Girlfriend
Chapter
2
...ชอบผู้หญิง...
นักเรียนบางคนจับกลุ่มคุยกัน บางกลุ่มจับกลุ่มกันเล่นกีตาร์ ต่างจากฉันเมื่อมีเวลาว่างฉันจะหยิบสมุดสเกตมานั่งวาดรูปต่างๆที่ฉันนึกขึ้นได้ บ้างก็เป็นรูปคน บ้างก็เป็นรูปสถานที่ หรือรูปวิวทิวทัศน์
มีคนตั้งข้อสงสัยฉันว่าทำไมถึงเก่งทั้งศิลปะและวิชาการ ฉันมักตอบว่าไม่รู้ แต่อาจจะเป็นเพราะฉันชอบวาดภาพมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว ฉันชอบที่จะมีจินตนาการแต่ในขณะเดียวกันก็ฉันก็พยายามหาเหตุผลต่างๆมาโน้มน้าวความเป็นไปได้ในจินตนาการที่ฉันจะคิดนั้น
ยกตัวอย่าง ฉันชอบคิดว่าสุนัขฟังเราเข้าใจ และฉันก็จะให้เหตุผลที่ฉันเชื่อว่ามันฟังฉันเข้าใจเพราะมันเรียนรู้ที่จะทำตามทุกคำสั่ง เช่น มานี่ กินข้าว หยุด หรืออย่าเพื่อการเอาตัวรอด เพื่อที่จะได้กินข้าว เพื่อที่จะได้ไม่ถูกตี ไม่ใช่เพราะว่ามันฟังภาษาเราออกจริงๆเหมือนดั่งเช่นคนเราสื่อสารกัน
ฉันรู้ตัวว่าฉันอาจจะไม่ใช่ศิลปินที่ดีนัก เพราะฉันไม่ได้หลงอยู่ในจินตนาการและความเพ้อฝันจนเกินไป ฉันจึงพยายามตั้งใจเรียนในวิชาที่เป็นวิชาการต่างๆเช่น คณิตและฟิสิกส์ ให้มากกว่าวิชาทางศิลปะต่างๆ
“ชอบวาดรูปเหรอ” เสียงใสๆดังขึ้นในขณะที่ฉันกำลังขีดๆเขียนๆอะไรซักอย่าง
เป็นเสียงของเอื้อยนั่นเอง เธอนั่งเท้าคางชำเรืองมองฉันวาดภาพตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ฉันหันไปเห็นเธอยิ้ม ใบหน้าเรียวสวย ดวงตากลมโต และคิ้วเข้มๆสองข้างของเธอ ทุกอย่างบ่งบอกถึงความสนใจในสิ่งที่ฉันกำลังทำอยู่
“อือ..ใช่ ก็วาดไปอย่างนั้นล่ะคลายเครียด”เสียงฉันตอบเอื้อยด้วยความอารมณ์ดีขณะที่วางมือจากดินสอแล้วหันหน้าขึ้นไปมองที่เอื้อย
ตอนนี้สายตาของฉันไปหยุดอยู่ที่ดวงตาของเอื้อยเข้า ในความรู้สึกแว๊บแรกที่คิดขึ้นมาได้ ณ ตอนนี้ก็คือ
...ผู้หญิงคนนี้ตาสวยจัง...
ดวงตาเธอกลมโตสีดำขลับ รับกับคิ้วที่โค้งโก่งเหมือนรูปวาดหญิงไทยโบราณที่เคยเห็นในอินเตอร์เน็ต ขนตางอนยาวเป็นแผลงสม่ำเสมอ จมูกก็โด่งและสวยได้รูป ฉันมองลงมาเรื่อยๆจนถึงริมฝีปากรูปกระจับอวบอิ่มที่มันดูแดงนิดๆตัดกับสีของใบหน้าเรียวยาวขาวๆซีดๆของเธอแล้วก็อดนึกในใจไม่ได้
...ผู้หญิงอะไรสวยซะจนน่าอิจฉา...
เอื้อยคงเห็นว่าฉันจ้องเธออยู่นาน จึงพยายามทำเสียงกระแอมเบาๆให้ฉันได้ยิน ซึ่งได้ผลตอนนี้ฉันได้สติ เลิกจ้องหน้าเอื้อยแล้วหันมายิ้มแก้เขินให้เธอแทน
“วาดอะไรบ้างล่ะ..การ์ตูนอะไรพวกนี้เหรอ” เอื้อยถาม
“ก็วาดได้หมดนะ แล้วแต่จะนึกขึ้นได้ วาดการ์ตูน วาดคนประมาณนี้” ฉันพยักไหล่ขึ้นนิดนึงแสดงให้เห็นเหมือนว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่เป็นสิ่งง่ายๆสำหรับฉัน
“วาดรูปคนเหรอ วาดรูปเหมือนเป็นมั้ย วาดให้เค้าบ้างสิ”
….แทนตัวเองว่า “เค้า” นี่ฟังดูประหลาดๆยังไงไม่รู้นะ เพราะฉันใช้คำแทนตัวกับเพื่อนว่า “แก”หรือไม่ก็ “เรา” ตลอด
…..แต่ก็นั่นล่ะ เค้าก็ออกจะสวยเรียบร้อยอย่างนี้จะให้เค้าเรียกแทนตัวเองว่ายังไงกันเล่า..เรียกอย่างนี้ก็ดีแล้ว... ฉันคิดในใจอยู่คนเดียวหลังจากได้ยินคำพูดของเอื้อย
ฟังจากที่เอื้อยพูดตอนนี้มันก็น่ารักดี..เหมือนผู้หญิงเรียบร้อยคุยกันยังไงไม่รู้ ไม่แน่บางทีฉันอาจจะพยายามคุยกับเอื้อยโดยใช้คำว่า “เค้า”บ้างด้วยก็ได้
“อ่อ รูปเหมือนคนอื่นวาดกันเยอะแล้ว เค้า..ชอบวาดรูปไม่เหมือนมากกว่า วาดให้เอามั้ย ” เป็นครั้งแรกที่ฉันพยายามพูด “เค้า” กับเอื้อย
พอพูดเสร็จฉันกับเอื้อยก็หัวเราะพร้อมกัน ใบหน้าของเอื้อยเวลาหัวเราะดูมีความสุขมาก
ตอนนี้ทุกอย่างกำลังเริ่มเข้าที่ เอื้อยเริ่มพูดกับฉันรวมถึงเพื่อนในห้องมากขึ้นกว่าเดิม เธอสดใสขึ้น และร่าเริงขึ้น เข้ากันกับเพื่อนในห้องได้ ฉันในฐานะหัวหน้าห้องก็หมดห่วงเรื่องเพื่อนใหม่คนนี้ไปเปราะนึง
ในขณะที่กำลังหัวเราะกันอยู่นั้น เอื้อยที่หันหน้าไปทางระเบียงอยู่ๆก็เอียงตัวไปทางซ้ายและยกมือขึ้นโบกไปมา ฉันแอบสงสัยในท่าทีของเอื้อยเลยเหลียวหลังไปมองเห็นเป็นภาพของ“อัน”เพื่อนของเอื้อยกำลังเดินผ่านห้องไป ทั้งสองโบกมือทักทายกันด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แลดูมีความสุขมาก
เมื่ออันเดินผ่านไป ด้วยความสงสัยที่ฉันแอบสังเกตพฤติกรรมของเอื้อยอยู่ก่อนหน้านั้นแล้วก็ยิงคำถามไป
“คนนั้นแฟนเอื้อยเหรอ”
“หือ..ใคร” เอื้อยตกใจนิดนึงเมื่อได้ยินคำถาม
“ก็คนที่เหมือนทอม คนเมื่อกี้ที่เอื้อยโบกมือให้ไง”ฉันชี้นิ้วไปที่ระเบียงห้อง
“หา..ไม่ใช่...นั่นเพื่อนเค้านะ อันไม่ใช่ทอมนะเจ้ย เจ้ยจำอันไม่ได้เหรอ แต่ก่อนอันเคยบอกว่าเค้าเป็นคฑากรของโรงเรียนคู่กันกับเจ้ยตอนม.4อยู่ไง” เอื้อยพูดไปหัวเราะไป
ฉันคิ้วขมวดรวบรวมความคิดและความจำ
“ก็คนที่เค้าตั้งกระทู้บอกว่าหน้าเหมือนสาวเกาหลี ที่แต่ก่อนผมยาว ที่เคยเต้นโคฟเวอร์เพลงเกิร์ลเจนไง”เอื้อยพยายามอธิบาย
“ห๊า..อัน..อัญชลีห้อง3 ใช่มั้ย”ระดับความขมวดของคิ้วฉันเพิ่มขึ้นกว่าเดิม
“แล้วทำไม..ตัดผมสั้นขนาดนั้น”ฉันถามต่อ
“อืม...ไม่รู้นะ เห็นก่อนเปิดเทอมอันบอกว่ารู้สึกแปลกๆเลยอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองบ้าง เปิดเทอมมาก็เป็นอย่างที่เห็นนี่ล่ะ” เอื้อยพยายามอธิบาย
อ๋อ ฉันพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไม่ฉันถึงไม่คุ้นหน้า ที่ไม่คุ้นหน้าก็เพราะว่าเธอเล่นเปลี่ยนทรงผม จากผมรวบตรึงเป็นทรงผมสั้นแปลกๆ เหมือนเด็กผู้ชายนี่เอง หน้าก็เลยเปลี่ยน
“นี่ แล้วไม่รู้ตัวเหรอว่าคนมองทั้งโรงเรียน และก็คิดว่าเธอสองคนเป็นแฟนกัน”ฉันถาม
“เจ้ยด้วยเหรอ” เอื้อยถามคืน
“แฮะๆก็นิดหน่อย ใครจะไปรู้ละเนอะเห็นไปไหนสองต่อสองบ่อย”
“บ้าน่า..เค้าไม่ได้ชอบผู้หญิงด้วยกัน” เอื้อยพูดแบบขำๆ
“แต่ถ้าให้เค้าชอบนะ เค้าจะชอบคนสวยๆไปเลย แบบเจ้ยนี่ล่ะ สเปคเค้าเลย แบบอันน่ะไม่ใช่” พูดเสร็จเอื้อยก็หัวเราะชอบใจ แล้วหันมาจ้องหน้าฉัน
ฉันยิ้มให้กับเอื้อยพร้อมๆกับจ้องหน้าคืนแล้วชี้นิ้วมาที่ตัวฉันเอง
“เค้าสวยแล้วอันไม่สวยเหรอ”
เอื้อยหยุดหัวเราะ แต่ยังไม่หยุดจ้องมาที่หน้าฉัน เธอเลิ่กคิ้วสูงใบหน้ายิ้มอย่างมีเลศนัย
“ก็สวยคนละแบบนะ..เค้าชอบตาของเจ้ยอะ ตาของเจ้ยจะแบบกลมๆโตๆขอบตาเฉียงๆเหมือนสาวลูกครึ่งจีน มันดูไม่หมวยเกินไปและไม่ไทยเกินไป มองแล้วไม่เบื่อ”
พูดเสร็จเอื้อยก็ยื่นหน้ามาใกล้หน้าฉัน แล้วเอามือมาจิ้มจมูกและปากเบาๆ
“ยิ่งเป็นจมูกและริมฝีปากของเจ้ยนะ เค้าว่าน่ารักที่สุดเลย เพราะปากเจ้ยจะบางๆเรียวๆ มีสีแดงตลอดทั้งวันเลย”
“รู้มั้ยว่าตอนที่เค้าเห็นเจ้ยครั้งแรกน่ะ ตอนที่เจ้ยซ้อมคฑากรของโรงเรียน เค้ายังคิดอยู่ในใจเลยว่าเค้าอยากสวยอย่างเจ้ยบ้าง” เอื้อยพูดต่อ
อยู่ๆฉันก็รู้สึกร้อนที่หน้าของฉัน แม้ไม่ใช้ครั้งแรกที่มีคนมาชมฉันตรงๆ แต่ก็เป็นครั้งแรกของผู้หญิงที่ฉันแอบอิจฉาในความสวยของเค้ามาชมฉันต่อหน้า
ฉันก้มหน้าลง รู้ทันทีว่าตัวเองต้องหน้าแดง
“บ้า..ยอเกินไปแล้ว..” ฉันพูดขณะที่แกล้งก้มลงหยิบของในกระเป๋า
“เค้าพูดจริงนะ นี่เค้ายังรู้สึกดีใจมากๆเลยที่ได้มาอยู่ห้องเดียวกันและเป็นเพื่อนกับเจ้ยน่ะ” เอื้อยพูดด้วยน้ำเสียงที่แสนจะภูมิใจ
แม้คำพูดของเอื้อยจะพูดออกมาด้วยเสียงที่ไม่ดังมากนัก แต่ฉันกลับรู้สึกนั้นเป็นเสียงนั้นดังเท่าเสียงตะโกน มันดังซ้ำๆอยู่ในความรู้สึกของฉันตลอดเวลา
...พึ่งรู้นะนี่ นอกจากเธอจะสวยแล้วยังปากหวานอีก ถ้าเป็นคนอื่นฉันคงจะเคลิ้มไปแล้ว...เอาล่ะ ไม่ใช่เวลาจะมาดีใจเค้าก็แค่ยอเราให้เรารู้สึกดีใจเท่านั้น อย่าคิดมาก...
แล้วฉันก็เงยหน้าขึ้นมาจากกระเป๋า แล้วเผลอไปสบสายตากับเอื้อยที่กำลังมองฉันเข้าอย่างจัง
...นี่ล่ะมั้งวลีที่เค้ามักพูดกัน “เหมือนตกอยู่ในเวทย์มนต์”
แค่เสี้ยววินาทีที่ตาสบตา แต่ฉันกับรู้สึกว่ามันนานมาก รู้สึกได้เลยว่าทั้งฉันและเอื้อยกำลังนิ่งจังงัน เหมือนจะอยากจะพูดอะไรซักอย่างแต่พูดอะไรไม่ออก ถ้าเวทย์มนต์มีจริง เอื้อยคงเป็นคนที่ร่ายมนต์ให้ฉันนิ่งอึ้งอยู่อย่างนี้
“อาจารย์มาแล้ว” เสียงใครซักคนในห้องดังขึ้น ทำให้ฉันหันหน้าออกมาจากเอื้อย เรียกสติเพื่อที่จะบอกเพื่อนๆให้ทำความเคารพอาจารย์
“นักเรียนเคารพ”เสียงตะเบงของฉันหยุดลงต่อด้วยเสียงเพื่อนๆไหว้ทำความเคารพอาจารย์
ทุกคนเตรียมตัวเรียนกันแล้วรวมทั้งฉันด้วย
แต่นี่เป็นคาบแรกที่รู้สึกว่าสมาธิฉันหายไปกับการแอบชำเรืองมองเพื่อนข้างๆโต๊ะซะแล้ว...
คงมีแต่ฉันคนเดียวที่เสียสมาธิเพราะเอื้อยนั้นดูตั้งใจฟังและใจจดใจจ่อในสิ่งที่อาจารย์สอนอยู่
ฉันหันกลับมามองที่สมุดตัวเองแล้วถอนหายใจเบาๆ
......ความรู้สึกเมื่อกี้นี่มันคืออะไรนะ...
**************************************
ประมาณสัปดาห์ที่สามกิจกรรมที่ทุกโรงเรียนต้องทำก็คือกิจกรรมไหว้ครู ซึ่งโรงเรียนของฉันจะจัดกิจกรรมขึ้นในวันพรุ่งนี้
ฉันในฐานะที่เป็นหัวหน้าห้องก็ได้รับมอบหมายให้เป็นคนถือพานคู่กับรองหัวหน้าห้องฝ่ายชาย ซึ่งก็จะมีเพื่อนๆในห้องช่วยกันทำพาน
โดยวันนี้ฉันและเพื่อนๆกลุ่มนึงในห้องได้รับมอบหมายให้จัดพานช่วยกันตอนเลิกเรียน โดยมีเอื้อยเสนอตัวขอพาฉันไปซื้อดอกไม้ในร้านที่แม่เธอสนิท ซึ่งเธอให้เหตุผลว่าจะได้ราคาถูกกว่าท้องตลาดมาก
ดังนั้นหน้าที่ไปซื้อดอกไม้จึงตกเป็นของฉันและเอื้อย แต่ก่อนจะไปเอื้อยขอตัวไปทำธุระของเธอซักครู่
ได้ยินคร่าวๆว่าอันมีปัญหา อยากจะคุยกับเธอ
แต่ดูจากเวลาที่เอื้อยเดินหายไปทางห้องน้ำหญิงหลังอาคารเรียนที่ฉันเรียนอยู่แล้ว นี่ก็เกือบจะครึ่งชั่วโมง
ใจฉันกังวัลว่าจะเป็นการเสียเวลาของเพื่อนๆคนอื่นๆที่รอ และก็แอบเป็นกังวลว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับเอื้อยหรือเปล่า จึงตัดสินใจเดินตามไปที่ห้องน้ำหญิงหลังอาคาร
ณ เวลานี้ก็ประมาณ4โมงเย็นแล้ว ทางที่จะไปห้องน้ำหญิงหลังโรงเรียนจะเงียบมาก เนื่องจากอยู่ลึกจากทางเข้าและเปลี่ยวไม่ค่อยมีใครผ่าน
ขณะที่ฉันกำลังจะเดินมาถึงหน้าทางเข้าห้องน้ำหญิง แว๊บแรกภาพที่ฉันเห็นคืออันกำลังกอดเอื้อยไว้แต่เอื้อยพยายามผลักออก ด้วยอารมณ์ตกใจฉันจึงรีบหลบตัวเข้าไปที่หลังพนังห้องน้ำด้านหน้า ฉันคิดว่าเค้าทั้งสองคนคงยังไม่เห็นฉัน เพราะต่างหันหน้าเข้าหากัน เสียงของอันดังขึ้นเป็นเสียงตะโกนปนเสียงร้องไห้
“ทำไมเอื้อยทำอย่างนี้กับเรา เอื้อยให้ความหวังเราทำไม ที่ทำดีกับเราทุกวันนี่ไม่มีความหมายอื่นเลยเหรอ”
“อัน..เค้าขอโทษนะ เค้าไม่รู้จริงๆว่าสิ่งที่เค้าคิดที่เค้าทำทั้งหมดมันจะทำให้อันคิดไกลขนาดนี้”เอื้อยพูดเสียงสั่นๆ
“เค้าไม่ได้คิดกับอันอย่างนั้น อันอย่าโกรธเค้านะ” เอื้อยพูด
“เพราะเราเป็นผู้หญิงเหมือนเอื้อยใช่มั้ย เอื้อยเลยรักเราไม่ได้”เสียงอันตะโกนถาม
ไม่มีเสียงตอบจากเอื้อย แต่เป็นเสียงเอื้อยร้องไห้แทน
ฉันได้ยินเสียงเหมือนเสียงทุบประตูห้องน้ำ และตามมาด้วยเสียง “โธ่เว้ย”ของอัน
จากนั้นอันก็รีบวิ่งออกมาจากห้องน้ำ โชคดีที่เธอวิ่งไปคนละฝั่งของประตูที่ฉันแอบ
ด้วยสัญชาติญาณ ฉันรีบเดินถอยกลับจากจุดนั้นและวิ่งกลับไปรอเอื้อยที่โรงจอดรถที่นัดกันไว้ในตอนแรก
เอื้อยเดินมาถึงโรงรถหลังจากฉันมาถึงได้ไม่นานนัก
ฉันที่แกล้งว่ารออยู่จุดนี้นานแล้วก็ถามเอื้อยว่าเป็นอะไร สีหน้าของเอื้อยดูแย่มาก มีรอยน้ำตาซึมออกมาจากขอบตาทั้งสองข้าง
แต่เธอก้มหน้าและบอกกับฉันว่าไม่มีอะไร
************************************
เมื่อกลับมาจากซื้อดอกไม้และอุปกรณ์ในการจัดพาน ทั้งเอื้อยและฉันก็ช่วยเพื่อนๆจัดพาน
แต่ระหว่างที่จัดนั้นฉันเห็นเอื้อยพยายามโทรหาใครซักคนบ่อยมาก
คิดว่าคงเป็นอัน
...ไหนบอกว่าเป็นเพื่อนกัน แล้วเมื่อกี้ที่ฉันเห็นคืออะไร บอกเลิก ปฏิเสธ หรือว่ามีคนใหม่แล้ว...ฉันคิดในใจระหว่างที่กำลังจัดพาน
...กว่าจะจัดพานเสร็จ ก็เป็นเวลากว่าสองทุ่ม
ฉันอาสาเป็นคนไปส่งเอื้อยตั้งแต่ตอนที่เอื้อยขออนุญาติแม่จัดพาน
ระหว่างที่ขับรถกลับฉันรู้สึกว่าเอื้อยเอาหัวมาพิงที่หลังของฉันตลอดทาง เธอคงจะเหนื่อยใจละสินะ ทะเลาะกันเสียงดังขนาดนั้น
บ้านของเอื้อยอยู่ในหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียน จากจุดนี้ฉันสามารถขี่กลับบ้านได้โดยผ่านถนนใหญ่เส้นที่ฉันต้องรอยูเทิร์นข้ามถนน
แล้วความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัวฉัน
..ถ้าเค้าโกรธกันอย่างนี้แล้วใครจะอยู่เป็นเพื่อนเอื้อยรอรถแม่ล่ะ...
..ลองเสนอตัวเองดีมั้ย จะได้มีเพื่อนกลับบ้านทางเดียวกันด้วย..
เมื่อจอดรถหน้าบ้านเอื้อย ก่อนที่เอื้อยจะเดินเข้าไปในบ้านเธอฉันกวักมือเรียกเอื้อยมาใกล้ๆ
“ นี่บ้านเอื้อยก็ไม่ไกลจากบ้านเค้านะ เป็นทางผ่านพอดี..ยังไงไปด้วยกันกับเค้ามั้ยเดี๋ยวเค้าจะมารับมาส่งทุกวันเลย”
เอื้อยทำตาโต “จะดีเหรอ รบกวนเจ้ยออก...ไม่เอาหรอก”
“รบกงรบกวนอะไรกัน ไปไหนมาไหนด้วยกันดีออก เค้าก็เหงาไม่มีเพื่อน เอื้อยก็จะได้มีเพื่อนกลับบ้านด้วยไง ถ้ารอรถอยู่คนเดียวเค้าเป็นห่วง”
เอื้อยยิ้มก่อนจะตอบ “ยังไง เดี๋ยวเค้าถามแม่เค้าก่อนนะ...ขอบใจมากนะ ที่เป็นห่วงเค้า”
ถึงจะพยายามฉีกยิ้มยังไง ดวงตาของเอื้อยก็ยังเศร้าอยู่ ฉันมองเห็นแววตาเศร้าๆนั้น
เอื้อยขอตัวกลับเข้าบ้านพร้อมกับที่ฉันขับรถออกจากซอยบ้านเอื้อยไป
....พรุ่งนี้เอื้อยจะให้รับมารับมั้ยนะ...ฉันคิดในระหว่างที่กำลังขับรถกลับบ้าน
*****************************************
เช้าวันไหว้ครู ฉันรีบตื่นนอนและรีบเตรียมตัวออกจากบ้านตั้งแต่ไม่ทันเจ็ดโมงเช้า
ก่อนที่ฉันจะสตาร์ตรถฉันหยิบโทรศัพท์ของฉันขึ้นมาดู คิดในใจว่าจะปิดเสียงโทรศัพท์ก่อนขับรถดีมั้ย เพราะกลัวจะมีใครซักคนโทรเข้ามา
ใครซักคนที่ฉันชวนเค้าไปโรงเรียนด้วย
แต่เค้าคงไม่โทรมาหรอก นี่ก็สายแล้วด้วยถ้าเค้าจะไปเค้าคงโทรมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว...ฉันคิด...
แล้วฉันก็กดปิดเสียงโทรศัพท์หย่อนโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากระโปรง คว้าหมวกกันน็อคมาใส่และเตรียมสตาร์ตรถ แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะขับรถออกจากประตูบ้านฉันดี ฉันก็รู้สึกเหมือนกระเป๋ากระโปรงสั่น
..เฮ้ย..ต้องมีสายเข้าแน่ๆ...ฉันคิด
ฉันรีบหยุดรถและใช้ขาทั้งสองดันรถไว้ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเห็นเป็นชื่อเอื้อยก็รีบกดรับ ดูรีบร้อนมาก มากซะจนลืมไปว่าฉันยังไม่ถอดหมวกกันน็อคออก เสียงโทรศัพท์ชนเข้ากับหมวกกันน็อคดัง ..แกร๊ก!!! แรงมาก มากจนปลายทางตกใจ ฉันยังแอบหัวเราะตัวเองในความรีบร้อนนั้นก่อนจะรีบถอดหมวกออก
“เอื้อย..ว่าไง”เสียงฉันลนลานถาม
“เจ้ยออกจากบ้านหรือยังอ่ะ เมื่อคืนเค้าเหนื่อยนอนไวมากเลยไม่ได้โทรมาบอกว่าแม่เค้าให้มาโรงเรียนกับเจ้ยได้นะ”
“อ้อ..เหรอ นี่เค้ากำลังจะออกไปพอดี เดี๋ยวเข้าไปรับนะไม่เกินห้านาทีถึง...รอนะ” ฉันรีบวางสายโทรศัพท์ รู้ทันทีว่าตัวเองกำลังยิ้มแก้มปริอยู่
..ดีใจอะไรเนี่ย... ฉันคิดก่อนที่จะรีบขับรถออกไปรับเอื้อย
****************************
บรรยากาศตอนเช้าของวันไหว้ครู แม้นักเรียนคุยกันเสียงดังจอแจเป็นปกติ แต่ที่ให้ความรู้สึกที่เป็นพิเศษกว่าทุกวัน มันคือความรู้สึกปรีติยินดีที่เราจะได้แสดงออกถึงความรักและเคารพที่มีต่อครูบาอาจารย์ของเรา
ฉันกับเอื้อยเมื่อขับรถมาถึงโรงเรียนก็รีบขึ้นห้องเรียนเก็บกระเป๋าเพื่อลงมาเข้าแถว
เมื่อแยกแถวแต่ละห้องจะเดินเข้าอาคารหอประชุม เข้าไปนั่งเป็นระเบียบ
สำหรับหัวหน้าห้องหรือตัวแทนถือพานจะแยกตัวออกไปเตรียมเอาพานมาไว้กับตัวเอง
พานของห้องฉันถูกเก็บไว้ในห้องเรียน
ตอนที่ฉันเข้าไปหยิบพานฉันสังเกตุเห็นถุงใส่ดอกกุหลาบวางอยู่บนโต๊ะครู เป็นดอกกุหลาบที่ซื้อมาจัดพานดอกไม้เมื่อวาน มันเหลืออยู่ในถุงอยู่ 2-3ดอก ฉันหยิบมันขึ้นมาดูสองดอกนั้นกลีบเริ่มช้ำแล้วเหลือดอกตูมๆหนึ่งดอกที่ยังกลีบสวยอยู่ ด้วยความรู้สึกเสียดายฉันเลยหยิบดอกกุหลาบดอกนั้นติดมือมาด้วย
เมื่อมาถึงแถวของห้องฉันในห้องประชุม ปกติเราจะเข้าแถวเรียงตามความสูงกัน จากเตี้ยสุดด้านหน้ามาสูงที่สุดด้านหลัง ฉันและเอื้อยจะได้อยู่ข้างหลังเสมอเพราะตัวสูงเท่ากัน
วันนี้เอื้อยนั่งอยู่ท้ายสุด ฉันเดินถือพานมานั่งต่อหลังของเอื้อย
อยู่ดีๆก็นึกอะไรได้
“เอื้อย..” ฉันสะกิดหลังของเอื้อย
เอื้อยหันหลังมาเห็นฉัน เธอยิ้ม
“อ๊ะ ของตอบแทนสำหรับการยอมมาโรงเรียนเป็นเพื่อน.. รับไปซะ”
ฉันยื่นดอกกุหลาบดอกนั้นไปให้เอื้อย เอื้อยยิ้มรับดอกกุหลาบดอกนั้นและหันมามองหน้าฉัน
“ขอบใจนะ นี่คงเป็นดอกกุหลาบถุงเมื่อวานสิท่า”เอื้อยยิ้มอย่างรู้ทัน
“ถูกต้องแล้วครับ เค้าเห็นมันอยู่บนโต๊ะครูน่ะ เสียดายปล่อยทิ้งไว้ก็เหี่ยวเปล่าๆ ถือเองก็กะไรอยู่..เอามาให้เอื้อยนี่ล่ะเหมาะที่สุดแล้ว”
เอื้อยฟังแล้วก็หัวเราะ หยิบดอกกุหลาบดอกนั้นมาดมแล้วพูดขึ้น
“เค้าจะเก็บมันไว้อย่างดีเลยนะ สำหรับดอกกุหลาบดอกแรกที่เจ้ยให้เค้า” แล้วเอื้อยก็หันหลังกลับไป
....ทิ้งให้ฉันนั่งนิ่งอยู่คนเดียว ก่อนที่จะคิดอะไรไปมากกว่านี้ก็มีเสียงประกาศของคุณครูให้ตัวแทนนักเรียนที่ถือพานมารวมตัวกันที่ข้างเวทีเพื่อจะได้เริ่มกิจกรรมวันไหว้ครู
ตอนเดินออกจากแถวไป ฉันมองเห็นเอื้อยที่มือนึงกำดอกกุหลาบดอกนั้นไว้แน่นอีกมือนึงยกมือโบกให้ และยิ้มให้กำลังใจฉัน
ส่วนฉัน...เดินอมยิ้มไปตลอดทางที่ไปข้างเวที
.....เป็นความรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก .....
กิจกรรมไหว้ครูเสร็จลงในช่วงคาบที่สามของช่วงเช้า พวกเรากลับเข้าห้องเรียนต่อ
หลังจากที่เรียนเสร็จในช่วงเช้า ฉันที่รู้อยู่แล้วว่าอันคงไม่มารับเอื้อยไปกินข้าวแน่ๆ ก็ลองชวนเอื้อยไปด้วย
เอื้อยตอบตกลงไปด้วย....
ในโรงอาหาร ฉัน เอื้อย และเพื่อนๆอีกสองคนนั่งทานอาหารอยู่ด้านหลังสุด เราคุยกันถึงเรื่องทั่วๆไป
เป็นบรรยากาศที่สนุกสนานเฮฮา
ฉันแอบเห็นเอื้อยชำเรืองมองที่โต๊ะอาหารที่เอื้อยนั่งทานเป็นประจำกับอัน
วันนี้มันว่างเปล่าไม่มีใคร แม้กระทั่งอัน
....คงจะรอดูว่าเค้าจะมากินข้างหรือเปล่าสินะ...
....อยากปรับความเข้าใจเหรอ...
...เป็นห่วงเค้า..หรือคิดถึง...
ฉันแอบคิดในขณะที่มองหน้าเอื้อย
หลังจากทานข้าวเสร็จเพื่อนๆที่มาด้วยสองคนขอตัวไปประชุมเรื่องที่ชมรมของพวกเค้านัดไว้
ฉันชวนเอื้อยไปนั่งเล่นที่ลานม้านั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ในโรงเรียน ระหว่างที่เราคุยกันอยู่นั้นมีเด็กม.5 เดินถือกระดาษที่พับเป็นรูปหัวใจมาให้เอื้อย ข้างในคงเป็นจดหมายอะไรซักอย่างพวกเค้านั่งคุยกันอยู่ครู่ใหญ่โดยมีฉันออกมานั่งรอที่โต๊ะอีกตัวนึง
ระหว่างรอนั้นฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เอาหูฟังที่เก็บไว้ในกล่องเล็กๆที่พกมาด้วยเสียบเข้าเพื่อฟังเพลงโปรดของฉัน และนั่งอ่านข้อความในเฟสบุ๊คไปเรื่อยๆ
“ฟังอะไรอยู่” ฉันเงยหน้าขึ้นมามอง เป็นเอื้อยนั่นเอง เด็กคนนั้นเดินกลับไปแล้ว
“ฟังเพลงอยู่ ฟังมั้ย...เพราะนะ..เค้าชอบมาก” ฉันพูดพลางถอดสายหูฟังข้างนึงออกแล้วหยิบให้เอื้อย
เอื้อยรับสายหูฟังมาใส่ เอื้อยนั่งฟังเพลงนั้นอยู่ซักครู่ ก็ยิ้ม
“เอ้อ..เพราะจริงๆด้วยเพลงใครอะไม่เคยได้ยินเลย”เอื้อยถาม
“เป็นเพลงเก่าแล้วล่ะ เค้าบังเอิญเปิดเจอในยูทูป ชอบทำนองมันอ่ะฟังสบายๆเพราะดี”ฉันพูด
“ชื่อว่า...” เอื้อยถาม
“มันชื่อว่า “ความลับ”ของวง Project H อ่ะนานแล้วล่ะ ตอนนั้นพวกเราคงเด็กๆอยู่ หรือไม่ก็ยังไม่เกิด”ฉันตอบแบบขำๆพร้อมกับเคาะนิ้วที่โต๊ะเบาๆ
“เอ้อ..เพราะอ่ะ เดี๋ยวเจ้ยส่งเพลงนี้ให้เค้าหน่อยนะ เค้าจะเอาไปฟังบ้าง..พึ่งเคยฟัง” เอื้อยทำหน้าตายิ้มแย้มมีความสุข
“ส่งไปทางไหนอะ..”ฉันถามเอื้อย
“ทางFacebookก็ได้เดี๋ยวเค้าเซฟเอา..” เอื้อยบอก ตอนนี้เธอกำลังเคาะนิ้วเบาๆเหมือนกันกับฉัน
...ส่งทางFacebook....มันส่งเพลงให้กันได้ด้วยเหรอ ฉันคิดแต่ฉันก็ตอบตกลงเอื้อยไป
“อื้อ..เดี๋ยวตอนเย็นส่งให้แล้วกันนะ”พูดเสร็จฉันก็แอบบมองหน้าเอื้อย เห็นเอื้อยนั่งหลับตายิ้มฟังเพลง
...อย่างน้อยๆเธอก็อารมณ์ดีขึ้นมาแล้วล่ะนะ เพื่อนใหม่ของฉัน...
(ปล.เพลงประกอบตอนที่ 2 เพื่ออรรถรสในการอ่าน)
ตอนเย็นเมื่อฉันทำการบ้านเสร็จ ก่อนเข้านอนฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็คข้อความต่างๆในFacebook จนเห็นหน้าฟีดของเอื้อยนึกถึงคำพูดเอื้อยเมื่อตอนกลางวัน ที่ให้ฉันส่งเพลงให้ทางFacebook
ฉันนั่งคิ้วขมวดคิด..เอ..จะส่งเพลงให้เอื้อยยังไงดีนะ..
..อืม..ก็ก๊อปลิงก์จาก YouTube มาให้เอื้อยก็ได้นี่นา...
แล้วฉันก็ไปคัดลอกลิงก์เพลงความลับของวง Project H มาโพสใส่หน้าวอลล์Facebookของเอื้อยพร้อมข้อความ
.....“ส่งเพลงมาให้ฟังก่อนนอนจ้า”....
ในใจคิดว่าเอื้อยคงนอนแล้ว ฉันก็ต้องรีบนอนเหมือนกันเพราะเหนื่อยในกิจกรรมไหว้ครูมาก
..ราตรีสวัสดิ์นะจ๊ะเพื่อนใหม่..ฉันพูดพึมพัมกับตัวก่อนที่จะปิดโทรศัพท์ลงโดยที่ไม่ได้เช็คข้อความต่างๆที่เหลือเลย