วันเสาร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Girlfriend

Chapter 12

แผนการชั่วร้าย
 
หลังจากเย็นนั้นเราสองคนตกลงกันว่าทุกวันตอนเย็นเราจะต้องไปซ้อมกีตาร์ที่บ้านเอื้อยก่อน โดยที่ฉันนั้นจะเอากีตาร์ของฉันไปฝากไว้ที่บ้านเอื้อย พอเราซ้อมเสร็จ ฉันก็จะได้ขับรถกลับมาบ้านของตัวเองได้เลย

วันนี้เอื้อยอารมณ์ดีเป็นพิเศษเธอใส่หูฟังฟังเพลงที่ฉันคิดว่าคือเพลง “ใจให้ไป” ตั้งแต่ตอนเช้าที่ฉันขับรถไปรับเธอ ลงจากรถ เอากระเป๋าไปเก็บ แม้กระทั่งเวลาว่างในคาบหรือแม้แต่ตอนนี้ที่เราทานข้าวเสร็จแล้วมานั่งเล่นที่นั่งเดิมของเรา
เอื้อยนั่งหลับตาฮัมเพลงโดยไม่สนใจฉัน ฉันต้องกระแอมเสียงดัง กว่าเอื้อยจะรู้สึกตัวและหันมามองทำตาโตเหมือนสงสัยว่าฉันเรียกเธอทำไม
แต่ฉันก็ไม่พูดอะไร เพราะฉันก็แค่เรียกร้องความสนใจอยากให้คนตรงหน้านี้หันมามองกันบ้างเฉยๆ
เมื่อเอื้อยเห็นว่าฉันไม่มีอะไรจะพูดด้วยเธอก็ร้องเพลงต่อ แต่ตอนนี้เธอหันมาทำหน้าทำตาใส่ฉัน แถมยังยกไม้ยกมือประกอบเพลงไปด้วย

..ให้เธอเป็นนางฟ้า ให้เธอเป็นเจ้าหญิงของฉัน ให้เธอเป็นผู้หญิงที่ใครหลายคนอิจฉา..

เอื้อยทำตาหวานโน้มหน้าเข้ามาใกล้ๆฉัน จนฉันต้องเขยิบถอยห่างเอื้อยไป
ไม่ต้องใส่อารมณ์ขนาดนั้นก็ได้มั้ง ไม่ได้แสดงมิวสิคสักหน่อย” ฉันพูดพลางแกล้งดึงสายหูฟังข้างนึงออกจากหูเอื้อย
โธ่.. ไม่เคยได้ยินเหรอที่เค้าว่ากันว่านักร้องที่ดีต้องเข้าถึงอารมณ์เพลง เค้าก็แค่ทำตามความรู้สึกที่รับรู้ได้จากเนื้อเพลงเท่านั้นเอง” เอื้อยทำหน้ากะล่อนอธิบายฉัน
นี่ยิ่งทำหน้าอย่างนี้ ร้องเพลงแบบนี้ เค้าได้รู้กันหมดเมืองแน่ๆว่าเราสองคนน่ะเป็นอะไรกัน..” ฉันบ่นพึมพัมในสิ่งที่ฉันกังวล
จะกลัวอะไรล่ะ มาประกวดร้องเพลงนะไม่ได้มาแถลงข่าว เค้าไม่มานั่งสัมภาษณ์ชีวิตเราหรอกน่าอย่าคิดมาก”เอื้อยทำเสียงดุใส่ฉันอีกแล้ว รู้สึกว่าเธอจะตั้งใจร้องเพลงนี้ ณ เวทีนี้เหลือเกิน ถ้าฉันพูดอะไรขัดๆหน่อยนี่ชักสีหน้าใส่ฉันตลอดเลย
ฉันคงต้องพยายามไม่คิดมากอย่างเธอว่าบ้างดีกว่า ถ้าฉันยังอยากจะเห็นเอื้อยในตอนที่อารมณ์ดีอยู่
คิดได้ดังนั้นฉันก็ก้มหน้าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอ่านข้อความในFacebook แก้เซ็งจนกระทั่งระฆังตอนบ่ายดังขึ้น
*********************************
ตอนเย็นเลิกเรียน วันนี้คาบสุดท้ายมีนัดประชุมชมรมกัน วันนี้กลายเป็นฉันเองที่เลิกก่อนเอื้อยและต้องมานั่งรอเอื้อยอยู่ที่โรงรถ
แต่วันนี้รู้สึกว่าเอื้อยจะช้าเหลือเกิน นี่ก็เกือบครึ่งชั่วโมงแล้วยังไม่รีบมาอีกทั้งๆที่วันนี้เรานัดกันว่าจะซ้อมกีตาร์กันแท้ๆ
ฉันนั่งรอเอื้อยอยู่ที่รถด้วยความเป็นห่วงเพราะนี่ก็เกือบจะสี่โมงสี่สิบห้าแล้ว ตอนนี้แม้ที่โรงจอดรถยังพอมีคนเหลืออยู่บ้างแต่ด้านในโรงเรียนก็ไม่มีใครอยู่แล้ว ฉันไม่แน่ใจว่าเอื้อยจะยังอยู่ในอาคารเรียนตึกไหนสักตึกหรือเปล่า
ทำอะไรอยู่นานจัง” ฉันส่งข้อความไลน์ไปหาเอื้อย
คุยธุระอยู่” เอื้อยส่งข้อความสั้นๆกลับมา
กับใคร” ฉันถามไปแต่ก็ไม่มีข้อความใดๆตอบกลับมาแม้มันจะขึ้นว่าผู้รับอ่านแล้วก็ตาม
ใจฉันร้อนรนนึกเป็นห่วงเอื้อยเพราะเอื้อยไม่เคยเลิกเรียนสายขนาดนี้ จำได้ว่าเอื้อยเรียนชมรมภาษาไทยอาคารชมรมจะอยู่ด้านข้างอาคารเกษตรที่โซนตรงนั้นจะอยู่ด้านหลังโรงเรียนสุดๆ
ถ้าเอื้อยไม่ตอบกลับมาอย่างนี้ใจคอฉันยิ่งไม่ดี ฉันจึงตัดสินใจเดินเข้าไปในโรงเรียนอีกครั้งเพื่อเข้าไปหาเอื้อย
ตอนนี้ด้านหลังโรงเรียนอาคารต่างๆถูกปิดประตูเหล็กดัดไว้หมดแล้ว นักเรียนแถวๆนั้นไม่มีแล้ว ฉันได้แต่เดินชะโงกหน้าเข้าไปแอบมองในหน้าต่างอาคารเผื่อว่าจะมองเห็นเอื้อยอยู่แถวนั้นบ้าง แต่ก็เปล่าเลย ทุกห้องนั้นว่างเปล่า
ฉันเดินเรื่อยเปื่อยไปจนถึงโซนด้านหลังโรงเรียนตรงนั้นจะมีม้านั่งสำหรับนักเรียนเรียนเกษตรนั่งเรียน ตรงนั้นทั้งมืดและน่ากลัว ฉันยืนเก้ๆกังๆอยู่นานกว่าจะตัดสินใจเดินอ้อมเข้าไปด้านหลังอาคาร
ยังไม่ที่ฉันจะเดินไปถึงหลังอาคารดี ฉันก็ยินเสียงหัวเราะชอบใจของผู้หญิงสองคน ฟังดูเหมือนเสียง“เอื้อย”
เมื่อคิดได้เช่นนั้นฉันก็รีบมุ่งตรงไปยังเสียงที่ได้ยินทันที
แล้วฉันก็มาหยุดยืนอึ้งอยู่ที่หน้าโซนม้านั่งเพราะตะลึงกับภาพที่ฉันเห็นเบื้องหน้า
ภาพนั้นคือ...
เอื้อยนั่งหลับตาพริ้มอยู่ที่ม้านั่ง โดยมีอันที่นั่งตรงข้ามกำลังโน้มหน้าไปหาเอื้อยเพื่อที่จะ “จูบ”เอื้อย
ทำอะไรอ่ะ!!!” แม้ตัวฉันยังไปไม่ถึงเอื้อยแต่เสียงของฉันนั้นร้องดังชัดเจนจนสองคนนั้นสะดุ้งหันมาทางต้นเสียงทันที
เอื้อยลืมตาขึ้นเธอทำหน้างงๆเมื่อหันมาเห็นฉัน ในขณะที่อันคิ้วขมวดทำหน้าเหมือนเสียดายที่โดนขัดจังหวะ
ทำอะไรกันน่ะ” ฉันยังถามย้ำใบหน้าแสดงอาการไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน
เอื้อยก็ยังอึ้งอยู่เธอทำหน้างงๆยังไม่เลิก
ยิ่งเห็นเอื้อยทำหน้าอย่างนั้นฉันก็ยิ่งหงุดหงิด นี่แกล้งโง่ตีหน้าเซ่อไม่รู้ไม่ชี้เลยใช่มั้ย
ฉันเดินตรงปรี่เข้าไปดึงมือเอื้อยออกมาจากที่นั่ง
นี่เหรอธุระที่ว่า ไม่คิดว่ามันทุเรศหน่อยเหรอทำอะไรอย่างนี้ในโรงเรียนถ้ามีใครมาเห็นจะทำยังไง”
ฉันต่อว่าเอื้อย
อะไรคือทุเรศอะเจ้ย เค้าไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย” เอื้อยถามกลับเสียงงงๆ
ก็เมื่อกี้ เธอสองคนจะจูบกันเค้ามาเห็นพอดีอะ”
ใครจูบ..” เอื้อยคิ้วขมวด
ก็เอื้อยนั่งหลับตาพริ้มอยู่อย่างนั้น แล้วยัยนี่ก็กำลังจะ..” ฉันหันไปจ้องหน้าอันอย่างเอาเรื่อง
ตอนนี้ยัยอันแกล้งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ อมยิ้มกวนอารมณ์ฉัน
บ้าเหรอ อันเค้าบอกว่ามีอะไรไม่รู้ติดขนตาเค้า ก็เลยบอกให้เค้าหลับตาจะเอาออกให้แค่นั้นเองอ่ะเจ้ย” เอื้อยรีบอธิบาย
แต่เมื่อกี้ที่เค้าเห็นยัยนี่กำลังจะจูบเอื้อยจริงๆนะ ถ้าเค้าไม่ร้องขึ้นก็คง..”ฉันรีบเถียงเอื้อยคืน แต่ก็โดนยัยอันพูดขัดขึ้น
นี่เธอ..เราเข้าใจนะว่าเธอหวงเพื่อนเธอ เธอก็เลยอคติกับเราตลอดอ่ะ เราก็นิสัยไม่ดีเองล่ะ ที่มาวุ่นวายกับเพื่อนเธอโดนไม่ขออนุญาติเธอก่อนน่ะ” ยัยอันทำเสียงเหมือนคนดีกำลังอธิบายความคิดในใจที่แสนจะวิเศษ
เราบอกตรงนี้เลยก็แล้วกันนะ เราชอบเอื้อยมาตั้งนานแล้วล่ะ ขออนุญาติจีบเพื่อนเธอหน่อยแล้วกันนะ”อันยังทำเสียงน่ารักสดใสประหนึ่งคนไร้เดียงสา
เอื้อยตาโตรีบหันหน้ามามองฉันทันที ฉันกัดฟันคิ้วขมวด
..นี่ยัยนี่จงใจท้าทายฉันต่อหน้าต่อตาอย่างนี้เลยใช่มั้ย..
หวังว่าคงอนุญาตินะ เพื่อนที่ดีก็ต้องเปิดโอกาสให้เพื่อนมีความรักบ้างใช่มั้ย”เสียงยัยอันยังคงกวนอารมณ์อยู่ต่อไป
ฉันกำหมัดแน่น เถียงอะไรไม่ออกได้แต่จ้องหน้าอันไม่วางตา
ได้สิ จะคุยกันต่อใช่มั้ยไม่กวนแล้วถ้างั้น ให้อันไปส่งเลยก็ได้นะ เค้าจะกลับแล้ว” เมื่อทำอะไรไม่ได้ฉันได้แต่อารมณ์หงุดหงิดมาลงที่เอื้อยแทน
เจ้ยเด๋วสิรอเค้าก่อน ไหนว่าเย็นนี้จะซ้อมด้วยกันอีกไง” เอื้อยรีบดึงมือฉันไว้ ฉันหันไปมองเอื้อย ตอนนี้เธอทำหน้าประหนึ่งว่าสิ่งที่ฉันเห็นนั่นเป็นเรื่องเข้าใจผิด อย่าโกรธเธอเลยได้มั้ย
ไม่ทันที่เอื้อยจะเดินตามฉันออกมา อันก็รีบดึงมือของเอื้อยไว้
อย่าลืมเรื่องที่นัดไว้วันเสาร์ล่ะ เค้าจะรอเอื้อยนะ..”
ฉันคิ้วขมวด หันมามองเอื้อย
..นี่นัดอะไรกันไว้ จะไปกับยัยนี่สองต่อสองงั้นเหรอ..
เอื้อยทำหน้าเลิ่กลั่ก ทั้งมองฉันและมองอันสลับกัน ก่อนที่เธอจะปล่อยมือข้างที่จับฉันไว้ไปแกะมือของอันออกจากมือเธอ
เดี๋ยวเค้าบอกอีกทีนะ ไม่รู้ว่าแม่เค้าจะให้ออกบ้านตอนกลางคืนหรือเปล่า..ถ้าไม่มีเจ้ยไปด้วย” เอื้อยหันมามองหน้าฉัน แล้วหันกลับไปมองหน้าอันที่เริ่มหน้าเสียนิดนึง
ก็ได้ ยังไงเราก็จะรอคำตอบเหมือนเดิมนะ” อันหยิบกระเป๋าของตัวเองแล้วยกมือบ้ายบายเอื้อยก่อนจะค่อยๆเดินจากไป
แม้จะโล่งใจที่ได้ยินเอื้อยปฏิเสธอย่างนั้นต่อหน้าอัน แต่ความหงุดหงิดที่เห็นว่าเอื้อยแอบมาคุยกับอันในที่ลับตาคนแถมยังจะโดนเค้าจูบโดนไม่รู้ตัวอีก ก็ทำให้ความโมโหกระฟัดกระเฟียดของฉันพลุ่งพล่านขึ้นเหมือนเดิม
ฉันเดินนำหน้าเอื้อยไปลิ่วๆ โดยที่มีเอื้อยพยายามวิ่งตามและร้องเรียกฉันไว้ตลอด
รอก่อนซี่ จะรีบไปไหนนี่” เอื้อยรีบวิ่งตามมาทันตรงที่ด้านหน้าโรงจอดรถ ตอนนี้มีนักเรียนยืนอยู่ตรงนั้นสองสามกลุ่ม พวกเค้าหันมามองตามเสียงเอื้อยที่ร้องขึ้น
วันนี้ไม่ซ้อมแล้วนะ จะกลับบ้าน” ฉันหยุดหน้าบึ้งหันมามองเอื้อย
เฮ้ย ได้ไงอะสัญญาแล้วต้องไปสิ” เอื้อยรีบดึงมือฉันไว้
โกรธเค้าใช่มั้ยนี่ มันไม่ใช่อย่างที่เจ้ยคิดนะ ฟังเค้าก่อนเค้าอธิบายให้ฟังได้” เอื้อยพูดเสียงดังคงเพราะเธอเหนื่อยจากการวิ่งตามฉันเมื่อกี้เลยทำให้เธอคุมระดับเสียงไว้ไม่ได้
อย่าโกรธบ่อยได้มั้ย เค้าง้อเจ้ยไม่ทันแล้วนะ” เอื้อยยังคงพูดเสียงดังขึ้นอีก ตอนนี้ทุกสายตาที่อยู่แถวนั้นเริ่มหันมามองตามเสียงที่เอื้อยกำลังพูด พวกเค้าต่างยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เมื่อได้ยินที่เอื้อยพูดกับฉันอย่างนั้น
เมื่อรู้สึกว่าโดนจับตามองอย่างนั้น ความรู้สึกโกรธก็เริ่มหายไปกลายเป็นอายเข้ามาแทนที่
ฉันแกะมือเอื้อยออก
พูดอะไรเสียงดังอย่างนั้น เค้าได้ยินกันหมดแล้ว” ฉันทำเสียงกระซิบกระซาบใส่เอื้อยเพราะไม่อยากให้ใครได้ยินด้วย
ก็หายโกรธสักทีซิ ขี้เกียจง้อจริงๆนะนี่” เสียงเอื้อยยังอยู่ในระดับเดิม
ขี้เกียจง้องั้นก็รีบกลับบ้านไปเลยไป” ฉันแสนอายก้มหน้ารีบเดินนำหน้าเอื้อยผ่านเด็กนักเรียนกลุ่มนั้นเข้าไปที่โรงจอดรถทันที โดยยังคงมีเสียงเอื้อยร้องเรียกฉันตามมาเหมือนเดิม
...โธ่เอ้ย..อยากจะบ้าตาย เอื้อยนะเอื้อยพรุ่งนี้เค้าคงได้ซุบซิบเราทั้งโรงเรียนอีกแน่ๆ..
***************************
ตอนเย็นฉันนั่งหน้ามุ้ยทานข้าวเย็นกับพ่อแม่อยู่ที่โต๊ะกับข้าว กลายเป็นว่าวันนี้ฉันไม่ยอมซ้อมกีตาร์กับเอื้อยเพราะว่ายังมีอารมณ์โกรธเคืองที่เห็นเอื้อยอยู่กับอันสองต่อสองอย่างนั้น
เอื้อยนั้นก็พยายามง้องอนเหมือนเดิม เธอโทรหาฉันตั้งแต่ตอนที่ฉันขับรถกลับบ้านแต่ยังไม่ทันเข้าบ้านเสียด้วยซ้ำ แต่ฉันก็ไม่ยอมรับโทรศัพท์เอื้อย
เอื้อยยังกระหน่ำโทรหาฉันเรื่อยๆ ตอนนี้น่าจะปาไปเกือบๆร้อยสายที่ไม่ได้รับแล้ว
เสียงสั่นของโทรศัพท์ดังขึ้นตลอดเวลาตอนที่ฉันทานข้าวเพราะว่าตั้งสั่นเอาไว้เนื่องจากกลัวเอื้อยจะโทรเข้ามาตอนที่อยู่กับพ่อแม่ ซึ่งก็เป็นดังคาดเธอโทรตลอดไม่หยุดเสียที
เสียงอะไรอะลูกดังตื้ดๆอยู่ตลอด” เสียงแม่ถามขึ้นเนื่องจากได้ยินเสียงนี้ดังนานมากแล้ว
เสียงโทรศัพท์นะค่ะ พอดีหนูตั้งสั่นไว้ ยังไม่อยากรับสายตอนกินข้าวกับพ่อแม่อะค่ะ”ฉันยิ้มแหยๆตอบแม่
ก็รับเถอะลูกเหมือนเค้าจะมีธุระสำคัญนะโทรตามขนาดนี้”
ไม่สำคัญเท่าไหร่หรอกค่ะ มันไร้สาระ เด็กมีปัญหาที่โรงเรียนน่ะค่ะหนูไม่อยากคุยด้วย” ฉันแก้ตัวต่อ
อ้าวแล้วเอาเบอร์ไปให้เค้าทำไมลูก เป็นสาวแล้วนะ จะคบจะคุยกับใครต้องเลือกหน่อยถ้าไม่อยากคุยก็อย่าให้เบอร์ผู้ชายซี้ซั้วซี่” พ่อพูดขึ้นทำเสียงเหมือนเอ็ดฉันเรื่องเลือกคบผู้ชาย
ค่ะพ่อ” ฉันยิ้มเจื่อนๆ
...พ่อจะคิดยังไงนะถ้ารู้ว่าคนที่ฉันเอาเบอร์ให้และกระหน่ำโทรตามอย่างนี้ไม่ใช่ผู้ชาย..
เออ เจ้ยเด๋ววันเสาร์นี้พ่อกับแม่จะไม่อยู่นะ บริษัทพ่อให้ไปดูงานที่จีนพ่อเค้าจะให้แม่ไปด้วย”อยู่ๆแม่ก็พูดขึ้น
อ่อ ค่ะแม่”
อยู่ได้ใช่มั้ยพ่อกับแม่ไปเป็นอาทิตย์เลยนะ”เสียงแม่เป็นห่วงถามฉัน
ฮ้า อะไรอ่ะทำไมไปกันนานจังแล้วหนูจะอยู่ยังไงล่ะ” ฉันหันควับอ้าปากค้าง
เด๋วแม่จะให้น้าเจียมาอยู่เป็นเพื่อนแต่น้าเค้าคงจะไม่ได้มาทุกวันนะงานเค้าเยอะ หนูก็โตแล้วดูแลตัวเองได้อยู่แล้วนี่”
ฉันคิ้วขมวดรับคำแม่ด้วยใบหน้าสุดแสนเซ็ง พ่อกับแม่ชอบหนีฉันไปเที่ยวอยู่ตลอดเลย สองคนนี้ชอบกระหนุงกระหนิงกันตลอด ขนาดว่าลูกสาวโตจนจะเข้ามหาลัยแล้วยังชอบแอบไปสวีทกันอยู่เรื่อย
ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ..อาเจ้ย ครั้งนี้พ่อกับแม่ไปอาทิตย์เดียวเองเดี๋ยวพ่อเพิ่มค่าขนมให้ สงสารแม่เค้าอยู่บ้านทำงานบ้านทั้งวันพ่ออยากพาแม่ไปเปิดหูเปิดตาบ้าง ไว้ตอนกลับพ่อจะซื้อของมาฝากอีก” เสียงพ่ออธิบายพร้อมเสนอของตอบแทนมาให้ฉัน
ฉันได้แต่พยักหน้าเออออตอบรับคำขอของพ่อกับแม่ไป จริงๆฉันก็ชอบให้พ่อกับแม่ได้ไปไหนมาไหนด้วยกันบ้าง เพราะพ่อชอบทำงานกลับบ้านดึกๆดื่นๆทิ้งให้แม่เหงาอยู่กับฉันตลอด ถ้าวันไหนที่ฉันกลับบ้านค่ำแล้วแม่ก็ยิ่งน่าสงสาร
การที่เห็นท่านทั้งสองยังรักกัน แม้จะอยู่ด้วยกันมานาน มันก็ทำให้ฉันรู้สึกว่าครอบครัวที่ฉันเติบโตขึ้นมานั้นแสนจะอบอุ่นไปด้วยความรักและความเข้าใจเพียงใด
หลังจากที่ทานข้าวเสร็จและช่วยแม่จัดการทำความสะอาดบ้านแล้วฉันเดินทอดน่องขึ้นไปบนห้องนอน ในใจคิดอะไรเรื่อยเปื่อยทั้งเรื่องที่ต้องอยู่บ้านคนเดียว ทั้งเรื่องที่โกรธให้เอื้อย รู้สึกว่าวันนี้จะเป็นอีกวันที่ฉันจะจัดการกับอารมณ์หงุดหงิดของตัวเองไม่ได้
ฉันได้แต่ทิ้งตัวนอนหมอบไปบนเตียงนอนแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ตอนนี้ไม่มีใครโทรเข้าแล้วแต่มันโชว์สายที่ไม่ได้รับ 168 สาย
..คุณพระ นี่เธอเอาเวลาที่ไหนกระหน่ำโทรมาขนาดนี้ ..
ฉันทั้งนึกขำและหมั่นไส้ในตัวเอื้อย นึกถึงตอนที่เจอกันใหม่ๆเอื้อยนั้นแสนจะเรียบร้อยชวนคุยก็ไม่ค่อยคุยเอาแต่ยิ้มหน้าแดงอย่างเดียว
แต่ดูเถิดตอนนี้ บางทีก็ลุกลี้ลุกลนทำตัวเป็นเด็กซนๆคนหนึ่ง อยากหยอกอยากอ้อนเราไปเรื่อย
แถมยังต้องมาเสียลุคนางงามคอยตามง้องอน...ผู้หญิงด้วยกันอีก
นี่ถ้าเพื่อนๆรู้ว่าเอื้อยพยายามตื้อฉันขนาดนี้ คงจะคิดว่าฉันเล่นของใส่เธอแน่ๆ
นึกถึงตอนที่เอื้อยตะโกนเรียกฉันอยู่หน้าโรงรถแล้วมีคนมองแล้วมันก็น่าอายนัก ป่านนี้เค้าจะเอาไปเมาส์กันแค่ไหนแล้วนะ
ฉันหยิบโทรศัพท์เปิดดู Facbook เพื่อหวังจะดูสถานะอัพเดตที่เพื่อนๆในโรงเรียนโพสกันเพราะกลัวว่าจะมีใครซุบซิบเรื่องฉันกับเอื้อย
แต่ก็ไม่มีข่าวอะไรมากมายนอกจากสถานะของเอื้อยที่โพสขึ้นมา

มีเพื่อนขี้งอนต้องทำยังไง :(

มีเพื่อนๆมาคอมเม้นต์ในสถานะของเอื้อยกัน
เพื่อนหรือแฟน อิอิ”
ใช่คนที่นั่งข้างๆหรือเปล่า”
โกรธกันหรือเปล่าคู่จิ้นๆ”

เพื่อนๆมาคอมเมนต์ในโพสเอื้อยแต่เอื้อยกับไม่ตอบ เธอคงนอยด์ไม่อยากพูดอะไรกับใคร

ปล่อยมัน...” ฉันรีบคอมเม้นต์สถานะเอื้อยทันทีด้วยความหมั่นไส้
ได้ผลพอฉันกดตอบไม่นานเพื่อนๆก็มาถูกใจข้อความของฉันกันรวมทั้งเอื้อยด้วย
ปล่อยไปก็กลัวจะน้อยใจ ร้องห่มร้องไห้ไม่มาโรงเรียนเป็นเพื่อนอีก” เอื้อยรีบคอมเมนต์ตอบ
เพื่อนเอื้อยเยอะแยะจะไปสนใจทำไมแค่คนๆนึง” ฉันรีบคอมเมนต์โต้ตอบเอื้อยทันที
เอื้อยก็ไม่น้อยหน้าเธอตอบกลับมาซะฉันอ่านแล้วรู้สึกหน้าแดงทันที
ก็เพื่อนคนนี้เค้ารักมากที่สุด” คอมเมนต์นี้ของเอื้อยเรียกเสียงฮือฮาจากเพื่อนๆได้ทันที ทุกๆคนมากดไลท์ข้อความคอมเมนต์นี้ของเอื้อยทั้งนั้น
ฮั่นแน่ ได้ตัวผู้ต้องสงสัยแล้ว รู้แล้วว่าใครงอนใครพวกฉันนอนหลับแล้วคืนนี้ อิอิ” เพื่อนคนนึงคอมเมนต์ต่อจากข้อความเอื้อย ฉันนิ่งอึ้งไม่กล้าตอบคอมเมนต์ ได้แต่อมยิ้มอ่านข้อความนั้นซ้ำไปซ้ำมา
แล้วโทรศัพท์ก็สั่นขึ้นอีก ..เป็นเอื้อยนั่นเองที่โทรเข้ามา
ฉันมองดูโทรศัพท์สั่นอยู่นานพร้อมๆกับการตัดสินใจว่าจะรับดีมั้ย
ในที่สุดฉันก็รับโทรศัพท์เอื้อยจนได้
ทำไมไม่รับโทรศัพท์เค้าเลยปล่อยให้เค้าโทรหาอยู่ได้จะเป็นร้อยสายอยู่แล้วมั้ง”เสียงงอนๆของเอื้อยดังมาทันทีที่ฉันรับ
ฮึ ฮึ” เสียงฉันหัวเราะแต่ไม่ได้ตอบเอื้อย
..ไม่ใช่100สายสักหน่อย มันตั้ง 168 สาย นี่เธอเอามือที่ไหนไปนั่งกดโทรศัพท์รัวขนาดนั้น...
เจ้ยโกรธที่เค้าไปคุยกับอันใช่มั้ยเค้าขอโทษนะ อันบอกว่ามีธุระคุยกับเค้าจริงๆเค้าเลยไปคุย”เสียงเอื้ยอ้อนๆมาตามสาย
ธุระอะไรทำไมต้องไปแอบคุยอยู่หลังโรงเรียนด้วย”
บอกไปเจ้ยก็ไม่ชอบเหมือนเดิม..มันไม่สำคัญอะไรหรอก” เสียงอ้ำๆอึ้งๆของเอื้อยพยายามอธิบาย
ทำไม..อันมาจีบล่ะสิ แล้วรู้ตัวมั้ยนั่นว่าเค้ากำลังจะจูบเอื้อยอ่ะ” ฉันโมโหรีบถามถึงสิ่งที่ฉันเห็นเมื่อตอนเย็น
ไม่รู้สิ ก็ตอนนั้นมันยังไม่มีอะไรจริงๆแล้วถึงจะทำอะไรเค้า เค้าก็รู้จักระวังตัวเองนะเจ้ย อันเค้าคงไม่มีเจตนาหรอก”
ไม่เจตนาบ้าอะไร ใครๆเห็นเค้าก็รู้ทั้งนั้นว่ายัยนี่ต้องการจะจูบเอื้อย ถามจริงๆว่าถ้าเผลอโดนจูบเข้าจริงๆจะเคลิ้มไปกับเค้ามั้ย”ฉันโมโหตะคอกเอื้อยคืน
เคลิ้มทำไม เห็นเค้าเป็นคนอย่างนั้นเหรอ นี่เค้าจะบอกเจ้ยไว้อย่างนึงนะ ถ้าเป็นคนทีเค้ารัก เค้าไม่รอให้คนนั้นมาจูบหรอก เค้าจะจูบคนนั้นเอง..เหมือนเจ้ยน่ะเข้าใจมั้ย” เสียงที่จริงจังของเอื้อยพยายามอธิบายมาตามสายโทรศัพท์
มันทำให้ฉันนึกถึงภาพวันนั้นที่เธอขโมยจูบแรกของฉันไป โดยที่ฉันไม่คาดคิดจริงๆว่าเอื้อยจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน
..ก็คงจะจริง..อยากน้อยๆเอื้อยก็พยายามทำให้เห็นว่า ฉันเป็นคนพิเศษสำหรับเธอขนาดไหน เพราะไม่ว่าเอื้อยจะเรียบร้อย เป็นกุลสตรีและหวงเนื้อหวงตัวเพียงใดก็ยังพยายามที่จะมอบจุมพิตให้ฉันโดยที่ฉันไม่ได้ร้องขอและบังคับเธอเลย..
หายโกรธเค้านะ เค้ากับอันเป็นเพื่อนกันมา2ปีแต่เค้าไม่เคยที่จะรู้สึกอะไรกับอันเกินเพื่อนเลย แต่สำหรับเจ้ยแล้วแค่เค้าได้ใกล้ชิดและมองตาแค่ครั้งสองครั้งหัวใจเค้าจะสั่นไม่เป็นจังหวะแล้ว”
ยิ่งฟังฉันยิ่งรู้สึกว่าตัวเองกำลังเคลิ้มกับเวทย์มนต์ที่เอื้อยกำลังร่ายมาให้ฉันหายโกรธเธอ ตอนนี้กำแพงที่ฉันสร้างขึ้นมาไว้กั้นหัวใจฉันกำลังสั่นคลอนและพร้อมจะพังทลายลงในไม่ช้า
ดีกันนะ เค้าสัญญาว่าเค้าจะระวังตัวเองให้ดีกว่าเดิม”เสียงอ้อนวอนของเอื้อยดังมาตามสาย
อืม..” แม้จะเป็นเสียงเรียบๆสั้นๆไม่ได้บ่งบอกความรู้สึกอะไรมากมาย แต่ตอนนี้ต้นสายกำลังยิ้มด้วยความรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกซะแล้ว
เราคุยกันไม่นานหลังจากนั้นก็วางสายไป
ฉันอาบน้ำและเข้านอนในเวลาปกติ
ตอนนี้แม้ฉันหัวถึงหมอนแล้วก็ยังข่มตาหลับไม่ลงอยู่ดี ใจฉันเฝ้าแต่กังวลเรื่องของเอื้อยและอัน
ยัยคนนี้อันตรายนักเชียว ฮึ ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็จะเอาด้วยกลซินะ นี่คิดจะมาลักไก่จูบเอื้อยขนาดนี้เลยชะล่าใจไม่ได้เสียแล้ว
เชอะ คิดว่าผู้หญิงเค้าจะเคลิ้มตามง่ายๆอย่างนั้นเหรอ ถึงจูบได้ยังไงๆก็ได้แค่จูบล่ะน่า
ฉันนี่สิ เป็นเจ้าของของเอื้อยโดยแท้ แม้มันจะยังไม่สมบูรณ์ก็เถอะ ยังไงๆตัวเอื้อยก็อยู่กับฉัน มันก็ต้องเป็นของฉันสักวันล่ะนะ ฉันอมยิ้มนอนนึกไป
ไม่ช้าก็เร็วยังไงเอื้อยก็ต้องยอมอยู่ดี
เอ...แต่ถ้าเอื้อยไม่ยอมสักที กลายเป็นว่าอีกนานกว่าเอื้อยจะเปิดโอกาสอย่างนั้นให้ฉันอีก
ระหว่างนั้นถ้ายัยอันคิดแผนชั่วร้ายขึ้นมาอีกจนเอื้อยต้องพลาดท่า ฉันจะทำยังไงดี
โอ้ย ยิ่งคิดยิ่งเครียด นี่ถ้าเอื้อยยอมฉันง่ายๆก็ดีสิ
ฉันนึกถึงคำพูดเอื้อย ... ถ้าเป็นคนทีเค้ารักเค้าไม่รอให้คนนั้นมาจูบหรอก เค้าจะจูบคนนั้นเอง.. ถ้าเป็นเรื่องอย่างว่าเธอเริ่มก่อนก็คงจะดีกว่านะ แต่นี่ไม่เลยหวงเนื้อหวงตัวเหลือเกิน ไม่เหมือนวันที่เธอเมาที่งานวันเกิดสาเลย
เอื้อยทั้งกอดทั้งหอมฉัน ฉันก็ไม่เห็นจะว่าอะไรเลย ไม่ยุติธรรมเลย เอื้อยนี่
..เอ๊ะ..แล้วฉันก็นึกบางอย่างได้...
ใช่สินะ วันนั้นเอื้อยเมานี่นา เอื้อยก็เลยเป็นฝ่ายจู่โจมฉันและเข้าหาฉันก่อนในตอนนั้น แม้จะไม่ได้ทำอะไรฉันเพราะเธอเมามาก แต่ก็มีแนวโน้มว่า เธอน่าจะทำ
ฮึฮึ..ฉันไม่ได้ผิดสัญญานะ ฉันสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรเอื้อยถ้าเอื้อยไม่ยอม
ก็ไม่ได้บอกไว้สักหน่อยว่าเธอเอื้อยเริ่มก่อนหรือเต็มใจเอง ฉันจะทำอะไรต่อไม่ได้
ฉันยิ้มไปนอนไปนึกถึงภาพเรื่องราวต่างๆที่มันจะเกิดขึ้นในใจตามแผนการที่นึกไว้แล้วก็อดที่หัวเราะออกมาไม่ได้
แผนก็มีแล้ว โอกาสก็มีแล้ว แม่บอกว่าน้าเจียจะมาอยู่ด้วยตอนเย็นวันอาทิตย์ นั่นก็แสดงว่าวันเสาร์ทั้งวันเป็นของฉัน ที่นี้ก็เหลือแต่ว่าฉันจะชักจูงแม่กวางน้อยของฉันให้เข้ามาติดกับดับของราชสีห์ได้อย่างไรเท่านั้นล่ะนะ
*******************************
วันต่อมา
มาวันนี้เป็นวันศุกร์ฉันมาโรงเรียนด้วยความอารมณ์ดีเป็นพิเศษ แม้จะแอบอายสายตาของเพื่อนๆนักเรียนคนอื่นที่จับจ้องฉันกับเอื้อยที่เดินยิ้มมาโรงเรียนพร้อมๆกัน
อย่างอนกันบ่อยนักนะ สงสารคนง้อ” เสียงแซวของใครสักคนดังแว่วๆมาตอนฉันกำลังเดินขึ้นบันได เอื้อยอมยิ้มหันมามองหน้าฉันที่ตอนนี้กำลังมองหาต้นตอของเสียงเพื่อจะเอาเรื่องอยู่
ปล่อยเค้าไปเถอะเค้าก็แค่แซวเฉยๆ” เอื้อยพูดพลางขยิบตาให้ฉันเป็นสัญญาณให้ฉันอย่าตีตนไปก่อนไข้
ฉันจึงหยุดมองหาคนพูด แล้วเดินตามเอื้อยเข้าห้องเรียนต่อไป

เที่ยงวันนี้เมื่อที่เราทานข้าวเสร็จ แล้วมานั่งที่ลานม้านั่งที่เก่า ฉันเริ่มแผนการทันที
เฮ้อ..” ฉันถอนหายใจเสียงดังพร้อมๆกับทำหน้าเครียดๆ
ได้ผลเอื้อยหันมามองหน้าฉันพร้อมกับถามด้วยความห่วงใย
เป็นอะไร เครียดอะไรหรือเปล่าทำไมทำหน้าอย่างนั้น” เอื้อยหันมายิ้มหวานถามฉันด้วยความเป็นห่วง
อืม นิดหน่อยอ่ะ ช่วงนี้แถวบ้านเค้ามีขโมยปีนบ้านกันบ่อยอันตรายมากเลยวันก่อนมาวางยาเบื่อหมาบ้านฝั่งตรงข้ามตายด้วย” ฉันทำเสียงเหมือนกำลังกลัวในสิ่งที่พูด
เฮ้ยน่ากลัวจัง เจ้ยต้องระวังนะอยู่กับแม่สองคนเวลาที่พ่อกลับบ้านช้าน่ะ” เอื้อยพูดเตือนด้วยความเป็นห่วง
ก็ถ้ามีแม่อยู่ก็ไม่เป็นไรหรอก แต่นี่พ่อกับแม่จะไม่อยู่บ้านเป็นอาทิตย์เลย แล้วเค้าก็ต้องอยู่คนเดียว ถึงแม้ว่าแม่จะให้น้ามานอนเป็นเพื่อนมันก็ตั้งวันอาทิตย์แหนะ แต่วันเสาร์เค้าต้องอยู่บ้านคนเดียว นอนคนเดียวนี่สิ” ฉันทำเสียงน่าสงสาร แลดูหวาดกลัวกับสิ่งที่ตัวเองพูดไป
อ้าวแล้วทำยังไงล่ะ เค้าเป็นห่วงเจ้ยจังเลย ให้เค้าไปนอนเป็นเพื่อนมั้ย ถ้าเค้าเล่าให้แม่ฟังแม่ต้องเป็นห่วงเจ้ยแล้วให้เค้ามานอนเป็นเพื่อนแน่ๆ” เอื้อยพูดด้วยความเป็นห่วงโดยไม่รู้เลยว่าเธอกำลังหลงเข้ามาอยู่ในหลุมพลางของราชสีห์ที่กำลังจะล่ากวางน้อยเสียแล้ว
ถ้ามีเอื้อยมานอนเป็นเพื่อนก็คงอุ่นใจขึ้น อย่างน้อยก็มีเพื่อน” ฉันพูดพลางทำหน้าซึ้งใจในสิ่งที่เอื้อยเสนอมา
แต่ไหนบอกนัดกับอันไว้วันเสาร์ล่ะ จะไปไหนกันจะมานอนเป็นเพื่อนเค้าได้เหรอ” ฉันแสร้งถามด้วยความเป็นห่วง
คือ..วันเสาร์วันเกิดอันน่ะ อันเลยชวนไปกินอะไรด้วยตอนเย็นที่บ้าน แต่เค้าก็ปฏิเสธไปแล้วอย่างที่เห็นนั่นล่ะ แต่ก็ว่าจะเอาของขวัญไปให้อันตอนช่วงเช้าเฉยๆ เจ้ยไปด้วยก็ได้นะ จะได้ไม่ต้องมาคิดมากไง”เอื้อยอธิบายน้ำเสียงฟังดูเกรงใจ
...อ๋อ นี่ยัยอันก็มีแผนจะพิชิตเอื้อยในวันเสาร์เหมือนกันเหรอนี่ ฮึ..ถึงเธอจะชวนเอื้อยก่อนแต่ก็ยังมาแพ้ทางฉันอยู่ดีน่าขำเสียจริง ..

อืม ถ้าอย่างนั้นเด๋วตอนเช้าเค้าพาเอื้อยไปบ้านอันก่อนก็ได้ไม่มีปัญหา” ฉันทำเสียงสดใสตอบรับเอื้อยไปเพราะไม่อยากทำให้อีกฝ่ายเสียอารมณ์จากอาการงอนของฉันที่ได้รู้ว่าเอื้อยจะไปงานวันเกิดของอันอีก
ทำไมใจดีจัง ปกตินี่ต้องโมโหแล้วก็งอนแล้วนะ”เอื้อยทำเสียงสงสัย
แหม ก็เมื่อวานเอื้อยก็อธิบายให้เค้าฟังแล้วนี่เรื่องเอื้อยกับอัน เค้าก็พอเข้าใจบ้างแล้วล่ะไม่อยากทำให้เอื้อยคิดมากอีก เอื้อยอุตสาห์ใจดีจะไปนอนเป็นเพื่อนขนาดนี้” ฉันทำเสียงสดใสไร้เดียงสาอธิบายเอื้อยต่อไป
เอื้อยมองฉัน เธออมยิ้ม
ดีแล้ว คิดได้อย่างนั้นก็ดีแล้ว น่ารักอย่างนี้ล่ะแฟนเค้า” เอื้อยยิ้มหวานเอานิ้วชี้มาแตะที่จมูกฉัน
แต่ว่า..ถ้าเค้าไปนอนด้วยแล้วก็อย่าลืมที่สัญญากันไว้ล่ะ..” เอื้อยพูดลากเสียงเน้นประโยคสุดท้ายที่ว่า สัญญากันไว้
จึ๊ก... แม้จะสะดุ้งตกใจกับคำพูดของเอื้อยเล็กน้อย แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ฉันจะมาซีเรียสเลย เพราะยังไงๆฉันก็ไม่ได้ทำอะไรผิดสัญญาอยู่แล้วนี่นา
แหม เอื้อยก็..เค้าก็สัญญาไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วนี่ ไม่ลืมหรอก เห็นเค้าเป็นคนอย่างนั้นเหรอ”
เอื้อยยักคิ้วให้ฉันนิดนึง ก่อนที่ยิ้มอย่างมีเลศนัยมาที่ฉัน
ไม่รู้ล่ะ ถ้าคิดอะไรไม่ดีด้วยล่ะก็ ของเข้าตัวแน่ๆคอยดู รู้มั้ยว่าเค้าเป็นคนดี และผีก็ต้องคุ้มครองเค้าแน่นอน” เอื้อยพูดขู่
จ้า ฉันไม่ทำอะไรคุณหรอกค่ะ คุณเนตรอัปสร”ฉันพูดขำๆ แกล้งยอกเอินให้ผู้ฟังรู้สึกอารมณ์ดี
จ้า คุณทิพานัน ฉันก็จะเชื่อคุณค่ะ” เอื้อยยิ้มหวานพูดล้อเลียนฉันคืน ยิ่งดูยิ่งน่ารัก
หึหึ เสร็จไปอีกหนึ่งขั้น ต่อไปก็แค่รอให้ถึงเวลานัด ไม่ช้าแม่กวางน้อยสุดแสนจะไร้เดียงสาก็จะตกมาอยู่ในปากถ้ำของราชสีห์ในที่สุด