Girlfriend
Chapter 13
กับดักและเหยื่อ
เช้าวันเสาร์พ่อกับแม่ต้องออกเดินทางไปแต่เช้า
เพื่อไปขึ้นเครื่องที่อีกจังหวัดนึง
เมื่อพ่อกับแม่เดินทางออกไปได้ไม่นานฉันก็รีบบึ่งมอเตอร์ไซค์ไปร้านค้าที่อยู่หน้าปากซอยเพื่อซื้อวัตถุดิบที่ฉันต้องการไว้ทันที
ฉันเลือกซื้อสปายด์สีดำ
เพราะฉันได้ยินเพื่อนๆพูดกันว่าสีนี้แรงที่สุดในบรรดาสปายด์ทุกสี
แต่ฉันก็ไม่แน่ใจว่ามันจะแรงจริงหรือเปล่าในเมื่อมันก็เป็นแค่สปายด์
เพราะฉันไม่เคยกินแล้วเมาเสียที
ตั้งแต่ตอนที่เคยแอบกินกับเพื่อนตอนม.4
ตอนนั้นกินไปสองสามขวดก็ยังเฉยๆ
แต่ครั้นจะซื้อเบียร์ไปก็เกรงว่าจะเป็นอะไรที่แรงเกินตัว
กลายเป็นอาจจะเมาเสียจนไม่รู้เรื่องไปทั้งสองคนก็ได้
...กินนี่นี้ล่ะ
ซื้อมันไปสักสิบขวดไม่เมาก็ให้มันรู้ไป...
ฉันคิดก่อนที่หยิบสปายด์เหล่านั้นใส่ตระกร้าส่งให้เจ้าของร้านคิดตังค์
พร้อมๆกับสั่งน้ำแข็งเพิ่ม
ฉันซื้อเผื่อไว้ เวลากินจะได้เย็นๆ
ฉันแวะกลับเอาของเข้าไปเก็บที่บ้าน
โดยแยกสปายด์เข้าไปไว้ที่ห้องนอน
ส่วนน้ำแข็งแช่เข้าไปในช่องฟิตของตู้เย็น
ตอนนี้ดูเวลาก็ประมาณ
3
โมงเช้า
ฉันนัดกับเอื้อยไว้ประมาณ4โมงครึ่ง
ยังพอมีเวลาถมเถฉันจัดการเก็บกวาดบ้านและห้องนอนของฉันให้สะอาดสะอ้าน
มันเสร็จเรียบร้อยกอ่น4โมงเช้าพอดี
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยฉันรีบอาบน้ำแต่งตัวใหม่เพื่อที่จะไปรับเอื้อยและพาเอื้อยไปบ้านอันก่อนตามที่ตกลงกันไว้
วันนี้เอื้อยแต่งชุดสวยสีชมพูที่ฉันเคยชอบออกมาอีกแล้ว
เธอรวบผมไว้ครึ่งหัว
ปล่อยปลายผมหยักศกลงมาปิดต้นคอขาวๆยาวจนไปถึงกลางหลังของเธอไว้
เอื้อยสะพายทั้งกระเป๋าด้านข้างและกระเป๋าเป้สำหรับใส่ของใช้ไว้ด้านหลัง
มือข้างหนึ่งเธอถือกีตาร์ของฉันที่เราตกลงกันว่าจะเอาไปซ้อมด้วย
มือหนึ่งถือถุงพลาสติกใบใหญ่ๆใบหนึ่ง
ในนั้นฉันมองเห็นเป็นกล่องของขวัญ
นั่นคงจะเป็นของขวัญที่เธอเตรียมไว้ให้อันนั้นเอง
“แม่ออกไปทำงานตั้งแต่เช้าๆแล้ว
น่าสงสารนะได้หยุดเฉพาะวันอาทิตย์”
เสียงเอื้อยบ่นตอนเอาของมาเก็บไว้หน้ารถของฉันพร้อมๆหยิบหมวกกันน็อคสวมและนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ฉัน
เรามุ่งหน้าไปที่แถวตลาดในเมืองตามเส้นทางที่เอื้อยบอกมา
บ้านของอันนั้นเป็นตึกแถวอาคารพานิชย์ในตลาด
ได้ข่าวว่าเธอเป็นลูกของคนมีเงินในตลาดพ่อแม่มีอาชีพค้าขายมีที่มีทางและตึกรามบ้านช่องเยอะ
เรามาจอดรถอยู่ด้านหลังอาคารพาณิชย์ใจกลางตลาดที่เป็นตึกสร้างใหม่ประมาณ10คูหา
“อันนอนอยู่ตึกนี้กับอาม่านี้ล่ะ”
เสียงเอื้อยเล่าตอนที่ฉันจอดรถอยู่ด้านหลัง
ตึกนี้กว่าครึ่งตึกเป็นของบ้านอันซื้อไว้หมดเลย
จึงไม่แปลกที่จะมีที่มีทางสำหรับจอดรถอยู่ด้านหลังเยอะแม้จะอยู่ใจกลางตลาดก็ตาม
มีรถยนต์ใหม่ๆหรูๆอยู่สองสามคันจอดอยู่ด้านหลังตึกนั้น
ฉันเดาว่านันคงเป็นรถของบ้านอัน
ถัดมาจากบริเวณนั้นก็มีมอเตอร์ไซค์จอดเรียงรายอยู่ประมาณ
5-6
คัน
เอื้อยชวนฉันให้เข้าไปข้างในด้วย
แต่ฉันปฏิเสธในใจไม่อยากเห็นหน้ายัยอันที่ชอบทำหน้ากวนประสาทฉันอยู่เรื่อย
ในเมื่อมันเป็นวันดีๆของเขาฉันก็จะไม่ไปยุ่งวุ่นวายให้เสียอารมณ์ของเขาเช่นเดียวกัน
เอื้อยบอกให้ฉันรออยู่รถ
แล้วเธอก็เดินเข้าไปตามทางเดินหลังตึก
ตรงนั้นมีคุณยายแก่ๆคนนึงนั่งอยู่บนม้านั่งก่อนทางเข้า
“สวัสดีค่ะอาม่า”
เสียงเอื้อยทักทายตอนที่เธอยกมือไหว้ก่อนที่จะเดินผ่านเข้าไปในบ้านนั้น
เมื่อเห็นคุณยายคนนี้แล้ว
ก็อดนึกถึงอาม่าของฉันที่อยู่ต่างจังหวัดที่นานๆครั้งฉันจะได้ไปเยี่ยมท่านไม่ได้
..….“อาเจ้ย
ลื้อน่ะสวยขึ้น สวยขึ้นทุกวัน
โตขึ้นไปประกวดนางสาวไทยให้อาม่าชื่นใจหน่อยนะ”
ฉันนึกถึงที่อาม่าเคยพูดชมฉันตอนที่ฉันอยู่ชั้นม.4
ตอนนั้นฉันเริ่มไว้ผมยาว
อาม่าคงจะเห็นแววอะไรบางอย่างในตัวฉันถึงรบเร้าให้ฉันไปประกวด
“อาม่า
อาเจ้ยน่ะ อีไปประกวดไม่ได้หรอก
หน้าอีน่ะแหลมไป
หุ่นก็ผอมกระหร่องแถมยังเดินเป็นม้าดีดกระโหลก
ถ้าขืนอีขึ้นไปบนเวทีนะ
มีหวังได้ตกเวทีอับอายขายขี้หน้าเค้าเปล่าๆ”
เสียงของเฮียเล้งลูกพี่ลูกน้องของฉันพูดแขวะให้ฉันหุบยิ้ม
หายจากอาการดีใจที่อาม่ายอทันที
นี่ถ้าเฮียเล้งเห็นเอื้อย
คำพูดที่เฮียจะพูดคงจะตรงกันข้ามกับที่พูดกับฉันทันที
“อาเจ้ย
เพื่อนลื้อนี่สวยยังกับนางฟ้าแถมยังสง่าอย่างกับพญาหงส์
ถ้าอีไปประกวดนางงามนะ
มีหวังได้ที่1แน่ๆ”.....
ฉันนึกถึงใบหน้ากะริ้มกระเรี่ยของเฮียแล้วก็อดขำไม่ได้
ครอบครัวของฉันก็มีเชื้อสายจีนเหมือนๆกันกับอัน
คุณพ่อของฉันนั้นท่านมีเชื้อสายจีน
พื้นเพเดิมท่านไม่ใช่คนที่นี่
แต่ท่านเป็นคนเก่งทำงานเป็นวิศวกรของบริษัทที่มีชื่อเสียง
ในวัยหนุ่มนั้นท่านได้ย้ายมาประจำสาขาที่จังหวัดนี้และได้พบเจอแม่ที่เป็นสาวไทย
ทั้งสองตกหลุมรักกันทันที
หลังจากคบหาดูใจได้5ปีท่านทั้งสองก็ตัดสินใจแต่งงานกัน
ตั้งแต่นั้นมาพ่อก็ย้ายถิ่นฐานมาอยู่กับแม่ที่จังหวัดนี้จนกระทั่งปัจจุบัน
แม้จะเป็นคนไทยเชื้อสายจีนแต่พ่อก็เลี้ยงดูฉันแบบฉบับของคนไทย100%
ท่านบอกว่าอยากให้เกียรติแม่อยากให้แม่เลี้ยงดูฉันในแบบที่ท่านอยากเลี้ยง
ไม่อยากบังคับว่าต้องทำตามใครยังไง
ฉันเลยโตมาแบบที่ไม่ค่อยได้รู้อะไรมากมายในเรื่องประเพณีและวัฒนธรรมของจีนเลย
ฉันนั่งคิดไปเรื่อยเปื่อยในระหว่างที่นั่งรอเอื้อยอยู่ข้างนอก
ตอนนี้คุณยายคนนั้นเดินหายเข้าไปในบ้านเสียแล้ว
ฉันได้ยินเสียงเครื่องเสียงข้างในที่เปิดขึ้นมาดังทะลุกำแพงออกมาด้านนอก
นี่อย่าบอกนะว่าฉลองกันตั้งแต่เช้าๆ
ฉันนั่งจ้องไปที่ประตูที่เอื้อยเดินหายเข้าไปเมื่อกี้
ด้วยความหวังว่าเธอจะรีบกลับออกมา
แต่ก็เปล่าเลย
ทั้งๆที่เอื้อยบอกฉันว่าจะแค่แวะเอาของขวัญมาให้อันเฉย
ฉันดูนาฬิกา
นี่ก็ผ่านมาเกือบ20
นาทีแล้ว
ความร้อนของพระอาทิตย์กำลังทำให้ฉันเริ่มรู้สึกหงุดหงิด
ฉันต้องเทียวลุกเทียวนั่ง
เดินไปเดินมาแถวๆเบาะรถ
ตึ้ง!!!
เสียงข้อความในไลน์ของฉันดังขึ้น
ฉันรีบหยิบขึ้นมาดู
เป็นเอื้อยที่ส่งข้อความมา
“เข้ามารับหน่อยสิ”
แล้วเธอก็ส่งสติ๊กเกอร์รูปกระต่ายกุมมือขอร้องมา
เหมือนสัญชาตญาณบางอย่างบอกฉันเอื้อยคงต้องการความช่วยเหลืออะไรแน่ๆ
ตาขวาฉันกระตุกนิดๆ
คิดได้ดังนั้นฉันจึงเดินเข้าไปในบ้านของอันทันที
ภายในบ้านของอันนั้นเป็นอาคารพานิชย์สองชั้นครึ่ง
ตรงกลางบ้านมีกลุ่มเพื่อนๆนั่งอยู่สิบกว่าคน
บางคนร้องคาราโอเกะ
บางคนลุกขึ้นเต้น
บางคนก็นั่งกินเหล้าเบียร์กันอยู่
สายตาฉันมองไปเห็นเอื้อยทันที
ตอนนี้เธอโดนอันกุมมือไว้อยู่
“เอื้อย..”
ฉันเรียกเอื้อยเธอหันมาตามเสียงเรียกพร้อมๆกับอันทันที
“ได้เวลาแล้วใช่มั้ยเจ้ย
เดี๋ยวนะเค้ากำลังจะกลับพอดี”
เอื้อยหันหน้ามาทางฉันเธอขยิบตาส่งสัญญาณเพื่อให้ฉันตอบรับกับเรื่องราวที่เธอพูดขึ้นมาเมื่อกี้พร้อมๆกับพยายามแกะมืออันออกจากมือเธอ
แต่อันไม่ยอมปล่อย
ฉันมองหน้าอันตอนนี้
หน้าเธอแดงตาขวางๆเหมือนคนกำลังเมาอยู่
“มากินอะไรด้วยกันก่อนสิเจ้ย”
เสียงอันร้องเรียกชวนฉันกินอะไรกับเธอก่อน
“ไม่อะ
เรารีบต้องไปทำธุระให้เสร็จ”
ฉันรับมุกเอื้อยรีบโกหกอันต่อทันที
ตอนนี้ใบหน้าของเอื้อยออกอาการไม่ค่อยสู้ดีนัก
“ไปคนเดียวไม่ได้เหรอ
ทำไม่ต้องให้เอื้อยไปเป็นเพื่อนด้วย
วันเกิดเราทั้งทีเราก็อยากให้เอื้อยอยู่กินอะไรด้วยก่อนนะ”
เสียงอันพูดดังๆเหมือนเค้าพยายามข่มฉัน
“ไม่ได้หรอก
มันเป็นธุระที่ต้องทำด้วยกันสองคน
เค้าปล่อยให้เจ้ยไปทำคนเดียวไม่ได้หรอก”
เสียงเอื้อยพูดแทรกขึ้นมือเธอยังพยายามแกะมือของอันออกเหมือนเดิม
“แฟนเค้ามารับแล้วแกก็ปล่อยเค้าไปสักทีเถอะวะอัน
เซ้าซี้เค้าอยู่ได้น่ารำคาญ”
เสียงเพื่อนของอันพูดแทรกขึ้นคงเพราะหมั่นไส้ให้เอื้อยที่เธอไม่ยอมสนใจอันสักที
อันหันไปมองหน้าเพื่อนคนนั้นด้วยสีหน้าเศร้าๆ
ก่อนจะปล่อยแขนเอื้อยออก
“เค้าไปก่อนนะ
เดี๋ยวโทรหาใหม่ มีความสุขมากๆนะ”
เอื้อยบอกอันแล้วรีบลุกขึ้นเดินออกจากบ้านของอันไปพร้อมๆกับฉัน
ยังไม่ทันทีเราสองคนจะไปถึงรถมอเตอร์ไซต์
อันก็รีบวิ่งออกมาเรียกเอื้อยไว้
“เอื้อย
จำไว้นะ
ถ้าคนที่เอื้อยรักเค้าไม่สามารถอยู่ข้างๆเอื้อยตลอดเวลาได้
เอื้อยกลับมาหาเค้านะ”
เสียงอันพูดเหมือนคนจะร้องไห้
เอื้อยหันมามองหน้าฉันก่อนจะหันหลังกลับไปยิ้มให้อันแต่เธอก็ไม่พูดอะไรต่อจากนั้น
..ดูไปดูมาก็น่าสงสารนะยัยนี่..
ฉันมองเห็นหน้าอันแล้วก็อดคิดอย่างนี้ไม่ได้
แต่ไม่ได้ยังไงศัตรูก็คือศัตรูถ้าใจอ่อนก็เท่ากับยอมแพ้
ฉันเดินมาไกลเกินกว่าที่จะยอมให้คำว่าสงสารมาทำอะไรได้แล้ว
เราสองคนขับรถออกมาจากบ้านอันอย่างเงียบๆ
เมื่อถึงบ้านฉันก็เกือบเที่ยงแล้ว
ฉันเอาอาหารเช้าที่แม่เตรียมไว้ให้ออกมาอุ่นให้เอื้อยทาน
ตอนแรกฉันว่าจะแวะพาเอื้อยทานอะไรอยู่ร้านฟาสต์ฟู้ดในเมืองแต่เอื้อยปฏิเสธ
เอื้อยเป็นคนง่ายๆกว่าที่ฉันคิด
เธอไม่เรื่องมาก กินอะไรก็ได้ง่ายๆ
เธอว่าเธออยากกินอะไรอยู่กับฉันสองคนที่บ้านมากกว่า
เรานั่งกินข้าวไปพูดคุยกันไปเรื่อย
“ทำไมตอนกลับอันพูดอย่างนั้นกับเอื้อยล่ะ”
อยู่ๆฉันก็นึกถึงสิ่งที่อันพูดกับเอื้อยก่อนที่เราจะกลับบ้านกันได้
เอื้อยทำหน้าเศร้าเหมือนตัวเองรู้สึกผิด
“เมื่อคืนอันโทรมาขอคบกับเค้าน่ะ
แล้วเค้าก็ปฏิเสธอันไปว่าเค้ามีคนที่เค้าชอบอยู่แล้ว
แต่เค้าไม่ได้บอกอันนะว่าเป็นใคร
เค้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมอยู่ๆอันพูดอย่างนั้นออกมา”
เอื้อยทำเสียงหงอยๆ
..หึ..ก็เพราะว่ายัยนี่รู้น่ะสิว่าคนที่เอื้อยรักเป็นใคร
..
“เค้าโทรมาจีบทุกวันล่ะสิ
ทำไมไม่ใจอ่อนล่ะ”
ฉันถามหยั่งเชิงเอื้อย
“เหตุผลเดิมนั่นล่ะ
ก็เค้ามีคนที่เค้ารักอยู่แล้วนี่นา..
เจ้ยรู้มั้ย..เค้านั่งคิดนอนคิดมาอยู่นานแล้วล่ะว่าจริงๆแล้วเค้าอาจจะชอบเจ้ยมาตั้งแต่วันแรกที่พบกันแล้วก็ได้”
เอื้อยทำเสียงอ้อนๆ
“ฮ้า..วันไหนนะ”
เสียงฉันตกใจทันทีเมื่อได้ยินเสียงเอื้อยสารภาพอย่างนี้
“ก็ตั้งแต่วันแรกที่เค้าเห็นเจ้ยตอนโดนคัดตัวออกไปเป็นคฑากรไง
ตอนนั้นที่เราเข้ามา ม
.4พร้อมกัน
ไม่รู้ว่าเจ้ยจะจำได้มั้ย
เราโดนคัดตัวออกไปทำกิจกรรมที่หน้าเสาธงด้วยกันทั้งสอง
เจ้ยเป็นคฑากรส่วนเค้าได้ถือป้ายตอนนั้นเรายืนอยู่ข้างๆกันด้วยนะ”
ฉันยิ้มนั่งฟังอย่างประหลาดใจ
นี่ฉันจำไม่ได้เลยนะว่าเอื้อยกับฉันเคยอยู่ใกล้ๆกันด้วย
แต่ก็แค่คลับคล้ายคลับคลาว่าเห็นเอื้อยถือป้าย
ตอนที่เห็นเอื้อยใส่ชุดไทยครั้งแรกยังแอบมองตามเลยว่าผู้หญิงคนนี้ใส่ชุดไทยสวยจัง
“ตอนที่เค้าเห็นเจ้ยตอนนั้น
เจ้ยยืนยิ้มให้เค้าและดึงมือเค้ามายืนอยู่ข้างๆด้วย
นั่นเป็นครั้งแรกที่เค้ารู้สึกแปลกๆทันทีที่มีผู้หญิงมาจับมือทั้งๆที่ไม่เคยเป็น
ตอนนั้นก็ได้แต่คิดว่ามันเป็นแค่ความรู้สึกปลื้มผู้หญิงธรรมดาๆไม่ได้มีอะไรมากมายเกินกว่านั้น
ก็เลยเก็บๆความรู้สึกนั้นไว้จนลืมไปว่าเคยแอบชอบเจ้ยมาก่อน”
เอื้อยยิ้มน่าแดงตอนที่เล่า
ยิ่งฟังฉันยิ่งอึ้ง
นึกไม่ถึงว่าเอื้อยจะจำได้แม้กระทั่งว่าฉันยืนข้างๆและดึงมือเธอมายืนอยู่ใกล้ๆ
...เอ..นี่ฉันนึกไม่ออกจริงๆว่าฉันดึงมือเอื้อยทำไม
หรืออาจจะเป็นเพราะว่าอาจารย์บอกให้เรายืนชิดๆกันจะได้มีที่สำหรับเด็กที่จะทำกิจกรรมคนต่อไปขึ้นมายืนอีกก็ได้
คือตอนนั้นฉันคงไม่ได้คิดอะไรกับเอื้อยจริงๆ...
..แต่เอื้อยดันคิด..
“แล้วทำไมคุยกับเค้าตอนนั้นถึงบอกว่าไม่ได้ชอบผู้หญิงด้วยกันล่ะ”
ฉันนึกขึ้นได้เรื่องที่ฉันเคยถามเอื้อย
“อ้าวพึ่งเป็นเพื่อนกันจะกล้าบอกมั้ยล่ะว่าเคยรู้สึกแปลกๆกับคนที่พูดด้วยมาก่อน
ไก่ตื่นกันพอดี”
เอื้อยยิ้มทำเสียงกะล่อนยิ่งฟังยิ่งชวนขำ
..อ๋อนี่วางแผนการเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วสินะ
มิน่าถึงได้ชอบทำนั่นทำนี่ให้เรารู้สึกแปลกๆ
จนกระทั่งเราเผลอใจ..รักเอื้อย..เข้าจนได้..เอื้อยนี่ก็ร้ายเงียบไม่เบานะ...
เรานั่งคุยกันไปเรื่อยๆจนกระทั่งทานข้าวเสร็จกัน
และช่วยกันล้างจานต่อ
นี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าการทำงานบ้านไม่น่าเบื่อเลยเมื่อมีเอื้อยมาช่วยทำอยู่ข้างๆ
เรานั่งคุยกัน
ทั้งหยอก ทั้งเล่นอะไรก็ตามที่เราพอจะนึกขึ้นได้
จนเวลาล่วงผ่านไปเป็นตอนเย็น
ฉันชวนเอื้อยขับรถออกไปกินบะหมี่ที่หน้าปากซอยเราแวะซื้อขนมเข้ามากินกันด้วย
...ก็ดีนะ
จะว่าไปแล้วฉันก็ลืมซื้อกลับแกล้มมากินเสียด้วย
นี่ก็ค่ำแล้วคงได้เวลาที่ฉันจะต้องล่าเหยื่อเสียที...
ฉันอมยิ้มคิดถึงเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นอยู่คนเดียวไม่ยอมออกจากร้านเสียที
จนเอื้อยต้องลากฉันออกไป
เรากลับเข้าบ้านประมาณหกโมงเย็น
ฉันจัดการล็อคประตูรั้วหน้าบ้านและเก็บบ้านด้านล่างให้เรียบร้อยก่อนจะชวนเอื้อยขึ้นไปข้างบนห้องฉัน
ฉันชวนเอื้อยอาบน้ำก่อน
โดยให้เอื้อยอาบน้ำที่ห้องน้ำของฉัน
ส่วนฉันเดินไปใช้ห้องน้ำของห้องพ่อกับแม่
ไม่นานเราก็อาบน้ำเสร็จ
เราเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนกางเกงกัน
เอื้อยในชุดนอนสีฟ้าตอนนี้ดูน่ารักเหมือนเด็กมาก
เธอเดินสำรวจห้องของฉันหยิบนั้นหยิบนั่นหยิบนี่มาดูตลอด
แล้วตอนนี้เธอก็ไปขนอัลบั้มรูปเก่าๆของฉันลงมากองลงที่กลางห้องนอน
เอื้อยเปิดดูภาพไปหัวเราะไป
“เจ้ยน่ารักอ่ะ
ตอนเด็กๆน่าหยิกแก้มชะมัด”
เอื้อยหัวเราะพร้อมๆกับหันมาหยิกแก้มฉันด้วยความหมั่นไส้
เธอไล่เปิดอัลบั้มภาพไปเรื่อยๆจนไปเจอเซตภาพ
ม.ต้น
ในอัลบั้มนั้นมีรูปภาพฉันกับกรอยู่
“ไหนว่าไม่ได้คบกันดูถ่ายภาพแต่ละภาพถึงเนื้อถึงตัวกันทั้งนั้นเลยนะ”
เอื้อยทำเสียงงอนๆ
“ไปใกล้ชิดเค้าอย่างนี้ล่ะสิเค้าก็เลยคิดว่าตัวเองไปมีใจให้เค้าน่ะ”
เอื้อยยังต่อว่าฉันต่อ
“พอเลยๆไม่ได้คิดอะไรอย่างนั้นสักหน่อยก็แค่เพื่อนกัน
เด็กขนาดนั้นใครจะไปคิดอะไรมากเล่า”
ฉันห้ามเอื้อยไม่ให้พูดต่อ
“อย่าชวนทะเลาะได้มั้ย
ถ้าเค้าไม่ได้เริ่มแล้วเอื้อยก็อย่าเป็นฝ่ายเริ่มเองสิ
อุตสาห์ได้อยู่ใกล้ๆกันแบบนี้แล้ว”
ฉันทำเสียงอ้อนๆไม่อยากให้เอื้อยต้องงอนและกลายเป็นทะเลาะกันจนไม่เป็นอันทำอะไรอีก
“กินนี่ด้วยกันมั้ย
จะได้อารมณ์ดี” ฉันได้ทีเริ่มแผนการ
หันไปหยิบขวดสปายด์ที่ซ่อนอยู่ออกมาให้เอื้อยเห็น
เอื้อยคิ้วขมวดทันทีที่เห็น
“เอามาจากไหนอ่ะ”
เธอถามฉันเสียงงงๆ
“พอดีซื้อไว้ตั้งแต่ตอนงานวันเกิดเค้าปีที่แล้วแล้วกินไม่หมดเสียดายเหลือตั้งเยอะ
แล้วเค้าก็อยากกินอยู่แต่ไม่มีเพื่อนกิน
จะทิ้งก็เสียดาย
วันนี้เอื้อยมาก็เลยชวนกินไง”
ฉันพยายามอธิบายด้วยใบหน้าสดใสไร้เดียงสา
“ไหนเจ้ยว่าไม่ให้เค้ากินแล้วไง”
เอื้อยทำเสียงแหยๆ
เธอคงนึกได้ตอนที่เธอเมาตอนนั้นโดนฉันดุไม่ให้กินอีก
“ไม่ให้กินกับคนอื่น
ถ้ากินกับเค้า
เค้าอนุญาตเพราะว่าเค้าดูแลเอื้อยได้ไง”
ฉันอธิบาย
เอื้อยทำหน้าครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะตกลงกินด้วย
ฉันยิ้มออกทันที
ในที่สุดเธอก็ติดกับฉันแล้วแม่กวางน้อย
“งันเด๋วเค้าไปเอาแก้วมาก่อนนะ”
ฉันหายลงไปข้างล่างแล้วกลับมาพร้อมๆกับแก้วสองใบและถุงน้ำแข็งที่ฉันตั้งเอาไว้ในถังคูลเลอร์
เมื่อเอามาวางต่อหน้าเอื้อย
เอื้อยก็คิ้วขมวดถามฉันทันที
“น้ำแข็งนี่ก็ตั้งแต่ปีก่อนเหรอ”
“เอ้ย!!ไม่ใช่..
พ่อซื้อไว้ในตู้เย็นไว้ตั้งนานแล้ว”
ฉันเหงื่อตก รีบหาทางแก้ตัว
เอื้อยหยิบก้อนน้ำแข็งขึ้นมาดู
“นานแล้วแต่ดูแล้วเหมือนพึ่งซื้อมานะ
ก้อนน้ำแข็งยังเป็นก้อนใครก้อนมันอยู่เลย
เหมือนพึ่งซื้อมาวันนี้เลยนะนี่
จงใจซื้อมากินหรือเปล่า”
เอื้อยเริ่มเปลี่ยนเป็นเสียงประหลาดๆ
เธอหันมาจ้องหน้าฉันตาเขม็ง
“เจ้ยคิดจะทำอะไรอะ..”
เอื้อยทำเสียงซีเรียส
นั่งนิ่งมองหน้าฉัน
สีหน้าของเอื้อยนั้นนิ่งๆเหมือนกำลังจับผิดอะไรสักอย่าง
อึก!!
ฉันกลืนน้ำลายลงคอทันทีที่ได้ยินเสียงเอื้อยพูด
แค่ฉันเห็นหน้านิ่งๆของเอื้อยตอนนี้ก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังใจคอไม่ดีเสียแล้ว
..เธอรู้แล้วใช่มั้ยว่าฉันจะทำอะไรเธอ..
“..หมายถึง....จะกินไปด้วยแล้วจะทำอะไรไปด้วยหรือเปล่า
ร้องเพลงเล่นกีตาร์ไปด้วยมั้ย”
เอื้อยเปลี่ยนโทนเสียงถามฉัน
แววตาเปลี่ยนไปจากเมื่อกี้จากหน้ามือเป็นหลังมือ
“เออ
ใช่ๆกินไปด้วยร้องเพลงไปด้วย
ถือว่าได้ซ้อมไปด้วย สนุกดีนะ”
ฉันแอบโล่งใจทันทีที่ได้ยินเอื้อยถาม
“เหรอ..งั้นเจ้ยไปเอากีตาร์กับหนังสือเพลงมาด้วยนะ”
เอื้อยยิ้มตาหวานใช้ให้ฉันไปเอากีตาร์กับหนังสือเพลงมาให้
ฉันรีบเดินไปหาหนังสือเพลงที่ฉันซื้อเก็บมาไว้
โดยในตอนที่หานั้นฉันแอบชำเรืองกลับไปมองที่เอื้อย
ตอนนี้เอื้อยก็ชำเรืองมองมาที่ฉันเหมือนกันแววตาเธอเปลี่ยนเป็นซีเรียสเหมือนตอนแรกอีกแล้ว
นี่ฉันคงคิดมากไปเองใช่มั้ย
ก็แค่ชวนกินด้วยกันฉันไม่ได้บังคับให้เธอกินคนเดียวซักหน่อย
อย่าพึ่งตีตัวไปก่อนไข้สิเจ้ยเด๋วแผนแตกกันพอดี
ฉันพยายามดึงสติกลับมา
เราจะต้องไม่รนราน
ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายจะรู้แผนการชั่วร้ายหมด
ฉันรีบขนเอากองหนังสือเพลงมากองตรงพื้นห้องนอนและเอากีตาร์มาวางไว้ข้างๆแล้วรีบเอาแก้วมาวางไว้ต่อหน้า
ตอนนี้เอื้อยนั่งก้มหน้าเปิดดูหนังสือเพลงอยู่
บางทีเธอเจอเพลงที่เธอร้องได้เธอก็ร้องเพลงนั้นขึ้นมา
ดูอารมณ์ดี
...ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรผิดปกติสักหน่อย..
ฉันคิดมากไปจริงๆนั่นล่ะ
ทันทีที่ฉันนั่งลงเอื้อยก็รีบยื่นหนังสือเพลงที่เธอเปิดค้างไว้ให้ทันที
“เล่นเพลงนี้ให้หน่อย
แล้วก็เอาแก้วมานี่เดี๋ยวเค้าเสริฟให้เอง”
เอื้อยดึงเอาแก้วมาวางไว้ทางเธอแล้วก็รีบเร่งให้ฉันเล่นกีตาร์เพลงที่เธอต้องการให้
เห็นมั้ยล่ะ
คิดมากไปเองจริงๆด้วยดูเธอก็ยังพยายามเอาใจฉันอยู่เหมือนเดิม
..หึหึ
แม่กวางน้อย แววตาเธอช่างไร้เดียงสายิ่งนัก...
ฉันหยิบกีตาร์มาเล่นเพลงตามที่เอื้อยขอ
ส่วนเอื้อยนั้นก็จัดการตักน้ำแข็งใส่แก้วให้ฉัน
พร้อมๆกับรินสปายด์ลงใส่แก้วทั้งสองใบจนเต็ม
ฉันเล่นเพลงไปได้ไม่กี่ท่อนเอื้อยก็ยื่นแก้วสปายด์ส่งให้ฉัน
พอฉันจะหยิบขึ้นมาดื่มเอื้อยก็ปราม
“ไม่ต้องมาจับเลย
เดี๋ยวเค้าจับแก้วป้อนให้เจ้ยเอง
เจ้ยเล่นไปเรื่อยๆจะได้ไม่เสียอารมณ์ไง”
เอื้อยยิ้มหน้าหวานหยดย้อย
เธอค่อยๆบรรจงจ่อแก้วมาที่ริมฝีปากฉัน
..ดูสิ
เอาอกเอาใจฉันจนฉันรู้สึกว่าตัวเองอยู่ในฮาเล็มแล้ว
ผู้หญิงอะไรน่ารักชะมัดยิ่งดูยิ่งหลงยิ่งมองยิ่งอยากครอบครอง...
ฉันเผลอคิดมโนไปถึงตอนที่เอื้อยกำลังสลึมสลือด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์เหมือนตอนที่อยู่ในงานวันเกิดของสา
เธอค่อยๆบรรจงริมฝีปากจูบพรมทั่วร่างกายของฉัน
ไม่ต้องมีการขืนใจไม่ต้องมีการบังคับเธอเต็มใจและสมยอมเองทุกอย่าง
แค่คิดฉันก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่หน้าแดงอยู่คนเดียว
“เจ้ย
เป็นอะไรอ่ะ....”
เสียงเอื้อยดังทะลุเข้ามาในมโนภาพของฉัน
สติฉันกลับมาอยู่ตรงนี้ทันที
“ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่คนเดียว
คิดอะไรหรือเปล่านี่”
เอื้อยยังสงสัยในท่าทางของฉัน
“เปล้า
แค่รู้สึกดีที่มีเอื้อยเอาใจอยู่ข้างๆตอนนี้”
“เหรอ..”
เอื้อยเหล่ตามองฉันเหมือนไม่ค่อยเชื่อในสิ่งที่ฉันพูด
ก่อนที่เธอจะบอกให้ฉันเล่นเพลงต่อไป
ฉันมองไปที่แก้วเอื้อยตอนนี้สปายด์ในแก้วของเอื้อยลดลงไปนิดนึงแล้วเธอคงค่อยๆดื่ม
เพราะเธอต้องร้องเพลงกับฉันไปเรื่อยๆคงไม่อยากจะเมาไว
ฉันเหล่ตามองดูนาฬิกาตอนนี้มันบอกเวลาที่สองทุ่มครึ่ง
คิดว่าไม่น่าจะเกินสี่ทุ่มทุกอย่างคงจะโอเค
เราเล่นเพลงแล้วเพลงเล่า
จบบ้างไม่จบบ้าง
แต่ก็อยู่ในอารมณ์สนุกสนานเฮฮา
ฉันรู้สึกมีความสุขมากเอื้อยก็คงเช่นกัน
แม้เอื้อยจะชอบแอบมองหน้าฉันแล้วทำสายตาแปลกๆอยู่ตลอดเวลาก็เถอะ
แต่เธอก็ยังทำหน้าที่แฟนที่ดีที่เอาอกเอาใจฉัน
เธอยังคอยป้อนสปายด์ให้ฉันดื่มอยู่ตลอดเวลา
เพราะต้องฉันนั่งเล่นกีตาร์อยู่ตลอด
บางทีฉันทำท่าเหมือนจะหยุดเล่นแล้วจะหันมาดื่มอย่างเดียว
เอื้อยก็จะเอ็ดฉัน
เธออ้างว่าอยากร้องเพลงอย่างนี้ตลอดไม่อยากนั่งกินเงียบๆ
ก็อาจจะจริง
เพราะเอื้อยก็นั่งร้องเพลงมาตลอดโดยไม่หยุดเลยเธอคงชอบร้องเพลงมาก
ฉันชำเรืองไปที่แก้วเอื้อยตอนนี้เอื้อยรินสปายด์ของเธอลงไปเต็มแก้วเหมือนเดิมแล้ว
จากที่ฉันแอบชำเรืองมองก็เห็นเธอรินใส่แก้วตัวเองหลายรอบแล้วเหมือนกัน
ตอนนี้ไม่แน่เธออาจจะกำลังสลึมสลืออยู่ก็เป็นได้
เรายังนั่งเล่นกีตาร์และร้องเพลงไปเรื่อยๆตอนนี้นาฬิกาชี้บอกเวลาที่สี่ทุ่มครึ่งแล้ว
เวลานี้ฉันรู้สึกเหมือนหูตัวเองอื้อๆอึงๆอยู่ตลอดเวลา
แถมฉันยังลุกเข้าห้องน้ำบ่อยมาก
ซึ่งก็อาจจะเป็นเพราะว่าฉันดื่มน้ำเข้าไปเยอะก็ได้
น่าแปลกที่เอื้อยยังนั่งร้องเพลงได้อยู่เรื่อยๆเธอไม่ลุกเข้าห้องน้ำเลย
และที่สำคัญไม่รู้ว่าฉันคิดไปเองหรือเปล่าว่าฉันรู้สึกว่ายิ่งดึกเสียงของเอื้อยยิ่งเพราะยิ่งใส
ฉันเคยเห็นเพื่อนฉันนั่งดื่มเบียร์แล้วร้องคาราโอเกะไป
พอกินเข้าไปเยอะๆเสียงร้องของเพื่อนฉันนั้นจะเริ่มหลงคีย์
ร้องถูกบ้างผิดบ้าง
บางที่ก็เสียงแหบลงไปเรื่อยๆ
แต่สำหรับเอื้อยแล้ว
ฉันนั่งฟังเธอร้องอยู่นี้ยิ่งดึกเสียงยิ่งใส
ต่างจากฉันที่ยิ่งเล่นก็ยิ่งเพี้ยนจับคอร์ดผิดไปหมด
อืม..อาจจะเป็นเพราะว่าตอนนี้ตาฉันเริ่มเบลอๆแล้วก็ได้
ฉันพยายามหยีตาดูหนังสือเพลง
รู้สึกว่าตัวหนังสือมันเล็กลงมากอ่านคอร์ดไม่ค่อยออกเลย
ต้องนั่งก้มลงมองดูใกล้ๆ
แล้วพอฉันยิ่งก้มมองดูใกล้ๆฉันก็เริ่มอาการเวียนหัวเหมือนจะอ้วกขึ้นมาทันที
อึ๊ก..
เสียงอะไรสักอย่างในคอของฉันกำลังดันออกมาตอนนี้
มันกำลังดันกันออกมาจากลำไส้ของฉัน
ไม่ได้การแล้วฉันต้องรีบลุกวิ่งขึ้นไปในห้องน้ำทันที
ความรู้สึกตอนนี้คือเหมือนฉันกำลังจะอ้วก
แต่มันไม่อ้วกมันเป็นความรู้สึกพะอืดพะอมแปลกๆ
เมื่อฉันมายืนอยู่หน้าชักโครกเพื่อเตรียมที่จะอ้วกแต่มันกลับไม่ออก
..โอเค้..ก็แสดงว่ามันยังโอเคอยู่
ฉันยังไม่เมา
แค่อาจจะเวียนหัวที่ต้องก้มๆเงยๆดูหนังสือก็เป็นได้
พอฉันเดินออกมาเอื้อยก็รีบถามไถ่ฉันด้วยความเป็นห่วงทันที
“เจ้ย..เป็นไงบ้าง
ไหวมั้ย เมาหรือยัง”
“ยางๆ
ยังไม่เมา สงสัยนั่งก้มๆเงยๆมากเกินไป”
ฉันพยายามบังคับลิ้นให้พูดด้วยอาการที่ปกติที่สุด
ฉันมองดูเอื้อยที่มองฉันด้วยความเป็นห่วง
หน้าของเธอยังสดใสเหมือนเดิม
ขาวๆเนียนๆไม่มีแม้แต่สีแดงที่แก้ม
ช่างตรงข้ามกับฉันยิ่งนัก
..นี่เธอกินเก่งขึ้น
หรือว่าฉันมันคออ่อนเอง..
ฉันแอบชำเรืองมองที่กองขวดสปายด์
นับดูขวดที่เปิดแล้วมันได้8
ขวดกับอีก1ขวดที่เหลืออยู่ครึ่งนึงก็เท่ากับว่าฉันกับเอื้อยกินกันคนละ4ขวดกว่าๆ
แค่4ขวดทำไมฉันรู้สึกเวียนหัวจังเลยนะ
จริงๆแล้วต้องเป็นเอื้อยนะที่ไม่ไหว
เพราะวันนี้เธอก็กินไม่เยอะน่าจะไม่ถึง2ขวดเลยด้วยซ้ำเธอยังเมาแอ๋อย่างนั้น
นี่อย่าบอกนะว่าไปแอบหัดดื่มคนเดียวจนคอแข็งแล้ว
ปัดโธ่..กลายเป็นฉันซะเองที่คออ่อน
ตอนนี้เริ่มมองภาพต่อหน้าเบลอๆไปทุกอย่าง
เอื้อยรินสปายด์ใส่แก้วของฉันต่อตอนนี้ขวดที่9กำลังจะหมดไป
เธอค่อยๆยกแก้วป้อนใส่ปากให้ฉันเหมือนเดิม
ปากของเธอก็ร้องเพลงที่ฉันกำลังเล่นไป
ณ ตอนนี้
ให้ตายสิ
ทำไมตอนนี้ฉันรู้สึกเวียนหัวขึ้นมาอย่างนี้นะ
ตอนนี้เหมือนห้องของฉันกำลังหมุนประหนึ่งว่ามันคือม้าหมุน
ฉันนั่งอยู่เฉยๆแต่ภาพทุกอย่างเหมือนมันกำลังวิ่งผ่านฉันไปหมด
ไม่รู้ว่าเอื้อยเป็นอย่างนี้บ้างหรือเปล่า
ฉันแอบชำเรืองตาเพื่อหวังจะดูอาการของเอื้อยบ้างว่าตอนนี้เธอเป็นอย่างไร
แต่แล้วภาพที่ฉันเห็นก็คือ
เอื้อยกำลังแอบเทสปายด์ในแก้วของเธอลงในแก้วของฉัน
จากที่มันเหลืออยู่ค่อนแก้วตอนนี้แก้วของฉันมันเต็มอีกแล้ว
แล้วเธอก็ทำประหนึ่งว่าตอนนี้แก้วของเธอหมดลงไปอีกแก้วแล้ว
แล้วเธอก็แกล้งยกขึ้นมาทำท่าเหมือนกำลังดื่ม
“เอื้อยทำอะไรอะ”
ฉันหันไปทักเอื้อยเสียงดังจนเอื้อยสะดุ้งตกใจ
“ก็กินสปายด์อยู่ไง
ไม่เห็นเหรอ” เจ้ยทำเสียงอึกๆอักๆ
“ไม่ใช่
เมื่อกี้เค้าเห็นเอื้อยเทจากแก้วเอื้อยลงมาใส่แก้วเค้า
นี่เอื้อยไม่ได้กินเลยสักแก้วใช่มั้ย”
“ใครบอกเล่า
เค้าแค่ไม่อยากเปิดขวดใหม่เฉยๆ
เลยเทจากแก้วเค้าให้เจ้ยกินก่อนไง
เสียดายอะเปิดอีกขวดเค้ากลัวจะกินไม่หมด”
เสียงอู้ๆอี้ๆของเอื้อยดังเข้ามาในหูฉัน
ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าหัวฉันกำลังหมุนอย่างแรงและเร็วทำให้ภาพและเสียงที่อยู่ต่อหน้าฉันตอนนี้มันดูไม่ชัดและแปลกจากต้นฉบับไปทุกอย่าง
อึ๊ก..อะไรบางอย่างที่อยู่ในคอฉันตอนนี้กำลังดันออกมาอีกแล้วทำให้ฉันต้องรีบลุกขึ้นวิ่งไปเข้าห้องน้ำอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้ฉันอ้วกออกมาทุกอย่าง
ทั้งเวียนหัวทั้งทรงตัวไม่ค่อยอยู่
ต้องค่อยๆทุลักทุเลเดินออกมาจากห้องน้ำ
ตอนนี้เอื้อยยืนดูฉันอยู่หน้าห้องน้ำสีหน้าเธอกังวลและเป็นห่วงฉันมาก
แต่สีหน้าไม่ได้บ่งบอกเลยว่าเธอเมา
ให้ตายเถอะนี้ฉันเสียรู้ให้เอื้อยอย่างนั้นเหรอ
นี่เท่ากับว่าฉันนั่งกินไปคนเดียว9ขวด
มิน่าทำไมฉันถึงรู้สึกเมาผิดปกติอย่างนี้
ฉันจับไหล่เอื้อยเขย่าอย่างแรง
จนเอื้อยเซ
“นี่เอื้อยหลอกเค้าทำไมนี่
ไม่อยากกินทำไมไม่บอก
มาแกล้งเค้าทำไมนี่”
เอื้อยคิ้วขมวด
“เค้าจำเป็นต้องทำนะเจ้ย..ถ้าเป็นเค้าที่เมาตอนนี้
คิดว่าเค้าคง.....”
ฉันยังฟังเอื้อยพูดไม่จบประโยคดี
อาการอึกๆที่อยู่ในคอของฉันก็กลับมาอีก
ฉันต้องรีบวิ่งเข้าห้องน้ำ
ตอนนี้มีทั้งความรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วน
เหมือนทุกอย่างที่อยู่ในนี้กำลังจะออกออกมาหมดแม้กระทั่งลำไส้และกระเพราะของฉันเอง
ทุกอย่างในห้องน้ำมันหมุนเคว้งไปหมด
ฉันไม่สามารถบังคับตัวเองให้ยืนอยู่ตรงๆได้เลย
อาการอยากอ้วกและเวียนหัวอยู่ตลอดเวลา
มันทำให้ฉันเทียวลุกเทียวนั่งอยู่อย่างนี้
ด้วยความเพลียที่ฉันนั่งอยู่ในห้องน้ำอยู่นาน
จนคิดว่าน่าจะอ้วกออกมาหมดแล้ว
จึงทำให้ฉันรีบลุกขึ้นเพื่อที่จะกลับไปที่นั่งของฉัน
แต่ทันทีที่ฉันลุกขึ้น
อ้วกเจ้ากรรมก็พุ่งออกมาอีกรอบ
แต่รอบนี้มันไม่ได้ลงไปอยู่ในชักโครกกลับกลายมาอยู่ที่เสื้อผ้าของฉันแทน
โอยให้ตายเถอะ...
เสื้อผ้าของฉันเปื้อนไปหมดแล้ว...
ฉันรีบลุกขึ้นไปหาฝักบัวเพื่อหวังที่จะใช้มันล้างคราบสกปรกออกไปให้หมด
แต่แค่เปิดมันก็พุ่งเข้ามาใส่เสื้อผ้าของฉัน
จากที่มันสกปรกอยู่แล้วตอนนี้ให้เปียกปอนเพิ่มเข้าไปอีก
จังหวะที่น้ำพุ่งออกมานั้นฉันสะดุ้งตกใจลื่นล้มมือไปโดนขวดชมพูแถวๆนั้นตกลงพื้นเสียงดังโครมคราม
เอื้อยที่รออยู่ข้างนอกได้ยินเสียงคงตกใจรีบผลักประตูห้องน้ำที่ฉันไม่ได้ล็อกไว้เข้ามา
แล้วเธอก็เห็นสภาพที่ดูแทบไม่ได้ของฉัน
“เฮ้ยเจ้ย
เป็นอะไรอะ ไหวมั้ย”
เอื้อยมองฉันที่ตอนนี้นั่งกองลงกับพื้นห้องน้ำ
มีสายน้ำของฝักบัวกำลังโปรยปรายลงมาที่ตัวของฉันจนเปียกปอนไปหมด
ฉันนั้นทั้งง่วงทั้งเวียนหัว
ความรู้สึกในตัวนี้ก็คือมันพร้อมที่จะหลับลงตรงนี้ได้ทันทีเลยถ้าไม่มีเสียงเอื้อยมาโวยวายร้องเรียกฉันไว้
เธอค่อยๆพยุงฉันออกจากห้องน้ำมานั่งอยู่ที่กลางห้องนอน
“ทำไงอ่ะ
เสื้อผ้าเจ้ยเปื้อนไปหมดแล้วอะ”
เสียงเอื้อยโวยวาย
ฉันหยีตามองหน้าเอื้อยตอนนี้แล้วเธอทำหน้าเหมือนโมโหฉันเต็มที
“ถ้างั้นเค้าคงจะต้องถอดเสื้อผ้าของเจ้ยออกหมดเลยนะ
อย่าว่ากันนะ”
เอื้อยพูดไปพลางยกชายเสื้อของฉันขึ้น
ค่อยๆถอดชิ้นส่วนของฉันออกทีละชิ้น
จนไม่เหลืออะไรติดตัวฉันแม้แต่ชิ้นเดียว
..ฉันจะว่าอะไรเธอได้ล่ะ
ถามว่าอายมั้ยมันก็ต้องอายอยู่แล้วล่ะนะ..
..แต่ตอนนี้ฉันไม่สามารถบังคับตัวเองให้ทำอะไรได้อย่างที่คนมีสติทั่วไปทำได้เลย
ไม่แม้กระทั่งบังคับให้ตัวเองลืมตามองไปข้างหน้า
ลุกขึ้นยืนตรงๆ
เดินตรงๆทุกอย่างที่ฉันต้องการร่างกายฉันทำตรงข้ามหมดเลย
ตอนนี้ฉันกึ่งหลับกึ่งตื่นสภาพไม่ต่างจากคนละเมอ
เสียงที่พูดมาของเอื้อยนั้นดังเข้าหูฉันบ้างไม่เข้าหูฉันบ้างเพราะตอนนี้หูของฉันนั้นอื้อไปหมด
“นั่งนิ่งๆอยู่ตรงนี้ก่อนนะเค้าไปหาผ้ามาเช็ดตัวให้ก่อน”
เอื้อยพยายามจับร่างเปลือยเปล่าของฉันให้นั่งตรงๆอยู่กับพื้นห้อง
..ให้ตายเถอะ
ตอนนี้โลกกำลังหมุนหนักขึ้นกว่าเดิมเสียอีก..
แม้จะพยายามนั่งตัวตรงแต่ร่างกายของฉันก็โอนไปเอนมาไม่ต่างกันกับตุ๊กตาล้มลุก
ไม่ช้าเอื้อยก็มานั่งอยู่ต่อหน้าฉัน
“เค้าขอเช็ดตัวให้เจ้ยนะ
อายมั้ย..ถ้าอายเค้าปิดไฟทำให้ก็ได้”
เสียงเอื้อยถาม
เธอช่างแสนดีและมีความเป็นสุภาพบุรุษเหลือเกิน
แม้แต่ตอนนี้ก็ยังมีกระจิตกระใจเป็นห่วงกลัวฉันอายที่เธอจะเห็นฉันในสภาพนี้
..โอย..นี้เธอต้องการทำให้ฉันรู้สึกผิดใช่มั้ย..เอื้อย....
เสียงเอื้อยรีบเดินไปปิดไฟในห้องดังแกร๊ก
ก่อนจะรีบมาพยุงตัวฉันแล้วค่อยๆเช็ดเนื้อตัวที่มอมแมมของฉันออกให้สะอาดหมดจด
คงเป็นเพราะฉันนั่งอยู่นานตอนนี้อาการวิงเวียนและพะอืดพะอมกลับมาอีกแล้ว
ฉันต้องรีบยกตัวเองวิ่งไปที่ห้องน้ำโดยไว
ให้ทันที่ฉันจะอ้วกอีกครั้ง
รู้สึกว่าฉันคงไม่ไหวแน่แล้ว
ตอนนี้ฉันควรจะนอนลงแนวระนาบให้ไวที่สุด
เมื่อคิดได้เช่นนั้นฉันก็รีบเดินโซซัดโซเซออกจากห้องน้ำวิ่งไปที่เตียงนอนและล้มคะมำไปที่หมอนตัวเองอย่างแรง
“เฮ้ย
ใส่เสื้อผ้าก่อนสิเจ้ย”
เสียงเอื้อยโวยวายวิ่งตามหลังฉันมา
ฉันเวียนหัวรู้สึกไม่ไหว
พลิกตัวไปมาซ้ายทีขวาที
เพราะยังรู้สึกว่าโลกยังหมุนอยู่ตลอด
...ตอนนี้ฉันคงต้องหาแกนโลกสักแกนเกาะไว้ให้ได้เสียแล้ว...
แล้วฉันก็มาหยุดในท่านอนตะแคงหันหน้าไปขอบเตียงจนหัวจะตกเตียงอยู่อีกไม่กี่เซน
ตอนนี้ฉันจะพยายามอยู่นิ่งๆให้มากที่สุด
ฉันคิดว่าถ้าฉันทรงตัวท่านี้ได้
ไม่นานฉันคงหายจากอาการนี้แน่ๆ
“เจ้ย
ใส่เสื้อผ้าก่อน”
เสียงเอื้อยเดินเข้ามายืนใกล้ๆฉันเธอยังคงรบเร้าให้ฉันมาใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย
ฉันโบกมือไปมา
เพราะอยากบอกให้เอื้อยรู้ว่าอย่าพยายามให้ฉันลุกขึ้นทำอะไรอีกตอนนี้เลยไม่ไหวจริงๆ
เอื้อยยืนอึ้งส่ายหัว
เธอคงสมเพชฉันที่อยู่ในสภาพนี้
เธอถอนหายใจเดินมานั่งอยู่ที่เตียงข้างๆฉัน
ค่อยๆดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างกายเปลือยเปล่าของฉันเอาไว้ให้
มืออีกข้างก็ยังพยายามใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กพยายามเช็ดหน้าเช็ดตาฉันออกให้
เธอจับที่แขนของฉันเขย่าเบาๆเหมือนพยายามจะดูว่าฉันหลับหรือยังรู้สึกตัวอยู่มั้ย
แต่ฉันก็ยังพยายามนิ่งๆอยู่
ตอนนี้สติของฉันเลือนลอยลงทุกที
เหมือนคนกำลังกึ่งหลับกึ่งตื่นบางทีก็เหมือนว่าตัวเองกำลังหลับไปแล้วและกำลังอยู่ในความฝันแต่บางทีก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองยังไม่หลับแต่มันยังเบลอๆแยกไม่ออกว่าสิ่งที่เห็นนั้นคือความจริงหรือภาพมโนของคนเมากันแน่
แม้หูของฉันจะอื้ออึงๆแต่เสียงบ่นของเอื้อยก็ยังลอยทะลุเข้ามาในแก้วหูของฉันอยู่ดี
“นี่ล่ะนะ
ที่เค้าว่ากัน..ให้ทุกข์แก่ท่าน
ทุกข์นั้นถึงตัว”
เสียงพึมพัมในขนาดที่เธอกำลังเช็ดหน้าของฉันไป
“เค้ารู้นะ
ว่าเจ้ยคิดจะทำอะไรเค้า
จะมอมเหล้าเค้าใช่มั้ย..”เอื้อยหยุดเช็ดแล้วใช้ปลายนิ้วค่อยๆไล่ปลายผมที่ปกหน้าของฉันตอนนี้ออกไปให้หมด
“ฮึ..เลิกคิดอย่างนั้นซะเถอะ
เค้าไม่ได้โง่นะ...”เธอหยุดพูดประโยคนี้พร้อมๆกับจิ้มนิ้วซ้ำๆมาที่หน้าผากของฉันเบาๆ
“จริงๆแล้วเค้าก็เป็นแค่คนธรรมดาคนนึง
ไม่ได้ดีเลิศอะไรมากมายหรอก
มีความรู้สึกมีความต้องการเหมือนคนทั่วๆไป...
เค้าน่ะก็อยากได้ตัวเจ้ยไม่ต่างจากที่เจ้ยเป็นตอนนี้หรอกนะ”
เสียงเอื้อยดังแว่วๆมาต่อเนื่องพร้อมกับความรู้สึกเหมือนเธอกำลังจูบลงที่หน้าผากของฉัน
“แต่รู้มั้ยว่าถ้าเรายอมทำตามความรู้สึกและเอาแค่อารมณ์ความใคร่เป็นใหญ่แล้ว
มันก็จะไม่ต่างจากสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆที่อยู่บนโลกนี้
ที่จะอยู่ด้วยกันได้เฉพาะฤดูผสมพันธ์เท่านั้น
แต่เค้าอยากอยู่กับเจ้ยอยากเรียนรู้ในสิ่งที่เรากำลังเป็นอยู่นี้...ว่ามันไม่ใช่แค่ความใคร่
ไม่ใช่แค่ความหลง เค้ารักเจ้ยมากนะ
เค้าสัญญาว่าถ้าเราอยู่ด้วยกันและศึกษากันให้นานกว่านี้แล้ว
เค้าจะยอมให้เจ้ยทุกๆอย่างเลย”
เสียงเอื้อยเงียบหายไปครู่ใหญ่ๆก่อนจะแว่วดังมาอีกทีทางด้านหลังของฉัน
“ตอนนี้...
เค้าให้เจ้ยได้แค่นี้นะ....”
เสียงนั้นเงียบลงพร้อมๆกับความรู้สึกเหมือนว่าเอื้อยกำลังใช้มือลูบไล้ที่แก้มของฉัน
จากนั้นฉันก็รู้สึกเหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างนุ่มๆอยู่ที่แผ่นหลังของฉัน
มันเนียนนุ่ม อบอุ่นเหมือนผิวกายของคน
ประหนึ่งว่ามีร่างกายเปลือยเปล่าของใครสักคนกำลังแนบชิดแผ่นหลังของฉันอยู่
ร่างนั้นค่อยๆบรรจงหอมที่ซอกคอ
และแผ่นหลังของฉัน
สองแขนของเค้านั้นลูบไล้ไปทั่วร่างกายเปลือยเปล่าที่ไม่ได้สติของฉันในตอนนี้
ฉันได้ยินเสียงลมหายใจเบาๆและกลิ่นกายหอมๆที่ฉันเคยคุ้น
กลิ่นหอมที่ครั้งนึงเคยทำให้ฉันคลุ้มคลั่งแทบคุมสติไว้ไม่ไหว
..ต้องเป็นเอื้อยแน่ๆเลย..
โอย...สติฉันกำลังเลือนลางลงทุกที
ความรู้สึกที่ฉันสัมผัสได้ในตอนนี้ตกลงว่าเป็นเรื่องจริงหรือแค่ภาพเพ้อฝันของคนที่กำลังเมาไม่ได้สติกันแน่
ฉันอยากหันกลับไปมองเหลือเกินว่าภาพที่ฉันนึกนั้นคือความจริงหรือไม่
แต่แค่นอนเอียงตัวเฉยๆตอนนี้ก็แทบจะกระดุกกระดิกไปไหนไม่ได้แล้ว
เพราะความรู้สึกที่เหมือนโลกกำลังหมุนเรื่อยๆ
มันหมุนเร็วซะจนถ้าฉันไม่นอนเฉยๆแล้วต้องมีการอ้วกอีกรอบแน่ๆ
นั่นไง..แค่คิดว่าจะหันไปก็พะอืดพะอมแล้ว
..โธ่เอ้ย..ฉัน..บุญมีแต่กรรมบังแท้ๆ...
ความรู้สึกพะอืดพะอมและความวินเวียนทำให้ฉันกำลังจะหมดสติลงไปในไม่ช้า
แต่ก่อนที่ฉันจะหมดสติลงไปนั้น
แขนของใครคนนั้นก็โอบกอดมาจับที่หน้าอกของฉันเอาไว้
เหมือนไม่อยากให้ฉันห่างไกลเค้าไปไหนในค่ำคืนนี้
ความรู้สึกอบอุ่นอย่างนี้
ฉันไม่เคยรู้สึกและไม่เคยสัมผัสมาก่อนเลยในชีวิต
ฉันชอบไออุ่นจากผิวกายเนียนๆ
ความรู้สึกนุ่มๆจากส่วนเว้าส่วนโค้ง
กลมกลึงของร่างกายเปลือยเปล่าที่ฉันกำลังเข้าใจว่านั่นคือ
“เอื้อย”เหลือเกิน
สัมผัสของผิวกายที่เอื้อยกำลังลูบไล้ไปทั่วๆร่างกายเปลือยเปล่าของฉันนั้น
มันทำให้ฉันรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
จนกระทั่งตอนนี้ฉันเผลอเคลิ้มหลับลงไปอย่างง่ายดาย
“เจ้ยไม่ต้องอายนะ
เค้าจะนอนอยู่อย่างนี้เป็นเพื่อนเจ้ยเอง.....”
นั่นเป็นเสียงสุดท้ายที่ฉันได้ยิน
ก่อนจะปล่อยให้ความมึนเมาดึงฉันเข้าสู่ห้วงความฝันไป