วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

Girlfriend
Chapter 1

...เพื่อนใหม่ ....

    วันแรกของการเป็นนักเรียนชั้น ม.6ของฉันดูเป็นการเริ่มต้นที่วุ่นวายมาก
    เริ่มจากการเสียเวลาเดินหาโบว์ผูกผมสีกลมท่าของตัวเอง โบว์เส้นเล็กๆเส้นเดียวแต่ใช้เวลาหาเกือบ15นาที
     ...แต่งตัวเสร็จ กินข้าว ดูนาฬิกาก็ เจ็ดโมงสี่สิบห้านาทีแล้ว ฉันคิดในใจ คงต้องขับมอเตอร์ไซค์เข้าซอยหลังโรงเรียน ทางนั้นใกล้ดี ถึงถนนจะขรุขระนิดหน่อยแต่ก็เป็นทางเดียวที่ใกล้และสะดวกที่สุดใช้เวลาแค่ 5นาทีก็ถึงโรงเรียนแล้ว เพราะจากซอยบ้านฉันต้องขับรถขึ้นถนนใหญ่แล้วต้องขับรถไปยูเทิร์นไกลมาก มิหนำซ้ำยังต้องเสียเวลารอยูเทิร์นอีก ยิ่งเป็นวันเปิดเทอมวันแรกอย่างนี้ไม่ต้องพูดถึงเรื่องรถเยอะเลย
    “เจ้ย วันนี้เปิดเทอมวันแรกตื่นสายจังเลยนะลูก พ่อก็ออกไปทำงานตั้งแต่ 6 โมงแล้ว ถ้าตื่นไวกว่านี้ก็จะได้นั่งรถไปกับพ่อด้วย..”
    เสียงแม่บ่นผ่านประตูห้องครัว ตอนฉันกำลังนั่งใส่รองเท้าอยู่
    “หนูเตรียมจัดกระเป๋า ทำนั่นทำนี้ ก็เลยนอนดึกน่ะค่ะ คือตื่นเต้นจะเปิดเทอม”
    ฉันพูดตอนกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปหาแม่ในครัว แล้วก็ยกมือไหว้แม่ก่อนไปเรียน
    แม่หยิบเงินค่าขนมมาให้ฉัน
    “เตรียมนั่นเตรียมนี่ คงรวมถึงเสียงเพลงคอนเสริ์ต ที่ได้ยินเสียงกรี้ดๆนั่นด้วยใช่มั้ย” แม่มองหน้าอย่างรู้ทันตอนที่ส่งเงินค่าขนมมาให้ฉัน
    “ตั้งใจเรียนนะลูก ปีสุดท้ายแล้ว หนูพยายามมาทุกปี อย่าให้ความพยายามของหนูเสียเปล่านะคะ”
    ฉันยกมือไหว้แม่อีกครั้ง พร้อมทั้งทำหน้ายิ้มแห้งๆ
    จริงๆเมื่อคืนฉันนอนดึกเพราะว่าเพื่อนส่งลิงค์คลิปคอนเสิร์ตของนักร้องเกาหลีวงโปรดของฉันมาให้ ซึ่งมันก็เพิ่งจะโดนอัพโหลดมาเมื่อคืนสดๆร้อนๆฉันเลยต้องมานั่งดูตาแข็งตาเยิ้มอยู่คนเดียวทั้งคืนกว่าจะได้นอนก็ตี1 ซึ่งจริงๆมันต้องเป็นวันที่ฉันต้องนอนแต่หัวค่ำเพื่อเตรียมตัวไปเรียน แล้วก็เป็นไปดังที่คาด ฉันตื่นสาย ทุกอย่างดูวุ่นวายมาก แต่ไม่เป็นไร ฉันเชื่อว่าฉันจัดการทุกอย่างได้

    7.50 น.

    .... ฉันยิ้มให้กับเงาตัวเองในกระจกรถมอเตอร์ไซค์ของฉัน ในขณะที่กำลังไขกุญแจรถ
    “เอาล่ะ สวยล่ะไปเรียนได้” แล้วฉันก็เตาะขาหยั่งของรถมอเตอร์ไซค์ขึ้น เสียงดังกึ๊ก และตามมาด้วยเสียง ฟู่.. พร้อมๆกับที่ฉันนั่งลงมอเตอร์ไซค์ สัญชาติญาณบอกฉันทันทีว่าให้หันมามองที่ล้อรถ
    เป็นดังคาด....
    รถยางแบน ...เฮ้ย....ทำไมต้องมาแบนวันนี้ด้วย...

    ฉันเงยหน้าจากล้อรถ มองขึ้นมาเห็นแม่ที่หน้าประตูยืนกอดอกมองดูฉันอยู่
    “.....แม่กำลังจะบอกว่า รถเรายางอ่อนๆแล้วนะ ให้ไปเติมลมรถด้วย”
    ฉันยิ้มเจื่อนๆให้แม่ก่อนจะตอบไปว่า
    “ค่ะ”

    8.20 น.

    เสียงจอแจของนักเรียนในวันเปิดเทอมวันแรกดูจะเป็นปกติที่ทุกโรงเรียนจะเป็น เสียงนั้นดังออกมาจากห้องเรียนทุกๆห้อง ฟังดูไม่ได้ศัพท์ แต่ถ้าจะให้เดาคงจะเป็นการพูดจาเล่าเรื่องราวของตนเองในวันปิดเทอมนั้นๆ แม้จะฟังดูน่ารำคาญ แต่มันก็เป็นเสียงที่เปล่งออกมาจากความรู้สึกคิดถึงเพื่อนๆ ความสุขที่อยากบอกเล่าของพวกเขาเหล่านั้น....
    เสียงเหล่านั้นดังผ่านหูฉันในขณะที่ฉันกำลังวิ่งกระหืดกระหอบขึ้นบันไดผ่านชั้นที่1 ชั้นที่ 2 ไป
    แล้วเสียงออดคาบแรกก็ดังขึ้น
    ...โอ้ย..ฉันเข้าห้องไม่ทันแน่แล้ว ได้แต่หวังว่าคุณครูประจำชั้นของฉัน คุณครูอภิญญา โฮมรูมคาบแรกครูคงยังไม่เช็คชื่อหรอกนะ
    ไม่นานฉันก็มาถึงชั้นที่4 ตรงบันไดขั้นสุดท้าย ฉันหยุดวิ่ง แล้วสำรวจตัวเองว่าเรียบร้อยหรือยัง เสื้อเข้าข้างในหรือยัง ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงแค่ไหน ไม่มีเวลาหยิบกระจกออกมาดู แต่รู้สึกได้ว่าเหงื่อที่ออกมาคงทำปฏิกิริยากับทรงผมแน่ๆ
    ฉันใช้นิ้วปาดปอยผมด้านหน้าไปทางซ้าย รวบผมหางม้าด้านหลังให้ตรึง หายใจเข้าลึกๆ แล้วเดินตัวตรง คิดในใจว่าต้องสง่างามที่สุดใน First look ที่ทุกคนจะมองเห็น
    ฉันค่อยๆเดินผ่านแต่ละห้องไปเรื่อยๆ มันแย่ตรงที่ มัธยมชั้นปีที่6/1นั้นอยู่ตรงกลางอาคารพอดีไม่ว่าจะขึ้นจากฝั่งไหนก็ต้องผ่านห้องเรียนห้องอื่นๆ แต่วันนี้ฉันเลือกเดินผ่านฝั่งทางเด็กม.5 ดีกว่า จะได้ไม่เป็นที่สนใจ จะได้ไม่มีคนทัก
    ผิดคาด
    เพียงแค่เดินผ่านห้องแรก.............
    “พี่เจ้ยครับ มาสายจังเลยวันหลังให้ผมไปรับนะครับ” เสียงเด็กผู้ชายคนนึงดังออกมาจากห้องแรก
    ฉันชะงัก แล้วค่อยๆหันไปมอง พร้อมใบหน้ายิ้มเจื่อนๆ แต่ก็ไม่ได้พูดทักกลับได้แต่โบกมือเป็นการทักทาย
    น้องนัทนั้นเอง จริงๆน้องคนนี้ทักฉันในเฟจบุ๊คประจำแต่ฉันก็ไม่ตอบ เพราะรู้สึกรำคาญในลีลาการพูดจาของน้องเค้า
    “พี่เจ้ย น่ารักจังเลยค่ะ” เสียงจากห้องที่2....
    “พี่เจ้ยเปลี่ยนเบอร์เหรอ” ....... เสียงจากห้องเดียวกัน
    “พี่เจ้ยรับแอดหนูหน่อยนะ”...
    “พี่เจ้ยครับ..”....
    .....และอีกอื่นๆที่ฉันฟังไม่ทัน ตลอดทางที่เดินผ่านจะได้ยินเสียงเด็กนักเรียนแซว หรือทักทายกึ่งหยอกกึ่งจีบอย่างนี้ตลอด

    จริงๆก็เป็นมาตลอดเวลาตั้งแต่มาเรียนที่โรงเรียนนี้แล้ว
    เคยมีคนโพสในเน็ตว่าฉันเป็นดาวโรงเรียน คล้ายๆกับว่าฉันป๊อบปูล่าในโรงเรียนนี้มาก แต่จริงๆแล้วฉันก็คิดว่าไม่ใช่นะ ในโรงเรียนฉันมีคนสวยกว่าฉันตั้งหลายคน ยกตัวอย่างเช่น น้องดาวม.5/3 น้องกิ่ง4/1 หรือจะเป็นเอื้อยซึ่งเป็นนักเรียนชั้นเดียวกันกับฉันแต่อยู่คนละห้อง เธอคนนั้นก็สวยมาก เคยมีคนโพสบอกว่าในบรรดาดาวโรงเรียน แม้ฉันจะเป็นดาวโรงเรียนที่ดูร่าเริงสดใส เพอร์เฟคก็จริง แต่ฉันไม่มีลุคที่เป็นนางงามเลย ตรงกันข้ามกับเอื้อยที่เป็นคนสวยและสง่ามาก เธอยิ้มเก่ง และดูเป็นผู้หญิงเรียบร้อย ถ้าจะยกตำแหน่งดาวที่เจิดจรัสที่สุดแล้วก็น่าจะเป็นเอื้อยมากกว่า
    ซึ่งถึงแม้ว่าฉันได้อ่านตอนแรกแล้วจะรู้สึกเสียใจนิดๆแต่มาคิดๆดูแล้วก็คงจะจริงอย่างที่เขาว่ากัน
    ...เพราะฉันไม่ค่อยชอบทำตัวสวยเหมือนเค้านี่นา....

    ...ฉันทั้งเดินทั้งคิดจนมาถึงหน้าห้องเรียนของตัวเอง
    แว๊บแรกที่ฉันเห็นคือคุณครูอภิญญา ซึ่งตอนนี้กำลังขานชื่อนักเรียนอยู่หน้าห้องแล้ว แล้วสายตาของคุณครูก็หันมาเห็นฉันที่ประตูพอดี ฉันยกมือไหว้ทำหน้าแหยๆ
    “ทิพานัน วันแรกก็มาสายเลยนะคะ ไปเสริมสวยอยู่เหรอคะลูก” คุณครูพูดเสียงดังและลากเสียงยาวๆ เหมือนเป็นการประชด แม้ในห้องเงียบสนิท แต่ก็ได้ยินเสียงคนกลั้นหัวเราะอยู่
    “เปล่าค่ะ รถหนูยางรั่วค่ะ” ฉันพูด ยืนตรงอยู่หน้าประตูห้องรอคุณครูอนุญาติเข้าห้อง
    “อ่ะ รีบๆเข้ามาหาที่นั่งซะ ครูกำลังเช็คชื่อ”
    ฉันเดินเข้ามาตรงหน้าห้อง ตอนนี้ฉันมองไปรอบๆห้องไม่มีโต๊ะตัวไหนที่ว่างเลย ทุกโต๊ะมีเพื่อนนักเรียนนั่งอยู่ก่อนแล้ว ฉันหันหน้าไปทางคุณครู
    “หนูต้องไปเอาโต๊ะเสริมมาหรือเปล่าคะ”
    คุณครูชี้ไม้เรียวในมือไปทางหน้าห้องเรียนสุดมุมซ้าย “นู้นๆตรงนั้นยังว่าง ไปนั่งหน้าห้องเลย..เด็กเรียนนี่เรา”
    หน้าห้องตรงมุมซ้ายสุดตรงนั้นมีที่นั่งว่างอยู่ที่นึงพอดี แต่เอ๊ะเดี๋ยว....คนที่นั่งยิ้มอยู่ข้างๆโต๊ะที่ว่างนั้นคือ...
    !!!! เอื้อย??????
******************************


    “นักเรียนเคารพ....” ฉันตะเบงเสียงเพื่อจะให้เพื่อนๆได้ยิน
    “ขอบคุณครับ/ค่ะคุณครู”เสียงเพื่อนๆพูดพร้อมกัน แล้วก็ตามมาด้วยเสียงจอแจ

    นี่ก็เป็นอีกปีนึงที่ฉันได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าห้องคู่กับบอลรองหัวหน้าห้องชาย

    จริงๆเพื่อนๆก็อาจจะเลือกๆไปตามความเคยชินเพราะว่าเคยเลือกแล้วก็เลือกเลยแล้วกันประมาณนี้
    ฉันนั่งนึกภาพตอนที่ครูให้โหวตว่าจะให้ใครเป็นหัวหน้าห้อง แล้วก็มีคนเลือกฉันจากนั้นก็เป็นการยกมือให้คะแนนกัน ตอนโหวตฉันหันไปเห็นเอื้ยยกมือโหวตให้ฉันด้วย

    ...นี่คงเป็นมิตรไมตรีครั้งแรกที่อยากจะหยิบยื่นให้เราในฐานะที่นั่งข้างๆกันสินะ....

    ก็ขอบใจแล้วกัน.. คงต้องถามไถ่นิดนึงเพราะเธอคงจะไม่มีเพื่อน ...ฉันคิดในใจในขณะที่กำลังค้นหาหนังสือมาไว้เรียนในคาบต่อไป

    “โอ้ย อยากเอาโต๊ะมานั่งตรงนี้จังเลย ผมคงจะเรียนเก่งขึ้นเพราะมีนางฟ้ามานั่งใกล้ผมตั้งสองคนแหนะ”
    ฉันหันขวับไปตามเสียงนั่นทันที แนท เพื่อนผู้ชายในห้องที่ฉันมีความรู้สึกว่ากะล่อนที่สุด ฉันมองหน้าแล้วก็ถอนหายใจจงใจจะให้ได้ยิน แต่เปล่าประโยชน์เพื่อนผู้ชายคนนั้นคงไม่ได้ยินหรอกเพราะรู้สึกว่าเสียงหัวเราะของเพื่อนผู้ชายในห้องดังกลบหมดแล้ว
    ก็คงจะพูดเอาฮาตามประสาผู้ชายกะล่อน
    ฉันเบือนหน้าหนีไปทางเอื้อย เห็นเอื้อยนั่งก้มหน้านิ่งอยู่
    แต่เมื่อสังเกตดีๆแล้วจะเห็นว่า...เอื้อยหน้าแดง... นี่คงเป็นเพราะอายที่โดนแซวแน่ๆเลย
    ไม่ได้การต้องทำให้เพื่อนใหม่หายจากอาการประหม่านี้สักหน่อย
    ฉันยื่นมือไปเคาะที่โต๊ะเอื้อยเบาๆ

    “ก๊อกๆ ...หลับหรือยาง....”ฉันพูดลากเสียงยาวด้วยน้ำเสียงชวนขัน

    เอื้อยสะดุ้งหันมามองหน้าฉัน โชว์ให้เห็นใบหน้าที่ยังแดงระเรื่ออยู่ แต่ก็ยังฉีกยิ้มให้เห็นฝันขาวๆของเธอ พร้อมๆกับส่ายหน้าเบาๆ
    ..เอ้า..เธอไม่ตอบเราแฮะ ...
    “เป็นยังไงบ้าง มาเรียนห้องนี้ อาจจะอึดอัดนิดหน่อยนะเพราะมีแต่พวกบ้าๆบอๆ” ฉันยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจ พยายามชวนพูดอีก พร้อมๆกับโยกหัวไปทางพวกนักเรียนชายที่เดินมาแซวเมื่อกี้
    “แต่ถ้าอยู่ไปนานๆก็โอเคนะ แรกๆเราก็โดน ตอนแรกก็อายหน้าแดง หลังๆมาเริ่มด่าแม่พวกนี้ได้เกือบทุกคนแล้ว นี่ถ้าอยากรู้จักชื่อพ่อแม่พวกนี้ถามเราได้นะ เราจำได้หมดแล้ว” ฉันพูดติดตลก หวังให้ผู้ฟังรู้สึกอารมณ์ดีและผ่อนคลายบ้าง
    ได้ผลเพราะเอื้อยหลุดหัวเราะ แต่ก็เป็นเสียงหัวเราะที่ไม่ค่อยดังเพราะเธอเอามือป้องปากเธอไว้นั่นเอง
    “ไม่เป็นไรหรอก เค้าแค่ประหม่าน่ะ.. คงเป็นเพราะเป็นครั้งแรกที่เราไม่ได้อยู่ในห้องเดิม” เธอยิ้มตอบ

    ..ว้าว!!! เสียงหวานจัง...อยู่ๆฉันก็คิดขึ้นมา ใช่สินะฉันไม่เคยได้คุยกับเอื้อยสักทีเลยไม่เคยได้ยินเสียงของเอื้อยว่าเป็นยังไง
    “แล้วทำไมเอื้อย ได้มาอยู่ห้องนี้ล่ะนี้” ฉันถามด้วยความสงสัย แต่ก็นึกขึ้นมาได้ทันที
    “อ๋อ อาจารย์คงคัดเด็กที่ได้เกรดดีขึ้นมาในห้องที่มีเกรดเฉลี่ยค่าเดียวกันสินะ คงจะหวังว่าจะได้มีแรงผลักดันในการสอบเข้ามหาลัยกัน ประมาณว่าให้เพื่อนเกาะกลุ่มกันติวกันละนะ”ฉันพูดต่อทันที ที่นึกขึ้นได้
    เอื้อยเลิกคิ้วให้นิดนึง เป็นการตอบรับว่าที่ฉันคิดน่ะถูกแล้ว
    ฉันมองไปรอบๆห้อง จริงๆด้วยเพื่อนบางคนที่เรียนเกรดไม่ค่อยดีในห้องไม่ได้อยู่ในห้องนี้แล้ว รวมถึง “เอก”และ “หญิง” ด้วย
    เอกและหญิงเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดในห้องของฉัน ฉันมักไปไหนมาไหนกับสองคนนี้ประจำ คนที่นั่งข้างๆฉันมาตั้งแต่ม.4ก็คือหญิง แต่หญิงได้เกรดสู้เพื่อนๆในห้องไม่ค่อยได้ ไม่ใช่เพราะหญิงไม่เก่งหรอก แต่เป็นเพราะว่าคนในสายชั้นนั้นเก่งขึ้นมาเยอะ และเรียนได้เกรดดีกว่าหญิงและเอกอีก พออาจารย์แบ่งห้องใหม่สองคนนี้จึงจำเป็นต้องไปอยู่กับนักเรียนห้องอื่น
    “เอื้อยมาจากห้องไหนอ่ะ”ฉันหันไปถามเอื้อยเพราะจำไม่ได้จริงๆว่าเธออยู่ห้องไหน
    “ห้อง 3จ๊ะ” เอื้อยตอบแบบอายๆ
    “โห เก่งมากเลยนะ จากห้อง 3 กระโดดมาไกลถึงห้อง1ได้” ฉันทำตาโตด้วยความตื่นเต้น
    “ไม่หรอก..” เธอตอบหลบเสียง
    “เอาอย่างนี้มั้ย ในฐานะที่เป็นเด็กใหม่ของห้องเรา ถ้าไม่มีเพื่อนไปไหนมาไหนเดี๋ยวเราพาไปเอง”ฉันเสนอตัวเพราะไม่อยากให้เพื่อนใหม่รู้สึกเหงา
    “จริงดิ ขอบคุณมากๆเลยนะ..เจ้ย..” เอื้อยตอบด้วยน้ำเสียงดีใจ แต่แอบเรียกชื่อฉันเสียงเบาๆ
    ...คงจะนึกชื่อฉันไม่ออกสินะ... ฉันคิด ...ทีฉันยังจำชื่อเธอได้เลย นี่เธอไม่สนใจใคร หรือฉันไม่ค่อยมีคนรู้จักนี่..

    แล้วฉันก็นึกอะไรขึ้นได้
    “นี่..ขอเบอร์เอื้อยหน่อยสิ เวลามีธุระหรืองานอะไรจะได้โทรบอกได้ไง” ฉันพูดพลางยื่นโทรศัพท์ไปให้เอื้อยกดให้
    “ได้สิ” เอื้อยยิ้ม เธอรับโทรศัพท์ไปกดเบอร์ให้สักพักก็ยื่นคืน
    ฉันกดโทรออกเบอร์ที่เอื้อยเมมไว้ให้ แล้วฉันก็ได้ยินเสียงเพลง “โดเรมอน”
    ..เฮ้ย น่ารักชะมัดเลย...ความคิดในใจฉันแล่นมาทันทีที่ได้ยินเสียง
    เอื้อยยิ้มแล้วยกโทรศัพท์ขึ้นให้ดู “เบอร์..เจ้ย..ใช่มั้ย”
    ...นั่นแอบเรียกชื่อเราเบาๆอีกแล้ว..
    “ใช่ๆ เอามานี่เด๋วเราเมมชื่อเราให้” เอื้อยยื่นโทรศัพท์ให้
    ฉันรับโทรศัพท์มานั่งเมมชื่อ เสียงโทรศัพท์ดังติ๊ดๆสักแป๊บฉันก็คืนโทรศัพท์ให้
    “อ๊ะ ชื่อเรายาวนะอย่าลืมชื่อเราล่ะ”
    เอื้อยรับโทรศัพท์มาก้มอ่านดู สักพักเธอก็หัวเราะเสียงดัง แม้ไม่ดังมากแต่ก็ดังกว่าครั้งแรกที่ได้ยิน

    ฉันยิ้ม แอบมองเห็นข้อความที่บันทึกให้เมื่อกี้
    “เจ้ยคนสวยรองจากเอื้อยนะคะ”

*********************************

    เสียงออดพักเที่ยงดังขึ้น พร้อมๆกับเสียงจอแจในห้อง บ้างก็เป็นเสียงเคาะโต๊ะของเพื่อนผู้ชายที่เร่งให้เพื่อนไปกินข้าวด้วยกัน บ้างก็เป็นเสียงผู้หญิงชี้ชวนให้อ่านข้อความในเน็ตก่อนจะไปกินข้าว
    ฉันหันไปทักกับเพื่อนๆสองคนที่เดินมาชวนฉันไปกินข้าว แล้วพลันคิดขึ้นได้ว่าเพื่อนข้างโต๊ะฉันคงยังไม่มีใครไปกินข้าวด้วยแน่แท้
    “เอื้อย...ไปกินข้าวด้วยกันมั้ย” ฉันชวน
    “อ่อ ไม่เป็นไรจ้าพอดีเค้านัดกับเพื่อนไว้แล้วล่ะ จะมารับไปกินข้าวด้วย” เอื้อยยิ้มตอบอย่างมีมารยาท
    “เพื่อนที่ห้องเดิมเหรอ” ฉันถาม
    “จ๊ะ นั่นไงมาแล้วเดี๋ยวเค้าไปหาเพื่อนเค้าก่อนนะ เดี๋ยวค่อยเจอกันนะเจ้ย” เอื้อยพูดพร้อมกับลุกขึ้นกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปที่ระเบียงหน้าห้อง
    ฉันมองตามไปที่ประตู มองเห็นเจ้ยกับเพื่อนผู้หญิงคนนึงผมตัดสั้น จนเหมือนทรงผมผู้ชาย แว๊บแรกที่ฉันเห็นโดยที่ไม่มองดูชุด ฉันก็คิดว่าเป็นผู้ชายซะอีก
    เอ..เหมือนจะเป็น “ทอม” ฉันขมวดคิ้วมองอีกครั้ง ทำไมหน้าไม่ค่อยคุ้นเลย ไม่เคยเห็นหน้า
    ใครอะ ..แฟนเอื้อยเหรอ..ฉันคิด
    ที่โรงอาหารฉันพบเอกและหญิงนั่งทานข้าวอยู่ที่โต๊ะอาหารสองคน ฉันรีบถือจานอาหารและแก้วน้ำเดินตรงไปหาสองคนนั้นทันที
    เอกและหญิงทักทายฉัน แต่ดูสีหน้าจะไม่ค่อยสู้ดี คงเป็นเพราะรู้สึกไม่ดีที่ต้องมาอยู่อีกห้องนึงเป็นแน่
    ฉันถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของทั้งสองพอเป็นพิธี แต่ไม่ได้เจาะลึกถึงเรื่องที่ทั้งสองไปเรียนอยู่ห้องอื่น เพราะไม่อยากให้เพื่อนทั้งสองคนคิดมาก และรู้สึกแย่มากกว่านี้ แต่ก็รู้คร่าวๆมาว่าทั้งสองตอนนี้อยู่ที่ห้อง 2ด้วยกัน
    ในระหว่างที่ฉันนั่งกิน ฉันก็มองสำรวจบรรยากาศในโรงอาหารรอบๆ ร้านอาหารมีเพิ่มขึ้นทั้งร้านอาหารตามสั่งที่อยู่ตรงหัวมุมและร้านน้ำ แล้วสายตาของฉันก็เหลือบไปเห็น เอื้อยกับเพื่อนคนนั้นของเธอนั่งกินข้าวด้วยกันสองคน ที่โต๊ะด้านหน้ามุมซ้ายสุดติดกับร้านอาหารร้านใหม่ร้านนั้น
    ทั้งสองแลดูยิ้มแย้ม คุยหัวเราะกระหนุงกระหนิงดี ถ้าคนอื่นมองคงคิดว่าเป็นแฟนกัน รวมถึงฉันด้วย
    ...เอ แต่ไม่เคยได้ข่าวเลยนะว่าเอื้อยมีแฟนแล้ว ยิ่งมีแฟนเป็นทอมนี่คนต้องพูดกันเยอะแล้วสิ
    ...เห็นเงียบๆอย่างนี้ มีแฟนเป็นทอมซะด้วย ดูฉันสิอยู่มา6ปีแล้วแฟนซักคนยังไม่กล้ามีเลย.....
    แล้วความคิดมั่วๆของฉันเมื่อกี้ก็หยุดลง ด้วยความคิดใหม่ที่ดูเสียงดังกว่า มันแทรกขึ้นมาว่า
    ..แล้วไปยุ่งเรื่องของเค้าทำไมนี่..
    ฉันหวนกลับมามองที่โต๊ะอาหาร มองเห็นจานข้าวเพื่อนทั้งสองหมดแล้ว
    “อิ่มกันแล้วเหรอ... ไวจัง ฉันยังกินไม่หมดเลยพวกแก”

    “ก็รีบๆกินสิแก ฉันเห็นแกนั่งมองนั่งมองนี่อยู่เมื่อไหร่จะอิ่มเล่า” หญิงพูดด้วยน้ำเสียงติดตลก
    “นี่ได้ข่าวว่าเอื้อยขึ้นไปอยู่ห้อง 1 เหรอ เก่งจังเลยเค้ามีแฟนหรือยังอะ ติดต่อให้ฉันหน่อยสิแก”เอกถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น แต่ก็โดนหญิงเอาศอกกระทุ้งเอวเข้าให้
    “โน้น แฟนเค้านั่งอยู่โน้น แกน่ะอกหักตั้งแต่ไม่เริ่มจีบแล้ว ใช่มั้ยเจ้ย” หญิงชี้นิ้วไปทางที่เอื้อยนั่งกินข้าวอยู่ แล้วหันหน้ามาพยักเพยิดกับฉัน เพื่อหาคนสนับสนุนความคิดนี้
    “ไม่รู้สิ อยากรู้เดี๋ยวถามให้มั้ย เค้านั่งข้างๆฉันนี่ล่ะ เอามา200 ค่านายหน้า” ฉันยื่นมือออกไปหาเอก เลิกคิ้วสูงขึ้น
    “แต่ถ้าเค้ามีแฟนอยู่แล้วฉันคงไม่ไปแย่งเค้ามาจากแฟนหรอกว่ะ สงสารผู้หญิง” เอกพูดพลางเก๊กหน้าเศร้าให้รับกับมุกเมื่อกี้
    “จ้า พ่อคุณหล่อลากดินลากหางอย่างนี้เค้าคงมาหรอก รู้จักมั้ยคำว่าดอกฟ้ากับหมาวัดอ่ะ” หญิงพูดกัดเอก โดยมีฉันตบมือและหัวเราะสนับสนุน แต่สายตากลับชำเลืองมองไปทางเอื้อยเป็นระยะๆ
    ....ตกลงเค้าเป็นแฟนกันจริงๆเหรอเนี่ย...ฉันยังไม่วายสงสัยในตัวเพื่อนใหม่ของฉันเหมือนเดิม

    ในช่วงแรกของวันที่เปิดเทอมเรามักจะคิดว่าเวลาผ่านไปเร็วมาก วันนี้ก็เช่นเดียวกัน คาบเรียนในแต่ละคาบผ่านไปอย่างรวดเร็ว ส่วนมากก็จะเป็นการแนะนำรายวิชา การพูดคุย การแนะนำเรื่องต่างๆที่จะเกิดขึ้นในเทอมนี้
    เสียงออดเลิกเรียนดังขึ้น ฉันเก็บกระเป๋าลุกขึ้นบอกลาเพื่อนในห้องรวมทั้งเอื้อย
    ฉันรีบขับรถกลับมาถึงบ้านใช้เวลาไม่นาน เพราะฉันขับมาตามถนนทางลัดซอยหลังโรงเรียน
    เมื่อถึงบ้านฉันเดินเข้าไปไหว้แม่ที่ห้องครัว วันนี้แม่เตรียมอาหารเย็นแต่หัววัน ฉันถามแม่ว่าให้ช่วยอะไรมั้ยแต่แม่กลับปฏิเสธโดยบอกให้ฉันไปทำการบ้านและงานของตัวเองให้เรียบร้อยดีกว่า
    ฉันเดินทอดน่อง ขึ้นบันได้บ้านไปห้องนอนตัวเองที่ชั้นสอง ในระหว่างที่กำลังบิดลูกบิด ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดัง... ติ่งหน่อง ....คงเป็นเสียงของไลน์ จริงๆเวลาเรียนฉันมักจะปิดเสียงไว้ แต่ตอนที่จะขับรถกลับบ้านฉันจะเปิดเสียงของโทรศัพท์เอาไว้ก่อน เผื่อมีใครซักคนที่โทรเข้ามาด้วยเหตุจำเป็นฉันจะได้ได้ยินเสียงมัน
    เมื่อวางกระเป๋าและจัดของเก็บไว้ในชั้นเรียบร้อยแล้ว ฉันจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู

    “เอื้อยเพิ่มคุณจากรายชื่อแล้ว” เป็นข้อความของโปรแกรมไลน์ที่ส่งมา

    ฉันกดเข้าไปที่รายชื่อของเอื้อยนึกในใจ คงเป็นตอนที่เมมเบอร์ไว้รายชื่อเลยอัพเดตให้อัตโนมัติ..
    “หวัดดีเอื้อย” ฉันพิมพ์ ข้อความพร้อมทั้งส่งสติ๊กเกอร์รูปหมีสวัสดีไปให้
    “กลับถึงบ้านหรือยัง”ฉันพิมพ์ถาม
    “ยังเลย รอแม่มารับอยู่จ่ะ” เอื้อยพิมพ์ตอบกลับมาพร้อมส่งสติ๊กเกอร์รูปกระต่ายนั่งเหงากลับมา
    “อ้าว รออยู่คนเดียวเหรอ 5 โมงแล้วนี่”
    “เปล่าอยู่กับอัน”เอื้อยพิมพ์ตอบมา
    ฉันส่งสติ๊กเกอร์รูปหมีงงกลับไปให้ด้วยความสงสัยว่าใครคือ “อัน”

    เอื้อยคงรู้ว่าฉันไม่รู่ว่าใครคืออันเธอจึงรีบพิมพ์ตอบกลับมา

    “อันที่เค้าไปกินข้าวด้วยไง”
    “เพื่อนเค้าเอง”
     “แม่ มาแล้วกลับก่อนนะ” เอื้อยพิมพ์ก่อนที่จะหายไปจากการสนทนาครั้งแรกของเรา
    “บาย ถึงบ้านแล้วบอกด้วยนะ” ฉันพิมพ์ตอบกลับไปและหวังว่าผู้รับคงจะได้อ่านและส่งข้อความกลับมา

    แต่ก็เงียบ.....
    ไม่มีเสียงใดๆตอบกลับมา ฉันวางโทรศัพท์ลงคิดในใจเดี๋ยวเค้าคงตอบกลับมาเองล่ะ ไปทำการบ้านดีกว่า
    ช่วงเย็น ฉันลงไปทานข้าว ล้างถ้วยชามช่วยแม่ทำกิจกรรมหลายๆอย่างที่ทำประจำก่อนขึ้นมาบนห้องนอน
    ฉันมองดูนาฬิกาตอนนี้มันบอกเวลาไว้ที่ทุ่มสี่สิบห้านาที ฉันหันมามองที่โทรศัพท์เสียงข้อความในไลน์ดังขึ้นตลอด มันดังบ่อยและถี่มาก แต่ก็เป็นการแจ้งเตือนข้อความของคนที่รู้จักคนอื่นๆส่งมา
    ฉันนั่งนึกถึงประโยชน์สุดท้ายที่พิมพ์ไป
    “กลับถึงบ้านบอกเราด้วยนะ” คนอ่านก็ไม่มีน้ำใจที่จะตอบเลยนะ เอ๊ะ..หรือยังไม่อ่าน
    แล้วเหมือนนึกขึ้นได้ทันทีฉันหยิบโทรศัพท์มาดูที่รายชื่อเอื้อย ณ ข้อความที่ส่งไปให้เอื้อยครั้งล่าสุด มันโชว์ว่ายังไม่ได้อ่าน
    “ตั้งแต่5โมงจนจะ2ทุ่มแล้วนี่นะ อะไรกันเธอคนนี้” ฉันบ่นพึมพัมเล็กๆอยู่คนเดียว
    “ไปอาบน้ำดีกว่า” ฉันคิด ในขณะที่ฉันวางโทรศัพท์ลงบนเตียงหันหลังเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ฉันลังเลว่าควรจะรับดีมั้ยเพราะส่วนมากมักจะมีคนที่โทรมาชวนคุยในเรื่องที่ฉันไม่ค่อยชอบ ซึ่งอาจจะหมายถึงโทรมาจีบ แต่เมื่อคิดว่าอาจจะมีคนมีเหตุจำเป็นก็รีบเดินมาหยิบโทรศัพท์ขึ้นดูเบอร์โทรเข้าก่อน
    เป็นเบอร์ของเอื้อยที่โทรเข้ามา เหมือนเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติทันทีที่เห็นชื่อฉันรีบกดรับโทรศัพท์ เสียงใสๆปลายทางก็ดังผ่านมา
    “หวัดดีเจ้ย นอนหรือยัง” เสียงใสๆจากปลายสายดังผ่านมา
    “ยังเลย ทำการบ้านพึ่งเสร็จ เอื้อยล่ะทำไรอยู่” ฉันรีบตอบด้วยความอารมณ์ดี
    “อ๋อ เค้าพึ่งกลับมาถึงบ้านอ่ะ แม่พาไปเยี่ยมคุณยายที่รู้จักที่โรงพยาบาล ไม่ได้เปิดดูข้อความเลยไม่รู้ว่าเจ้ยส่งมาหา” เอื้อยรีบพูด
    “อ๋อ..” ฉันเข้าใจได้ทันที
    “ถึงบ้านแล้วนะ โทรมาบอกแค่นี้ล่ะ เดี๋ยวเค้ารีบทำการบ้านก่อนพรุ่งนี้เจอกันนะ” เอื้อยพูดต่อ
    “อ๋อ ได้ๆเราก็จะอาบน้ำนอนแล้วล่ะ บายนะ”
    “จ้า” ติ๊ด... เป็นเสียงของทางปลายสายตัดสายทิ้งไป

    ...เฮ้อ..ค่อยยังชั่วหน่อยนึกว่าเพื่อนใหม่จะไม่สนใจในไมตรีที่หยิบยื่นให้ซะแล้ว ใช้ได้เลยทีเดียวนะเพื่อนคนนี้..... ฉันเผลอยิ้มแก้มปริออกมาแต่ก็รีบหุบยิ้มเมื่อหันไปเห็นหน้าตัวเองในกระจก

    หน้าโทรมเชียว...นั่งทำการบ้านคณิตศาสตร์ตั้งแต่ตอนเย็น...หน้าย่นหมด..

    ไม่ได้การ..ต้องรีบอาบน้ำนอนซะแล้ว พลางจับดูหน้าตัวเองก่อนจะเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวพร้อมกับฮัมเพลงด้วยความอารมณ์ดีเดินหายเข้าห้องน้ำไป....
Next
บทความใหม่กว่า
Previous
This is the last post.