Girlfriend
Special
Part
Valentine's
Day gift
Chapter
1
..ยิ่งฉันใกล้เธอ...เท่าไหร่
ยิ่งอยากจะเผยใจ
เมื่อสบสายตาก็ยิ่งหวั่นไหว
มันยากเหลือเกิน
จะเก็บซ่อนความลับเอาไว้
แล้วความลับในใจของเธอ
มีฉันอยู่บ้างมั้ย
โปรดบอกความในใจ
ให้ฉันรู้ทีนะเธอ..
เสียงเพลงรักเพลงเก่าที่ฉันชอบเปิดฟังเป็นประจำในช่วงเวลาดึกๆของวันตอนนั่งทำการบ้าน
อ่านหนังสือทบทวนตำราไปเรื่อยๆ
ฉันชอบเปิดคลอมันไปเบาๆให้มันดังเป็นเพื่อนฉัน
เวลาที่ฉันรู้สึกเหงาและรู้สึกคิดถึงใครบางคนในเวลานี้..
ยามนี้
เสียงกระดิ่งลมที่ฉันแขวนไว้นอกหน้าต่างมันดังกรุ้งกริ้งสั่นไหวไปมาตามแรงลมเหมันต์ที่เคลื่อนตัวมาทักทายในยามหนาวต้นเดือนกุมภาพันธ์
เมื่อคิดถึงหน้าหนาว
ฉันคิดถึงการฉลองปีใหม่ที่ผ่านมา
ปีนี้บ้านของฉันไปฉลองปีใหม่กันที่บ้านเกิดของพ่อ
ฉันได้กลับไปพบเจอกับบรรดาญาติๆและลูกพี่ลูกน้องที่นานๆได้เจอกันที
และเมื่อเค้าเจอฉัน
สิ่งแรกที่เค้าถามฉันก็คือ...
“อาเจ้ยแกมีแฟนยัง..”
ฉันสำลักน้ำลายทุกครั้งที่ได้ยินบรรดาลูกพี่ลูกน้องที่อยู่ในวัยไล่เลี่ยกันกับฉันยิงคำถามมารัวๆ
พวกเค้าก็คงจะถามกันไปตามหัวข้อที่เด็กวัยรุ่นสมัยนี้ชอบคุยกัน
คือ เรื่องความรัก เรื่องแฟน
อะไรประมาณนี้
ฉันคิ้วขมวดหน้าแดงแล้วก็ส่ายหัวไปมาทันทีที่ได้ยินคำถามนั้น
“ไม่เชื่อหรอก
อย่ามาโกหกเลย
สวยขนาดนี้ไม่มีแฟนอ่ะเป็นไปไม่ได้หรอก
บอกมาเฮอะไม่บอกแม่แกหรอกน่ะ”
เสียงเจ๊แนนลูกพี่ลูกน้องที่มีศักดิ์เป็นพี่สาวลูกของอาเจ๊กฉันที่อายุมากกว่าฉันสองปีร้องขัดขึ้นตอนที่เห็นฉันปฏิเสธคำถามต่อหน้าลูกพี่ลูกน้องคนอื่นๆอีก5-6คนที่นั่งตั้งวงกินเนื้อย่างกันในวันปีใหม่
“ก็ไม่มีจริงๆ
ไม่เชื่อเจ๊ก็ถามแม่กับพ่อเจ้ยดิ
วันๆเจ้ยก็ไปเรียนแล้วก็รีบกลับบ้านไม่ได้ไปไหนมาไหนจะเอาเวลาไหนไปมีแฟน”
ฉันก็รีบเถียงอาเจ๊คืนไม่น้อยหน้า
แต่เจ๊แนนก็ยังดูจะไม่เชื่อในคำบอกเล่าของฉันเอาซะเลย
“ก็เวลาที่แกไปเรียนไง
แอบซ่อนผู้ชายไว้ที่โรงเรียนใช่มั้ยบอกมาๆ
ฉันอยากเห็นหน้าแฟนแกไม่ต้องอายฉันหรอกวัยรุ่นเหมือนๆกันเข้าใจกันอยู่
พวกฉันไม่ไปบอกพ่อแม่แกหรอก”
“โอ้ย
ไม่ได้ซ่อนๆ ไม่มีจริงๆ”
ฉันโบกไม้โบกมือไปมาตอนที่อาเจ๊เข้ามากอดฉันแล้วแกล้งจั๊กกะจี๊ฉันให้ฉันยอมบอกเรื่องที่พวกเค้าสงสัยกัน
“งั้นเฟสแกอะไรบอกมา
ฉันจะแอดเฟสแกดูดิ”
เจ๊แนนพูดพลางหยิบโทรศัพท์สมาร์ทโฟนของเธอขึ้นมาเปิดรอแอดฉันเป็นเพื่อนในเฟส
ฉันคิ้วขมวดนั่งเหงื่อตกทันทีที่ได้ยินเจ๊แนนยื่นคำขอนั้นมา
เอาไงดีอ่ะ
เออ..ก็ไม่มีอะไรให้เป็นพิรุธอยู่ในนั้นสักหน่อย
รับแอดเจ๊แกไปเหอะ
สติฉันสั่งการร่างกายไม่ให้รนราน
ยังไงใครก็ไม่คิดอยู่แล้วนี่ว่าฉันจะมีแฟนเป็นผู้หญิงด้วยกัน
เค้าคิดกันทั้งนั้นล่ะว่าแกต้องมีแฟนเป็นผู้ชาย..หล่อๆ..เพราะงั้นให้เจ๊แกแอดไปหาผู้ชายหล่อๆที่จะโผล่เป็นพิรุธในเฟสฉันให้เจอเหอะ
ฮึฮึ
ฉันทั้งคิดทั้งหัวเราะในใจพลางรับโทรศัพท์ของเจ๊มาพิมพ์ชื่อเฟสให้เจ๊แอดมาและฉันก็รับแอดเจ๊แนนทันทีเช่นเดียวกัน
ทันทีที่ฉันรับแอดเจ๊แนน
พวกลูกพี่ลูกน้องก็พากันสุมหัวรวมตัวกันอยู่รอบๆที่เจ๊แนนนั่งทันที
พวกเค้านั่งพากันส่องดูเฟสของฉัน
ดูข้อความต่างๆที่ฉันโพส
ข้อความต่างๆที่เพื่อนโพส
รวมทั้งรูปภาพต่างๆด้วย
“ทำไมไม่เห็นมีผู้ชายเลยวะ
โรงเรียนแกเค้าไม่รับผู้ชายเหรอ”
“รับสิ
เพื่อนเจ้ยก็ผู้ชายเยอะ”
“แล้วทำไมไม่มีภาพ..แบบ..อย่างว่าเลยวะ”
เจ๊แนนทำเสียงสงสัย
“มีแต่รูปแกกับเด็กผู้หญิงคนนี้”
เจ๊แนนยื่นโทรศัพท์มาให้ฉันดู
รูปฉันกับเอื้อยถ่ายคู่กัน
“อ่อ
รูปเพื่อนเจ้ยเอง
เพื่อนสนิทเจ้ยเองอ่ะ”
ฉันทำตาใสๆพูดเหมือนไม่มีอะไรแอบแฝงในคำว่าเพื่อนคำนั้น
“เหรอ
เออสวยดีนะเพื่อนแก
ทำไมถ่ายด้วยกันบ่อยจังเลยวะ
พวกแกแอ๊บอะไรกันป่ะ
ฉันอ่านคอมเมนต์เห็นเขียนเหมือนเป็นคู่จิ้นอะไรกันสักอย่าง”
ฉันสะดุ้ง
แอบมองไปที่ลูกพี่ลูกน้องคนอื่นๆที่หันมามองฉันรอฟังคำอธิบายคำว่า
คู่จิ้น อยู่
“เอ่อ..ก็แอ๊บนิดหน่อยอ่ะเจ๊
ตามกระแสอ่ะ เด็กที่โรงเรียนมันปลื้มอะ
มันก็แบบๆว่าทำให้เราเป็นเน็ตไอดอลไงเจ๊
มีจุดขายจะได้ดังๆอะไรอย่างนี้”
ฉันพยายามอธิบายด้วยน้ำเสียงที่คิดว่าเป็นปกติที่สุด
“แล้วทำไมแกต้องทำล่อกๆแล่กๆอย่างนั้นด้วยวะ
มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า”
เจ๊หันมามองท่าทางที่ฉันคิดว่าเป็นปกติที่สุดแต่กลายเป็นลุกลี้ลุกลนในสายตาคนอื่นซะงั้น
ฉันอึ้งนั่งมองหน้าคนนั่นทีคนโน้นทีพร้อมๆกับการกลืนน้ำลายลงคอเพราะตอนนี้ความรู้สึกร้อนๆหนาวๆกำลังก่อตัวขึ้นจนทำให้คอของฉันแห้งผาก
“แก..”
ฉันใจจดใจจ่อรอฟังเสียงเจ๊แนนที่พยายามถามในสิ่งที่เธอสงสัยออกมาทีละคำ
“เป็น..ทอมใช่มั้ย”
ฉันคิ้วขมวด
อ้าปากหวอ “ฮ้า เจ้ว่าไงนะ”
“แกเป็นทอมใช่เปล่า
แล้วนี่ก็แฟนแกใช่เปล่า”
“โอ้ยบ้าแล้ว
ทอมที่ไหนจะสวยอย่างนี้เจ๊
เจ๊เอาตาไหนดูนี่ โฮย..
นอยด์นะนี่เจ๊พูดอย่างนี้”
เสียงฉันบ่นด้วยน้ำเสียงเซ็งๆออกไปทันทีที่ได้ยินเจ๊พูด
“เอ้า
ฉันก็ไม่รู้ฉันก็ถามๆไปงั้นล่ะ
เผื่อจะแจ๊คพอร์ตอะไรอย่างนี้ไง
สมัยนี้เค้ายิ่งนิยมเป็นทอมกันอยู่ฉันเห็นเพื่อนที่มหาลัยมีแฟนเป็นทอมกันเพียบ”
“แล้วทำไมต้องคิดว่าเจ้ยเป็นทอมด้วยล่ะนี่
ทำไมไม่คิดว่าคนนั้นเค้าเป็นบ้างล่ะ”
ฉันจิ้มนิ้วไปที่ภาพของเอื้อยทันที
“อ้าว
ก็เค้าสวยกว่าแกอะ เป็นฉัน
ฉันก็ต้องคิดว่าแกไปจีบเค้า
แกก็ต้องเป็นทอมสิ”
เจ๊แนนทั้งพูดทั้งขำ
พอๆกันกับลูกพี่ลูกน้องคนอื่นๆที่หัวเราะกันครืนทันทีที่ได้ยินเจ๊แนนพูดอย่างนั้นออกมา
“ฮ้า..บ้าแล้วเจ๊อะ...”
ฉันก็ทั้งพูดทั้งหัวเราะในความคิดของเจ๊
ตอนนั้นฉันแอบโล่งใจที่ไม่ไม่ใครคิดว่าฉันกับเอื้อยเป็นแฟนกัน
เพราะทุกๆคนยังไม่เคยเห็นผู้หญิงที่เป็นผู้หญิงด้วยกันจริงๆคบกันซักที
เอาง่ายๆก็คือพวกเค้าไม่รู้จักคำว่า
“เลสเบี้ยน”เลย
พวกเค้าก็เลยไม่คิดว่าคำว่าคู่จิ้นที่เพื่อนแซวฉันในคอมเมนต์นั่นจะเป็นเรื่องจริง
ฉันทั้งยิ้มทั้งมีความสุข
แถมยังไม่ต้องกังวลอะไรอีก
อีกทั้งในใจลึกๆก็แอบดีใจที่คนอื่นๆชมเอื้อยว่าสวยกว่าฉัน
จริงๆนะ...ฉันไม่รู้สึกโกรธเลย
ที่คนอื่นมองว่าเอื้อยสวยกว่าฉัน...มันเป็นความรู้สึกดีใจและภูมิใจซะมากกว่า
ที่ฉันมีแฟนสวยขนาดนี้
ยิ่งคิดก็ยิ่งนึกถึงหน้าคนสวยคนนี้จังเลย
ป่านนี้ไม่รู้ว่าเค้าจะคิดถึงฉันบ้างหรือเปล่านะ
ฉันหยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดอัลบั้มรูปดูรูปที่ฉันถ่ายด้วยกันกับเอื้อยเมื่อตอนที่เรากลับมาคืนดีกัน
ตอนนั้นเอื้อยพยายามดูแลฉันอย่างใกล้ชิด
ตั้งแต่ตอนที่ฉันยังไม่ถอดเฝือกออกเอื้อยก็คอยถือนั่นถือนี่ให้ฉันตลอด
อย่างในภาพนี้เธอแบกกระเป๋ากับหนังสือของฉันและของเธอเอาไว้ในมือข้างหนึ่ง
อีกข้างหนึ่งเธอก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายเซลฟี่คู่กับฉัน
เอ..ภาพนี้ขนาดเอื้อยไม่ค่อยเก๊กเท่าไหร่ก็ยังสวยเลยอ่ะ
ดูฉันสิ หน้าก็เหวอๆทำหน้าตกใจไปได้
แค่เอื้อยเอาแก้มมาแนบแก้มถ่ายรูปต่อหน้าเพื่อนๆในโรงรถเยอะๆอย่างนี้ก็ทำเป็นตกใจ
ทำอย่างกับว่าไม่ค่อยได้ถ่ายรูปทำนองนี้ด้วยกันบ่อยๆ
เออ..ใช่ตั้งแต่เราดีกัน
เอื้อยกับฉันก็เริ่มทำตัวสนิทสนมกันแบบเปิดเผยกันมากขึ้น
เราเริ่มกระหนุงกระหนิง
เริ่มสวีทกันต่อหน้าเพื่อนๆมากขึ้น
ซึ่งตอนแรกๆเพื่อนก็แซวดีหรอก
แต่หลังๆมาพวกเค้าก็ไม่แซวกันแล้ว
กลายเป็นว่าพอเราทำท่าเหมือนจะคบกันจริงๆกลับกลายเป็นไม่ค่อยมีใครเชื่อ....
พวกเค้าคงติดภาพที่ว่าฉันกับเอื้อยชอบผู้ชายคนเดียวกันอยู่มั้ง
ตอนนี้ก็เลยกลายเป็นว่าเราสองคนแม้จะทำอะไรที่มันดูเกินคำว่าเพื่อนออกไปขนาดไหน
ก็ไม่ค่อยมีใครแซวเรากันเท่าไหร่แล้ว..
เออ..ก็ขำดี
ดีแล้วล่ะฉันกับเอื้อยก็สบายใจดีอยู่กันอย่างนี้ก็โอเหมือนกัน
ไม่ต้องอยู่ในสายตาใคร
ไม่ต้องให้ใครมาจับตา
ไม่ได้ปิดบัง
อยากคิดอะไรก็ได้สำหรับสถานะเราสองคนในตอนนี้
ดีจริง..
ตึ๊ง
เสียงเตือนจากเฟสบุ๊คดังขึ้นมาจนฉันสะดุ้งตื่นจากเรื่องที่กำลังคิด
ฉันเปิดดูการแจ้งเตือนตอนนี้มันมีข้อความเตือนฉันว่า
เอื้อยแท๊กฉันในรูปภาพ
ฉันคิ้วขมวดดูนาฬิกาตอนนี้
มันชี้บอกเวลาที่สามทุ่มสี่สิบห้า
นี่เอื้อยคงพึ่งว่างเล่นเฟสล่ะสิ
ไหนดูสิเธอคนนี้วันนี้มีอะไรมาแทกมาเล่นกับฉันบ้าง
ฉันอมยิ้มแล้วเปิดดูภาพที่การแจ้งเตือนนั่นบอก
ภาพที่ฉันคลิกเข้าไปนั้น
เป็นข้อความตัวหนังสือเขียนไว้ตัวใหญ่ๆในกรอบสีชมพูว่า...
“แทกชื่อคนที่คุณอยากได้ของขวัญในวันวาเลนไทน์นี้”
แล้วเอื้อยก็แทกชื่อฉันมาคนเดียวโดดๆ
พร้อมทั้งใส่อีโมคอนเป็นรูปหัวใจยาวๆมาเต็มบรรทัดอีก
มีเพื่อนกดถูกใจสถานะของเอื้อยกันใหญ่
พร้อมๆกับคอมเมนต์ขำๆที่พวกที่เป็นแฟนคลับฉันกับเอื้อยชอบแซวกันเป็นประจำ
“จะอ้อนขออะไรจากแฟนอีกล่ะจ๊ะ
:)”
“นั่นแน่
ป๋าเจ้ยจัดแหวนเพชรให้คนสวยเลยสิ”
“ถ้าจะเปิดตัวขนาดนี้ก็แต่งกันเลยเถอะ..แล้วถ้าจะแต่งกันก็อย่าลืมแจกการ์ดพวกฉันด้วยนะ
อิอิ”
และอื่นๆที่ฮาๆ...
ฉันหัวเราะรั่วทันทีที่ได้อ่านคอมเมนต์พวกนั้น
มันทั้งขำทั้งอาย
ไม่รู้จะบอกอย่างไรในความรู้สึกตอนนี้
เอื้อยนะเอื้อยทำเป็นทวง
ยังไม่ทันถึงวันวาเลนไทน์ซักหน่อยอีกตั้งสองสามวัน
เห่อจริงๆเลยนะสำหรับวาเลนไทน์แรกที่จะได้ของขวัญจากแฟนที่เธอบ่นลอยๆตั้งแต่กลางๆเดือนมกราคมโน้นมา
อืม
จริงๆแล้วฉันก็ยังคิดไม่ออกเลยนะว่าฉันจะซื้ออะไรให้เธอดี
ในวันวาเลนไทน์นี้
“อยากได้อะไรล่ะคะ
ไว้รวบยอดให้ทีเดียวตอนสงกรานต์เลยไม่ได้เหรอ”
ฉันคอมเมนต์เอื้อยไปบ้าง
พร้อมกับคอมเมนต์สติ๊กเกอร์รูปคนกุมมือทำตาปริ๊บๆขอร้อง
“เอ้อ..ถ้าจะให้ตอนสงกรานต์จะคิดดอกเบี้ยเยอะๆเลยคอยดูสิ”
เอื้อยตอบกลับคอมเม้นต์นั้น
เพื่อนก็พากันมากดถูกใจทั้งข้อความที่ฉันคอมเมนต์และข้อความที่เอื้อยตอบกลับฉันทันที
ฉันนั่งยิ้มอ่านข้อความต่างๆซ้ำไปซ้ำมาอย่างอารมณ์ดี
ก่อนที่เสียงโทรศัพท์จะดังขึ้นพอฉันกดรับปลายทางก็ส่งเสียงเจื้อยแจ้วมาว่า
“อะไรอ่ะ
ไหนรับปากว่าจะให้จริงๆจังๆแล้ว
ยังจะมายอกย้อนอีกอ่ะ
เดี๋ยวก็เจอดีอีกหรอก”
เสียงเอื้อยนั่นเอง
ตอนนี้เธอส่งเสียงงอนๆมาตามสาย
“ฮ่าฮ้า
เค้าล้อเล่นเฉยๆหมั่นไส้คนชอบทวงของขวัญ
วันนี้ทวงออกสื่อเชียวนะกลัวว่าจะไม่ให้จริงๆหรือไง”ฉันขำ
พูดหยอกเอื้อยด้วยความอารมณ์ดี
“ก็เจ้ยชอบโกหกเค้าอ่ะ
ชอบหักมุมตอนจบอยู่เรื่อย
เด๋วก็เป็นเหมือนตอนซื้อกุหลาบให้อีกถ้าเป็นอย่างนั้นอีกล่ะก็เลิกจริงๆเลยนะรอบนี้”
เสียงเอื้อยเพิ่มความงอนมาตามสายแถมยังต่อว่าเรื่องเก่าๆที่ฉันเคยทำให้เธอเจ็บใจตอนนั้นอีก
“โอ้ย
ขู่เหรอนี่ ยังไม่เลิกนิสัยข่มขู่ชาวบ้านอีก
หน้าตาก็สวยทำไมทำตัวเป็นนักเลงจังเลย
นี่ถ้าอยู่ใกล้จะหอมให้แก้มซีดเลยคอยดูสิ”
“ฮึ
กล้าหอมมั้ยล่ะ..ถ้ากล้าพรุ่งนี้จะเก็บแก้มไว้ให้หอมที่โรงเรียนเลย..”
เสียงเอื้อยโยกโย้ท้าทายมาตามสาย
นับวันจะยิ่งกล้าหาญชาญชัยขึ้นทุกทีแล้วสินะ
ตั้งแต่ยอมให้ทำอะไรต่อหน้าเพื่อนๆได้นี่เอาใหญ่เลยนะ
ฉันทั้งคิดทั้งยิ้ม
“..ขอแค่เจ้ยอย่าลืมของขวัญของเค้าก็พอ..เพราะว่าเค้าเตรียมของขวัญไว้ให้เจ้ยตั้งนานแล้ว..”เอื้อยยังพูดต่อแต่เปลี่ยนเสียงจากทะเล้นกวนอารมณ์เป็นเสียงหวานๆอ้อนๆตรงประโยคที่ว่า
เพราะว่าเค้าเตรียมของขวัญไว้ให้เจ้ยตั้งนานแล้ว...
ฉันยิ้มทันทีที่ได้ยินเอื้อยพูดอย่างนั้น
ตอนนี้กลายเป็นว่าฉันเถียงอะไรต่อเอื้อยไม่ได้เลย
เพราะมัวแต่ดีใจในสิ่งที่ผู้พูดบอกสิ่งที่เธอเก็บไว้ออกมา
ได้แต่ตอบรับเป็นเสียง อืม
เบาๆส่งไปตามสาย...
มันเป็นเรื่องแปลกที่แม้ฉันจะไม่ได้เห็นหน้าของเจ้าของเสียงที่ส่งเสียงเว้าวอนบอกคำนั้นคำนี้ด้วยความคิดถึงของเจ้าตัวแล้ว
แต่ฉันกลับมองเห็นภาพดวงตาและรอยยิ้มของเค้าขึ้นมาได้ทันที
รอยยิ้มที่มีแค่คนเดียว
คนเดียวที่สามารถส่งยิ้มให้ฉันแล้วทำให้ฉันหลงยิ้มตามทันทีที่เห็น
ทุกๆอย่างที่เกี่ยวกับตัวของเค้าคนนั้นมันเป็นภาพตราตรึงในใจทุกๆขณะจิต
ทุกๆความคิด ฉันไม่คิดเลยว่า
ความรัก
มันจะทรงพลังทำให้คนเรานั้นสามารถมโนภาพแห่งความสุขต่างๆที่เราเพียงแค่เราคิดถึงสิ่งต่างๆในตัวของเค้าก็สว่างชัดเจนในใจทันที
เอื้อย
คงจะรู้สึกเช่นเดียวกันกับฉันใช่มั้ย
...
ฉันนั่งยิ้มหัวเราะไปตามเรื่องราวที่ปลายสายบอกเล่าสิ่งต่างๆที่เธอพบเจอมาในวันนี้
แม้วันทั้งวันเราจะอยู่ด้วยกันเจอสิ่งต่างๆมาด้วยกันตลอด
แต่เวลาที่เอื้อยหยิบเอาเรื่องราวต่างๆเหล่านั้นมาเล่าให้ฉันฟังใหม่อีกครั้งหนึ่งแล้ว
ฉันกลับรู้สึกว่าเรื่องราวต่างๆนั้นมันช่างสนุกสนานน่าฟังชวนติดตามเสมอ
ไม่ว่าจะรู้อยู่แล้วว่าเรื่องนั้นมันจบลงอย่างไร
แต่ฉันก็ยังชอบฟังและคอยขานรับเออๆออๆไปตามผู้พูดเสมอ
ฉันชอบฟังเสียงเอื้อย
ใช่..ฉันชอบฟังเสียงของเธอ
ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เธอคุยกับฉันเฉยๆก็ดี
ตอนที่เธอหัวเราะก็ดี
หรือแม้แต่ตอนที่เธอส่งเสียงร้องขับขานบทเพลงไพเราะของเธอให้ฉันฟังก็ดี
น้ำเสียงที่ดูอบอุ่นของเอื้อยนั้นซึมซับเข้ามาอยู่ในหัวใจฉันตลอด
จนฉันเริ่มกลัวว่า...ถ้าคืนใดคืนหนึ่งฉันไม่ได้ยินเสียงของเอื้อยก่อนนอนแล้ว
ฉันจะข่มตานอนได้อย่างไรกัน
***********************
แสงแดดอ่อนๆของพระอาทิตย์ในตอนเช้าค่อยๆสาดเคลื่อนเข้ามาในผ้าม่าน
เสียงตึงๆตังๆจากพื้นบ้านชั้นสองที่เป็นห้องนอนของฉันดังขึ้นจากการก้าวเท้าวิ่งเร่งไปตามจังหวะการเคลื่อนไหวของนาฬิกาในตอนเช้าที่ดูเหมือนมันจะเคลื่อนไหวไวกว่าเวลาอื่นๆของวันเสมอ
โดยเฉพาะช่วงเวลาก่อนสองโมงเช้า
ฉันวิ่งเข้าห้องครัวเพื่อไปไหว้แม่และรับเอาค่าขนมเหมือนทุกๆวัน
พร้อมๆกับเสียงแม่บ่นลอยๆเรื่องที่เห็นไฟในห้องฉันปิดลงดึก
ซึ่งก็คงจะหมายถึงเรื่องที่ฉันนอนดึกเพราะว่าคุยโทรศัพท์กับเอื้อยนั่นเอง
ฉันยิ้มแหยๆพยักหน้างึกๆงักๆเออออไปกับแม่
และแก้ตัวไปว่าเพราะเราเตรียมตัวกันพรีเซ้นต์งานหน้าห้องเราเลยต้องเตรียมสคริปต์กันยกใหญ่
แม่มองหน้าเหมือนจะไม่เชื่อแต่ก็ไม่ถามอะไรต่อบอกเพียงแต่ให้ฉันตั้งใจเรียนและขับรถดีๆเท่านั้น
ฉันยิ้มไหว้บอกลาแม่และออกเดินทางไปรับเอื้อยต่อทันที
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ทันทีที่รถของฉันจอดที่หน้าบ้านของเอื้อย
เอื้อยก็รีบวิ่งกระวีกระวาดมาพร้อมกับ
ชอคโกแลคห่อด้วยกระดาษฟอยด์สีแดงก้อนเท่าฝ่ามือ
แม้จะได้รับจากเอื้อยทุกๆวันแต่ทุกๆครั้งที่ฉันจอดรถรอเอื้อยฉันก็ยังแอบลุ้นและยังแอบตื่นเต้นทุกครั้งที่คิดว่าเอื้อยจะยังเห็นความสำคัญของฉันเหมือนเดิมมั้ย
เธอจะยังมีของที่เธอมักจะเอามาให้ฉันแบบนี้เหมือนเดิมมั้ย
ฉันไม่ได้ต้องการสิ่งของอะไรนะ
เพียงแต่ฉันรู้สึกดีใจทุกๆครั้งที่เห็นว่าเอื้อยนั้นยังคงเป็นเอื้อยที่สม่ำเสมอเธอเคยทำอะไรให้ฉันยังไงเธอก็ยังคงทำอย่างนั้นเสมอเป็นประจำทุกๆวัน
และฉันก็ยังยิ้มหน้าแดงด้วยความอายทุกๆครั้งที่รับเอาชอคโกแลคจากเอื้อยมาตลอด
เอื้อยก็หน้าแดงและอายเช่นเดียวกัน....
วันนี้ที่โรงเรียนเริ่มคึกคัก
ฉันเห็นมีเด็กผู้หญิงม.ต้นสามสี่คนยืนจับกลุ่มอยู่หน้าประตูโรงจอดรถโรงเรียนถือแผ่นแพ็คสติ๊กเกอร์รูปหัวใจดวงเล็กๆคละสีที่เรียงรายอยู่ในแผ่นกระดาษแผ่นนั้น
พวกเค้าเฝ้ามองคนที่เดินผ่านออกมาจากประตูโรงจอดรถ
เมื่อพบว่าเป็นคนที่รู้จักพวกเค้าก็จะทักและเอาสติ๊กเกอร์เล็กๆพวกนั้นมาติดให้
ซึ่งพอฉันกับเอื้อยจอดรถเรียบร้อยและเดินออกมาจากโรงจอดรถกัน
เด็กๆพวกนั้นก็รีบวิ่งเข้ามาหาทันที
“พี่เจ้ยพี่เอื้อยคะ
พวกหนูขอติดหัวใจพี่ๆได้มั้ย”หนึ่งในกลุ่มนั้นร้องทักพวกเรากัน
ฉันกับเอื้อยทำหน้าเหวอหันมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ
“จะติดเลยเหรอ..ยังไม่ถึงวันวาเลนไทน์สักหน่อย
เหลืออีกตั้งสองสามวัน”
ฉันทั้งยิ้มทั้งทำหน้าประหลาดใจถามเด็กๆกลุ่มนั้นทันที
“ใช่ค่ะพี่...วาเลนไทน์ปีนี้มันตรงกับวันเสาร์
ยังไงพวกเราก็ไม่ได้มาโรงเรียนอยู่แล้ว
พวกหนูมีโอกาสได้เจอพี่เจ้ยพี่เอื้อยวันนี้แล้วหนูกลัวว่าวันศุกร์ที่โรงเรียนจัดกิจกรรมจะไม่เจอพี่ๆกันอ่ะ
ให้พวกหนูติดไว้ก่อนเลยแล้วกันนะ
นะ”
เด็กคนนั้นทั้งยิ้มทั้งพูดน้ำเสียงออดอ้อนฟังดูน่ารักน่าเอ็นดู
ฉันหันไปยิ้มมองหน้าเอื้อยที่ก็ยิ้มแก้มปริเพราะเห็นท่าทางน่ารักๆของเด็กๆกลุ่มนี้แล้วก็อดที่จะขำไม่ได้
พวกเค้าคงกลัวจะหาฉันกับเอื้อยไม่เจอจริงๆในวันศุกร์ที่จะถึงนี้
เอาล่ะ อย่าให้เด็กๆผิดหวังเลย
ฉันยักคิ้วให้เอื้อยเพื่อส่งสัญญาณให้เอื้อยรู้ว่า
อนุญาติให้พวกเค้าติดสติ๊กเกอร์กันเถอะนะ
เอื้อยยิ้มรับทันที
“ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ
แต่มีข้อแม้นะ..พี่ขอเอาหัวใจสีเดียวกันกับพี่เจ้ยเท่านั้นนะ”
เอื้อยทั้งพูดทั้งยิ้ม
หันมาทำหน้าเจ้าเล่ห์มองฉัน
ที่ยืนเอ๋อสงสัยในคำพูดของเอื้อยเมื่อกี้เช่นเดียวกันกับเด็กๆพวกนั้นที่ทำหน้าตางงๆ
“..คือ..พี่กลัวคนไม่รู้ว่าพี่สองคน....มีหัวใจดวงเดียวกันอ่ะ..”
“อ้ายยยย...”
สิ้นเสียงเอื้อยเด็กๆในกลุ่มนั้นก็ร้องกรี๊ดวี๊ดว้ายกันใหญ่
เอื้อยทั้งพูดทั้งหัวเราะ
เหมือนเธออารมณ์ดีที่ได้ปล่อยมุกเอาใจแฟนคลับคู่จิ้นเจ้ยเอื้อยกัน
โอ้ยยย..
อะไรกันนี้มุกเลี่ยนๆแบบนี้ไปเอามาจากไหนกัน
ฉันหันไปคิ้วขมวดทำหน้าเหมือนจะแหวะใส่เอื้อยก่อนจะยิ้มแหยๆให้เด็กๆพวกนั้นด้วยความเหวอทั้งเขิน
ทั้งตลก และอายพวกเด็กๆพวกนี้
ใบหน้าฉันก็แดงขึ้นเรื่อยๆตามเสียงกรี๊ดของเด็กๆพวกนั้น
ตายๆ...นับวันเอื้อยยิ่งมีมุกประหลาดๆแบบนี้มาเล่นกับฉันต่อหน้าคนอื่นๆอยู่เรื่อย
เธอนี่นับวันยิ่งร้าย
จากคนขี้อายไม่ค่อยพูดกลายเป็นพูดน้อยต่อยหนัก
ถ้ามีโอกาสให้เธอได้ปล่อยมุกทีไร
เธอจะปล่อยซะฉันยังแอบสะพรึงเลยทีเดียว
ตอนนี้ก็เช่นกัน...ฉันคิดพลางปาดเหงื่อที่หน้าผากออก
ฉันหันไปยิ้มแล้วหัวเราะหึๆให้เอื้อยที่ยิ้มหวานอ้อนๆให้ฉันก่อนจะจับเอาเสื้อตัวเองยื่นไปให้เด็กๆพวกนั้นติดสติ๊กเกอร์ให้
แล้วหันมาจับเสื้อของฉันให้ไปอยู่ข้างๆเสื้อของเธอด้วย
“ติดใกล้ๆกันด้วยนะ
จะได้ไม่ห่างกัน”
เอื้อยทั้งพูดทั้งยิ้ม
เธอหันมามองฉันที่กำลังเหล่ตามองบนใส่เอื้อยก่อนจะบ่นพึมๆพัมๆออกไป
“พอได้แล้วล่ะม้าง...
เด๋วน้องเค้าจะแหวะกัน
เค้ารู้กันหมดแล้วล่ะ..ว่าตัวเองน่ะ...รักเค้า”
ฉันทำเสียงกระแนะกระแหนคืนเอื้อยที่หัวเราะคิกๆคักๆหันไปคุยเล่นกับเด็กๆพวกนั้นต่อจนกระทั่งพวกเขาพากันติดสติกเกอร์ให้เราสองคนเสร็จเราจึงขอตัวเดินขึ้นห้องเรียนกันไป
วันนี้เป็นวันพุธที่ห้องของเรามีเรียนภาษาอังกฤษกันคาบแรกของสัปดาห์
และเป็นปกติของช่วงใกล้วันวาเลนไทน์ที่เป็นกิจกรรมหลักของชมรมภาษาอังกฤษที่อาจารย์ประจำวิชาอาจารย์พวงเพชรเป็นหัวหน้าหมวดภาษาต้องมาชี้แจงและมอบหมายให้นักเรียนแต่ละสายชั้นที่อาจารย์ได้มีโอกาสเข้ามาสอนนั้นเตรียมตัวเข้าร่วมกิจกรรมที่จะจัดขึ้นทุกปี
นั่นคือ“กิจกรรมประกวดมิสวาเลนไทน์”ที่จะจัดขึ้นในวันศุกร์ที่จะถึงนี้
คาบนี้ทั้งคาบอาจารย์พวงเพชรก็ปล่อยให้นักเรียนได้ประชุมปรึกษาหารือเรื่องตัวแทนที่จะเข้าประกวดกัน
ซึ่งพออาจารย์เริ่มเกริ่นเรื่องกิจกรรมนี้ฉันก็เห็นเอื้อยหันไปยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับพวกสาและเพื่อนๆที่หลังห้องทันที
อะไรนี่..ทำตัวมีพิรุธมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว...
ฉันเห็นเอื้อยเดินไปเข้าห้องน้ำกับพวกสาตอนที่เราพักทานข้าวเสร็จแล้วขึ้นมารอเรียนวิชาคาบบ่ายกัน
ซึ่งเอื้อยกับสานั้นก็หายไปตั้งนานกว่าจะมา
แล้วพอตอนขึ้นมาก็กลายเป็นขึ้นมากับกลุ่มเพื่อนใหญ่ๆที่อยู่หลังห้องตอนที่เอื้อยย้ายไปนั่งเรียนด้วย
ดูคุยกันเฮฮามีความสุขสนุกสนานกันจนฉันต้องแอบงอนเอื้อยว่าหายไปไหน
ปล่อยให้ฉันอยู่คนเดียวตั้งนาน
จนเอื้อยต้องมานั่งง้อขอโทษขอโพยฉันท่ามกลางเพื่อนๆที่แกล้งแซวว่าฉันจะตายเสียให้ได้แค่ขาดเอื้อยไปไม่กี่นาทีแค่นี้
มันก็คงจะจริง
ตอนนี้กลายเป็นว่าฉันติดเอื้อยมากๆ
ฉันแทบจะไม่อยากไกลจากเค้าไปไหนมาไหนเลย
ยิ่งเวลาเห็นเค้าหายไปกลับใครแล้วมีความลับมีพิรุธอะไรกันใจฉันยิ่งร้อนรน
เพราะว่าฉันทั้งหวงและห่วงเอื้อยกลัวเอื้อยจะมีความลับอะไรกับฉันและทำให้ฉันต้องเสียใจอีก
เวลานี้ก็เช่นเดียวกัน
ทันทีที่ฉันเห็นเอื้อยหันไปยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับพวกสาหลังห้องฉันก็แอบคิ้วขมวดทำหน้าบึ้งก้มหน้าก้มตาแกล้งทำเป็นไม่สนใจเอื้อย
“อะไรคะ
ทำหน้าบึ้งทำไมอีก”
เสียงเอื้อยกระซิบถามตอนที่เธอเริ่มเห็นอาการมีพิรุธของฉันอีก
“เจ้ยเป็นหัวหน้าห้องนะ
อาจารย์มอบหมายให้เป็นผู้นำเพื่อนในการหาตัวแทนแล้วก็ต้องมีสปริตกว่านี้หน่อยสิ
จะมาทำหน้ามุ้ยอยู่อย่างนี้เด๋วก็ไม่เป็นการเป็นงานกันพอดี”
เอื้อยทำเสียงจริงจังพยายามพูดเรียกสติของฉันที่ตอนนี้ก็เริ่มคิดได้แล้วเหมือนกัน
ฉันพยามเปลี่ยนอารมณ์
แล้วลุกออกไปหน้าห้องเพื่อประชุมเพื่อนๆเรื่องเลือกตัวแทน
ซึ่งพอฉันถามว่าจะโหวตใคร
เพื่อนๆในห้องก็ส่งเสียงเป็นเสียงเดียวกันว่า
“เจ้ยนั่นแหละ”
“บ้า
เอาคนอื่นบ้างเลย
ฉันเป็นมาทุกปีแล้วอ่ะ
ให้คนอื่นลงประกวดบ้างเหอะ”
ฉันรีบร้องเถียงเพื่อนๆคืนทันที
“แกนั่นแหละเป็นเลยไหนๆก็ไหนๆแล้วเป็นมาทุกปีปีนี้ก็ปีสุดท้ายแล้วแกลงประกวดให้ห้องอีกปีเหอะว่ะ”
เสียงสาออกความเห็นแย้งฉันทันที
“ไม่เอาๆ”
ฉันโบกไม้โบกมือส่ายหน้าพยายามหาตัวช่วย
แล้วก็เหลือบไปเห็นเอื้อยนั่งยิ้มตาหวานมองฉันเถียงกับเพื่อนๆ
“เอาเอื้อยสิ
เอื้อยสวยกว่าเค้าอ่ะ
พึ่งมาอยู่ห้องเราด้วยเปลี่ยนเป็นเอื้อยบ้างดีกว่าอะไรๆจะได้สดใสขึ้น”
ฉันได้ทีรีบยกเอื้อยขึ้นมาเป็นกำบัง
สายิ้มแล้วหัวเราะคืนมาให้ฉัน
“ไม่ต้องเลยแก
จริงๆแล้วคนที่เสนอแกตั้งแต่แรกน่ะก็คือเอื้อยนั่นล่ะ
พวกฉันน่ะแอบประชุมลับๆกันตั้งแต่ตอนเที่ยงเมื่อวานแล้ว”
สายิ้มน้อยยิ้มใหญ่พูดพลางเดินออกมาที่หน้าห้องยืนข้างๆฉันแล้วหันไปมองเพื่อนที่นั่งยิ้มอยู่ในห้องมองพวกเราสองคน
ฉันคิ้วขมวดหันไปมองที่เอื้อยที่ยิ้มแหยๆและยักไหล่ให้ฉันเพื่อบอกให้รู้ว่าที่สาพูดน่ะคือเรื่องจริง
“..เพราะจากการที่แกหมดสติเข้าโรงบาลตอนนั้นน่ะ
พวกฉันก็ได้รู้ว่าแกน่ะสำคัญกับเพื่อนๆขนาดไหน
จริงๆแล้วแกน่ะคือขวัญใจของพวกเราทั้งห้องนะเว้ย
พวกฉันรู้ว่าเพื่อนทั้งห้องรักและเป็นห่วงแกมากขนาดไหนก็ตอนที่เกือบจะเสียแกไปแล้วอ่ะ
แล้วไอ้การประกวดมิสวาเลนไทน์นี่มันก็เป็นการประกวดคนที่เป็นตัวแทนแห่งความรักของเพื่อนๆในห้อง
แล้วจะเป็นใครไปได้อีกอ่ะ
ถ้าไม่ใช่แกเจ้ย”
สายื่นมือมาจับไหล่ฉันทั้งพูดทั้งยิ้มมองมาที่ฉันด้วยสายตาที่จริงใจพร้อมๆกับเสียงปรบมือและเสียงขานรับว่า
ใช่ๆ ของเพื่อนๆในห้องที่ดังออกมาเป็นระยะ
“แก...พวกฉันกับเพื่อนๆทั้งห้องรักแกนะเว้ย
การที่ให้แกไปประกวดทุกปีมันไม่ใช่ว่าเราเลือกกันส่งๆนะ
พวกฉันน่ะต้องการเลือกตัวแทนของความรักของพวกเราทุกคนออกไปประกวดจริงๆ
แกลงประกวดให้พวกฉันอีกปีเถอะนะ
ไหนๆก็ปีสุดท้ายแล้ว
ทำมันให้ดีที่สุดเหอะ”สาหันมาทำหน้าเหมือนขอร้อง
เหมือนๆกับเพื่อนๆคนอื่นที่พยายามพูดให้ฉันเห็นด้วยกับเรื่องที่สาว่ามา
“ก็ได้..”
ฉันยิ้มแล้วถอนหายใจให้เพื่อนๆที่ดีใจปรบมือที่ฉันยอมลงประกวดให้
“อะไรวะพวกแกนี่ไม่เบื่อหรือไง..”
ฉันหัวเราะเขินๆบ่นพึมพัมแล้วหันไปยิ้มให้เอื้อยที่กำลังยิ้มหวานมองฉันอย่างปลาบปลื้มและยินดีกับการสนับสนุนฉันที่เพื่อนๆมอบให้เสมอมาเช่นเดียวกัน
เที่ยงวันนั้นหลังจากที่เรากินข้าวกลางวันเสร็จ
ฉันกับเอื้อยก็เดินไปนั่งเล่นที่ลานม้านั่งที่เราเคยนั่งกันประจำ
พวกเราซื้อขนมและน้ำดื่มมากินกันตามปกติแต่วันนี้เราสองคนมีแคตตาลอคขายของสองสามเล่มของเพื่อนกลุ่มหลังห้องคนนึงที่ฝากเอามาให้ฉันกับเอื้อยอ่านกันเผื่อว่าอยากจะซื้ออุดหนุนเค้าบ้าง
ฉันยังนึกขำตอนที่เพื่อนเอามาให้เอื้อยอ่าน
“...นะนะ
อ่านก่อนก็ได้เผื่ออยากซื้ออะไรให้เป็นของขวัญวาเลนไทน์เจ้ยไง”
เพื่อนคนนั้นยิ้มเล็กยิ้มน้อยให้เอื้อยที่ยิ้มหน้าแดงเพราะโดนแซว
ฉันก็หัวเราะคิกคักๆเพราะได้ยินที่เพื่อนแซว
“เจ้ยก็เหมือนกันล่ะ
รู้นะว่าเอื้อยทวงของขวัญวาเลนไทน์อยู่
ถ้าไม่รู้จะซื้ออะไรก็เปิดๆอ่านในนี้ดูนะ
ไปล่ะเด๋วเค้าจะมาเก็บอีกที”
และนั่นก็เป็นที่มาของการนั่งก้มหน้าก้มตาเปิดดูแคตตาลอคสองสามเล่มนั้นของเพื่อนโดยไม่ได้คุยอะไรกันเลยของเราสองคน
ฉันหยิบแคตตาลอคเล่มที่เป็นเครื่องครัวขึ้นมาได้
เปิดอ่านไปจนเกือบจะหมดเล่มก็ไม่มีอะไรน่าสนใจเลย
ก็มันมีแต่หม้อ
มีแต่เตา มีแต่จานช้อนซ้อมอะไรประมาณนี่นา
ฉันจะซื้อให้เอื้อยทำไม
ยังไม่ได้อยู่บ้านด้วยกันสักหน่อย
และเอื้อยก็คงไม่อยากได้ของพวกนี้ด้วย
ฉันหยุดอ่านเล่มนั้นแล้วเงยหน้าขึ้นมาดูเอื้อยที่ตอนนี้เธอกำลังอ่านเล่มที่ขายพวกชุดชั้นในอยู่
แล้วทันทีที่ฉันเหลือบไปเห็นเอื้อยก้มลงอ่านหน้าที่ขายชุดชั้นในหน้านั้น
ใบหน้าฉันร้อนผ่าวขึ้นทันที
ก็ฉันเห็นภาพนางแบบที่ถ่ายภาพโชว์ชุดชั้นในพวกนั้นแล้วดันไปคิดถึงภาพตอนที่เอื้อยใส่ชุดชั้นในวันนั้นเข้าให้ด้วย
ตอนนี้หน้าของฉันมันคงกำลังแดงเป็นลูกตำลึงอยู่แน่ๆเลย...ปัดโธ่เอ้ย
ฉันคิดพลางเอามือมาจับที่แก้มตัวเอง
แล้วเหมือนเอื้อยจะรู้สึกตัวว่าโดนฉันแอบมองเธอรีบเงยหน้าขึ้นมามองฉันที่นั่งอึ้งหน้าแดงอยู่ตอนนี้
“อะไร
เป็นอะไรทำไมหน้าแดงอีก”
เอื้อยยิ้มรีบถามฉัน
แล้วเธอก็ก้มหน้าลงมองภาพในแคตตาลอคนั้น
“..อย่าบอกนะว่าอาย
แค่เห็นภาพแค่นี้”
เอื้อยทั้งยิ้มทั้งพูด
เธอยื่นหน้ามาใกล้ๆหน้าของฉันทำสายตากรุ้มกริ่ม
“ทำอย่างกับตัวเองไม่ได้ใส่
เห็นของคนอื่นก็เห็นมาแล้วไม่ใช่เหรอ..จะหน้าแดงอีกทำไมนี่”
เอื้อยทำเสียงเจ้าเล่ห์แกล้งแซวให้ฉันยิ่งอายเข้าไปใหญ่
“รู้แล้วน่า
แค่ตกใจเฉยๆ
ไม่คิดว่าจะมาดูอะไรประเจิดประเจ้ออย่างนี้”
ฉันรีบเถียงกลบเกลื่อนความอาย
“ประเจิดประเจ้อตรงไหน
นั่งกันอยู่แค่สองคนเอง
แถมยังเป็นแฟนกันอีกอ่ะ
ต้องอายด้วยเหรอ”
“เอาล่ะๆเลิกต่อล้อต่อเถียงได้แล้วจะดูก็ดูไป”
ฉันรีบปัดๆเปลี่ยนเรื่องคุยกับเอื้อย
“เอ..ไหนๆก็ไหนๆแล้วอยู่กันสองคนอยู่แล้ว
จะถามเรื่องนี้สักหน่อยคงไม่น่าเกลียดหรอกใช่มั้ย”
เอื้อยทำเสียงเจ้าเล่ห์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้ฉัน
ฉันสะดุ้ง
แต่ก็พยายามทำสีหน้าเรียบๆเฉยๆไม่ยีระต่อคำพูดกำกวมของเอื้อยที่พยายามพูดให้ฉันอายต่อ
“อืม..ถามอะไรล่ะ
ถามมาสิถ้าไม่น่าเกลียดจนเกินไปจะตอบให้”
ฉันทำเสียงซีเรียสจริงจังแกล้งทำเป็นไม่เขิน
“เจ้ยชอบ...ชุดชั้นในสีอะไรอะ..”เอื้อยเริ่มถามฉันด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูตะกุกตะกักขัดกับท่าทีที่เธอแกล้งพูดหยอกฉันก่อนหน้านั้น
ตอนนี้ใบหน้าเธอเปลี่ยนเป็นแดงระเรื่อขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
“เอ่อ..”ฉันอึ้ง..หันไปมองหน้าเอื้อยทั้งตกใจทั้งเขินทั้งอายที่อยู่ๆเอื้อยยิงคำถามแบบนั้นมา
รู้สึกร้อนๆไปทั่วใบหน้าตัวเองยังไงไม่รู้
“ถามทำไมอ่ะ
จะซื้อให้เหรอ” ฉันแกล้งพูดขำๆแก้เขินไป
“อืม..ประมาณนั้นแหละ
ชอบสีไหนล่ะ”
“สีไหนก็ได้ทั้งนั้นล่ะ
ใส่คนเดียวไม่ได้ใส่โชว์ใครอยู่แล้วนี่”
“แล้ว..ชอบผู้หญิงใส่ชุดชั้นในสีอะไรอ่ะ”
ฉันสำลักน้ำลายไอแคกๆออกมาทันทีที่ได้ยินเอื้อยถามอย่างนั้น
“ผู้หญิงที่ว่าหมายถึงใครล่ะ...”
ฉันหน้าแดงหันไปถามเอื้อยที่หน้าแดงยิ่งกว่าเดิมทันทีที่ถามคำถามนี้ต่อ
เอื้อยไม่ตอบแต่เธอทำหน้าแหยๆอายๆยิ้มน้อยคืนมาให้ฉันเป็นนัยว่า
ผู้หญิงคนนั้นก็คือเธอนั่นล่ะ
เมื่อคิดได้ฉันก็หัวเราะแก้เขินเบาๆ
ตอนนี้รู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนขึ้นกว่าเดิมหนักมาก
ถ้าฉันส่องกระจกตอนนี้ใบหน้าของฉันคงแดงเป็นลูกตำลึกสุกแน่ๆเลย
“อืม..ก็สีไหนก็ได้ทั้งนั้นล่ะ
เพราะจริงๆแล้วก็ไม่ได้มองที่ชุดชั้นในหรอกคงจะมองคนใส่มากกว่า”
“บ้า
เอาดีๆถามจริงๆ”
“สีดำก็ได้อ่ะ
เซ็กซี่ดี เวลามองแล้วคงสวยเซ็กซี่แปลกๆดี”
ฉันหันไปมองหน้าเอื้อยที่ทั้งอายทั้งประหม่าแต่เธอก็ยังฝืนยิ้มแห้งๆแก้เขินคืนมา
“เค้าก็ว่าสีดำคงสวยดี
เซ็กซี่ดี..ถ้า..เจ้ยใส่”
เอื้อยก็เอาบ้าง
เธอหันมายิ้มเจ้าเล่ห์ใบหน้าที่แดงอยู่แล้วยิ่งแดงไปกันใหญ่
..โอ้ย
ตายแล้วฉัน นี่เราคุยกันเรื่องอะไรในโรงเรียนนี่
ฉันอยากมุดหน้าลงดินจริงๆถ้ามีใครมาได้ยินจะทำอย่างไร
..
“..ถ้าเค้าซื้อให้..จะกล้าใส่มั้ย”
เอื้อยยังยิงคำถามแนว18+มาให้ฉันอีก
“กล้าสิ
กล้าซื้อให้ถูกไซส์ก็กล้าใส่เหมือนกันล่ะ”
ฉันก็ไม่น้อยหน้าพูดจายียวนกวนประสาทเอื้อยคืนไปบ้าง
“งั้นก็โอเค
เพราะเค้าจำได้แล้วว่าเจ้ยไซส์อะไรคัพไหน
แค่นี้ไม่ยาก”
ฉันทำหน้างง
หันหน้าไปมองเอื้อย “รู้ได้ยังไง”
“เอ้า
อย่าลืมสิ
เค้าเคยนอนจับ..มัน...ทั้งคืนมาแล้วรู้อยู่แล้วว่ามันขนาดประมาณไหน”
“บ้าอ่ะ
เอื้อยทะลึ่งอ่ะ
ยิ่งอยู่ด้วยกันนานยิ่งลามก
หื่นขึ้นปะนี่”ฉันยื่นมือไปตีมือเอื้อยที่นั่งขำหัวเราะหน้าแดง
“แล้วแต่จะคิดสิ
เค้าก็แค่ถามไว้เป็นข้อมูลเป็นแนวทางไง
ยังไงก็คบกันเป็นแฟนกันของพวกนี้มันก็ต้องมีซื้อให้กันบ้างอยู่แล้วจะอายทำไมเล่า”
เออ
จริงสิเนอะ ฉันก็ลืมคิดถ้าฉันกับเอื้อยจะคบกัน
เรื่องพวกนี้ยังไงๆมันก็ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว
จะถามกันไว้มันก็ไม่เห็นแปลก
“งั้น..ถ้าเค้าซื้อให้ต้องใส่ให้ดูด้วยนะ”
เอื้อยยังไม่ลดความพยายาม
“เออ
รู้แล้วน่า ถ้ามีโอกาสจะใส่ให้ดูทั้งคืนเลย
โอเคมั้ย”
เอื้อยยิ้มหน้าแดง
มองฉันตาหวานเยิ้ม “สัญญานะ”
ฉันยิ้มอายๆหันไปมองหน้าเอื้อยที่แดงค้างตั้งแต่คำถามแรกจนกระทั่งตอนนี้
“อืม..สัญญา”
ฉันพูดพร้อมพยักหน้าแล้วยื่นนิ้วก้อยไปเกี่ยวนิ้วก้อยของเอื้อยไว้แทนคำสัญญาที่ฉันให้เธอไว้เมื่อครู่
เอื้อยยิ้มหวานค้าง
เธอจ้องตาฉันอยู่นานก่อนจะพูดบางเรื่องออกมาต่อ
“วาเลนไทน์ปีนี้ตรงกับวันเสาร์อ่ะ
แย่จังเลยเนอะ
ไม่ได้ตรงกับวันที่มาเรียนปกติของเรา
บางคนอยู่ไกลกันไม่ได้มาเรียนก็ไม่ได้เจอกันเลยอ่ะ
น่าสงสารเนอะ”
เอื้อยทั้งพูดทั้งก้มลงพลิกแคตตาลอคทำเป็นอ่านนั่นอ่านนี่ของเธอไปต่อ
“อื้ม
เค้าก็ถึงให้ของขวัญกันในวันศุกร์แทนไง
แต่บางคนที่ดื้อๆหน่อยเค้าก็นัดกันออกมาหาวันเสาร์เลยนะ
ก็ดีนะ ได้เดทกันด้วย”
เอื้อยอมยิ้ม
รีบหันควับมามองฉัน
“งั้นวันเสาร์
เจ้ยว่างมั้ยล่ะ”
“หือ..”
ฉันสะดุ้งหันไปมองหน้าเอื้อยที่จ้องตาเขม็งรอคำตอบจากฉันเรื่องที่เธอถามไปเมื่อครู่
“ก็..ไม่รู้เหมือนกัน
ทำไม..จะชวนไปเดทไหนเหรอ”
ฉันยิ้มหวานกับคืนไปให้เอื้อยเพราะนึกขำสีหน้าท่าทางจริงจังของเธอในตอนนี้
“เปล่า
ไม่ได้ชวนไปเดทไหนหรอก
วันเสาร์เค้าไม่ว่างไปไหนหรอก...เพราะเค้าต้องเฝ้าบ้านให้แม่..”
เอื้อยหยุดตรงคำว่า
เฝ้าบ้านให้แม่
นิดนึงแล้วหันมาชำเรืองดูฉัน
ที่กำลังหันไปคิ้วขมวดสงสัยในคำบอกเล่าของเธออยู่
“แม่ไม่ได้อยู่บ้านทั้งวัน
ไปสัมมนากับบริษัทอ่ะ
วันอาทิตย์เย็นๆถึงจะกลับ
แล้ว..”
“แล้ว..”ฉันลากเสียงทวนคำของเอื้อยตรงคำว่า
“แล้ว..”ทันทีที่เอื้ยหันมามองสบตาเหมือนมีความหมายบางอย่างซ่อนอยู่ในเรื่องนั้น
“แล้วทีนี้เค้าก็อยู่บ้านคนเดียวไง
คือจริงๆแล้วแม่จะให้ไปนอนกับน้าข้างบ้าน
แต่เค้าบอกแม่ว่าเค้าจะชวน..ชวนเจ้ยมานอนเป็นเพื่อนด้วย
แม่ก็เลยอนุญาติ
แต่เค้าไม่แน่ใจว่าเจ้ยจะว่างมานอนเป็นเพื่อนเค้าได้หรือเปล่า..”เอื้อยชำเรืองมองฉันอายๆ
ทันทีที่เธอพูดประโยคนี้จบ
ฉันนิ่งเงียบ
ทำเป็นคิดตามเรื่องที่เอื้อยพูดมานั้นครู่ใหญ่
แต่ไม่ได้ตอบอะไรเธอ
..Yes
!!!!..แต่ตอนนี้ข้างในของฉันแทบจะร้องกรี๊ดออกมา
หัวใจก็เต้นสั่นระรัว
หากจังหวะของหัวใจฉันสามารถแสดงออกมาเป็นภาพการ์ตูนเคลื่อนไหวได้
ตอนนี้คงเป็นภาพมวลหมู่การ์ตูนต่างๆเต้นแร้งเต้นกา
ร้องรำทำเพลง จุดพลุและดอกไม้ไฟ
เหมือนกับมีการเฉลิมฉลองกันอะไรสักอย่างเป็นแน่แท้
โอ้ยๆๆ
ฉันดีใจจนแทบจะเผลอกัดลิ้นตัวเองไว้เพราะแกล้งกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่ให้เอื้อยรู้ท่าทีของฉัน
..จะทำไงได้ล่ะ
ในเมื่อโอกาสที่ฉันเฝ้ารอที่จะได้อยู่ใกล้ๆเอื้อยสองคน
เพื่อที่จะได้มีความคืบหน้าในสัมพันธ์ของเรานั้นกลับมาอีกครั้งนึง
หลังจากที่ฉันพลาดโอกาสมาครั้งแล้วครั้งเล่า...
ไม่ว่าจะเป็นครั้งที่แม่เอื้อยไม่อยู่บ้านในวันพฤหัสช่วงที่ฉันกับเอื้อยกำลังดีกันใหม่ๆ
ตอนนั้นฉันไปนอนที่บ้านเอื้อยด้วย
ทุกอย่างกำลังไปได้สวย
ฉันกับเอื้อยกำลังจูบกันอย่างดูดดื่มและกำลังจะเข้าด้ายเข้าเข็มแล้วแท้ๆแต่ก็ต้องสะดุ้งเพราะน้าข้างบ้านเอื้อยกดกริ่งหน้าบ้านเรียกเอื้อยให้ช่วยไปนอนเป็นเพื่อนหลานที่บ้านให้ที
เพราะน้าต้องไปเฝ้าญาติที่โรงพยาบาลกลางดึก
คืนนั้นฉันกับเอื้อยเลยต้องย้ายสัมมะโนครัวกันไปนอนเป็นเพื่อนหลานวัย4ขวบของเธอ
แล้วก็กลายเป็นนอนไม่หลับเพราะหลานตัวน้อยนั้นชวนเราเล่นทั้งคืนไม่เป็นอันหลับอันนอน
ครั้งนั้นฉันกับเอื้อยต้องไปโรงเรียนในสภาพขอบตาดำ
ทั้งเพลียทั้งง่วงจนเผลอหลับในห้อง
จนเพื่อนๆแซวว่าเราสองคนแอบทำอะไรกันทั้งคืนหรือเปล่าทั้งๆที่ฉันยังไม่ทันได้ทำอะไรกับเอื้อยแท้ๆ
หรือจะเป็นอีกครั้งนึงที่ฉันชวนเจ้ยมาเล่นที่บ้านฉันตอนเย็นเพราะเราไม่มีโอกาสได้นอนด้วยกันเลยสักที
เย็นวันนั้นแม่โทรมาบอกฉันที่โรงเรียนว่าแม่จะไปทำธุระกับญาติที่ต่างอำเภอก่อนอาจจะกลับตอนมืดๆด้วยความที่บ้านของฉันไม่มีบ้านญาติอยู่แถวๆบ้านเหมือนบ้านของเอื้อย
เอื้อยก็เลยเป็นห่วงเลยเสนอตัวมาอยู่เป็นเพื่อนช่วงเย็นๆก่อนแป๊บนึง
เอื้อยโทรขออนุญาติหาแม่มาอยู่เป็นเพื่อนฉันแล้วขอให้แม่ขับรถมารับเธอเองเลยเพราะไม่อยากให้ฉันต้องขับรถไปส่งเธอดึกๆดื่นๆแล้วต้องเจอกับพวกโรคจิตที่ตามถีบรถผู้หญิงเหมือนครั้งนั้นอีก
ตอนนั้นหลังจากที่มาถึงบ้านได้ไม่ทันไรเอื้อยก็ชวนฉันขึ้นไปบนห้องทันที
เหมือนเธอก็อยากจะสานสัมพันธ์ของเราให้อยู่ในอีกระดับเสียทีเหมือนกัน
หลังจากที่มันค้างๆคาๆอยู่อย่างนั้นมาแล้วไม่ได้เลื่อนไปไหนมาไหนสักที
ทุกอย่างกำลังเป็นไปได้สวย..แต่มันก็ต้องมาหยุดชะงักในตอนที่เอื้อยกำลังเปลื้องชุดนักเรียนของเธอออกพร้อมๆกับฉัน
ฝันของฉันก็ต้องมลายไปทันทีเมื่อเอื้อยพบว่าเธอเป็น
“ประจำเดือน”
ฉันคอตก
แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
ได้แต่เดินมาหอมแก้มปลอบใจเอื้อยที่ทำหน้าเหมือนรู้สึกผิด
ก่อนที่เราทั้งสองจะจัดการแต่งตัวให้เรียบร้อยลงไปรอแม่เอื้อยอยู่ข้างล่างต่อไป
นั่นก็เป็นแค่ตัวอย่างคร่าวๆของเหตุการณ์ซวยๆชวนเงิบของฉันที่ทำให้รู้ว่าการที่จะได้แอ้มเอื้อยนั่นไม่ง่ายเลย
ไม่รู้ว่าเอื้อยจะคิดเหมือนกันกับฉันหรือเปล่า
แต่เวลาที่เราคุยกันถึงเรื่องนี้ทีไร
ฉันได้แต่ปลอบใจเอื้อยว่าอย่าคิดมากเลย
ปล่อยให้ค่อยเป็นค่อยไปอย่างเดิมดีกว่า
ทั้งๆที่จริงแล้วฉันอยากสัมผัส
อยากกอด
อยากมีความผูกพันธ์ที่ลึกซึ้งกับเอื้อยเหมือนๆที่คนรักคนอื่นๆเค้าทำกันแทบตาย
ครั้งนี้ก็เช่นกัน
แม้ฉันจะรู้สึกดีใจมากๆที่มีโอกาสอย่างนี้มาอีกแล้วแต่ในใจลึกๆฉันก็ยังแอบหวั่นๆกลัวโชคชะตาจะเล่นตลกให้ฉันกับเอื้อยไม่ได้ในสิ่งที่หวังอีก
“ว่าไงเจ้ย”
เสียงของเอื้อยดังแทรกเข้ามาในห้วงความคิดของฉัน
ตอนนี้เอื้อยส่งยิ้มให้ฉัน
เธอยังคงรอฟังคำตอบจากฉันอยู่เหมือนเดิมว่าฉันจะไปอยู่เป็นเพื่อนเธอได้มั้ย
“อืม
ต้องลองถามพ่อกับแม่ดูก่อนนะ
ว่าจะยอมให้เค้าไปนอนบ้านคนอื่นหรือเปล่า
ยิ่งเป็นคืนวันวาเลนไทน์อยู่เด๋วก็แอบคิดเสียๆหายๆกันอีกว่าเค้าจะไปนอนกับผู้ชาย”ฉันทำเสียงเรียบๆไม่อยากแสดงให้เอื้อยรู้ว่าตัวเองดีใจขนาดไหน
“ผู้ชายที่ไหนเล่า
ให้พ่อกับแม่มาส่งที่บ้านเลยก็ได้
ไม่เสียหายอะไรหรอก
ถ้าจะเสียก็เสียทั้งสอง...แต่จริงๆแล้วน่าจะได้ทั้งสองมากกว่านะ”
เอื้อยพูดตลกเธอปล่อยมุกแนว
18+
มาให้ฉันเงิบอีกแล้ว
“อะไร
พูดบ้าอีกนี่ ทะลึ่งอ่ะ
ไม่ไปนอนด้วยหรอกถ้างั้น”
“โอ้ย
แค่พูดขำๆเอง ไม่ตลกด้วยเหรอ
ไปอยู่เป็นเพื่อนเค้าหน่อยนะ
นะคะตัวเองจะกล้าปล่อยผู้หญิงตัวเล็กๆไว้คนเดียวอย่างนั้นเหรอ
ไม่เป็นห่วงเค้าเหรอ”
เอื้อยทำเสียงเว้าวอนพร้อมๆกับสายตาออดอ้อนส่งคำขอร้องมาให้ฉันเมตตาเธอบ้าง
ยิ่งดูก็ยิ่งน่ารัก
ฉันเผลอยิ้มและหัวเราะออกมาทันทีที่เอื้อยเล่นมุกอ้อนอย่างนี้
“ก็ได้ๆเด๋วจะลองขอพ่อกับแม่ดูก่อนนะ
แต่ไม่รับปากนะเพราะว่าขึ้นอยู่กับพ่อแม่ว่าจะยอมให้เค้าไปไหนมั้ย”ฉันทำเป็นไม่สนใจไม่ตื่นเต้น
แกล้งเอื้อยโดยการพูดปัดๆไป
“นะ
เค้าเชื่อว่าเจ้ยพูดขอพ่อกับแม่ได้
เค้าอยากให้เจ้ยมานะ
เพราะเค้ามีของขวัญจะให้เจ้ย..เป็นของขวัญที่เตรียมไว้ให้ตั้งนานแล้ว..แต่ไม่มีโอกาสได้ให้สักที
คิดว่าคงจะดี..ถ้าเค้าได้มอบมันให้เจ้ย..ในคืนวันวาเลนไทน์”
เอื้อยทั้งพูดทั้งยิ้มหน้าก็แดงขึ้นเรื่อยๆ
มองดูก็รู้ว่าเธออาย
ฉันคิดตามเอื้อยเรื่องของขวัญที่ไม่ได้ให้เสียที
แล้วอยู่ๆภาพที่ฉันกับเอื้อยจูบกันอยู่ในห้องก็โผล่ขึ้นมาในมโน
...โอ้ยยย
ตายแล้วฉัน สติสตังฉันกระเจิดกระเจิงไปหมดแล้ว
ฟังดูก็รู้ว่าเอื้อยกำลังทอดสะพาน
เธอกำลังอ่อยฉัน
ตอนนี้หัวใจของฉันยิ่งเต้นแรงขึ้น
มันกำลังสูบฉีดเลือดขึ้นไปทั่วๆตัวของฉันจนฉันรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั่วๆตัวโดยเฉพาะใบหน้า
ฉันรีบก้มหน้าลง
รู้ตัวว่าตอนนี้หน้าคงแดงเป็นมะเขือเทศแน่ๆ
ใจนึงก็นึกอายแต่อีกใจก็แสนจะดีใจที่รู้ว่าเอื้อยยังคงเห็นความสำคัญของฉันอยู่ตลอด
เธอยังเฝ้ารอที่จะมอบสิ่งที่สำคัญที่สุดของเธอให้กับฉันเสมอมา
“ตกลงมั้ย”
เสียงเอื้อยดังมาเบาๆข้างๆใบหูฉัน
เธอก้มหน้าเอาปากเข้ามากระซิบใบหูของฉันเบาๆ
“อืม”
ฉันพยักหน้าแล้วเงยหน้าขึ้นมาสบตาหวานๆอายๆของเอื้อยอีกครั้งนึง
เอื้อยยิ้มค้างนั่งตาหวานมองฉันอยู่นานจนเธอได้สติละสายตาออกจากฉันแล้วแก้เขินด้วยการมองมาที่แคตตาลอคเล่มที่อยู่ต่อหน้าฉัน
“อ๊า
เครื่องครัวนี่นา
ขอดูหน่อยแล้วกันเผื่อมีอะไรน่าสนใจ”
เอื้อยรีบเปลี่ยนเรื่องหยิบเอาแคตตาลอคเล่มนั้นจากฉันไปดูเหมือนๆฉันที่หยิบเอาเล่มที่เป็นชั้นในที่อยู่กับเอื้อยมาเปลี่ยนดู
เอื้อยพลิกซ้ายพลิกขวาด้วยท่าทีสนใจไปเรื่อยๆจนกระทั่งไปหยุดอยู่ที่หน้าเครื่องใช้ไฟฟ้า
“เอ้ยย..เค้าอยากได้ไอ้นี่ล่ะ”เอื้อยพูดพลางจิ้มนิ้วจึกๆลงไปในแคตตาลอคหน้านั้น
ฉันหยุดกึกรีบหันไปมองสิ่งที่เอื้อยอยากได้ทันที
แล้วก็ต้องอึ้งและคิ้วขมวดทันทีเมื่อพบว่าสิ่งที่เอื้อยอยากได้นั่นคือ
..เตาปิ้งย่างไฟฟ้า..
“ห๊า..”
ฉันร้องเสียงหลง
หันไปมองหน้าเอื้อยอย่างงงๆ
“จริงดิ นี่อยากได้เตาปิ้งย่างจริงๆดิ”
ฉันถามย้ำคิ้วก็ยิ่งขมวดด้วยความงงและสงสัยต่อหญิงสาวสวยหวานต่อหน้าที่มองดูภาพสินค้าในหน้านั้นอย่างตื่นเต้น
“ใช่ๆ
รู้มั้ยว่าเค้าอยากได้มานานแล้ว
ที่บ้านเค้าน่ะไม่มีเตาถ่านแล้วแม่ก็ไม่ซื้อเตาอย่างนี้มาด้วยนะ
แม่ไม่ชอบให้เค้ากินพวกเนื้อย่างอะไรประมาณนี้อ่ะ
ทั้งๆที่เค้าน่ะชอบกินมากๆเลย”
“จริงสิ
ทำไมอะ”
ฉันละมือจากหนังสือแคตตาลอคเล่มนั้นแล้วหันมาสนใจในท่าทางของเอื้อยด้วยความตื่นเต้น
“ก็แม่เค้าอ่ะ
ควบคุมอาหารการกินของเค้ามาตั้งแต่เด็กๆแล้ว
รู้มั้ยยิ่งโตแม่ก็ยิ่งห่วงแม่บอกว่าอยากให้เค้าดูแลรูปร่างตัวเองดีๆ
เผื่อวันข้างหน้าอาจจะ..”
เอื้อยหยุดตรงคำว่า
อาจจะ นิดนึงเหมือนเธอกำลังนึกว่าจะพูดสิ่งที่เธอจะพูดดีมั้ย
ก่อนจะพูดต่อไปว่า
“...อาจจะอ้วนรูปร่างไม่ดีไม่สวยไม่เพอร์เฟรคแล้วจะไม่มีโอกาสได้ทำงานในที่ดีๆ”
“หืม
แม่เอื้อยนี่ก็ดูแลลูกดีจัง
ทำยังกับว่าจะปั้นลูกสาวเป็นดารายังไงยังนั้น”
ฉันพูดแล้วหันไปชำเรืองดูเอื้อยที่สะดุ้งที่ได้ยินฉันแกล้งแซวแม่เล่นๆ
“ก็เปล่าหรอก
แม่แค่อยากให้เค้าดูแลตัวเองให้ดีที่สุด
เค้าก็ไม่ได้ว่าอยากจะเป็นอะไรมากมายแค่อยากจะทำตามใจแม่ให้แม่มีความสุขที่สุดเท่านั้น
เรื่องการกินเค้าก็เลยได้กินแต่พวกอาหารคลีนๆที่แม่เลือกสรรมาแล้วอ่ะ
ก็จะมีโอกาสได้กินอะไรที่อร่อยๆก็ตอนที่อยู่โรงเรียนหรือตอนที่อยู่กับเจ้ยเท่านั้นเองล่ะ”
ฉันยิ้มนึกถึงตอนที่เอื้อยสั่งอาหารมากิน
จริงๆด้วยล่ะ..เอื้อยน่ะจะชอบสั่งพวกข้าวขาหมู
ข้าวคะน้าหมูกรอบ กระเพราหมูกรอบ
หรืออะไรก็ตามที่มันจะมันๆเลี่ยนๆเธอจะชอบเป็นพิเศษ
ซึ่งถึงแม้เธอจะโปรดปรานอาหารจำพวกนี้และมักจะสั่งมากินบ่อยๆแต่เธอก็ไม่มีทีท่าว่าจะอ้วนเลย
กลายเป็นฉันเสียอีกที่อ้วนง่ายแค่เผลอกินไอติมหรืออะไรหวานๆนิดเดียวพุงจะออกมาตลอดทำให้ฉันต้องไดเอทด้วยการอดข้าวเย็นเป็นประจำ
เอื้อยบอกว่าเธอไม่เคยอดอาหารเย็นเลย
แต่เธอเลือกที่จะกินอาหารในช่วงก่อนหกโมงเย็นและเน้นเป็นอาหารเบาๆพวกผักและผลไม้มากกว่า
ซึ่งดูมันก็ได้ผลดี
เอื้อยนั้นรูปร่างดีและสมส่วนแถมยังเซ็กซี่มากๆอีกด้วย
เวลาใส่ชุดนักเรียนคนอาจจะมองไม่ค่อยออกว่ารูปร่างของเอื้อยเป็นยังไง
แต่สำหรับฉันคนที่เคยสัมผัสทุกสัดส่วนของเอื้อยมาแล้วย่อมรู้ดีว่ารูปร่างของเอื้อยไม่ธรรมดาเลยสำหรับเด็กสาววัย18
ปีอย่างนี้
รูปร่างโค้งเว้า
สะโพกกลมกลึงของเอื้อยนั้นแค่ฉันได้มองจิตใจของฉันก็กระเจิดกระเจิงจนไม่อาจควบคุมความปรารถนาต่อร่างกายของเอื้อยได้
ยิ่งฉันมองทรวงอกของเอื้อยมันยิ่งทำให้ฉันแทบอยากจะกลืนกินเอื้อยไป
ณ ตอนนั้นทันที
แม้เวลาที่ใส่ชุดนักเรียนเธอจะดูเป็นเด็กสาวปกติแต่ถ้าหากปราศจากเสื้อผ้าอาภรณ์ตอนใด
ไม่ใครต่อใครที่ได้เห็นเอื้อยในตอนนั้นคงจะคลุ้มคลั่งและหลงมนต์หญิงงามผู้มีรูปร่างสัดส่วนเกินวัยอย่างนี้ไปได้
สำหรับฉันแล้ว..ฉันชอบน่าอกของเอื้อยที่สุด
ทุกๆครั้งที่ฉันได้มีโอกาสสัมผัสตัวเอื้อยหลังจากที่ฉันได้จูบหรือหอมไปทั่วใบหน้างามๆของเอื้อยแล้ว
ยอดถันของเธอจะเป็นที่แรกๆที่ฉันจะหันลงมาหยอกเย้าและใช้เวลาอยู่กับปลายยอดดอกบัวงามทั้งสองข้างให้นานที่สุด
ดอกบัวตูมดอกใหญ่ที่ชูชันปลายดอกเพื่อรอให้ผีเสื้อหรือเหล่าภมรต่างๆมาหยอกเย้าเคล้าคลุกกับปลายเกสรทั้งสองข้างอย่างไม่มีวันเบื่อ
ยิ่งคิดจิตใจฉันก็ยิ่งกระเจิดกระเจิง
จนแทบไม่อยากรอวันเวลาที่จะได้สัมผัสความเนียนนุ่มต่างๆที่ผุดขึ้นมาในภาพมโนอย่างนี้ได้เลย
เอื้อยคงเห็นว่าฉันนั่งอึ้งหลงอยู่ในภาพมโนนาน
เธอเลยยื่นมือมาโบกขึ้นลงต่อหน้าฉันช้าๆ
“เป็นอะไรอีกล่ะ
เหม่ออีกล่ะ ยิ้มอยู่คนเดียวคิดอะไรอยู่”
เสียงเอื้อยถามฉันอย่างขำๆตอนที่ฉันเริ่มได้สติหันมายิ้มหน้าแดงมองสายตาหวานบนใบหน้าสวยๆเนียนๆอย่างนี้
“ก็เปล่า..แค่นั่งนึกว่าดีจังเลยเนอะเอื้อยกินยังไงก็ยังรูปร่างดี
หุ่นดีอยู่เหมือนเดิม”
ฉันยิ้มหวานส่งไปให้เอื้อย
“น่าน..อย่าบอกนะว่าอ่านกินเค้า”
เอื้อยทำท่ากอดอกตัวเองแล้วหันตัวหนี
เหมือนเธอกลัวว่าจะโดนฉันแต๊ะอั๋ง
พร้อมๆทำเสียงขำๆตลกๆ
“โอ้ย..”
ฉันร้องขึ้นพลางหัวเราะตามเอื้อยเพื่อกลบเกลื่อนเรื่องที่ว่า
ฉันเผลออ่านกินเธอเหมือนอย่างที่เธอจับไต๋ได้จริงๆด้วย
“อืม
เอางี้มั้ยเดี๊ยวเค้าซื้อให้
เตาปิ้งย่างนี่น่ะ”
ฉันทั้งยิ้มทั้งพูด
“ห๊า
จริงดิ แล้วถ้าซื้อให้แล้วของขวัญวันเลนไทน์เค้าจะอดมั้ยอะ
ถ้าซื้อเป็นของขวัญวันวาเลนไทน์เค้าไม่เอานะ”
เอื้อยทำเสียงงอนๆค้อนๆ
เธอทำหน้าตาเหมือนกลัวว่าสิ่งที่เธอคิดจะเป็นความจริง
ฉันหัวเราะขำท่าทางของเอื้อยทันที
“ไม่หรอก
อันนี้ก็ซื้อให้ต่างหาก
ซื้อให้เพราะว่าอยากซื้อให้
ก็เพราะรู้ว่าแฟนตัวเองอยากได้ก็เลยซื้อให้ไง
ถ้าซื้อให้แล้วก็เอาเก็บไว้กับเค้าก่อนก็ได้นะ
แม่เอื้อยจะได้ไม่ว่าให้ไง
ดีมั้ยคะคนสวย”ฉันยิ้มอธิบายสิ่งที่ฉันคิดให้เอื้อยฟัง
“จริงเหรอ
ใจดีจังเลยอะ..ป๋าเจ้ย”
เอื้อยยิ้มทำเสียงหวาน
โน้มตัวเข้ามากอดแขนฉันไว้สีหน้าท่าทางของเธอออดอ้อนยิ่งดูก็ยิ่งน่ารักจนฉันเผลอหันไปมองสบตากับเจ้าหล่อนด้วยสายตาที่แฝงไว้ด้วยความหวานซึ้งเข้าอย่างจัง
เอื้อยเอื้อมมือข้างที่ไม่ได้กอดแขนฉันขึ้นมาจับหยิกที่แก้มของฉันเบาๆ
มืออีกข้างก็ยังกอดแขนฉันไว้แน่นอย่างนั้นเหมือนเดิม
“ขอบคุณนะคะ..เจ้ยน่ะน่ารักที่สุดเลย
เค้าเลือกคนไม่ผิดจริงๆด้วย”
เอื้อยหันซ้ายหันขวามองดูรอบข้างของเธอแป๊บนึงก่อนจะโน้มหน้าเข้ามาหอมแก้มฉัน
แล้วรีบเคลื่อนตัวออกไปนั่งยิ้มอายๆมองหน้าฉันที่ตอนนี้ตาโตและหน้าแดงขึ้นเป็นลูกตำลึงสุกทันทีที่โดนคนขี้โกงขโมยหอมแก้มฉันอย่างนี้ในโรงเรียนอีกแล้ว
“ทำอย่างนี้อีกแล้ว
คนขี้โกง”
ฉันอายหน้าแดงจ้องหน้าเอื้อยพร้อมๆกับยื่นมือไปทำท่าตีมือเอื้อยด้วยความอาย
พร้อมๆกับที่เอื้อยทำเป็นลุกขึ้นหัวเราะและวิ่งหนีฉันที่วิ่งไล่ตีหลังเอื้อยไปมาอย่างมีความสุข
เย็นวันนั้นตอนเลิกเรียนเอื้อยมีประชุมชุมนุมของเธอ
เธอจึงขอให้ฉันไปรอเธอที่โรงจอดรถก่อน
ฉันเดินเอื่อยๆเฉื่อยๆด้วยความเหนื่อยจนมาถึงที่จอดรถของตัวเอง
เมื่อวางกระเป๋าเก็บไว้ที่ตะแกงรถด้านหน้าและขยับตัวขึ้นไปนั่งบนเบาะหันหน้าออกไปทางด้านหน้าของโรงเรียน
สายตาก็เหลือบไปเห็นเด็กผู้หญิงม.ปลายสองคนที่จอดรถอยู่ไม่ไกลจากกำแพงด้านหน้าโรงเรียนเข้า
เค้าสองคนอยู่ไม่ไกลจากฉันเลย
ห่างกันแค่ก้าวสองก้าวเท่านั้นเพียงแค่ว่าระหว่างเรานั้นมีรั้วเหล็กกั้นเอาไว้
ฉันมองเพ่งพินิจดูคนนึงเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆผอมบางรูปร่างดี
ผมยาวๆที่มัดรวบตึงปล่อยให้หางม้าและปลายโบว์สีกลมท่ากวัดแกว่งไปตามจังหวะที่เธอหันไปทางนั้นทีทางโน้นทีตามท่าทางอากัปกริยาของเธอ
ส่วนผู้หญิงอีกคนนึงใส่ชุดพละผมสั้นตัดผมทรงผู้ชายรูปร่างสูงท่าทางทะมัดทะแม่ง
สะพานเป้ไว้ด้านหลัง
รูปร่างและท่าทางเหล่านั้นมันทำให้ฉันนึกถึงใครบางคนขึ้นมาได้ทันที
..ยัยอัน..
เป็นยัยอันจริงๆด้วยฉันจำทะเบียนมอเตอร์ไซค์ของหล่อนได้
ฉันนั่งเพ่งมองด้านหลังของเค้าสองคนอยู่นานจนเด็กผู้หญิงคนผมยาวหันหน้ามาทางฉัน
เป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆผิวขาวหน้าตาสวยคมหวานๆไทยๆ
ให้ความรู้สึกเหมือน..เอื้อย
โอ้..ใช่นี่คงจะเป็นเด็กของยัยอันที่ได้ยินเอื้อยเล่าให้ฟังว่ามีน้องม.5ท่าทางสวยน่ารักคนนึงมาชอบอันเข้า
น้องคนนั้นเป็นนางรำของโรงเรียนเราด้วย
รู้สึกว่าจะชื่อนิวหรือนินิวอะไรประมาณนี้
ได้ข่าวว่าน้องเค้าชอบอันมาก
และท่าท่างยัยอันคงจะชอบน้องเค้ามากเช่นเดียวกัน
ก็เล่นน่าตาสวยหวานสไตล์ไทยๆอย่างนี้
ดูก็รู้ว่ายัยอันคิดถึงเอื้อยขึ้นมาทันทีที่เห็นน้องเค้า
แหม..มีคนสวยๆน่ารักมาชอบอย่างนี้ก็เลยลืมเอื้อยซะสนิทล่ะสินะ
ก็แพ้คนสวยเหมือนเดิมล่ะน้า
ยัยอันจอมเก๊ก..