Girlfriend
Chapter 10
..ก้างชิ้นที่1..
ตอนเย็นเมื่อฉันไปส่งเอื้อยที่บ้านเอื้อยก็ลากฉันเข้าไปคุยในห้องของเธอต่อทันที
“ว่ายังไงเรื่องอัน
สรุปหึงเค้าทำไมเค้าไม่ได้ชอบอันนะโอเคมั้ย”เอื้อยที่ยืนกอดอกอยู่หน้าประตูรีบยิงคำถามที่เธอสงสัยมาตั้งแต่ตอนเรียนโดยไม่เสียเวลา
“แต่อันรักเอื้อยนะ
เค้ารู้มาตั้งนานแล้ว”ฉันตอบน้ำเสียงเรียบๆ
ใบหน้านิ่งเฉยในขณะนั่งท้าวแขนมองเอื้อยถามอยู่บนเตียงนอนของเธอ
“ใครบอก”
เอื้อยเดินเข้ามาชิดตัวฉันแล้วก้มมองหน้าฉันด้วยความสงสัย
“รู้แล้วกันน่ะ”ฉันทำเสียงงอนแกล้งหันหน้าไปทางอื่น
“รู้แล้วก็จะทำไม
เค้าไม่ได้รักอันนะ
ก็บอกแล้วว่าสเปคเค้าน่ะไม่ใช่อัน
อุตสาห์บอกตั้งแต่ตอนนั้นน่าจะเข้าใจได้แล้วนะ”
เอื้อยยิ้มหวานเชยคางฉันขึ้นมามองตา
แต่ฉันยังแอบเคืองอยู่แสร้งทำเป็นสะบัดหน้าหนีจากมือเอื้อยเหมือนเดิม
“แล้วจะงอนทำไมนี่
เค้านะที่ควรจะงอน
มาทำคอเค้าเป็นรอยจนเพื่อนมาทักอย่างนี้
เค้าน่ะอายจนไม่กล้าสู้หน้าเพื่อนแล้ว
นี่ยังจะมาแกล้งหาเรื่องโกรธกันอีก
นิสัยไม่ดีเลยนะเจ้ย”
พูดเสร็จเอื้อยก็จับหน้าฉันหันกลับมาให้อยู่ต่อหน้าเธอ
“อย่างนี้ต้องแก้แค้นคืนซะบ้าง
คิดว่าเค้าไม่สู้คนใช่มั้ย”
เอื้อยพูดเสียงดุขึ้นพลางผลักฉันให้นอนลงไปบนเตียงพร้อมๆกับที่ฉันทำหน้าเหวอ
“เฮ้ย..จะทำอะไรอ่ะ”
ฉันร้องเสียงหลง
เอื้อยใช้สองมือเธอจับแขนทั้งสองข้างของฉันดันไว้ที่เตียงแล้วก็ก้มลงดูดที่ซอกคอของฉัน
เธอดูดแรงซะจนฉันรู้สึกเจ็บแป๊บมาที่ต้นคอ
พอเอื้อยหนำใจเธอก็เงยหน้าขึ้นมามองฉันแล้วยิ้มเยาะ
“คอยดูทีนี้จะทำยังไง
เวลาที่มีคนมาทัก จะอายเหมือนเค้ามั้ย”
ฉันรีบดันเอื้อยออก
แล้วลุกขึ้นวิ่งไปที่กระจกตอนนี้ที่ต้นคอของฉันมันกลายเป็นรอยสีแดงๆเข้าให้แล้ว
รอยใหญ่มากซะด้วย
พรุ่งนี้มันต้องเป็นรอยสีม่วงๆแน่ๆ
ฉันจับที่ต้นคอตัวเองแล้วหันหน้าไปมองเอื้อยด้วยความรู้สึกที่ไม่เข้าใจว่าทำไมเอื้อยต้องทำอย่างนี้
“เอื้อย..ไหนว่าไม่ชอบให้เค้าทำอย่างนี้ไง
แล้วเอื้อยมาทำอย่างนี้กับเค้าทำไม”
ฉันต่อว่าเอื้อย
ในใจนึกโมโหถ้ามีคนสังเกตเห็นรอยของเราสองคนจะทำอย่างไร
ในขณะที่เอื้อยยังยิ้มเพราะเธอคงมีความสุขที่ได้เอาคืนฉัน
ฉันปรี่เข้าไปหาเอื้อย
แล้วดันเอื้อยลงไปที่นอนท่าเดียวกันกับฉันโดนเอื้อยทำเมื่อครู่นี้
“ทำอย่างนี้..เด๋วก็ปล้ำอีกซะหรอก”
ฉันพูดพร้อมๆกับขึ้นนั่งค่อมบนตัวเธอ
เอื้อยตกใจหน้าเสีย
มือเธอพยายามปัดป้องตัวเองออกจากตัวฉัน
ฉันทำท่าจะจับหน้าอกเธอ
เธอก็พยายามกอดหน้าอกของเธอไว้
ฉันไม่ยอมแพ้รีบเปลี่ยนมาจับที่กระโปรงของเอื้อยแทน
แต่เหมือนเธอจะรู้ทันรีบเอามือมาจับที่ชายกระโปรงให้แนบขาเอาไว้ไม่ยอมให้ฉันจัดการเปิดมันขึ้นมาง่ายๆ
“อย่าทำ..เด๋วแม่เค้าก็มาแล้ว..”
เอื้อยร้องห้ามเสียงหลงบ่งบอกให้รู้ว่าเธอ
“กลัว” ฉันจะทำอย่างนั้นกับเธออีก
ฉันนึกขำในใจเมื่อเห็นทีท่าอาการกลัวของเอื้อย
จึงปล่อยมือออกจากแขนและขาของเอื้อยแล้วนั่งลงข้างๆเอื้อยที่ขอบเตียง
...นี่กลัวฉันขนาดนั้นเลยเหรอ..
ฉันคิดไปมองหน้าเอื้อยไป
“ไม่ทำหรอก..ก็สัญญาแล้วนี่นา”
ฉันเอื้อมมือไปค่อยๆลูบหัวของเอื้อยที่ตอนนี้ลุกขึ้นนั่งข้างๆฉัน
หน้าตาเอื้อยเหรอหราเนื่องจากความกลัวและตกใจเมื่อกี้
“กล้วเค้าขนาดนั้นเลยเหรอเป็นแฟนกันแล้ว
ทำไมหวงเนื้อหวงตัวจัง”
ฉันทำเสียงอ้อนๆบ่งบอกอาการน้อยใจนิดๆ
“ก็เกิดเป็นผู้หญิงก็ต้องรู้จักรักนวลสงวนตัวสิ”
เอื้อยตอบเสียงค้อนๆ
“เลิศ..นี่อยู่ในยุคนี้แล้วยังต้องคิดเรื่องนี้อีกเหรอ”
ฉันทำหน้าทะเล้นไม่คิดว่าเอื้อยจะเอาความเป็นหญิงไทยมาเป็นข้ออ้าง
“ฮึ..ธรรมดาล่ะแม่เค้าสอนมาดี”
เสียงเอื้อยบ่นพึมๆพัมๆ
“โธ่..แม่เค้าก็สอนมาเหมือนกัน
แต่คนเป็นแฟนกันแล้วนิดๆหน่อยๆจะเป็นอะไรไป”ฉันรีบเถียงคืน
“ไม่นิดๆหน่อยๆหรอก
วันนั้นเค้าก็คิดว่าเจ้ยจะนิดหน่อยนี่ล่ะ..เล่นเอาซะตัวเค้าช้ำไปหมดเลย”
เอื้อยมองค้อนเอาเรื่อง
เมื่อพูดถึงเรื่องวันนั้น
จนฉันต้องหยุดพูดแล้วแสร้งหันหน้าไปทางอื่น
“ฮึ..หวงไปก็เท่านั้นล่ะ..ยังไงๆก็เห็นหมดแล้ว..”
เสียงฉันบ่นลอยๆแต่พูดเน้นคำสุดท้ายด้วยเสียงที่ฟังดูกะล่อนเต็มที่
เอื้อยหันควับมามองค้อน
แล้วใช้มือตีที่หลังฉันรัวๆ
จนฉันต้องร้องห้าม
“โอ้ย..โกรธเค้าขนาดนั้นเลยเหรอ..ไหนว่ารักเค้า..แล้วทำไมไม่ยอมสักทีล่ะ
จะเก็บเอาไว้ให้ใคร”
ฉันหันมาจับมือเอื้อยที่ตีหลังฉันรัวๆฉันตอนนี้
“เก็บเอาไว้เมื่อเวลาสมควรนี่ล่ะ”เอื้อยหยุดตีแล้วมาตอบเสียงค้อนๆ
“ตอนนี้ไม่สมควรเหรอ..”
“สมควรอะไรล่ะ
คบกันไม่ถึงอาทิตย์แล้วก็มีเรื่องระหองระแหงกันทุกวัน
จะเลิกไม่เลิกแหล่
เป็นเจ้ยเจ้ยจะกล้าให้มั้ยล่ะ”เอื้อยทำเสียงค้อนยิ่งกว่าเดิม
เธอคงนึกรำคาญที่ช่วงนี้ฉันงอนเธอบ่อยเกินไป
...ฉันนั่งดูเอื้อยนั่งต่อปากต่อคำกับฉันแล้วก็อดขำตัวเองไม่ได้
ก่อนหน้านี้ฉันยังระแวงเฝ้ากังวลว่าเอื้อยจะทำอะไรมิดีมิร้ายกับฉัน
เพราะว่าเธอเป็นฝ่ายรุกจีบฉันและเอาจูบแรกของฉันไปก่อน
แต่ตอนนี้กลายเป็นฉันเสียเองที่เฝ้าคะยั้นคะยอรบเร้าเอื้อย
อยากให้เอื้อยมาเป็นของตัวเองโดยที่เธอไม่สมัครใจเลยสักนิด
...สรุปแล้วฉันมองเอื้อยผิดไปเองหรือนี่..
ตอนนี้ที่ฉันเห็นอยู่ตรงหน้า
ยิ่งมองยิ่งเห็นแต่นางฟ้าที่งามทั้งร่างกายและจิตใจโดยสมบูรณ์
ยิ่งมองเอื้อยฉันยิ่งรู้สึกรักและหวง
และคงเป็นเพราะความรู้สึกหวงนี่เองที่มันทำให้ฉันหงุดหงิดงี่เง่าทำตัวไร้สาระต่อหน้าเอื้อยบ่อยจนเธออาจจะเซ็งฉันเข้าแล้วก็เป็นได้
“เอื้อย..เค้าขอโทษนะที่ช่วงนี้เค้าดูงี่เง่าไป”
เสียงอ้อนๆของฉันพยายามอธิบายถึงสิ่งที่เอื้อยได้เห็นฉันเป็นในช่วงนี้
“คงเพราะเอื้อยเป็นรักครั้งแรกของเค้า
แล้วเอื้อยก็ดีมากๆด้วย
เค้าเลยกลัวกลัวทุกอย่าง
กลัวว่าจะมีใครมาแย่งเอื้อย
กลัวว่าเอื้อยจะเปลี่ยนใจ
กลัวว่าเราจะไม่ได้อยู่ใกล้ๆกัน”
ฉันจ้องดวงตาเอื้อยพร้อมๆกับเอ่ยน้ำเสียงเว้าวอน
“เอื้อยอย่าโกรธเค้านะ
ที่เค้าพยายามทำทุกๆอย่างก็เพื่อที่จะได้อยู่ใกล้ๆเอื้อยเท่านั้นเอง”
ฉันเอนหัวลงหนุนไหล่ของเอื้อยไว้
เอื้อยพยักหน้ายิ้มรับ
เธอยื่นมือมาลูบที่ผมฉันเบาๆ
แม้ไม่มีคำพูดใดออกจากปากเอื้อย
แต่ฉันก็รู้ได้ว่าตอนนี้คนที่อยู่ข้างๆฉันพร้อมที่จะอภัยและเดินเคียงข้างฉันไปตลอดเวลาที่ฉันต้องการแล้ว
วันต่อมา
...เราสองคนนั่งเรียนในห้องโดยที่ใส่เสื้อกันหนาวคอสูงมาด้วยกันทั้งสองคน
ฉันได้ยินเสียงเพื่อนหัวเราะกันคิกๆคักๆอยู่ตลอด
อาจเป็นเพราะว่าวันนี้อากาศร้อนอบอ้าวมากแต่พวกเราก็ยังอุตสาห์ใส่เสื้อกันหนาวกันมา
และที่นั่งของเราอยู่ข้างหน้าสุด
คนมองเห็นชัดเจนมาก
ใครผ่านไปผ่านมาก็จะแซวตลอด
เช่นเดียวกันกับอาจารย์ประจำคาบนี้
“อ้าวทิพานัน
เนตรอัปสร
พวกหนูพากันฟังพยากรณ์อากาศผิดวันหรือเปล่าลูก
ใส่สเวตเตอร์มาเชียว”
สิ้นเสียงอาจารย์เพื่อนๆหัวเราะกันครืน
เอื้อยอมยิ้ม
เธอคงนึกขำที่อาจารย์ประชด
แต่ฉันขำไม่ออกได้แต่ยิ้มแหยๆให้อาจารย์
พร้อมๆกับปาดเหงื่อที่กำลังไหลออกจากใบหน้า
เนื่องจากตอนนี้ความอบอุ่นของเสื้อกันหนาวกำลังเล่นงานอุณหภูมิในร่างกายของฉันเสียแล้ว
แม้ฉันจะนึกโทษเอื้อยในใจเรื่องที่ทำให้คอของฉันมีรอย
แต่เมื่อนึกถึงที่ตัวเองทำกับเอื้อยไว้แล้ว
มันก็สมควรที่ฉันจะโดนคืนเสียบ้าง
คราวหน้าคราวหลังจะได้ไม่ทำอะไรแย่ๆกับเอื้อยเช่นนี้อีก
ตอนเที่ยงวันนี้หลังจากเราทานข้าวเที่ยงเสร็จแล้วฉันกับเอื้อย
หญิง
กับเอกมีนัดกันคุยกันเรื่องงานกลุ่มของพวกเขาที่ฉันรับปากสองคนนี้ไว้ว่าจะช่วยวาดรูปประกอบให้พวกเค้า
เอกกับหญิงเลือกที่จะมาทำงานอยู่ที่โต๊ะม้าหินอ่อนหน้าห้องสมุด
ตรงนั้นจะมีโต๊ะม้านั่งกระจายเรียงกันอยู่ประมาณสิบกว่าโต๊ะ
ไว้สำหรับเด็กนักเรียนที่ต้องการอ่านหนังสือพิมพ์ประจำวันที่ทางห้องสมุดทำมุมไว้ให้อ่านได้โดยไม่ต้องเข้าไปยืมมาอ่าน
ตรงบริเวณนั้นจะมาเด็กนักเรียนบางคนนั่งจับกลุ่มกัน
บ้างก็อ่านหนังสือ บ้างก็ทำรายงาน
แต่บางคนก็จีบกัน
“นี่ๆ
พวกแกดูน้องฟ้าเด็กม.3สิ
ว้าย!!วันนี้คอแดงมาเชียวไม่อายเลยบ้างเลย
ดูน้องแกแบบว่าภูมิใจกับรอยมากเลยนะ”
เสียงหญิงชี้ชวนให้มองเด็กผู้หญิงผมสั้นคอซองที่อยู่โต๊ะถัดไปประมาณ2โต๊ะ
พวกเราหันตามทางที่นิ้วของหญิงชี้กัน
พลางฟังหญิงนินทราเด็กคนนั้นต่อ
“ดูสิผมก็สั้น
มองไปก็เห็นรอยแดงๆแล้วอ่ะ
อย่างน้อยๆก็น่าจะใส่เสื้อกันหนาวแบบคอสูงๆมาบังรอยที่ต้นคอไว้บ้าง
แบบ....”
เสียงหญิงพูดยังไม่ทันหมดประโยคดี
เพราะเธอหันมามองหาตัวอย่างที่เธอจะพยายามอธิบายให้เห็นภาพนี้
“..พวกแกสองคน..”
สิ้นเสียงหญิงพูด
ทั้งเอกและหญิงก็หันมามองที่ฉันกับเอื้อยทันที
เหมือนนึกอะไรขึ้นได้
แกร๊ก!!!
เสียงไส้ดินสอ2Bที่ฉันกำลังออกแรงกดวาดภาพให้สองคนนั้นหักทันที
เพราะความตกใจมื่อฉันเริ่มรู้ว่าเพื่อนจะเริ่มจับพิรุธบางอย่างได้
“เฮ้ย..พวกแกใส่เสื้อคอสูงมาทำไมวะ
อย่าบอกนะว่าพวกแก...”
หญิงตาโต
พูดอึกๆอักๆ ไม่กล้าจะพูดอะไรต่อ
ในขณะที่เอกนั้นหน้าแดงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เอื้อยหน้าแดง
หันรีหันขวางไปทางนั้นทีทางโน้นที
ยิ่งทำให้คนอื่นสงสัยในพิรุธของเธอ
“แหน้ๆๆ
อะไรนี่ๆ” หญิงก็หน้าแดง
ยิ่งพูดเสียงยิ่งดังขึ้น
ฉันต้องจุปากไม่ให้หญิงทำเสียงดังเอ็ดไป
เพราะตอนนี้โต๊ะข้างๆเริ่มหันมามองพวกเราแล้ว
“ไม่ใช่อย่างที่แกคิดนะโว้ย
ฉันน่ะไม่สบายมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วนอนอยู่ในห้องพยาบาลเพื่อนๆในห้องเค้ารู้หมด
มาวันนี้ก็ยังหนาวๆร้อนๆอยู่เลยต้องใส่เสื้อกันหนาวมา
ส่วนเอื้อยน่ะก็ติดไข้จากฉัน
คงเป็นเพราะเอื้อยอยู่ใกล้ฉันเกินไปตอนเลิกเรียน”
เสียงรนๆของฉันพยายามอธิบายให้เพื่อนฟัง
หญิงทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ
“จริงดิ
แหม...อุตสาห์ลุ้นให้เป็นคู่จิ้น
นึกว่าจะจิ้นกันจริงๆแล้ว
ฉันผิดหวังนะนี่”
หญิงทำเสียงเหมือนเสียดายในสิ่งที่ฉันปฏิเสธไป
“เออสิ
แกเห็นฉันเป็นคนอย่างนั้นเหรอ”
พอพูดประโยคนี้เอื้อยหันมาอมยิ้มทำหน้าเจ้าเล่ห์ให้ฉันทันที
..คงจำประโยคนี้ได้ล่ะสินะ
…แล้วจะให้ทำไงล่ะ
โธ่เอ้ย..ยังมีหน้ามายิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ได้..เอื้อยนะเอื้อยเพื่อนเลยจะจับได้....
ฉันต้องแอบกระแอมปากเบาๆเพื่อให้เอื้อยหยุดทำหน้ามีพิรุธอย่างนั้นเสียที
หญิงกับเอกพยักหน้าเออออ
เหมือนเข้าใจในสิ่งที่ฉันอธิบายไป
คงเป็นเพราะพวกเค้าไม่ได้คิดว่าเราสองคนจะคบกันจริงๆอยู่แล้ว
“แล้วไป
ฉันก็แอบคิดทะลึ่งไปแล้วล่ะนิดนึง
ก็คิดๆอยู่ว่าผู้หญิงด้วยกันจะทำอะไรอย่างว่ากันยังไง”หญิงพูดด้วยเสียงที่ฟังดูมีความสงสัยอีกอย่างเพิ่มมาเสียแล้ว
ฉันกลืนน้ำลายลงคอเอื้อกใหญ่
รู้สึกตะขิดตะขวงใจในคำพูดของเพื่อนยังไงไม่รู้
ส่วนเอื้อยนั้นหน้าแดงนั่งก้มหน้าไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามองเพื่อนๆทั้งสองคนเลย
“ถ้าพวกแก
เป็นแบบ....อย่างว่ากันอ่ะ
ฉันก็จะได้ถามเป็นวิทยาทานไงว่าทำอะไรยังไงกัน”
พูดเสร็จหญิงกับเอกก็หัวเราะกัน
“บ้า..พวกแกน่ะโคตรทะลึ่งเลย
ใครเค้าจะไปรู้
ถ้าไม่ใช่พวกทะลึ่งลามกอย่างพวกแกเล่า”
ฉันแสนอายแต่พยายามแก้ตัวเฉไฉออกเรื่องอื่นไป
“..ใช่..”
อยู่ๆก็มีเสียงใครสักคนพูดแทรกขึ้น
ฉันมองไปตามเสียง เอื้อยนั่นเอง
“..เจ้ยเค้าไม่ใช่คนอย่างนั้นหรอก
เค้าไม่รู้เรื่องอะไรพวกนี้..อย่าไปถามเค้าเลยนะ..”เสียงของเอื้อยที่ฟังเหมือนพยายามช่วยฉันดังขึ้น
แต่ฟังจากน้ำเสียงแล้วไม่น่าจะเป็นการช่วยเหลือเลย
“ใช่มั้ย..
เจ้ยเป็นเด็กดีจะตายเนอะ”เอื้อยหันมายิ้มหวานถามความเห็นจากฉัน
มือเธอตบที่ไหล่ฉันเสียงดังแปะๆ
ส่วนฉันฟังเสียงที่แสนจะประชดประชันของเอื้อยก็อดที่จะสะดุ้งไม่ได้
จนฉันต้องสำลักน้ำลายจนไอออกมาดังแคร่กๆอยู่ตลอดเวลา
“โอ้ย..ยิ่งเอื้อยพูดอย่างนี้..ยิ่งจิ้นนะนี่
ไม่เอาๆเลิกพูดดีกว่าทำงานๆ”
สาหัวเราะดังขึ้น
ก่อนจะชักชวนให้พวกเราทำงานกันต่อไป
...นี่แอบกัด
ในเวลาที่ฉันเถียงคืนไม่ได้ซะด้วยเก่งซะจริงเชียว...เด๋วโดนเอาคืนแน่..
ฉันคิดในขณะที่แอบหันไปมองค้อนให้เอื้อย
โดยที่เธอก็ยังนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างมีความสุขตลอดเวลาช่วงพักเที่ยง
ตอนเย็นเลิกเรียน
เนื่องจากคาบสุดท้ายของวันนี้เป็นวิชาชุมนุม
ฉันและเอื้อยต้องแยกกันเรียน
แต่เรานัดกันไว้ว่าหากใครเลิกก่อนให้มารออยู่ที่รถมอเตอร์ไซค์
เพื่อที่จะได้กลับบ้านพร้อมกัน
ฉันที่อยู่ชมรมศิลปะ
ซึ่งชมรมฉันนั้นมักจะเลิกค่ำกว่าชมรมอื่นๆประจำ
วันนี้ก็เช่นเดียวกันกว่าอาจารย์ประจำชมรมจะปล่อยก็กินเวลาเลิกเรียนไปเกือบ15
นาทีแล้ว
อาคารเรียนที่ชมรมฉันไปเรียนนั้นจะอยู่หลังสุดของโรงเรียนพวกเราเรียกมันว่า
“ช็อป”
เพื่อนๆในชมรมค่อยๆแยกย้ายกันกลับหลังจากอาจารย์ปล่อยแต่ฉันในฐานะที่เป็นประธานชมรมต้องช่วยเก็บกวาดทำความสะอาดห้องให้ตามที่อาจารย์ขอร้องก่อน
ไม่นานฉันก็เก็บกวาดเสร็จ
และเก็บกระเป๋านักเรียนเดินออกมาจากช็อปเพื่อมุ่งหน้าไปที่โรงจอดรถตามที่ฉันนัดกันกับเอื้อยไว้
ทางเดินข้างหลังโรงเรียนนั้นมีตอนไม้ต้นใหญ่ๆขึ้นสองข้างทาง
เวลาตอนเช้าและตอนเที่ยงตรงนี้จะร่มรื่นมาก
แต่หากว่าเป็นเวลาค่ำโพล้เพล้อย่างนี้แล้วบรรยากาศจะเปลี่ยนไปเป็นคนละอารมณ์
ทางเดินตอนนี้เริ่มเปลี่ยวไม่มีใครเดินผ่านไปมาแล้ว
เพราะคาบสุดท้ายที่เป็นชมรมส่วนมากนักเรียนชมรมอื่นที่เรียนอยู่แถวๆนั้นจะเลิกเรียนก่อนเวลาหมดคาบกันหมดทุกชมรม
ด้วยความเงียบและบรรยากาศที่เริ่มมืดทำให้ฉันแอบกลัวในสิ่งที่ฉันมองไม่เห็น
จนฉันต้องเดินก้มหน้าไม่กล้ามองทางเอาแต่เร่งฝีเท้าเดินตามทางเดินไปให้เร็วที่สุด
แต่ขณะนั้นเองก็เหมือนมีเงาอะไรสักอย่างเคลื่อนผ่านเข้ามาขวางทางเดินที่ฉันกำลังเดินอยู่
ทำให้ฉันสะดุ้งหยุดเดินและรีบเงยหน้ามองไปเบื้องหน้าทันที
..ยัยอัน!!!
...อีกแล้ว....
ฉันต้องประหลาดใจกับภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้า
เมื่อพบว่าเป็นคนๆเดียวกันกับที่พยายามมาดักคุยอะไรกับฉันเมื่อวานตอนเที่ยง
ฉันไม่อยากคุยกับอันเพราะคิดว่าเธอจะต้องหาคำถามประหลาดๆมาถามอีกจึงพยายามเดินเลี่ยงแต่ไม่ว่าฉันจะเดินไปทางไหนอันก็พยายามเดินมาขวางฉันไว้ตลอด
จนฉันเริ่มหงุดหงิดที่เห็นว่าโดนอันจงใจตามติดอย่างนี้
“อะไรนี่
จะทำอะไร” ฉันจ้องเขม็งไปที่หน้าอัน
“เปล่า
...อยากคุยด้วยเฉยๆ”
อันยิ้ม
“คุยอะไร”
เสียงห้วนๆของฉันรีบถามคืน
“อืม..ทำไมอากาศร้อนอย่างนี้ถึงได้ใส่เสื้อกันหนาวมาทั้งสองคนอ่ะ
”อันพูดไปยิ้มไป
“ก็ฉันไม่สบาย
..ทำไมเหรอ”
ฉันรีบตอบทำเสียงเหมือนไม่อยากจะคุยด้วย
“เอื้อยด้วยสินะ”
เสียงเรียบๆแต่แฝงไว้ด้วยความสงสัยของอันยังดังต่อ
“ใช่..
สงสัยแค่นี้เหรอ
ไร้สาระจัง” ฉันพูดพลางพยายามเดินเลี่ยงหนีอันอีก
แต่ถูกอันดักไว้เช่นเคย
“เปล่า..
ฉันจำได้ว่าฉันเป็นคนบอกเพื่อนเธอให้ใส่เสื้อกันหนาวคุมรอยที่คอมาเอง
แล้ววันนี้เธอกับเพื่อนรักของเธอก็พร้อมใจกันใส่เสื้อกันหนาวมาทั้งสองคน
คิดว่ามันแปลกๆมั้ย”
อันทำเสียงเหมือนคนอวดดีกำลังพูดบางอย่างข่มขู่ฉัน
“นี่เธอพูดเรื่องอะไรเราไม่เห็นจะเข้าใจเลย”
ฉันเริ่มขึ้นเสียงสูงใส่
อันเหล่ตามองและหัวเราะที่มุมปากเบาๆ
...ให้ตายเถอะฉันเกลียดท่าทางของยัยคนนี้จริงๆ...
“ให้พูดตรงๆเลยดีมั้ยล่ะ
คือเราไม่เชื่อว่าเธอกับเอื้อยเป็นแค่เพื่อนกันหรอกนะ”
อันเดินจิกตาเข้ามาใกล้ฉัน
“เธอชอบเอื้อยใช่มั้ย”
เอื้อยเน้นประโยค
“บ้าแล้ว
มีอะไรบ่งบอกว่าฉันชอบเอื้อย”
ฉันรีบเถียงอันคืน
อันมองมาที่คอเสื้อกันหนาวที่ฉันดึงขึ้นสูงไว้
แล้วเธอก็ใช้มือเธอดึงมันลงมา
จนเผยให้เห็นรอยช้ำที่ต้นคอที่เอื้อยทำไว้เมื่อวาน
“เฮ้ย
จะทำอะไรน่ะ”ฉันตกใจ
รีบคว้ามืออันเอาไว้
อันพยักเพยิดหน้าของเธอมาที่รอยช้ำที่คอของฉัน
เธอเลิ่กคิ้วสูงอย่างผู้มีชัย
“นั่นไง
ฉันว่าแล้วพวกเธอสองคนมีอะไรกันแล้วใช่มั้ย”
“จะบ้าเหรอ
ฉันบังเอิญเดินชนเสาเฉยๆไม่เกี่ยวอะไรกับเอื้อยสักหน่อย
ใครมันจะไปทำตัวผิดปกติมนุษย์เหมือนเธอ”ฉันเริ่มโมโหขาดสติ
ยับยั้งคำพูดไม่ได้
อันจ้องหน้าฉันเขม็ง
เธอคงโกรธที่โดนฉันว่าอย่างนั้น
“
เฮอะ
ใช่สิฉันมันผิดปกติ วิปริตผิดเพศ
แต่ฉันก็จริงใจกับทุกคน
เพราะฉันแสดงให้ทุกคนเห็นว่าฉันมีความสุขในสิ่งที่ฉันเป็นอย่างนี้
ไม่เหมือนเธอ..”
อันชี้หน้าฉันพร้อมๆกับฉันที่จ้องหน้าอันไม่วางตา
ตอนนี้ฉันกำหมัดแน่นรู้ตัวว่าตัวเองเริ่มคุมอารมณ์โมโหไม่ได้แล้ว
“ทำไม..ฉันมันทำไม”
“ก็เธอมันขี้ขลาด
ไม่ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น
สักวันเธอจะเสียใจ”อันยังตะคอกมาที่ฉันไม่หยุด
ฉันส่ายหน้า
“ฉันไม่ได้เป็นอะไรและฉันไม่มีวันทีจะเสียใจ”
“ก็ดี...เธอไม่ยอมรับก็ไม่เป็นไร
อย่างน้อยฉันก็ได้รู้ว่าล่ะเอื้อยชอบผู้หญิงแล้ว”
อันหยุดพูดนิดนึง
แล้วหันมายิ้มจ้องหน้าฉัน
“ฉันจะได้จีบเอื้อยต่อไปได้
ขอบคุณนะที่ทำให้เอื้อยหันมาชอบผู้หญิงด้วยกันได้”
เธอพูดพร้อมสะเหยะยิ้มที่มุมปาก
ฉันอึ้งทันทีที่ได้ยินคำนี้จากปากอัน
...หนอย...นี่คิดจะกดดันฉันทั้งสองทางเลยใช่มัย...
..คงคิดจะบีบให้ยอมรับว่าฉันกับเอื้อยเป็นเลสเบี้ยนสินะ
แล้วถ้าฉันไม่ยอมรับก็จะมาจีบเอื้อยต่อ...
...เกินไปแล้วนะยัยนี่...
“ฉันจะได้ไม่เปลืองแรงวิ่งตามเอื้อยอีก”
อันยังยิ้มไปพูดไปเหมือนสะใจในสิ่งที่เธอพูด
ฉันเดินเข้าไปดึงปกเสื้อของอันไว้
ทำท่าเหมือนจะชก
“จะบอกอะไรไว้ให้นะ
ถึงเอื้อยเค้าจะชอบผู้หญิงแต่ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่มีทางเป็นเธอแน่นอน”
อันใช้มือปัดมือของฉันออกจากปกเสื้อเธอ
“อ้าว..เธอรู้เหรอว่าผู้หญิงคนที่เอื้อยชอบคนนั้นเป็นใคร
แล้วทำไมถึงมั่นใจว่าเอื้อยจะไม่ชอบฉัน
เอื้อยน่ะเค้ายังไม่เคยได้ลิ้มลองรสจูบของฉันสักทีเลยนะ
ไม่แน่เค้าอาจจะเปลี่ยนใจจากผู้หญิงคนนั้นก็ได้ถ้าได้ลองกับฉันสักครั้ง”
อันใช้ปลายนิ้วจิ้มมาที่ปากของตัวเองแล้วยิ้มอย่างสะใจ
..โอ้ย...
ให้ตายเถอะฉันทนคำพูดยียวนของยัยคนนี้ไม่ไหวแล้ว
ฉันโมโหหน้ามืดพออันพูดจบฉันก็ผลักอันเต็มแรงจนเธอเซล้มลงไปกองกับพื้น
อันหน้าเหวอตกใจไม่คิดว่าฉันจะทำอย่างนี้
“อย่ามายุ่งกับเอื้อยนะ
แล้วไม่ว่าฉันจะอยู่ในฐานะอะไรกับเอื้อยเธอก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะมาเตะต้องตัวเอื้อย..ตราบใดที่ฉันยังอยู่ข้างๆเอื้อย..จำไว้”
ฉันเบะปากแล้วยกนิ้วกลางให้อัน
ก่อนหันหลังเดินสะบัดปลายผมหางม้าเดินกลับไปที่โรงจอดรถด้วยความโมโห
เมื่อมาถึงที่จอดรถแทนที่ฉันจะเห็นเอื้อยรออยู่ที่รถมอเตอร์ไซค์อยู่แล้วแต่เปล่าเลย
มีเพียงรถมอเตอร์ไซค์กับหมวกกันน็อคสองใบที่แขวนไว้อยู่ที่เดิม
ตอนนี้ที่โรงจอดรถไม่มีรถคันไหนจอดอยู่แล้วมีเพียงรถของฉัน
...ไปไหนของเค้าเนี่ย
ฉันนึกโมโหให้เอื้อย
เพราะทั้งๆที่ย้ำแล้วย้ำอีกให้รออยู่ที่รถเธอก็ยังหายไป
“จ๊ะเอ๋..”
เสียงของคนที่ฉันรอมาพร้อมกับการขโมยจุ๊บที่ข้างแก้ม
ฉันสะดุ้งตกใจ
รีบหันหลังควับ
มือจับที่แก้มที่เอื้อยหอมเมื่อกี้นี้
เอื้อยอมยิ้มมือสองข้างถือแก้วน้ำหวาน
ข้างหนึ่งยื่นมาหาฉัน
“เอื้อย..”
ฉันเรียกชื่อเอื้อยด้วยเสียงที่ฟังดูเหมือนตำหนิ
เอื้อยทำหน้าประหลาดใจนิดนึงก่อนจะบอกฉัน
“ไม่มีใครเห็นหรอกเค้ากลับกันหมดแล้ว
ไปไหนมา..หายไปนานเลยเค้าหิวน้ำเลยไปซื้อมา
ซื้อมาเผื่อเจ้ยด้วย”
“อย่าทำอย่างนี้ตอนอยู่ที่นี่อีกนะ
มันไม่ดีเท่าไหร่หรอกถ้ามีใครเห็น”
ฉันดุเอื้อย เอื้อยหน้าสลดทันทีที่ฉันว่า
“ว่าแล้ว..ก็ได้ๆไม่ทำอีกแล้ว”
เอื้อยยิ้มแล้วยื่นแก้วน้ำมาให้ฉัน
ฉันส่ายหน้า
บอกให้เอื้อยถือไว้เพราะฉันอยากรีบกลับจากที่นี้แล้ว
เอื้อยทำหน้าเศร้าเพราะเห็นว่าฉันไม่ยอมดื่มน้ำที่เธอซื้อมาให้
ฉันเห็นท่าทางอย่างนั้นของเอื้อยแล้วก็อดนึกสงสารไม่ได้
เลยรับน้ำของเธอมาดื่ม
ได้ผลเธอยิ้มออกทันที
“มีอะไรหรือเปล่า..สีหน้าไม่ค่อยดีเลยนะ”
เอื้อยถามเสียงอ้อนๆ
“ไม่มีอะไรหรอก
”
ฉันไม่กล้าบอกเอื้อยเรื่องที่ไปทะเลาะกับอันเรื่องที่อันรู้ถึงความสัมพันธ์ของฉันกับเอื้อยแต่ฉันไม่ยอมรับ
เพราะฉันกลัวเอื้อยจะน้อยใจและพาลโกรธให้กันอีก
ได้แต่ชวนเธอให้รีบกลับบ้านกัน
เมื่อฉันส่งเอื้อยเสร็จและกลับมาที่บ้านตัวเองแล้ว
ด้วยความที่ยังมีอารมณ์หงุดหงิดอยู่ในใจลึกๆพาลทำให้ฉันไม่มีสมาธิจะทำอะไรเลย
ฉันได้แต่เปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นมาเผื่อที่จะเปิดหาอะไรในเน็ตอ่านแก้เซ็งเสียก่อน
ด้วยความเคยชินฉันก็ล็อกอินเข้า
Facebook
แล้วก็นั่งอ่านสถานะเพื่อนๆในนั้นแก้เซ็งไปเรื่อยๆ
และในระหว่างที่ฉันนั่งอ่านหน้า
ฟีดFacebook
เพื่อนๆอยู่นั่นเอง
อยู่ๆมันก็แสดงข้อความแจ้งเตือนในข่าวใหม่ว่าเอื้อยถูกใจสถานะของเพื่อนคนนึงที่ตั้งโพสสาธารณะเอาไว้
ซึ่งพอฉันดูรูปโปรไฟล์ฉันก็รู้ทันทีว่าคือใคร
“อัน” นั้นเอง
ทันทีที่ฉันอ่านข้อความที่อันโพสนั้น
ความรู้สึกร้อนๆหนาวๆก็บังเกิดขึ้นกับฉัน
“วันนี้ตอนเย็นแอบเห็นเพื่อนผู้หญิงสองคนหอมแก้มกันด้วย
น่ารักดีนะ อยากมีแฟนอย่างนี้บ้างจัง”
ซู่..อยู่ๆฉันก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ
ขนลุกซู่ขึ้นมาทันที
..แย่แล้ว
ยัยอันต้องเห็นตอนที่เอื้อยมาหอมแก้มฉันในโรงรถแน่ๆเลย
แล้วเอื้อยก็ยังไปกดถูกใจอีก
นี่จะออกหน้าออกตาเกินไปแล้วนะเอื้อย
ฉันกัดฟันด้วยความโมโหนึกถึงตอนที่อันมาคาดคั้นเรื่องฉันกับเอื้อยแล้วฉันปฏิเสธอันไป
แล้วฉันยังต่อว่าเค้าเสียๆหายๆอีก
ยัยอันต้องแค้นฉันแน่ๆเลย
นี่คิดจะประจานฉันเลยเหรอ
ใจฉันร้อนรนด้วยความโมโหไม่รู้จะทำอย่างไรดี
นึกได้แต่หน้าเอื้อยคนเดียว
ฉันรีบหยิบโทรศัพท์โทรไปหาเอื้อยทันที
ปลายทางรับสายด้วยเสียงสดใสดูจะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วยเลย
“เอื้อยไปกดถูกใจโพสอันทำไม”
สิ้นเสียงเอื้อยรับสายฉันก็รีบยิงคำถามไปที่เอื้อยทันที
“โพสไหน
โพสเมื่อกี้เหรอก็ไม่มีอะไรนี่
เค้าก็กดไลค์เพื่อนเค้าตลอดล่ะทำไมเหรอ”เอื้อยตอบด้วยเสียงงงๆ
“ที่อันโพสว่าแอบเห็นผู้หญิงสองคนหอมกันเค้าว่าอันเค้าหมายถึงเรานะ
เอื้อยจะไปแสดงตัวออกนอกหน้าอย่างนั้นทำไม”
ฉันพูดไปด้วยน้ำเสียงที่มีอารมณ์โมโห
“ไปกันใหญ่แล้ว
ไม่ใช่สักหน่อยได้อ่านคอมเมนต์หรือยัง
อันเค้าไม่รู้เรื่องของเราสักหน่อย
เค้าไม่ได้บอกอันแล้วอันจะรู้ได้อย่างไร”
เอื้อยตอบมาด้วยความไร้เดียงสา
นี่เธอช่างไม่รู้อะไรบ้างเลยนะ
ฉันนั่งนึกถึงตอนที่อันเดินมาดึงคอเสื้อฉันลงและทักที่คอเอื้อยวันนั้นแล้วก็ยิ่งนึกโมโหให้เอื้อย
แค่นี้ก็มองไม่ออกเลยเหรอว่าเค้าอ่านเกมส์ออกไปไหนต่อไหนแล้ว
มองโลกในแง่ดีเกินไปแล้วนะเอื้อย
“แสดงว่าไม่ทันได้อ่านคอมเมนต์
เจ้ยลองอ่านคอมเม้นต์ดูก่อนดีกว่านะ
อย่าพึ่งอารมณ์เสียสิ”
เสียงเอื้อยยังเจื้อยแจ้วอารมณ์ดีผ่านมาทางโทรศัพท์เหมือนเดิม
ฉันนึกสงสัยทำไมมันมีอะไรอยู่ในคอมเมนต์นั้น
รีบคลิ๊กเมาส์เลื่อนดูโพสนั้นที่เอื้อยไปถูกใจ
มีเพื่อนๆกดถูกใจสถานะนั้นพอสมควรและมีคนมาคอมเมนต์ประมาณ20
ข้อความฉันนั่งอ่านไปเรื่อยๆ
“ใครอ่ะ
บอกหน่อยดิ” เพื่อนคนนึงคอมเมนต์
“อิอิ
ไม่บอก” อันคอมเมนต์ตอบ
“ใช่คู่จิ้นเอื้อยเจ้ยหรือเปล่า
:)”
เพื่อนผู้หญิงอีกคนมาคอมเมนต์ด้วย
“เปล่า
คู่นั้นเค้าบอกว่าเป็นเพื่อนสนิทกันเฉยๆ”
อันคอมเมนต์ตอบ
“แหม
เสียดายอุตสาห์ลุ้น 555+”
เพื่อนคนเก่าเลยคอมเมนต์ตอบรับ
อ่านถึงตรงนี้ฉันก็คิ้วขมวดทันที
ยัยอันมีแผนการอะไรกันแน่
ฉันแน่ใจว่าโพสนี้ยัยอันต้องการบอกให้ฉันรู้ว่าอันเห็นที่เอื้อยหอมแก้มฉันแน่นอน
ฉันเดาใจยัยคนนี้ไม่ออกได้แต่นั่งหน้านิ้วคิ้วขมวดกัดฟันตัวเองดังกรอดๆ
“เจ้ย
เป็นอะไรหรือเปล่า
อันเค้าโอเคอยู่นะเจ้ยอาจจะยังไม่ทันได้คุยกันกับอันจริงๆสักทีเลยอาจจะยังไม่รู้ว่าอันเค้าเป็นคนน่ารัก
น่าคบหาอยู่นะ”
เสียงใสๆของเอื้อยพยายามอธิบาย
“น่ารักเหรอ..
ชมเค้าอย่างนี้จะกลับไปชอบเค้าอีกแล้วใช่มั้ย”
“ห๊า
อะไรนะเจ้ย
บ้าแล้วเค้าหมายความว่านิสัยอันเค้าน่ารักแบบเพื่อนคบกันก็โออยู่นะ
อะไรนี่หงุดหงิดขนาดนั้นเลยเหรอ”เอื้อยตกใจรีบอธิบายทันที
“ใช่สิ
นี่ เค้าถามจริงๆถ้าเอื้อยรู้ว่าอันจะกลับมาจีบเอื้อยอีก
เอื้อยจะทำยังไง”
“ก็เฉยๆสิ
เค้าก็มีแฟนอยู่แล้วนี่”
เอื้อยตอบเสียงเรียบๆ
“แต่คนอื่นไม่รู่นี่”
“อ้าว
เจ้ยก็บอกทุกคนสิว่าเป็นแฟนเค้า
เค้าไม่ได้ว่านะ
มีแต่เจ้ยที่ยังลังเลๆอยู่อย่างนี้
เด๋วสักวันถ้าเค้าทนไม่ได้จริงๆจะชอบคนอื่นให้ดู”
เอื้อยขึ้นเสียงเหมือนเธอกำลังจะรำคาญฉันแล้ว
ฉันเริ่มอึ้งกับคำว่า
มีแต่เจ้ยที่ยังลังเลๆอยู่อย่างนี้
เด๋วสักวันถ้าเค้าทนไม่ได้จริงๆจะชอบคนอื่นให้ดู...
ฉันเริ่มนึกถึงกับคำพูดของยัยอันที่พูดขู่ไว้
ตอนนี้ยัยอันก็คงจะรอจังหวะที่จะทำดีแล้วเข้ามาตีสนิทและถึงเนื้อถึงตัวกับเอื้อยอย่างนั้นสินะ
ถ้าเอื้อยทนไม่ได้เอื้อยก็จะไปจากฉันสินะ
ยิ่งคิดฉันยิ่งหึงยิ่งเครียดพูดอะไรไม่ออกเลยตอนนี้
“เลิกพูดเถอะ
เค้าไม่อยากทะเลาะกับเจ้ยอีกแล้วนะ
เวลาที่อยู่โรงเรียนเจ้ยก็พยายามให้เค้าปิดบังเรื่องเค้ากับเจ้ย
พอมีเวลาคุยกันสองต่อสองก็ยังจะมาทะเลาะกันอีก
เค้าไม่ชอบเลย
ถ้าคบกันอย่างนี้มันจะมีความสุขได้ยังไง”
เสียงเอื้อยพูดเบาๆทำเสียงเศร้ามาตามสาย
“ลองคิดดูดีๆนะเจ้ย”
นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายก่อนที่เอื้อยจะวางสายทิ้งให้ฉันอยู่ในอารมณ์กังวลอยู่คนเดียว