Lovely
Mafia Girl
ลูกสาวเจ้าพ่อ
ขอเป็นแฟนหนู
พี่พลอย..
….“พ่อคะแม่คะ..นี่พี่พลอยค่ะเป็นรุ่นพี่ที่โรงเรียนกี้ค่ะ”
เสียงฉันเรียกพ่อกับแม่ตอนที่ฉันเดินเอาออร์เดอร์เข้ามาส่งพ่อโดยมีพี่พลอยในชุดนักเรียนที่ดึงเสื้อออกนอกชายกระโปรงเดินยิ้มๆขนาบข้างมากับฉันที่โต๊ะเคาน์เตอร์
พ่อกับแม่หันมามองพี่พลอยที่ยิ้มสวยแล้วยกมือไหว้พ่อกับแม่แล้วก็ทำหน้าประหลาดใจ
“อ้าวหนูนี่นา..เย็นนี้มาสามรอบแล้วนี่..”
เสียงแม่ทักพี่พลอยด้วยเสียงงงๆ
..ฉันคิ้วขมวดหันไปมองพี่พลอยที่ยิ้มหน้าแหยๆทันทีที่โดนแม่ทักอย่างนั้น...
“..มาสามรอบ??..”
ฉันเลิ่กคิ้วทำหน้างงๆเอ๋อๆถามพี่พลอย
พี่พลอยยิ้มน้อยก่อนจะยักคิ้วส่งคืนมาให้ฉัน
ท่ามกลางพ่อกับแม่ที่ยืนรอฟังคำตอบเหมือนกันว่า
ทำไมพี่พลอยมาร้านตั้ง3ครั้งแล้ว..
“เอ่อ..พอดีหนูมีธุระจะรอเจอน้องกี้อ่ะค่ะ
เห็นไม่ทันกลับมาจากโรงเรียนสักที..ไม่อยากจะรบกวนถามพ่อกับแม่เห็นว่ากำลังยุ่งๆกันอยู่
คิดว่าเดี๋ยวจะวนมารอดูน้องเรื่อยๆเองดีกว่า..”พี่พลอยยิ้มหวานมองพ่อกับแม่ที่ทั้งทำข้าวมันไก่ให้ลูกค้าทั้งหันมาฟังพี่พลอยพูด
“อ๋อ..มิน่าล่ะ
เห็นมานั่งสั่งข้าวมันไก่กินตั้งสองรอบแล้ว
แม่กับพ่อก็นึกว่าทำให้หนูน้อยเกินไปคงไม่อิ่มเลยกลับมาสั่งกินใหม่อีก..”แม่ทั้งพูดทั้งหัวเราะมองดูพี่พลอยที่ทั้งยิ้มทั้งขำตอนที่ยินเรื่องที่แม่เล่า
“จริงๆหนูก็กินไม่อิ่มหรอกค่ะ
เพราะว่าข้าวมันไก่ร้านพ่อกับแม่เป็นของโปรดของหนูเลยนะคะ..หนูชอบข้าวมันไก่ของพ่อกับแม่มากๆเลย...กินเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ
กินยังไงก็รู้สึกอยากกินอีกเรื่อยๆ
นี่..หนูตั้งใจว่ามารอบที่สามนี่ก็จะมานั่งสั่งกินอีกเหมือนเดิมค่ะ..”พี่พลอยยิ้มหวานทำหน้าจริงจังตอนเธอพูดเรื่องข้าวมันไก่
แม่ยิ้มหัวเราะยกมือขึ้นโบกปัดด้วยความเขินที่เห็นพี่พลอยออกปากชมรสชาดข้าวมันไก่ร้านตัวเองอย่างนี้
“แหมๆ..
หนูพลอยนี่นอกจากจะสวยน่ารักแล้วยังปากหวานอีก
เดี๋ยวรอบนี้แม่จะเลี้ยงเลยแล้วกันจะแถมให้เป็นพิเศษเลยนะถ้าอย่างนั้น..”
“ขอบคุณค่ะ”
พี่พลอยยิ้มยกมือไหว้ขอบคุณพ่อกับแม่แล้วหันมายักคิ้วและส่งยิ้มหวานๆของเธอมาให้ฉัน
“ถ้าอย่างนั้นพ่อกับแม่มีอะไรจะให้หนูช่วยบอกหนูได้เลยนะคะ
หนูยินดีเป็นลูกมือพ่อกับแม่แลกเปลี่ยนที่พ่อกับแม่ใจดีเลี้ยงข้าวมันไก่หนูนะคะ
แม่จะใช้อะไรหนูเรียกได้เลยนะคะ...”
ฉันยืนอึ้งมองพี่พลอยพูดกับพ่อแม่แล้วก็อดที่จะคิดในใจไม่ได้ว่า..
โห..พี่พลอยสุดยอดเลยอ่ะ
รู้จักพูดเอาใจคนเสียด้วย
สมแล้วที่ฉันหลงเคลิ้มไปกับสำนวนคำพูดของพี่พลอยตอนที่ฟังพี่พลอยพูดอยู่ตรงหน้าห้องประชุม..
พ่อแม่และพี่พลอยยืนหัวเราะชอบใจกันอยู่พักนึงก่อนที่ฉันจะขอตัวพาพี่พลอยเดินเลี่ยงลูกค้าที่นั่งโต๊ะด้านหน้าและด้านในกันเต็มทุกโต๊ะแล้ว
เข้าไปนั่งในร้านตรงโต๊ะด้านในสุด
ตรงนั้นเป็นที่นั่งพักประจำของฉัน
เป็นโต๊ะเฉพาะคนในบ้านของเรานั่ง
เวลาที่พวกเราพักกินข้าวหรือนั่งคุยอะไรกันมักจะมานั่งโต๊ะตัวนี้
พี่พลอยนั่งยิ้มหวานมองฉันที่ทั้งมองพี่พลอยและคอยหันกลับมาหน้าบ้านด้วยกลัวว่าจะมีลูกค้าคนไหนมีอะไรขาดเหลือบ้างหรือเปล่า
“...เข้าทางพ่อแม่เลย..เก่งป่ะล่ะ”
พี่พลอยแกล้งพูดหยอกฉันตอนที่ฉันเดินไปเอาแก้วตักน้ำแข็งเปล่ามาให้..เธอทั้งพูดทั้งขำก่อนจะหยุดนั่งแล้วยิ้มหวานทำหน้าเหมือนคนจริงจังในคำพูดของเธอแล้วมองฉันต่อ
ฉันหัวเราะหึๆ
ก่อนจะรินน้ำจากเหยือกน้ำลงแก้วแล้วส่งให้พี่พลอย
“ตลกแล้ว..ไม่ขำด้วยหรอกนะ”
ฉันทำเสียงงอนๆทั้งพูดทั้งหัวเราะหึๆให้พี่พลอย
“แย่จัง...ตลกฝืดเหรอนี่..”พี่พลอยแกล้งทำเสียงและหน้าตาละห้อยก่อนจะหันมายิ้มให้ฉันอีกครั้งนึง
“กี้ยุ่งอยู่เหรอ...ถ้ายังมีอะไรทำอยู่ไปทำก่อนก็ได้นะ...บอกพี่ก็ได้พี่จะช่วย”
ฉันโบกไม้โบกมือปฏิเสธความมีน้ำใจของพี่พลอยทันทีได้ยินเธอว่า
“เฮ้ย
ไม่ต้องค่ะพี่พลอย
พี่พลอยเป็นแขกนั่งอยู่นี่เลย
แค่กี้อาจจะเทียวลุกเทียวนั่ง
อาจจะยังคุยกับพี่พลอยได้ไม่เต็มที่นะ
ถ้ายังไม่ได้ปิดร้านอ่ะ
กี้กลัวพ่อแม่จะยุ่งเพราะว่าวันนี้กี้กลับบ้านค่ำไม่ได้ช่วยพ่อกับแม่ตั้งแต่แรกกี้ก็เลยเกรงใจพ่อกับแม่นิดนึง
ถ้ายังไงพี่พลอยนั่งรอกี้อยู่นี่นะ
เดี๋ยวกี้จะเอาข้าวมันไก่มาให้พิเศษๆเลย”
“ได้เลย...พูดอย่างนี้ค่อยน่ารอหน่อย”
พี่พลอยพูดทีเล่นทีจริงทั้งยิ้มทั้งหัวเราะก่อนจะถามฉันต่อ
“ทำไมวันนี้กี้กลับบ้านค่ำจัง....ไปไหนกับใครมาเหรอ”
พี่พลอยพูดเสียงเบาๆฟังดูเศร้าๆตรงคำที่เธอถามว่าไปไหนกับใคร..
“เอ่อ..เปล่ากี้จัดบอร์ดอยู่โรงเรียนค่ะพี่พลอย..พอดีไม่ค่อยพร้อมเรื่องคน..กว่าจะเสร็จก็เลยค่ำน่ะพี่”
“อ๋อ
พี่ก็ว่าอยู่..ไอ้เราก็แอบเสียใจไปก่อนหน้านั้นซะแล้ว..คิดว่าไปไหนกับใครซะอีก...”
พี่พลอยทำหน้าเศร้าตอนที่พูดประโยคที่หมายความถึงพี่เนยอีกแล้ว
ฉันหัวเราะหึๆ
“เปล่า..ไม่ได้ไปไหนเลย..อยู่แค่หน้าห้องตัวเอง..”แล้วพี่พลอยก็ดีใจยิ้มออกทันทีที่ได้ยินฉันบอกเธออย่างนั้น
..นี่พี่พลอยจะยังดีใจอยู่มั้ยนะ..ถ้ารู้ว่าจริงๆแล้ว..ฉันอยู่จัดบอร์ดกับพี่เนยแค่สองคนเหมือนเดิม...
“พี่พลอยมาหากี้สามรอบแล้วเหรอ”ฉันลองๆถามในเรื่องที่ฉันประหลาดใจตั้งแต่ได้ได้ยินแม่ทักพี่พลอยตอนนั้น
“ใช่...ก็ว่าจะมาทวงสัญญา..ที่เคยบอกว่าถ้ามากินข้าวมันไก่ร้านกี้แล้วกี้จะแถมให้พี่เยอะๆไง..”
ฉันหัวเราะทันทีที่นึกขึ้นได้เรื่องที่คุยกันกับพี่พลอยในโทรศัพท์ตอนนั้น
อ๋อ...ที่เธอแกล้งพูดยั่วประสาทพี่เนยก็คือเรื่องนี้สินะ
แล้วพี่เนยก็ดันคิดเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตจนฉันกับพี่เนยทะเลาะกันใหญ่ขนาดนั้น
“ก็กินไปตั้งสองจานแล้วนี่
ถ้าแถมให้เยอะรอบนี้จะกินไวป่ะนี่
กินไม่หมดปรับนะ ไก่แพงรู้เปล่า..”
ฉันแกล้งหยอกพี่พลอยคืนบ้าง
“กินหมดแน่นอนอาจจะขอเบิ้ลสองอีกด้วยซ้ำถ้าเจ้าของร้านใจดีอ่ะ”พี่พลอยยังพูดทีเล่นทีจริงอีกเหมือนเดิม
“ฮ้า
กินไหวเหรอ พี่พลอยเอาพุงไปเก็บไว้ไหนนี่”
ฉันหัวเราะแกล้งแซวพี่พลอยอีกไม่น่าเชื่อเห็นผอมๆเพรียวๆอย่างนี้กินจุชะมัด
“ก็เด็กกำลังโตกำลังเรียน..มันก็ออกไปตามร่างกายส่วนต่างๆรวมทั้งสมองด้วยไง”
“เหรอ..งั้นกี้จะบอกให้พ่อเอาหนังไก่ให้พี่พลอยเยอะๆเลยดีมั้ย
จะได้บำรุงเนื้อหนังมังสาพี่พลอยเยอะๆเลยไง”
ฉันแกล้งแซวพี่พลอยที่ยิ้มร่าพยักหน้างึกๆงักๆตอบรับฉันทันที
ท่าทางเหมือนเด็กน้อยกำลังตื่นเต้นดีใจที่จะได้กินในสิ่งที่ตัวเองโปรดปรานยังไงยังงั้น
หลังจากที่ชวนพูดเรื่องข้าวมันไก่นั้น...พี่พลอยก็ยิ้มหวานนั่งจ้องหน้าฉันด้วยสายตาแปลกๆอยู่นานโดยที่เธอไม่ยอมพูดอะไรด้วยสักทีจนฉันเริ่มมีความรู้สึกประหลาดๆเกิดขึ้น...
“อะไร
มองกี้อย่างนั้นทำไม
มีอะไรผิดปกติอย่างนั้นเหรอ”
“เปล่า..พี่ก็มองเฉยๆก็เหมือนๆกับที่ทุกๆคนเค้ามองกี้กันไง..มีโอกาสได้อยู่ใกล้ๆกี้อย่างนี้แล้วก็ต้องรีบๆมองสิ”
“ตลกอีกแล้ว..พี่พลอยนี่เป็นคนตลกเนอะ..กี้นึกว่าพี่พลอยจะซีเรียสกว่านี้ซะอีก”ฉันแอบแขวะพี่พลอยที่ชอบพูดอะไรประหลาดๆอยู่เรื่อยก็ไม่รู้ฟังดูขำๆมันดูมันไม่มีสาระเอาเสียเลย
“ก็ซีเรียสอยู่..
นี่ก็กำลังจริงจังอยู่นะนี่..ทำไมมองตาพี่แล้วมันรู้สึกไม่จริงจังอย่างนั้นเหรอ”
พี่พลอยยิ้มแล้วทำเสียงขรึมๆ
ฉันหัวเราะหึๆทันทีที่ได้ยินพี่พลอยพูดอย่างนั้น
ตอนนี้ฉันหันหลังกลับไปมองที่หน้าร้าน
เริ่มมีลูกค้ากลุ่มใหม่ทยอยเข้ามาสั่งข้าวมันไก่เพิ่มอีก
แม่ต้องวิ่งสลับจากเคาน์เตอร์ไปรับออร์เดอร์ลูกค้าปล่อยให้พ่อหยิบจับนั่นนี่อยู่คนเดียว
แล้วเมื่อฉันเห็นภาพความวุ่นวายดังกล่าวฉันก็รีบขอตัวพี่พลอยออกไปดูงานหน้าร้านช่วยพ่อกับแม่ต่อทันที
ฉันรีบเดินไปเปลี่ยนตัวรับออร์เดอร์แทนแม่
ตอนนี้มีลูกค้ากลุ่มใหม่เข้ามาพร้อมๆกับกลุ่มที่นั่งกินอยู่ก่อนหน้านั้นพากันลุกขึ้นเช็คบิลแล้วออกจากร้านไป
ฉันต้องรีบวิ่งไปรับออร์เดอร์จากลูกค้ากลุ่มใหม่ทั้งกลัวว่า
โต๊ะที่ลูกค้ากลุ่มที่ออกไปก่อนหน้านั้นจะมีลูกค้ากลุ่มใหม่มานั่งเสียก่อน
โดยที่ยังไม่ได้เก็บกวาดทำความสะอาดโต๊ะเลย
จนฉันต้องคอยหันหน้าไปมองโต๊ะนั้นและหันกลับมาจดรับออร์เดอร์จากโต๊ะเบื้องหน้า
คอยหันรีหันขวางอย่างนี้ตลอดเวลา
จนกระทั่งหันกลับไปอีกรอบแล้วเห็นพี่พลอยเดินมาเก็บเอาบรรดาถ้วยจานและแก้วน้ำต่างๆเดินไปวางเก็บไว้แถวๆโต๊ะหลังบ้านที่เรานั่งกันเมื่อครู่นี้
เธอเดินไปหาแม่แล้วถามหาผ้าสำหรับปัดเช็ดโต๊ะ
แล้วเมื่อได้ผ้าเธอก็เดินมาปัดๆเช็ดๆถูๆโต๊ะเหล่านั้นจนสะอาด
ไม่เพียงเท่านั้น...
พอพี่พลอยเห็นว่าโต๊ะเรียบร้อยดีแล้วเธอก็เดินเข้าไปประชิดที่หน้าเคาน์เตอร์ที่พ่อกับแม่อยู่แล้วช่วยหยิบจับสิ่งเล็กๆน้อยๆต่างๆที่เธอพอจะช่วยพ่อกับแม่ฉันได้
หรือแม้แต่เวลาที่มีลูกค้าเดินเข้ามาใหม่เธอก็ยังอุตสาห์เดินไปยิ้มหวานคอยต้อนรับลูกค้าแถมยังคอยจดออร์เดอร์ทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่องอะไรด้วยแท้ๆ
แต่เธอก็ยังทำ..
ฉันได้ยินเสียงลูกค้าพูดแซวดังเข้าหูแว่วๆ....
“...ลูกสาวบ้านนี้มีแต่คนสวยๆ
สงสัยต้องมาทานบ่อยๆซะแล้ว..”
เช่นเดียวกันกับพ่อและแม่ที่ได้ยินแล้วพากันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่พอใจในคำชมของลูกค้าพวกนั้น....
..ค่ำนั้นกลายเป็นว่าร้านเราได้ลูกมือคนใหม่
เป็นพี่พลอยคนสวยที่คอยหยิบจับโน่นนี้นั่นช่วยงานอย่างขมีขมันทำนั้นทำนี่โดยไม่มีที่ท่าว่าจะเหนื่อยเลย
เธอทั้งทำทั้งหันมายิ้มมองหน้าฉัน
ประหนึ่งสิ่งที่เธอทำนั้นมีเป็นเรื่องที่ทำให้เธอมีความสุขเหลือเกิน
แล้วก็กลายเป็นว่า
กว่าพี่พลอยจะได้กินข้าวมันไก่จานพิเศษจานนั้นก็ปาเข้าไปเกือบๆสองทุ่มครึ่งแล้ว..
“ตายแล้วสองทุ่มครึ่งแล้วอ่ะ
พี่พลอยจะกลับบ้านหรือยัง..จะให้กี้เปลี่ยนไปห่อใส่กล่องให้มั้ย”
ฉันพูดตอนที่เหลือบไปดูนาฬิกาขณะที่เดินเอาจานข้าวมันไก่จานยักษ์ที่ฉันทำมาให้พี่พลอยแบบพิเศษของพิเศษ..
“อ่อ..ไม่เป็นไร..พี่ไม่รีบ..กลับตอนไหนก็ได้”
พี่พลอยยิ้มหวานพลางยื่นมือมารับข้าวมันไก่จานนั้น
“กลายเป็นว่าต้องมากินข้าวตอนดึกอีกอ่ะ
ยังงี้ก็อ้วนแย่สิ”
“ไม่อ้วนหรอกก็พอดีเลยเมื่อกี้ก็ทำนั่นทำนี้..ที่กินไปก่อนหน้านั้นก็ย่อยพอดีแล้วไง...”
“กี้ขอบคุณพี่พลอยนะคะ
กลายเป็นว่าต้องรบกวนพี่พลอยเฉยเลยทั้งๆที่เป็นแขกแท้ๆ”
ฉันพูดพลางยกมือไหว้ขอบคุณพี่พลอย
“ไม่เป็นไรๆไม่ต้องไหว้เลย”
พี่พลอยยิ้มหวานพลางยกมือขึ้นจับมือของฉันไว้
“อยู่บ้านพี่ก็ทำงานบ้านตลอดน่ะ
เห็นกี้ยุ่งๆอย่างนี้มันคันไม้คันมืออยากช่วยยังไงไม่รู้
เด๋วไงถ้ากี้ไม่ว่าพี่จะมาช่วยกี้ตลอดเลยก็ได้นะ”
พี่พลอยยิ่งพูดก็ยิ่งยิ้มหวานมองหน้าฉัน
มือเธอก็จับมือฉันค้างไว้ไม่ยอมปล่อยเสียที
จนฉันต้องแกล้งกระแอมแล้วขยับมือตัวเองออกมาจากสองมือของพี่พลอยนั้นเสียที
พี่พลอยยิ้มแหยๆให้ฉันแก้เขินที่โดนฉันจับไต๋ได้เรื่องที่เธอหลอกจับมือฉัน
ก่อนจะก้มหน้าก้มตาลงไปกินข้าวมันไก่ของโปรดของเธอต่อ
“ทำไมไม่เอาน้ำอัดลมเย็นๆมาเลี้ยงพี่เค้าด้วยล่ะกี้..จะได้เย็นๆชื่นใจหายเหนื่อยพี่เค้าไง...อ่ะแล้วนี้ก็ของหวานที่แม่ชอบซื้อทานเจ้าประจำที่เค้าเดินมาส่งให้ที่ร้าน..หนูพลอยลองชิมดูนะจ๊ะว่าจะอร่อยถูกใจหรือเปล่า”แม่พูดพลางยกถ้วยของหวานถ้วยเล็กๆส่งให้พี่พลอย
“โอ้โห
เยอะแยะเลย..อย่างนี้วันหลังหนูต้องมาช่วยงานบ้านแม่บ่อยๆซะแล้ว..จะได้อิ่มหมีพีมันอย่างนี้เรื่อยๆ”เสียงพี่พลอยพูดหยอกแม่ตอนที่ฉันลุกขึ้นเดินไปหยิบน้ำอัดลมในตู้เย็นมาเปิดเทใส่แก้วส่งให้พี่พลอยดื่มต่อ
“หนูพลอยเป็นรุ่นพี่ที่โรงเรียนกี้เหรอลูก
รู้จักกันได้ยังไงล่ะลูก
เรียนคนละชั้นกันไม่ใช่เหรอ
เสียงแม่ชวนพี่พลอยคุยตอนที่แม่พักเหนื่อยจากการขายของหน้าร้านมานั่งอยู่โต๊ะเดียวกันกับเรา
“อ่อ..กี้เค้าเป็นคณะกรรมการโรงเรียนน่ะค่ะ
พอดีหนูเป็น...”พี่พลอยหยุดพูดเหมือนเธอกำลังคิดว่าเธอจะบอกดีมั้ยว่าเธอเป็นอะไรในโรงเรียน
คงเพราะเธอไม่อยากให้คนอื่นรู้สึกเหมือนว่าเธอกำลังพูดอวดอ้างสถานะของเธอตอนนี้
ฉันเห็นท่าทางลังเลใจของพี่พลอยแล้วก็เลยรีบแนะนำตัวพี่พลอยแทนทันที
“พี่เค้าเป็นประธานนักเรียนน่ะแม่..ก็พี่คนนี้ล่ะที่หนูได้ทำกิจกรรมของโรงเรียนด้วย..”
แม่ยิ้มแล้วทำท่าทางตื่นเต้นทันทีที่ได้ยิน
“อ้าวเหรอลูก..มิน่าพูดจาฉะฉานท่าทางก็ดูดีมีสง่าราศรี
เหมาะสมที่เป็นผู้นำคนจริงๆด้วย
แล้วหนูมีธุระอะไรกับกี้ล่ะลูก
แม่ก็เห็นหนูเทียวมาหาน้องอยู่อย่างนี้ตั้งแต่ช่วงหัวค่ำแล้ว...”
“อ้อ
พอดีหนูแวะมาหากี้เรื่องงานในสโมนิดนึงน่ะค่ะ
แล้วก็เห็นกี้บ่นเปรยๆเรื่องไม่ค่อยเข้าใจวิชาคำนวนพวกคณิตเคมีฟิสิกส์อะไรอย่างนี้น่ะค่ะ
วันนี้หนูว่างก็เลยถือโอกาสว่าจะมาติวให้กี้ตอนเย็นสักหน่อย
ถ้าไม่รบกวนเกินไปพลอยก็อาจจะขอค้างกับน้องสักคืนนึงนะคะ..”
ฉันอ้าปากหวอทำหน้าเอ๋อรีบหันควับไปมองพี่พลอยทันทีที่ได้ยินพี่เธอพูดอย่างนั้น
~~~~~หืออออ...~~~~~
...ฉันเคยพูดอย่างนั้นด้วยเหรอ...
พี่พลอยทำหน้ากรุ้มกริ่มยิ้มหวานแล้วยักคิ้วเล็กๆส่งให้ฉัน
ใบหน้ากวนๆมองดูเจ้าเล่ห์กำลังมองฉันแล้วหัวเราะคิกคักๆทันทีที่เห็นฉันกำลังเหวอค้างอ้าปากหวอ..
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ..ไม่ต้องเกรงใจพี่หรอกนะ..กี้ก็รู้นี่คุณครูให้พี่เข้าร่วมโครงการติวน้องตอนปิดเทอมตลอด
พี่ติวน้องที่โรงเรียนน่ะพี่ได้เบี้ยเลี้ยงตลอดนะ
นี่พี่มาติวให้กี้ฟรีๆกี้ก็อย่าปฏิเสธสิ..”พี่พลอยยังยิ้มทำหน้ายิ้มแย้มไร้เดียงสาของเธอต่อไป
“โอ้ยดีเลยๆ
แม่ก็เป็นห่วงกี้ทังกังวลว่ากี้จะเรียนยังไง
ได้เรียนหนังสือวิชายากๆพ่อกับแม่ก็คงจะสอนไม่ได้
พี่น้องเค้าก็ไม่มีบางทีก็ทำแต่งานบ้านตลอดไม่รู้ว่าเอาเวลาไหนไปทบทวนตำรับตำราบ้าง
ถ้าหนูพลอยพอจะเป็นอาจารย์พิเศษให้น้องเค้าได้แม่ก็ฝากดูแลน้องด้วยนะ..”แม่ทั้งพูดทั้งยิ้มดูท่าทางดีใจมากที่อยู่ๆเห็นพี่พลอยเสนอตัวจะช่วยติวช่วยสอนฉันอย่างนั้น...
แต่ฉันนี่สิ..ตอนนี้กลายเป็นเหงื่อตก..นั่งไม่ติดเก้าอี้เลยทีเดียว
..ตายล่ะ
นี่เธอจะมาไม้ไหนยังไงนี่พี่พลอย
ฉันเดาใจผู้หญิงพวกนี้ไม่ถูกจริงๆ
ด้วยความที่ฉันก็เคยเจอแต่คนมารยาร้อยเล่มเกวียนอย่างพี่เนย..ที่คอยพูดหลอกนั่นหลอกนี่ให้ฉันหลงกลติดกับดักที่เธอวางแผนคิดจะจับฉันมาอย่างแนบเนียนจนฉันเดาไม่ได้
แต่นี่พี่พลอยทั้งๆที่เหมือนจะเดาใจออก
ดูใสๆไม่มีพิษไม่มีภัยแล้วแท้ๆ
กลายเป็นว่าอยู่ๆหล่อนยิงประตูมาโต้งๆตรงๆต่อหน้าเล่นเอาซะฉันตะลึงในการเข้าถึงของเธอจนแทบจะล้มหงายเงิบซะตอนนี้ให้ได้
นี่..ถ้าฉันยังไม่ทันรู้จักผู้หญิงสองคนนี้
ฉันควรจะเลือกกลัวใครดีระหว่าง..พี่เนยและพี่พลอย..
“อ้าวแล้วหนูขอที่บ้านหนูหรือยังล่ะลูก
แล้วบ้านหนูอยู่ไหนอยู่ไกลมั้ยเผื่ออยากจะกลับหนูจะกลับยังไง”เสียงแม่ถามพี่พลอยคนสวยกลับด้วยความเป็นห่วง
“อ๋อบ้านหนูอยู่ไม่ไกลหรอกค่ะ..อยู่คุ้มอัยการเก่าน่ะค่ะ”พี่พลอยยังยิ้มหวานตอบแม่อย่างมีมารยาทเหมือนเดิม
“คุ้มอัยการเก่าเหรอก็ไม่ไกลนี่..
แถวๆบ้านท่านณรงค์หรือเปล่าลูก”
“ใช่ค่ะ..นั่นล่ะค่ะบ้านหนู”
พี่พลอยหัวเราะหึๆแก้เขินทันทีที่ได้ยินแม่แม่ทักเรื่องบ้านของเธอถูก
“หา
หนูเป็นหลานท่านณรงค์เหรอลูก
มิน่าถึงได้ผิวพรรณรูปร่างหน้าตาดูมีสง่าราศรี..”
พอได้ยินที่พี่พลอยพูดอย่างนั้นแม่ก็เริ่มยิงคำถามด้วยความสงสัยทันที..
พี่พลอยยิ้มให้แม่นิดนึงก่อนจะตอบ..
“เอิ่ม..จริงๆแล้วไม่ใช่หลานหรอกค่ะ...หนูเป็นลูกของพ่อณรงค์น่ะค่ะ..”
สิ้นประโยคพี่พลอยพูด
แม่ก็ทำหน้างงสุดฤทธิ์
พอๆกับฉันที่งงเพราะไม่รู้ว่าแม่พูดเรื่องอะไรกับพี่พลอย
แต่ทำไมดูเหมือนแม่จะแปลกใจที่ได้รู้ว่าพี่พลอยเป็นลูกของคนที่ชื่อณรงค์เหลือเกิน
“เอ..เท่าที่แม่จำได้เหมือนลูกของท่านณรงค์คนเล็กสุดก็น่าจะอายุประมาณ30กว่าๆกันแล้วนะ..ลูกชายท่านณรงค์คนโตก็เคยลงสมัครเลือกตั้งอยู่ทีมเดียวกันกับสส.อำนาจที่บ้านอยู่หน้าปากซอยบ้านเรา
ซึ่งก็เหมือนว่าเค้าจะเป็นลูกพี่ลูกน้องกันด้วย..”แม่พูดด้วยเสียงไม่ค่อยจะมั่นใจ
ยิ่งฟังก็ยิ่งทำให้ฉันงงไปตามที่แม่บอก
พี่พลอยเขี่ยๆข้าวในจานแล้วเงยหน้าขึ้นมามองแม่ด้วยสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีก่อนจะพยายามอธิบายต่อ...
“ใช่ค่ะ..คือ..จะเรียกว่าหนูเป็นลูกหลงก็ได้นะคะ..
เอ่อ...พอดี..แม่ของหนู..ไม่ได้..”
..อ๋อ..ฉันพอจะจับใจความได้แล้ว
นี่คงจะเป็นเรื่องที่พี่เนยแอบแขวะพี่พลอยว่าเป็นลูกเมียน้อยนั่นเอง..
“อะแฮ้ม..”
ยังไม่ทันที่พี่พลอยจะอธิบายการลำดับญาติของพี่พลอยด้วยท่าทางกระอักกระอ่วนใจของเธอ
ฉันก็รีบขัดจังหวะกระแอมแทรกพี่พลอยขึ้นทันที
“แม่..แม่จะกวนพี่พลอยทำไมนี่
พี่พลอยก็เลยจะกินไม่อิ่มสักที
ป่ะเรารีบเก็บร้านกันเถอะจะสามทุ่มแล้ว”
ฉันรีบเปลี่ยนเรื่องถือโอกาสช่วยพี่พลอยเลี่ยงตอบคำถามที่เธอไม่อยากตอบเมื่อครู่นี้ทันที
พี่พลอยหันมายิ้มให้ฉันแทนคำขอบใจที่เห็นฉันช่วยเธอไว้ได้
ฉันยักคิ้วให้พี่พลอยนิดนึงก่อนจะรีบกอดแขนแม่เดินพาแม่ไปเก็บร้านหน้าบ้านช่วยกัน
โดยปล่อยให้พี่พลอยนั่งกินข้าวมันไก่เงียบๆของเธอต่อไป..
...เราเก็บบ้านเสร็จกันประมาณ3ทุ่มโดยที่มีพี่พลอยช่วยทำนั่นทำนี่หลังจากที่เธอกินข้าวมันไก่ของเธอเสร็จแล้วเช่นเคย
พอเราเก็บบ้านเสร็จเรียบร้อยฉันก็เห็นพี่พลอยหยิบโทรศัพท์โทรหาใครบางคนซึ่งก็อาจจะเป็นพ่อของเธอเพราะได้ยินเสียงแว่วๆที่เธอเรียกปลายสายว่า
“ป๊ะๆ”
“...ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะป๊ะ
บ้านน้องเค้าอยู่ตรงท่ารถนี่เอง..ตอนเช้าป๊ะค่อยให้คนมารับหนูก็ได้ประมาณ6โมงหนูตื่นแล้วล่ะ..ค่ะๆ..หนูจะดูแลตัวเองค่ะ...ค่ะป๊ะ..ฝันดีค่ะป๊ะ..”
เสียงหวานๆของพี่พลอยเงียบลงพร้อมๆกับที่เธอเดินตามฉันเข้ามาในห้อง
แล้วทันทีที่ไฟในห้องเปิดขึ้น
พี่พลอยก็ยืนนิ่งยิ้มค้างมองซ้ายมองขวาสำรวจไปรอบๆห้องฉันทันที..
“ว้าว
เป็นห้องที่น่ารัก..น่านอนจังเลย..”พี่พลอยยิ้มแล้วเดินเข้าไปใกล้ๆโต๊ะทำการบ้านของฉัน
ที่ตรงนั้นจะมีลูกโป่งช่อใหญ่ที่พี่เนยใช้สารภาพรักกับฉัน
รวมทั้งดอกไม้และของขวัญชิ้นเล็กชิ้นน้อยต่างๆที่หล่อนประเคนมาให้ฉันแล้วฉันเอามันมาวางเก็บไว้ข้างๆโต๊ะทำงาน
ด้วยเหตุผลที่ว่าตอนแรกๆที่ฉันเอามันไปวางแอบไว้ที่มุมห้อง
พอพี่เนยเห็นเธอก็จะทำหน้าน้อยอกน้อยใจแล้วก็ร้องไห้งอนฉันจนฉันรู้สึกสงสารหล่อน
เลยต้องย้ายบรรดาของเหล่านั้นมาวางไว้ในที่ที่หล่อนเห็นได้ชัดเจนที่สุดเวลาเดินเข้ามาในห้อง
..ซึ่งก็คือโต๊ะทำงานนั่นเอง..
“นี่ของเนยใช่มั้ย..”พี่พลอยเดินไปใช้นิ้วจิ้มๆเขี่ยๆช่อลูกโป่งนั้นแล้วหันมายิ้มเล็กยิ้มน้อยให้ฉัน
“ดีจังเลยอ่ะ
เอาวางไว้ใกล้ๆโต๊ะทำงานอีกต่างหาก
คงจะมีกำลังใจทำการบ้านตลอดเลยล่ะสิ”
เสียงพี่พลอยแกล้งแซวฉันเรื่องพี่เนย
เธอหันมายิ้มเล็กก่อนจะหันกลับไปมองหาอะไรที่โต๊ะทำงานต่อ
“ว้า..แย่จัง..ไม่เห็นมีของพี่วางไว้บ้างเลย..”
พี่พลอยหันมามองฉันแล้วทำหน้าเศร้าเมื่อเธอถามหาสร้อยถักมือเส้นนั้นที่เธอถักให้ฉัน
..โอ๊ะ..จริงด้วยสิฉันก็ลืมซะสนิทเลย..
สร้อยแขนที่พี่พลอยตั้งใจร้อยให้ฉันตอนนั้นมันยังอยู่ในกระเป๋านักเรียนอยู่เลย
ฉันรีบเดินไปที่กระเป๋านักเรียนแล้วหยิบสร้อยข้อมือเส้นนั้นออกมาจากกระเป๋าช่องเล็กๆที่ฉันเก็บเอาไว้ขึ้นมาโชว์พี่พลอย
“นี่ไง..มันอยู่ในกระเป๋ากี้
กี้พึ่งเอาออกจากกระเป๋าเมื่อกี๊นี้เอง”
พี่พลอยหันมายิ้มมองดูฉันเดินเอาสร้อยข้อมืออันนั้นมาวางแขวนไว้กับหัวตุ๊กตาหมีตัวเล็กๆที่ฉันเอาตั้งโชว์ไว้ที่โต๊ะทำการบ้านเหมือนกัน
“กี้เอาไว้นี่นะ..ไม่อยากใส่ไปโรงเรียนกลัวหายอ่ะ”
พี่พลอยยิ้มหวานทันทีที่ได้ยินฉันพูดอย่างนั้น
“ขอบใจนะที่เห็นความสำคัญของมันอยู่”
ฉันยิ้มให้พี่พลอยอยู่ครู่นึงก่อนจะเดินหยิบเอากระเป๋าหนังสือไปวางไว้ที่เตียงแล้วขนเอาหนังสือเรียนบรรดาวิชาคำนวนต่างๆออกมาวางต่อหน้าเพื่อรอให้คนข้างๆที่เสนอตัวว่าจะช่วยสอนได้เปิดดูงานเก่าๆที่ฉันได้เคยทำส่งคุณครูว่ามีอะไรที่ขาดตกบกพร่องพอที่พี่พลอยจะช่วยแนะนำเพิ่มเติมได้หรือเปล่า
พี่พลอยหยิบหนังสือคณิตศาสตร์และสมุดวิชานั้นไปนั่งเปิดพลิกซ้ายพลิกขวาดูอยู่นาน
เธอทั้งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เทียวก้มเทียวเงยหันมามองหน้าฉันจนฉันเริ่มจะสงสัย..
“อะไรอ่ะ..ทำหน้าอย่างนั้นทำไม..มีอะไรผิดแปลกไปจากที่กี้ทำส่งคุณครูอย่างนั้นเหรอ”
“เปล่า..พี่แค่ดูลายมือกี้..พี่ว่าลายมือกี้น่ารักจังเลย
ทั้งทำงานก็เป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนคนตั้งใจเรียนมากๆ
ดูการทำโจทย์ต่างๆแล้วก็พอจะรู้ว่ากี้เก่งคณิตเหมือนกันนะนี่”
“ก็ใช่สิ..กี้ตั้งใจเรียนทุกคาบเลยนะ..กี้ก็ว่าอยู่..พี่พลอยเอาอะไรมาพูดว่ากี้จะให้พี่พลอยสอนให้”
ฉันทำเสียงงอนๆต่อว่าพี่พลอยเรื่องที่พี่พลอยแอบโกหกแม่เรื่องที่เธอบอกว่าฉันต้องการให้เธอช่วยสอนบรรดาวิชาคำนวนให้
พี่พลอยยิ้มหวาน
“ขอโทษนะ..ถ้าพี่ไม่พูดอย่างนั้น
พี่ก็คงไม่ได้อยู่กับกี้ตอนนี้..จริงๆแล้ว..พี่อยากคุยกับกี้แค่สองคนน่ะ..”
“มาคุยอะไรตอนนี้เล่า...”ฉันทำเสียงงอนๆก้มหน้าหลบตาพี่พลอยด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วนใจเหลือเกิน
แม้ฉันกับพี่พลอยจะเป็นผู้หญิงด้วยกัน
แล้วเธอก็อุตสาห์ขอพ่อกับแม่ฉันให้ได้มาอยู่กับฉันสองต่อสองด้วยกันบนห้องอย่างนี้แล้ว
แต่ฉันก็ยังรู้สึกไม่สบายใจเลย
คงจะดีกว่านี้ถ้าผู้หญิงคนตรงหน้านี้เค้าไม่ได้บอกฉันว่าเค้ารู้สึกอย่างไรกับฉันมาก่อนหน้านั้น...
นี่ฉันควรจะทำตัวอย่างไรดี..
ฉันควรจะอยู่เฉยๆอยู่ปกติธรรมดาเหมือนผู้หญิงทั่วๆไปเค้าทำกันอย่างนั้นใช่มั้ย
ทำไมฉันถึงรู้สึกไม่ค่อยสะดวกใจที่จะนั่งอยู่กับพี่พลอยในห้องสองต่อสองอย่างนี้เลยนะ..
“เมื่อกี้พี่ขอบใจกี้นะ..”อยู่ๆพี่พลอยก็พูดขึ้นมา
ฉันคิ้วขมวดเงยหน้าขึ้นไปมองพี่พลอยด้วยความสงสัยที่ได้ฟังประโยคเมื่อกี้ทันที
“เรื่องที่กี้ช่วยเลี่ยงไม่ให้พี่ตอบคำถามเรื่องแม่พี่เมื่อกี๊ไง”
“อ่อ..ไม่เป็นไรค่ะ
กี้รู้ว่าพี่พลอยไม่อยากตอบคำถามเรื่องพวกนั้นหรอก..แม่กี้ก็ถามไปด้วยความสงสัยและเป็นห่วงตามปกติของพ่อแม่น่ะค่ะ
พี่พลอยก็อย่าโกรธเลยนะ”ฉันพยายามอธิบายในความหวังดีของแม่
ไม่อยากให้พี่พลอยคิดว่าแม่จงใจถามคำถามพวกนั้นให้เธอต้องอาย..
“ไม่โกรธหรอก
ปกติพี่ก็บอกทุกคนอยู่แล้วว่าแม่พี่ไม่ได้เป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฏหมายของพ่ออ่ะ
อืม..หรือจะเรียกว่าเมียน้อยอย่างที่เนยว่าก็ได้นะ
เข้าใจง่ายดี”เสียงพี่พลอยเริ่มซีเรียสขึ้นทันทีที่นึกถึงเรื่องที่พี่เนยว่าเธอตอนนั้น
“เอ่อ..พี่เนยก็ปากไม่ดีไปอย่างนั้นล่ะค่ะ
เค้าอาจจะแค่อยากพูดเพื่อเอาชนะพี่พลอยเฉยๆก็ได้”
“พี่รู้
พี่ถึงไม่โกรธเค้าไง..ก็มันเป็นความจริงนี่นา
พี่ก็ต้องยอมรับชาติกำเนิดตัวเองให้ได้
แม้ว่าคนอื่นจะว่ายังไง
พี่ก็พยายามไม่โกรธ
เอาจริงๆนะสำหรับเนยน่ะ...แม้ตอนแรกพี่จะรู้สึกโกรธเค้าแต่สักพักก็หายแล้วล่ะ
เค้าก็เป็นอย่างนี้ของเค้าประจำไม่มีประโยคอะไรที่จะไปโกรธคนอย่างนั้นบ่อยๆหรอก..”พี่พลอยยิ้มเบาๆให้ฉันตอนที่เธอพูดถึงเรื่องพี่เนย
“นั่นสินะ
โกรธไปก็ไร้ประโยคเนอะ..”
ฉันหัวเราะหึๆทันทีที่ได้ยินพี่พลอยพูดถึงพี่เนยด้วยน้ำเสียงที่สุดแสนจะเฉยชา
“กี้เพิ่งรู้นะนี่ว่าพวกพี่สองคนเป็นญาติกัน..”ฉันพูดพลางมองจ้องไปที่เสื้อนักเรียนของพี่พลอย
จริงด้วย..พี่พลอยก็นามสกุล
ธนสารพิบูลทรัพย์ เหมือนพี่เนย
อ๋อมิน่าชื่อโปรไฟล์พี่พลอยที่ยาวๆแล้วฉันอ่านไม่ค่อยออกนี่ก็คงจะเป็นคำสะกดของนามสกุลพี่พลอยนี่เอง
..เออ..ฉันนี่ก็โง่จริงๆจุดใต้ตำตอแท้ๆกี้...
พี่พลอยหันมามองแล้วยิ้มให้กับฉัน
“จริงๆก็ไม่ค่อยมีคนรู้หรอกนอกจากเพื่อนที่สนิทที่อยู่ในห้องของเราสองคนหรือไม่ก็พวกอาจารย์
บางทีเค้าก็คิดว่าอาจจะเป็นแค่คนรู้จักที่นามสกุลเหมือนๆกันเท่านั้น”
“ก็นั่นสินะ
คนนึงก็เรียนเก่งแสนจะเพอร์เฟค
อีกคนก็แบบ....”ฉันเว้นคำว่าก็แบบเอาไว้แล้วทำหน้าแหยๆสื่อความหมายถึงเด็กเหลือเดนที่ครูเคยบอกถึงฉายาที่บรรดาคุณครูในโรงเรียนตังให้พี่เนย
พี่พลอยหัวเราะเบาๆก่อนจะหันมาจ้องหน้าฉันด้วยสายตาเศร้าๆแปลกๆ
“แต่ถึงอีกคนจะแบบว่า..ไม่ดีในสายตาคนอื่นยังไง....
แต่เค้าก็ได้ใจกี้ไปแล้วนี่นา..ใช่มั้ยล่ะ”
ฉันสะดุ้งเฮือกทันทีที่ได้ยินพี่พลอยพูดอย่างนั้น
“เอ่อ..”ฉันอ้ำๆอึ้งๆพูดอะไรไปต่อไม่ได้เลย..มันรู้สึกตะขิดตะขวงใจอย่างไรไม่รู้กับสถาณการณ์ที่กำลังเจอในตอนนี้
ฉันได้แต่พยายามเลี่ยงการตอบคำถามหรือแม้แต่พูดชักจูงเข้าสู่เรื่องพี่เนยดังที่พี่พลอยกำลังเปิดประเด็นไปก่อนหน้านั้น...
“เอ่อ..พี่พลอยช่วยดูเรื่องนี้ให้กี้หน่อยสิ
กี้ว่ากี้ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่เลย
มุมคอสแทนอะไรนี่...”ฉันพูดพลางหยิบหนังสือคณิตศาสตร์ยื่นไปวางต่อหน้าพี่พลอยบนเตียง...
“ฮืม..เรื่องนี้น่ะเหรอ..”พี่พลอยคนสวยเบี่ยงเบนความสนใจจากฉันมาที่หนังสือเล่มนี้ทันที
เธอหยิบปากกาและกระดาษทดมาขีดๆเขียนๆรูปร่างสามเหลี่ยมพลางอธิบายด้วยน้ำเสียงสดใสร่าเริงน่าฟังเป็นที่สุด..
ฉันนั่งเท้าแขนค้ำคางฟังพี่พลอยอธิบายไปด้วยความตั้งใจและจดจ่อเต็มที่...จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์เบอร์ที่ฉันใช้ประจำกับพี่เนยดังขึ้น...
ฉันสะดุ้งตกใจรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วเบี่ยงตัวหันหน้าหนีพี่พลอยเพื่อที่จะรับโทรศัพท์พี่เนยทันที..
“กี้..ปิดร้านแล้วใช่มั้ย
อยู่ในห้องแล้วใช่หรือเปล่า..”
เสียงพี่เนยสดใสดังมาจากปลายสาย
“อืม..ใช่...มีอะไร”
ฉันกระซิบกระซาบตอบคำถามพี่เนยเบาๆกลับไป
“พี่ก็พึ่งกลับมาจากธุระ
เด๋วดึกๆพี่จะเข้าไปเล่าเรื่องอะไรให้กี้ฟังนะ..”
ฉันสะดุ้งตกใจทันทีที่ได้ยินปลายสายบอกว่าจะมาหาฉันในตอนดึกวันนี้
“เอ่อ..วันนี้พี่เนยไม่ต้องมานะ”
ฉันรีบปฏิเสธพี่เนยไปด้วยความรนราน
“เอ๋..ทำไมล่ะ..จริงๆวันนี้พี่อยากอยู่กับกี้ทั้งวันเลยนะ
พี่รู้สึกไม่สบายใจตั้งแต่เราทะเลาะกันแล้ว
พี่อยากอยู่ใกล้ๆกี้อ่ะ..”ปลายสายก็รีบถามคืนด้วยความประหลาดใจของเธอเช่นเดียวกัน
“เว้นสักคืนเถอะพี่เนย...แยกย้ายกันทำการบ้านทำอะไรบ้างเถอะ..”ยังไม่ทันที่ฉันจะพูดกับพี่เนยหมดประโยคดี
พี่พลอยก็สะกิดฉันหันไปหา.....
“เนยโทรมาเหรอกี้..”
เสียงที่ฟังดูเหมือนจงใจพูดให้มีน้ำเสียงดังผิดปกติของพี่พลอยก็ดังเข้าไปในสายทันที
“พี่พลอย!!..”
อารมณ์ตกใจของฉันตอนที่ได้ยินพี่พลอยพูดเสียงดังอย่างนั้นเข้าไปในโทรศัพท์ก็กลายเป็นว่าฉันเผลออุทานชื่อพี่พลอยออกมาจนได้
“…......................ชิ้ง...........................”
ตอนนี้ปลายสายเงียบเสียงไปชั่วครู่นึง..ก่อนที่เสียงตวาดดังๆด้วยความโกรธจะวิ่งผ่านสายโทรศัพท์กลับมาหาฉัน
“อะไรอ่ะ
เมื่อกี้เสียงพลอยใช่มั้ย
นังพลอยจริงๆด้วยอ่ะ
เมื่อกี๊กี้เรียกมันอยู่อ่ะ..อะไรยังไงอะกี้..มันมาอยู่กับกี้ในห้องได้ยังไงอะ
ทำไมอะกี้ไหนกี้ว่าไม่มีอะไรไง..”เสียงพี่เนยโวยวายน้ำเสียงเหมือนคนกำลังโมโหสุดขีดฟังดูน้ำเสียงก็เหมือนคนพูดกำลังจะร้องไห้ในไม่ช้า
เสียงนั้นดังออกมาจากลำโพงโทรศัพท์จนฉันคิดว่าคนข้างๆน่าจะได้ยินที่ฉันคุยกับพี่เนยแน่ๆถ้าพี่เนยยังร้องโวยวายและตะคอกฉันผ่านโทรศัพท์อย่างนี้
ฉันรีบลุกขึ้นเดินหนีพี่พลอยเข้าไปในห้องน้ำในห้องเพื่อคุยโทรศัพท์กับพี่เนยต่อ
“ใจเย็นๆสิพี่เนยไม่มีอะไรจริงๆ
พี่พลอยมาสอนการบ้านกี้เฉยๆ”
“สอนการบ้านอย่างนั้นเหรอ
มาสอนในห้องกี้ในเวลาอย่างนี้นี่นะ
นี่ที่แท้..ที่กี้ไม่ให้พี่มานอนด้วยก็เพราะอย่างนี้ใช่มั้ย
กี้ชอบมันแล้วจริงๆด้วยอ่ะ..”
พี่เนยยังโวยวายทำเสียงเหมือนคนกำลังร้องไห้ผ่านโทรศัพท์มาเรื่อยๆ
“ไม่ได้ชอบ
พี่เนยกำลังงี่เง่านะตอนนี้..ถ้ายังโวยวายไม่ฟังกี้เลย
กี้จะไม่คุยกับพี่เนยแล้วนะถ้างั้น”
“ใช่สิพี่มันงี่เง่าอ่ะ
กี้ลองเป็นแบบพี่ดูมั้ยล่ะ
ลองพี่ได้อยู่กับคนอื่นที่กี้ก็รู้อยู่แล้วว่าเค้าชอบพี่กี้จะกล้าปล่อยพี่ไว้อย่างนั้นมั้ย”พี่เนยตะคอกด้วยน้ำเสียงสั่นๆฟังดูเหมือนคนกำลังสะอื้น
“พี่เนยไม่มีใครเค้าบ้าคิดแต่เรื่องอย่างนั้นเหมือนพี่เนยหรอกนะ
ถึงจะนอนด้วยกันอยู่ด้วยกันทั้งคืนมันก็ไม่มีอะไรเหมือนเดิม
อย่าคิดว่าคนอื่นจะเป็นเหมือนตัวเองหมดสิ..”
“ไม่ๆพี่ไม่เชื่อ
โดยเฉพาะนังพลอยอ่ะ
มันต้องแกล้งพี่แน่ๆมันรู้ว่าพี่รักกี้มากๆมันจะต้องหาทางแย่งกี้ไปจากพี่แน่ๆ
กี้ให้พี่ไปนอนด้วยเถอะนะหรือไม่อย่างนั้นก็อย่าให้มันมานอนด้วยเลยนะ
พี่ขอร้องล่ะพี่ไหว้เลยก็ได้
อย่าทำอย่างนี้เลยนะกี้..”พี่เนยทั้งร้องไห้ทั้งพูดจาขอร้องฉันเท่าที่เธอพยายามจะสรรหาคำอ้อนวอนต่างๆมาได้..
“พี่เนยหยุดพล่ามซะทีเถอะเชื่อใจกันบ้างได้มั้ย
กี้บอกแล้วถ้ากี้ไม่ได้คิดอะไรด้วยก็คือไม่
ไว้ใจกี้บ้างได้มั้ยนี่..”
“จะให้พี่ไว้ใจกี้ได้ยังไงอ่ะ..ในเมื่อพี่ก็รู้ว่าอีกคนกำลังจะแย่งกี้ไปจากพี่
แต่กี้ก็ยังยอมเปิดโอกาสให้เค้าอีก..ทำไมกี้ใจร้ายกับพี่อย่างนี้...”เสียงพี่เนยร้องไห้คร่ำครวญผ่านหูโทรศัพท์ดังมาเรื่อยๆจนฉันนึกเวทนาและสงสารให้เจ้าหล่อนจับใจ
แต่ฉันก็ไม่มีทางเลือกใดในเวลานี้แล้ว...
ฉันไม่อยากมีปัญหากับใคร
ไม่อยากให้ใครรู้เรื่องของเราไปมากกว่านี้
ถ้าพี่เนยมาทุกอย่างจะต้องวุ่นวายเหนือการควบคุมเหมือนๆกับตอนเที่ยงที่โรงเรียนแน่ๆ
แล้วจะให้ฉันไล่พี่พลอยกับบ้านไปด้วยเหตุผลที่ว่าพี่เนยไม่ชอบอย่างนี้
คิดว่ามีคนดีๆปกติที่ไหนเค้าจะยังมองฉันในแง่ดีอยู่อีกเหรอ
ถ้าฉันยอมทำตามผู้หญิงที่มีแต่ความงี่เง่าคนนั้นอย่างนี้..
“กี้...ทำไมกี้กับพี่อย่างนี้...พี่ไม่เคยเจ็บขนาดนี้มาก่อนเลย..ทำไมกี้กล้าทำกับพี่อย่างนี้..กี้ไม่สงสารพี่เลยเหรอ..”เสียงพี่เนยร้องไห้คร่ำครวญประหนึ่งคนจะขาดใจตายเสียให้ได้ตอนนี้
เธอทั้งร้องไห้ทั้งสะอึกสะอื้นฟังดูก็รู้ว่าเธอกำลังทุกข์ทรมานเหมือนดั่งคำพูดที่เธอพร่ำเพ้อพรรณามาก่อนหน้านั้น...
แล้วแค่ฟังเสียงพี่เนยร้องไห้สะอึกสะอื้นแค่นั้นน้ำตาของฉันก็เริ่มไหลออกมาด้วยความรู้สึกสงสารพี่เนยจับใจ
...ใช่..ตอนนี้ฉันสงสารพี่เนยจริงๆ...เธอคงจะเสียใจ...เสียใจจริงๆ
“..ขอโทษ..กี้ขอโทษนะพี่เนย..แต่พรุ่งนี้ค่อยเจอกันเถอะนะ
พี่เนยอย่าร้องไห้เลย..
มันไม่มีอะไรจริงๆ
แล้วพี่เนยก็ไม่ต้องโทรมาแล้วนะ
กี้จะปิดเครื่องนอนแล้ว
เชื่อใจกี้เถอะนะ...”
“..กี้..จะทำอย่างนี้จริงๆเหรอ
กี้จะปล่อยให้มันเป็นอย่างนี้จริงๆเหรอ..
กี้...ทำไมกี้ใจร้ายกับพี่อย่างนี้..”เสียงสะอึกสะอื้นของพี่เนยเงียบลงไปทันทีที่ฉันกดวางสายแล้วพยายามปิดเครื่อง
ตอนนี้ฉันก็เศร้าไม่แพ้พี่เนยเพียงแต่ว่าฉันไม่อยากให้เรื่องทั้งหมดมันวุ่นวายไปกว่านี้
พี่เนยอาจจะแค่ใช้แต่อารมณ์ในการตัดสินใจเธอเลยไม่สามารถคิดได้ว่าจริงๆแล้วที่ฉันยอมทำอย่างนั้นกับเธอก็เพราะว่า
เธอ เป็นคนเริ่มก่อนทั้งหมด
แล้วดูพี่พลอย..ที่แม้แต่ตอนนี้ฉันยังไม่ค่อยจะอยากเชื่อจริงๆเลยว่าเธอจะชอบฉันจริงๆ
หรือถ้าแม้แต่เธอต้องการจะพยายามแย่งฉันจากพี่เนยแต่ฉันคิดว่าด้วยสัญชาตญาณความเป็นผู้หญิงจริงๆของเธอ
เธอคงไม่ยอมที่จะมีอะไรเกินเลยกับผู้หญิงด้วยกันหรอก...
เสียงเมโลดี้ของโทรศัพท์เครื่องเก่าอีกเบอร์หนึ่งของฉันดังขึ้นทำให้ฉันต้องรีบเช็ดน้ำตาแล้วรีบวิ่งออกจากห้องน้ำเพื่อไปรับสายโทรศัพท์ที่ฉันคิดว่าน่าจะเป็นพี่เนยซึ่งก็ถูกต้องตามที่ฉันเดาจริงๆตอนนี้หน้าจอโทรศัพท์กำลังโชว์ว่าเป็นเบอร์พี่เนยโทรเข้ามาหาฉันอีก..
“โทรมาทำไมอีกนี่
กี้บอกแล้วใช่มั้ย
ทำไมไม่เข้าใจอะไรง่ายๆเลยอะ..”
ฉันพูดตอนรับสายโทรศัพท์แล้วเดินเข้าไปคุยในห้องน้ำกับพี่เนยอีก..
“กี้..กี้กล้าทำร้ายจิตใจพี่ขนาดนี้เลยเหรอ
เห็นว่าพี่ยอมกี้
กี้ก็ทำซะจิตใจของพี่แทบจะแตกสลายลงให้ได้อย่างนั้นเลยใช่มั้ย..นี่กี้ไม่คิดว่าพี่เป็นผู้หญิงธรรมดาคนนึง
ที่มีหัวจิตหัวใจบ้างเลยเหรอ...”
“พี่เนยหยุดเถอะนะ
กี้รู้ กี้เข้าใจ
แต่พี่เนยอย่าทำให้เรื่องมันยุ่งไปกว่านี้ได้ป่ะ
กี้ขอร้องล่ะ แล้วก็อย่าโทรมาอีก
อย่ายุ่งวุ่นวายกับกี้ตอนนี้ซะที
ไม่ต้องเข้ามาหากี้ด้วย..เด๋วพรุ่งนี้เราค่อยเจอกันที่โรงเรียนนะ
กี้สัญญากี้จะดูแลตัวเองให้ดีที่สุดเข้าใจมั้ย..”
“กี้....”เสียงสะอึกสะอื้นของพี่เนยยังคงดังแทรกเข้าไปในก้นบึ้งหัวใจฉัน
เสียงร้องปริ่มใจจะขาดของผู้หญิงช่างมีพลังทำให้เรารู้สึกเศร้าและเวทนาจนกระทั่งเราเผลอร้องไห้ออกมากับเจ้าของเสียงโหยหวนนั้นตลอด
“พอแล้วนะ
กี้จะนอนแล้วแค่นี้นะ..”
ฉันพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้เพราะไม่อยากทำเสียงเศร้าๆให้คนในสายรู้ว่าฉันเริ่มรู้สึกสงสารพี่เนยขึ้นมาจริงๆเสียแล้ว
ก่อนจะวางสายจากเสียงสะอึกสะอื้นที่พร่ำเรียกชื่อฉันซ้ำประหนึ่งคนกำลังจะขาดใจตายในที่สุด...
ตอนนี้ฉันปิดโทรศัพท์ไว้ทั้งสองเครื่องแล้วเดินมานั่งเศร้าซึมกระทื่ออยู่ข้างๆพี่พลอยเหมือนเดิม
นี่เป็นอีกครั้งที่ฉันรู้สึกแย่...ฉันไม่ได้มีความสุขเลยที่ทำให้ผู้หญิงคนนึงต้องมานั่งคร่ำครวญร้องไห้เสียใจที่เห็นฉันตัดสินใจอะไรโดยไม่ได้แคร์ความรู้สึกเธออย่างนี้
ถึงฉันจะยังรู้สึกว่ายังไม่ใช่กับพี่เนย
อาจจะยังไม่ได้รู้สึกถึงคำว่ารัก..แต่ฉันก็ไม่ได้รู้สึกดีเลยกับการที่ต้องมาเห็นคนที่ฉันมีความผูกพันธ์กับเค้าอย่างนั้นต้องมานั่งเสียใจโดยไม่ได้มีฉันคอยปลอบใจเค้าอยู่ข้างๆในตอนนี้
ฉันกำลังสงสารพี่เนย..ใช่ฉันสงสารพี่เนยจริงๆ
นี่เป็นความรู้สึกสงสารครั้งแรกที่ไม่ได้มีความระแคะระคายใดๆเข้ามาบดบังความรู้สึกสงสารในตอนนี้เลย....ไม่เหมือนทุกครั้งที่ถึงแม้ฉันจะสงสารพี่เนยแต่ในใจฉันก็มักจะบอกว่า
...จริงเหรอ..เชื่อได้เหรอ..สำหรับผู้หญิงคนนี้..
แต่ตอนนี้..แค่ฉันได้ยินคำพูดพี่เนยที่บอกว่า
...ลองเป็นแบบเธอดูมั้ยล่ะ...ฉันก็เริ่มนึกถึงภาพที่ฉันเคยหวงพี่เนยออกมาโดยทันที
แม้ฉันยังไม่เคยเห็นว่าพี่เนยจะทำอย่างนั้นให้ฉันเสียใจสักครั้งเดียวก็ตาม....
ก็แค่เท่านั้นใจฉันก็ยังว้าวุ่นอยู่ข้างใน..แล้วกับการที่รู้ว่าตอนนี้มีคนที่ต้องการจะเอาของๆตัวเองมาอยู่ข้างๆอยู่ในห้องด้วยกันทั้งคืนแล้ว..ฉันจะทรมานขนาดไหนกัน....
ฉันไม่รู้ว่าพี่เนยจะยอมดีๆกับสิ่งที่ฉันขอร้องเธอหรือไม่
แม้หากเธอไม่ยอมแล้ว
เธอจะทำยังไงกับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นตอนนี้ดี
ฉันไม่รู้ว่าพี่เนยจะมีสติไตร่ตรองพอจะนึกอะไรออกบ้างหรือเปล่าว่าเรื่องราวทั้งหมดมันอาจจะไม่ได้แย่หรือเลวร้ายขนาดนั้น
หรือว่าเธอเศร้าเสียใจร้องห่มร้องไห้จนไม่มีอารมณ์จะมีคิดหาทางออกอะไรเกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันนี้เสียแล้ว...พี่เนย...
“...พี่ขอโทษนะกี้..ที่ทำให้กี้ทะเลาะกับเนยอีก”เสียงหงอยๆของพี่พลอยดังผ่านเข้ามาเรียกสติฉัน
ฉันหันมายิ้มด้วยรอยยิ้มฝืนๆพี่พลอยคงรู้เธอเลยยื่นมือมาลูบหัวฉันเบาๆ
“ตอนเที่ยงกี้กับเนยก็ทะเลาะกันเพราะพี่ใช่มั้ย
พี่ออกมาแล้วเห็นพอดี..พี่ขอโทษจริงๆนะ
ถ้ากี้รู้สึกว่ากี้..ชอบเนย
แล้วพี่เข้ามาวุ่นวายในชีวิตกี้ตอนนี้...พี่ก็ขอโทษจริงๆ”
พี่พลอยค่อยๆลูบหัวปลอบใจฉัน
ก่อนจะค่อยๆยื่นใบหน้ามาหอมหน้าผากฉันที่อยู่ๆก็สะอึกสะอื้นขึ้นเพราะได้ฟังสิ่งที่พี่พลอยพูดแล้วฉันก็ยิ่งสงสารพี่เนยขึ้นมาจับใจ...ตอนนี้ฉันปล่อยตัวเองให้ร้องไห้น้ำตาซึมแถมยังสะอึกสะอื้นหมดภาพของเด็กน้อยร่าเริงที่พี่พลอยเคยพูดบอกฉันมาก่อนหน้านั้นเสียแล้ว...
หลังจากที่ฉันร้องไห้โดยมีพี่พลอยปลอบใจอยู่ข้างๆไม่นาน
พี่พลอยก็พยายามชวนฉันคุยนั่นคุยนี่ไปเรื่อยหรือแม้แต่เรียกสติฉันให้มาติวคณิตศาสตร์ต่อ
“กี้..ไม่ติวแล้วได้มั้ยพี่..กี้ไม่มีสมาธิเลยตอนนี้
ขอโทษด้วยนะคะพี่พลอย
วันนี้พี่พลอยอาจจะเสียเวลาเปล่าแล้วล่ะ
แต่กี้ไม่ไหวจริงๆปวดหัวมากๆด้วย
เรานอนพักกันเถอะนะ”
ฉันทำเสียงเศร้าๆบอกพี่พลอยไป
พี่พลอยก็เข้าใจเธอลุกขึ้นเก็บหนังสือไปไว้ที่โต๊ะให้ฉันก่อนจะหันมาถามฉันเรื่องอื่น..
“อืม..กี้มีที่เสื่อปูนอนมั้ย
ปูให้พี่นอนข้างล่างก็ได้นะ
ถ้ากี้ไม่สบายใจอ่ะ”
พี่พลอยส่งยิ้มคลายเศร้าให้ฉัน
ฉันมองพี่พลอยอยู่ครู่นึงก่อนจะพยักหน้ารับแล้วเดินไปหาจัดที่นอนให้พี่พลอยได้นอนข้างล่างตามที่เธอขอร้อง
พอฉันปูที่นอนเสร็จฉันก็หาชุดนอนมาให้พี่พลอยเปลี่ยนเพื่ออาบน้ำเตรียมนอน
ไม่นานพอพี่พลอยและฉันอาบน้ำเสร็จเราทั้งสองก็เข้าประจำที่นอนทันที
“จริงๆพี่อยากคุยกับกี้ทั้งคืนเลยนะ..แต่รู้ว่าวันนี้กี้คงไม่มีอารมณ์จะคุยกับใคร..เด๋ววันหลังเราค่อยคุยกันก็ได้นะถ้างั้น”
เสียงเบาๆของพี่พลอยดังผ่านความมืดเข้ามาในหูฉัน
“ค่ะ..ฝันดีนะคะพี่พลอย..”ฉันตอบรับพี่พลอยเบาๆทันทีก่อนจะค่อยๆดึงผ้าห่มผืนเก่าขึ้นมาคลุมบังแสงดวงจันทร์ที่ลอดผ่านเข้ามาแล้วกลายเป็นทำให้ฉันนอนไม่หลับเพราะมัวแต่คิดกำลังเรื่องใครบางคนอยู่...
หลังจากนั้นไม่นาน...เมื่อความเงียบเข้าปกคลุมห้องทั้งห้องจนได้ยินแค่เสียงหายใจเบาๆของเราสองคน...ดูเหมือนว่าทั้งพี่พลอยและฉันคงเหนื่อยล้ากับภาระกิจทั้งวันที่เราทำมาโดยเฉพาะฉันที่ต้องเจอกับเรื่องราวต่างๆมากมายภายในวันนี้วันเดียว
กลายเป็นว่าแม้ฉันจะนึกถึงแต่หน้าพี่เนยที่กำลังร้องไห้หรือแม้แต่นอนนึกว่าเธอจะทำอะไรอยู่ที่ไหนในเวลานี้อยู่ตลอด
แต่เอาเข้าจริงๆฉันก็เผลอหลับไปจนได้
ทั้งๆที่ตัวเองก็ยังร้องไห้น้ำตาซึมอาบสองแก้มเพราะมัวแต่สงสารพี่เนยอยู่อย่างนั้นทั้งคืน...
แล้วในคืนนั้นฉันก็ฝันว่า..ฉันเดินไปกับผู้หญิงคนนึงซึ่งเป็นใครก็ไม่รู้
อยู่ๆผู้หญิงคนนั้นก็ดึงมือฉันขึ้นมา
ในมือของฉันตอนนั้นมีแหวนอยู่วงนึง..เป็นแหวนสีเงินนวลๆที่หัวเป็นหัวอัญมนีสีใสๆที่มองดูแล้วน่าจะเป็นเพชรเสียด้วยซ้ำ
ผู้หญิงคนนั้นดึงมือฉันไปพยายามถอดแหวนของฉันออกไปให้ได้แต่ฉันก็ไม่ยอมจนเกิดการต่อสู้กันขึ้น
แล้วกลายเป็นว่าฉันสู้ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้..เค้าเอาแหวนในนิ้วของฉันไปได้ในที่สุด...ตอนนั้นฉันรู้สึกเสียใจมากๆมากจนร้องห่มร้องไห้เพราะไม่รู้จะเอาแหวนวงนั้นคืนได้อย่างไรเพราะผู้หญิงคนนั้นกำลังจะไปแล้ว....
...แต่ในขณะที่ผู้หญิงคนนั้นกำลังจะเดินเอาแหวนหนีจากฉันไปอยู่ๆก็มีผู้หญิงประหลาดๆคนนึงถือโทรศัพท์โผล่พรวดมายืนอยู่ต่อหน้าฉันเธอดึงผู้หญิงคนนั้นไว้จนผู้หญิงคนที่เอาแหวนไปล้มหงายหลังลง
แหวนวงนั้นจึงถูกผู้หญิงคนที่ถือโทรศัพท์คนนั้นเก็บเอาไว้ได้
ตอนนี้เมื่อผู้หญิงคนที่ถือโทรศัพท์เดินเข้ามาใกล้ๆฉัน..จากที่รอบๆตัวฉันกำลังมืด..ก็กลายเป็นมีแสงค่อยๆสว่างขึ้นเรื่อยๆทั้งมีเสียงโทรศัพท์แปลกๆดังขึ้นมาจนฉันต้องคอยมองหาที่มาของเสียงว่ามันอยู่ไหน
ฉันหันซ้ายหันขวาอยู่นานจนหันกลับมาเห็นใบหน้าชัดๆของผู้หญิงคนที่ถือโทรศัพท์แนบหูที่เดินเข้ามาใกล้ๆว่าคือ..พี่เนย...เธอเดินหน้านิ่วคิ้วขมวดตรงดิ่งเข้ามาหาฉันแล้วยื่นแหวนวงนั้นคืนให้ฉันพร้อมๆกับตะโกนใส่หน้าฉันดังๆว่า...
“..รับโทรศัพท์สักทีสิโว้ยยย...”
...เฮือกกก....
ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมาในห้องที่มีความมืดพร้อมๆกับการสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่เนื่องจากว่าความฝันเมื่อกี๊นั้นทำให้ฉันตกใจจนต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกอย่างนี้..
ทันทีที่สติของฉันเริ่มกลับเข้ามาสู่โลกความจริงเสียงโทรศัพท์บ้านข้างล่างก็ดังผ่านเข้ามาในหูเรียกสติให้ฉันเริ่มมองหานาฬิกาเพื่อดูเวลาในตอนนี้เป็นเวลาเท่าไหร่กันแล้ว
ตอนนี้นาฬิกาผนังเข็มสะท้อนแสงของมันกำลัวบอกเวลาตีสองครึ่ง
นี่มันเป็นเวลาที่ดึกมากๆใครกันนะจะโทรเข้ามาในเบอร์บ้านในยามนี้
เมื่อลองนึกทบทวนและพยายามไล่เลียงถึงสิ่งที่เจอมาก่อนนอน
ร่างกายของฉันก็รีบตอบสนองโดยการรีบลุกขึ้นจากที่นอนแล้ววิ่งไปหน้ากระจกระเบียงที่ตอนนี้มีแสงไฟของอะไรไม่รู้สว่างส่องขึ้นมาถึงกระจกระเบียงชั้น3ที่ฉันอยู่...
ซึ่งทันทีที่ฉันวิ่งออกไปเปิดผ้าม่านระเบียงออกเพื่อแบบมองภาพที่ฉันเห็นในตอนนี้ก็คือ..
รถสปอร์ตสองประตูคันงามที่เลื่อนกระจกรถลงแล้วโชว์หญิงสาวเจ้าของรถที่มองจากตรงนี้ก็รู้ว่าเธอกำลังหน้านิ้วคิ้วขมวดเพราะว่าเธอกำลังใช้โทรศัพท์ของเธอโทรหาใครบางคนอยู่....ซึ่งก็น่าจะเป็นโทรศัพท์เบอร์บ้านฉันที่กำลังดังขึ้นตลอดเวลาอยู่นี่เอง...
ฉันยืนคิ้วขมวดมองดูพี่เนยนี่เจ้าหล่อนคงจะไม่ยอมวางสายง่ายๆแน่ๆถ้าฉันไม่ยอมลงไปรับโทรศัพท์ของเธอแล้วถ้าฉันยังปล่อยให้โทรศัพท์บ้านดังอยู่อย่างนี้ไม่ช้าพ่อกับแม่ต้องลงมารับแล้วกลายเป็นรู้เรื่องพี่เนยแล้วกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ
คิดได้ดังนั้นฉันก็รีบวิ่งลงไปชั้นข้างล่างเพื่อรับโทรศัพท์ของพี่เนยทันที
ซึ่งก็เป็นไปตามที่ฉันคาดหมายพอฉันรับโทรศัพท์ปลายสายก็รีบส่งเสียงโวยวายเหมือนคนไม่มีสติมาทันที...
“กี้..กี้..กี้..ทำไมกี้ทำอย่างนี้กับพี่..กี้จะปล่อยให้พี่ตรอมใจตายจริงๆเหรอ
ทำไมใจร้ายกับพี่อย่างนั้น..บ้าที่สุดเลยอ่ะ
กี้ใจร้ายที่สุดเลย...”
เสียงพี่เนยโวยวายด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้ๆฟังจับใจความไม่ค่อยได้
“พูดดีๆสิฟังไม่เห็นรู้เรื่องเลย..”ฉันเอ็ดพี่เนยที่ทั้งร้องไห้ทั้งโวยวายพูดเสียงประหลาดอะไรของเธอมาก็ไม่รู้..
“ฮือ..กี้ใจร้ายกับพี่ที่สุดเลย..ทำไมทำกับพี่อย่างนี้..พี่เจ็บจนพี่จะทนไม่ไหวอยู่แล้ว
ทำอย่างนี้กับพี่ฆ่าพี่ให้ตายเลยดีกว่า...ถ้าพี่ตายตอนนี้กี้จะสะใจมั้ย
กี้จะมีความสุขมั้ย
จะให้พี่ตายให้ดูตอนนี้เลยมั้ย..กี้ถึงจะพอใจอะ”
“พี่เนย..พูดบ้าอะไรนี่
อย่าพูดบ้าอย่างนั้นนะ
ใจเย็นๆดิมีสติได้มั้ยอะ”
“พี่เย็นไม่ไหวแล้วกี้ลองมาเป็นพี่ดูมั้ยล่ะ
จะได้รู้ว่ามันทรมานขนาดไหน..นี่คนนะเว้ยมีหัวใจนะทำไมทำร้ายกันขนาดนี้
ถ้าพี่ไม่ได้เจอกี้ตอนนี้พี่จะตายให้ดูเลยเอามั้ย..”
เสียงพี่เนยยังคงร้องไห้โวยวายทั้งตะคอกหลุดพูดเว้ยๆกับฉันออกมาทั้งๆที่เธอไม่เคยพูดสักที
“เฮ้ย..พี่เนยบ้าไปแล้ว..อยู่ไหนนี่อยู่หน้าบ้านกี้ใช่มั้ยออกมาหากี้เด๋วนี้เลย
แล้วก็เลิกพูดบ้าๆสักทีเร็วๆกี้รออยู่”
สิ้นเสียงบอกของฉันฉันก็รีบวิ่งไปเปิดรอประตูรอพี่เนยด้วยความร้อนใจทั้งกังวลทั้งกลัวว่าผู้หญิงโง่ๆคนนี้จะคิดทำในสิ่งที่เหนือความคาดหมายที่เจ้าหล่อนมักจะทำให้ฉันเห็นเสมอ..
แล้วพอฉันเปิดประตูออกไปรอพี่เนยได้ไม่นาน
พี่เนยในชุดวับแวบๆกระโปรงสั้นๆและเกาะอกที่ตอนนี้แทบจะเกาะอะไรไม่ค่อยอยู่แล้วก็เดินร้องห่มร้องไห้มือไม้ปัดป่ายไปมาตามใบหน้าของเธอเข้ามาหาฉัน
เมื่อมองใกล้ๆตอนนี้บรรดาเครื่องสำอางค์ของเจ้าหล่อนที่หล่อนอุตสาห์ประทินโฉมใบหน้างามๆของเธอก็กลายเป็นของเหลวไหลเยิ้มอาบนองสองแก้มเธอจนหม่นหมองมองดูไม่มีความโสภาใดๆซ่อนอยู่ตอนนี้เลย...
พี่เนยพยายามใช้มือเช็ดมาสคาร่าที่ไหลเยิ้มอาบแก้มอาบร่องตาของเธอออกก่อนที่จะเดินเข้ามาซบกอดร้องไห้กับไหล่ฉันต่อหน้าตอนนี้...
“ทำไมกี้ทำกับพี่อย่างนี้...รู้มั้ยว่าพี่เสียใจขนาดไหน”
ทันทีที่พี่เนยอ้าปากพูดออกมากลิ่นแอลกอฮอล์แรงๆก็ออกมาตามลมหายใจของหล่อน
อีกทั้งกลิ่นบุหรี่เหม็นๆที่เกาะอยู่ตามเสื้อผ้าหรือผมเผ้าของเธอด้วยก็ดี
ทุกอย่างในตอนนี้กำลังบอกฉันว่า
พี่เนยไปเที่ยวมา...แถมยังเมาเหล้าหนักมากมาหาฉันด้วย...
ฉันพยายามใช้สองมือค่อยๆประครองใบหน้าพี่เนยให้ออกมาอยู่ต่อหน้าฉัน
ตอนนี้ทั้งน้ำตาทั้งน้ำมูกของเธอไหลแข่งกันไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ
“พี่เนยเมาใช่มั้ยนี่
ไปกินเหล้ามาใช่มั้ย
ไหนบอกว่าจะพยายามไม่กินแล้วไง
แล้วทำไมกินหนักขนาดนี้อ่ะ..”
“ฮือ....กี้ยังจะถามพี่อีกเหรอว่ากินทำไม..ทำไมกี้ใจร้ายอย่างนี้
ทำไมกล้าทำกับพี่อย่างนี้
ทำไมๆ...”
เสียงพี่เนยพูดเสียงค่อยๆดังขึ้นดังขึ้นเรื่อยๆจนฟังดูเหมือนเธอจะเริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้
จนฉันน่าจะต้องคิดหาวิธีปรามเธอให้อยู่หมัดซะที..ก่อนที่พ่อกับแม่จะได้ยินเสียงโวยวายแล้วลงมาเห็นพี่เนยกับฉันในสภาพนี้
“ทำไมวะ
พี่ให้กี้ขนาดนี้แล้ว
กี้ยังไม่เห็นค่าของพี่อีกเหรอ
ทำไม
อีพลอยมัน....”ยังไม่ทันที่พี่เนยจะตะโกนถ้อยคำหยาบคายของเธอออกมาหมดประโยค
ริมฝีปากของเธอก็ถูกหยุดการเคลื่อนไหวด้วยริมฝีปากของฉันทันที...
ตอนนี้กลายเป็นว่าพี่เนยเงียบเสียงบ่น
เสียงพร่ามที่เธอพูดในสิ่งที่อัดอั้นตันใจของเธอไว้แล้วกลายเป็นเสียงครวญครางที่ค่อยๆเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากของเราทั้งสองเมื่อตอนที่เราต่างผลัดแลกเปลี่ยนมอบจุมพิตร้อนๆที่เต็มไปด้วยความลุ่มหลงและใคร่กระหายในตัวของกันและกัน
แล้วเมื่อเราสองคนได้ช่วยกันจุดเพลิงไหม้จากกองเล็กๆที่กลับกลายเป็นว่าความร้อนแรงของมันนั้นกำลังจะแผ่ลามขึ้นเป็นไฟกองใหญ่จนพี่เนยและฉันไม่อาจจะหยุดหรือดับมันง่ายๆได้ในตอนนี้
ฉันหยุดมอบจูบให้พี่เนยแล้วเงยหน้าจ้องมองเจ้าของใบหน้างามๆที่แดงระเรื่อทั้งด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์และฤทธิ์จุมพิตครู่นั้น
ตอนนี้ความรู้สึกใคร่ในใจของฉันตอนนี้กำลังส่งเสียงโรมรันพันตรูกับสติความรู้สึกผิดชอบชั่วดีว่าให้หยุดหรือให้ทำต่อไปยังไงดี...
....แล้วฉันก็ทนต่อความรู้สึกใคร่ที่ตอนนี้ดูมันขยายอำนาจใหญ่ขึ้นเรื่อยๆในใจของฉันไม่ได้
ยิ่งฉันมองดูพี่เนยอยู่นี้ความรู้สึกกระหายใคร่อยากต่อตัวพี่เนยก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนฉันทนไม่ไหวในที่สุด...
ฉันรีบปิดประตูบ้านชั้นล่างแล้วดึงพี่เนยให้รีบวิ่งตามฉันขึ้นไปข้างบนชั้นสามที่เป็นชั้นที่ฉันอยู่...ที่ฝั่งตรงข้ามกับหน้าห้องฉันนั้น
จะมีห้องเก็บของเล็กๆที่พ่อทำไว้สำหรับเก็บพวกเก้าอี้หรือของใช้ต่างๆที่ไม่ใช้แล้วเอาไว้..
พี่เนยเดินตามฉันเข้าไปในห้องนั้น
ก่อนที่จะโดนฉันทังจูบและทั้งดันเธอขึ้นไปนั่งบนโซฟาเก่าๆที่ถูกวางไว้ตรงมุมห้องด้านในสุด
ตอนนี้ความใคร่ความกระหายต่างๆกำลังสั่งให้ฉันทำอย่างนั้นอย่างนี้กับเธอคนนี้ทั้งด้วยความอยากของฉันก็ดีหรือเพราะต้องการปลอบใจผู้หญิงโง่งี่เง่าที่ไม่รู้ฟังอะไรคนนี้ด้วยก็ดี
ซึ่งก็ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายก็ต้องการในตัวฉันไม่ต่างกันเลย
เราสองผลัดกันมอบความสุขให้กันตลอดเวลาโดยไม่มีทีท่าจะเหนื่อย
จนฉันลืมไปว่าจริงๆแล้ววันนี้..ที่ห้องของฉันมีใครมานอนอยู่ด้วยซ้ำ...นี่ใช่มั้ยคำว่า..สับราง..ที่คนเจ้าชู้ทั่วไปชอบพูดกัน...
...แต่ฉันไม่ได้เจ้าชู้นะ
เพราะฉันก็ยังไม่ได้ตกลงปลงใจที่จะคบกับใครทั้งนั้นนี่นา..
...ฉันจะอยู่กับพี่เนยในตอนนี้มันก็ไม่ผิดอะไรใช่มั้ยล่ะ
เค้าก็ไม่ได้มาอยู่ตลอดเวลา
เราก็พึ่งจะเจอกันช่วงสั้นๆในตอนนี้เท่านั้นเองนี่...ที่ฉันพยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าไม่ให้มีเรื่องมีราวเกิดขึ้นระหว่างสองคนนี้..มันถูกต้องแล้วใช่มั้ย...
...คิดๆดูแล้วรคำว่าสับรางคงใช้กับตัวฉันไม่ได้หรอก...
นั้นมันใช้กับคนที่รู้สึกดีกับคนทั้งสองคนไม่ใช่เหรอ
...ก็ในเมื่อฉันดูเหมือนจะมีความสุขกับคนตรงนี้มากกว่า...แม้ว่าอีกคนจะอยู่กับฉันมาก่อนหน้านั้น...ฉันกับรู้สึกว่ามันเฉยๆดูไม่มีความสุขเท่าช่วงเวลาแค่อึดใจเดียวที่ได้เจอพี่เนยอยู่นี่เลย...
...และช่วงเวลาที่เหลือเพียงน้อยนิดที่เราได้มีโอกาสได้มอบสัมผัสแห่งเกมส์รักให้กันและกันนี้
ก็ดูจะคุ้มค่าและเต็มไปด้วยความสุขทั้งฉันและพี่เนยจริงๆ....
ฉันส่งพี่เนยตรงประตูหลังบ้านราวๆตีสี่กว่า
ตอนนี้พี่เนยคนขี้ใจน้อยดูอารมณ์ดีและมีความสุขขึ้นมากกว่าช่วงเวลาตอนค่ำที่เธอได้รู้เรื่องพี่พลอยมาหาฉันมาก...
ก็จะไม่ให้หล่อนมีความสุขยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มองฉันอย่างนี้ได้ไงเล่า
ฉันมองหน้ากรุ้มกริ่มในตอนนี้แล้ว..ภาพตอนที่เรามีอะไรกันเมื่อครู่นี้ก็ผุดขึ้นมาในหัวฉันทันที.......
“....กี้..กี้รักพี่บ้างมั้ย...”
เสียงพี่เนยพยายามหว่านล้อมถามฉันในขณะที่เธอนั้นกำลังMakeLoveให้ฉันอยู่
“อย่ามาหลอกถามกี้ตอนนี้ได้มั้ย...พี่เนย..”ฉันทั้งครางทั้งร้องทั้งตอบเธอทั้งพยายามควบคุมสติเอาไว้ไม่ให้เผลอตอบบอกว่ารักเธอไปในตอนที่ไม่สามารถควบคุมร่างกายได้อย่างนี้
แล้วก็เหมือนแม่เสือสาวเจ้าเล่ห์จะรู้จุดอ่อน
พอเธอเห็นฉันทำท่าอ่อนระทวยอย่างนั้นเธอก็ยิ่งเร่งมอบสัมผัสลุกล้ำนั้นให้ฉันยิ่งทนไม่ไหวเข้าไปใหญ่
“รักพี่บ้างหรือเปล่า
บอกให้พี่ชื่นใจหน่อยสิ..”
“โอ้ยย...พี่เนยกี้บอกแล้วใช่มั้ย..อย่ามาถือโอกาสถามกี้ตอนนี้สิ..”ฉันทั้งบิดตัวทั้งร้องครวญครางมือไม้ก็สะเปะสะปะปัดป่ายไปตามเนื้อตามตัวของพี่เนยอย่างไม่มีจุดหมาย
“กี้คนดี...บอกรักพี่ให้พี่ชื่นใจหน่อยได้มั้ย
นะ..นะคะ”พี่เนยยังทำเสียงออดอ้อนหลอกให้ฉันบอกรักเธอยู่เหมือนเดิม
“โอ้ย..พี่เนยกี้ไม่ไหวแล้ว..อย่าถามได้มั้ย”
ฉันโน้มตัวเข้าไปกอดพี่เนยสุดแรงตอนนี้ฉันทั้งจิกทั้งหยิกพี่เนยเพราะว่าตัวเองทนในความรัญจวนที่พี่เนยมอบมาให้ในตอนนี้เกือบจะไม่ไหวแล้ว
“ไม่บอกรักได้มั้ย...รู้แค่ว่าตอนนี้กี้มีความสุขที่สุด
พี่เนยทำให้กี้มีความสุขที่สุด
กี้ชอบที่พี่เนยทำอยู่นี่ที่สุด..พอใจหรือยัง...”ฉันพยายามบังคับคำพูดของตัวเองให้จบประโยคอย่างมีสติที่สุดก่อนจะทนไม่ไหวเพราะทุกอย่างถึงที่หมายแล้วตอนนี้....
พี่เนยค่อยๆบรรจงมอบจุมพิตให้ฉัน
ทั้งค่อยๆประครองร่างกายเปลือยเปล่าของฉันลงนอนบนเสื้อผ้าที่วางกองๆกันไว้เพื่อกันสิ่งสกปรกต่างๆ
เธอค่อยๆประพรมจุมพิตไปทั่งเรือนร่างที่ไม่ทันหยุดสั่นสะท้านจากอาการเมื่อครู่ดีก่อนจะค่อยๆนอนซบลงฟังเสียงหัวใจเต้นระรัวบนตัวของฉันตอนนี้...
“พี่รักกี้ที่สุดนะ..รักจริงๆไม่เหมือนที่นังพลอยมันบอกกี้นะ...นี่พี่จะทำยังไงกี้ถึงจะรู้ว่าพี่รักและจริงใจกับกี้ที่สุดดีนะ..”
พี่เนยเงยหน้ามองฉันอยู่นานๆก่อนที่เธอจะเหมือนนึกอะไรขึ้นได้แล้วลุกขึ้นดึงแหวนในมือของเธอส่งมาใส่ให้กับนิ้วของฉัน
“อะไรอ่ะพี่เนย”ฉันงงร้องเสียงหลงทันทีที่พี่เนยบรรจงสวมแหวนวงนั้นให้
“แหวนแม่พี่..พี่ใส่ติดตัวไว้ตลอด
พี่หวงมากเลยไม่เคยถอดสักที
พี่จะเอาให้กี้ใส่ไว้นะพี่จัขอหมั้นกี้ไว้ได้มั้ย”
“เฮ้ย..จะบ้าเหรอจะมาหมั้ออะไร
ยังไม่ได้ตกลงอะไรด้วยสักหน่อย
แล้วแหวนแม่พี่กี้ก็ไม่กล้าใส่ด้วยรู้ว่ามันมีความสำคัญเห็นพี่เนยใส่ตลอดเก็บเอาไว้กับตัวเองดีกว่านะ”
ฉันรีบถอดแหวนเงินหัวเป็นพลอยสีฟ้าเม็ดงามที่สะท้อนแสงดวงจันทร์แวววาวอันนั้นส่งคืนให้พี่เนยไปทันที
“เชื่อใจกี้เถอะนะ
ถ้ากี้บอกว่าไม่ก็คือไม่..เรื่องพี่พลอยพี่เนยก็เลิกคิดได้แล้ว
เห็นมั้ยว่ากี้ไม่ได้มีอะไรกับเค้าสักหน่อยกลิ่นอะไรก็ยังเป็นเหมือนเดิม
ตอนนี้มันก็มีแต่กลิ่นน้ำลายของพี่เนยเต็มตัวกี้ไปหมดแล้ว”
ฉันแอบแขวะพี่เนยเรื่องที่เธอคิดว่าฉันต้องมีอะไรกับพี่พลอยคืนทันที
“ก็พึ่งรู้นี่ล่ะว่าไม่มีอะไร
ถ้าไม่ได้เจอกันอย่างนี้จะรู้มั้ยล่ะ....”
ภาพพี่เนยยิ้มและหัวเราะคิกๆคักๆในความมืดนั้นเลือนกลายเป็นภาพพี่เนยยิ้มหวานแล้วโบกมือลาฉันเดินกลับรถเธอไปตอนนี้แทน
...ฉันค่อยๆเดินขึ้นห้องกลับเข้าไปนอนอยู่บนเตียงนอนตัวเองเหมือนเดิม
ซึ่งก็แค่เวลาไม่นานหลังจากนั้น
ความเหนื่อยก็ทำให้ฉันเริ่มรู้สึกง่วงนอนและทำให้ฉันเกือบจะหลับอยู่แล้วถ้าไม่ติดว่าฉันได้ยินเสียงคนข้างล่างเตียงพูดขึ้นมาในความเงียบเสียก่อน...
“กี้ไปไหนมาอ่ะ...นานจังเลย..พี่นอนไม่หลับเลย..ขอขึ้นไปนอนข้างบนด้วยได้มั้ย”
ฉันสะดุ้งลืมตาโพรงในความมืดทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น
“เอ่อ..ได้สิพี่พลอย
เด๋วกี้ขยับให้นะ”
ฉันพูดพลางลุกขึ้นเลื่อนหมอนไปทางขอบอีกฝั่งของพี่พลอย
พี่พลอยอุ้มผ้าห่มและหมอนของเธอขึ้นมาวางไปบนที่นอนก็จะค่อยๆทิ้งตัวนอนลงในความมืดเหมือนเดิม
ตอนนี้พี่พลอยเงียบแล้วฉันได้ยินแค่เสียงหายใจเบาๆของพี่พลอยดังมาเป็นจังหวะสม่ำเสมอฟังดูเหมือนเธอกำลังนอนหลับ
ซึ่งฉันก็กำลังจะเข้าสู่โหมดนอนหลับอีกเป็นครั้งที่สองต่อจากเมื่อกี้อยู่แล้ว
ถ้าไม่ติดความรู้สึกยุบตัวขึ้นลงเป็นจังหวะประหลาดๆของเตียงนอน
จนทำให้ฉันเอะใจลืมตาขึ้นมาเพ่งมองดูในความมืดทันที..
ความรู้สึกประหลาดใจเมื่อครู่นี้กลับกลายแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกตกใจจนฉันเผลอสะดุ้งตัวขึ้นมาทันที
เมื่อพบว่าภาพที่อยู่ต่อหน้าใบหน้าของฉันในตอนนี้ก็คือ...พี่พลอยที่กำลังนั่งค่อมฉันและโน้มตัวทั้งตัวยื่นหน้าลงมาจนหน้าพี่พลอยเกือบจะติดหน้าฉันอยู่แล้วในตอนนี้....
“เฮ้ย...พี่พลอยจะทำอะไร..”