของบ้านอันซื้อไว้หมดเลย จึงไม่แปลกที่จะมีที่มีทางสำหรับจอดรถอยู่ด้านหลังเยอะแม้จะอยู่ใจกลางตลาดก็ตาม
มีรถยนต์ใหม่ๆหรูๆอยู่สองสามคันจอดอยู่ด้านหลังตึกนั้น ฉันเดาว่านันคงเป็นรถของบ้านอัน ถัดมาจากบริเวณนั้นก็มีมอเตอร์ไซค์จอดเรียงรายอยู่ประมาณ 5-6 คัน
เอื้อยชวนฉันให้เข้าไปข้างในด้วย แต่ฉันปฏิเสธในใจไม่อยากเห็นหน้ายัยอันที่ชอบทำหน้ากวนประสาทฉันอยู่เรื่อย ในเมื่อมันเป็นวันดีๆของเขาฉันก็จะไม่ไปยุ่งวุ่นวายให้เสียอารมณ์ของเขาเช่นเดียวกัน
เอื้อยบอกให้ฉันรออยู่รถ แล้วเธอก็เดินเข้าไปตามทางเดินหลังตึก ตรงนั้นมีคุณยายแก่ๆคนนึงนั่งอยู่บนม้านั่งก่อนทางเข้า
สวัสดีค่ะอาม่า” เสียงเอื้อยทักทายตอนที่เธอยกมือไหว้ก่อนที่จะเดินผ่านเข้าไปในบ้านนั้น
เมื่อเห็นคุณยายคนนี้แล้ว ก็อดนึกถึงอาม่าของฉันที่อยู่ต่างจังหวัดที่นานๆครั้งฉันจะได้ไปเยี่ยมท่านไม่ได้

..….“อาเจ้ย ลื้อน่ะสวยขึ้น สวยขึ้นทุกวัน โตขึ้นไปประกวดนางสาวไทยให้อาม่าชื่นใจหน่อยนะ” ฉันนึกถึงที่อาม่าเคยพูดชมฉันตอนที่ฉันอยู่ชั้นม.4 ตอนนั้นฉันเริ่มไว้ผมยาว อาม่าคงจะเห็นแววอะไรบางอย่างในตัวฉันถึงรบเร้าให้ฉันไปประกวด
อาม่า อาเจ้ยน่ะ อีไปประกวดไม่ได้หรอก หน้าอีน่ะแหลมไป หุ่นก็ผอมกระหร่องแถมยังเดินเป็นม้าดีดกระโหลก ถ้าขืนอีขึ้นไปบนเวทีนะ มีหวังได้ตกเวทีอับอายขายขี้หน้าเค้าเปล่าๆ” เสียงของเฮียเล้งลูกพี่ลูกน้องของฉันพูดแขวะให้ฉันหุบยิ้ม หายจากอาการดีใจที่อาม่ายอทันที
นี่ถ้าเฮียเล้งเห็นเอื้อย คำพูดที่เฮียจะพูดคงจะตรงกันข้ามกับที่พูดกับฉันทันที
อาเจ้ย เพื่อนลื้อนี่สวยยังกับนางฟ้าแถมยังสง่าอย่างกับพญาหงส์ ถ้าอีไปประกวดนางงามนะ มีหวังได้ที่1แน่ๆ”.....

ฉันนึกถึงใบหน้ากะริ้มกระเรี่ยของเฮียแล้วก็อดขำไม่ได้
ครอบครัวของฉันก็มีเชื้อสายจีนเหมือนๆกันกับอัน
คุณพ่อของฉันนั้นท่านมีเชื้อสายจีน พื้นเพเดิมท่านไม่ใช่คนที่นี่ แต่ท่านเป็นคนเก่งทำงานเป็นวิศวกรของบริษัทที่มีชื่อเสียง ในวัยหนุ่มนั้นท่านได้ย้ายมาประจำสาขาที่จังหวัดนี้และได้พบเจอแม่ที่เป็นสาวไทย ทั้งสองตกหลุมรักกันทันที หลังจากคบหาดูใจได้5ปีท่านทั้งสองก็ตัดสินใจแต่งงานกัน
ตั้งแต่นั้นมาพ่อก็ย้ายถิ่นฐานมาอยู่กับแม่ที่จังหวัดนี้จนกระทั่งปัจจุบัน
แม้จะเป็นคนไทยเชื้อสายจีนแต่พ่อก็เลี้ยงดูฉันแบบฉบับของคนไทย100% ท่านบอกว่าอยากให้เกียรติแม่อยากให้แม่เลี้ยงดูฉันในแบบที่ท่านอยากเลี้ยง ไม่อยากบังคับว่าต้องทำตามใครยังไง ฉันเลยโตมาแบบที่ไม่ค่อยได้รู้อะไรมากมายในเรื่องประเพณีและวัฒนธรรมของจีนเลย
ฉันนั่งคิดไปเรื่อยเปื่อยในระหว่างที่นั่งรอเอื้อยอยู่ข้างนอก ตอนนี้คุณยายคนนั้นเดินหายเข้าไปในบ้านเสียแล้ว
ฉันได้ยินเสียงเครื่องเสียงข้างในที่เปิดขึ้นมาดังทะลุกำแพงออกมาด้านนอก นี่อย่าบอกนะว่าฉลองกันตั้งแต่เช้าๆ ฉันนั่งจ้องไปที่ประตูที่เอื้อยเดินหายเข้าไปเมื่อกี้ ด้วยความหวังว่าเธอจะรีบกลับออกมา
แต่ก็เปล่าเลย ทั้งๆที่เอื้อยบอกฉันว่าจะแค่แวะเอาของขวัญมาให้อันเฉย
ฉันดูนาฬิกา นี่ก็ผ่านมาเกือบ20 นาทีแล้ว ความร้อนของพระอาทิตย์กำลังทำให้ฉันเริ่มรู้สึกหงุดหงิด ฉันต้องเทียวลุกเทียวนั่ง เดินไปเดินมาแถวๆเบาะรถ
ตึ้ง!!! เสียงข้อความในไลน์ของฉันดังขึ้น ฉันรีบหยิบขึ้นมาดู เป็นเอื้อยที่ส่งข้อความมา
เข้ามารับหน่อยสิ”
แล้วเธอก็ส่งสติ๊กเกอร์รูปกระต่ายกุมมือขอร้องมา
เหมือนสัญชาตญาณบางอย่างบอกฉันเอื้อยคงต้องการความช่วยเหลืออะไรแน่ๆ ตาขวาฉันกระตุกนิดๆ
คิดได้ดังนั้นฉันจึงเดินเข้าไปในบ้านของอันทันที ภายในบ้านของอันนั้นเป็นอาคารพานิชย์สองชั้นครึ่ง ตรงกลางบ้านมีกลุ่มเพื่อนๆนั่งอยู่สิบกว่าคน บางคนร้องคาราโอเกะ บางคนลุกขึ้นเต้น บางคนก็นั่งกินเหล้าเบียร์กันอยู่
สายตาฉันมองไปเห็นเอื้อยทันที ตอนนี้เธอโดนอันกุมมือไว้อยู่
เอื้อย..” ฉันเรียกเอื้อยเธอหันมาตามเสียงเรียกพร้อมๆกับอันทันที
ได้เวลาแล้วใช่มั้ยเจ้ย เดี๋ยวนะเค้ากำลังจะกลับพอดี” เอื้อยหันหน้ามาทางฉันเธอขยิบตาส่งสัญญาณเพื่อให้ฉันตอบรับกับเรื่องราวที่เธอพูดขึ้นมาเมื่อกี้พร้อมๆกับพยายามแกะมืออันออกจากมือเธอ
แต่อันไม่ยอมปล่อย ฉันมองหน้าอันตอนนี้ หน้าเธอแดงตาขวางๆเหมือนคนกำลังเมาอยู่
มากินอะไรด้วยกันก่อนสิเจ้ย” เสียงอันร้องเรียกชวนฉันกินอะไรกับเธอก่อน
ไม่อะ เรารีบต้องไปทำธุระให้เสร็จ” ฉันรับมุกเอื้อยรีบโกหกอันต่อทันที ตอนนี้ใบหน้าของเอื้อยออกอาการไม่ค่อยสู้ดีนัก
ไปคนเดียวไม่ได้เหรอ ทำไม่ต้องให้เอื้อยไปเป็นเพื่อนด้วย วันเกิดเราทั้งทีเราก็อยากให้เอื้อยอยู่กินอะไรด้วยก่อนนะ” เสียงอันพูดดังๆเหมือนเค้าพยายามข่มฉัน
ไม่ได้หรอก มันเป็นธุระที่ต้องทำด้วยกันสองคน เค้าปล่อยให้เจ้ยไปทำคนเดียวไม่ได้หรอก” เสียงเอื้อยพูดแทรกขึ้นมือเธอยังพยายามแกะมือของอันออกเหมือนเดิม
แฟนเค้ามารับแล้วแกก็ปล่อยเค้าไปสักทีเถอะวะอัน เซ้าซี้เค้าอยู่ได้น่ารำคาญ” เสียงเพื่อนของอันพูดแทรกขึ้นคงเพราะหมั่นไส้ให้เอื้อยที่เธอไม่ยอมสนใจอันสักที
อันหันไปมองหน้าเพื่อนคนนั้นด้วยสีหน้าเศร้าๆ ก่อนจะปล่อยแขนเอื้อยออก
เค้าไปก่อนนะ เดี๋ยวโทรหาใหม่ มีความสุขมากๆนะ” เอื้อยบอกอันแล้วรีบลุกขึ้นเดินออกจากบ้านของอันไปพร้อมๆกับฉัน
ยังไม่ทันทีเราสองคนจะไปถึงรถมอเตอร์ไซต์ อันก็รีบวิ่งออกมาเรียกเอื้อยไว้
เอื้อย จำไว้นะ ถ้าคนที่เอื้อยรักเค้าไม่สามารถอยู่ข้างๆเอื้อยตลอดเวลาได้ เอื้อยกลับมาหาเค้านะ” เสียงอันพูดเหมือนคนจะร้องไห้
เอื้อยหันมามองหน้าฉันก่อนจะหันหลังกลับไปยิ้มให้อันแต่เธอก็ไม่พูดอะไรต่อจากนั้น
..ดูไปดูมาก็น่าสงสารนะยัยนี่.. ฉันมองเห็นหน้าอันแล้วก็อดคิดอย่างนี้ไม่ได้ แต่ไม่ได้ยังไงศัตรูก็คือศัตรูถ้าใจอ่อนก็เท่ากับยอมแพ้ ฉันเดินมาไกลเกินกว่าที่จะยอมให้คำว่าสงสารมาทำอะไรได้แล้ว
เราสองคนขับรถออกมาจากบ้านอันอย่างเงียบๆ
เมื่อถึงบ้านฉันก็เกือบเที่ยงแล้ว ฉันเอาอาหารเช้าที่แม่เตรียมไว้ให้ออกมาอุ่นให้เอื้อยทาน
ตอนแรกฉันว่าจะแวะพาเอื้อยทานอะไรอยู่ร้านฟาสต์ฟู้ดในเมืองแต่เอื้อยปฏิเสธ
เอื้อยเป็นคนง่ายๆกว่าที่ฉันคิด เธอไม่เรื่องมาก กินอะไรก็ได้ง่ายๆ เธอว่าเธออยากกินอะไรอยู่กับฉันสองคนที่บ้านมากกว่า
เรานั่งกินข้าวไปพูดคุยกันไปเรื่อย
ทำไมตอนกลับอันพูดอย่างนั้นกับเอื้อยล่ะ” อยู่ๆฉันก็นึกถึงสิ่งที่อันพูดกับเอื้อยก่อนที่เราจะกลับบ้านกันได้
เอื้อยทำหน้าเศร้าเหมือนตัวเองรู้สึกผิด
เมื่อคืนอันโทรมาขอคบกับเค้าน่ะ แล้วเค้าก็ปฏิเสธอันไปว่าเค้ามีคนที่เค้าชอบอยู่แล้ว แต่เค้าไม่ได้บอกอันนะว่าเป็นใคร เค้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมอยู่ๆอันพูดอย่างนั้นออกมา” เอื้อยทำเสียงหงอยๆ

..หึ..ก็เพราะว่ายัยนี่รู้น่ะสิว่าคนที่เอื้อยรักเป็นใคร ..
เค้าโทรมาจีบทุกวันล่ะสิ ทำไมไม่ใจอ่อนล่ะ” ฉันถามหยั่งเชิงเอื้อย
เหตุผลเดิมนั่นล่ะ ก็เค้ามีคนที่เค้ารักอยู่แล้วนี่นา.. เจ้ยรู้มั้ย..เค้านั่งคิดนอนคิดมาอยู่นานแล้วล่ะว่าจริงๆแล้วเค้าอาจจะชอบเจ้ยมาตั้งแต่วันแรกที่พบกันแล้วก็ได้” เอื้อยทำเสียงอ้อนๆ
ฮ้า..วันไหนนะ” เสียงฉันตกใจทันทีเมื่อได้ยินเสียงเอื้อยสารภาพอย่างนี้
ก็ตั้งแต่วันแรกที่เค้าเห็นเจ้ยตอนโดนคัดตัวออกไปเป็นคฑากรไง ตอนนั้นที่เราเข้ามา ม .4พร้อมกัน ไม่รู้ว่าเจ้ยจะจำได้มั้ย เราโดนคัดตัวออกไปทำกิจกรรมที่หน้าเสาธงด้วยกันทั้งสอง เจ้ยเป็นคฑากรส่วนเค้าได้ถือป้ายตอนนั้นเรายืนอยู่ข้างๆกันด้วยนะ” ฉันยิ้มนั่งฟังอย่างประหลาดใจ นี่ฉันจำไม่ได้เลยนะว่าเอื้อยกับฉันเคยอยู่ใกล้ๆกันด้วย แต่ก็แค่คลับคล้ายคลับคลาว่าเห็นเอื้อยถือป้าย ตอนที่เห็นเอื้อยใส่ชุดไทยครั้งแรกยังแอบมองตามเลยว่าผู้หญิงคนนี้ใส่ชุดไทยสวยจัง
ตอนที่เค้าเห็นเจ้ยตอนนั้น เจ้ยยืนยิ้มให้เค้าและดึงมือเค้ามายืนอยู่ข้างๆด้วย นั่นเป็นครั้งแรกที่เค้ารู้สึกแปลกๆทันทีที่มีผู้หญิงมาจับมือทั้งๆที่ไม่เคยเป็น ตอนนั้นก็ได้แต่คิดว่ามันเป็นแค่ความรู้สึกปลื้มผู้หญิงธรรมดาๆไม่ได้มีอะไรมากมายเกินกว่านั้น ก็เลยเก็บๆความรู้สึกนั้นไว้จนลืมไปว่าเคยแอบชอบเจ้ยมาก่อน” เอื้อยยิ้มน่าแดงตอนที่เล่า
ยิ่งฟังฉันยิ่งอึ้ง นึกไม่ถึงว่าเอื้อยจะจำได้แม้กระทั่งว่าฉันยืนข้างๆและดึงมือเธอมายืนอยู่ใกล้ๆ
...เอ..นี่ฉันนึกไม่ออกจริงๆว่าฉันดึงมือเอื้อยทำไม หรืออาจจะเป็นเพราะว่าอาจารย์บอกให้เรายืนชิดๆกันจะได้มีที่สำหรับเด็กที่จะทำกิจกรรมคนต่อไปขึ้นมายืนอีกก็ได้ คือตอนนั้นฉันคงไม่ได้คิดอะไรกับเอื้อยจริงๆ...
..แต่เอื้อยดันคิด..
แล้วทำไมคุยกับเค้าตอนนั้นถึงบอกว่าไม่ได้ชอบผู้หญิงด้วยกันล่ะ” ฉันนึกขึ้นได้เรื่องที่ฉันเคยถามเอื้อย
อ้าวพึ่งเป็นเพื่อนกันจะกล้าบอกมั้ยล่ะว่าเคยรู้สึกแปลกๆกับคนที่พูดด้วยมาก่อน ไก่ตื่นกันพอดี” เอื้อยยิ้มทำเสียงกะล่อนยิ่งฟังยิ่งชวนขำ
..อ๋อนี่วางแผนการเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วสินะ มิน่าถึงได้ชอบทำนั่นทำนี่ให้เรารู้สึกแปลกๆ จนกระทั่งเราเผลอใจ..รักเอื้อย..เข้าจนได้..เอื้อยนี่ก็ร้ายเงียบไม่เบานะ...
เรานั่งคุยกันไปเรื่อยๆจนกระทั่งทานข้าวเสร็จกัน และช่วยกันล้างจานต่อ
นี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าการทำงานบ้านไม่น่าเบื่อเลยเมื่อมีเอื้อยมาช่วยทำอยู่ข้างๆ
เรานั่งคุยกัน ทั้งหยอก ทั้งเล่นอะไรก็ตามที่เราพอจะนึกขึ้นได้ จนเวลาล่วงผ่านไปเป็นตอนเย็น
ฉันชวนเอื้อยขับรถออกไปกินบะหมี่ที่หน้าปากซอยเราแวะซื้อขนมเข้ามากินกันด้วย
...ก็ดีนะ จะว่าไปแล้วฉันก็ลืมซื้อกลับแกล้มมากินเสียด้วย นี่ก็ค่ำแล้วคงได้เวลาที่ฉันจะต้องล่าเหยื่อเสียที...
ฉันอมยิ้มคิดถึงเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นอยู่คนเดียวไม่ยอมออกจากร้านเสียที จนเอื้อยต้องลากฉันออกไป
เรากลับเข้าบ้านประมาณหกโมงเย็น ฉันจัดการล็อคประตูรั้วหน้าบ้านและเก็บบ้านด้านล่างให้เรียบร้อยก่อนจะชวนเอื้อยขึ้นไปข้างบนห้องฉัน
ฉันชวนเอื้อยอาบน้ำก่อน โดยให้เอื้อยอาบน้ำที่ห้องน้ำของฉัน ส่วนฉันเดินไปใช้ห้องน้ำของห้องพ่อกับแม่ ไม่นานเราก็อาบน้ำเสร็จ
เราเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนกางเกงกัน เอื้อยในชุดนอนสีฟ้าตอนนี้ดูน่ารักเหมือนเด็กมาก
เธอเดินสำรวจห้องของฉันหยิบนั้นหยิบนั่นหยิบนี่มาดูตลอด
แล้วตอนนี้เธอก็ไปขนอัลบั้มรูปเก่าๆของฉันลงมากองลงที่กลางห้องนอน เอื้อยเปิดดูภาพไปหัวเราะไป
เจ้ยน่ารักอ่ะ ตอนเด็กๆน่าหยิกแก้มชะมัด” เอื้อยหัวเราะพร้อมๆกับหันมาหยิกแก้มฉันด้วยความหมั่นไส้
เธอไล่เปิดอัลบั้มภาพไปเรื่อยๆจนไปเจอเซตภาพ ม.ต้น ในอัลบั้มนั้นมีรูปภาพฉันกับกรอยู่
ไหนว่าไม่ได้คบกันดูถ่ายภาพแต่ละภาพถึงเนื้อถึงตัวกันทั้งนั้นเลยนะ” เอื้อยทำเสียงงอนๆ
ไปใกล้ชิดเค้าอย่างนี้ล่ะสิเค้าก็เลยคิดว่าตัวเองไปมีใจให้เค้าน่ะ” เอื้อยยังต่อว่าฉันต่อ
พอเลยๆไม่ได้คิดอะไรอย่างนั้นสักหน่อยก็แค่เพื่อนกัน เด็กขนาดนั้นใครจะไปคิดอะไรมากเล่า” ฉันห้ามเอื้อยไม่ให้พูดต่อ
อย่าชวนทะเลาะได้มั้ย ถ้าเค้าไม่ได้เริ่มแล้วเอื้อยก็อย่าเป็นฝ่ายเริ่มเองสิ อุตสาห์ได้อยู่ใกล้ๆกันแบบนี้แล้ว” ฉันทำเสียงอ้อนๆไม่อยากให้เอื้อยต้องงอนและกลายเป็นทะเลาะกันจนไม่เป็นอันทำอะไรอีก
กินนี่ด้วยกันมั้ย จะได้อารมณ์ดี” ฉันได้ทีเริ่มแผนการ หันไปหยิบขวดสปายด์ที่ซ่อนอยู่ออกมาให้เอื้อยเห็น
เอื้อยคิ้วขมวดทันทีที่เห็น
เอามาจากไหนอ่ะ” เธอถามฉันเสียงงงๆ
พอดีซื้อไว้ตั้งแต่ตอนงานวันเกิดเค้าปีที่แล้วแล้วกินไม่หมดเสียดายเหลือตั้งเยอะ แล้วเค้าก็อยากกินอยู่แต่ไม่มีเพื่อนกิน จะทิ้งก็เสียดาย วันนี้เอื้อยมาก็เลยชวนกินไง” ฉันพยายามอธิบายด้วยใบหน้าสดใสไร้เดียงสา
ไหนเจ้ยว่าไม่ให้เค้ากินแล้วไง” เอื้อยทำเสียงแหยๆ เธอคงนึกได้ตอนที่เธอเมาตอนนั้นโดนฉันดุไม่ให้กินอีก
ไม่ให้กินกับคนอื่น ถ้ากินกับเค้า เค้าอนุญาตเพราะว่าเค้าดูแลเอื้อยได้ไง” ฉันอธิบาย
เอื้อยทำหน้าครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะตกลงกินด้วย
ฉันยิ้มออกทันที ในที่สุดเธอก็ติดกับฉันแล้วแม่กวางน้อย
งันเด๋วเค้าไปเอาแก้วมาก่อนนะ”
ฉันหายลงไปข้างล่างแล้วกลับมาพร้อมๆกับแก้วสองใบและถุงน้ำแข็งที่ฉันตั้งเอาไว้ในถังคูลเลอร์
เมื่อเอามาวางต่อหน้าเอื้อย เอื้อยก็คิ้วขมวดถามฉันทันที
น้ำแข็งนี่ก็ตั้งแต่ปีก่อนเหรอ”
เอ้ย!!ไม่ใช่.. พ่อซื้อไว้ในตู้เย็นไว้ตั้งนานแล้ว” ฉันเหงื่อตก รีบหาทางแก้ตัว
เอื้อยหยิบก้อนน้ำแข็งขึ้นมาดู
นานแล้วแต่ดูแล้วเหมือนพึ่งซื้อมานะ ก้อนน้ำแข็งยังเป็นก้อนใครก้อนมันอยู่เลย เหมือนพึ่งซื้อมาวันนี้เลยนะนี่ จงใจซื้อมากินหรือเปล่า” เอื้อยเริ่มเปลี่ยนเป็นเสียงประหลาดๆ เธอหันมาจ้องหน้าฉันตาเขม็ง
เจ้ยคิดจะทำอะไรอะ..” เอื้อยทำเสียงซีเรียส นั่งนิ่งมองหน้าฉัน สีหน้าของเอื้อยนั้นนิ่งๆเหมือนกำลังจับผิดอะไรสักอย่าง
อึก!! ฉันกลืนน้ำลายลงคอทันทีที่ได้ยินเสียงเอื้อยพูด แค่ฉันเห็นหน้านิ่งๆของเอื้อยตอนนี้ก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังใจคอไม่ดีเสียแล้ว ..เธอรู้แล้วใช่มั้ยว่าฉันจะทำอะไรเธอ..
“..หมายถึง....จะกินไปด้วยแล้วจะทำอะไรไปด้วยหรือเปล่า ร้องเพลงเล่นกีตาร์ไปด้วยมั้ย” เอื้อยเปลี่ยนโทนเสียงถามฉัน แววตาเปลี่ยนไปจากเมื่อกี้จากหน้ามือเป็นหลังมือ
เออ ใช่ๆกินไปด้วยร้องเพลงไปด้วย ถือว่าได้ซ้อมไปด้วย สนุกดีนะ” ฉันแอบโล่งใจทันทีที่ได้ยินเอื้อยถาม
เหรอ..งั้นเจ้ยไปเอากีตาร์กับหนังสือเพลงมาด้วยนะ” เอื้อยยิ้มตาหวานใช้ให้ฉันไปเอากีตาร์กับหนังสือเพลงมาให้
ฉันรีบเดินไปหาหนังสือเพลงที่ฉันซื้อเก็บมาไว้ โดยในตอนที่หานั้นฉันแอบชำเรืองกลับไปมองที่เอื้อย ตอนนี้เอื้อยก็ชำเรืองมองมาที่ฉันเหมือนกันแววตาเธอเปลี่ยนเป็นซีเรียสเหมือนตอนแรกอีกแล้ว
นี่ฉันคงคิดมากไปเองใช่มั้ย ก็แค่ชวนกินด้วยกันฉันไม่ได้บังคับให้เธอกินคนเดียวซักหน่อย อย่าพึ่งตีตัวไปก่อนไข้สิเจ้ยเด๋วแผนแตกกันพอดี
ฉันพยายามดึงสติกลับมา เราจะต้องไม่รนราน ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายจะรู้แผนการชั่วร้ายหมด
ฉันรีบขนเอากองหนังสือเพลงมากองตรงพื้นห้องนอนและเอากีตาร์มาวางไว้ข้างๆแล้วรีบเอาแก้วมาวางไว้ต่อหน้า
ตอนนี้เอื้อยนั่งก้มหน้าเปิดดูหนังสือเพลงอยู่ บางทีเธอเจอเพลงที่เธอร้องได้เธอก็ร้องเพลงนั้นขึ้นมา ดูอารมณ์ดี ...ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรผิดปกติสักหน่อย.. ฉันคิดมากไปจริงๆนั่นล่ะ
ทันทีที่ฉันนั่งลงเอื้อยก็รีบยื่นหนังสือเพลงที่เธอเปิดค้างไว้ให้ทันที
เล่นเพลงนี้ให้หน่อย แล้วก็เอาแก้วมานี่เดี๋ยวเค้าเสริฟให้เอง” เอื้อยดึงเอาแก้วมาวางไว้ทางเธอแล้วก็รีบเร่งให้ฉันเล่นกีตาร์เพลงที่เธอต้องการให้
เห็นมั้ยล่ะ คิดมากไปเองจริงๆด้วยดูเธอก็ยังพยายามเอาใจฉันอยู่เหมือนเดิม
..หึหึ แม่กวางน้อย แววตาเธอช่างไร้เดียงสายิ่งนัก...
ฉันหยิบกีตาร์มาเล่นเพลงตามที่เอื้อยขอ ส่วนเอื้อยนั้นก็จัดการตักน้ำแข็งใส่แก้วให้ฉัน พร้อมๆกับรินสปายด์ลงใส่แก้วทั้งสองใบจนเต็ม
ฉันเล่นเพลงไปได้ไม่กี่ท่อนเอื้อยก็ยื่นแก้วสปายด์ส่งให้ฉัน พอฉันจะหยิบขึ้นมาดื่มเอื้อยก็ปราม
ไม่ต้องมาจับเลย เดี๋ยวเค้าจับแก้วป้อนให้เจ้ยเอง เจ้ยเล่นไปเรื่อยๆจะได้ไม่เสียอารมณ์ไง”
เอื้อยยิ้มหน้าหวานหยดย้อย เธอค่อยๆบรรจงจ่อแก้วมาที่ริมฝีปากฉัน
..ดูสิ เอาอกเอาใจฉันจนฉันรู้สึกว่าตัวเองอยู่ในฮาเล็มแล้ว ผู้หญิงอะไรน่ารักชะมัดยิ่งดูยิ่งหลงยิ่งมองยิ่งอยากครอบครอง...
ฉันเผลอคิดมโนไปถึงตอนที่เอื้อยกำลังสลึมสลือด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์เหมือนตอนที่อยู่ในงานวันเกิดของสา เธอค่อยๆบรรจงริมฝีปากจูบพรมทั่วร่างกายของฉัน ไม่ต้องมีการขืนใจไม่ต้องมีการบังคับเธอเต็มใจและสมยอมเองทุกอย่าง
แค่คิดฉันก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่หน้าแดงอยู่คนเดียว

เจ้ย เป็นอะไรอ่ะ....” เสียงเอื้อยดังทะลุเข้ามาในมโนภาพของฉัน สติฉันกลับมาอยู่ตรงนี้ทันที
ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่คนเดียว คิดอะไรหรือเปล่านี่” เอื้อยยังสงสัยในท่าทางของฉัน
เปล้า แค่รู้สึกดีที่มีเอื้อยเอาใจอยู่ข้างๆตอนนี้”
เหรอ..” เอื้อยเหล่ตามองฉันเหมือนไม่ค่อยเชื่อในสิ่งที่ฉันพูด ก่อนที่เธอจะบอกให้ฉันเล่นเพลงต่อไป
ฉันมองไปที่แก้วเอื้อยตอนนี้สปายด์ในแก้วของเอื้อยลดลงไปนิดนึงแล้วเธอคงค่อยๆดื่ม เพราะเธอต้องร้องเพลงกับฉันไปเรื่อยๆคงไม่อยากจะเมาไว
ฉันเหล่ตามองดูนาฬิกาตอนนี้มันบอกเวลาที่สองทุ่มครึ่ง คิดว่าไม่น่าจะเกินสี่ทุ่มทุกอย่างคงจะโอเค
เราเล่นเพลงแล้วเพลงเล่า จบบ้างไม่จบบ้าง แต่ก็อยู่ในอารมณ์สนุกสนานเฮฮา ฉันรู้สึกมีความสุขมากเอื้อยก็คงเช่นกัน แม้เอื้อยจะชอบแอบมองหน้าฉันแล้วทำสายตาแปลกๆอยู่ตลอดเวลาก็เถอะ
แต่เธอก็ยังทำหน้าที่แฟนที่ดีที่เอาอกเอาใจฉัน เธอยังคอยป้อนสปายด์ให้ฉันดื่มอยู่ตลอดเวลา เพราะต้องฉันนั่งเล่นกีตาร์อยู่ตลอด
บางทีฉันทำท่าเหมือนจะหยุดเล่นแล้วจะหันมาดื่มอย่างเดียว เอื้อยก็จะเอ็ดฉัน เธออ้างว่าอยากร้องเพลงอย่างนี้ตลอดไม่อยากนั่งกินเงียบๆ
ก็อาจจะจริง เพราะเอื้อยก็นั่งร้องเพลงมาตลอดโดยไม่หยุดเลยเธอคงชอบร้องเพลงมาก
ฉันชำเรืองไปที่แก้วเอื้อยตอนนี้เอื้อยรินสปายด์ของเธอลงไปเต็มแก้วเหมือนเดิมแล้ว
จากที่ฉันแอบชำเรืองมองก็เห็นเธอรินใส่แก้วตัวเองหลายรอบแล้วเหมือนกัน ตอนนี้ไม่แน่เธออาจจะกำลังสลึมสลืออยู่ก็เป็นได้
เรายังนั่งเล่นกีตาร์และร้องเพลงไปเรื่อยๆตอนนี้นาฬิกาชี้บอกเวลาที่สี่ทุ่มครึ่งแล้ว
เวลานี้ฉันรู้สึกเหมือนหูตัวเองอื้อๆอึงๆอยู่ตลอดเวลา แถมฉันยังลุกเข้าห้องน้ำบ่อยมาก ซึ่งก็อาจจะเป็นเพราะว่าฉันดื่มน้ำเข้าไปเยอะก็ได้
น่าแปลกที่เอื้อยยังนั่งร้องเพลงได้อยู่เรื่อยๆเธอไม่ลุกเข้าห้องน้ำเลย และที่สำคัญไม่รู้ว่าฉันคิดไปเองหรือเปล่าว่าฉันรู้สึกว่ายิ่งดึกเสียงของเอื้อยยิ่งเพราะยิ่งใส
ฉันเคยเห็นเพื่อนฉันนั่งดื่มเบียร์แล้วร้องคาราโอเกะไป พอกินเข้าไปเยอะๆเสียงร้องของเพื่อนฉันนั้นจะเริ่มหลงคีย์ ร้องถูกบ้างผิดบ้าง บางที่ก็เสียงแหบลงไปเรื่อยๆ
แต่สำหรับเอื้อยแล้ว ฉันนั่งฟังเธอร้องอยู่นี้ยิ่งดึกเสียงยิ่งใส ต่างจากฉันที่ยิ่งเล่นก็ยิ่งเพี้ยนจับคอร์ดผิดไปหมด
อืม..อาจจะเป็นเพราะว่าตอนนี้ตาฉันเริ่มเบลอๆแล้วก็ได้ ฉันพยายามหยีตาดูหนังสือเพลง รู้สึกว่าตัวหนังสือมันเล็กลงมากอ่านคอร์ดไม่ค่อยออกเลย ต้องนั่งก้มลงมองดูใกล้ๆ แล้วพอฉันยิ่งก้มมองดูใกล้ๆฉันก็เริ่มอาการเวียนหัวเหมือนจะอ้วกขึ้นมาทันที
อึ๊ก.. เสียงอะไรสักอย่างในคอของฉันกำลังดันออกมาตอนนี้ มันกำลังดันกันออกมาจากลำไส้ของฉัน
ไม่ได้การแล้วฉันต้องรีบลุกวิ่งขึ้นไปในห้องน้ำทันที
ความรู้สึกตอนนี้คือเหมือนฉันกำลังจะอ้วก แต่มันไม่อ้วกมันเป็นความรู้สึกพะอืดพะอมแปลกๆ เมื่อฉันมายืนอยู่หน้าชักโครกเพื่อเตรียมที่จะอ้วกแต่มันกลับไม่ออก
..โอเค้..ก็แสดงว่ามันยังโอเคอยู่ ฉันยังไม่เมา แค่อาจจะเวียนหัวที่ต้องก้มๆเงยๆดูหนังสือก็เป็นได้
พอฉันเดินออกมาเอื้อยก็รีบถามไถ่ฉันด้วยความเป็นห่วงทันที
เจ้ย..เป็นไงบ้าง ไหวมั้ย เมาหรือยัง”
ยางๆ ยังไม่เมา สงสัยนั่งก้มๆเงยๆมากเกินไป” ฉันพยายามบังคับลิ้นให้พูดด้วยอาการที่ปกติที่สุด
ฉันมองดูเอื้อยที่มองฉันด้วยความเป็นห่วง หน้าของเธอยังสดใสเหมือนเดิม ขาวๆเนียนๆไม่มีแม้แต่สีแดงที่แก้ม ช่างตรงข้ามกับฉันยิ่งนัก
..นี่เธอกินเก่งขึ้น หรือว่าฉันมันคออ่อนเอง..
ฉันแอบชำเรืองมองที่กองขวดสปายด์ นับดูขวดที่เปิดแล้วมันได้8 ขวดกับอีก1ขวดที่เหลืออยู่ครึ่งนึงก็เท่ากับว่าฉันกับเอื้อยกินกันคนละ4ขวดกว่าๆ แค่4ขวดทำไมฉันรู้สึกเวียนหัวจังเลยนะ
จริงๆแล้วต้องเป็นเอื้อยนะที่ไม่ไหว เพราะวันนี้เธอก็กินไม่เยอะน่าจะไม่ถึง2ขวดเลยด้วยซ้ำเธอยังเมาแอ๋อย่างนั้น นี่อย่าบอกนะว่าไปแอบหัดดื่มคนเดียวจนคอแข็งแล้ว ปัดโธ่..กลายเป็นฉันซะเองที่คออ่อน ตอนนี้เริ่มมองภาพต่อหน้าเบลอๆไปทุกอย่าง
เอื้อยรินสปายด์ใส่แก้วของฉันต่อตอนนี้ขวดที่9กำลังจะหมดไป
เธอค่อยๆยกแก้วป้อนใส่ปากให้ฉันเหมือนเดิม ปากของเธอก็ร้องเพลงที่ฉันกำลังเล่นไป ณ ตอนนี้
ให้ตายสิ ทำไมตอนนี้ฉันรู้สึกเวียนหัวขึ้นมาอย่างนี้นะ ตอนนี้เหมือนห้องของฉันกำลังหมุนประหนึ่งว่ามันคือม้าหมุน ฉันนั่งอยู่เฉยๆแต่ภาพทุกอย่างเหมือนมันกำลังวิ่งผ่านฉันไปหมด ไม่รู้ว่าเอื้อยเป็นอย่างนี้บ้างหรือเปล่า
ฉันแอบชำเรืองตาเพื่อหวังจะดูอาการของเอื้อยบ้างว่าตอนนี้เธอเป็นอย่างไร
แต่แล้วภาพที่ฉันเห็นก็คือ
เอื้อยกำลังแอบเทสปายด์ในแก้วของเธอลงในแก้วของฉัน จากที่มันเหลืออยู่ค่อนแก้วตอนนี้แก้วของฉันมันเต็มอีกแล้ว
แล้วเธอก็ทำประหนึ่งว่าตอนนี้แก้วของเธอหมดลงไปอีกแก้วแล้ว แล้วเธอก็แกล้งยกขึ้นมาทำท่าเหมือนกำลังดื่ม
เอื้อยทำอะไรอะ” ฉันหันไปทักเอื้อยเสียงดังจนเอื้อยสะดุ้งตกใจ
ก็กินสปายด์อยู่ไง ไม่เห็นเหรอ” เจ้ยทำเสียงอึกๆอักๆ
ไม่ใช่ เมื่อกี้เค้าเห็นเอื้อยเทจากแก้วเอื้อยลงมาใส่แก้วเค้า นี่เอื้อยไม่ได้กินเลยสักแก้วใช่มั้ย”
ใครบอกเล่า เค้าแค่ไม่อยากเปิดขวดใหม่เฉยๆ เลยเทจากแก้วเค้าให้เจ้ยกินก่อนไง เสียดายอะเปิดอีกขวดเค้ากลัวจะกินไม่หมด”
เสียงอู้ๆอี้ๆของเอื้อยดังเข้ามาในหูฉัน ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าหัวฉันกำลังหมุนอย่างแรงและเร็วทำให้ภาพและเสียงที่อยู่ต่อหน้าฉันตอนนี้มันดูไม่ชัดและแปลกจากต้นฉบับไปทุกอย่าง

อึ๊ก..อะไรบางอย่างที่อยู่ในคอฉันตอนนี้กำลังดันออกมาอีกแล้วทำให้ฉันต้องรีบลุกขึ้นวิ่งไปเข้าห้องน้ำอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้ฉันอ้วกออกมาทุกอย่าง ทั้งเวียนหัวทั้งทรงตัวไม่ค่อยอยู่ ต้องค่อยๆทุลักทุเลเดินออกมาจากห้องน้ำ
ตอนนี้เอื้อยยืนดูฉันอยู่หน้าห้องน้ำสีหน้าเธอกังวลและเป็นห่วงฉันมาก แต่สีหน้าไม่ได้บ่งบอกเลยว่าเธอเมา
ให้ตายเถอะนี้ฉันเสียรู้ให้เอื้อยอย่างนั้นเหรอ นี่เท่ากับว่าฉันนั่งกินไปคนเดียว9ขวด มิน่าทำไมฉันถึงรู้สึกเมาผิดปกติอย่างนี้
ฉันจับไหล่เอื้อยเขย่าอย่างแรง จนเอื้อยเซ
นี่เอื้อยหลอกเค้าทำไมนี่ ไม่อยากกินทำไมไม่บอก มาแกล้งเค้าทำไมนี่”
เอื้อยคิ้วขมวด
เค้าจำเป็นต้องทำนะเจ้ย..ถ้าเป็นเค้าที่เมาตอนนี้ คิดว่าเค้าคง.....”
ฉันยังฟังเอื้อยพูดไม่จบประโยคดี อาการอึกๆที่อยู่ในคอของฉันก็กลับมาอีก ฉันต้องรีบวิ่งเข้าห้องน้ำ
ตอนนี้มีทั้งความรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วน เหมือนทุกอย่างที่อยู่ในนี้กำลังจะออกออกมาหมดแม้กระทั่งลำไส้และกระเพราะของฉันเอง
ทุกอย่างในห้องน้ำมันหมุนเคว้งไปหมด
ฉันไม่สามารถบังคับตัวเองให้ยืนอยู่ตรงๆได้เลย อาการอยากอ้วกและเวียนหัวอยู่ตลอดเวลา มันทำให้ฉันเทียวลุกเทียวนั่งอยู่อย่างนี้
ด้วยความเพลียที่ฉันนั่งอยู่ในห้องน้ำอยู่นาน จนคิดว่าน่าจะอ้วกออกมาหมดแล้ว จึงทำให้ฉันรีบลุกขึ้นเพื่อที่จะกลับไปที่นั่งของฉัน แต่ทันทีที่ฉันลุกขึ้น อ้วกเจ้ากรรมก็พุ่งออกมาอีกรอบ แต่รอบนี้มันไม่ได้ลงไปอยู่ในชักโครกกลับกลายมาอยู่ที่เสื้อผ้าของฉันแทน
โอยให้ตายเถอะ... เสื้อผ้าของฉันเปื้อนไปหมดแล้ว... ฉันรีบลุกขึ้นไปหาฝักบัวเพื่อหวังที่จะใช้มันล้างคราบสกปรกออกไปให้หมด แต่แค่เปิดมันก็พุ่งเข้ามาใส่เสื้อผ้าของฉัน จากที่มันสกปรกอยู่แล้วตอนนี้ให้เปียกปอนเพิ่มเข้าไปอีก
จังหวะที่น้ำพุ่งออกมานั้นฉันสะดุ้งตกใจลื่นล้มมือไปโดนขวดชมพูแถวๆนั้นตกลงพื้นเสียงดังโครมคราม
เอื้อยที่รออยู่ข้างนอกได้ยินเสียงคงตกใจรีบผลักประตูห้องน้ำที่ฉันไม่ได้ล็อกไว้เข้ามา
แล้วเธอก็เห็นสภาพที่ดูแทบไม่ได้ของฉัน
เฮ้ยเจ้ย เป็นอะไรอะ ไหวมั้ย” เอื้อยมองฉันที่ตอนนี้นั่งกองลงกับพื้นห้องน้ำ มีสายน้ำของฝักบัวกำลังโปรยปรายลงมาที่ตัวของฉันจนเปียกปอนไปหมด
ฉันนั้นทั้งง่วงทั้งเวียนหัว ความรู้สึกในตัวนี้ก็คือมันพร้อมที่จะหลับลงตรงนี้ได้ทันทีเลยถ้าไม่มีเสียงเอื้อยมาโวยวายร้องเรียกฉันไว้
เธอค่อยๆพยุงฉันออกจากห้องน้ำมานั่งอยู่ที่กลางห้องนอน
ทำไงอ่ะ เสื้อผ้าเจ้ยเปื้อนไปหมดแล้วอะ” เสียงเอื้อยโวยวาย ฉันหยีตามองหน้าเอื้อยตอนนี้แล้วเธอทำหน้าเหมือนโมโหฉันเต็มที
ถ้างั้นเค้าคงจะต้องถอดเสื้อผ้าของเจ้ยออกหมดเลยนะ อย่าว่ากันนะ” เอื้อยพูดไปพลางยกชายเสื้อของฉันขึ้น ค่อยๆถอดชิ้นส่วนของฉันออกทีละชิ้น จนไม่เหลืออะไรติดตัวฉันแม้แต่ชิ้นเดียว
..ฉันจะว่าอะไรเธอได้ล่ะ ถามว่าอายมั้ยมันก็ต้องอายอยู่แล้วล่ะน..
..แต่ตอนนี้ฉันไม่สามารถบังคับตัวเองให้ทำอะไรได้อย่างที่คนมีสติทั่วไปทำได้เลย ไม่แม้กระทั่งบังคับให้ตัวเองลืมตามองไปข้างหน้า ลุกขึ้นยืนตรงๆ เดินตรงๆทุกอย่างที่ฉันต้องการร่างกายฉันทำตรงข้ามหมดเลย ตอนนี้ฉันกึ่งหลับกึ่งตื่นสภาพไม่ต่างจากคนละเมอ เสียงที่พูดมาของเอื้อยนั้นดังเข้าหูฉันบ้างไม่เข้าหูฉันบ้างเพราะตอนนี้หูของฉันนั้นอื้อไปหมด
นั่งนิ่งๆอยู่ตรงนี้ก่อนนะเค้าไปหาผ้ามาเช็ดตัวให้ก่อน” เอื้อยพยายามจับร่างเปลือยเปล่าของฉันให้นั่งตรงๆอยู่กับพื้นห้อง
..ให้ตายเถอะ ตอนนี้โลกกำลังหมุนหนักขึ้นกว่าเดิมเสียอีก.. แม้จะพยายามนั่งตัวตรงแต่ร่างกายของฉันก็โอนไปเอนมาไม่ต่างกันกับตุ๊กตาล้มลุก
ไม่ช้าเอื้อยก็มานั่งอยู่ต่อหน้าฉัน
เค้าขอเช็ดตัวให้เจ้ยนะ อายมั้ย..ถ้าอายเค้าปิดไฟทำให้ก็ได้” เสียงเอื้อยถาม
เธอช่างแสนดีและมีความเป็นสุภาพบุรุษเหลือเกิน แม้แต่ตอนนี้ก็ยังมีกระจิตกระใจเป็นห่วงกลัวฉันอายที่เธอจะเห็นฉันในสภาพนี้
..โอย..นี้เธอต้องการทำให้ฉันรู้สึกผิดใช่มั้ย..เอื้อย....
เสียงเอื้อยรีบเดินไปปิดไฟในห้องดังแกร๊ก ก่อนจะรีบมาพยุงตัวฉันแล้วค่อยๆเช็ดเนื้อตัวที่มอมแมมของฉันออกให้สะอาดหมดจด
คงเป็นเพราะฉันนั่งอยู่นานตอนนี้อาการวิงเวียนและพะอืดพะอมกลับมาอีกแล้ว ฉันต้องรีบยกตัวเองวิ่งไปที่ห้องน้ำโดยไว ให้ทันที่ฉันจะอ้วกอีกครั้ง
รู้สึกว่าฉันคงไม่ไหวแน่แล้ว ตอนนี้ฉันควรจะนอนลงแนวระนาบให้ไวที่สุด
เมื่อคิดได้เช่นนั้นฉันก็รีบเดินโซซัดโซเซออกจากห้องน้ำวิ่งไปที่เตียงนอนและล้มคะมำไปที่หมอนตัวเองอย่างแรง
เฮ้ย ใส่เสื้อผ้าก่อนสิเจ้ย” เสียงเอื้อยโวยวายวิ่งตามหลังฉันมา
ฉันเวียนหัวรู้สึกไม่ไหว พลิกตัวไปมาซ้ายทีขวาที เพราะยังรู้สึกว่าโลกยังหมุนอยู่ตลอด
...ตอนนี้ฉันคงต้องหาแกนโลกสักแกนเกาะไว้ให้ได้เสียแล้ว...
แล้วฉันก็มาหยุดในท่านอนตะแคงหันหน้าไปขอบเตียงจนหัวจะตกเตียงอยู่อีกไม่กี่เซน
ตอนนี้ฉันจะพยายามอยู่นิ่งๆให้มากที่สุด ฉันคิดว่าถ้าฉันทรงตัวท่านี้ได้ ไม่นานฉันคงหายจากอาการนี้แน่ๆ
เจ้ย ใส่เสื้อผ้าก่อน” เสียงเอื้อยเดินเข้ามายืนใกล้ๆฉันเธอยังคงรบเร้าให้ฉันมาใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย
ฉันโบกมือไปมา เพราะอยากบอกให้เอื้อยรู้ว่าอย่าพยายามให้ฉันลุกขึ้นทำอะไรอีกตอนนี้เลยไม่ไหวจริงๆ
เอื้อยยืนอึ้งส่ายหัว เธอคงสมเพชฉันที่อยู่ในสภาพนี้
เธอถอนหายใจเดินมานั่งอยู่ที่เตียงข้างๆฉัน ค่อยๆดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างกายเปลือยเปล่าของฉันเอาไว้ให้
มืออีกข้างก็ยังพยายามใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กพยายามเช็ดหน้าเช็ดตาฉันออกให้
เธอจับที่แขนของฉันเขย่าเบาๆเหมือนพยายามจะดูว่าฉันหลับหรือยังรู้สึกตัวอยู่มั้ย
แต่ฉันก็ยังพยายามนิ่งๆอยู่ ตอนนี้สติของฉันเลือนลอยลงทุกที เหมือนคนกำลังกึ่งหลับกึ่งตื่นบางทีก็เหมือนว่าตัวเองกำลังหลับไปแล้วและกำลังอยู่ในความฝันแต่บางทีก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองยังไม่หลับแต่มันยังเบลอๆแยกไม่ออกว่าสิ่งที่เห็นนั้นคือความจริงหรือภาพมโนของคนเมากันแน่
แม้หูของฉันจะอื้ออึงๆแต่เสียงบ่นของเอื้อยก็ยังลอยทะลุเข้ามาในแก้วหูของฉันอยู่ดี

นี่ล่ะนะ ที่เค้าว่ากัน..ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว” เสียงพึมพัมในขนาดที่เธอกำลังเช็ดหน้าของฉันไป
เค้ารู้นะ ว่าเจ้ยคิดจะทำอะไรเค้า จะมอมเหล้าเค้าใช่มั้ย..”เอื้อยหยุดเช็ดแล้วใช้ปลายนิ้วค่อยๆไล่ปลายผมที่ปกหน้าของฉันตอนนี้ออกไปให้หมด
ฮึ..เลิกคิดอย่างนั้นซะเถอะ เค้าไม่ได้โง่นะ...”เธอหยุดพูดประโยคนี้พร้อมๆกับจิ้มนิ้วซ้ำๆมาที่หน้าผากของฉันเบาๆ
จริงๆแล้วเค้าก็เป็นแค่คนธรรมดาคนนึง ไม่ได้ดีเลิศอะไรมากมายหรอก มีความรู้สึกมีความต้องการเหมือนคนทั่วๆไป... เค้าน่ะก็อยากได้ตัวเจ้ยไม่ต่างจากที่เจ้ยเป็นตอนนี้หรอกนะ” เสียงเอื้อยดังแว่วๆมาต่อเนื่องพร้อมกับความรู้สึกเหมือนเธอกำลังจูบลงที่หน้าผากของฉัน
แต่รู้มั้ยว่าถ้าเรายอมทำตามความรู้สึกและเอาแค่อารมณ์ความใคร่เป็นใหญ่แล้ว มันก็จะไม่ต่างจากสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆที่อยู่บนโลกนี้ ที่จะอยู่ด้วยกันได้เฉพาะฤดูผสมพันธ์เท่านั้น แต่เค้าอยากอยู่กับเจ้ยอยากเรียนรู้ในสิ่งที่เรากำลังเป็นอยู่นี้...ว่ามันไม่ใช่แค่ความใคร่ ไม่ใช่แค่ความหลง เค้ารักเจ้ยมากนะ เค้าสัญญาว่าถ้าเราอยู่ด้วยกันและศึกษากันให้นานกว่านี้แล้ว เค้าจะยอมให้เจ้ยทุกๆอย่างเลย”
เสียงเอื้อยเงียบหายไปครู่ใหญ่ๆก่อนจะแว่วดังมาอีกทีทางด้านหลังของฉัน

ตอนนี้... เค้าให้เจ้ยได้แค่นี้นะ....”

เสียงนั้นเงียบลงพร้อมๆกับความรู้สึกเหมือนว่าเอื้อยกำลังใช้มือลูบไล้ที่แก้มของฉัน จากนั้นฉันก็รู้สึกเหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างนุ่มๆอยู่ที่แผ่นหลังของฉัน มันเนียนนุ่ม อบอุ่นเหมือนผิวกายของคน ประหนึ่งว่ามีร่างกายเปลือยเปล่าของใครสักคนกำลังแนบชิดแผ่นหลังของฉันอยู่
ร่างนั้นค่อยๆบรรจงหอมที่ซอกคอ และแผ่นหลังของฉัน สองแขนของเค้านั้นลูบไล้ไปทั่วร่างกายเปลือยเปล่าที่ไม่ได้สติของฉันในตอนนี้ ฉันได้ยินเสียงลมหายใจเบาๆและกลิ่นกายหอมๆที่ฉันเคยคุ้น กลิ่นหอมที่ครั้งนึงเคยทำให้ฉันคลุ้มคลั่งแทบคุมสติไว้ไม่ไหว
..ต้องเป็นเอื้อยแน่ๆเลย..
โอย...สติฉันกำลังเลือนลางลงทุกที ความรู้สึกที่ฉันสัมผัสได้ในตอนนี้ตกลงว่าเป็นเรื่องจริงหรือแค่ภาพเพ้อฝันของคนที่กำลังเมาไม่ได้สติกันแน่
ฉันอยากหันกลับไปมองเหลือเกินว่าภาพที่ฉันนึกนั้นคือความจริงหรือไม่ แต่แค่นอนเอียงตัวเฉยๆตอนนี้ก็แทบจะกระดุกกระดิกไปไหนไม่ได้แล้ว เพราะความรู้สึกที่เหมือนโลกกำลังหมุนเรื่อยๆ มันหมุนเร็วซะจนถ้าฉันไม่นอนเฉยๆแล้วต้องมีการอ้วกอีกรอบแน่ๆ
นั่นไง..แค่คิดว่าจะหันไปก็พะอืดพะอมแล้ว

..โธ่เอ้ย..ฉัน..บุญมีแต่กรรมบังแท้ๆ...

ความรู้สึกพะอืดพะอมและความวินเวียนทำให้ฉันกำลังจะหมดสติลงไปในไม่ช้า แต่ก่อนที่ฉันจะหมดสติลงไปนั้น แขนของใครคนนั้นก็โอบกอดมาจับที่หน้าอกของฉันเอาไว้ เหมือนไม่อยากให้ฉันห่างไกลเค้าไปไหนในค่ำคืนนี้
ความรู้สึกอบอุ่นอย่างนี้ ฉันไม่เคยรู้สึกและไม่เคยสัมผัสมาก่อนเลยในชีวิต
ฉันชอบไออุ่นจากผิวกายเนียนๆ ความรู้สึกนุ่มๆจากส่วนเว้าส่วนโค้ง กลมกลึงของร่างกายเปลือยเปล่าที่ฉันกำลังเข้าใจว่านั่นคือ “เอื้อย”เหลือเกิน
สัมผัสของผิวกายที่เอื้อยกำลังลูบไล้ไปทั่วๆร่างกายเปลือยเปล่าของฉันนั้น มันทำให้ฉันรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก จนกระทั่งตอนนี้ฉันเผลอเคลิ้มหลับลงไปอย่างง่ายดาย

เจ้ยไม่ต้องอายนะ เค้าจะนอนอยู่อย่างนี้เป็นเพื่อนเจ้ยเอง.....”

นั่นเป็นเสียงสุดท้ายที่ฉันได้ยิน ก่อนจะปล่อยให้ความมึนเมาดึงฉันเข้าสู่ห้วงความฝันไป