วันศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2558


Girlfriend
Chapter 10

..ก้างชิ้นที่1..
ตอนเย็นเมื่อฉันไปส่งเอื้อยที่บ้านเอื้อยก็ลากฉันเข้าไปคุยในห้องของเธอต่อทันที
ว่ายังไงเรื่องอัน สรุปหึงเค้าทำไมเค้าไม่ได้ชอบอันนะโอเคมั้ย”เอื้อยที่ยืนกอดอกอยู่หน้าประตูรีบยิงคำถามที่เธอสงสัยมาตั้งแต่ตอนเรียนโดยไม่เสียเวลา
แต่อันรักเอื้อยนะ เค้ารู้มาตั้งนานแล้ว”ฉันตอบน้ำเสียงเรียบๆ ใบหน้านิ่งเฉยในขณะนั่งท้าวแขนมองเอื้อยถามอยู่บนเตียงนอนของเธอ
ใครบอก” เอื้อยเดินเข้ามาชิดตัวฉันแล้วก้มมองหน้าฉันด้วยความสงสัย
รู้แล้วกันน่ะ”ฉันทำเสียงงอนแกล้งหันหน้าไปทางอื่น
รู้แล้วก็จะทำไม เค้าไม่ได้รักอันนะ ก็บอกแล้วว่าสเปคเค้าน่ะไม่ใช่อัน อุตสาห์บอกตั้งแต่ตอนนั้นน่าจะเข้าใจได้แล้วนะ” เอื้อยยิ้มหวานเชยคางฉันขึ้นมามองตา แต่ฉันยังแอบเคืองอยู่แสร้งทำเป็นสะบัดหน้าหนีจากมือเอื้อยเหมือนเดิม
แล้วจะงอนทำไมนี่ เค้านะที่ควรจะงอน มาทำคอเค้าเป็นรอยจนเพื่อนมาทักอย่างนี้ เค้าน่ะอายจนไม่กล้าสู้หน้าเพื่อนแล้ว นี่ยังจะมาแกล้งหาเรื่องโกรธกันอีก นิสัยไม่ดีเลยนะเจ้ย” พูดเสร็จเอื้อยก็จับหน้าฉันหันกลับมาให้อยู่ต่อหน้าเธอ
อย่างนี้ต้องแก้แค้นคืนซะบ้าง คิดว่าเค้าไม่สู้คนใช่มั้ย” เอื้อยพูดเสียงดุขึ้นพลางผลักฉันให้นอนลงไปบนเตียงพร้อมๆกับที่ฉันทำหน้าเหวอ
เฮ้ย..จะทำอะไรอ่ะ” ฉันร้องเสียงหลง เอื้อยใช้สองมือเธอจับแขนทั้งสองข้างของฉันดันไว้ที่เตียงแล้วก็ก้มลงดูดที่ซอกคอของฉัน เธอดูดแรงซะจนฉันรู้สึกเจ็บแป๊บมาที่ต้นคอ พอเอื้อยหนำใจเธอก็เงยหน้าขึ้นมามองฉันแล้วยิ้มเยาะ
คอยดูทีนี้จะทำยังไง เวลาที่มีคนมาทัก จะอายเหมือนเค้ามั้ย”
ฉันรีบดันเอื้อยออก แล้วลุกขึ้นวิ่งไปที่กระจกตอนนี้ที่ต้นคอของฉันมันกลายเป็นรอยสีแดงๆเข้าให้แล้ว รอยใหญ่มากซะด้วย พรุ่งนี้มันต้องเป็นรอยสีม่วงๆแน่ๆ ฉันจับที่ต้นคอตัวเองแล้วหันหน้าไปมองเอื้อยด้วยความรู้สึกที่ไม่เข้าใจว่าทำไมเอื้อยต้องทำอย่างนี้
เอื้อย..ไหนว่าไม่ชอบให้เค้าทำอย่างนี้ไง แล้วเอื้อยมาทำอย่างนี้กับเค้าทำไม” ฉันต่อว่าเอื้อย ในใจนึกโมโหถ้ามีคนสังเกตเห็นรอยของเราสองคนจะทำอย่างไร ในขณะที่เอื้อยยังยิ้มเพราะเธอคงมีความสุขที่ได้เอาคืนฉัน ฉันปรี่เข้าไปหาเอื้อย แล้วดันเอื้อยลงไปที่นอนท่าเดียวกันกับฉันโดนเอื้อยทำเมื่อครู่นี้
ทำอย่างนี้..เด๋วก็ปล้ำอีกซะหรอก” ฉันพูดพร้อมๆกับขึ้นนั่งค่อมบนตัวเธอ เอื้อยตกใจหน้าเสีย มือเธอพยายามปัดป้องตัวเองออกจากตัวฉัน ฉันทำท่าจะจับหน้าอกเธอ เธอก็พยายามกอดหน้าอกของเธอไว้ ฉันไม่ยอมแพ้รีบเปลี่ยนมาจับที่กระโปรงของเอื้อยแทน แต่เหมือนเธอจะรู้ทันรีบเอามือมาจับที่ชายกระโปรงให้แนบขาเอาไว้ไม่ยอมให้ฉันจัดการเปิดมันขึ้นมาง่ายๆ
อย่าทำ..เด๋วแม่เค้าก็มาแล้ว..” เอื้อยร้องห้ามเสียงหลงบ่งบอกให้รู้ว่าเธอ “กลัว” ฉันจะทำอย่างนั้นกับเธออีก
ฉันนึกขำในใจเมื่อเห็นทีท่าอาการกลัวของเอื้อย จึงปล่อยมือออกจากแขนและขาของเอื้อยแล้วนั่งลงข้างๆเอื้อยที่ขอบเตียง

...นี่กลัวฉันขนาดนั้นเลยเหรอ.. ฉันคิดไปมองหน้าเอื้อยไป

ไม่ทำหรอก..ก็สัญญาแล้วนี่นา” ฉันเอื้อมมือไปค่อยๆลูบหัวของเอื้อยที่ตอนนี้ลุกขึ้นนั่งข้างๆฉัน หน้าตาเอื้อยเหรอหราเนื่องจากความกลัวและตกใจเมื่อกี้
กล้วเค้าขนาดนั้นเลยเหรอเป็นแฟนกันแล้ว ทำไมหวงเนื้อหวงตัวจัง” ฉันทำเสียงอ้อนๆบ่งบอกอาการน้อยใจนิดๆ
ก็เกิดเป็นผู้หญิงก็ต้องรู้จักรักนวลสงวนตัวสิ” เอื้อยตอบเสียงค้อนๆ
เลิศ..นี่อยู่ในยุคนี้แล้วยังต้องคิดเรื่องนี้อีกเหรอ” ฉันทำหน้าทะเล้นไม่คิดว่าเอื้อยจะเอาความเป็นหญิงไทยมาเป็นข้ออ้าง
ฮึ..ธรรมดาล่ะแม่เค้าสอนมาดี” เสียงเอื้อยบ่นพึมๆพัมๆ
โธ่..แม่เค้าก็สอนมาเหมือนกัน แต่คนเป็นแฟนกันแล้วนิดๆหน่อยๆจะเป็นอะไรไป”ฉันรีบเถียงคืน
ไม่นิดๆหน่อยๆหรอก วันนั้นเค้าก็คิดว่าเจ้ยจะนิดหน่อยนี่ล่ะ..เล่นเอาซะตัวเค้าช้ำไปหมดเลย” เอื้อยมองค้อนเอาเรื่อง เมื่อพูดถึงเรื่องวันนั้น จนฉันต้องหยุดพูดแล้วแสร้งหันหน้าไปทางอื่น
ฮึ..หวงไปก็เท่านั้นล่ะ..ยังไงๆก็เห็นหมดแล้ว..” เสียงฉันบ่นลอยๆแต่พูดเน้นคำสุดท้ายด้วยเสียงที่ฟังดูกะล่อนเต็มที่
เอื้อยหันควับมามองค้อน แล้วใช้มือตีที่หลังฉันรัวๆ จนฉันต้องร้องห้าม
โอ้ย..โกรธเค้าขนาดนั้นเลยเหรอ..ไหนว่ารักเค้า..แล้วทำไมไม่ยอมสักทีล่ะ จะเก็บเอาไว้ให้ใคร” ฉันหันมาจับมือเอื้อยที่ตีหลังฉันรัวๆฉันตอนนี้
เก็บเอาไว้เมื่อเวลาสมควรนี่ล่ะ”เอื้อยหยุดตีแล้วมาตอบเสียงค้อนๆ
ตอนนี้ไม่สมควรเหรอ..”
สมควรอะไรล่ะ คบกันไม่ถึงอาทิตย์แล้วก็มีเรื่องระหองระแหงกันทุกวัน จะเลิกไม่เลิกแหล่ เป็นเจ้ยเจ้ยจะกล้าให้มั้ยล่ะ”เอื้อยทำเสียงค้อนยิ่งกว่าเดิม เธอคงนึกรำคาญที่ช่วงนี้ฉันงอนเธอบ่อยเกินไป
...ฉันนั่งดูเอื้อยนั่งต่อปากต่อคำกับฉันแล้วก็อดขำตัวเองไม่ได้ ก่อนหน้านี้ฉันยังระแวงเฝ้ากังวลว่าเอื้อยจะทำอะไรมิดีมิร้ายกับฉัน เพราะว่าเธอเป็นฝ่ายรุกจีบฉันและเอาจูบแรกของฉันไปก่อน แต่ตอนนี้กลายเป็นฉันเสียเองที่เฝ้าคะยั้นคะยอรบเร้าเอื้อย อยากให้เอื้อยมาเป็นของตัวเองโดยที่เธอไม่สมัครใจเลยสักนิด
...สรุปแล้วฉันมองเอื้อยผิดไปเองหรือนี่..
ตอนนี้ที่ฉันเห็นอยู่ตรงหน้า ยิ่งมองยิ่งเห็นแต่นางฟ้าที่งามทั้งร่างกายและจิตใจโดยสมบูรณ์
ยิ่งมองเอื้อยฉันยิ่งรู้สึกรักและหวง และคงเป็นเพราะความรู้สึกหวงนี่เองที่มันทำให้ฉันหงุดหงิดงี่เง่าทำตัวไร้สาระต่อหน้าเอื้อยบ่อยจนเธออาจจะเซ็งฉันเข้าแล้วก็เป็นได้

เอื้อย..เค้าขอโทษนะที่ช่วงนี้เค้าดูงี่เง่าไป” เสียงอ้อนๆของฉันพยายามอธิบายถึงสิ่งที่เอื้อยได้เห็นฉันเป็นในช่วงนี้
คงเพราะเอื้อยเป็นรักครั้งแรกของเค้า แล้วเอื้อยก็ดีมากๆด้วย เค้าเลยกลัวกลัวทุกอย่าง กลัวว่าจะมีใครมาแย่งเอื้อย กลัวว่าเอื้อยจะเปลี่ยนใจ กลัวว่าเราจะไม่ได้อยู่ใกล้ๆกัน” ฉันจ้องดวงตาเอื้อยพร้อมๆกับเอ่ยน้ำเสียงเว้าวอน
เอื้อยอย่าโกรธเค้านะ ที่เค้าพยายามทำทุกๆอย่างก็เพื่อที่จะได้อยู่ใกล้ๆเอื้อยเท่านั้นเอง” ฉันเอนหัวลงหนุนไหล่ของเอื้อยไว้
เอื้อยพยักหน้ายิ้มรับ เธอยื่นมือมาลูบที่ผมฉันเบาๆ แม้ไม่มีคำพูดใดออกจากปากเอื้อย แต่ฉันก็รู้ได้ว่าตอนนี้คนที่อยู่ข้างๆฉันพร้อมที่จะอภัยและเดินเคียงข้างฉันไปตลอดเวลาที่ฉันต้องการแล้ว

วันต่อมา
...เราสองคนนั่งเรียนในห้องโดยที่ใส่เสื้อกันหนาวคอสูงมาด้วยกันทั้งสองคน
ฉันได้ยินเสียงเพื่อนหัวเราะกันคิกๆคักๆอยู่ตลอด อาจเป็นเพราะว่าวันนี้อากาศร้อนอบอ้าวมากแต่พวกเราก็ยังอุตสาห์ใส่เสื้อกันหนาวกันมา และที่นั่งของเราอยู่ข้างหน้าสุด คนมองเห็นชัดเจนมาก ใครผ่านไปผ่านมาก็จะแซวตลอด
เช่นเดียวกันกับอาจารย์ประจำคาบนี้
อ้าวทิพานัน เนตรอัปสร พวกหนูพากันฟังพยากรณ์อากาศผิดวันหรือเปล่าลูก ใส่สเวตเตอร์มาเชียว”
สิ้นเสียงอาจารย์เพื่อนๆหัวเราะกันครืน
เอื้อยอมยิ้ม เธอคงนึกขำที่อาจารย์ประชด แต่ฉันขำไม่ออกได้แต่ยิ้มแหยๆให้อาจารย์ พร้อมๆกับปาดเหงื่อที่กำลังไหลออกจากใบหน้า เนื่องจากตอนนี้ความอบอุ่นของเสื้อกันหนาวกำลังเล่นงานอุณหภูมิในร่างกายของฉันเสียแล้ว
แม้ฉันจะนึกโทษเอื้อยในใจเรื่องที่ทำให้คอของฉันมีรอย แต่เมื่อนึกถึงที่ตัวเองทำกับเอื้อยไว้แล้ว มันก็สมควรที่ฉันจะโดนคืนเสียบ้าง คราวหน้าคราวหลังจะได้ไม่ทำอะไรแย่ๆกับเอื้อยเช่นนี้อีก

ตอนเที่ยงวันนี้หลังจากเราทานข้าวเที่ยงเสร็จแล้วฉันกับเอื้อย หญิง กับเอกมีนัดกันคุยกันเรื่องงานกลุ่มของพวกเขาที่ฉันรับปากสองคนนี้ไว้ว่าจะช่วยวาดรูปประกอบให้พวกเค้า
เอกกับหญิงเลือกที่จะมาทำงานอยู่ที่โต๊ะม้าหินอ่อนหน้าห้องสมุด ตรงนั้นจะมีโต๊ะม้านั่งกระจายเรียงกันอยู่ประมาณสิบกว่าโต๊ะ ไว้สำหรับเด็กนักเรียนที่ต้องการอ่านหนังสือพิมพ์ประจำวันที่ทางห้องสมุดทำมุมไว้ให้อ่านได้โดยไม่ต้องเข้าไปยืมมาอ่าน
ตรงบริเวณนั้นจะมาเด็กนักเรียนบางคนนั่งจับกลุ่มกัน บ้างก็อ่านหนังสือ บ้างก็ทำรายงาน แต่บางคนก็จีบกัน
นี่ๆ พวกแกดูน้องฟ้าเด็กม.3สิ ว้าย!!วันนี้คอแดงมาเชียวไม่อายเลยบ้างเลย ดูน้องแกแบบว่าภูมิใจกับรอยมากเลยนะ”
เสียงหญิงชี้ชวนให้มองเด็กผู้หญิงผมสั้นคอซองที่อยู่โต๊ะถัดไปประมาณ2โต๊ะ พวกเราหันตามทางที่นิ้วของหญิงชี้กัน พลางฟังหญิงนินทราเด็กคนนั้นต่อ
ดูสิผมก็สั้น มองไปก็เห็นรอยแดงๆแล้วอ่ะ อย่างน้อยๆก็น่าจะใส่เสื้อกันหนาวแบบคอสูงๆมาบังรอยที่ต้นคอไว้บ้าง แบบ....”
เสียงหญิงพูดยังไม่ทันหมดประโยคดี เพราะเธอหันมามองหาตัวอย่างที่เธอจะพยายามอธิบายให้เห็นภาพนี้
“..พวกแกสองคน..” สิ้นเสียงหญิงพูด ทั้งเอกและหญิงก็หันมามองที่ฉันกับเอื้อยทันที เหมือนนึกอะไรขึ้นได้
แกร๊ก!!!
เสียงไส้ดินสอ2Bที่ฉันกำลังออกแรงกดวาดภาพให้สองคนนั้นหักทันที เพราะความตกใจมื่อฉันเริ่มรู้ว่าเพื่อนจะเริ่มจับพิรุธบางอย่างได้
เฮ้ย..พวกแกใส่เสื้อคอสูงมาทำไมวะ อย่าบอกนะว่าพวกแก...” หญิงตาโต พูดอึกๆอักๆ ไม่กล้าจะพูดอะไรต่อ ในขณะที่เอกนั้นหน้าแดงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เอื้อยหน้าแดง หันรีหันขวางไปทางนั้นทีทางโน้นที ยิ่งทำให้คนอื่นสงสัยในพิรุธของเธอ
แหน้ๆๆ อะไรนี่ๆ” หญิงก็หน้าแดง ยิ่งพูดเสียงยิ่งดังขึ้น
ฉันต้องจุปากไม่ให้หญิงทำเสียงดังเอ็ดไป เพราะตอนนี้โต๊ะข้างๆเริ่มหันมามองพวกเราแล้ว
ไม่ใช่อย่างที่แกคิดนะโว้ย ฉันน่ะไม่สบายมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วนอนอยู่ในห้องพยาบาลเพื่อนๆในห้องเค้ารู้หมด มาวันนี้ก็ยังหนาวๆร้อนๆอยู่เลยต้องใส่เสื้อกันหนาวมา ส่วนเอื้อยน่ะก็ติดไข้จากฉัน คงเป็นเพราะเอื้อยอยู่ใกล้ฉันเกินไปตอนเลิกเรียน” เสียงรนๆของฉันพยายามอธิบายให้เพื่อนฟัง
หญิงทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ
จริงดิ แหม...อุตสาห์ลุ้นให้เป็นคู่จิ้น นึกว่าจะจิ้นกันจริงๆแล้ว ฉันผิดหวังนะนี่” หญิงทำเสียงเหมือนเสียดายในสิ่งที่ฉันปฏิเสธไป
เออสิ แกเห็นฉันเป็นคนอย่างนั้นเหรอ”
พอพูดประโยคนี้เอื้อยหันมาอมยิ้มทำหน้าเจ้าเล่ห์ให้ฉันทันที
..คงจำประโยคนี้ได้ล่ะสินะ …แล้วจะให้ทำไงล่ะ โธ่เอ้ย..ยังมีหน้ามายิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ได้..เอื้อยนะเอื้อยเพื่อนเลยจะจับได้....
ฉันต้องแอบกระแอมปากเบาๆเพื่อให้เอื้อยหยุดทำหน้ามีพิรุธอย่างนั้นเสียที
หญิงกับเอกพยักหน้าเออออ เหมือนเข้าใจในสิ่งที่ฉันอธิบายไป คงเป็นเพราะพวกเค้าไม่ได้คิดว่าเราสองคนจะคบกันจริงๆอยู่แล้ว
แล้วไป ฉันก็แอบคิดทะลึ่งไปแล้วล่ะนิดนึง ก็คิดๆอยู่ว่าผู้หญิงด้วยกันจะทำอะไรอย่างว่ากันยังไง”หญิงพูดด้วยเสียงที่ฟังดูมีความสงสัยอีกอย่างเพิ่มมาเสียแล้ว
ฉันกลืนน้ำลายลงคอเอื้อกใหญ่ รู้สึกตะขิดตะขวงใจในคำพูดของเพื่อนยังไงไม่รู้ ส่วนเอื้อยนั้นหน้าแดงนั่งก้มหน้าไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามองเพื่อนๆทั้งสองคนเลย
ถ้าพวกแก เป็นแบบ....อย่างว่ากันอ่ะ ฉันก็จะได้ถามเป็นวิทยาทานไงว่าทำอะไรยังไงกัน” พูดเสร็จหญิงกับเอกก็หัวเราะกัน
บ้า..พวกแกน่ะโคตรทะลึ่งเลย ใครเค้าจะไปรู้ ถ้าไม่ใช่พวกทะลึ่งลามกอย่างพวกแกเล่า” ฉันแสนอายแต่พยายามแก้ตัวเฉไฉออกเรื่องอื่นไป
“..ใช่..”
อยู่ๆก็มีเสียงใครสักคนพูดแทรกขึ้น ฉันมองไปตามเสียง เอื้อยนั่นเอง
“..เจ้ยเค้าไม่ใช่คนอย่างนั้นหรอก เค้าไม่รู้เรื่องอะไรพวกนี้..อย่าไปถามเค้าเลยนะ..”เสียงของเอื้อยที่ฟังเหมือนพยายามช่วยฉันดังขึ้น แต่ฟังจากน้ำเสียงแล้วไม่น่าจะเป็นการช่วยเหลือเลย
ใช่มั้ย.. เจ้ยเป็นเด็กดีจะตายเนอะ”เอื้อยหันมายิ้มหวานถามความเห็นจากฉัน มือเธอตบที่ไหล่ฉันเสียงดังแปะๆ ส่วนฉันฟังเสียงที่แสนจะประชดประชันของเอื้อยก็อดที่จะสะดุ้งไม่ได้ จนฉันต้องสำลักน้ำลายจนไอออกมาดังแคร่กๆอยู่ตลอดเวลา
โอ้ย..ยิ่งเอื้อยพูดอย่างนี้..ยิ่งจิ้นนะนี่ ไม่เอาๆเลิกพูดดีกว่าทำงานๆ” สาหัวเราะดังขึ้น ก่อนจะชักชวนให้พวกเราทำงานกันต่อไป
...นี่แอบกัด ในเวลาที่ฉันเถียงคืนไม่ได้ซะด้วยเก่งซะจริงเชียว...เด๋วโดนเอาคืนแน่..
ฉันคิดในขณะที่แอบหันไปมองค้อนให้เอื้อย โดยที่เธอก็ยังนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างมีความสุขตลอดเวลาช่วงพักเที่ยง
ตอนเย็นเลิกเรียน
เนื่องจากคาบสุดท้ายของวันนี้เป็นวิชาชุมนุม ฉันและเอื้อยต้องแยกกันเรียน แต่เรานัดกันไว้ว่าหากใครเลิกก่อนให้มารออยู่ที่รถมอเตอร์ไซค์ เพื่อที่จะได้กลับบ้านพร้อมกัน
ฉันที่อยู่ชมรมศิลปะ ซึ่งชมรมฉันนั้นมักจะเลิกค่ำกว่าชมรมอื่นๆประจำ วันนี้ก็เช่นเดียวกันกว่าอาจารย์ประจำชมรมจะปล่อยก็กินเวลาเลิกเรียนไปเกือบ15 นาทีแล้ว
อาคารเรียนที่ชมรมฉันไปเรียนนั้นจะอยู่หลังสุดของโรงเรียนพวกเราเรียกมันว่า “ช็อป”
เพื่อนๆในชมรมค่อยๆแยกย้ายกันกลับหลังจากอาจารย์ปล่อยแต่ฉันในฐานะที่เป็นประธานชมรมต้องช่วยเก็บกวาดทำความสะอาดห้องให้ตามที่อาจารย์ขอร้องก่อน
ไม่นานฉันก็เก็บกวาดเสร็จ และเก็บกระเป๋านักเรียนเดินออกมาจากช็อปเพื่อมุ่งหน้าไปที่โรงจอดรถตามที่ฉันนัดกันกับเอื้อยไว้
ทางเดินข้างหลังโรงเรียนนั้นมีตอนไม้ต้นใหญ่ๆขึ้นสองข้างทาง เวลาตอนเช้าและตอนเที่ยงตรงนี้จะร่มรื่นมาก แต่หากว่าเป็นเวลาค่ำโพล้เพล้อย่างนี้แล้วบรรยากาศจะเปลี่ยนไปเป็นคนละอารมณ์ ทางเดินตอนนี้เริ่มเปลี่ยวไม่มีใครเดินผ่านไปมาแล้ว เพราะคาบสุดท้ายที่เป็นชมรมส่วนมากนักเรียนชมรมอื่นที่เรียนอยู่แถวๆนั้นจะเลิกเรียนก่อนเวลาหมดคาบกันหมดทุกชมรม
ด้วยความเงียบและบรรยากาศที่เริ่มมืดทำให้ฉันแอบกลัวในสิ่งที่ฉันมองไม่เห็น จนฉันต้องเดินก้มหน้าไม่กล้ามองทางเอาแต่เร่งฝีเท้าเดินตามทางเดินไปให้เร็วที่สุด
แต่ขณะนั้นเองก็เหมือนมีเงาอะไรสักอย่างเคลื่อนผ่านเข้ามาขวางทางเดินที่ฉันกำลังเดินอยู่ ทำให้ฉันสะดุ้งหยุดเดินและรีบเงยหน้ามองไปเบื้องหน้าทันที
..ยัยอัน!!!
...อีกแล้ว....
ฉันต้องประหลาดใจกับภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้า เมื่อพบว่าเป็นคนๆเดียวกันกับที่พยายามมาดักคุยอะไรกับฉันเมื่อวานตอนเที่ยง
ฉันไม่อยากคุยกับอันเพราะคิดว่าเธอจะต้องหาคำถามประหลาดๆมาถามอีกจึงพยายามเดินเลี่ยงแต่ไม่ว่าฉันจะเดินไปทางไหนอันก็พยายามเดินมาขวางฉันไว้ตลอด
จนฉันเริ่มหงุดหงิดที่เห็นว่าโดนอันจงใจตามติดอย่างนี้
อะไรนี่ จะทำอะไร” ฉันจ้องเขม็งไปที่หน้าอัน
เปล่า ...อยากคุยด้วยเฉยๆ” อันยิ้ม
คุยอะไร” เสียงห้วนๆของฉันรีบถามคืน
อืม..ทำไมอากาศร้อนอย่างนี้ถึงได้ใส่เสื้อกันหนาวมาทั้งสองคนอ่ะ ”อันพูดไปยิ้มไป
ก็ฉันไม่สบาย ..ทำไมเหรอ” ฉันรีบตอบทำเสียงเหมือนไม่อยากจะคุยด้วย
เอื้อยด้วยสินะ” เสียงเรียบๆแต่แฝงไว้ด้วยความสงสัยของอันยังดังต่อ
ใช่.. สงสัยแค่นี้เหรอ ไร้สาระจัง” ฉันพูดพลางพยายามเดินเลี่ยงหนีอันอีก แต่ถูกอันดักไว้เช่นเคย
เปล่า.. ฉันจำได้ว่าฉันเป็นคนบอกเพื่อนเธอให้ใส่เสื้อกันหนาวคุมรอยที่คอมาเอง แล้ววันนี้เธอกับเพื่อนรักของเธอก็พร้อมใจกันใส่เสื้อกันหนาวมาทั้งสองคน คิดว่ามันแปลกๆมั้ย” อันทำเสียงเหมือนคนอวดดีกำลังพูดบางอย่างข่มขู่ฉัน
นี่เธอพูดเรื่องอะไรเราไม่เห็นจะเข้าใจเลย” ฉันเริ่มขึ้นเสียงสูงใส่
อันเหล่ตามองและหัวเราะที่มุมปากเบาๆ
...ให้ตายเถอะฉันเกลียดท่าทางของยัยคนนี้จริงๆ...
ให้พูดตรงๆเลยดีมั้ยล่ะ คือเราไม่เชื่อว่าเธอกับเอื้อยเป็นแค่เพื่อนกันหรอกนะ” อันเดินจิกตาเข้ามาใกล้ฉัน
เธอชอบเอื้อยใช่มั้ย” เอื้อยเน้นประโยค
บ้าแล้ว มีอะไรบ่งบอกว่าฉันชอบเอื้อย” ฉันรีบเถียงอันคืน
อันมองมาที่คอเสื้อกันหนาวที่ฉันดึงขึ้นสูงไว้ แล้วเธอก็ใช้มือเธอดึงมันลงมา จนเผยให้เห็นรอยช้ำที่ต้นคอที่เอื้อยทำไว้เมื่อวาน
เฮ้ย จะทำอะไรน่ะ”ฉันตกใจ รีบคว้ามืออันเอาไว้
อันพยักเพยิดหน้าของเธอมาที่รอยช้ำที่คอของฉัน เธอเลิ่กคิ้วสูงอย่างผู้มีชัย
นั่นไง ฉันว่าแล้วพวกเธอสองคนมีอะไรกันแล้วใช่มั้ย”
จะบ้าเหรอ ฉันบังเอิญเดินชนเสาเฉยๆไม่เกี่ยวอะไรกับเอื้อยสักหน่อย ใครมันจะไปทำตัวผิดปกติมนุษย์เหมือนเธอ”ฉันเริ่มโมโหขาดสติ ยับยั้งคำพูดไม่ได้
อันจ้องหน้าฉันเขม็ง เธอคงโกรธที่โดนฉันว่าอย่างนั้น
เฮอะ ใช่สิฉันมันผิดปกติ วิปริตผิดเพศ แต่ฉันก็จริงใจกับทุกคน เพราะฉันแสดงให้ทุกคนเห็นว่าฉันมีความสุขในสิ่งที่ฉันเป็นอย่างนี้ ไม่เหมือนเธอ..” อันชี้หน้าฉันพร้อมๆกับฉันที่จ้องหน้าอันไม่วางตา ตอนนี้ฉันกำหมัดแน่นรู้ตัวว่าตัวเองเริ่มคุมอารมณ์โมโหไม่ได้แล้ว
ทำไม..ฉันมันทำไม”
ก็เธอมันขี้ขลาด ไม่ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น สักวันเธอจะเสียใจ”อันยังตะคอกมาที่ฉันไม่หยุด
ฉันส่ายหน้า “ฉันไม่ได้เป็นอะไรและฉันไม่มีวันทีจะเสียใจ”
ก็ดี...เธอไม่ยอมรับก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยฉันก็ได้รู้ว่าล่ะเอื้อยชอบผู้หญิงแล้ว” อันหยุดพูดนิดนึง แล้วหันมายิ้มจ้องหน้าฉัน
ฉันจะได้จีบเอื้อยต่อไปได้ ขอบคุณนะที่ทำให้เอื้อยหันมาชอบผู้หญิงด้วยกันได้” เธอพูดพร้อมสะเหยะยิ้มที่มุมปาก
ฉันอึ้งทันทีที่ได้ยินคำนี้จากปากอัน
...หนอย...นี่คิดจะกดดันฉันทั้งสองทางเลยใช่มัย...
..คงคิดจะบีบให้ยอมรับว่าฉันกับเอื้อยเป็นเลสเบี้ยนสินะ แล้วถ้าฉันไม่ยอมรับก็จะมาจีบเอื้อยต่อ...
...เกินไปแล้วนะยัยนี่...
ฉันจะได้ไม่เปลืองแรงวิ่งตามเอื้อยอีก” อันยังยิ้มไปพูดไปเหมือนสะใจในสิ่งที่เธอพูด
ฉันเดินเข้าไปดึงปกเสื้อของอันไว้ ทำท่าเหมือนจะชก
จะบอกอะไรไว้ให้นะ ถึงเอื้อยเค้าจะชอบผู้หญิงแต่ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่มีทางเป็นเธอแน่นอน”
อันใช้มือปัดมือของฉันออกจากปกเสื้อเธอ
อ้าว..เธอรู้เหรอว่าผู้หญิงคนที่เอื้อยชอบคนนั้นเป็นใคร แล้วทำไมถึงมั่นใจว่าเอื้อยจะไม่ชอบฉัน เอื้อยน่ะเค้ายังไม่เคยได้ลิ้มลองรสจูบของฉันสักทีเลยนะ ไม่แน่เค้าอาจจะเปลี่ยนใจจากผู้หญิงคนนั้นก็ได้ถ้าได้ลองกับฉันสักครั้ง” อันใช้ปลายนิ้วจิ้มมาที่ปากของตัวเองแล้วยิ้มอย่างสะใจ

..โอ้ย... ให้ตายเถอะฉันทนคำพูดยียวนของยัยคนนี้ไม่ไหวแล้ว
ฉันโมโหหน้ามืดพออันพูดจบฉันก็ผลักอันเต็มแรงจนเธอเซล้มลงไปกองกับพื้น อันหน้าเหวอตกใจไม่คิดว่าฉันจะทำอย่างนี้
อย่ามายุ่งกับเอื้อยนะ แล้วไม่ว่าฉันจะอยู่ในฐานะอะไรกับเอื้อยเธอก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะมาเตะต้องตัวเอื้อย..ตราบใดที่ฉันยังอยู่ข้างๆเอื้อย..จำไว้” ฉันเบะปากแล้วยกนิ้วกลางให้อัน ก่อนหันหลังเดินสะบัดปลายผมหางม้าเดินกลับไปที่โรงจอดรถด้วยความโมโห

เมื่อมาถึงที่จอดรถแทนที่ฉันจะเห็นเอื้อยรออยู่ที่รถมอเตอร์ไซค์อยู่แล้วแต่เปล่าเลย มีเพียงรถมอเตอร์ไซค์กับหมวกกันน็อคสองใบที่แขวนไว้อยู่ที่เดิม
ตอนนี้ที่โรงจอดรถไม่มีรถคันไหนจอดอยู่แล้วมีเพียงรถของฉัน
...ไปไหนของเค้าเนี่ย ฉันนึกโมโหให้เอื้อย เพราะทั้งๆที่ย้ำแล้วย้ำอีกให้รออยู่ที่รถเธอก็ยังหายไป

จ๊ะเอ๋..” เสียงของคนที่ฉันรอมาพร้อมกับการขโมยจุ๊บที่ข้างแก้ม
ฉันสะดุ้งตกใจ รีบหันหลังควับ มือจับที่แก้มที่เอื้อยหอมเมื่อกี้นี้
เอื้อยอมยิ้มมือสองข้างถือแก้วน้ำหวาน ข้างหนึ่งยื่นมาหาฉัน
เอื้อย..” ฉันเรียกชื่อเอื้อยด้วยเสียงที่ฟังดูเหมือนตำหนิ
เอื้อยทำหน้าประหลาดใจนิดนึงก่อนจะบอกฉัน “ไม่มีใครเห็นหรอกเค้ากลับกันหมดแล้ว ไปไหนมา..หายไปนานเลยเค้าหิวน้ำเลยไปซื้อมา ซื้อมาเผื่อเจ้ยด้วย”
อย่าทำอย่างนี้ตอนอยู่ที่นี่อีกนะ มันไม่ดีเท่าไหร่หรอกถ้ามีใครเห็น” ฉันดุเอื้อย เอื้อยหน้าสลดทันทีที่ฉันว่า
ว่าแล้ว..ก็ได้ๆไม่ทำอีกแล้ว” เอื้อยยิ้มแล้วยื่นแก้วน้ำมาให้ฉัน
ฉันส่ายหน้า บอกให้เอื้อยถือไว้เพราะฉันอยากรีบกลับจากที่นี้แล้ว เอื้อยทำหน้าเศร้าเพราะเห็นว่าฉันไม่ยอมดื่มน้ำที่เธอซื้อมาให้ ฉันเห็นท่าทางอย่างนั้นของเอื้อยแล้วก็อดนึกสงสารไม่ได้ เลยรับน้ำของเธอมาดื่ม ได้ผลเธอยิ้มออกทันที
มีอะไรหรือเปล่า..สีหน้าไม่ค่อยดีเลยนะ” เอื้อยถามเสียงอ้อนๆ
ไม่มีอะไรหรอก ” ฉันไม่กล้าบอกเอื้อยเรื่องที่ไปทะเลาะกับอันเรื่องที่อันรู้ถึงความสัมพันธ์ของฉันกับเอื้อยแต่ฉันไม่ยอมรับ เพราะฉันกลัวเอื้อยจะน้อยใจและพาลโกรธให้กันอีก ได้แต่ชวนเธอให้รีบกลับบ้านกัน
เมื่อฉันส่งเอื้อยเสร็จและกลับมาที่บ้านตัวเองแล้ว ด้วยความที่ยังมีอารมณ์หงุดหงิดอยู่ในใจลึกๆพาลทำให้ฉันไม่มีสมาธิจะทำอะไรเลย ฉันได้แต่เปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นมาเผื่อที่จะเปิดหาอะไรในเน็ตอ่านแก้เซ็งเสียก่อน
ด้วยความเคยชินฉันก็ล็อกอินเข้า Facebook แล้วก็นั่งอ่านสถานะเพื่อนๆในนั้นแก้เซ็งไปเรื่อยๆ
และในระหว่างที่ฉันนั่งอ่านหน้า ฟีดFacebook เพื่อนๆอยู่นั่นเอง อยู่ๆมันก็แสดงข้อความแจ้งเตือนในข่าวใหม่ว่าเอื้อยถูกใจสถานะของเพื่อนคนนึงที่ตั้งโพสสาธารณะเอาไว้ ซึ่งพอฉันดูรูปโปรไฟล์ฉันก็รู้ทันทีว่าคือใคร “อัน” นั้นเอง
ทันทีที่ฉันอ่านข้อความที่อันโพสนั้น ความรู้สึกร้อนๆหนาวๆก็บังเกิดขึ้นกับฉัน

วันนี้ตอนเย็นแอบเห็นเพื่อนผู้หญิงสองคนหอมแก้มกันด้วย น่ารักดีนะ อยากมีแฟนอย่างนี้บ้างจัง”

ซู่..อยู่ๆฉันก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ ขนลุกซู่ขึ้นมาทันที

..แย่แล้ว ยัยอันต้องเห็นตอนที่เอื้อยมาหอมแก้มฉันในโรงรถแน่ๆเลย แล้วเอื้อยก็ยังไปกดถูกใจอีก นี่จะออกหน้าออกตาเกินไปแล้วนะเอื้อย ฉันกัดฟันด้วยความโมโหนึกถึงตอนที่อันมาคาดคั้นเรื่องฉันกับเอื้อยแล้วฉันปฏิเสธอันไป แล้วฉันยังต่อว่าเค้าเสียๆหายๆอีก
ยัยอันต้องแค้นฉันแน่ๆเลย นี่คิดจะประจานฉันเลยเหรอ ใจฉันร้อนรนด้วยความโมโหไม่รู้จะทำอย่างไรดี นึกได้แต่หน้าเอื้อยคนเดียว
ฉันรีบหยิบโทรศัพท์โทรไปหาเอื้อยทันที ปลายทางรับสายด้วยเสียงสดใสดูจะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วยเลย
เอื้อยไปกดถูกใจโพสอันทำไม” สิ้นเสียงเอื้อยรับสายฉันก็รีบยิงคำถามไปที่เอื้อยทันที
โพสไหน โพสเมื่อกี้เหรอก็ไม่มีอะไรนี่ เค้าก็กดไลค์เพื่อนเค้าตลอดล่ะทำไมเหรอ”เอื้อยตอบด้วยเสียงงงๆ
ที่อันโพสว่าแอบเห็นผู้หญิงสองคนหอมกันเค้าว่าอันเค้าหมายถึงเรานะ เอื้อยจะไปแสดงตัวออกนอกหน้าอย่างนั้นทำไม” ฉันพูดไปด้วยน้ำเสียงที่มีอารมณ์โมโห
ไปกันใหญ่แล้ว ไม่ใช่สักหน่อยได้อ่านคอมเมนต์หรือยัง อันเค้าไม่รู้เรื่องของเราสักหน่อย เค้าไม่ได้บอกอันแล้วอันจะรู้ได้อย่างไร” เอื้อยตอบมาด้วยความไร้เดียงสา
นี่เธอช่างไม่รู้อะไรบ้างเลยนะ ฉันนั่งนึกถึงตอนที่อันเดินมาดึงคอเสื้อฉันลงและทักที่คอเอื้อยวันนั้นแล้วก็ยิ่งนึกโมโหให้เอื้อย แค่นี้ก็มองไม่ออกเลยเหรอว่าเค้าอ่านเกมส์ออกไปไหนต่อไหนแล้ว มองโลกในแง่ดีเกินไปแล้วนะเอื้อย
แสดงว่าไม่ทันได้อ่านคอมเมนต์ เจ้ยลองอ่านคอมเม้นต์ดูก่อนดีกว่านะ อย่าพึ่งอารมณ์เสียสิ” เสียงเอื้อยยังเจื้อยแจ้วอารมณ์ดีผ่านมาทางโทรศัพท์เหมือนเดิม ฉันนึกสงสัยทำไมมันมีอะไรอยู่ในคอมเมนต์นั้น รีบคลิ๊กเมาส์เลื่อนดูโพสนั้นที่เอื้อยไปถูกใจ
มีเพื่อนๆกดถูกใจสถานะนั้นพอสมควรและมีคนมาคอมเมนต์ประมาณ20 ข้อความฉันนั่งอ่านไปเรื่อยๆ
ใครอ่ะ บอกหน่อยดิ” เพื่อนคนนึงคอมเมนต์
อิอิ ไม่บอก” อันคอมเมนต์ตอบ
ใช่คู่จิ้นเอื้อยเจ้ยหรือเปล่า :)” เพื่อนผู้หญิงอีกคนมาคอมเมนต์ด้วย
เปล่า คู่นั้นเค้าบอกว่าเป็นเพื่อนสนิทกันเฉยๆ” อันคอมเมนต์ตอบ
แหม เสียดายอุตสาห์ลุ้น 555+” เพื่อนคนเก่าเลยคอมเมนต์ตอบรับ
อ่านถึงตรงนี้ฉันก็คิ้วขมวดทันที ยัยอันมีแผนการอะไรกันแน่ ฉันแน่ใจว่าโพสนี้ยัยอันต้องการบอกให้ฉันรู้ว่าอันเห็นที่เอื้อยหอมแก้มฉันแน่นอน
ฉันเดาใจยัยคนนี้ไม่ออกได้แต่นั่งหน้านิ้วคิ้วขมวดกัดฟันตัวเองดังกรอดๆ
เจ้ย เป็นอะไรหรือเปล่า อันเค้าโอเคอยู่นะเจ้ยอาจจะยังไม่ทันได้คุยกันกับอันจริงๆสักทีเลยอาจจะยังไม่รู้ว่าอันเค้าเป็นคนน่ารัก น่าคบหาอยู่นะ” เสียงใสๆของเอื้อยพยายามอธิบาย
น่ารักเหรอ.. ชมเค้าอย่างนี้จะกลับไปชอบเค้าอีกแล้วใช่มั้ย”
ห๊า อะไรนะเจ้ย บ้าแล้วเค้าหมายความว่านิสัยอันเค้าน่ารักแบบเพื่อนคบกันก็โออยู่นะ อะไรนี่หงุดหงิดขนาดนั้นเลยเหรอ”เอื้อยตกใจรีบอธิบายทันที
ใช่สิ นี่ เค้าถามจริงๆถ้าเอื้อยรู้ว่าอันจะกลับมาจีบเอื้อยอีก เอื้อยจะทำยังไง”
ก็เฉยๆสิ เค้าก็มีแฟนอยู่แล้วนี่” เอื้อยตอบเสียงเรียบๆ
แต่คนอื่นไม่รู่นี่”
อ้าว เจ้ยก็บอกทุกคนสิว่าเป็นแฟนเค้า เค้าไม่ได้ว่านะ มีแต่เจ้ยที่ยังลังเลๆอยู่อย่างนี้ เด๋วสักวันถ้าเค้าทนไม่ได้จริงๆจะชอบคนอื่นให้ดู” เอื้อยขึ้นเสียงเหมือนเธอกำลังจะรำคาญฉันแล้ว
ฉันเริ่มอึ้งกับคำว่า มีแต่เจ้ยที่ยังลังเลๆอยู่อย่างนี้ เด๋วสักวันถ้าเค้าทนไม่ได้จริงๆจะชอบคนอื่นให้ดู... ฉันเริ่มนึกถึงกับคำพูดของยัยอันที่พูดขู่ไว้ ตอนนี้ยัยอันก็คงจะรอจังหวะที่จะทำดีแล้วเข้ามาตีสนิทและถึงเนื้อถึงตัวกับเอื้อยอย่างนั้นสินะ ถ้าเอื้อยทนไม่ได้เอื้อยก็จะไปจากฉันสินะ ยิ่งคิดฉันยิ่งหึงยิ่งเครียดพูดอะไรไม่ออกเลยตอนนี้
เลิกพูดเถอะ เค้าไม่อยากทะเลาะกับเจ้ยอีกแล้วนะ เวลาที่อยู่โรงเรียนเจ้ยก็พยายามให้เค้าปิดบังเรื่องเค้ากับเจ้ย พอมีเวลาคุยกันสองต่อสองก็ยังจะมาทะเลาะกันอีก เค้าไม่ชอบเลย ถ้าคบกันอย่างนี้มันจะมีความสุขได้ยังไง” เสียงเอื้อยพูดเบาๆทำเสียงเศร้ามาตามสาย
ลองคิดดูดีๆนะเจ้ย” นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายก่อนที่เอื้อยจะวางสายทิ้งให้ฉันอยู่ในอารมณ์กังวลอยู่คนเดียว