วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559


Girlfriend
Special Part
Valentine's Day gift
Chapter 1


..ยิ่งฉันใกล้เธอ...เท่าไหร่ ยิ่งอยากจะเผยใจ เมื่อสบสายตาก็ยิ่งหวั่นไหว
มันยากเหลือเกิน จะเก็บซ่อนความลับเอาไว้ แล้วความลับในใจของเธอ มีฉันอยู่บ้างมั้ย
โปรดบอกความในใจ ให้ฉันรู้ทีนะเธอ..
เสียงเพลงรักเพลงเก่าที่ฉันชอบเปิดฟังเป็นประจำในช่วงเวลาดึกๆของวันตอนนั่งทำการบ้าน อ่านหนังสือทบทวนตำราไปเรื่อยๆ ฉันชอบเปิดคลอมันไปเบาๆให้มันดังเป็นเพื่อนฉัน เวลาที่ฉันรู้สึกเหงาและรู้สึกคิดถึงใครบางคนในเวลานี้..
ยามนี้ เสียงกระดิ่งลมที่ฉันแขวนไว้นอกหน้าต่างมันดังกรุ้งกริ้งสั่นไหวไปมาตามแรงลมเหมันต์ที่เคลื่อนตัวมาทักทายในยามหนาวต้นเดือนกุมภาพันธ์
เมื่อคิดถึงหน้าหนาว ฉันคิดถึงการฉลองปีใหม่ที่ผ่านมา ปีนี้บ้านของฉันไปฉลองปีใหม่กันที่บ้านเกิดของพ่อ ฉันได้กลับไปพบเจอกับบรรดาญาติๆและลูกพี่ลูกน้องที่นานๆได้เจอกันที
และเมื่อเค้าเจอฉัน สิ่งแรกที่เค้าถามฉันก็คือ...
อาเจ้ยแกมีแฟนยัง..” ฉันสำลักน้ำลายทุกครั้งที่ได้ยินบรรดาลูกพี่ลูกน้องที่อยู่ในวัยไล่เลี่ยกันกับฉันยิงคำถามมารัวๆ
พวกเค้าก็คงจะถามกันไปตามหัวข้อที่เด็กวัยรุ่นสมัยนี้ชอบคุยกัน คือ เรื่องความรัก เรื่องแฟน อะไรประมาณนี้
ฉันคิ้วขมวดหน้าแดงแล้วก็ส่ายหัวไปมาทันทีที่ได้ยินคำถามนั้น

ไม่เชื่อหรอก อย่ามาโกหกเลย สวยขนาดนี้ไม่มีแฟนอ่ะเป็นไปไม่ได้หรอก บอกมาเฮอะไม่บอกแม่แกหรอกน่ะ”
เสียงเจ๊แนนลูกพี่ลูกน้องที่มีศักดิ์เป็นพี่สาวลูกของอาเจ๊กฉันที่อายุมากกว่าฉันสองปีร้องขัดขึ้นตอนที่เห็นฉันปฏิเสธคำถามต่อหน้าลูกพี่ลูกน้องคนอื่นๆอีก5-6คนที่นั่งตั้งวงกินเนื้อย่างกันในวันปีใหม่
ก็ไม่มีจริงๆ ไม่เชื่อเจ๊ก็ถามแม่กับพ่อเจ้ยดิ วันๆเจ้ยก็ไปเรียนแล้วก็รีบกลับบ้านไม่ได้ไปไหนมาไหนจะเอาเวลาไหนไปมีแฟน” ฉันก็รีบเถียงอาเจ๊คืนไม่น้อยหน้า แต่เจ๊แนนก็ยังดูจะไม่เชื่อในคำบอกเล่าของฉันเอาซะเลย
ก็เวลาที่แกไปเรียนไง แอบซ่อนผู้ชายไว้ที่โรงเรียนใช่มั้ยบอกมาๆ ฉันอยากเห็นหน้าแฟนแกไม่ต้องอายฉันหรอกวัยรุ่นเหมือนๆกันเข้าใจกันอยู่ พวกฉันไม่ไปบอกพ่อแม่แกหรอก”
โอ้ย ไม่ได้ซ่อนๆ ไม่มีจริงๆ” ฉันโบกไม้โบกมือไปมาตอนที่อาเจ๊เข้ามากอดฉันแล้วแกล้งจั๊กกะจี๊ฉันให้ฉันยอมบอกเรื่องที่พวกเค้าสงสัยกัน
งั้นเฟสแกอะไรบอกมา ฉันจะแอดเฟสแกดูดิ” เจ๊แนนพูดพลางหยิบโทรศัพท์สมาร์ทโฟนของเธอขึ้นมาเปิดรอแอดฉันเป็นเพื่อนในเฟส
ฉันคิ้วขมวดนั่งเหงื่อตกทันทีที่ได้ยินเจ๊แนนยื่นคำขอนั้นมา
เอาไงดีอ่ะ เออ..ก็ไม่มีอะไรให้เป็นพิรุธอยู่ในนั้นสักหน่อย รับแอดเจ๊แกไปเหอะ
สติฉันสั่งการร่างกายไม่ให้รนราน ยังไงใครก็ไม่คิดอยู่แล้วนี่ว่าฉันจะมีแฟนเป็นผู้หญิงด้วยกัน
เค้าคิดกันทั้งนั้นล่ะว่าแกต้องมีแฟนเป็นผู้ชาย..หล่อๆ..เพราะงั้นให้เจ๊แกแอดไปหาผู้ชายหล่อๆที่จะโผล่เป็นพิรุธในเฟสฉันให้เจอเหอะ ฮึฮึ ฉันทั้งคิดทั้งหัวเราะในใจพลางรับโทรศัพท์ของเจ๊มาพิมพ์ชื่อเฟสให้เจ๊แอดมาและฉันก็รับแอดเจ๊แนนทันทีเช่นเดียวกัน
ทันทีที่ฉันรับแอดเจ๊แนน พวกลูกพี่ลูกน้องก็พากันสุมหัวรวมตัวกันอยู่รอบๆที่เจ๊แนนนั่งทันที พวกเค้านั่งพากันส่องดูเฟสของฉัน ดูข้อความต่างๆที่ฉันโพส ข้อความต่างๆที่เพื่อนโพส รวมทั้งรูปภาพต่างๆด้วย
ทำไมไม่เห็นมีผู้ชายเลยวะ โรงเรียนแกเค้าไม่รับผู้ชายเหรอ”
รับสิ เพื่อนเจ้ยก็ผู้ชายเยอะ”
แล้วทำไมไม่มีภาพ..แบบ..อย่างว่าเลยวะ” เจ๊แนนทำเสียงสงสัย “มีแต่รูปแกกับเด็กผู้หญิงคนนี้” เจ๊แนนยื่นโทรศัพท์มาให้ฉันดู รูปฉันกับเอื้อยถ่ายคู่กัน
อ่อ รูปเพื่อนเจ้ยเอง เพื่อนสนิทเจ้ยเองอ่ะ” ฉันทำตาใสๆพูดเหมือนไม่มีอะไรแอบแฝงในคำว่าเพื่อนคำนั้น
เหรอ เออสวยดีนะเพื่อนแก ทำไมถ่ายด้วยกันบ่อยจังเลยวะ พวกแกแอ๊บอะไรกันป่ะ ฉันอ่านคอมเมนต์เห็นเขียนเหมือนเป็นคู่จิ้นอะไรกันสักอย่าง”
ฉันสะดุ้ง แอบมองไปที่ลูกพี่ลูกน้องคนอื่นๆที่หันมามองฉันรอฟังคำอธิบายคำว่า คู่จิ้น อยู่
เอ่อ..ก็แอ๊บนิดหน่อยอ่ะเจ๊ ตามกระแสอ่ะ เด็กที่โรงเรียนมันปลื้มอะ มันก็แบบๆว่าทำให้เราเป็นเน็ตไอดอลไงเจ๊ มีจุดขายจะได้ดังๆอะไรอย่างนี้” ฉันพยายามอธิบายด้วยน้ำเสียงที่คิดว่าเป็นปกติที่สุด
แล้วทำไมแกต้องทำล่อกๆแล่กๆอย่างนั้นด้วยวะ มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า” เจ๊หันมามองท่าทางที่ฉันคิดว่าเป็นปกติที่สุดแต่กลายเป็นลุกลี้ลุกลนในสายตาคนอื่นซะงั้น
ฉันอึ้งนั่งมองหน้าคนนั่นทีคนโน้นทีพร้อมๆกับการกลืนน้ำลายลงคอเพราะตอนนี้ความรู้สึกร้อนๆหนาวๆกำลังก่อตัวขึ้นจนทำให้คอของฉันแห้งผาก
แก..” ฉันใจจดใจจ่อรอฟังเสียงเจ๊แนนที่พยายามถามในสิ่งที่เธอสงสัยออกมาทีละคำ “เป็น..ทอมใช่มั้ย”
ฉันคิ้วขมวด อ้าปากหวอ “ฮ้า เจ้ว่าไงนะ”
แกเป็นทอมใช่เปล่า แล้วนี่ก็แฟนแกใช่เปล่า”
โอ้ยบ้าแล้ว ทอมที่ไหนจะสวยอย่างนี้เจ๊ เจ๊เอาตาไหนดูนี่ โฮย.. นอยด์นะนี่เจ๊พูดอย่างนี้” เสียงฉันบ่นด้วยน้ำเสียงเซ็งๆออกไปทันทีที่ได้ยินเจ๊พูด
เอ้า ฉันก็ไม่รู้ฉันก็ถามๆไปงั้นล่ะ เผื่อจะแจ๊คพอร์ตอะไรอย่างนี้ไง สมัยนี้เค้ายิ่งนิยมเป็นทอมกันอยู่ฉันเห็นเพื่อนที่มหาลัยมีแฟนเป็นทอมกันเพียบ”
แล้วทำไมต้องคิดว่าเจ้ยเป็นทอมด้วยล่ะนี่ ทำไมไม่คิดว่าคนนั้นเค้าเป็นบ้างล่ะ” ฉันจิ้มนิ้วไปที่ภาพของเอื้อยทันที
อ้าว ก็เค้าสวยกว่าแกอะ เป็นฉัน ฉันก็ต้องคิดว่าแกไปจีบเค้า แกก็ต้องเป็นทอมสิ” เจ๊แนนทั้งพูดทั้งขำ พอๆกันกับลูกพี่ลูกน้องคนอื่นๆที่หัวเราะกันครืนทันทีที่ได้ยินเจ๊แนนพูดอย่างนั้นออกมา
ฮ้า..บ้าแล้วเจ๊อะ...” ฉันก็ทั้งพูดทั้งหัวเราะในความคิดของเจ๊
ตอนนั้นฉันแอบโล่งใจที่ไม่ไม่ใครคิดว่าฉันกับเอื้อยเป็นแฟนกัน เพราะทุกๆคนยังไม่เคยเห็นผู้หญิงที่เป็นผู้หญิงด้วยกันจริงๆคบกันซักที เอาง่ายๆก็คือพวกเค้าไม่รู้จักคำว่า “เลสเบี้ยน”เลย พวกเค้าก็เลยไม่คิดว่าคำว่าคู่จิ้นที่เพื่อนแซวฉันในคอมเมนต์นั่นจะเป็นเรื่องจริง ฉันทั้งยิ้มทั้งมีความสุข แถมยังไม่ต้องกังวลอะไรอีก อีกทั้งในใจลึกๆก็แอบดีใจที่คนอื่นๆชมเอื้อยว่าสวยกว่าฉัน จริงๆนะ...ฉันไม่รู้สึกโกรธเลย ที่คนอื่นมองว่าเอื้อยสวยกว่าฉัน...มันเป็นความรู้สึกดีใจและภูมิใจซะมากกว่า ที่ฉันมีแฟนสวยขนาดนี้
ยิ่งคิดก็ยิ่งนึกถึงหน้าคนสวยคนนี้จังเลย ป่านนี้ไม่รู้ว่าเค้าจะคิดถึงฉันบ้างหรือเปล่านะ ฉันหยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดอัลบั้มรูปดูรูปที่ฉันถ่ายด้วยกันกับเอื้อยเมื่อตอนที่เรากลับมาคืนดีกัน ตอนนั้นเอื้อยพยายามดูแลฉันอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่ตอนที่ฉันยังไม่ถอดเฝือกออกเอื้อยก็คอยถือนั่นถือนี่ให้ฉันตลอด อย่างในภาพนี้เธอแบกกระเป๋ากับหนังสือของฉันและของเธอเอาไว้ในมือข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งเธอก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายเซลฟี่คู่กับฉัน
เอ..ภาพนี้ขนาดเอื้อยไม่ค่อยเก๊กเท่าไหร่ก็ยังสวยเลยอ่ะ ดูฉันสิ หน้าก็เหวอๆทำหน้าตกใจไปได้ แค่เอื้อยเอาแก้มมาแนบแก้มถ่ายรูปต่อหน้าเพื่อนๆในโรงรถเยอะๆอย่างนี้ก็ทำเป็นตกใจ
ทำอย่างกับว่าไม่ค่อยได้ถ่ายรูปทำนองนี้ด้วยกันบ่อยๆ
เออ..ใช่ตั้งแต่เราดีกัน เอื้อยกับฉันก็เริ่มทำตัวสนิทสนมกันแบบเปิดเผยกันมากขึ้น เราเริ่มกระหนุงกระหนิง เริ่มสวีทกันต่อหน้าเพื่อนๆมากขึ้น ซึ่งตอนแรกๆเพื่อนก็แซวดีหรอก แต่หลังๆมาพวกเค้าก็ไม่แซวกันแล้ว
กลายเป็นว่าพอเราทำท่าเหมือนจะคบกันจริงๆกลับกลายเป็นไม่ค่อยมีใครเชื่อ....
พวกเค้าคงติดภาพที่ว่าฉันกับเอื้อยชอบผู้ชายคนเดียวกันอยู่มั้ง ตอนนี้ก็เลยกลายเป็นว่าเราสองคนแม้จะทำอะไรที่มันดูเกินคำว่าเพื่อนออกไปขนาดไหน ก็ไม่ค่อยมีใครแซวเรากันเท่าไหร่แล้ว..
เออ..ก็ขำดี ดีแล้วล่ะฉันกับเอื้อยก็สบายใจดีอยู่กันอย่างนี้ก็โอเหมือนกัน
ไม่ต้องอยู่ในสายตาใคร ไม่ต้องให้ใครมาจับตา ไม่ได้ปิดบัง อยากคิดอะไรก็ได้สำหรับสถานะเราสองคนในตอนนี้
ดีจริง..
ตึ๊ง เสียงเตือนจากเฟสบุ๊คดังขึ้นมาจนฉันสะดุ้งตื่นจากเรื่องที่กำลังคิด
ฉันเปิดดูการแจ้งเตือนตอนนี้มันมีข้อความเตือนฉันว่า
เอื้อยแท๊กฉันในรูปภาพ
ฉันคิ้วขมวดดูนาฬิกาตอนนี้ มันชี้บอกเวลาที่สามทุ่มสี่สิบห้า นี่เอื้อยคงพึ่งว่างเล่นเฟสล่ะสิ ไหนดูสิเธอคนนี้วันนี้มีอะไรมาแทกมาเล่นกับฉันบ้าง ฉันอมยิ้มแล้วเปิดดูภาพที่การแจ้งเตือนนั่นบอก
ภาพที่ฉันคลิกเข้าไปนั้น เป็นข้อความตัวหนังสือเขียนไว้ตัวใหญ่ๆในกรอบสีชมพูว่า...

แทกชื่อคนที่คุณอยากได้ของขวัญในวันวาเลนไทน์นี้”
แล้วเอื้อยก็แทกชื่อฉันมาคนเดียวโดดๆ พร้อมทั้งใส่อีโมคอนเป็นรูปหัวใจยาวๆมาเต็มบรรทัดอีก
มีเพื่อนกดถูกใจสถานะของเอื้อยกันใหญ่ พร้อมๆกับคอมเมนต์ขำๆที่พวกที่เป็นแฟนคลับฉันกับเอื้อยชอบแซวกันเป็นประจำ
จะอ้อนขออะไรจากแฟนอีกล่ะจ๊ะ :)”
นั่นแน่ ป๋าเจ้ยจัดแหวนเพชรให้คนสวยเลยสิ”
ถ้าจะเปิดตัวขนาดนี้ก็แต่งกันเลยเถอะ..แล้วถ้าจะแต่งกันก็อย่าลืมแจกการ์ดพวกฉันด้วยนะ อิอิ”
และอื่นๆที่ฮาๆ...
ฉันหัวเราะรั่วทันทีที่ได้อ่านคอมเมนต์พวกนั้น มันทั้งขำทั้งอาย ไม่รู้จะบอกอย่างไรในความรู้สึกตอนนี้ เอื้อยนะเอื้อยทำเป็นทวง ยังไม่ทันถึงวันวาเลนไทน์ซักหน่อยอีกตั้งสองสามวัน เห่อจริงๆเลยนะสำหรับวาเลนไทน์แรกที่จะได้ของขวัญจากแฟนที่เธอบ่นลอยๆตั้งแต่กลางๆเดือนมกราคมโน้นมา
อืม จริงๆแล้วฉันก็ยังคิดไม่ออกเลยนะว่าฉันจะซื้ออะไรให้เธอดี ในวันวาเลนไทน์นี้

อยากได้อะไรล่ะคะ ไว้รวบยอดให้ทีเดียวตอนสงกรานต์เลยไม่ได้เหรอ”

ฉันคอมเมนต์เอื้อยไปบ้าง พร้อมกับคอมเมนต์สติ๊กเกอร์รูปคนกุมมือทำตาปริ๊บๆขอร้อง
เอ้อ..ถ้าจะให้ตอนสงกรานต์จะคิดดอกเบี้ยเยอะๆเลยคอยดูสิ” เอื้อยตอบกลับคอมเม้นต์นั้น เพื่อนก็พากันมากดถูกใจทั้งข้อความที่ฉันคอมเมนต์และข้อความที่เอื้อยตอบกลับฉันทันที
ฉันนั่งยิ้มอ่านข้อความต่างๆซ้ำไปซ้ำมาอย่างอารมณ์ดี ก่อนที่เสียงโทรศัพท์จะดังขึ้นพอฉันกดรับปลายทางก็ส่งเสียงเจื้อยแจ้วมาว่า
อะไรอ่ะ ไหนรับปากว่าจะให้จริงๆจังๆแล้ว ยังจะมายอกย้อนอีกอ่ะ เดี๋ยวก็เจอดีอีกหรอก” เสียงเอื้อยนั่นเอง ตอนนี้เธอส่งเสียงงอนๆมาตามสาย
ฮ่าฮ้า เค้าล้อเล่นเฉยๆหมั่นไส้คนชอบทวงของขวัญ วันนี้ทวงออกสื่อเชียวนะกลัวว่าจะไม่ให้จริงๆหรือไง”ฉันขำ พูดหยอกเอื้อยด้วยความอารมณ์ดี
ก็เจ้ยชอบโกหกเค้าอ่ะ ชอบหักมุมตอนจบอยู่เรื่อย เด๋วก็เป็นเหมือนตอนซื้อกุหลาบให้อีกถ้าเป็นอย่างนั้นอีกล่ะก็เลิกจริงๆเลยนะรอบนี้” เสียงเอื้อยเพิ่มความงอนมาตามสายแถมยังต่อว่าเรื่องเก่าๆที่ฉันเคยทำให้เธอเจ็บใจตอนนั้นอีก
โอ้ย ขู่เหรอนี่ ยังไม่เลิกนิสัยข่มขู่ชาวบ้านอีก หน้าตาก็สวยทำไมทำตัวเป็นนักเลงจังเลย นี่ถ้าอยู่ใกล้จะหอมให้แก้มซีดเลยคอยดูสิ”
ฮึ กล้าหอมมั้ยล่ะ..ถ้ากล้าพรุ่งนี้จะเก็บแก้มไว้ให้หอมที่โรงเรียนเลย..” เสียงเอื้อยโยกโย้ท้าทายมาตามสาย นับวันจะยิ่งกล้าหาญชาญชัยขึ้นทุกทีแล้วสินะ ตั้งแต่ยอมให้ทำอะไรต่อหน้าเพื่อนๆได้นี่เอาใหญ่เลยนะ ฉันทั้งคิดทั้งยิ้ม
“..ขอแค่เจ้ยอย่าลืมของขวัญของเค้าก็พอ..เพราะว่าเค้าเตรียมของขวัญไว้ให้เจ้ยตั้งนานแล้ว..”เอื้อยยังพูดต่อแต่เปลี่ยนเสียงจากทะเล้นกวนอารมณ์เป็นเสียงหวานๆอ้อนๆตรงประโยคที่ว่า เพราะว่าเค้าเตรียมของขวัญไว้ให้เจ้ยตั้งนานแล้ว...
ฉันยิ้มทันทีที่ได้ยินเอื้อยพูดอย่างนั้น ตอนนี้กลายเป็นว่าฉันเถียงอะไรต่อเอื้อยไม่ได้เลย เพราะมัวแต่ดีใจในสิ่งที่ผู้พูดบอกสิ่งที่เธอเก็บไว้ออกมา ได้แต่ตอบรับเป็นเสียง อืม เบาๆส่งไปตามสาย...
มันเป็นเรื่องแปลกที่แม้ฉันจะไม่ได้เห็นหน้าของเจ้าของเสียงที่ส่งเสียงเว้าวอนบอกคำนั้นคำนี้ด้วยความคิดถึงของเจ้าตัวแล้ว แต่ฉันกลับมองเห็นภาพดวงตาและรอยยิ้มของเค้าขึ้นมาได้ทันที รอยยิ้มที่มีแค่คนเดียว คนเดียวที่สามารถส่งยิ้มให้ฉันแล้วทำให้ฉันหลงยิ้มตามทันทีที่เห็น ทุกๆอย่างที่เกี่ยวกับตัวของเค้าคนนั้นมันเป็นภาพตราตรึงในใจทุกๆขณะจิต ทุกๆความคิด ฉันไม่คิดเลยว่า ความรัก มันจะทรงพลังทำให้คนเรานั้นสามารถมโนภาพแห่งความสุขต่างๆที่เราเพียงแค่เราคิดถึงสิ่งต่างๆในตัวของเค้าก็สว่างชัดเจนในใจทันที
เอื้อย คงจะรู้สึกเช่นเดียวกันกับฉันใช่มั้ย ...
ฉันนั่งยิ้มหัวเราะไปตามเรื่องราวที่ปลายสายบอกเล่าสิ่งต่างๆที่เธอพบเจอมาในวันนี้ แม้วันทั้งวันเราจะอยู่ด้วยกันเจอสิ่งต่างๆมาด้วยกันตลอด แต่เวลาที่เอื้อยหยิบเอาเรื่องราวต่างๆเหล่านั้นมาเล่าให้ฉันฟังใหม่อีกครั้งหนึ่งแล้ว ฉันกลับรู้สึกว่าเรื่องราวต่างๆนั้นมันช่างสนุกสนานน่าฟังชวนติดตามเสมอ ไม่ว่าจะรู้อยู่แล้วว่าเรื่องนั้นมันจบลงอย่างไร แต่ฉันก็ยังชอบฟังและคอยขานรับเออๆออๆไปตามผู้พูดเสมอ
ฉันชอบฟังเสียงเอื้อย ใช่..ฉันชอบฟังเสียงของเธอ ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เธอคุยกับฉันเฉยๆก็ดี ตอนที่เธอหัวเราะก็ดี หรือแม้แต่ตอนที่เธอส่งเสียงร้องขับขานบทเพลงไพเราะของเธอให้ฉันฟังก็ดี น้ำเสียงที่ดูอบอุ่นของเอื้อยนั้นซึมซับเข้ามาอยู่ในหัวใจฉันตลอด จนฉันเริ่มกลัวว่า...ถ้าคืนใดคืนหนึ่งฉันไม่ได้ยินเสียงของเอื้อยก่อนนอนแล้ว ฉันจะข่มตานอนได้อย่างไรกัน
***********************
แสงแดดอ่อนๆของพระอาทิตย์ในตอนเช้าค่อยๆสาดเคลื่อนเข้ามาในผ้าม่าน เสียงตึงๆตังๆจากพื้นบ้านชั้นสองที่เป็นห้องนอนของฉันดังขึ้นจากการก้าวเท้าวิ่งเร่งไปตามจังหวะการเคลื่อนไหวของนาฬิกาในตอนเช้าที่ดูเหมือนมันจะเคลื่อนไหวไวกว่าเวลาอื่นๆของวันเสมอ โดยเฉพาะช่วงเวลาก่อนสองโมงเช้า
ฉันวิ่งเข้าห้องครัวเพื่อไปไหว้แม่และรับเอาค่าขนมเหมือนทุกๆวัน พร้อมๆกับเสียงแม่บ่นลอยๆเรื่องที่เห็นไฟในห้องฉันปิดลงดึก ซึ่งก็คงจะหมายถึงเรื่องที่ฉันนอนดึกเพราะว่าคุยโทรศัพท์กับเอื้อยนั่นเอง ฉันยิ้มแหยๆพยักหน้างึกๆงักๆเออออไปกับแม่ และแก้ตัวไปว่าเพราะเราเตรียมตัวกันพรีเซ้นต์งานหน้าห้องเราเลยต้องเตรียมสคริปต์กันยกใหญ่
แม่มองหน้าเหมือนจะไม่เชื่อแต่ก็ไม่ถามอะไรต่อบอกเพียงแต่ให้ฉันตั้งใจเรียนและขับรถดีๆเท่านั้น ฉันยิ้มไหว้บอกลาแม่และออกเดินทางไปรับเอื้อยต่อทันที
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ทันทีที่รถของฉันจอดที่หน้าบ้านของเอื้อย เอื้อยก็รีบวิ่งกระวีกระวาดมาพร้อมกับ ชอคโกแลคห่อด้วยกระดาษฟอยด์สีแดงก้อนเท่าฝ่ามือ แม้จะได้รับจากเอื้อยทุกๆวันแต่ทุกๆครั้งที่ฉันจอดรถรอเอื้อยฉันก็ยังแอบลุ้นและยังแอบตื่นเต้นทุกครั้งที่คิดว่าเอื้อยจะยังเห็นความสำคัญของฉันเหมือนเดิมมั้ย เธอจะยังมีของที่เธอมักจะเอามาให้ฉันแบบนี้เหมือนเดิมมั้ย ฉันไม่ได้ต้องการสิ่งของอะไรนะ เพียงแต่ฉันรู้สึกดีใจทุกๆครั้งที่เห็นว่าเอื้อยนั้นยังคงเป็นเอื้อยที่สม่ำเสมอเธอเคยทำอะไรให้ฉันยังไงเธอก็ยังคงทำอย่างนั้นเสมอเป็นประจำทุกๆวัน
และฉันก็ยังยิ้มหน้าแดงด้วยความอายทุกๆครั้งที่รับเอาชอคโกแลคจากเอื้อยมาตลอด
เอื้อยก็หน้าแดงและอายเช่นเดียวกัน....

วันนี้ที่โรงเรียนเริ่มคึกคัก ฉันเห็นมีเด็กผู้หญิงม.ต้นสามสี่คนยืนจับกลุ่มอยู่หน้าประตูโรงจอดรถโรงเรียนถือแผ่นแพ็คสติ๊กเกอร์รูปหัวใจดวงเล็กๆคละสีที่เรียงรายอยู่ในแผ่นกระดาษแผ่นนั้น พวกเค้าเฝ้ามองคนที่เดินผ่านออกมาจากประตูโรงจอดรถ เมื่อพบว่าเป็นคนที่รู้จักพวกเค้าก็จะทักและเอาสติ๊กเกอร์เล็กๆพวกนั้นมาติดให้
ซึ่งพอฉันกับเอื้อยจอดรถเรียบร้อยและเดินออกมาจากโรงจอดรถกัน เด็กๆพวกนั้นก็รีบวิ่งเข้ามาหาทันที
พี่เจ้ยพี่เอื้อยคะ พวกหนูขอติดหัวใจพี่ๆได้มั้ย”หนึ่งในกลุ่มนั้นร้องทักพวกเรากัน
ฉันกับเอื้อยทำหน้าเหวอหันมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ
จะติดเลยเหรอ..ยังไม่ถึงวันวาเลนไทน์สักหน่อย เหลืออีกตั้งสองสามวัน” ฉันทั้งยิ้มทั้งทำหน้าประหลาดใจถามเด็กๆกลุ่มนั้นทันที
ใช่ค่ะพี่...วาเลนไทน์ปีนี้มันตรงกับวันเสาร์ ยังไงพวกเราก็ไม่ได้มาโรงเรียนอยู่แล้ว พวกหนูมีโอกาสได้เจอพี่เจ้ยพี่เอื้อยวันนี้แล้วหนูกลัวว่าวันศุกร์ที่โรงเรียนจัดกิจกรรมจะไม่เจอพี่ๆกันอ่ะ ให้พวกหนูติดไว้ก่อนเลยแล้วกันนะ นะ” เด็กคนนั้นทั้งยิ้มทั้งพูดน้ำเสียงออดอ้อนฟังดูน่ารักน่าเอ็นดู
ฉันหันไปยิ้มมองหน้าเอื้อยที่ก็ยิ้มแก้มปริเพราะเห็นท่าทางน่ารักๆของเด็กๆกลุ่มนี้แล้วก็อดที่จะขำไม่ได้
พวกเค้าคงกลัวจะหาฉันกับเอื้อยไม่เจอจริงๆในวันศุกร์ที่จะถึงนี้ เอาล่ะ อย่าให้เด็กๆผิดหวังเลย ฉันยักคิ้วให้เอื้อยเพื่อส่งสัญญาณให้เอื้อยรู้ว่า อนุญาติให้พวกเค้าติดสติ๊กเกอร์กันเถอะนะ
เอื้อยยิ้มรับทันที “ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ แต่มีข้อแม้นะ..พี่ขอเอาหัวใจสีเดียวกันกับพี่เจ้ยเท่านั้นนะ” เอื้อยทั้งพูดทั้งยิ้ม หันมาทำหน้าเจ้าเล่ห์มองฉัน ที่ยืนเอ๋อสงสัยในคำพูดของเอื้อยเมื่อกี้เช่นเดียวกันกับเด็กๆพวกนั้นที่ทำหน้าตางงๆ
“..คือ..พี่กลัวคนไม่รู้ว่าพี่สองคน....มีหัวใจดวงเดียวกันอ่ะ..”
อ้ายยยย...”
สิ้นเสียงเอื้อยเด็กๆในกลุ่มนั้นก็ร้องกรี๊ดวี๊ดว้ายกันใหญ่
เอื้อยทั้งพูดทั้งหัวเราะ เหมือนเธออารมณ์ดีที่ได้ปล่อยมุกเอาใจแฟนคลับคู่จิ้นเจ้ยเอื้อยกัน

โอ้ยยย.. อะไรกันนี้มุกเลี่ยนๆแบบนี้ไปเอามาจากไหนกัน ฉันหันไปคิ้วขมวดทำหน้าเหมือนจะแหวะใส่เอื้อยก่อนจะยิ้มแหยๆให้เด็กๆพวกนั้นด้วยความเหวอทั้งเขิน ทั้งตลก และอายพวกเด็กๆพวกนี้ ใบหน้าฉันก็แดงขึ้นเรื่อยๆตามเสียงกรี๊ดของเด็กๆพวกนั้น
ตายๆ...นับวันเอื้อยยิ่งมีมุกประหลาดๆแบบนี้มาเล่นกับฉันต่อหน้าคนอื่นๆอยู่เรื่อย เธอนี่นับวันยิ่งร้าย จากคนขี้อายไม่ค่อยพูดกลายเป็นพูดน้อยต่อยหนัก ถ้ามีโอกาสให้เธอได้ปล่อยมุกทีไร เธอจะปล่อยซะฉันยังแอบสะพรึงเลยทีเดียว
ตอนนี้ก็เช่นกัน...ฉันคิดพลางปาดเหงื่อที่หน้าผากออก
ฉันหันไปยิ้มแล้วหัวเราะหึๆให้เอื้อยที่ยิ้มหวานอ้อนๆให้ฉันก่อนจะจับเอาเสื้อตัวเองยื่นไปให้เด็กๆพวกนั้นติดสติ๊กเกอร์ให้ แล้วหันมาจับเสื้อของฉันให้ไปอยู่ข้างๆเสื้อของเธอด้วย
ติดใกล้ๆกันด้วยนะ จะได้ไม่ห่างกัน” เอื้อยทั้งพูดทั้งยิ้ม เธอหันมามองฉันที่กำลังเหล่ตามองบนใส่เอื้อยก่อนจะบ่นพึมๆพัมๆออกไป “พอได้แล้วล่ะม้าง... เด๋วน้องเค้าจะแหวะกัน เค้ารู้กันหมดแล้วล่ะ..ว่าตัวเองน่ะ...รักเค้า” ฉันทำเสียงกระแนะกระแหนคืนเอื้อยที่หัวเราะคิกๆคักๆหันไปคุยเล่นกับเด็กๆพวกนั้นต่อจนกระทั่งพวกเขาพากันติดสติกเกอร์ให้เราสองคนเสร็จเราจึงขอตัวเดินขึ้นห้องเรียนกันไป
วันนี้เป็นวันพุธที่ห้องของเรามีเรียนภาษาอังกฤษกันคาบแรกของสัปดาห์ และเป็นปกติของช่วงใกล้วันวาเลนไทน์ที่เป็นกิจกรรมหลักของชมรมภาษาอังกฤษที่อาจารย์ประจำวิชาอาจารย์พวงเพชรเป็นหัวหน้าหมวดภาษาต้องมาชี้แจงและมอบหมายให้นักเรียนแต่ละสายชั้นที่อาจารย์ได้มีโอกาสเข้ามาสอนนั้นเตรียมตัวเข้าร่วมกิจกรรมที่จะจัดขึ้นทุกปี นั่นคือ“กิจกรรมประกวดมิสวาเลนไทน์”ที่จะจัดขึ้นในวันศุกร์ที่จะถึงนี้
คาบนี้ทั้งคาบอาจารย์พวงเพชรก็ปล่อยให้นักเรียนได้ประชุมปรึกษาหารือเรื่องตัวแทนที่จะเข้าประกวดกัน
ซึ่งพออาจารย์เริ่มเกริ่นเรื่องกิจกรรมนี้ฉันก็เห็นเอื้อยหันไปยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับพวกสาและเพื่อนๆที่หลังห้องทันที
อะไรนี่..ทำตัวมีพิรุธมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว... ฉันเห็นเอื้อยเดินไปเข้าห้องน้ำกับพวกสาตอนที่เราพักทานข้าวเสร็จแล้วขึ้นมารอเรียนวิชาคาบบ่ายกัน ซึ่งเอื้อยกับสานั้นก็หายไปตั้งนานกว่าจะมา แล้วพอตอนขึ้นมาก็กลายเป็นขึ้นมากับกลุ่มเพื่อนใหญ่ๆที่อยู่หลังห้องตอนที่เอื้อยย้ายไปนั่งเรียนด้วย ดูคุยกันเฮฮามีความสุขสนุกสนานกันจนฉันต้องแอบงอนเอื้อยว่าหายไปไหน ปล่อยให้ฉันอยู่คนเดียวตั้งนาน จนเอื้อยต้องมานั่งง้อขอโทษขอโพยฉันท่ามกลางเพื่อนๆที่แกล้งแซวว่าฉันจะตายเสียให้ได้แค่ขาดเอื้อยไปไม่กี่นาทีแค่นี้
มันก็คงจะจริง ตอนนี้กลายเป็นว่าฉันติดเอื้อยมากๆ ฉันแทบจะไม่อยากไกลจากเค้าไปไหนมาไหนเลย ยิ่งเวลาเห็นเค้าหายไปกลับใครแล้วมีความลับมีพิรุธอะไรกันใจฉันยิ่งร้อนรน เพราะว่าฉันทั้งหวงและห่วงเอื้อยกลัวเอื้อยจะมีความลับอะไรกับฉันและทำให้ฉันต้องเสียใจอีก
เวลานี้ก็เช่นเดียวกัน ทันทีที่ฉันเห็นเอื้อยหันไปยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับพวกสาหลังห้องฉันก็แอบคิ้วขมวดทำหน้าบึ้งก้มหน้าก้มตาแกล้งทำเป็นไม่สนใจเอื้อย
อะไรคะ ทำหน้าบึ้งทำไมอีก” เสียงเอื้อยกระซิบถามตอนที่เธอเริ่มเห็นอาการมีพิรุธของฉันอีก
เจ้ยเป็นหัวหน้าห้องนะ อาจารย์มอบหมายให้เป็นผู้นำเพื่อนในการหาตัวแทนแล้วก็ต้องมีสปริตกว่านี้หน่อยสิ จะมาทำหน้ามุ้ยอยู่อย่างนี้เด๋วก็ไม่เป็นการเป็นงานกันพอดี” เอื้อยทำเสียงจริงจังพยายามพูดเรียกสติของฉันที่ตอนนี้ก็เริ่มคิดได้แล้วเหมือนกัน
ฉันพยามเปลี่ยนอารมณ์ แล้วลุกออกไปหน้าห้องเพื่อประชุมเพื่อนๆเรื่องเลือกตัวแทน ซึ่งพอฉันถามว่าจะโหวตใคร เพื่อนๆในห้องก็ส่งเสียงเป็นเสียงเดียวกันว่า

เจ้ยนั่นแหละ”
บ้า เอาคนอื่นบ้างเลย ฉันเป็นมาทุกปีแล้วอ่ะ ให้คนอื่นลงประกวดบ้างเหอะ” ฉันรีบร้องเถียงเพื่อนๆคืนทันที
แกนั่นแหละเป็นเลยไหนๆก็ไหนๆแล้วเป็นมาทุกปีปีนี้ก็ปีสุดท้ายแล้วแกลงประกวดให้ห้องอีกปีเหอะว่ะ” เสียงสาออกความเห็นแย้งฉันทันที
ไม่เอาๆ” ฉันโบกไม้โบกมือส่ายหน้าพยายามหาตัวช่วย แล้วก็เหลือบไปเห็นเอื้อยนั่งยิ้มตาหวานมองฉันเถียงกับเพื่อนๆ
เอาเอื้อยสิ เอื้อยสวยกว่าเค้าอ่ะ พึ่งมาอยู่ห้องเราด้วยเปลี่ยนเป็นเอื้อยบ้างดีกว่าอะไรๆจะได้สดใสขึ้น” ฉันได้ทีรีบยกเอื้อยขึ้นมาเป็นกำบัง
สายิ้มแล้วหัวเราะคืนมาให้ฉัน
ไม่ต้องเลยแก จริงๆแล้วคนที่เสนอแกตั้งแต่แรกน่ะก็คือเอื้อยนั่นล่ะ พวกฉันน่ะแอบประชุมลับๆกันตั้งแต่ตอนเที่ยงเมื่อวานแล้ว” สายิ้มน้อยยิ้มใหญ่พูดพลางเดินออกมาที่หน้าห้องยืนข้างๆฉันแล้วหันไปมองเพื่อนที่นั่งยิ้มอยู่ในห้องมองพวกเราสองคน ฉันคิ้วขมวดหันไปมองที่เอื้อยที่ยิ้มแหยๆและยักไหล่ให้ฉันเพื่อบอกให้รู้ว่าที่สาพูดน่ะคือเรื่องจริง
“..เพราะจากการที่แกหมดสติเข้าโรงบาลตอนนั้นน่ะ พวกฉันก็ได้รู้ว่าแกน่ะสำคัญกับเพื่อนๆขนาดไหน จริงๆแล้วแกน่ะคือขวัญใจของพวกเราทั้งห้องนะเว้ย พวกฉันรู้ว่าเพื่อนทั้งห้องรักและเป็นห่วงแกมากขนาดไหนก็ตอนที่เกือบจะเสียแกไปแล้วอ่ะ แล้วไอ้การประกวดมิสวาเลนไทน์นี่มันก็เป็นการประกวดคนที่เป็นตัวแทนแห่งความรักของเพื่อนๆในห้อง แล้วจะเป็นใครไปได้อีกอ่ะ ถ้าไม่ใช่แกเจ้ย” สายื่นมือมาจับไหล่ฉันทั้งพูดทั้งยิ้มมองมาที่ฉันด้วยสายตาที่จริงใจพร้อมๆกับเสียงปรบมือและเสียงขานรับว่า ใช่ๆ ของเพื่อนๆในห้องที่ดังออกมาเป็นระยะ
แก...พวกฉันกับเพื่อนๆทั้งห้องรักแกนะเว้ย การที่ให้แกไปประกวดทุกปีมันไม่ใช่ว่าเราเลือกกันส่งๆนะ พวกฉันน่ะต้องการเลือกตัวแทนของความรักของพวกเราทุกคนออกไปประกวดจริงๆ แกลงประกวดให้พวกฉันอีกปีเถอะนะ ไหนๆก็ปีสุดท้ายแล้ว ทำมันให้ดีที่สุดเหอะ”สาหันมาทำหน้าเหมือนขอร้อง เหมือนๆกับเพื่อนๆคนอื่นที่พยายามพูดให้ฉันเห็นด้วยกับเรื่องที่สาว่ามา
ก็ได้..” ฉันยิ้มแล้วถอนหายใจให้เพื่อนๆที่ดีใจปรบมือที่ฉันยอมลงประกวดให้
อะไรวะพวกแกนี่ไม่เบื่อหรือไง..” ฉันหัวเราะเขินๆบ่นพึมพัมแล้วหันไปยิ้มให้เอื้อยที่กำลังยิ้มหวานมองฉันอย่างปลาบปลื้มและยินดีกับการสนับสนุนฉันที่เพื่อนๆมอบให้เสมอมาเช่นเดียวกัน

เที่ยงวันนั้นหลังจากที่เรากินข้าวกลางวันเสร็จ ฉันกับเอื้อยก็เดินไปนั่งเล่นที่ลานม้านั่งที่เราเคยนั่งกันประจำ พวกเราซื้อขนมและน้ำดื่มมากินกันตามปกติแต่วันนี้เราสองคนมีแคตตาลอคขายของสองสามเล่มของเพื่อนกลุ่มหลังห้องคนนึงที่ฝากเอามาให้ฉันกับเอื้อยอ่านกันเผื่อว่าอยากจะซื้ออุดหนุนเค้าบ้าง
ฉันยังนึกขำตอนที่เพื่อนเอามาให้เอื้อยอ่าน
“...นะนะ อ่านก่อนก็ได้เผื่ออยากซื้ออะไรให้เป็นของขวัญวาเลนไทน์เจ้ยไง” เพื่อนคนนั้นยิ้มเล็กยิ้มน้อยให้เอื้อยที่ยิ้มหน้าแดงเพราะโดนแซว ฉันก็หัวเราะคิกคักๆเพราะได้ยินที่เพื่อนแซว
เจ้ยก็เหมือนกันล่ะ รู้นะว่าเอื้อยทวงของขวัญวาเลนไทน์อยู่ ถ้าไม่รู้จะซื้ออะไรก็เปิดๆอ่านในนี้ดูนะ ไปล่ะเด๋วเค้าจะมาเก็บอีกที”
และนั่นก็เป็นที่มาของการนั่งก้มหน้าก้มตาเปิดดูแคตตาลอคสองสามเล่มนั้นของเพื่อนโดยไม่ได้คุยอะไรกันเลยของเราสองคน ฉันหยิบแคตตาลอคเล่มที่เป็นเครื่องครัวขึ้นมาได้ เปิดอ่านไปจนเกือบจะหมดเล่มก็ไม่มีอะไรน่าสนใจเลย
ก็มันมีแต่หม้อ มีแต่เตา มีแต่จานช้อนซ้อมอะไรประมาณนี่นา ฉันจะซื้อให้เอื้อยทำไม ยังไม่ได้อยู่บ้านด้วยกันสักหน่อย และเอื้อยก็คงไม่อยากได้ของพวกนี้ด้วย
ฉันหยุดอ่านเล่มนั้นแล้วเงยหน้าขึ้นมาดูเอื้อยที่ตอนนี้เธอกำลังอ่านเล่มที่ขายพวกชุดชั้นในอยู่
แล้วทันทีที่ฉันเหลือบไปเห็นเอื้อยก้มลงอ่านหน้าที่ขายชุดชั้นในหน้านั้น ใบหน้าฉันร้อนผ่าวขึ้นทันที ก็ฉันเห็นภาพนางแบบที่ถ่ายภาพโชว์ชุดชั้นในพวกนั้นแล้วดันไปคิดถึงภาพตอนที่เอื้อยใส่ชุดชั้นในวันนั้นเข้าให้ด้วย ตอนนี้หน้าของฉันมันคงกำลังแดงเป็นลูกตำลึงอยู่แน่ๆเลย...ปัดโธ่เอ้ย ฉันคิดพลางเอามือมาจับที่แก้มตัวเอง
แล้วเหมือนเอื้อยจะรู้สึกตัวว่าโดนฉันแอบมองเธอรีบเงยหน้าขึ้นมามองฉันที่นั่งอึ้งหน้าแดงอยู่ตอนนี้
อะไร เป็นอะไรทำไมหน้าแดงอีก” เอื้อยยิ้มรีบถามฉัน แล้วเธอก็ก้มหน้าลงมองภาพในแคตตาลอคนั้น
“..อย่าบอกนะว่าอาย แค่เห็นภาพแค่นี้” เอื้อยทั้งยิ้มทั้งพูด เธอยื่นหน้ามาใกล้ๆหน้าของฉันทำสายตากรุ้มกริ่ม
ทำอย่างกับตัวเองไม่ได้ใส่ เห็นของคนอื่นก็เห็นมาแล้วไม่ใช่เหรอ..จะหน้าแดงอีกทำไมนี่” เอื้อยทำเสียงเจ้าเล่ห์แกล้งแซวให้ฉันยิ่งอายเข้าไปใหญ่
รู้แล้วน่า แค่ตกใจเฉยๆ ไม่คิดว่าจะมาดูอะไรประเจิดประเจ้ออย่างนี้” ฉันรีบเถียงกลบเกลื่อนความอาย
ประเจิดประเจ้อตรงไหน นั่งกันอยู่แค่สองคนเอง แถมยังเป็นแฟนกันอีกอ่ะ ต้องอายด้วยเหรอ”
เอาล่ะๆเลิกต่อล้อต่อเถียงได้แล้วจะดูก็ดูไป” ฉันรีบปัดๆเปลี่ยนเรื่องคุยกับเอื้อย
เอ..ไหนๆก็ไหนๆแล้วอยู่กันสองคนอยู่แล้ว จะถามเรื่องนี้สักหน่อยคงไม่น่าเกลียดหรอกใช่มั้ย” เอื้อยทำเสียงเจ้าเล่ห์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้ฉัน
ฉันสะดุ้ง แต่ก็พยายามทำสีหน้าเรียบๆเฉยๆไม่ยีระต่อคำพูดกำกวมของเอื้อยที่พยายามพูดให้ฉันอายต่อ
อืม..ถามอะไรล่ะ ถามมาสิถ้าไม่น่าเกลียดจนเกินไปจะตอบให้” ฉันทำเสียงซีเรียสจริงจังแกล้งทำเป็นไม่เขิน
เจ้ยชอบ...ชุดชั้นในสีอะไรอะ..”เอื้อยเริ่มถามฉันด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูตะกุกตะกักขัดกับท่าทีที่เธอแกล้งพูดหยอกฉันก่อนหน้านั้น ตอนนี้ใบหน้าเธอเปลี่ยนเป็นแดงระเรื่อขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
เอ่อ..”ฉันอึ้ง..หันไปมองหน้าเอื้อยทั้งตกใจทั้งเขินทั้งอายที่อยู่ๆเอื้อยยิงคำถามแบบนั้นมา รู้สึกร้อนๆไปทั่วใบหน้าตัวเองยังไงไม่รู้
ถามทำไมอ่ะ จะซื้อให้เหรอ” ฉันแกล้งพูดขำๆแก้เขินไป
อืม..ประมาณนั้นแหละ ชอบสีไหนล่ะ”
สีไหนก็ได้ทั้งนั้นล่ะ ใส่คนเดียวไม่ได้ใส่โชว์ใครอยู่แล้วนี่”
แล้ว..ชอบผู้หญิงใส่ชุดชั้นในสีอะไรอ่ะ”
ฉันสำลักน้ำลายไอแคกๆออกมาทันทีที่ได้ยินเอื้อยถามอย่างนั้น
ผู้หญิงที่ว่าหมายถึงใครล่ะ...” ฉันหน้าแดงหันไปถามเอื้อยที่หน้าแดงยิ่งกว่าเดิมทันทีที่ถามคำถามนี้ต่อ
เอื้อยไม่ตอบแต่เธอทำหน้าแหยๆอายๆยิ้มน้อยคืนมาให้ฉันเป็นนัยว่า ผู้หญิงคนนั้นก็คือเธอนั่นล่ะ
เมื่อคิดได้ฉันก็หัวเราะแก้เขินเบาๆ ตอนนี้รู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนขึ้นกว่าเดิมหนักมาก ถ้าฉันส่องกระจกตอนนี้ใบหน้าของฉันคงแดงเป็นลูกตำลึกสุกแน่ๆเลย
อืม..ก็สีไหนก็ได้ทั้งนั้นล่ะ เพราะจริงๆแล้วก็ไม่ได้มองที่ชุดชั้นในหรอกคงจะมองคนใส่มากกว่า”
บ้า เอาดีๆถามจริงๆ”
สีดำก็ได้อ่ะ เซ็กซี่ดี เวลามองแล้วคงสวยเซ็กซี่แปลกๆดี” ฉันหันไปมองหน้าเอื้อยที่ทั้งอายทั้งประหม่าแต่เธอก็ยังฝืนยิ้มแห้งๆแก้เขินคืนมา
เค้าก็ว่าสีดำคงสวยดี เซ็กซี่ดี..ถ้า..เจ้ยใส่” เอื้อยก็เอาบ้าง เธอหันมายิ้มเจ้าเล่ห์ใบหน้าที่แดงอยู่แล้วยิ่งแดงไปกันใหญ่
..โอ้ย ตายแล้วฉัน นี่เราคุยกันเรื่องอะไรในโรงเรียนนี่ ฉันอยากมุดหน้าลงดินจริงๆถ้ามีใครมาได้ยินจะทำอย่างไร ..
“..ถ้าเค้าซื้อให้..จะกล้าใส่มั้ย” เอื้อยยังยิงคำถามแนว18+มาให้ฉันอีก
กล้าสิ กล้าซื้อให้ถูกไซส์ก็กล้าใส่เหมือนกันล่ะ” ฉันก็ไม่น้อยหน้าพูดจายียวนกวนประสาทเอื้อยคืนไปบ้าง
งั้นก็โอเค เพราะเค้าจำได้แล้วว่าเจ้ยไซส์อะไรคัพไหน แค่นี้ไม่ยาก”
ฉันทำหน้างง หันหน้าไปมองเอื้อย “รู้ได้ยังไง”
เอ้า อย่าลืมสิ เค้าเคยนอนจับ..มัน...ทั้งคืนมาแล้วรู้อยู่แล้วว่ามันขนาดประมาณไหน”
บ้าอ่ะ เอื้อยทะลึ่งอ่ะ ยิ่งอยู่ด้วยกันนานยิ่งลามก หื่นขึ้นปะนี่”ฉันยื่นมือไปตีมือเอื้อยที่นั่งขำหัวเราะหน้าแดง
แล้วแต่จะคิดสิ เค้าก็แค่ถามไว้เป็นข้อมูลเป็นแนวทางไง ยังไงก็คบกันเป็นแฟนกันของพวกนี้มันก็ต้องมีซื้อให้กันบ้างอยู่แล้วจะอายทำไมเล่า”
เออ จริงสิเนอะ ฉันก็ลืมคิดถ้าฉันกับเอื้อยจะคบกัน เรื่องพวกนี้ยังไงๆมันก็ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว จะถามกันไว้มันก็ไม่เห็นแปลก
งั้น..ถ้าเค้าซื้อให้ต้องใส่ให้ดูด้วยนะ” เอื้อยยังไม่ลดความพยายาม
เออ รู้แล้วน่า ถ้ามีโอกาสจะใส่ให้ดูทั้งคืนเลย โอเคมั้ย”
เอื้อยยิ้มหน้าแดง มองฉันตาหวานเยิ้ม “สัญญานะ”
ฉันยิ้มอายๆหันไปมองหน้าเอื้อยที่แดงค้างตั้งแต่คำถามแรกจนกระทั่งตอนนี้ “อืม..สัญญา” ฉันพูดพร้อมพยักหน้าแล้วยื่นนิ้วก้อยไปเกี่ยวนิ้วก้อยของเอื้อยไว้แทนคำสัญญาที่ฉันให้เธอไว้เมื่อครู่
เอื้อยยิ้มหวานค้าง เธอจ้องตาฉันอยู่นานก่อนจะพูดบางเรื่องออกมาต่อ
วาเลนไทน์ปีนี้ตรงกับวันเสาร์อ่ะ แย่จังเลยเนอะ ไม่ได้ตรงกับวันที่มาเรียนปกติของเรา บางคนอยู่ไกลกันไม่ได้มาเรียนก็ไม่ได้เจอกันเลยอ่ะ น่าสงสารเนอะ” เอื้อยทั้งพูดทั้งก้มลงพลิกแคตตาลอคทำเป็นอ่านนั่นอ่านนี่ของเธอไปต่อ
อื้ม เค้าก็ถึงให้ของขวัญกันในวันศุกร์แทนไง แต่บางคนที่ดื้อๆหน่อยเค้าก็นัดกันออกมาหาวันเสาร์เลยนะ ก็ดีนะ ได้เดทกันด้วย”
เอื้อยอมยิ้ม รีบหันควับมามองฉัน
งั้นวันเสาร์ เจ้ยว่างมั้ยล่ะ”
หือ..” ฉันสะดุ้งหันไปมองหน้าเอื้อยที่จ้องตาเขม็งรอคำตอบจากฉันเรื่องที่เธอถามไปเมื่อครู่
ก็..ไม่รู้เหมือนกัน ทำไม..จะชวนไปเดทไหนเหรอ” ฉันยิ้มหวานกับคืนไปให้เอื้อยเพราะนึกขำสีหน้าท่าทางจริงจังของเธอในตอนนี้
เปล่า ไม่ได้ชวนไปเดทไหนหรอก วันเสาร์เค้าไม่ว่างไปไหนหรอก...เพราะเค้าต้องเฝ้าบ้านให้แม่..”
เอื้อยหยุดตรงคำว่า เฝ้าบ้านให้แม่ นิดนึงแล้วหันมาชำเรืองดูฉัน ที่กำลังหันไปคิ้วขมวดสงสัยในคำบอกเล่าของเธออยู่
แม่ไม่ได้อยู่บ้านทั้งวัน ไปสัมมนากับบริษัทอ่ะ วันอาทิตย์เย็นๆถึงจะกลับ แล้ว..”
แล้ว..”ฉันลากเสียงทวนคำของเอื้อยตรงคำว่า “แล้ว..”ทันทีที่เอื้ยหันมามองสบตาเหมือนมีความหมายบางอย่างซ่อนอยู่ในเรื่องนั้น
แล้วทีนี้เค้าก็อยู่บ้านคนเดียวไง คือจริงๆแล้วแม่จะให้ไปนอนกับน้าข้างบ้าน แต่เค้าบอกแม่ว่าเค้าจะชวน..ชวนเจ้ยมานอนเป็นเพื่อนด้วย แม่ก็เลยอนุญาติ แต่เค้าไม่แน่ใจว่าเจ้ยจะว่างมานอนเป็นเพื่อนเค้าได้หรือเปล่า..”เอื้อยชำเรืองมองฉันอายๆ ทันทีที่เธอพูดประโยคนี้จบ

ฉันนิ่งเงียบ ทำเป็นคิดตามเรื่องที่เอื้อยพูดมานั้นครู่ใหญ่ แต่ไม่ได้ตอบอะไรเธอ

..Yes !!!!..แต่ตอนนี้ข้างในของฉันแทบจะร้องกรี๊ดออกมา หัวใจก็เต้นสั่นระรัว หากจังหวะของหัวใจฉันสามารถแสดงออกมาเป็นภาพการ์ตูนเคลื่อนไหวได้ ตอนนี้คงเป็นภาพมวลหมู่การ์ตูนต่างๆเต้นแร้งเต้นกา ร้องรำทำเพลง จุดพลุและดอกไม้ไฟ เหมือนกับมีการเฉลิมฉลองกันอะไรสักอย่างเป็นแน่แท้
โอ้ยๆๆ ฉันดีใจจนแทบจะเผลอกัดลิ้นตัวเองไว้เพราะแกล้งกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่ให้เอื้อยรู้ท่าทีของฉัน
..จะทำไงได้ล่ะ ในเมื่อโอกาสที่ฉันเฝ้ารอที่จะได้อยู่ใกล้ๆเอื้อยสองคน เพื่อที่จะได้มีความคืบหน้าในสัมพันธ์ของเรานั้นกลับมาอีกครั้งนึง หลังจากที่ฉันพลาดโอกาสมาครั้งแล้วครั้งเล่า...
ไม่ว่าจะเป็นครั้งที่แม่เอื้อยไม่อยู่บ้านในวันพฤหัสช่วงที่ฉันกับเอื้อยกำลังดีกันใหม่ๆ ตอนนั้นฉันไปนอนที่บ้านเอื้อยด้วย ทุกอย่างกำลังไปได้สวย ฉันกับเอื้อยกำลังจูบกันอย่างดูดดื่มและกำลังจะเข้าด้ายเข้าเข็มแล้วแท้ๆแต่ก็ต้องสะดุ้งเพราะน้าข้างบ้านเอื้อยกดกริ่งหน้าบ้านเรียกเอื้อยให้ช่วยไปนอนเป็นเพื่อนหลานที่บ้านให้ที เพราะน้าต้องไปเฝ้าญาติที่โรงพยาบาลกลางดึก
คืนนั้นฉันกับเอื้อยเลยต้องย้ายสัมมะโนครัวกันไปนอนเป็นเพื่อนหลานวัย4ขวบของเธอ แล้วก็กลายเป็นนอนไม่หลับเพราะหลานตัวน้อยนั้นชวนเราเล่นทั้งคืนไม่เป็นอันหลับอันนอน
ครั้งนั้นฉันกับเอื้อยต้องไปโรงเรียนในสภาพขอบตาดำ ทั้งเพลียทั้งง่วงจนเผลอหลับในห้อง จนเพื่อนๆแซวว่าเราสองคนแอบทำอะไรกันทั้งคืนหรือเปล่าทั้งๆที่ฉันยังไม่ทันได้ทำอะไรกับเอื้อยแท้ๆ

หรือจะเป็นอีกครั้งนึงที่ฉันชวนเจ้ยมาเล่นที่บ้านฉันตอนเย็นเพราะเราไม่มีโอกาสได้นอนด้วยกันเลยสักที เย็นวันนั้นแม่โทรมาบอกฉันที่โรงเรียนว่าแม่จะไปทำธุระกับญาติที่ต่างอำเภอก่อนอาจจะกลับตอนมืดๆด้วยความที่บ้านของฉันไม่มีบ้านญาติอยู่แถวๆบ้านเหมือนบ้านของเอื้อย เอื้อยก็เลยเป็นห่วงเลยเสนอตัวมาอยู่เป็นเพื่อนช่วงเย็นๆก่อนแป๊บนึง เอื้อยโทรขออนุญาติหาแม่มาอยู่เป็นเพื่อนฉันแล้วขอให้แม่ขับรถมารับเธอเองเลยเพราะไม่อยากให้ฉันต้องขับรถไปส่งเธอดึกๆดื่นๆแล้วต้องเจอกับพวกโรคจิตที่ตามถีบรถผู้หญิงเหมือนครั้งนั้นอีก
ตอนนั้นหลังจากที่มาถึงบ้านได้ไม่ทันไรเอื้อยก็ชวนฉันขึ้นไปบนห้องทันที เหมือนเธอก็อยากจะสานสัมพันธ์ของเราให้อยู่ในอีกระดับเสียทีเหมือนกัน หลังจากที่มันค้างๆคาๆอยู่อย่างนั้นมาแล้วไม่ได้เลื่อนไปไหนมาไหนสักที
ทุกอย่างกำลังเป็นไปได้สวย..แต่มันก็ต้องมาหยุดชะงักในตอนที่เอื้อยกำลังเปลื้องชุดนักเรียนของเธอออกพร้อมๆกับฉัน ฝันของฉันก็ต้องมลายไปทันทีเมื่อเอื้อยพบว่าเธอเป็น “ประจำเดือน”
ฉันคอตก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่เดินมาหอมแก้มปลอบใจเอื้อยที่ทำหน้าเหมือนรู้สึกผิด ก่อนที่เราทั้งสองจะจัดการแต่งตัวให้เรียบร้อยลงไปรอแม่เอื้อยอยู่ข้างล่างต่อไป

นั่นก็เป็นแค่ตัวอย่างคร่าวๆของเหตุการณ์ซวยๆชวนเงิบของฉันที่ทำให้รู้ว่าการที่จะได้แอ้มเอื้อยนั่นไม่ง่ายเลย
ไม่รู้ว่าเอื้อยจะคิดเหมือนกันกับฉันหรือเปล่า แต่เวลาที่เราคุยกันถึงเรื่องนี้ทีไร ฉันได้แต่ปลอบใจเอื้อยว่าอย่าคิดมากเลย ปล่อยให้ค่อยเป็นค่อยไปอย่างเดิมดีกว่า
ทั้งๆที่จริงแล้วฉันอยากสัมผัส อยากกอด อยากมีความผูกพันธ์ที่ลึกซึ้งกับเอื้อยเหมือนๆที่คนรักคนอื่นๆเค้าทำกันแทบตาย
ครั้งนี้ก็เช่นกัน แม้ฉันจะรู้สึกดีใจมากๆที่มีโอกาสอย่างนี้มาอีกแล้วแต่ในใจลึกๆฉันก็ยังแอบหวั่นๆกลัวโชคชะตาจะเล่นตลกให้ฉันกับเอื้อยไม่ได้ในสิ่งที่หวังอีก

ว่าไงเจ้ย” เสียงของเอื้อยดังแทรกเข้ามาในห้วงความคิดของฉัน
ตอนนี้เอื้อยส่งยิ้มให้ฉัน เธอยังคงรอฟังคำตอบจากฉันอยู่เหมือนเดิมว่าฉันจะไปอยู่เป็นเพื่อนเธอได้มั้ย
อืม ต้องลองถามพ่อกับแม่ดูก่อนนะ ว่าจะยอมให้เค้าไปนอนบ้านคนอื่นหรือเปล่า ยิ่งเป็นคืนวันวาเลนไทน์อยู่เด๋วก็แอบคิดเสียๆหายๆกันอีกว่าเค้าจะไปนอนกับผู้ชาย”ฉันทำเสียงเรียบๆไม่อยากแสดงให้เอื้อยรู้ว่าตัวเองดีใจขนาดไหน
ผู้ชายที่ไหนเล่า ให้พ่อกับแม่มาส่งที่บ้านเลยก็ได้ ไม่เสียหายอะไรหรอก ถ้าจะเสียก็เสียทั้งสอง...แต่จริงๆแล้วน่าจะได้ทั้งสองมากกว่านะ” เอื้อยพูดตลกเธอปล่อยมุกแนว 18+ มาให้ฉันเงิบอีกแล้ว
อะไร พูดบ้าอีกนี่ ทะลึ่งอ่ะ ไม่ไปนอนด้วยหรอกถ้างั้น”
โอ้ย แค่พูดขำๆเอง ไม่ตลกด้วยเหรอ ไปอยู่เป็นเพื่อนเค้าหน่อยนะ นะคะตัวเองจะกล้าปล่อยผู้หญิงตัวเล็กๆไว้คนเดียวอย่างนั้นเหรอ ไม่เป็นห่วงเค้าเหรอ” เอื้อยทำเสียงเว้าวอนพร้อมๆกับสายตาออดอ้อนส่งคำขอร้องมาให้ฉันเมตตาเธอบ้าง ยิ่งดูก็ยิ่งน่ารัก ฉันเผลอยิ้มและหัวเราะออกมาทันทีที่เอื้อยเล่นมุกอ้อนอย่างนี้
ก็ได้ๆเด๋วจะลองขอพ่อกับแม่ดูก่อนนะ แต่ไม่รับปากนะเพราะว่าขึ้นอยู่กับพ่อแม่ว่าจะยอมให้เค้าไปไหนมั้ย”ฉันทำเป็นไม่สนใจไม่ตื่นเต้น แกล้งเอื้อยโดยการพูดปัดๆไป
นะ เค้าเชื่อว่าเจ้ยพูดขอพ่อกับแม่ได้ เค้าอยากให้เจ้ยมานะ เพราะเค้ามีของขวัญจะให้เจ้ย..เป็นของขวัญที่เตรียมไว้ให้ตั้งนานแล้ว..แต่ไม่มีโอกาสได้ให้สักที คิดว่าคงจะดี..ถ้าเค้าได้มอบมันให้เจ้ย..ในคืนวันวาเลนไทน์” เอื้อยทั้งพูดทั้งยิ้มหน้าก็แดงขึ้นเรื่อยๆ มองดูก็รู้ว่าเธออาย
ฉันคิดตามเอื้อยเรื่องของขวัญที่ไม่ได้ให้เสียที แล้วอยู่ๆภาพที่ฉันกับเอื้อยจูบกันอยู่ในห้องก็โผล่ขึ้นมาในมโน

...โอ้ยยย ตายแล้วฉัน สติสตังฉันกระเจิดกระเจิงไปหมดแล้ว ฟังดูก็รู้ว่าเอื้อยกำลังทอดสะพาน เธอกำลังอ่อยฉัน ตอนนี้หัวใจของฉันยิ่งเต้นแรงขึ้น มันกำลังสูบฉีดเลือดขึ้นไปทั่วๆตัวของฉันจนฉันรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั่วๆตัวโดยเฉพาะใบหน้า

ฉันรีบก้มหน้าลง รู้ตัวว่าตอนนี้หน้าคงแดงเป็นมะเขือเทศแน่ๆ ใจนึงก็นึกอายแต่อีกใจก็แสนจะดีใจที่รู้ว่าเอื้อยยังคงเห็นความสำคัญของฉันอยู่ตลอด เธอยังเฝ้ารอที่จะมอบสิ่งที่สำคัญที่สุดของเธอให้กับฉันเสมอมา
ตกลงมั้ย” เสียงเอื้อยดังมาเบาๆข้างๆใบหูฉัน เธอก้มหน้าเอาปากเข้ามากระซิบใบหูของฉันเบาๆ
อืม” ฉันพยักหน้าแล้วเงยหน้าขึ้นมาสบตาหวานๆอายๆของเอื้อยอีกครั้งนึง
เอื้อยยิ้มค้างนั่งตาหวานมองฉันอยู่นานจนเธอได้สติละสายตาออกจากฉันแล้วแก้เขินด้วยการมองมาที่แคตตาลอคเล่มที่อยู่ต่อหน้าฉัน
อ๊า เครื่องครัวนี่นา ขอดูหน่อยแล้วกันเผื่อมีอะไรน่าสนใจ” เอื้อยรีบเปลี่ยนเรื่องหยิบเอาแคตตาลอคเล่มนั้นจากฉันไปดูเหมือนๆฉันที่หยิบเอาเล่มที่เป็นชั้นในที่อยู่กับเอื้อยมาเปลี่ยนดู
เอื้อยพลิกซ้ายพลิกขวาด้วยท่าทีสนใจไปเรื่อยๆจนกระทั่งไปหยุดอยู่ที่หน้าเครื่องใช้ไฟฟ้า
เอ้ยย..เค้าอยากได้ไอ้นี่ล่ะ”เอื้อยพูดพลางจิ้มนิ้วจึกๆลงไปในแคตตาลอคหน้านั้น
ฉันหยุดกึกรีบหันไปมองสิ่งที่เอื้อยอยากได้ทันที แล้วก็ต้องอึ้งและคิ้วขมวดทันทีเมื่อพบว่าสิ่งที่เอื้อยอยากได้นั่นคือ
..เตาปิ้งย่างไฟฟ้า..

ห๊า..” ฉันร้องเสียงหลง หันไปมองหน้าเอื้อยอย่างงงๆ “จริงดิ นี่อยากได้เตาปิ้งย่างจริงๆดิ” ฉันถามย้ำคิ้วก็ยิ่งขมวดด้วยความงงและสงสัยต่อหญิงสาวสวยหวานต่อหน้าที่มองดูภาพสินค้าในหน้านั้นอย่างตื่นเต้น
ใช่ๆ รู้มั้ยว่าเค้าอยากได้มานานแล้ว ที่บ้านเค้าน่ะไม่มีเตาถ่านแล้วแม่ก็ไม่ซื้อเตาอย่างนี้มาด้วยนะ แม่ไม่ชอบให้เค้ากินพวกเนื้อย่างอะไรประมาณนี้อ่ะ ทั้งๆที่เค้าน่ะชอบกินมากๆเลย”
จริงสิ ทำไมอะ” ฉันละมือจากหนังสือแคตตาลอคเล่มนั้นแล้วหันมาสนใจในท่าทางของเอื้อยด้วยความตื่นเต้น
ก็แม่เค้าอ่ะ ควบคุมอาหารการกินของเค้ามาตั้งแต่เด็กๆแล้ว รู้มั้ยยิ่งโตแม่ก็ยิ่งห่วงแม่บอกว่าอยากให้เค้าดูแลรูปร่างตัวเองดีๆ เผื่อวันข้างหน้าอาจจะ..” เอื้อยหยุดตรงคำว่า อาจจะ นิดนึงเหมือนเธอกำลังนึกว่าจะพูดสิ่งที่เธอจะพูดดีมั้ย ก่อนจะพูดต่อไปว่า “...อาจจะอ้วนรูปร่างไม่ดีไม่สวยไม่เพอร์เฟรคแล้วจะไม่มีโอกาสได้ทำงานในที่ดีๆ”
หืม แม่เอื้อยนี่ก็ดูแลลูกดีจัง ทำยังกับว่าจะปั้นลูกสาวเป็นดารายังไงยังนั้น” ฉันพูดแล้วหันไปชำเรืองดูเอื้อยที่สะดุ้งที่ได้ยินฉันแกล้งแซวแม่เล่นๆ
ก็เปล่าหรอก แม่แค่อยากให้เค้าดูแลตัวเองให้ดีที่สุด เค้าก็ไม่ได้ว่าอยากจะเป็นอะไรมากมายแค่อยากจะทำตามใจแม่ให้แม่มีความสุขที่สุดเท่านั้น เรื่องการกินเค้าก็เลยได้กินแต่พวกอาหารคลีนๆที่แม่เลือกสรรมาแล้วอ่ะ ก็จะมีโอกาสได้กินอะไรที่อร่อยๆก็ตอนที่อยู่โรงเรียนหรือตอนที่อยู่กับเจ้ยเท่านั้นเองล่ะ”
ฉันยิ้มนึกถึงตอนที่เอื้อยสั่งอาหารมากิน จริงๆด้วยล่ะ..เอื้อยน่ะจะชอบสั่งพวกข้าวขาหมู ข้าวคะน้าหมูกรอบ กระเพราหมูกรอบ หรืออะไรก็ตามที่มันจะมันๆเลี่ยนๆเธอจะชอบเป็นพิเศษ
ซึ่งถึงแม้เธอจะโปรดปรานอาหารจำพวกนี้และมักจะสั่งมากินบ่อยๆแต่เธอก็ไม่มีทีท่าว่าจะอ้วนเลย กลายเป็นฉันเสียอีกที่อ้วนง่ายแค่เผลอกินไอติมหรืออะไรหวานๆนิดเดียวพุงจะออกมาตลอดทำให้ฉันต้องไดเอทด้วยการอดข้าวเย็นเป็นประจำ
เอื้อยบอกว่าเธอไม่เคยอดอาหารเย็นเลย แต่เธอเลือกที่จะกินอาหารในช่วงก่อนหกโมงเย็นและเน้นเป็นอาหารเบาๆพวกผักและผลไม้มากกว่า
ซึ่งดูมันก็ได้ผลดี เอื้อยนั้นรูปร่างดีและสมส่วนแถมยังเซ็กซี่มากๆอีกด้วย เวลาใส่ชุดนักเรียนคนอาจจะมองไม่ค่อยออกว่ารูปร่างของเอื้อยเป็นยังไง แต่สำหรับฉันคนที่เคยสัมผัสทุกสัดส่วนของเอื้อยมาแล้วย่อมรู้ดีว่ารูปร่างของเอื้อยไม่ธรรมดาเลยสำหรับเด็กสาววัย18 ปีอย่างนี้
รูปร่างโค้งเว้า สะโพกกลมกลึงของเอื้อยนั้นแค่ฉันได้มองจิตใจของฉันก็กระเจิดกระเจิงจนไม่อาจควบคุมความปรารถนาต่อร่างกายของเอื้อยได้ ยิ่งฉันมองทรวงอกของเอื้อยมันยิ่งทำให้ฉันแทบอยากจะกลืนกินเอื้อยไป ณ ตอนนั้นทันที แม้เวลาที่ใส่ชุดนักเรียนเธอจะดูเป็นเด็กสาวปกติแต่ถ้าหากปราศจากเสื้อผ้าอาภรณ์ตอนใด ไม่ใครต่อใครที่ได้เห็นเอื้อยในตอนนั้นคงจะคลุ้มคลั่งและหลงมนต์หญิงงามผู้มีรูปร่างสัดส่วนเกินวัยอย่างนี้ไปได้
สำหรับฉันแล้ว..ฉันชอบน่าอกของเอื้อยที่สุด ทุกๆครั้งที่ฉันได้มีโอกาสสัมผัสตัวเอื้อยหลังจากที่ฉันได้จูบหรือหอมไปทั่วใบหน้างามๆของเอื้อยแล้ว ยอดถันของเธอจะเป็นที่แรกๆที่ฉันจะหันลงมาหยอกเย้าและใช้เวลาอยู่กับปลายยอดดอกบัวงามทั้งสองข้างให้นานที่สุด ดอกบัวตูมดอกใหญ่ที่ชูชันปลายดอกเพื่อรอให้ผีเสื้อหรือเหล่าภมรต่างๆมาหยอกเย้าเคล้าคลุกกับปลายเกสรทั้งสองข้างอย่างไม่มีวันเบื่อ ยิ่งคิดจิตใจฉันก็ยิ่งกระเจิดกระเจิง จนแทบไม่อยากรอวันเวลาที่จะได้สัมผัสความเนียนนุ่มต่างๆที่ผุดขึ้นมาในภาพมโนอย่างนี้ได้เลย
เอื้อยคงเห็นว่าฉันนั่งอึ้งหลงอยู่ในภาพมโนนาน เธอเลยยื่นมือมาโบกขึ้นลงต่อหน้าฉันช้าๆ

เป็นอะไรอีกล่ะ เหม่ออีกล่ะ ยิ้มอยู่คนเดียวคิดอะไรอยู่” เสียงเอื้อยถามฉันอย่างขำๆตอนที่ฉันเริ่มได้สติหันมายิ้มหน้าแดงมองสายตาหวานบนใบหน้าสวยๆเนียนๆอย่างนี้
ก็เปล่า..แค่นั่งนึกว่าดีจังเลยเนอะเอื้อยกินยังไงก็ยังรูปร่างดี หุ่นดีอยู่เหมือนเดิม” ฉันยิ้มหวานส่งไปให้เอื้อย
น่าน..อย่าบอกนะว่าอ่านกินเค้า” เอื้อยทำท่ากอดอกตัวเองแล้วหันตัวหนี เหมือนเธอกลัวว่าจะโดนฉันแต๊ะอั๋ง พร้อมๆทำเสียงขำๆตลกๆ
โอ้ย..” ฉันร้องขึ้นพลางหัวเราะตามเอื้อยเพื่อกลบเกลื่อนเรื่องที่ว่า ฉันเผลออ่านกินเธอเหมือนอย่างที่เธอจับไต๋ได้จริงๆด้วย
อืม เอางี้มั้ยเดี๊ยวเค้าซื้อให้ เตาปิ้งย่างนี่น่ะ” ฉันทั้งยิ้มทั้งพูด
ห๊า จริงดิ แล้วถ้าซื้อให้แล้วของขวัญวันเลนไทน์เค้าจะอดมั้ยอะ ถ้าซื้อเป็นของขวัญวันวาเลนไทน์เค้าไม่เอานะ”
เอื้อยทำเสียงงอนๆค้อนๆ เธอทำหน้าตาเหมือนกลัวว่าสิ่งที่เธอคิดจะเป็นความจริง
ฉันหัวเราะขำท่าทางของเอื้อยทันที
ไม่หรอก อันนี้ก็ซื้อให้ต่างหาก ซื้อให้เพราะว่าอยากซื้อให้ ก็เพราะรู้ว่าแฟนตัวเองอยากได้ก็เลยซื้อให้ไง ถ้าซื้อให้แล้วก็เอาเก็บไว้กับเค้าก่อนก็ได้นะ แม่เอื้อยจะได้ไม่ว่าให้ไง ดีมั้ยคะคนสวย”ฉันยิ้มอธิบายสิ่งที่ฉันคิดให้เอื้อยฟัง
จริงเหรอ ใจดีจังเลยอะ..ป๋าเจ้ย” เอื้อยยิ้มทำเสียงหวาน โน้มตัวเข้ามากอดแขนฉันไว้สีหน้าท่าทางของเธอออดอ้อนยิ่งดูก็ยิ่งน่ารักจนฉันเผลอหันไปมองสบตากับเจ้าหล่อนด้วยสายตาที่แฝงไว้ด้วยความหวานซึ้งเข้าอย่างจัง
เอื้อยเอื้อมมือข้างที่ไม่ได้กอดแขนฉันขึ้นมาจับหยิกที่แก้มของฉันเบาๆ มืออีกข้างก็ยังกอดแขนฉันไว้แน่นอย่างนั้นเหมือนเดิม “ขอบคุณนะคะ..เจ้ยน่ะน่ารักที่สุดเลย เค้าเลือกคนไม่ผิดจริงๆด้วย” เอื้อยหันซ้ายหันขวามองดูรอบข้างของเธอแป๊บนึงก่อนจะโน้มหน้าเข้ามาหอมแก้มฉัน แล้วรีบเคลื่อนตัวออกไปนั่งยิ้มอายๆมองหน้าฉันที่ตอนนี้ตาโตและหน้าแดงขึ้นเป็นลูกตำลึงสุกทันทีที่โดนคนขี้โกงขโมยหอมแก้มฉันอย่างนี้ในโรงเรียนอีกแล้ว
ทำอย่างนี้อีกแล้ว คนขี้โกง” ฉันอายหน้าแดงจ้องหน้าเอื้อยพร้อมๆกับยื่นมือไปทำท่าตีมือเอื้อยด้วยความอาย พร้อมๆกับที่เอื้อยทำเป็นลุกขึ้นหัวเราะและวิ่งหนีฉันที่วิ่งไล่ตีหลังเอื้อยไปมาอย่างมีความสุข
เย็นวันนั้นตอนเลิกเรียนเอื้อยมีประชุมชุมนุมของเธอ เธอจึงขอให้ฉันไปรอเธอที่โรงจอดรถก่อน
ฉันเดินเอื่อยๆเฉื่อยๆด้วยความเหนื่อยจนมาถึงที่จอดรถของตัวเอง เมื่อวางกระเป๋าเก็บไว้ที่ตะแกงรถด้านหน้าและขยับตัวขึ้นไปนั่งบนเบาะหันหน้าออกไปทางด้านหน้าของโรงเรียน สายตาก็เหลือบไปเห็นเด็กผู้หญิงม.ปลายสองคนที่จอดรถอยู่ไม่ไกลจากกำแพงด้านหน้าโรงเรียนเข้า เค้าสองคนอยู่ไม่ไกลจากฉันเลย ห่างกันแค่ก้าวสองก้าวเท่านั้นเพียงแค่ว่าระหว่างเรานั้นมีรั้วเหล็กกั้นเอาไว้
ฉันมองเพ่งพินิจดูคนนึงเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆผอมบางรูปร่างดี ผมยาวๆที่มัดรวบตึงปล่อยให้หางม้าและปลายโบว์สีกลมท่ากวัดแกว่งไปตามจังหวะที่เธอหันไปทางนั้นทีทางโน้นทีตามท่าทางอากัปกริยาของเธอ
ส่วนผู้หญิงอีกคนนึงใส่ชุดพละผมสั้นตัดผมทรงผู้ชายรูปร่างสูงท่าทางทะมัดทะแม่ง สะพานเป้ไว้ด้านหลัง รูปร่างและท่าทางเหล่านั้นมันทำให้ฉันนึกถึงใครบางคนขึ้นมาได้ทันที
..ยัยอัน..
เป็นยัยอันจริงๆด้วยฉันจำทะเบียนมอเตอร์ไซค์ของหล่อนได้
ฉันนั่งเพ่งมองด้านหลังของเค้าสองคนอยู่นานจนเด็กผู้หญิงคนผมยาวหันหน้ามาทางฉัน เป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆผิวขาวหน้าตาสวยคมหวานๆไทยๆ ให้ความรู้สึกเหมือน..เอื้อย โอ้..ใช่นี่คงจะเป็นเด็กของยัยอันที่ได้ยินเอื้อยเล่าให้ฟังว่ามีน้องม.5ท่าทางสวยน่ารักคนนึงมาชอบอันเข้า น้องคนนั้นเป็นนางรำของโรงเรียนเราด้วย รู้สึกว่าจะชื่อนิวหรือนินิวอะไรประมาณนี้ ได้ข่าวว่าน้องเค้าชอบอันมาก และท่าท่างยัยอันคงจะชอบน้องเค้ามากเช่นเดียวกัน
ก็เล่นน่าตาสวยหวานสไตล์ไทยๆอย่างนี้ ดูก็รู้ว่ายัยอันคิดถึงเอื้อยขึ้นมาทันทีที่เห็นน้องเค้า แหม..มีคนสวยๆน่ารักมาชอบอย่างนี้ก็เลยลืมเอื้อยซะสนิทล่ะสินะ
ก็แพ้คนสวยเหมือนเดิมล่ะน้า ยัยอันจอมเก๊ก..