Lovely
Mafia Girl
ลูกสาวเจ้าพ่อ
ขอเป็นแฟนหนู
อลังการ
เช้าวันจันทร์ฉันตื่นนอนมาด้วยความงัวเงียจากการที่ได้ยินเสียงข้อความในเฟสดังรัวๆต่อกันซ้ำๆไม่หยุดเสียทีจนฉันต้องลุกขึ้นมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับกล่องข้อความของฉัน
แล้วฉันก็ต้องคิ้วขมวดเมื่อพบว่าเจ้าของข้อความที่ส่งมารัวๆในตอนเช้านั่นคือ
“พี่เนย”
เย้ย..อะไรนี่...
ฉันนั่งก้มอ่านข้อความของเธอที่ส่งมาทีละประโยค
ที่รัก
ตื่นยัง ตื่นเร็ว ไปเรียน
คิดถึง ฝันเห็นด้วย
แล้วก็...อะไรของเธออีกมากมายก็ไม่รู้
ฉันนั่งอ่านข้อความของเธอแต่ก็ไม่ตอบอะไร
ด้วยเห็นว่าข้อความที่ส่งมานั้นมันไร้สาระ
และแสดงให้เห็นว่าผู้ที่ส่งข้อความมาหานั้น
เธอว่างเกินไป
แต่เอ๊ะ
ดูจากเวลาแล้วก็ตีห้ากว่าๆ
พี่เนยนี่ก็ตื่นเช้าเหมือนกันนะ
ปกติฉันยังตื่นหกโมงกว่าเลย
อืม..ก็คงจะรีบตื่นไปเรียนล่ะซินะ
ฉันนั่งมองข้อความไปพลางคิดไปพร้อมๆกับที่เสียงข้อความดังขึ้นอีก
“อ่านแล้วทำไมไม่ตอบเลย??”
พี่เนยคงเห็นการแจ้งของข้อความที่แสดงให้เห็นว่าผู้รับอ่านข้อความนั้นแล้ว
แต่ไม่ได้ตอบ เธอจึงพิมพ์กลับมาพร้อมกับ
เครื่องหมาย ???
รัวๆ
“ยังไม่ตื่นดี
ง่วงอยู่ หลับตาอยู่
แค่นี้นะจะไปอาบน้ำ”
นั่นเป็นข้อความแรกและข้อความสุดท้ายที่ฉันส่งไปให้เธอตัดบทสนทนาที่ดูเหมือนจะเริ่มงี่เง่าและไร้สาระไปมากกว่านี้
ฉันจัดการตัวเองเสร็จภายในเวลาปกติที่ฉันต้องเตรียมตัวไปโรงเรียน
กิจกรรมของทุกเช้าที่ฉันต้องทำคือ
ไหว้พ่อแม่
แล้วเดินไปขึ้นรถสายที่จะไปโรงเรียนหน้าปากซอยแถวๆบ้านพี่เนยนั่นแหละ
ตอนที่นั่งรอรถฉันก็คอยแอบหันไปทางประตูบ้านเจ้าหล่อนอยู่เนืองๆ
แถวๆนั้นมีผู้ชายชุดซาฟารีสามสี่คนสลับกันเดินเข้าออกประตู
พวกเค้าคงเดินสำรวจตรวจตราความปลอดภัยต่างๆของบ้าน
ฉันแอบมองดูพวกเค้าอยู่เรื่อยๆพร้อมทั้งความคิดหลายๆอย่าง
...ดีจังเลยเนอะชีวิตที่มีคนคอยดูแล
ทำนั่นทำนี่ให้ตลอด
ไม่เหมือนฉันเลย
แม้พ่อแม่จะอยากดูแลอยู่ตลอดเวลายังไง
ท่านก็ไม่สามารถทำได้ดังใจหวัง
เพราะด้วยว่าภาระหน้าที่ต่างๆของท่านทั้งสองที่พยายามหาเงินเก็บออมสร้างฐานะครอบครัวด้วยกัน
พ่อกับแม่บอกฉันว่าที่ท่านทั้งสองพยายามทำงานหนักทุกๆวันอย่างนี้นอกจากจะอยากมีบ้านเป็นของตัวเองแล้ว
ส่วนหนึ่งท่านก็อยากเก็บเงินเอาไว้เป็นทุนการศึกษาของฉันในอนาคตด้วย
ท่านบอกว่าอยากเห็นฉันที่เป็นลูกคนเดียวของบ้านเรียนสูงๆ
อยากให้เรียนให้สูงที่สุดเท่าที่ฉันจะเรียนได้
เรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆพ่อกับแม่จะไม่ให้ฉันลำบากอะไรเลยขอเพียงแต่ฉันตั้งใจเรียนและเป็นเด็กดีอย่างนี้ตลอดไป
ฉันยิ้มทุกครั้งที่ได้ยินพ่อกัยแม่พูดอย่างนั้น
เพราะฉันเข้าใจความรู้สึกของท่านดีการที่ท่านมีลูกแค่คนเดียวย่อมเป็นอะไรที่ท่านหวังมากและคิดมากอยากเลี้ยงดูฉันให้ดีที่สุดอยู่แล้ว
สำหรับฉันการที่เป็นลูกคนเดียวมันเป็นอะไรที่ค่อนข้างจะเก็บเอาความหวังหลายๆอย่างของพ่อกับแม่มาคิดให้หนักใจเหมือนกัน
เนื่องจากไม่มีพี่น้องที่ต้องมาแบกรับเอาความหวังของพ่อแม่ช่วยฉัน
จริงๆแล้วพ่อกับแม่ของฉันท่านก็อยากมีลูกอีกสักคนเอาไว้เป็นเพื่อนฉันเหมือนกัน
แต่หลังจากที่แม่คลอดฉันออกมาได้ท่านก็มีปัญหาเกี่ยวกับมดลูก
ทำให้ท่านไม่สามารถที่จะมีลูกได้อีก
ฉันจึงกลายเป็นลูกสาวคนเดียวของบ้านที่ต้องทำหน้าที่ลูกที่ดีที่สุดของพ่อแม่ไม่ให้พ่อแม่ต้องลำบากใจหรือผิดหวังได้
หลายคนอาจจะคิดว่าฉันต้องเก็บกดเพราะจากการที่ต้องเหงาไม่มีพี่น้องเป็นเพื่อน
แต่ฉันก็ไม่มีปัญหาอะไรอย่างนั้นนะ
อย่างที่บอกฉันเป็นคนมองโลกในแง่ดี
ฉันคิดเสมอว่าเราทุกคนต้องมีเหตุผลที่ต้องเกิดมา
เราอาจจะต้องมีหน้าที่อะไรสักอย่างที่ต้องทำที่ต้องเป็น
ฉันว่าการที่เป็นลูกคนเดียวอย่างนี้มันก็ดีเหมือนกันอย่างน้อยๆฉันก็เรียนรู้ที่จะอยู่คนเดียวได้
ดูแลตัวเองได้
รวมทั้งดูแลพ่อกับแม่และคนที่ฉันรักได้
ฉันคิดว่าเราควรพอใจในสิ่งที่เราเป็นอยู่จะดีกว่า
แม้ตอนนี้ฉันอาจจะอิจฉาความเพรียบพร้อมของบ้านที่ฉันแอบมองเค้าอยู่ตอนนี้
แต่มันจะมีประโยชน์อะไรล่ะถ้ามีพร้อมอย่างนั้นแล้วไม่มีความสุข
แต่ตอนนี้ฉันอยู่อย่างนี้กับครอบครัวที่มีไม่มากแต่ก็ไม่น่อยเกินไปสำหรับฉัน
ฉันว่านั่นก็คือความสุขที่สุดของฉันแล้วนี่นา..
ฉันทั้งคิดทั้งยิ้มแล้วรีบลุกขึ้นเดินไปที่รถสายที่จะไปโรงเรียนที่กำลังชะลอรับผู้โดยสารที่กำลังทยอยขึ้นรถอยู่
ณ เวลานี้
เสียงจอกแจกจอแจดังขึ้นตอนที่ฉันเดินผ่านประตูเข้ามาในโรงเรียน
มันมีทั้งเสียงเฮดังๆของเด็กนักเรียนผู้ชายที่วิ่งเตะบอลกันที่สนามหน้าเสาธงเวลาที่พวกเขายิงฟุตบอลเข้าโกล
หรือเสียงร้องเรียกกันของนักเรียนที่รอคุยกับเพื่อนที่แถวโรงจอดรถ
พวกเค้ายิ้มแย้มแจ่มใสใบหน้าตาเบิกบานทักทายและหัวเราะกันตามประสาเพื่อนที่รู้จักที่สนิทกัน
ฉันมองเห็นพวกเค้าเหล่านั้นแล้วก็นึกถึงเรื่องบางอย่างได้...
พี่เนยบอกให้ฉันรอเธออยู่ที่ม้านั่งแถวๆหน้าประตูโรงเรียนนี่นา..
ฉันคิ้วขมวดนึกถึงหน้าอ้อนๆของเจ้าหล่อนขึ้นมาได้ทันที
นี่ถ้าไม่รอหล่อนหล่อนคงจะทำโน้นทำนี่ให้ฉันปวดหัวอีกแน่เลย
ฉันคิดพร้อมๆกับมองหาม้านั่งตัวที่อยู่ใกล้ๆกับประตูโรงเรียนด้านในที่สุด
ตรงนั้นอยู่ใกล้ๆกับสนามฟุตซอลเล็กๆที่พวกนักเรียนผู้ชายม.ปลายชอบเตะบอลกันอยู่ด้วย
พวกเค้าหันหน้ามามองฉันทันทีที่ฉันเดินเข้าไปใกล้แถวๆนั้น
ฉันนั่งลงหันหน้าออกไปที่ประตูโรงเรียนคอยดูว่าคนที่สั่งให้ฉันรอเค้าอยู่นี่จะมาโรงเรียนตอนไหน
เด็กนักเรียนค่อยๆทยอยกันเข้าโรงเรียนมาเรื่อยๆ
บางคนก็ขับรถมากันเองบางคนก็มีผู้ปกครองมาส่ง
ฉันคอยชำเรืองมองเด็กผู้หญิงม.ปลายที่ลักษณะคล้ายๆพี่เนยหลายๆคนเพราะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นหล่อนทุกทีที่เห็น
ไหนบอกว่าจะรีบมา...
ฉันแอบบ่นในใจให้พี่เนยทันทีที่เริ่มรู้ตัวว่าตัวเองกำลังรอเก้อเข้าให้แล้ว
“..น้องกี้”
อยู่ๆเสียงแหบๆทุ้มๆของชายหนุ่มก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังฉัน
ฉันรีบหันหลังควับกลับไปมองที่มาของเสียงทันที
“พี่บอล..”
ฉันยิ้มและโบกมือทักทายให้ชายหนุ่มตัวสูงโปร่ง
คิ้วเข้มตาคม
ที่เดินยืนอยู่ข้างหลังฉันอยู่ตอนนี้
มือข้างหนึ่งของพี่บอลถือกระเป๋าอีกข้างหนึ่งล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่
พี่บอลยิ้มโชว์ฟันสวยๆหน้าหวานๆของเค้าให้กับฉัน
พลางเดินอ้อมมาทางด้านหน้าของฉัน
“ทำไมวันกีฬาสีน้องกี้รีบกลับจังเลยครับ
พี่หาน้องกี้ไม่เจอเลยอ่ะ
พี่ว่าจะขอถ่ายรูปด้วยอ่ะ
ถามเพื่อนๆเค้าบอกว่ากี้ไปดูคนที่ถือป้ายด้วยที่เป็นลมแล้วหายไปเลย
พี่อุตสาห์รอวันที่น้องกี้ใส่ชุดไทยจะขอถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกสักหน่อย”
พี่บอลทั้งพูดทั้งยิ้มทำสายตาหวานเยิ้มมองมาที่ฉัน
ฟังดูก็รู้ว่าเค้าต่อว่าฉันเล็กๆเรื่องที่ฉันแอบกลับก่อนในวันกีฬาสี
“เอ่อ..วันนั้นกี้เหนื่อยมากๆเลยพี่บอล
รู้สึกล้าอ่ะ ไม่ได้นอนด้วย
คิดว่าอยู่ต่อคงไม่ไหว
กี้ก็เลยแอบกลับก่อน”
ฉันยิ้มแหยๆให้กลับชายหนุ่มหน้าหวานที่เค้าพยายามส่งยิ้มให้ฉันซ้ำแล้วซ้ำอีก
คงด้วยเพราะหวังว่าฉันจะตกเป็นเหยื่อรอยยิ้มของเค้าเหมือนสาวๆคนอื่นๆในโรงเรียนที่เป็นกัน
พี่บอลเป็นพี่นักเรียนชั้น
ม.6เป็นคนหน้าตาดีคนนึงในโรงเรียน
เพื่อนผู้หญิงหลายๆคนพากันปลื้มพี่บอลกัน
ผู้หญิงหลายๆคนเคยตกหลุมรักรอยยิ้มของเค้าที่เค้ามักจะโปรยเสน่ห์ให้คนนั้นคนนี้เสมอเท่าที่เค้าจะทำได้
ซึ่งหนึ่งในคนที่เค้ามักจะเดินมาหาและโปรยรอยยิ้มและคำหวานต่างๆเท่าที่เค้าจะสรรค์หามาได้ก็คือ..ฉัน
เค้าคงคิดว่าฉันจะเป็นเหมือนเด็กผู้หญิงคนอื่นๆที่จะยอมมอบกายให้เค้าทันทีที่เค้าเสนอคำหวานและท่าทางการเอาอกเอาใจต่างๆที่เสนอมาให้ฉันอยู่นี่เป็นประจำทุกๆวัน
คือ..เรื่องที่พี่บอลหน้าตาดีฉันก็ไม่เถียงหรอกนะ
แต่เรื่องนิสัยนี่ฉันรู้สึกตะหงิดๆยังไงไม่รู้เหมือนกันเวลาที่คุยกับพี่เค้า
หรือเวลาที่เค้าเก๊กท่าหล่ออย่างนั้นอย่างนี้ใส่ฉัน
...มันบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร..แต่..ฉันจะคิ้วขมวดแอบหันหน้าหนีทุกๆครั้งที่ได้ฟังเรื่องราวคุยโม้ของเค้า
ครั้งนี้ก็เช่นกัน..
“นี่นะ
ถ้าวันนั้นน้องกี้ยังอยู่อ่ะ
พี่จะเอาถ้วยบอลที่ทีมพี่ชนะเอามาเป็นของขวัญให้น้องกี้เลย
พี่พยายามเตะบอลให้ชนะให้ได้เลยนะ
ตอนเตะบอลน่ะพี่ก็คอยชะเง้ออยู่ตลอดว่าน้องกี้จะอยู่แถวๆสนามมั้ย
น้องกี้จะแอบมาเชียร์พี่อยู่มั้ย..”
พี่บอลยืนยกไม้ยกมือทำท่าประกอบทั้งพูดทั้งยิ้มให้ฉัน
ฉันก็ยิ้มแหยๆตอบคืนให้พี่บอล
แต่ในใจก็เริ่ม รำคาญขึ้นมาตะหงิดๆ
จนฉันต้องแอบเบือนหน้าหนีพี่บอลไปทางอื่นปล่อยให้พี่บอลพล่ามเรื่องของเค้าต่อไปเรื่อยๆ
แล้วเมื่อฉันแอบหันไปมองทางอื่นสายตาของฉันก็ไปหยุดอยู่ที่ประตูโรงเรียนทันที..
ตอนนี้มีรถตู้รุ่นใหม่ล่าสุดสีดำเงางามกำลังชะลอจอดอยู่ที่ด้านหน้าประตูหน้าโรงเรียน
ทันทีที่รถจอดประตูรถเลื่อนเปิดออก
ชายชุดดำก็เดินลงมาจากประตูรถด้านหน้าข้างๆคนขับรถ
เค้ายืนสำรวจซ้ายขวาแถวๆที่บริเวณรถคันนั้นจอดครู่นึง
เมื่อพบว่าไม่มีอะไรผิดปกติเค้าก็เดินไปค่อยๆเลื่อนประตูรถด้านหลังออก
ตอนนี้ภาพที่ฉันเห็นก็คือ
เด็กผู้หญิงใส่ชุดนักเรียนม.ปลายรูปร่างบางท่าทางสะโอดสะองกำลังก้าวเดินลงมาจากรถอย่างสง่างาม
ดูหล่อนแต่งตัวเรียบร้อยดี
มัดผมเรียบร้อยดี
ชุดฟอร์มเครื่องแบบนักเรียนก็เรียบร้อยดี
ทุกอย่างกำลังจะเพอร์เฟคหมด...ถ้าฉันไม่หันไปเห็น
กระเป๋าด้านข้างของเธอ
นั่นมันกระเป๋าหลุยส์วิคตรองนี่นา
โอ้ยย...ฉันคิ้วขมวดทันทีที่เห็นภาพนั้น
ฉันจะรู้สึกเฉยๆกว่านี้นะ
ถ้าเด็กผู้หญิงคนที่ฉันเห็นอยู่นี่ไม่ใช่..พี่เนย
ใช่แล้ว..เด็กผู้หญิงคนนั้นก็คือพี่เนย
พี่เนยมาโรงเรียนด้วยกระเป๋าหลุยส์ใบเล็กๆใบนี้ใบเดียวนี่นะ...
เธอกล้ามาก..ฉันอึ้งทันทีที่เห็นภาพนั้น
แต่ฉันต้องอึ้งกว่านั้นทันที..
เมื่อฉันเห็นเธอกำลังยืนรออะไรสักอย่างอยู่ตรงประตูรถที่ค่อยๆเลื่อนออกมาอีกเผยให้เห็นชายชุดซาฟารีสีน้ำเงินที่นั่งอยู่ข้างในรถอีกคนนึงกำลังยื่นช่อกุหลาบสีแดงสดที่มีโบว์สีขาวและชมพูผูกเป็นริ้วสลับสีอย่างสวยงามเอาไว้ช่อใหญ่ๆ
ซึ่งมันใหญ่มากน่าจะประมาณเท่าหมอนของฉันได้
ชายคนนั้นยื่นช่อดอกไม้ส่งมาให้พี่เนย
เธอรับมันมาพร้อมกับก้มลงหอมและจัดแต่งช่อดอกไม้ช่อนั้นอย่างมีความสุขประหนึ่งว่าดอกไม้ช่อนี้เธอกำลังจะเอาไปมอบให้กับ
“ใคร”
ซึ่งทันทีที่ฉันเริ่มคิดได้เรื่องที่ว่าใครจะได้ดอกไม้พวกนั้น
ใบหน้าของฉันก็ร้อนผ่าวขึ้นทันที
ตอนนี้ความรู้สึกร้อนๆหนาวๆกำลังก่อตัวขึ้นในร่างกายของฉัน
ตายแล้วๆ
อย่าบอกนะว่าเธอจะเอามาให้ฉัน
ฉันก้มหน้าเอามือกุมขมับทันทีที่คิดได้
….โอ้ย
ฉันจะเอาหน้าไปไว้ไหนดีนี่
ทำไมต้องทำอะไรอย่างนี้ด้วยพี่เนย
เสียงพล่ามของพี่บอลดังมาเรื่อยๆมันเข้าหูฉันบ้างไม่เข้าหูฉันบ้าง
เพราะว่าฉันมัวแต่ก้มหน้าเอามือกุมขมับตัวเองไว้
ด้วยความเครียดย่อยๆที่กำลังเห็นความโอเวอร์อลังการของ
ผู้หญิง คนนึง
ที่ฉันเผลอยอมอนุญาติให้เค้าจีบฉันได้
เสียงนั้นดังมาเรื่อยๆจนกระทั่งถูกหยุดด้วยเสียงนึง...
“เธอ..ถอยหน่อยได้ป่ะ
เราขอคุยกับกี้ก่อนได้มั้ย”
พี่บอลหยุดแล้วรีบหันหลังกลับไปมองพี่เนยที่เดินเข้ามาอยู่ด้านหลังของพี่บอล
ตอนนี้เธอทำหน้าดุสายตาจ้องเขม็งเหมือนคนกำลังจ้องจะเอาเรื่องพี่บอลอยู่
พี่บอลงงทำหน้าสงสัย
เค้าหันไปมองหน้าพี่เนยสลับกับช่อดอกกุหลาบช่อใหญ่ที่พี่เนยถือประครองมาอยู่
พี่เนยยักคิ้วนิดนึงก่อนจะค่อยๆเลื่อนตัวเบียดพี่บอลให้หลบไป
“เรามีเรื่องจะคุยกับกี้..แค่...สองคนอ่ะ
เข้าใจอยู่ใช่มั้ย”
พี่เนยยังทำเสียงดุ เน้นคำว่า
แค่สองคน สายตาก็จับจ้องจิกกัดพี่บอลอยู่ตลอด
“เอ่อๆ
ได้สิ”
พี่บอลตอบรับทันทีที่เค้าหันมามองหน้าฉันที่ยิ้มแหยๆและก็พยักหน้างึกๆให้กับพี่บอลส่งสัญญาณบอกว่า
ให้ทำตามที่หล่อนพูดเถอะ
พี่บอลจึงบอกลาฉันนิดนึงก่อนจะเดินไปทางสนามฟุตซอล
เค้าทั้งเดินและหันหลังกลับมามองที่เราตลอดด้วยความสงสัยเรื่อง
ฉัน พี่เนย และช่อกุหลาบช่อนั้น
ไม่เพียงแต่พี่บอลเท่านั้นหรอกที่สงสัย
ตอนนี้เด็กนักเรียนที่อยู่แถวๆนั้นทุกคนต่างจับจ้องหันมามองที่ฉันกับพี่เนยอยู่
จริงๆแล้วพวกเค้าคงมองตั้งแต่ที่พี่เนยเดินเข้ามาในโรงเรียนแล้วด้วยซ้ำ
พอพี่เนยดูพี่บอลเดินไปจนถึงสนามฟุตซอล
พี่เนยก็รีบหันหน้ากลับมายิ้มหวานให้ฉันพร้อมๆกับยื่นช่อกุหลาบแดงช่อใหญ่ช่อนั้นส่งมาให้ฉัน
“พี่ให้กี้นะ..พี่สั่งมาพิเศษเลย
ดอกไม้สวยๆสำหรับคนสวยๆค่ะ”
พี่เนยทั้งพูดทั้งยิ้มทำเสียงออดอ้อนน่ารัก
สายตาเธอก็หวานขึ้นหวานขึ้นเรื่อยๆตอนที่ส่งดอกกุหลาบช่อนั้นมาให้ฉัน
ฉันได้ยินเสียงร้องกรี๊ดวี๊ดว้ายของเด็กผู้หญิงแถวๆนั้นดังขึ้นมาตอนที่เห็นพี่เนยส่งช่อกุหลาบนั้นมาให้ฉัน
พวกเค้าคงพากันประหลาดใจภาพที่เห็นเบื้องหน้าที่ว่า..
..มีผู้หญิงสองคนกำลังมอบกุหลาบให้กันโดยที่ผู้หญิงคนที่มอบให้นั้นทำท่าเหมือนกำลังสารภาพรักผู้หญิงคนที่เธอมอบดอกไม้นั่นให้ซะด้วย
โอ้ย..นี่ฉันมาถึงจุดนี้ได้ยังไง
จุดที่ฉันโดนผู้หญิงประกาศตัวว่าจะจีบฉันต่อหน้าเพื่อนนักเรียนคนอื่นๆซึ่งรวมทั้งพี่บอล..ที่แอบยืนมองทำตาโตตกใจที่เห็นพี่เนยมอบดอกไม้ให้ฉันตรงสนามบอลนั่นด้วย
..ตายแล้วฉันตอนนี้หน้าฉันเหลืออยู่สองนิ้วเท่านั้นเอง
พี่เนยนะพี่เนยอะไรจะเวอร์ขนาดนั้นนี่
“อะไรนี่พี่เนย”
ฉันทำเสียงดุๆเอ็ดพี่เนย จ้องเขม็งไปที่หน้าพี่เนยและช่อดอกไม้สลับกัน
“ก็ดอกกุหลาบไง
พี่ตั้งใจเตรียมมาให้กี้เลยนะ
เหมือนคนอื่นๆที่เค้าเอามาให้กี้กันไง”พี่เนยทำเสียงอ้อนๆตอนที่พยายามส่งดอกไม้มาที่มือฉันที่กำลังเก้ๆกังๆว่าจะรับดีหรือไม่รับดี
“แล้วเอามาทำไมช่อใหญ่ขนาดนี้นี่
ใครเค้าจะกล้าถือ บ้าหรือเปล่าอะ”
ฉันบ่นเสียงดุๆพร้อมๆกับดันช่อกุหลาบช่อนั้นคืนให้พี่เนย
ตอนนี้พี่เนยหน้าเสียคิ้วขมวดทำท่าเหมือนจะร้องไห้
เพราะเห็นว่าฉันทำท่าไม่อยากได้กุหลาบที่เธอซื้อมาให้
“กี้รับไว้เถอะนะ
พี่ว่ามันเหมาะกับกี้
พี่อยากให้สิ่งที่ดีที่สุดกับกี้อะ
ถ้ากี้ไม่กล้าถือ
เด๋วพี่ถือขึ้นไปส่งที่ห้องให้ก็ได้”
พี่เนยยังพยายามส่งดอกไม้ช่อนั้นมาให้ฉันต่อใบหน้าก็ยังเศร้าๆเหมือนคนกำลังจะปล่อยโฮออกมาในไม่ช้า
ฉันเริ่มมองซ้ายมองขวาทันทีที่เห็นพี่เนยทำท่าเหมือนจะร้องไห้
ก็แค่นี้คนเค้าก็เอาไปนินทาแล้ว
แล้วถ้าพี่เนยยังขืนร้องห่มร้องไห้เพราะฉันไม่รับเอาดอกไม้ของเธอด้วยแล้ว
มันก็จะไม่ยิ่งกลายเป็นประเด็นร้อนของโรงเรียนอีกเหรอ
แค่นึกภาพฉันก็คิ้วขมวด
รีบยื่นมือไปรับเอาดอกกุหลาบจากหล่อนทันทีเพราะไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่ไปกว่านี้
“อะ
ก็ได้รับไว้แล้ว
แต่ต้องถือขึ้นไปให้กี้ที่ห้องด้วยนะ
กี้ไม่ถือเองหรอกอายคน”
ฉันรับดอกไม้มาพร้อมๆกับยื่นข้อเสนอไปให้พี่เนยทันที
พี่เนยยิ้มออก
เธอพยักหน้าออเออตกลงกับคำพูดของฉันทันที
ฉันแอบหันไปมองรอบๆตอนนี้เด็กนักเรียนพากันยืนจับกลุ่มกันแล้วหันหน้าสลับกันกลับมามองพวกฉันสองคนใบหน้าต่างพากันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
ทำเหมือนพวกเค้ากำลังนินทาฉันกับพี่เนย
...ทำไงได้ล่ะ
ช่างมันเถอะอยากพูดอะไรก็พูดไปความจริงก็คือความจริง
ก็แค่เค้าจีบฉัน
ฉันยังไม่ได้จะคบด้วยสักหน่อย
อยากนินทาอยากว่าอะไรฉันก็ช่างพวกเค้าสิ
ฉันไม่ได้ทำผิดอะไรสักหน่อย...
ฉันแสร้งหลบตาทำเป็นไม่เห็นท่าทางของเด็กนักเรียนพวกนั้นก่อนจะรีบลุกขึ้นยืนแล้วส่งช่อกุหลาบช่อนั้นไปให้พี่เนยถือไว้
แล้วเดินนำพี่เนยไปที่ห้องเรียน
พี่เนยเดินขนาบข้างฉันไม่ยอมห่าง
มือข้างนึงสะพานกระเป๋าแบรนด์เนมสุดหรูของเธออีกมือนึงถือดอกไม้ช่อโตสีแดงช่อนั้น
ฉันต้องคอยก้มหน้าหนีสายตาของนักเรียนชั้นอื่นๆที่มองตามพวกเราสองคนเพราะความอาย
แต่ตรงข้ามพี่เนยกลับทำตัวสง่าเดินมาอย่างกับพญาหงส์
ไม่มีสีหน้าท่าทางว่าเธอ“อาย”เลยสักนิด
ทำอย่างกับเธอภูมิใจนักหนาที่ได้เดินข้างๆฉันอย่างนี้
ยิ่งพี่เนยเชิดหน้าชูคออย่างนี้
ความรู้สึกแปลกๆก็ยิ่งถาโถมเข้ามาหาฉัน
ฉันควรจะอายหรือเปล่ากับการที่เดินไปกับผู้หญิงที่ทำตัวเหมือนเค้ากำลังประกาศว่าเค้ากำลังจีบฉัน
ทำท่าเหมือนจะเป็นแฟนฉันอย่างนี้
หรือว่ามันเป็นเรื่องปกติ
คนอาจจะไม่ได้คิดว่าเราจะคบกันเหมือนแฟนกันก็ได้เค้าแค่อาจจะคิดว่า
ฉันกับพี่เนยคือ พี่สาวน้องสาว
???ใช่มั้ย???
“กี้..”
เสียงพี่เนยดึงฉันขึ้นมาจากห้วงความคิด
ฉันรีบเงยหน้าขึ้นไปมองหน้าเจ้าหล่อนทันที
“ปอยผมข้างหน้ากี้มันตกลงมาน่ะ
พี่เอาขึ้นให้นะ”
พี่เนยพูดพลางหันหน้ามาจับปอยผมม้าด้านหน้าปัดไปด้านข้างเบาๆพร้อมๆกับสายตาหวานๆที่มองตอนที่นิ้วเรียวๆยาวๆค่อยๆปาดผมบนหน้าผากฉันเบาๆ
ฉ่า..แค่เธอทำอย่างนี้ฉันก็รู้สึกร้อนๆไปทั่วใบหน้าของฉันทันที
ตายแล้วตอนนี้ฉันหน้าแดงไปหมดแล้วแน่ๆ
ไม่ได้จะให้หล่อนมาเห็นว่าฉันกำลังเขินอายกับการกระทำของเธออย่างนี้ไม่ได้
ฉันคิดพลางหันหน้าหนีหล่อนเพราะไม่อยากให้หล่อนมองเห็นใบหน้าที่กำลังแดงระเรื่ออยู่ของฉัน
แต่ทันทีที่หันหน้าหนี
ฉันก็พบว่าตอนนี้มีนักเรียนทั้งชายหญิงยืนอยู่แถวๆระเบียงอาคารที่เรากำลังเดินไปด้วยกัน
พวกเค้ากำลังมองดูพี่เนยปาดปอยผมด้านหน้าของฉันด้วยสายตาหวานละมุนประหนึ่งคนกำลังมีความรัก
และฉันที่กำลังอายหน้าแดงจนต้องหันหน้าหนีอย่างนี้
ทุกคนแถวนั้นยิ้มน้อยยิ้มน้อยยิ้มใหญ่พร้อมสายตาที่บ่งบอกว่าพวกเค้ากำลังคิดว่า
เราสองคนน่าจะมีอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่แค่พี่กับน้องกันแน่ๆ
ฉันสะดุ้งทันทีที่เห็นสายตาของพวกเค้า
จนต้องหันกับมาจับมือพี่เนยออกจากหน้าตัวเอง
“พอได้แล้วพี่เนย
กี้จัดการเองได้ รีบๆเดินเลยถ้าจะไปส่ง”
ฉันพูดเสร็จก็รีบเดินก้มหน้าเดินนำหน้าพี่เนยไปลิ่วๆ
พี่เนยเดินตามฉันไปทันตอนที่ฉันไปหยุดหน้าห้อง
ฉันหันกลับไปจ้องหน้าหน้ายิ้มๆของเธอก่อนจะพูดขึ้น
“ส่งแค่นี้ล่ะถึงแล้ว”
“ให้พี่เข้าไปส่งข้างในได้มั้ย
พี่อยากไปที่โต๊ะกี้
พี่จะเอาดอกไม้ไปวางไว้ที่โต๊ะให้เลย”
ฉันคิ้วขมวด
มองหน้าของพี่เนยที่ส่งสายตาออดอ้อนมาไม่ขาดสาย
แล้วฉันก็ใจอ่อนอีกยอมให้หล่อนเดินเข้าไปในห้องเรียนด้วย
“ก็ได้”
พูดเสร็จฉันก็เดินนำหน้าพี่เนยเข้าไปในห้องท่ามกลางสายตาของเพื่อนๆที่ตะลึงงันและจับจ้องมาที่พี่เนยและช่อดอกไม้ช่อใหญ่ช่อนั้น
จากที่ได้ยินเสียงคุยกันจอแจตอนที่ยืนอยู่หน้าห้องแต่ตอนนี้ทุกคนกลับเงียบกริบ
เพื่อนๆในห้องต่างจับจ้องและอ้าปากค้างมองพี่เนยที่เดินตามฉันเข้ามาในห้องต้อยๆ
ฉันได้แต่ถอนหายใจเมื่อเห็นปฏิกริยาของเพื่อน
ไม่อยากคิดอะไรมากแม้จะอายเพื่อนๆที่เห็นว่ามีมีพี่เนยเดินตามมาส่งอย่างนี้
ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆไปที่เพื่อนๆในห้อง
พี่เนยเดินตามฉันผ่านเพื่อนๆที่อ้าปากหวอ
ไปจนถึงโต๊ะของฉันที่ตอนนี้เพื่อนที่นั่งข้างๆฉันกำลังคุยกับเพื่อนโต๊ะข้างหน้าอยู่
ทันทีที่เห็นพี่เนยเดินเข้ามาใกล้ๆพวกเค้าก็หยุดพูดและเงยหน้าตาค้างมองพี่เนยและช่อดอกไม้ในมือของเธอสลับกับมองหน้าของฉัน
“ถึงโต๊ะกี้แล้ว
พี่เนยกลับได้แล้ว”
ฉันพูดพลางเลื่อนเก้าอี้ออกมาแล้วเอากระเป๋าถือวางไว้ที่เก้าอี้
พี่เนยวางช่อดอกไม้ลงบนโต๊ะ
ก่อนจะหันมายิ้มหวานมองฉัน
“ก็ได้งั้นพี่กลับก่อนนะ
เด๋วพี่โทรหา ตั้งใจเรียนนะ”
พูดเสร็จเธอก็ยกมือขึ้นบ้ายบายทำหน้าประหนึ่งว่าเธอน่ารักเต็มที่
“รู้แล้วน่า”
เสียงอายๆของฉันตอบรับเธอทันทีที่ได้ยิน
เฮ้อ..ถ้าคนเป็นแฟนกันจริงๆทำอย่างนี้มันก็คงจะน่ารักอยู่หรอก..แต่สถานะตอนนี้..มันยังไม่ใช่นี่นา
จะให้ฉันทำตัวอย่างไรกับเจ้าหล่อนดีล่ะ
ฉันได้แต่ยิ้มเจื่อนๆมองหน้าพี่เนยก่อนจะพยักหน้าให้เธอนิดนึงแล้วนั่งลงที่เก้าอี้มองดูเธอยิ้มหวานเดินอารมณ์ดีออกจากห้องของฉันไป
ซึ่งทันทีที่พี่เนยเดินออกจากห้องไป
เสียงวี๊ดว้ายในก็ดังขึ้นทันที
“เอ้ยแก
อะไรนี่ๆ ดอกไม้และก็ไอ้อาการแบบ
เด๋วพี่โทรหา ตั้งใจเรียนนะ
เมื่อกี้นี่มันคือไรวะ”
เพื่อนคนที่นั่งอยู่ข้างๆฉันถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นพอๆกันกับเพื่อนผู้หญิงกลุ่มใหญ่ในห้องที่เดินเข้ามาออกันทำเสียงวี๊ดว้ายตื่นเต้นในสิ่งที่พวกเธอเห็นเมื่อครู่นี้
ฉันยิ้มแหยๆไปที่เพื่อนคนที่ถาม
ไม่รู้ว่าควรจะตอบว่าอะไรดี
“อย่าบอกนะเว้ยว่าพี่เนยชอบแก
เค้าจีบแกใช่ป่ะ
พี่เนยเค้าชอบผู้หญิงด้วยกันเหรอวะ”
ฉันอึกๆอักๆพยักหน้างึกๆให้เพื่อนคนนั้นในใจนั้นแสนอาย
ไม่รู้จะอธิบายไอ้อาการแปลกๆที่พี่เนยทำกับตัวเองว่าอะไรดี
พอเห็นฉันพยักหน้าเพื่อนในห้องก็กรี๊ดกร๊าดกันเข้าไปใหญ่
เสียงร้องแซวโห่ขึ้นเหมือนประหลาดใจกับหลายๆเรื่องที่เจอเมื่อครู่นี้
“โหแก
โคตรเซอร์ไพรส์เลยอะ
ฉันพึ่งรู้นะว่าพี่เนยเป็นเลสเบี้ยน
เห็นแกแบบผู้หญิ๊งผู้หญิงสวยๆเปรี้ยวๆอย่างนี้กลายเป็นชอบผู้หญิงด้วยกันซะงั้น
แกรู้มั้ยว่าพี่เนยน่ะโคตรดังเลยนะ
คือถ้าแกไม่ดุอย่างกับหมา..อุ้ย..”
พูดถึงประโยคนี้เพื่อนก็รีบปิดปากตัวเองทันทีเหมือนนึกอะไรขึ้นได้และรีบโบกไม้โบกมือว่าพูดผิด
“..คือฉันหมายถึงแกดุอะ
พ่อพี่แกก็โคตรโหดได้ข่าวว่าหวงลูกสาวโคตรๆ
ป่านนี้แกคงมีแฟนคลับเต็มโรงเรียนแล้วมั้ง
เพราะแกทั้งสวย ทั้งรวย
บ้านแกก็แบบมีอำนาจที่สุดในจังหวัดใครๆก็กลัว
เสียอย่างเดียวคือแกนิสัยไม่ค่อยเวิร์คเท่าไหร่นี่ล่ะ
การเรียนแกก็ไม่ค่อยสนใจนะเว้ยเอาแต่เที่ยวอะ
เห็นสวยๆเฉี่ยวๆไม่สนใจใครอย่างนี้กลายเป็นชอบผู้หญิงด้วยกันซะอย่างนั้น”พอสิ้นเสียงเพื่อนคนแรกพูดอีกคนก็รีบพูดต่อขึ้นทันที
“แล้วผู้โชคดีคนนั้นดันเป็นแกซะอีกกี้
แกนี้ฮอตจริงๆเลยอ่ะ
ทั้งผู้หญิงผู้ชายผลัดเปลี่ยนกันมาขายขนมจีบตลอด
แต่นี่ให้ทายนะแกต้องมี
Somthing
special
กับพี่เนยแล้วใช่มั้ย
ถึงยอมให้เค้าเดินเข้ามาส่งในห้องได้ขนาดนี้”
เมื่อได้ยินที่เพื่อนพูดอย่างนั้นความอายก็เริ่มก่อตัวขึ้นทันที
เพื่อนๆคงสังเกตุเห็นฉันหน้าแดงขึ้นเลยยิ่งพากันแซวเข้าไปใหญ่
“โอ้ย
ไม่ใช่แก
ฉันก็แค่เห็นว่าเค้าเป็นผู้หญิงด้วยกันจะไปไหนมาไหนด้วยกันมันก็ไม่น่าเกลียดเท่าผู้ชายนี่นา
ไม่ได้มีอะไรในกอไผ่สักหน่อย”ฉันรีบอธิบายกลบเกลื่อนอากัปกริยาแปลกๆนั้นทันที
“แล้วตกลงคบกันยัง”
เพื่อนคนนั้นรีบถาม
ฉันก้มหน้าแล้วส่ายหน้าไปมา
“โฮย
เล่นตัวอีกแกนี่
ให้ทายนะเว้ยพี่เนยก็คงจะต้องทำคะแนนแบบอลังการแน่ๆแกคงจะต้องตามประกบแกเช้าเย็น
มีของขวัญของกำนัลเอามาเอาใจแกตลอดแน่
แกรวยจะตายอะ
ถ้าพี่เนยรู้ว่าแกอยากได้อะไรแกคงรีบๆหามาประเคนแกแน่ๆ
แกยิ่งชอบใช้ของแบรนด์เนมหรูๆ
แต่งตัวไฮโซ
แม้แต่รถอยู่บ้านแกก็น่าจะมีแต่รถสปอร์ตล่ะมั้งฉันเห็นบางวันแกก็ขับมาโรงเรียนด้วย”
ฉันเหงื่อตกทันทีเมื่อนึกถึงรถห้าประตูคันนั้นที่พี่เนยขี่มาโรงเรียนในวันนั้น
ตกลงทุกคนรู้เรื่องพี่เนยทั้งโรงเรียนแล้วใช่มั้ย
ยกเว้นฉันคนเดียว...คนเดียวจริงๆ..
แกนี่โง่จริงๆเลยอะกี้
โง่แล้วยังบื้อแถมยังมองโลกดีงามเกินไปอีก
สมน้ำหน้าแล้วจริงๆที่จะโดนพี่เนยต้มจนเปื่อยขนาดนั้น
ยิ่งคิดยิ่งโมโหให้ตัวเอง
เพราะนอกจากจะโง่งี่เง่าแล้วยังกลายเป็นว่าหลวมตัวปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นยอมมีอะไรกับเค้าโดยสมัครใจเสียอย่างนั้น
..เฮ้อ..ดักดานจริงๆเลยฉัน
เสียงเมโลดี้แปลกๆของอะไรสักอย่างดังขึ้นมาหยุดความคิดของฉันไว้
ฉันตื่นตกใจพร้อมกับเพื่อนที่อยู่รอบๆมองหาว่าเสียงดังนี่มาจากไหนกัน
ฟังดูเหมือนเสียงโทรศัพท์
เสียงโทรศัพท์ที่ดังออกมาจากกระเป๋ากระโปรงของฉัน
อ๋อ
เสียงโทรศัพท์เครื่องใหม่ที่พี่เนยเอาให้ฉันใช้นั่นเอง
ฉันรีบล้วงโทรศัพท์ออกมาท่ามกลางสายตาของเพื่อนๆที่ยืนออกันอยู่เมื่อครู่นี้
ตอนนี้กลายเป็นว่าทุกสายตาจับจ้องมาที่โทรศัพท์เครื่องนี้แทนแล้ว
ฉันก้มมองดูที่หน้าจอโทรศัพท์
ตอนนี้มันโชว์ข้อความว่า
พี่เนยต้องการเฟซไทม์กับฉัน
ฉันอึกๆอักๆไม่กล้าที่จะรับโทรศัพท์ของเธอแต่ก็กลัวเพื่อนจะรำคาญจำเป็นต้องกดรับอย่างเสียไม่ได้
“กี้..พี่ถึงห้องแล้วนะ
กี้ทำอะไรอยู่”
เสียงปลายสายดังมาพร้อมๆกับภาพพี่เนยยิ้มโบกมือทักทายนั่งอยู่ที่โต๊ะของเธอพร้อมๆกับเพื่อนเธอคนที่ฉันเจออยู่ในช๊อปวันนั้น
ฉันยิ้มแหยๆกลับคืนไปให้พี่เนย
“กำลังเก็บของอยู่จะลงไปเข้าแถวแล้ว
พี่เนยโทรมาทำไม”
“คิดถึงน่ะ
อยากเห็นหน้ากี้...”
เสียงคนกรี๊ดเบาๆดังมาทันทีที่ยินเสียงพี่เนยพูดประโยคนี้มา
เพื่อนในห้องของฉันนั่นเอง
โอ้ยให้ตายเถอะ
เธอจะทำตัวเวอร์วังอลังการอะไรขนาดนั้นพี่เนย
คนเค้ารู้กันหมดแล้ว
“คิดถึงอะไรเล่าพึ่งเดินมาส่งเมื่อกี้
พี่เนยไม่ต้องโทรมาแล้วนะกี้จะปิดเครื่องแล้วในเวลาเรียนกี้ไม่เปิดโทรศัพท์”
“เด๋วสิกี้เด๋ว
พี่จะบอกว่าตอนเที่ยงกี้รอพี่ด้วยนะ
พี่จะไปกินข้าวด้วย”
ฉันคิ้วขมวดมองหน้าพี่เนยผ่านเฟซไทม์
ในใจเริ่มคิดว่าอะไรนี่จะประกบฉันตลอดเวลาเลยเหรอ
...นี่คิดจะไม่ปล่อยฉันแน่ๆแล้วใช่มั้ย..
“ก็ดูก่อนแล้วกันว่าจะพักพร้อมกันมั้ย
ถ้าเจอกี้ก็ค่อยเดินมาหาแล้วกัน..แค่นี้นะ”
ฉันพูดห้วนๆบอกลาปลายสายไปก่อนที่จะรีบปิดเครื่องไว้อย่างที่บอกกับพี่เนยไปเมื่อครู่นี้
“โอ้ยแกสุดยอดอ่ะ
โทรศัพท์แกอ่ะ
นี่มันไอโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวได้ไม่กี่อาทิตย์ยังไม่มีขายในไทยแถมยังเป็นตัวท๊อปสีทองอีกอะ
อย่าบอกนะว่าพี่เนยเอาให้แก”เพื่อนๆยิงคำถามรัวๆทันทีที่เห็นฉันวางสาย
ฉันยิ้มแหยๆให้เพื่อนคนนั้นนิดนึงก่อนจะตอบ
“ไม่ใช่หรอกแกเค้าให้ฉันยืมใช้เฉยๆ”
“โอ้ยระดับพี่เนยไม่ให้ยืมใช้เฉยๆหรอกมั้ง
ฉันว่าเค้าตั้งใจซื้อให้แกนี่ล่ะ
ถ่อมตัวจังเลยแกนี่
แล้วเมื่อกี้แกพูดกับพี่เนยอ่ะสุดยอดเลย
พี่เนยดูหงอเลยอ่ะแค่โดนแกพูดข่มนิดเดียว
นี่แสดงว่าพี่เนยเค้าชอบแกจริงๆนะนี่ไม่งั้นแกคงไม่ยอมให้แกมาพูดข่มพี่แกอย่างนี้ง่ายๆได้หรอก”
“เหรอ..ฉันก็เห็นเค้าหงออย่างนี้ตลอด..แกพูดอย่างกับว่าพี่เนยแตะไม่ได้อย่างนั้น”
“ใช่สิ
แกไม่รู้เหรอ
พี่เนยน่ะจะดีเฉพาะคนที่แกอยากจะดีด้วยเท่านั้นล่ะ
ซึ่งก็มีไม่กี่คนหรอกในโรงเรียนนี้
หนึ่งในนั้นก็แกนั่นล่ะ..ซึ่งของแกคงจะเป็นระดับเฟิร์สคลาสเลยล่ะมั้ง”
ฉันนั่งนิ่งตาปริบๆฟังเพื่อน
ด้วยความสงสัยถึงคำว่า
ดีเฉพาะคนที่แกอยากจะดีด้วยเท่านั้น
“หมายความว่าไง
พี่เนยนิสัยไม่ดีเหรอ..”
“โหย
แกฉันก็ไม่กล้าว่าพี่แกขนาดนั้นหรอก
แกก็คงจะกำลังคบกันกับพี่เนยใช่เปล่า
ถ้าฉันพูดอะไรไม่ดีออกไปแล้วแกเปลี่ยนใจไม่ชอบพี่เนยขึ้นมา
ฉันจะไม่โดนพี่เนยฆ่าตายเลยเหรอ”
ยิ่งฟังฉันยิ่งอึ้ง
“อันนี้พูดเล่นหรือพูดจริงนี่แก
ฉันไม่รู้จริงๆนะ พี่เนยเป็นคนยังไงอะ
บอกฉันทีได้ป่ะ”
เพื่อนคนนั้นตาโต
จ้องมองฉันอย่างกับไม่เชื่อที่ฉันพูด
“แกไปอยู่ไหนมาวะ
พี่เนยออกจะดังคนเค้ารู้จักแกทั้งโรงเรียน
รู้เรื่องพี่แกดีกว่าตัวพี่แกอีกมั้งนี่”
ฉันยิ่งอึ้งนั่งอ้าปากหวอฟังเพื่อนพูดคำว่าคนรู้จักทั้งโรงเรียนแล้วยิ่งงงเข้าไปใหญ่
“พี่เนยน่ะแกเป็นลูกนักการเมืองเป็นคนมีอำนาจที่สุดในจังหวัดเราและรอบๆภูมิภาคนี้อันนี้แกคงรู้แล้วใช่เปล่า
แล้วพี่แกก็แบบเป็นคนแบบว่าแรงๆตรงๆไม่ค่อยยอมใคร
ใครทำอะไรไม่โดนไม่ถูกใจพี่แกก็จะโดนแกแบบว่า...”
เพื่อนหยุดตรงประโยคนี้แล้วทำท่ายกมือขึ้นตบอากาศไปมารัวๆ
บอกใบ้ว่าพี่เนยนั้นชอบใช้กำลังในการตัดสินใจนั่นเอง
“แกชอบมีเรื่องกับคนในโรงเรียนน่ะ
ตั้งแต่เพื่อนนักเรียนชั้นเดียวกัน
รุ่นพี่รุ่นน้องหรือแม้แต่อาจารย์คนไหนพูดจาไม่เข้าหูแก
พี่แกยังแอบดักตบเลยนะ
เรื่องฉาวๆที่ดังๆของพี่เนยก็คือตอนที่แกอยู่ม.3แล้วมีเรื่องกับพี่ม.6
ตอนนั้นแกตบซะพี่ม.6คนนั้นฟันหลุดหน้าเกือบเสียโฉมเลยนะ
แต่พี่เนยกลับมีรอยถลอกนิดเดียว
ได้ข่าวว่าพี่ม.6บอกว่าแกมาแย่งผู้ชายแกก็เลยมาหาเรื่องพี่เนย
แต่พี่เนยก็ไม่ยอมน่ะแม้จะอายุน้อยกว่า
ก็เลยกลายเป็นตีกันเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตมากเลยนะแก
เค้าเอาลงหนังสือพิมพ์ด้วยเพราะว่าเรื่องนี้ตอนแรกพี่เนยจะโดนไล่ออกแต่ได้พ่อพี่เนยมาช่วยไว้
แล้วก็กลั่นแกล้งอีกฝ่ายที่พ่อเป็นตำรวจมียศในจังหวัดเราทำเอาเด้งไปที่อื่น
คนนั้นเค้าแค้นมากก็เลยเอาเรื่องไปแฉในหนังสือพิมพ์
ก็ลงข่าวไม่กี่อาทิตย์หรอกพ่อพี่เนยก็จัดการให้เรื่องเงียบจนได้”
ฉันอ้าปากค้างตั้งแต่ได้ยินที่เพื่อนเล่าว่า
พี่เนยตบหน้าพี่ม.6จนฟันหลุดหน้าเกือบเสียโฉม
โอ้ย..ให้ตายเถอะแล้วนี่ฉันรอดมาได้ไงนี่
แสดงฤทธิ์เดชกับหล่อนไปตั้งเยอะทำไมหล่อนยังปล่อยให้มานั่งเอ๋อหน้าโง่อยู่ในห้องฟังเพื่อนๆเล่าเรื่องอดีตอันน่ากลัวของหล่อนอยู่อีก
นึกถึงภาพตอนที่เธอออดอ้อนทำหน้าสำอิดสำออยร้องไห้
ตอนที่มีอะไรกันวันแรกแล้ว
แทบจะไม่อยากเชื่อ
นี่เธอแกล้งทำเป็นอ่อนแอให้ฉันตายใจแล้วสงสารเธอเท่านั้นใช่มั้ย
ตกลงเป็นคนนิสัยไม่ดีจริงๆหรือนี่
ฉันงงไปหมดแล้ว...
เพื่อนๆทำท่าเหมือนกำลังจะเล่าเรื่องของพี่เนยต่อ
ถ้าไม่ได้ยินเสียงออดสัญญาณเตรียมตัวเข้าแถวตอนเช้าดังขึ้นเสียก่อน
“เฮ้ย
เด๋วค่อยคุยกันเด๋วฉันเมาส์ให้ฟัง”เพื่อนคนนึงพูดขึ้นก่อนที่จะลุกขึ้นเดินไปเก็บของที่โต๊ะของตัวเองเพื่อเตรียมตัวลงไปเข้าแถวข้างล่างพร้อมๆกันกับฉันที่ลุกขึ้นเก็บช่อดอกไม้ลงบนเก้าอี้แล้วเลื่อนมันเก็บเข้าใต้โต๊ะแล้วเดินลงไปข้างล่างเช่นเดียวกัน
*********************************************
เสียงออดพักเที่ยงดังขึ้น
เพื่อนสองสามคนที่ฉันมักจะไปกินข้าวประจำเดินมาหาฉันที่โต๊ะเพื่อรอไปกินข้าวด้วย
พวกเราเดินลงมาจากอาคารแล้วอ้อมไปทางหลังตรงทางลัดที่เรามักจะเดินเลี่ยงๆกลุ่มนักเรียนกลุ่มอื่นๆที่นั่งจับกลุ่มพูดกันขวางทางเรา
หรือไม่ก็ชอบชวนฉันคุยจนฉันไม่ได้ไปกินข้าวกับเพื่อนเสมอ
ระหว่างที่ฉันกำลังเดินคุยไปกับเพื่อนของฉัน
พี่เนยก็โผล่พรวดออกมาจากข้างทางมายืนขวางทางฉันกับเพื่อน
“กี้..กินข้าวด้วยกันป่ะ
พี่รอกี้อยู่”
พี่เนยทั้งพูดทั้งยิ้มให้ฉันตอนที่เดินเข้ามาต่อหน้าฉัน
ฉันสะดุ้งตกใจพี่เนยไม่คิดว่าเจ้าหล่อนจะรู้ทางลัดที่ฉันแอบมากับเพื่อนๆแถมยังมาแอบอยู่ข้างทางเพื่อดักรอฉันไปกินข้าวกับเธออย่างนี้
ฉันหันไปทำหน้าเลิ่กๆลั่กๆมองกลุ่มเพื่อนที่เดินมาด้วยกันกับฉันด้วยเกรงใจว่าพวกเค้าจะว่าอะไรเรื่องที่ฉันจะปลีกตัวทิ้งเพื่อนๆออกไปอย่างนี้หรือเปล่า
“แกไปกินข้าวกับพี่เนยก็ได้นะ
เด๋วไปเจอกันที่ห้อง บ๊ายบายแก”
เพื่อนคนนึงพูดขึ้นพร้อมๆกับท่าทางเออออของเพื่อนๆที่เหลือ
พวกเค้าคงไม่อยากทำให้ฉันลำบากใจจึงร่ำลาฉันปล่อยให้ฉันเดินไปกินข้าวกับพี่เนยที่โรงอาหารสองคน
ในโรงอาหารตอนนี้มันคราครั่งไปด้วยนักเรียนเกือบๆจะทั้งโรงเรียนคงเป็นเพราะพักเที่ยงมาได้สักพักแล้วนักเรียนก็เริ่มทยอยลงมากินก่อนหน้านั้นจนที่นั่งที่อยู่ในโรงอาหารตอนนี้ถูกจับจองไปหมดแล้ว
ฉันยืนอึ้งหันหน้าไปมองพี่เนยที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เหมือนเธอจะไม่กังวลใจเรื่องที่นั่งเลย
“นั่งไหนดีล่ะ
คนยังไม่หมดเลย ที่นั่งก็เต็มไปหมด”
ฉันยืนบ่น
“ตรงนั้นไงกี้
มันว่างอยู่พอดี”
พี่เนยชี้มือไปตรงกลางของโรงอาหารตรงนั้นเป็นโต๊ะยาวมีผู้หญิงนั่งที่หัวโต๊ะกับท้ายโต๊ะอยู่สองคน
“มีคนนั่งอยู่นี่
จะไปขอนั่งกับเค้าเหรอ”
ฉันถามพี่เนยด้วยเสียงงง
พี่เนยยักคิ้วให้นิดนึงก่อนจะจูงมือฉันเดินฝ่าเข้าไปตรงโต๊ะใจกลางโรงอาหารนั้น
ฉันแสนอายที่โดนพี่เนยจูงมือเดินผ่านคนเยอะๆเข้าไปในโรงอาหารอย่างนั้น
ตอนนี้คนที่เหลือบมาเห็นพี่เนยจูงมือฉันก็รีบสะกิดเพื่อนๆให้หันมามองฉันกับพี่เนยกันใหญ่
พี่เนยจูงมือฉันมาหยุดอยู่ที่โต๊ะตรงกลางตัวนั้น
เธอบอกให้ฉันนั่งรออยู่ตรงนี้
ซึ่งทันทีที่พี่เนยมาถึงผู้หญิงที่นั่งอยู่ที่หัวโต๊ะก็ขยับไปนั่งใกล้ๆอีกคนนึงทันที
“กี้จะกินอะไรเด๋วพี่ไปสั่งให้”
พี่เนยเดินมาอยู่ต่อหน้าฉันแล้วถาม
“ไม่เป็นไรเด๋วกี้ไปสั่งเองพี่เนยจะกินอะไรก็รีบๆไปเหอะ
เด๋วกี้จะตามไปสั่งทีหลังก็ได้”
“ไม่เอา
เด๋วพี่สั่งให้จะได้กินพร้อมกันนะ
กี้นั่งจองที่ไว้ตรงนี้ล่ะนะ
นะ” พี่เนยทั้งพูดทั้งทำเสียงอ้อนให้ฉัน
เมื่อทนต่อเสียงรบเร้าของคนต่อหน้านี้ไม่ไหวฉันได้แต่พยักหน้างึกๆงักๆไปตามคำเสนอของเจ้าหล่อนพร้อมๆกับสั่งอาหารที่ฉันอยากทานไป
ฉันแอบหันไปมองด้านข้าง
ตอนนี้สองคนที่นั่งอยู่ข้างๆฉันพากันแอบยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มองดูฉันกับพี่เนยกับฉันคุยกันอยู่
เมื่อเห็นดังนั้นฉันได้แต่หันกลับเข้าหาโต๊ะแล้วก้มหน้าทำเป็นนั่งมองพื้นโต๊ะแก้เขินไปเรื่อยๆเสียงจอกแจกจอแจของนักเรียนที่อยู่ในโรงอาหารดังผ่านเข้าหูฉันพร้อมๆกับความคิดต่างๆที่กำลังก่อตัวอยู่ตอนนี้
เฮ้อ..นี่ฉันต้องทำตัวประหลาดๆอย่างนี้ต่อหน้าคนอื่นๆไปเรื่อยๆจนกว่าฉันจะรู้ใจตัวเองอย่างนั้นเหรอ
ยิ่งคิดฉันก็ยิ่งฟุ้งซ่าน
นึกถึงหน้าพี่เนยตอนส่งยิ้มให้โดยที่ไม่ได้สนใจคำครหาของคนแล้วฉันก็ยิ่งอึ้ง
..กะจะเอาจริงๆจังๆเลยใช่มั้ยพี่เนย
ไม่แคร์โลกแล้วใช่มั้ยนี่..แม่คนประหลาดโลก...
ในขณะที่ฉันกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น
อยู่ๆเสียงจอกแจกจอแจในโรงอาหารก็กลายเป็น
เสียงร้องกรี๊ดวี๊ดว้ายคละกับเสียงแซวอื้ออึงดังขึ้น
ฉันสะดุ้งตกใจเสียงนั้นรีบเงยหน้าขึ้นไป
แล้วก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้าตอนนี้คือ..
พี่เนยกำลังถือช่อลูกโป่งที่เป็นตัวอักษรคำว่า
LOVE
สีแดงที่ถูกแซมด้วยลูกโป่งขนาดต่างๆมันถูกจัดเรียงมาอย่างสวยงาม
เป็นช่อใหญ่ๆซึ่งมันใหญ่จริงๆตอนนี้มันลอยขึ้นบังตัวเกือบทั้งตัวของพี่เนยแล้ว
พี่เนยยื่นช่อลูกโป่งช่อใหญ่ๆช่อนั้นส่งมาให้ฉัน
ตอนนี้ฉันเห็นว่าจริงๆแล้วมันถูกผูกไว้กับกล่องของขวัญสีแดงกล่องเท่าๆกับความกว้างของถาดอาหารน่าจะได้
“เซอร์ไพรส์..พี่รักกี้นะ”
เธอยื่นกล่องพร้อมๆกับที่พูดประโยคนี้ออกมาซะเสียงดังด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
ท่ามกลางนักเรียนที่ทั้งโรงอาหารที่กำลังจ้องมองและส่งเสียงโห่แซวและร้องวี๊ดว้ายด้วยความตื่นเต้นที่เห็นพี่เนยสารภาพรักฉันอย่างนี้...
โอ้ยยยย..ฉันอยากจะบ้าตาย...
แม่คุณมาทำอะไรอย่างนี้
ณ ตอนนี้
นี่กะจะให้คนเข้ารู้ทั้งโรงเรียนเลยใช่มั้ยว่าเธอกำลังจีบฉันอยู่
ตอนนี้หน้าฉันเหลืออยู่ไม่ถึงนิ้วแล้ว
ทั้งอายผู้คน
ทั้งอยากจะเป็นลมคิดอะไรไม่ออกมันอื้อๆอึงๆไปหมด
ในหูก็เต็มไปด้วยเสียงร้องโห่แซวของนักเรียนชายหญิงเกือบๆทั้งโรงเรียนที่ร่วมเป็นสักขีพยานในการสารภาพรักของเจ้าหล่อนในครั้งนี้
นี้กะจะประกาศศึกกับทุกๆคนที่มาจีบฉันเลยสิท่า
เล่นใหญ่รัชดาลัยเธียเตอร์เลยนะพี่เนย
ฉันหน้าซีดเริ่มมองซ้ายมองขวาตอนนี้คนก็เริ่มส่งเสียงเชียร์
ทั้งปรบมือเป็นจังหวะให้ฉันรับช่อลูกโป่งกับพี่เนยกันดังขึ้นดังขึ้นเรื่อยๆ
ฉันคิ้วขมวดมองหน้าพี่เนย...กะจะมัดมือชกกันเลยใช่มั้ย..ความคิดในหัวของฉันตอนนี้กำลังตีกันวุ่นวายซะจนสับสนไปหมด
พี่เนยค่อยๆลดรอยยิ้มลงเรื่อยๆ
เมื่อเธอเห็นว่าฉันเริ่มหน้านิ่วคิ้วขมวดมองเจ้าหล่อนคืนไปด้วยความไม่พอใจ
เธอขยิบตาส่งสัญญาณให้ฉันเหมือนเธอจะขอร้องให้ฉันช่วยรับช่อลูกโป่งช่อนี้ไปทีเถอะ
ฉันนั่งนิ่งคิ้วขมวดจ้องมองพี่เนย
ท่ามกลางเสียงร้องเชียร์และเสียงปรบมือของนักเรียนในโรงอาหารที่ดังขึ้นมาเรื่อยๆ
นี่ฉันควรจะรับช่อลูกโป่งช่อนี้ที่แทนคำสารภาพรักต่อหน้าคนเกือบๆโรงเรียนของเจ้าหล่อนดีมั้ยนี่...
กี้เอ้ยกี้...