Lovely Mafia Girl
ลูกสาวเจ้าพ่อ ขอเป็นแฟนหนู
ตัวจริงของเธอ
...ฉันคิ้วขมวดรีบหันมาจ้องพี่เนยไม่วางตา
พี่เนยหันมายิ้มให้ฉันนิดนึงก่อนที่จะถอดแว่นตาออก..แล้วเปลี่ยนสีหน้าเป็นดุๆขรึมๆทันที
ตอนนี้ชายที่อยู่ในชุดซาฟารีสีดำสองคนเดินออกมาพร้อมๆกับที่ประตูเปิดค่อยๆเลื่อนออก
พี่เนยเลื่อนกระจกรถลงให้ชายสองคนเห็นหน้า
ชายคนนั้นจ้องเข้ามาในรถ
เค้าจ้องหน้าฉันอยู่นานก่อนจะหันมาโบกรถให้เข้า
“สวัสดีครับคุณหนูเนย..”
เสียงชายคนนั้นทักทายพร้อมๆกับก้มตัวลงเหมือนทำความเคารพพี่เนย
พี่เนยทำเป็นเชิดไม่พูดอะไรตอบ
เธอเคลื่อนรถทันทีที่ประตูเปิดออก
..คุณหนูเนย...
ผู้ชายพวกนั้นเรียกพี่เนยว่าคุณหนูด้วย
นี่มันอะไรกัน
ไหนบอกว่าบ้านอยู่ต่างอำเภอ
อยู่กับพ่อสองคน
ชีวิตค่อนข้างลำบาก..อย่าบอกนะว่า
..เธอเป็นเด็กเสี่ยเจ้าของบ้านหลังนี้น่ะ..
..โอ้ย
มิน่าล่ะ ของแพงๆที่ฉันเห็นนั่นคงเป็นของแท้หมดเลยสินะ
นี่เค้าคงจะส่งเสียเลี้ยงดูมาตลอดน่ะสิ
แล้วพาฉันมาที่นี่ทำไมนี่
อย่าบอกนะว่าเป็นนกต่อ
นี่คิดจะเอาฉันมาให้เสี่ยอีกคนเหรอ
ไหน..เธอทำตัวเหมือนกับว่าชอบผู้หญิงด้วยกันแล้วแท้ๆ
อิพี่เนยนี่...แย่จริงๆเลย
“พี่เนย
พากี้มาทำอะไรที่นี่นี้
ไหนว่าบ้านพี่เนยอยู่อีกอำเภอ
พากี้มาทำไม
จะเอากี้มาขายใช่มั้ยอุตสาห์ไว้ใจปล่อยกี้ลงเลยนะ”
ฉันทั้งพูดทั้งตีทีแขนพี่เนย
เมื่อพี่เนยโดนตีหนักๆเข้าบังคับรถไม่ได้เธอจึงจอดรถอยู่แถวๆถนนที่อยู่ภายในบริเวณบ้านแล้วหันมาจับแขนฉันไว้ไม่ให้ตีเธอได้
“ใครจะเอากี้มาขายเล่า..”
“ก็พี่เนยไง
พี่เนยเป็นนกต่อใช่มั้ย
เป็นเด็กเสี่ยบ้านนี้ใช่มั้ย
จะเอากี้มาขายให้เค้าใช่มั้ย
ที่พูดมาที่มาทำอย่างนั้นกับกี้น่ะหลอกกี้ใช่มั้ย
บ้าที่สุดเลย” ฉันทั้งพูดทั้งตีพี่เนยต่อ
พี่เนยก็เอาแต่ปัดป้องโดยที่ไม่ได้ตอบโต้
“นี่กี้ฟังพี่ก่อน
กี้เข้าใจพี่ผิดนะพี่ไม่ได้เป็นเด็กเสี่ย
พี่ไม่ได้เป็นเมียน้อยเค้า
หน้าพี่มันเหมือนเมียน้อยคนนักหรือไงนี่”
พี่เนยเริ่มขึ้นเสียงใส่ฉันเพราะเห็นว่าฉันไม่ฟังเธอเลย
“แล้วเป็นอะไรถ้าอย่างนั้น”ฉันตะคอกถามคืน
พี่เนยมองหน้าฉันอย่างไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี
เธอได้แต่ส่ายหน้า
“มากับพี่ก่อนแล้วกัน
เดี๋ยวก็รู้เอง”
พูดเสร็จเธอก็รีบออกรถเดินทางเข้าไปในบ้านหลังนั้นอีก
อาณาเขตบริเวณของบ้านหลังนั้นกว้างกว่าที่ฉันคิดไว้นัก
ตลอดทางที่พี่เนยพาฉันขับรถเข้าไป
มันปกคลุมไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์
บริเวณภายในบ้านถูกจัดและตกแต่งไว้อย่างร่มรื่น
มีบ้านเรือนหลังเล็กๆกระจายขึ้นตามทางที่เราขับกันเข้าไป
ดูไปดูมาแล้วมันเหมือนรีสอร์ทมากกว่าบ้านอีกนะนี่
แล้วรถก็มาหยุดลงที่หน้าบ้าน
จริงๆแล้วไม่น่าจะใช้คำว่าบ้านได้
มันน่าจะเรียกว่า คฤหาสถ์
มากกว่า เพราะมันใหญ่โตอลังการมาก
ฉันเคยเห็นบ้านที่อยู่ในหนังที่เค้าถ่ายฉากบ้านของคุณชายคุณหญิงหรือบ้านของคนไฮโซ
เห็นว่าอย่างนั้นก็อลังการงานสร้างอยู่แล้ว
แต่ภาพที่ฉันเห็นอยู่เบื้องหน้าตอนนี้มันเล่นเอาภาพที่อยู่ในทีวีนั้นมาเทียบไม่ได้เลย
ฉันก้าวลงมาจากรถพร้อมพี่เนยๆ
ขนฉันลุกทันทีที่เห็นความใหญ่โตของคฤหาสถ์นี้อยู่เบื้องหน้า
รอบๆบริเวณนั้นมีผู้ชายใส่ชุดซาฟารีสีดำกระจายตัวกันอยู่
พวกเค้าพากันวอหากันรายงานถึงสถานการณ์ในบ้านตอนนี้
พี่เนยหันมายิ้มให้ฉันก่อนที่จะหันไปมองผู้ชายใส่เสื้อเสื้อซาฟารีสีน้ำเงินอีกคนนึงที่กำลังวิ่งเข้ามาหาพี่เนย
ใบหน้าพี่เนยตอนนี้ไม่ได้ขรึมเท่าตอนแรกที่เห็นพวกผู้ชายที่ยืนอยู่หน้าบ้านพวกนั้น
“คุณหนูเนยกลับมาแล้วเหรอครับ”
“จ๊ะ
น้าชัย พ่อกลับมาหรือยัง”
ฉันคิ้วขมวดทันทีที่ได้ยินคำว่า
“พ่อ” ที่พี่เนยพูดขึ้น
“ยังเลยครับท่านโทรมาบอกว่าท่านติดธุระจะขอเลื่อนไฟรท์มาอีกวันน่ะครับ”
“ธุระเหรอ
หึ..ธุระเรื่องอย่างว่าอีกล่ะสิ”
เสียงพี่เนยบ่นมุบมิบๆก่อนที่จะยื่นกุญแจรถให้น้าผู้ชายคนนั้น
“เนยฝากน้าชัยเก็บรถให้ด้วยนะ
อ้อลืมแนะนำ..”
พี่เนยหันมาดึงฉันเข้ามายืนใกล้ๆตัว
“นี่กี้..เป็น..เพื่อนเนยเอง
ต่อไปเค้าอาจจะมาบ้านเราบ่อยขึ้นนะ
ฝากน้าชัยช่วยดูแลเพื่อนเนยคนนี้เป็นพิเศษด้วยนะ”
เสียงพี่เนยแนะนำฉันด้วยน้ำเสียงแบบอายๆตอนที่เธอบอกว่าฉันเป็น
“เพื่อนเธอ”
ฉันรีบยกมือไหว้น้าคนนั้นทันที
น้าคนนั้นก็รับไหว้และยิ้มตอบรับ
...ตอนนี้ฉันกำลังเรียบเรียงเรื่องราวในสิ่งที่ฉันได้เจอในตอนนี้อยู่
ไอ้อาการที่ทุกคนพินอบพิเทาพี่เนย
แถมพี่เนยเรียกคนที่ผู้ชายคนเมื่อกี้เรียกว่า
“ท่าน” ว่า “พ่อ” อีก
อย่าบอกนะว่า....เธอเป็นลูกสาวของคนร้ายกาจคนนั้น....
ฉันคิ้วขมวดยืนจ้องหน้าพี่เนยด้วยความสงสัยในคำตอบของตัวเอง
พี่เนยยิ้มนิดนึงก่อนจะดึงแขนฉันเข้าไปในคฤหาสถ์หลังนั้น
“เข้าไปในบ้านกันก่อนเถอะ
พี่มีเรื่องอะไรจะบอก”
“ไม่..กี้ไม่ไปด้วยหรอก..บอกตรงนี้เลยถ้าจะบอกเรื่องอะไร”
ฉันโวยวายรั้งตัวเองไว้ไม่ยอมเดินตามพี่เนยเข้าไปง่ายๆ
นี่เค้าคงจะพยายามหลอกล่อเราให้เข้าไปติดกับอะไรข้างในอีกน่ะสินะ
“โวยวายทำไมอะคนอยู่ตั้งเยอะแยะ
กี้ไม่อายเหรอ
พี่น่ะไม่อายหรอกน่ะเพราะยังไงมันก็บ้านพี่
คนพวกนี้ก็ลูกน้องพ่อพี่
ถ้ากี้จะมาโวยวายตอนนี้ก็มีแต่กี้คนเดียวเท่านั้นล่ะ
ที่จะอายอ่ะ”
พีเนยทั้งพูดทั้งยิ้มแล้วพยายามดึงแขนฉันเข้าไปข้างในต่อ
...อ๋อนี้จากที่แกล้งทำตัวน่าสงสาร
กลายเป็นมาขู่ฉันให้กลัวลูกน้องของพ่อเธอแทนแล้วเหรอ..
ใช่ซิ...
เธอมันลูกของคนที่มีเงินและมีอำนาจที่สุดของจังหวัดนี้นี่นา
บ้าเอ้ย..แล้วฉันก็พึ่งจะมารู้ตอนที่ฉันอยู่ในดงโจรอย่างนี้นี่นะ
ฉันเสียรู้ในยัยคนนี้เสียแล้ว
โอ้ยยิ่งคิดยิ่งเจ็บใจ
กลายเป็นว่าฉันเผลอมีอะไรกับคนที่เป็นลูกของคนที่น่ากลัวที่สุด
แถมเธอคนนี้ยังทำตัวกะล่อนโกหกฉันเพื่อหลอกให้ฉันสงสารจนกระทั่งเต็มใจยอมมีอะไรด้วยอีก...บ้าชะมัดเลย...
ฉันสะบัดแขนออกจากมือพี่เนย
แล้วเดินเข้าไปผลักพี่เนยจนเซล้มด้วยความเจ็บใจ
“พี่เนยบ้า..นี่กล้าโกหกกี้ขนาดนี้เลยเหรอ
ไม่ต้องมาเจอกันเลยนะต่อไปนี้”
ฉันทั้งร้องทั้งชี้หน้า
ในใจตอนนี้อยากจะวิ่งหนีออกจากที่นี้ให้เร็วที่สุด
แต่เพียงแค่ฉันหันหน้าออกไปหน้าบ้านเพื่อจะวิ่งหนีพี่เนยที่ล้มลงนั่งกองอยู่กับพื้น
ชายฉกรรจ์ในชุดซาฟารี3-4คนก็รีบวิ่งกรูกันเข้ามาหาฉัน
ชายคนแรกจับตัวฉันไว้ได้..
“อะไร
เธอทำอะไรคุณหนู”
ฉันอึ้งอ้าปากค้างทั้งกลัวและตกใจพยายามหันหน้าหนีแต่ก็ไปเจอผู้ชายอีกคนชักปืนขึ้นมาจ่อที่หน้าฉัน
~~~~
เหวออออออ....
~~~~~
เมื่อเห็นปืน
หน้าฉันถอดสีทันที
ตอนนี้กลายเป็นฉันทั้งอึ้งและตกใจจนแทบชอคหมดสติกับภาพที่เจอต่อหน้าเสียแล้ว
ด้วยความกลัวและลนลานไม่รู้จะทำอย่างไร
ฉันได้แต่ร้องไห้โฮออกมา
ผู้ชาย3-4คนนั้นยังทำท่าเหมือนจะลากฉันไปไหนอีก
ถ้าไม่ได้ยินเสียงพี่เนยห้ามไว้
“หยุดนะ
ห้ามทำอะไรเพื่อนเนยนะ
เราแค่หยอกกันเฉยๆ”
พี่เนยพยายามประครองตัวเองลุกขึ้นเดินมาดึงฉันออกไปจากกลุ่มชายเหล่านั้น
“ไปได้แล้ว..ไม่มีอะไร”
พี่เนยทำหน้าดุหันมาสั่งผู้ชายพวกนั้น
แล้วค่อยๆมาพยุงฉันที่ยังร้องไห้ด้วยความกลัวไม่หยุด
“เข้าไปข้างในกับพี่ก่อนนะ
พี่มีอะไรจะบอกกี้”
ฉันหันมามองพี่เนยอย่างตาขวางๆ
ทั้งรู้สึกกลัวและรู้สึกโกรธปนกัน
ดวงตาก็ยังเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาอยู่
“นี่พี่เนยจะลักพาตัวกี้มาขังไว้ใช่มั้ย
ถ้ากี้ไม่ยอมทำตามที่พี่เนยต้องการแล้วพี่เนยก็จะฆ่ากี้ใช่มั้ย
ทำไมพี่เนยใจร้ายกับกี้อย่างนี้”
ฉันทั้งพูดทั้งร้องไห้
ตอนนี้ฉันคิดถึงหน้าพ่อกับแม่ที่สุดเลย
ฉันไม่น่าไว้ใจผู้หญิงที่พึ่งเจอกันได้แค่วันสองวันเองเลย
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะกี้
ไปกันใหญ่แล้ว
พี่สัญญาว่าพี่จะไม่ทำอะไรกี้และก็จะไม่ยอมให้ใครทำอะไรกี้เลย
พี่พากี้มาที่นี่เพราะว่าพี่แค่อยากให้กี้ได้รู้ได้เห็นในสิ่งที่พี่เป็น”
“ไม่ต้องมาโกหกกี้เลย
แค่นี้ก็รู้แล้ว..ว่ากี้จะไม่ได้กลับไปเจอหน้าพ่อแม่อีกแล้ว”
พูดเสร็จฉันก็ปล่อยโฮเสียงดัง
จนผู้ชายพวกนั้นพากันหันมามองที่ฉันร้องไห้กันยกใหญ่
“เฮ้ย
มานี่เลยยิ่งพูดยิ่งไปกันใหญ่”
พี่เนยเห็นท่าไม่ค่อยดี
เธอคงเริ่มรู้ตัวว่าฉันจะงี่เง่าคิดว่าเธอจะทำเรื่องไม่ดีกับฉัน
จึงรีบลากฉันเข้าไปในบ้านของเธออย่างเร็ว
ฉันร้องห่มร้องไห้เดินเข้าไปในบ้านของพี่เนย
จนไม่ทันสังเกตสิ่งที่อยู่รอบๆตัวในบ้านตอนนี้
ภายในบ้านนั้น
โอ่โถงและอลังการมาก
แว็บแรกที่ฉันชำเรืองไปเห็นโถงบันไดตรงใจกลางบ้าน
ฉันยังตะลึงจนต้องหยุดร้องไห้เลย
เหมือนในหนังเลย..มันเป็นขั้นบรรไดโค้งจากฝั่งทางขวาและทางซ้ายเวียนมาบรรจบกันที่พื้นชั้นที่หนึ่งของบ้าน
ดูระดับฝ้าเพดานของชั้นที่1แล้วน่าจะประมาณตึกสองชั้นได้
โคมไฟระย้าถูกประดับตกแต่งที่ห้องโถงต้อนรับ
ตรงนั้นมีชุดรับแขกหลุยส์ชุดสีขาวอยู่กลางห้อง
มองไปที่บันไดตรงชั้นพักที่บันไดสองฝั่งเวียนมาเจอกันก็เป็นรูปของเจ้าของบ้านหลังนี้ซึ่งก็คงจะเป็นพ่อพี่เนยและพี่เนยถ่ายคู่กันรูปใหญ่ๆ
ฉันอ้าปากค้าง
น้ำตาหายเข้าไปในเบ้าตาทันทีที่เห็น
นี่พระเจ้ากำลังเล่นตลกอะไรกับฉันอยู่ใช่มั้ยนี่
พี่เนยเห็นฉันยืนอึ้งอยู่นานเธอจึงรีบจูงมือฉันไปที่ลิฟท์..
โอ...ใช่..
บ้านพี่เนยต้องใช้ลิฟท์
นี่ก็สร้างความตะลึงให้กับฉันอยู่เรื่อยๆ
ฉันเดินตาค้างค่อยๆเข้าลิฟท์ไปกับพี่เนย
มองไปที่มือหล่อนหล่อนกดไปที่ชั้น
4
พี่เนยหันมามองฉันแล้วยิ้ม
“ห้องนอนพี่อยู่ชั้น4น่ะ”
ได้ยินเสียงพี่เนยพูดแล้วสติของฉันก็ค่อยกลับมา
ตอนนี้ฉันพยายามสงบสติอารมณ์ตัวเองไว้ให้ได้มากที่สุด
ไม่อยากให้คนตรงหน้ารู้ว่าฉันตกตะลึงในความอลังการของเจ้าหล่อนขนาดไหน
ลิฟท์มาจอดอยู่ที่ชั้น
4
พี่เนยจูงมือฉันก้าวออกมาจากในลิฟท์
นอกลิฟท์นั้นเป็นระเบียงที่ถูกตกแต่งด้วยรูปถ่ายเรียงรายตามทางเดิน
ฉันเห็นรูปผู้หญิงคนนึงดูคล้ายๆฝรั่งแต่ดูจริงๆแล้วอาจจะเป็นลูกครึ่งมากกว่าเธอสวยและดูสง่ามากจนฉันต้องหยุดกึ๊กมองดูรูปนี้ทันทีที่เดินผ่าน
“รูปแม่พี่เองล่ะ
สวยมั้ย” ฉันหันมามองหน้าพี่เนยทันทีที่พี่เนยบอก
..อ้อ..นี่เธอสวยได้คุณแม่ของเธอนี่เอง
ว่าแต่ทำไมข้างล่างฉันไม่เห็นรูปของคุณแม่เธอเลยล่ะ..
นั่นเป็นสิ่งที่ฉันสงสัยอยู่ในใจแต่ไม่ได้ถามไป
ได้แต่เก็บอาการไว้แล้วเดินตามพี่เนยไปตามทางเดินที่ระเบียงจนไปสุดอยู่ที่ห้องมุมริมสุดทางปีกขวาของบ้าน
พี่เนยเปิดประตูห้องก่อนจะจูงมือฉันที่ยืนเก้ๆกังๆไม่กล้าเข้าไป
ทันทีที่ฉันเข้าไปอยู่ในห้องเธอ
พี่เนยก็รีบโผเข้ามากอดฉันไว้ทันที
“กี้
พี่ขอโทษนะ” พี่เนยพูดพลางก้มลงซบที่หัวไหล่ฉัน
แต่ฉันยังมีอารมณ์โกรธเคืองอยู่
และยังรับไม่ได้ที่ตัวเองโดนหลอกซะเละเทะขนาดนั้น
“ไม่ต้องมาพูดดีเลย
นี่เหรอความรักของพี่เนย
แค่ความจริงใจที่จะมีให้กันในตอนรู้จักกันตอนแรกยังไม่มีเลย
หลอกกี้ซะเหมือนวัวเหมือนควายตัวหนึ่งเลย
ตลกมากเลยใช่มั้ยที่เห็นกี้เชื่อเป็นจริงเป็นจังอย่างนั้น
นี่เหรอชีวิตที่แสนจะลำบากของพี่
อยู่กับพ่อสองคนอย่างนั้นเหรอ..แล้วไหนจะเรื่องบ้านที่อยู่ต่างอำเภออีก
มีความสุขมากใช่มั้ยหลอกเด็กโง่ๆคนนึงได้นี่”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะกี้
พี่ก็พูดความจริงนะ
ครอบครัวพี่ที่เหลืออยู่ก็มีแค่พ่อ
คนอื่นๆที่อยู่ในนี้ก็ใครก็ไม่รู้
เค้าไม่ได้มีให้ความรู้สึกผูกพันธ์แบบครอบครัวกับพี่เลย
แล้วชีวิตพี่ก็ลำบากจริงๆ
พ่อก็ทิ้งพี่ไว้ปล่อยพี่เอาไว้กับคนพวกนี้วันๆเอาแต่ทำงานบ้อบออะไรก็ไม่รู้
ให้พี่อยู่กับคนที่พี่ไม่รู้ว่าพวกเค้าคือใครบ้าง
พี่ต้องตัดสินใจทำนั่นทำนี้เองทั้งๆที่คนที่เป็นพ่อแม่ควรจะทำให้
ไม่ใช่อย่างนี้
ชีวิตอย่างนี้มันก็คือความลำบากใจของพี่นะกี้”
“หยุดเลยไม่ต้องพูดแล้ว
นี่ถ้ากี้รู้ว่าพี่เนยเป็นใคร
แล้วนิสัยไม่ดีอย่างนี้นะ
กี้จะไม่เข้าไปใกล้ตั้งแต่แรกเลย
กี้จะไม่ยอมเข้าใกล้พี่เนยเลย”
“นั่นไง..ก็เพราะอย่างนี้พี่ถึงต้องโกหกกี้ไง
เพราะพี่คิดมาเสมอว่าคนที่พี่แอบรักเค้าคงจะเกลียดจะกลัวพี่
เมื่อรู้ว่าพี่เป็นใครหรือลูกใคร
เหมือนคนอื่นๆในโรงเรียนที่เป็นกัน”
พี่เนยทำเสียงเหมือนจะร้องไห้ตอนที่กำลังพูด
“พอวันนึง
วันที่ได้คุยกับกี้แล้วพี่ได้รู้ว่ากี้ไม่รู้ว่าพี่เป็นใครพี่ถึงรู้ว่าพระเจ้าเข้าข้างพี่แล้ว
ในที่สุดพระเจ้าก็ยอมรับคำขอร้องของพี่ที่พี่เฝ้าขอให้ได้คบกับกี้
ขอให้กี้ไม่เกลียดพี่
พี่ถึงได้ทำอะไรโง่ๆกับกี้อย่างนั้น
พี่พูดความจริงนะพี่คิดไม่ออกจริงๆว่าพี่จะจีบกี้ยังไงโดยที่ไม่ให้กี้รู้ตัวก่อนว่าพี่เป็นใคร
พี่ขอโทษนะพี่รู้ว่ามันอาจจะเป็นเรื่องที่ให้อภัยกันไม่ได้ง่ายๆแต่พี่คิดเพียงแค่ว่าถ้าเรามีอะไรกันแล้วเด๋วกี้ก็รักพี่เองอ่ะ
พี่คิดอย่างนั้นจริงๆ
แล้วพี่ไม่ได้อยากโกหกกี้ตลอดเวลานะ
แต่พี่ขอแค่เวลาที่ให้กี้ได้เริ่มรู้สึกชอบพี่มาบ้างสักนิดนึงก็ยังดี
อย่างน้อยๆก็ยังพอมีโอกาสให้กี้ได้มองพี่บ้าง”
ฉันอึ้งยืนฟังที่พี่เนยสาธยายมา
นี่เธอกำลังทำตัวน่าสงสารอีกใช่มั้ย
“กี้รู้มั้ยว่าพี่แอบชอบกี้มาตั้งแต่ที่กี้อยู่ม.3แล้วนะ
ตอนนั้นกี้ยังไม่สวยและยังไม่ดังขนาดนี้เลย
แต่พี่ก็ไม่กล้าแม้แต่จะเข้าใกล้กี้
ทั้งพี่กลัวว่ากี้จะกลัวพี่
และรับไม่ได้ที่ผู้หญิงด้วยกันอย่างพี่จะมาชอบ
พี่ได้แต่ทำใจ
แต่ยิ่งนานไปความชอบกี้ก็กลายเป็นความรัก
มันมากขึ้นเรื่อยๆจนพี่ไม่สามารถจัดการกับความรู้สึกตัวเองได้
ยิ่งตอนที่กี้ขึ้น
ม.4แล้วมีคนมาชอบกี้เยอะขึ้น
กี้ป๊อบขึ้น พี่ก็ยิ่งทำใจไม่ได้
พี่อยากคบกับกี้
อยากอยู่ใกล้ๆกี้ตลอดเวลา
จนกระทั่งวันที่กี้โดนคัดเลือกตัวออกไปถือป้าย
พี่ถึงยอมสมัครเข้าไปถือป้ายด้วยทั้งๆที่ไม่เคยยอมร่วมกิจกรรมกับโรงเรียนสักที
ก็เพื่อจะได้อยู่ใกล้ๆกี้ไง
กี้รู้มั้ย”
“อ๋อ..นี่วางแผนมาแต่แรกแล้วเหรอ”
ฉันอึ้งเมื่อได้ฟังที่พี่เนยเล่ามา
“นี่คิดจะทำอะไรมิดีมิร้ายกับกี้มาตั้งแต่แรกแล้วใช่มั้ย
พี่เนยนี้ร้ายเหมือนที่กี้คิดไว้เลย
สมแล้วที่เป็นลูกบ้านนี้”
ยิ่งฟังฉันยิ่งเจ็บใจคิดอะไรไม่ออกอยากตบคนตรงหน้าขึ้นมาทันที
แต่แค่ฉันยกมือขึ้นพี่เนยก็จับมือฉันไว้แล้วดึงแขนฉันจนฉันเซเข้าไปในอ้อมกอดเธอ
พี่เนยล็อคตัวฉันไว้แน่น
ไม่ว่าฉันจะดิ้นยังไงก็ไม่หลุดออกจากสองแขนเธอง่ายๆ
“ปล่อยกี้นะ
คนโกหก กี้เกลียดที่สุดเลย”
ฉันทั้งพูดทั้งพยายามดิ้นออกแต่พี่เนยกับยิ่งออกแรงกอดฉัน
ซ้ำยังลากฉันเข้าไปที่เตียงของเธออีก
“โอ้ย...
จะทำอะไรนี่”
ฉันร้องขึ้นทันทีที่พี่เนยโยนตัวฉันลงไปที่เตียง
แล้วรีบนั่งค่อมฉันไว้
สองแขนของเธอยังตามมาจับแขนของฉันตรึงไว้กับเตียงอีก
“ก็จะคุยกับกี้ไง”
พูดเสร็จพี่เนยก็ก้มลงจูบพรมฉันไปทั่วใบหน้า
“คุยบ้าอะไรอย่างนี้
ปล๊อย..”
ฉันร้องเสียงหลงไปตามแรงที่พี่เนยก้มลงหอมฉันตรงนั้นทีตรงนี้ที
“กี้น่ะ
พูดดีๆไม่รู้เรื่อง
ต้องให้มีตัวช่วยถึงจะรู้ว่าอะไรคือความจริงอะไรคือสิ่งที่พี่พยายามทำให้รู้ว่าพี่ไม่ได้โกหก”
“บ้าแล้ว..ไม่ต้องมาทำอย่างนี้เลย
ไม่มีอารมณ์ด้วยหรอก ช่วยด้วย”
ฉันร้องโวยวายหวังว่าจะมีใครสักคนได้ยินฉันแล้วจะมาช่วย
“ร้องให้ใครช่วย
ไม่มีใครเค้ามาช่วยกี้หรอก
บ้านก็บ้านพี่
นี่ถ้าไม่อายว่าโดนพี่ปล้ำก็ร้องดังๆไปเลยนะ
เค้าจะได้รู้กันทั้งบ้านเลยไงว่ากี้กับพี่เป็นอะไรกัน”
“อี๊...อีพี่เนยบ้า
โอ้ย หยุดเดี๋ยวนี้..”
สิ้นเสียงฉันร้อง
พี่เนยก็ก้มลงจูบพรมไปทั่วร่างกายของฉัน
ฉันทั้งโกรธทั้งโมโห
ในใจก็นึกคำสบถด่าพี่เนยออกมาเรื่อยๆ
คนบ้าอะไรนี่
เอะอะก็จะปล้ำ เอะอะก็จะปล้ำ
สมองคิดเรื่องอื่นไม่ออกแล้วหรือไง
ปัดโธ่เว้ย..ฉันชักจะโมโหแล้วนะ
ฉันพยายามออกแรงผลักพี่เนยออกจากตัวจนพี่เนยเสียหลัก
ล้มหงายหลังไปที่พื้นเตียง
เมื่อได้จังหวะตอนนี้ฉันก็รีบลุกขึ้นนั่งคร่อมร่างพี่เนยไว้มือก็รีบตรึงแขนทั้งสองข้างของหล่อนไว้ทันที
“นี่!!
ทำอย่างนี้กับกี้อีก
ยังไม่เข็ดใช่มั้ย
อย่างนี้ต้องโดนเอาคืนเหมือนเมื่อเช้าอีก..จะได้รู้ซะบ้างว่าไม่ควรใช้วิธีนี้กับกี้บ่อยๆ”
พูดเสร็จฉันก็โน้มร่างลงไปกอดรัดกับหญิงสาวที่อยู่เบื้องล่าง
มือทั้งสองข้างก็ดึงรั้งเสื้อผ้าที่อยู่บนร่างกายของหล่อนออกทีละชิ้นสองชิ้นจนไม่เหลือติดตัวเจ้าหล่อน
ใบหน้าของฉันนั้นเคลื่อนย้ายไปมาตามเรือนร่างของเธอทั้งหอมทั้งจูบตามเนื้อตามตัวของหล่อน
ประหนึ่งว่าตอนนี้ฉันต้องการจะดูดกลืนทุกสิ่งทุกอย่าง
ซึ่งฉันคงรู้สึกอยากดูดกลืนทุกอย่างในตัวของหล่อนจริงๆ
เพราะตอนนี้ฉันกลายเป็นควบคุมสติอารมณ์ตัวเองไม่ได้เลย
ซึ่งไม่รู้ว่าจะเป็นเพราะฉันโกรธให้พี่เนยด้วยหรือเพราะฉันหมั่นไส้ในวิธีการแก้ปัญหาของหล่อน
ตอนนี้กลายเป็นว่าจะทั้งออกแรงดูด
ออกแรงกัดทังบีบทั้งคั้นตามเนื้อตัวพี่เนยไปทุกส่วนสัด
พี่เนยคงเจ็บเพราะฉันได้ยินเสียงร้องครางของหล่อนออกมาทุกๆครั้งที่โดนฉันทำอย่างนั้นกับเธอแรงๆ
แต่เธอก็ไม่ว่าอะไร
เธอก็ยังปล่อยให้ฉันทำอย่างนั้นกับเธอไปเรื่อยๆ
จนกระทั่งสิ้นสุดเกมส์รักของฉันกับพี่เนยที่สลับกันรุกสลับกันรับอยู่อย่างนั้นตลอดทั้งเช้า
...กลายเป็นว่าวันนี้เกือบทั้งวันฉันใช้เวลา
“คุย” กันกับพี่เนยสองคนจนแทบไม่เป็นอันทำอะไรเลย
แม้กระทั่งกินข้าวเช้าหรือข้าวเที่ยงด้วยกัน...
***************************************************
เสียงเอี๊ยดอ๊าดของเตียงดังขึ้นพร้อมๆกับการยุบตัวของที่นอนที่เป็นไปตามแรงขยับตัวของหญิงสาวร่างบางสะโอดสะองที่กำลังลุกขึ้นก้มลงสำรวจร่างกายของตัวเธอเองก่อนจะหยิบเอาเสื้อคลุมสีมันเงาที่โดนฉันถอดทิ้งลงด้านล่างของพื้นขึ้นมาคลุมร่างกายเปลือยเปล่าของตัวเองอย่างลวกๆแล้วค่อยๆเก็บเอาเสื้อผ้าหล่อนลุกขึ้นเดินหายเข้าไปในฉากห้องที่เป็นกระจกกัดเซาะลวดลายโมเดิร์นที่ถูกออกแบบตกแต่งให้เข้ากับชุดเฟอร์นิเจอร์ในห้องไม่ว่าจะเป็นเตียงนอน
โซฟา ชั้นวางของ ตู้เตียง
เมื่อพี่เนยเดินหายเข้าไปในฉากกระจกกั้นนั้น
ฉันก็รีบยกตัวขึ้นมาจากที่นอนพร้อมๆกับผ้าห่มที่คลุมร่างกายเปลือยเปล่าตั้งแต่ช่วงบนของฉันเอาไว้ให้ลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
จะด้วยทั้งความอายก็ดีหรือเพราะกลัวว่าคนที่หายเข้าไปจะกลับออกมาเห็นฉันในสภาพที่ยังนอนอยู่บนเตียงโดยที่ยังแต่งตัวไม่เรียบร้อยแล้วจะกลายเป็นเรื่องราวทำให้ฉันต้องเข้าไปสู่เกมส์รักของพี่เนยจนฉันไม่สามารถไปไหนมาไหนได้ต่อแล้วก็ดี
ฉันจึงคิดว่าในโอกาสตอนที่เธอไม่ได้อยู่ใกล้ๆฉันตอนนี้
น่าจะรีบๆแต่งตัวให้เรียบร้อยจะดีกว่า
เสื้อผ้าต่างๆถูกฉันหยิบจับขึ้นมาแต่งด้วยเวลาไม่ถึงนาที
ฉันหันไปยืนส่องตรงเงาของกระจกในประตูบานเลื่อนบานกระจกที่สะท้อนเป็นเงาลางๆของฉันเพื่อสำรวจความเรียบร้อยของร่างกายอย่างลวกๆก่อนจะใช้มือค่อยๆรวบปลายผมที่รุ่ยร่ายของตัวเองไปในทิศทางเดียวกัน
เสียงก๊อกๆแก๊กๆดังออกมาจากอีกฝากหนึ่งของฉากกระจก
ฉันรีบจัดแต่งเสื้อผ้าและทรงผมให้เข้าที่แล้วแสร้งทำเป็นนั่งลงนิ่งๆไม่ขยับเขยื้อนไปไหนจากปลายเตียง
ทำหน้าเฉยชาไม่สนใจสิ่งที่อยู่รอบๆตัวตอนนี้
ทั้งๆที่จริงก่อนหน้านี้ตาของฉันนั้นแอบสอดส่องไปมาในพื้นที่ห้องของพี่เนยเกือบๆทั้งห้องแล้ว
ตอนนี้เมื่อฉันนั่งลงนิ่งๆตรงขอบเตียงทางด้านมุมโต๊ะวางของที่อยู่ใกล้ๆกับประตูทางเข้าแล้วสายตาของฉันก็ไปหยุดอยู่ที่รูปถ่ายขนาดใหญ่รูปหนึ่งมันเป็นรูปอัดขยายใหญ่ใส่กรอบไม้น่าจะสูงประมาณเมตรกว่าๆได้
เป็นรูปของเด็กหญิงตัวน้อยๆคนหนึ่งใส่ชุดบัลเล่ห์สีขาวในมือถือไม้คฑานางฟ้าสีขาวใสที่โดนแสงแดดกระทบเป็นรัศมีแวววาว
ใบหน้าเด็กคนนี้ไม่บอกก็รู้ว่านั่นคือพี่เนยในวัยเด็กนั่นเอง
..น่าชังเชียว..
เป็นความคิดในแว็บแรกที่ฉันเหลือบไปเห็นรอยยิ้มของเด็กน้อยที่โชว์ให้เห็นฟันขาวและเนื้อแก้มที่โย้ขึ้นบังดวงตาสีน้ำตาลที่หรี่ลงตามรอยยิ้มแห่งความสุขที่เจ้าของภาพกำลังแสดงออกมา
ณ เวลานั้น
นี่ถ้าตอนนี้ฉันเห็นเด็กคนนี้ฉันคงรีบตรงปรี่เข้าไปอุ้มขึ้นมาหอมแก้มซ้ำแล้วซ้ำอีกแน่ๆ
ดูแววตาก็ช่างไร้เดียงสา
ใสซื่อบริสุทธิ์
ราวกับเทพธิดานางฟ้าตัวน้อยซึ่งแตกต่างจากนางมารร้ายจอมกะล่อนขี้อ้อนออเซาะที่ฉันเจออยู่นี่เสียจริง
ฮึ่ม..ไม่รู้ว่าเธอผ่านอะไรมาบ้างนะ
โตขึ้นมาถึงกลายเป็นคนละคนได้ขนาดนี้
ฉันทั้งคิดทั้งมองภาพไปเรื่อยจนกระทั่งรู้สึกตัวว่าตอนนี้มีร่างๆหนึ่งขยับเข้ามาใกล้ๆฉันแล้ว
พี่เนยนั่นเองตอนนี้เธออยู่ในชุดคลุมอาบน้ำสีขาวในมือถืออะไรสักอย่างซ่อนมาไว้ข้างหลังของเธอด้วย
เธอค่อยๆขยับมาต่อหน้าฉันแล้วหย่อนตัวลงนั่งพับเพียบลงกับพื้นอยู่เกือบๆจะชิดๆขาของฉันที่นั่งอยู่ที่เตียงตอนนี้
พี่เนยเงยหน้าขึ้นมามองฉันที่ตกใจไม่คิดว่าเธอจะกล้านั่งลงกับพื้นในขณะที่ฉันนั่งอยู่บนเตียงสูงกว่าเธออย่างนี้
“เฮ้ย..พี่เนยลงไปนั่งข้างล่างทำไม
ขึ้นมานั่งข้างบนสิ”
ฉันรีบดึงพี่เนยขึ้นมาข้างบนแต่เธอกับรั้งตัวเองไว้ทำอย่างกับตอนนี้เธอต้องการจะขอร้องอะไรฉันสักอย่าง
“ไม่เป็นไรพี่อยากนั่งมองหน้ากี้ตรงนี้
พี่อยากให้รู้ว่าพี่เห็นกี้สำคัญขนาดไหน”
“ก็ไม่จำเป็นต้องนั่งข่างล่างนี้”
ฉันยังพยายามดึงพี่เนยขึ้นมานั่งข้างบนเตียงด้วยกันต่อแต่เธอก็ยังรั้น
มิหนำซ้ำพอฉันทำท่าจะลงมานั่งข้างล่างกับเธอเธอก็ดันฉันเอาไว้ให้นั่งข้างบนเหมือนเดิมอีก
“นั่งตรงนั้นล่ะน่ะ
พี่มีเรื่องจะคุยกับกี้”
พี่เนยเงยหน้าขึ้นมามองฉันด้วยสายตาและน้ำเสียงออดอ้อน
“เรื่องอะไร..”
ฉันคิ้วขมวดทำหน้างงก้มหน้าลงมองหน้าผู้พูดด้วยความสงสัย
“กี้หายโกรธให้พี่แล้วใช่มั้ย..ขอโทษจริงๆนะ
อย่าโกรธให้พี่เลยนะ
ต่อไปนี้พี่จะไม่โกหกกี้อีกแล้ว
ยกโทษให้พี่ด้วยนะคะ..
นะกี้นะ”
พี่เนยทำเสียงออดอ้อนพยายามขอโทษเรื่องที่เราใช้เวลา..คุย..กันไปทั้งเช้าเมื่อกี้
..ฮึ่ม..ยังจะมีหน้ามาถามอีก
ซะขนาดนี้แล้ว..จะยังให้โกรธอีกมั้ยล่ะ...
ฉันทั้งคิดทั้งนั่งจ้องหน้าพี่เนยอย่างงอนๆอยู่
แต่เมื่อเห็นว่าทำอะไรไม่ได้แล้ว
ก็คงได้แต่ปล่อยให้เลยตามเลยแล้วกัน
ฉันถอนหายใจ
พยักหน้างึกๆให้เจ้าหล่อนอย่างเสียไม่ได้เพื่อบอกว่าไม่เป็นไรกับเรื่องนั้นแล้ว
หล่อนก็ยิ้มออกทำท่าดีอกดีใจทันทีที่เห็นท่าทีของฉัน
ก่อนจะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่พูดเรื่องต่อไปของเธออีก
“พี่มีอะไรจะให้กี้อ่ะ..”พี่เนยยิ้มเธอยื่นมือข้างที่เธอแอบไว้ข้างหลังออกมาให้ฉัน
ในมือนั้นมีกล่องอะไรบางอย่าง
ฉันมองดูมันคล้ายกับกล่องมือถือยี่ห้อแพงๆยี่ห้อหนึ่งที่เห็นเพื่อนนักเรียนในห้องอยากได้แล้วขอเงินพ่อแม่ซื้อเพื่อมาอวดกันในห้อง
“พี่ตั้งใจจะเอาให้กี้เป็นของขวัญสำหรับ..วันแรกที่เราได้อยู่ด้วยกันนะ
กี้รับไว้ได้มั้ย”
เธอยื่นกล่องสีขาวๆกล่องนั้นมาให้ฉัน
ตอนนี้ในใจฉันกำลังลังเลว่าสิ่งที่ฉันคิดว่ามันคืออะไรนั้นจะจริงหรือไม่เลยเริ่มอึกอักๆตอนที่โดนพี่เนยรบเร้าให้รับกล่องๆนั้นจากมือเธอไปเมื่อฉันรับไปเธอก็รบเร้าฉันต่อให้รีบเปิดดูของในกล่องนั้นทันที
เมื่อฉันทนเธอรบเร้าไม่ไหวเปิดดูกล่องที่เธอให้มานั้นก็พบว่ามันคือสิ่งที่ฉันคิดจริง
ฉันคิ้วขมวดตาโตทันทีที่เห็นเจ้าสิ่งนี้อยู่ในกล่อง
“เฮ้ยพี่เนย
อะไรนี่”
“ก็ไอโฟนไง
โมเดลนี้พึ่งเปิดตัวที่อเมริกาสัปดาห์ก่อนเองนะยังไม่นำเข้าไทยเลยพี่ให้ลูกน้องพ่อพี่หิ้วมาให้
ตัวนี้นะรุ่นท๊อปนะสีทองด้วยพี่เลือกรุ่นที่ดีที่สุดและแพงที่สุดให้กี้เลยนะ
พี่อยากให้กี้มีโทรศัพท์ดีๆใช้
เอาไว้ใช้คู่กับเครื่องเก่าของกี้ก็ได้นะ
เบอร์นี้พี่เปิดให้ใหม่เด๋วพี่ดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายการโทรให้กี้เอง”
“อะไรอะพี่เนย
กี้ไม่เอาอ่ะ มันแพงเกินไปกี้ไม่กล้าใช้หรอก
พี่เนยเอากลับไปเหอะ”
พี่เนยทำหน้าเศร้าตอนที่ฉันยื่นกล่องโทรศัพท์คืนไปให้เธอ
เธอยื่นคืนมาพร้อมรบเร้าให้ฉันรับโทรศัพท์เครื่องนี้ไว้เหมือนเดิม
“กี้รับไว้เถอะนะ
พี่แค่ให้กี้เป็นของขวัญอ่ะ
ก็เหมือนที่คนอื่นๆเอานั่นเอานี่มาให้กี้กันไง
พี่ก็รักกี้พี่ก็อยากมีอะไรมาให้กี้เหมือนกันอะ
ของแค่นี้มันไม่ได้แพงอะไรเลยนะถ้าเทียบกับการที่กี้ได้อยู่ใกล้ชิดพี่ในตอนนี้”
“มันเวอร์ไปป่ะพี่เนย
กี้ยังเรียนอยู่อ่ะ
แล้วใครๆก็รู้ว่าฐานะทางบ้านกี้ไม่ได้รวยถึงขนาดมีเงินซื้อของแบบนี้มาใช้
ถ้าใครถามกี้ กี้จะตอบพวกเค้าว่ายังไงล่ะ”
“กี้ก็ตอบเค้าไปสิว่าพี่เป็นคนเอาให้กี้เอง
ถ้าพวกนั้นรู้ว่าเป็นพี่
เด๋วเค้าก็เลิกถามกันเองล่ะ”
“นี่พี่เนยอวดรวยเหรอ”
ฉันคิ้วขมวดจ้องหน้าพี่เนยถามคืนในสิ่งที่ฉันสงสัย
“ก็ไม่ได้อวดรวย
มันเป็นเรื่องปกติของพี่อะ
อยู่บ้านพี่เค้าก็ใช้อย่างนี้กันทั้งบ้านถ้าพี่จะเอาให้คนที่พี่รักใช้ด้วยมันจะแปลกตรงไหนอ่ะ”
“พี่เนยอ่ะ..”
ยังไม่ทันที่ฉันจะเถียงพี่เนยต่อเธอก็รีบดันกล่องโทรศัพท์กล่องนั้นมาไว้ในมือฉันพร้อมๆกับเหตุผลของเธอที่ต้องการให้ฉันใช้โทรศัพท์เครื่องนี้
“พี่จำได้นะว่ากี้ชอบดูซีรีย์
แล้วพี่ก็จำได้ว่าจอโทรศัพท์ของกี้น่ะมันเล็กเกินไปกี้อาจจะมองดูซีรีย์ได้ไม่สนุกเท่าไหร่อะ
ถ้ากี้ดูเครื่องนี้นะกี้จะโหลดแอพมาดูหนังในเครื่องกี่เรื่องก็ได้แถมยังต่อเข้าคอมเข้าโทรทัศน์ได้อีกอ่ะ
ถ้ากี้ใช้เครื่องนี้ดูหนังนะกี้จะต้องชอบกว่าเครื่องเก่าแน่ๆ
นะกี้รับไว้เถอะนะ”
..อะ..รู้จักหาเหตุผลมาหลอกล่อฉันอีกยัยคนนี้
ฉันอึ้งทันทีที่คิดตามในสิ่งที่หล่อนพูดมา
ฉันนั่งนิ่งมองกล่องโทรศัพท์เครื่องนี้อยู่นานจนหล่อนจับมือของฉันออกมาจับเอาโทรศัพท์เครื่องนี้ไป
“แล้วอีกเหตุผลนึงที่พี่อยากให้กี้ใช้โทรศัพท์เครื่องนี้ก็คือ
พี่อยากเห็นหน้ากี้ตลอดเวลา
ถ้าตอนไหนที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกันพี่ก็จะวิดีโอคอลมาหากี้นะ
พี่ขอแค่ให้กี้ใช้โทรศัพท์เครื่องนี้กับพี่คนเดียวก็พออย่าให้เบอร์คนอื่นนะ”
ฉันอึ้งพูดอะไรไม่ออก
ตอนนี้โทรศัพท์เครื่องนี้มาอยู่ในมือของฉันแล้ว
พี่เนยยิ้มออกทันทีที่เห็นฉันรับโทรศัพท์เครื่องนี้ไว้
เธอขยับตัวเข้ามาอยู่ใกล้ๆฉันแล้วยื่นแขนและลำตัวส่วนบนของเธอขึ้นโน้มขึ้นมาวางบนตักของฉันก่อนจะเงยใบหน้าที่ยิ้มโชว์ฟันสวยและดวงตากลมโตมีประกายความหวังบางอย่างซ่อนอยู่ในนั้นมาอวดให้ฉันเห็น
มือของเธอสองข้างของเธอโอบขาทั้งสองข้างของฉันเอาไว้ทำประหนึ่งเหมือนเธอกำลังจะขอร้องหรืออ้อนวอนอะไรฉันสักอย่าง
“กี้..พี่มีเรื่องอยากจะคุยกับกี้อีกอะ”
ฉันนิ่งมือที่ถือโทรศัพท์อยู่ก็เลื่อนเอาโทรศัพท์ไปวางไว้ที่เตียงแล้วค่อยๆเลื่อนมาจับที่มือของพี่เนยที่ลูบวนไปมาอยู่ที่ขาอ่อนของฉันตอนนี้
ใบหน้าของฉันจดจ่อรอฟังสิ่งที่เธอกำลังจะบอกอยู่ต่อไปนี้
“กี้คบกับพี่ได้มั้ย”
พี่เนยพูดพลางจ้องมองฉันดวงตาที่แสดงให้เห็นถึงความจริงจังในสิ่งที่เธอพูดมาเมื่อกี้
ฉันอึ้งพูดอะไรไม่ออกเมื่อได้ยินสิ่งที่เธอขอร้องตอนนี้
“พี่อยากให้เราคบกัน
เหมือนที่..ผู้ชายผู้หญิงเค้าคบกันเป็นแฟนอ่ะ
อย่างที่พี่บอกกี้
พี่รักกี้มาตั้งนานแล้ว
พี่แน่ใจมานานแล้วว่าพี่รักกี้เหมือนที่ผู้หญิงผู้ชายเค้ารักกัน
พี่ถึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อที่จะอยู่ใกล้ชิดกี้อย่างนี้
ถ้ากี้ยังไม่มีใคร
ยังไม่ได้คบใครตอนนี้
กี้คบกับพี่ได้มั้ย”
ฉันอึ้งเมื่อได้ยินคำถามของพี่เนย
...ยังไงดีล่ะ
ฉันไม่ใช่คนที่จะฝืนความรู้สึกของตัวเองเพื่อทำให้คนอื่นรู้สึกดีเสียด้วย
ฉันไม่อยากจะตอบตกลงไปเพียงเพราะว่าฉันสงสารพี่เนยเท่านั้นเลย
เพราะจริงๆแล้วตอนนี้ฉันแทบจะยังไม่รู้จักใจของตัวฉันเองเลยว่า..ฉันรู้สึกยังไงกับพี่เนย
ใช่..ถามตอนนี้ฉันก็ยังงงอยู่เหมือนเดิม
แม้แต่คำว่าชอบมันก็ยังอยู่แค่
ชอบนิดๆ
มันยังไม่สามารถจะใช้คำว่ารักอย่างที่พี่เนยพูดมาได้เลย
ฉันพึ่งรู้จักพี่เนยมา3วันแค่นั้นเอง
และที่สำคัญฉันก็พึ่งจะมารู้จักตัวตนจริงๆของหล่อนก็เมื่อไม่กี้ชั่วโมงก่อนหน้านั้นเท่านั้น
จะให้ฉันตอบตกลงคบกับคนที่เค้าหลอกฉันให้ฉันเขวกับความรู้สึกของตัวเองได้อย่างไร
แค่คิดฉันก็คิ้วขมวดใบหน้าบ่งบอกถึงอารมณ์สับสนในตัวเองทันที
พี่เนยจ้องมองรอฟังคำตอบของฉันอยู่นานจนหน้าเสีย
เธอคงรู้ว่าฉันกำลังคิดมากในสิ่งที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านั้น
“กี้..”
ยังไม่ทันที่เธอจะพูดจาขอร้องอะไรฉันต่อ
เธอก็โดนฉันหยุดไว้ด้วยคำพูดของฉันทันที
“พี่เนย..กี้ยังไม่คบกับพี่เนยได้มั้ยอ่ะ
กี้ยังไม่รู้ใจตัวเองตอนนี้เลยว่าจริงๆแล้วกี้รู้สึกยังไงกับพี่เนยอ่ะ
เอาจริงๆนะมันเร็วเกินไป
กี้ไม่เคยรู้สึกรักใครสักทีแล้วตอนนี้กี้ก็ยังไม่คิดว่ากี้..รักพี่เนยนะ
กี้อาจจะชอบพี่เนยบ้างนิดๆ
แต่มันยังไม่พอที่จะเป็นเหตุผลให้กี้ต้องคบกับพี่เนยใช่มั้ยอ่ะ
พี่เนยเป็นผู้หญิงเหมือนๆกันกับกี้น่าจะรู้ใช่มั้ยเรื่องบางเรื่องมันก็ต้องอาศัยเวลานะ
จะปุ๊บปั๊บคบกันเลยมันก็คงไม่ใช่อ่ะ”
พี่เนยหน้าเสียทันทีที่ได้ยินฉันพูดไป
เธอต้องตั้งสติอยู่นานกว่าจะพยายามพูดกับฉันต่อ
“ถ้าอย่างนั้น..พี่ขอโอกาสกี้ได้มั้ย..พี่ขอแค่ให้พี่ได้อยู่ข้างๆกี้
ให้พี่ได้พยายามดูแลกี้แสดงให้กี้เห็นว่าพี่รักกี้แค่ไหน
เหมือนๆที่คนอื่นๆเค้าเข้ามาจีบกี้กัน
กี้จะบอกคนอื่นก็ยังไงก็ได้ว่าไม่ได้คบกับพี่
บอกว่าพี่จีบกี้ก็ได้
ขอแค่ให้พี่ได้มีโอกาสได้อยู่ใกล้ชิดกี้เหมือนอย่างตอนนี้หรือเมื่อคืนหรือเมื่อวานพี่ขอแค่นั้นก็ได้นะ
พี่จะไม่บอกคนอื่นเรื่องที่เรามีอะไรกันเลย
พี่ขอแค่ให้กี้เปิดโอกาสให้พี่ได้ใกล้ชิดกี้มากกว่าคนอื่นก็พอนะ
พี่ขอแค่นี้ก็ได้”
พี่เนยขยับตัวเข้ามาใกล้ๆฉันเธอใช้มือสองข้างจับขาของฉันไว้ทำท่าเหมือนจะเขย่าขาขอร้องอ้อนวอนให้ฉันเห็นใจในสิ่งที่เธอพูดมาเมื่อกี้
ใบหน้าของเธอก็แสนเศร้าแต่ในดวงตาทั้งสองข้างก็ยังแอบมีความหวังอยู่ในตอนที่พยายามจ้องมองมานี้
“พี่ขอแค่นี้...นิดเดียวแค่นั้นพอเลยกี้
แล้วพี่จะไม่รบเร้ากี้ให้กี้รำคาญพี่อีกเลยนะ”
เฮ้อ..แล้วแค่ฉันมองดวงตาที่แฝงไว้ด้วยความเศร้าสร้อยและน่าสงสารคู่นั้นแล้วฉันก็อดที่จะสงสารเจ้าหล่อนไม่ได้จริงๆ
“ก็ได้..แต่พี่เนยจำไว้นะ
ว่าเราไม่ได้เป็นแฟนกัน..ถึงแม้เราสองคนจะมีอะไรกันแล้วจะ..อะไรยังไงกันแล้วก็ตาม
มันก็ยังใช้คำว่าแฟนไม่ได้เหมือนเดิม
เข้าใจมั้ย”
พี่เนยยิ้มออกทันที
เธอก้มหน้าเอียงหัวหนุนลงที่หน้าตักของฉัน
ทำเสมือนแมวน้อยที่กำลังนอนอ้อนเจ้าของของมัน
“ขอบใจกี้นะ
แค่นี้พี่ก็ดีใจที่สุดแล้วล่ะ
ขอบใจที่ให้โอกาสพี่นะ”
เธอเอนหัวหนุนตักฉันอยู่นานปล่อยให้ฉันใช้มือลูบหัวเธอไปมาอย่างนั้นจนกระทั่งเหมือนเธอนึกเรื่องอะไรบางเรื่องได้
เธอจึงค่อยๆผละตัวออกจากฉันลุกขึ้นเดินเข้าไปที่หลังฉากนั้นแล้วกลับออกมาพร้อมๆกับ
ผ้าเช็ดหน้าที่ถูกพับไว้บนมือเธอ
“นี่ของกี้ใช่มั้ย
พี่ซักให้เรียบร้อยแล้วนะ
วันนั้นออยกับอาจารย์บอกพี่ว่าตอนพี่เป็นลมไม่ได้สติ..กี้เป็นคนดูแลพี่..ขอบใจกี้มากเลยนะ”
พี่เนยพูดพลางเดินเข้ามานั่งอยู่ตำแหน่งเดิมที่เธอนั่งอยู่กับพื้นเมื่อกี้
เธอยื่นผ้าเช็ดหน้าคืนมาให้ฉัน
พร้อมๆกับสายตาที่แสดงให้เห็นว่าเธอดีใจในเรื่องที่เธอพูดมาเมื่อครู่นี้มาก
“กี้รู้มั้ย
ตอนเดินขบวนน่ะพี่เกือบจะถอดใจจากกี้แล้วนะ
เพราะพี่คิดว่ากี้อาจจะเกลียดพี่จริงๆ
ถ้าเราแยกย้ายจากงานกีฬาสีนี่พี่คงไม่ได้เจอกี้อีก
เพราะกี้คงต้องหลบหน้าพี่แน่ๆ
ในความคิดพี่ตอนนั้นคือพี่คิดว่าพี่ควรจะตัดใจดีกว่า
เป็นไปไม่ได้หรอกที่กี้จะมาสนใจพี่
จนกระทั่งพอพี่เป็นลมแล้วตื่นมาเจอว่าเป็นกี้ที่มาดูแลพี่ตอนที่พี่ไม่มีใครแล้ว
แค่นั้นมันก็ทำให้พี่คิดว่ากี้น่าจะมีอะไรเกี่ยวกับพี่อยู่ในใจของกี้บ้าง
พี่ถึงรู้ว่า
ในคำว่าเป็นไปไม่ได้มันยังมีความเป็นไปได้อยู่นั้นอยู่
อาจจะมีเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์แต่มันก็มากพอที่พี่จะพยายามทำให้เห็นว่าพี่รักกี้เพียงใด
พี่ถึงรอให้เวลามันผ่านไปเฉยๆไม่ได้
ถึงตัดสินใจมาหากี้ในเวลาดึกดื่นอย่างนั้น
พี่แค่หวังว่าในตอนที่กี้ยังอาจจะไม่แน่ใจตัวเองอยู่นี่ขอให้พี่ได้ทำให้กี้เห็นถึงความพยายามของพี่ได้มั้ย..ว่าพี่รักกี้ขนาดไหน”
ฉันนั่งนิ่งมองพี่เนยสาธยายถึงเรื่องราวที่เธอตัดสินใจบุกเข้ามาหาฉันอยู่ที่บ้านในตอนกลางคืน
ยิ่งมองใบหน้าที่พยายามอธิบายของเธอมาแล้ว
ยิ่งทำให้ฉันสับสนว่า
ฉันมีความสำคัญกับผู้หญิงคนนี้ขนาดนี้เลยเหรอ
จะมีผู้หญิงสักกี่คนที่ยอมทำตัวไร้คุณค่าและบ้าบอยอมทำอะไรเสี่ยงๆอย่างนี้
ถ้าเค้าไม่ได้..รัก..เราจริงๆ
นี่ฉันควรจะให้โอกาสพิจารณาหล่อนเหมือนดังที่หล่อนขอร้องมาใช่มั้ย
นี่ใช่มั้ยความรู้สึก
สงสาร
แปลกๆที่ออกมาจากใจของฉันที่เกิดขึ้นกับพี่เนยบ่อยๆ
แม้จะรู้ว่าสิ่งที่เธอทำมันผิด
หรือมันแปลกแต่ก็ยังยอมให้อภัยได้
เป็นเพราะลึกๆแล้วฉันรู้ใช่มั้ยว่า..คำว่ารักที่เธอพยายามพูดมาตลอดนั้นคือความจริง
เฮ้อ..ตอนนี้ความรู้สึกลำบากใจกำลังก่อตัวขึ้นในสมองของฉันแล้ว..เมื่อมองหญิงสาวที่ทำตาหวานซึ้งพูดเพร้อถึงความรักของเจ้าหล่อนที่มีให้ฉันแล้วมันก็อดที่จะคิดเป็นภาระที่หนักในใจตอนนี้ไม่ได้
ทำไมต้องมาทำให้ฉันลำบากใจในวันที่ฉันยังไม่พร้อมด้วยนะพี่เนย
ฉันทั้งคิดทั้งเหม่อมองหญิงสาวที่ดวงตาเริ่มหม่นหมองขึ้นทันทีที่เธอเห็นฉันคิ้วขมวด
พี่เนยเงยหน้ามองมาที่ฉันด้วยดวงตาเศร้าสร้อย
ใบหน้าบ่งบอกว่าเธอคงจะรับไม่ได้ถ้ารู้ว่าความหมายของใบหน้าที่คิ้วขมวดของฉันนั้นคือ
ความไม่แน่ใจ
ฉันมองดวงตาพี่เนยแล้วก็เริ่มสงสาร
ในใจก็อยากปลอบโยนเธอในฐานะของผู้หญิงด้วยกัน
ฉันยื่นมือไปจับที่แก้มของพี่เนย
แล้วจะค่อยๆเลื่อนลงมาที่ต้นคอของหล่อนเพื่อจัดปลายผมรุ่ยร่ายให้ของเธอให้อยู่ในทิศทางเดียวกันก่อนจะโน้มตัวของฉันลงมาจูบและหอมไปทั่วๆใบหน้างามๆของเธอ
แล้วจึงเงยหน้าออกมาจับจ้องดวงตาที่เริ่มมีประกายความหวังขึ้นจากการได้รับสัมผัสของการปลอบใจจากฉันไปเมื่อครู่
ตอนนี้สายตาของฉันสำรวจไปรอบๆใบหน้าของเธอและเลื่อนเลยลงมาจนกระทั่งถึงเนินหน้าอกของพี่เนยที่โผล่พ้นชายเสื้อสองข้างของเสื้อคลุมอาบน้ำที่พี่เนยสวมคลุมทับร่างกายของเธอไว้ตอนนี้
ฉันสะดุ้งตกใจทันที่ที่เห็นร่องรอยบางอย่างโผล่ให้เห็นเป็นขอบรอยสีแดงๆเขียวๆช้ำๆตรงเนินนั้นนิดนึง
เมื่อนึกขึ้นได้ฉันรีบเปิดชายเสื้อทั้งสองข้างของพี่เนยออกทันที
ตายแล้ว..
ตอนนี้แถวๆเหนือเนินหน้าอกของพี่เนย
เลยไปกระทั่งเกือบถึงต้นคอ
รวมทั้งแถวๆต้นแขนขาวๆเนียนๆของพี่เนยตอนนี้มันกลายเป็นรอยๆช้ำแดงๆเป็นปื้นๆ
รอยเล็กใหญ่สลับกันไปทั่วๆบริเวณนั้นของพี่เนยไปหมดเลย
ยิ่งพี่เนยเป็นคนผิวขาวยิ่งทำให้เห็นรอยช้ำพวกนี้ขึ้นชัดเจนมาก
ฉันรีบหันควับขึ้นไปมองหน้าพี่เนยทันที
พี่เนยก็อึ้งที่เห็นท่าทางตกใจของฉัน
“เจ็บหรือเปล่าอ่ะพี่เนย
กี้ขอโทษนะ”
“ไม่เป็นไร
ตอนนี้ไม่เจ็บแล้ว โอเคแล้ว”
พี่เนยยิ้มให้ฉันนิดนึงก่อนที่เธอจะพยายามดึงชายเสื้อทั้งสองเข้าหากันไว้เหมือนเดิมเพื่อแสร้งเปลี่ยนเรื่องไม่ให้ฉันรู้สึกไม่ดีที่เห็นรอยที่ฉันเผลอทำรุนแรงกับพี่เนยในตอนนั้น
“กี้คงอยากกลับบ้านแล้วใช่มั้ย
เด๋วรอพี่แป๊บนึงนะพี่ขออาบน้ำเปลี่ยนชุดแป๊บนึง
กี้มานั่งดูซีรีย์อยู่ตรงนี้ก่อนก็ได้”
พี่เนยทำท่าลุกขึ้นดึงมือฉันให้ไปนั่งตรงที่จัดไว้เป็นโซนของโฮมเธียเตอร์ในห้องของเธอ
แต่ฉันรั้งพี่เนยไว้
ก่อนจะดึงเธอเข้ามาใกล้ๆ
“พี่เนยอย่าเปลี่ยนเรื่องสิ
กี้รู้นะว่าพี่เนยเจ็บ
ถ้าพี่เนยไม่ชอบก็บอกกี้นะ
ตอนนั้นกี้คุมตัวเองไม่ได้
กี้ขอโทษจริงๆนะ”
ฉันทั้งพูดทั้งยกมือไหว้พี่เนย
พี่เนยสะดุ้งตกใจทันทีเธอรีบคว้ามือฉันเข้าไปกอดไว้
“ไม่เป็นไรกี้
ไม่ต้องไหว้พี่พี่ไม่เป็นไรจริงๆ
พี่บอกกี้ไปแล้วนี่
ตัวของพี่เป็นของกี้ถ้ากี้อยากทำอะไรยังไงก็ได้
พี่ไม่ว่า
แค่..พี่รู้สึกว่ากี้ต้องการพี่บ้างพี่ก็มีความสุขแล้ว
แล้วก็ไม่ต้องคิดมากนะ
เลิกพูดถึงเรื่องนี้เลยพี่ไม่เป็นไร
รออยู่ตรงนี้ก่อนนะ
เด๋วพี่อาบน้ำแป๊บเดียวเด๋วพี่พาไปส่งบ้าน”
พี่เนยทั้งพูดทั้งจูงฉันให้มานั่งดูซีรีย์ที่เธอเปิดให้ฉันดูก่อนจะรีบหายเข้าไปในห้องอาบน้ำของเธอ
ทิ้งให้ฉันนั่งอึ้งมองตามพี่เนยด้วยความสงสาร
พี่เนย..นี่เธอรักฉันขนาดนั้นเลยเหรอ..ฉันทั้งคิดทั้งเหม่ออยู่หน้าโฮมเธียเตอร์โดยไม่ได้สนใจเรื่องราวในหน้าจอทีวีข้างหน้าเลย.....
**************************************************
เสียงเบสหนักๆดังทึมๆเป็นจังหวะของเพลงสากลที่ฉันฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างดังขึ้นมาตลอดทางที่พี่เนยขับรถออกมาส่งฉันที่บ้าน
แม้ระยะทางจากบ้านของฉันและพี่เนยจะอยู่ไม่ไกลกัน
แต่ตอนกลับพี่เนยกับเลือกที่จะขี่อ้อมไปอีกทางนึงที่ไกลจากทางเข้าบ้านฉัน
โดยที่เธออ้างว่า
เธออยากขับรถเล่นไปเรื่อยๆกับฉัน
ซึ่งก็คงจะเป็นอย่างที่เธอว่าจริงๆ
เพราะเธอเล่นขี่อ้อมเมืองจากซอยนั้นเข้าซอยนี้ขี่ไปถนนเส้นนั้นทีเส้นโน้นทีจนฉันต้องเอ็ดพี่เนยให้รีบๆพาฉันกลับบ้านเสียทีก่อนที่พ่อแม่จะกลับบ้านก่อน
เมื่อพี่เนยโดนฉันเอ็ดเรื่องที่พาฉันเถลไถลขับรถออกนอกเส้นทางกลับบ้าน
เจ้าหล่อนก็รีบเร่งสปีดรถซุปเปอร์คาร์คันหรูของเธอขึ้นอย่างกับเธอประชดฉัน
เสียงเครื่องยนต์รถซุปเปอร์คาร์ดังกระหึ่มทันทีที่เจ้าหล่อนเหยียบเร่งคันเร่งของเธอ
มันดังเสียจนทุกๆสายตาที่อยู่รอบๆบริเวณนั้นหันมาจับจ้องทันทีที่รถคันนี้กำลังชะลอเพื่อที่จะจอด
“พี่เนยขับไปข้างหน้าอีกนิดได้มั้ย
ไปแถวๆหลังๆซอยก็ได้เด๋วกี้เดินกลับเอง”
ฉันบอกพี่เนยตอนที่พี่เนยทำท่าเหมือนจะจอดรถอยู่ตรงหน้าตึกบ้านฉันพอดี
“ทำไมล่ะ”
พี่เนยทำหน้างงรีบถามฉันคืนทันที
“กี้ไม่อยากให้คนถามกี้ว่าใครมาส่ง..แค่มีคนขับรถมาส่งกี้ข้างๆบ้านกี้เค้าก็นินทากันแล้ว
แล้วยังจะเป็นรถแบบนี้อีกอ่ะ
กี้ไม่อยากตอบคำถามใครแล้วไม่อยากโกหกใครอีก
พี่เนยไปส่งกี้แอบๆแถวๆโน้นก็ได้
กี้สบายใจกว่า”
ฉันตอบพี่เนยไปด้วยความรู้สึกกังวลในใจ
ใช่ฉันกังวลใจจริงๆมีหลายๆอย่างที่มันอาจจะเป็นคำถามต่อจากนี้ถ้าคนแถวนี้พากันเห็นฉันลงมาจากรถคันนี้
ฉันไม่อยากให้เรื่องนี้รู้ถึงหูพ่อแม่แล้วจะกลายเป็นทำให้ท่านทั้งสองไม่สบายใจ
สู้ฉันพยายามแอบๆทำตัวอย่างนี้ไม่ให้ใครรู้เรื่องของฉันกับพี่เนยคงจะดีกว่า
ฉันคิด
พี่เนยมองหน้าฉันตาละห้อยแต่เธอก็ยอมทำตาม
เธอค่อยๆเคลื่อนรถจากตำแหน่งนี้ไปยังแถวๆอาคารร้างสองสามหลังที่อยู่หลังซอยใกล้ๆกับที่ๆเธอเอารถไปจอดเมื่อเช้า
“เด๋วพี่โทรหานะ”
พี่เนยพูดตอนที่ฉันเปิดประตูรถกำลังจะลงไป
มือของเธอก็เอื้อมมาจับมือของฉันไว้
พร้อมๆกับทำสายตาออดอ้อนเหมือนทุกๆครั้งที่หล่อนจะคุยกับฉัน
ฉันมองหน้าอ้อนของหล่อนก่อนจะยิ้มให้เธอนิดนึงเพื่อเป็นการบอกลา
เย็นวันนั้นหลังจากที่พ่อแม่กลับมาจากซื้อของและฉันได้ลงมาช่วยพ่อแม่จัดข้าวของเครื่องใช้ต่างๆเพื่อเตรียมไว้ขายของในวันพรุ่งนี้จนเสร็จแล้วฉันก็ขอตัวขึ้นมานอนพักทันทีเพื่อเป็นการเลี่ยงตอบคำถามที่พ่อกับแม่พยายามถามเรื่องของพี่เนยที่ฉันกระอักกระอ่วนใจที่จะโกหกท่านทั้งสองด้วย
ตอนนี้เป็นเวลาเกือบๆจะสองทุ่ม
ฉันเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวเพื่อเตรียมจะอาบน้ำด้วยความเหนื่อยล้า
แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะได้เปลี่ยนเสื้อผ้าดีโทรศัพท์เบอร์ที่พี่เนยให้ฉันใช้เฉพาะกับเธอก็ดังมา
ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับ
ปลายสายเสียงเจื้อยแจ้วมาด้วยความอารมณ์ดี
หล่อนทำเป็นพูดนั่นพูดนี่ด้วยแต่สุดท้ายก็ลงเอยด้วยเรื่องที่ว่า...
“พี่ขอมานอนกับกี้อีกได้มั้ยคืนนี้
พี่คิดถึงกี้”
“โอ้ย..
จะมาคิดถึงอะไรอีกพอเลยอยู่ด้วยกันมาเกือบสองวันเต็มๆแล้วน้ำท่าก็ยังไม่ได้อาบ
พอเลยๆกี้ง่วงนอนเหนื่อยจะอาบน้ำแล้ว”
พี่เนยเห็นท่าว่าฉันจะบ่นยาวเธอเลยขอโทษขอโพยฉันด้วยน้ำเสียงออดอ้อนแล้วก็ยอมวางสายไปในที่สุด
ฉันวางโทรศัพท์ลงกับเตียง
ก่อนจะพยายามถอดเสื้อผ้าตัวเองออกแล้วเอาผ้าเช็ดตัวมาคลุมใส่
แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะเดินเข้าห้องน้ำเสียงโทรศัพท์เครื่องเดิมก็ดังขึ้นอีกแล้ว
ฉันคิ้วขมวด อะไรยังไงกันนี่ยัยคนนี้
ฉันทั้งบ่นทั้งหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับอีกครั้ง
“อะไรอีกพี่เนย..”
“กี้..พี่แอดเฟสกี้แล้วอ่ะ
กี้รับพี่เป็นเพื่อนหน่อยสิ
นะนะ”
“อะไรแล้วแต่ก่อนอยู่ได้ยังไง
ไหนว่าแอบดูกี้มานานแล้วทำไมพึ่งจะมาอยากแอด”
ฉันถามคืนด้วยน้ำเสียงห้วนๆ
“ก็พี่ไม่กล้าคุยกับกี้อ่ะ
นะนะ รับพี่เป็นเพื่อนหน่อยนะ
พี่อยากเป็นเพื่อนกี้ในเฟส”
ฉันฟังเสียงออดอ้อนรบเร้าของหล่อนมาตามสายแล้วก็ได้แต่ทำใจ
เดินไปหยิบโทรศัพท์เครื่องที่ฉันใช้ล็อคอินเฟสบุ๊คขึ้นมาเปิดดูการแจ้งเตือน
Nera
Nimit ต้องการเป็นเพื่อนกับคุณ
ฉันมองดูรูปโปรไฟล์เป็นรูปพี่เนยใส่เสื้อสายเดียวสีขาวและกระโปรงระบายสั้นๆสีดำยืนถือกระเป๋าหรูอยู่หน้ารถซุปเปอร์คาร์สีขาวคันนั้นของเธอ
..โถ..ยังกับผู้ปกครองของเด็กที่มาประชุมตอนเปิดโรงเรียน..แว๊บแรกที่ฉันเห็นภาพแว๊บๆของหล่อนฉันก็นึกอย่างนั้นทันที
“คนที่ชื่อเนระ
อะไรนี่นะเหรอ” ฉันถามพี่เนย
“ใช่ชื่อพี่เอง
เนรนิมิตไง จำไม่ได้เหรอ”
เสียงอ้อนๆของพี่เนยถามย้อนฉันคืนมาตามสาย
“อืมก็คุ้นๆอยู่
แค่นี้ล่ะรับแอดแล้ว
แค่นี้นะกี้จะไปอาบน้ำแล้ว”
ฉันรีบพูดๆรีบๆตัดสายไป
ก่อนจะก้มลงสำรวจหน้าเฟสของพี่เนยดู
ภาพถ่ายแต่ละภาพของเจ้าหล่อนมีแต่ภาพที่แต่งตัวโป้
วับๆแวมๆทั้งนั้นเลย
แม้เสื้อผ้าจะดูดี
ดูสวยเก๋มีสไตล์แต่มันก็ไม่ใช่แนวที่เด็กอายุประมาณฉันกับพี่เนยจะแต่งแบบนี้สักหน่อย
ฉันคิ้วขมวดก้มมองภาพเซตนึงที่พี่เนยใส่ชุดเกาะอกสีดำยืนถือแก้วของเหลวสีเหลืองๆเข้มๆในมือซึ่งดูก็รู้ว่านั่นคือเหล้า
อยู่ที่มืดๆที่ที่มีคนยืนเบียดๆกันเยอะๆบางคนที่ก็ยกมือทำท่าเหมือนกำลังเต้นบางคนก็ถือแก้วเหล้าบางคนก็คีบบุหรี่อยู่ในมือ
มีทั้งผู้หญิงและผู้ชายอยู่รอบๆบริเวณนั้น
..นี่มันที่เที่ยวกลางคืนนี่
แล้วในมือพี่เนยนั่นก็เหล้า..
ฉันคิ้วขมวดยิ่งเลื่อนดูภาพในอัลบั้มยิ่งเห็นแต่ภาพแนวๆนี้
น้อยภาพมากที่ฉันจะเห็นพี่เนยใส่ชุดนักเรียนถ่ายรูป
ในขณะที่ฉันกำลังใช้ความคิดว่าภาพเหล่านี้ถูกถ่ายที่ไหน
แล้วพี่เนยไปถ่ายได้อย่างไรนั้น
โทรศัพท์เครื่องเดิมก็ดังขึ้นมาอีก
“อะไรอีกพี่เนย”
ฉันทำเสียงเอ็ดพี่เนยกลับไปทันทีที่หยิบโทรศัพท์เครื่องนั้นขึ้นมารับสาย
“กี้..เห็นที่พี่โพสต์เพลงมั้ยอะ
เพลงนี้พี่ตั้งใจจะมอบให้กี้นะ
แต่พี่ไม่กล้าแทกกี้อะ
กี้กดไลค์พี่ให้หน่อยได้มั้ย”
“ฮ้า..มีการให้กดไลค์ให้ด้วยเหรอ
ปญอ.แล้ว
เค้ามีแต่ชอบแล้วค่อยกดไลค์ให้อันนี้จะมาบังคับให้กดไลค์ให้มันไม่ตลกไปหน่อยเหรอ”ฉันหัวเราะหึๆแล้วเริ่มบ่นให้พี่เนย
เมื่อเริ่มเห็นว่าเธอจะเยอะขึ้นอีกเรื่อยๆแล้ว
“กี้อ่ะ
กดไลค์ให้กำลังใจพี่หน่อยนะ
พี่อยากให้กี้ฟังเพลงนี้จริงๆพี่ตั้งใจให้เพลงนี้กับกี้เลยนะ
ลองฟังดูนะ”
“อะก็ได้”
ฉันรีบๆตอบรับเจ้าหล่อนอย่างเสียไม่ได้
แต่ก่อนที่ฉันจะวางสายก็ยังโดนดึงเวลาไว้เหมือนเดิม
“กี้
พรุ่งนี้ตอนเช้าให้พี่ไปรับไปโรงเรียนมั้ย”
“บ้าเหรอ
ไม่ต้องมาเด๋วพ่อแม่ก็สงสัยอีกไปใครไปมันสิ”
“งั้น
ตอนเช้ารอพี่ที่ม้านั่งหน้าโรงเรียนก่อนได้มั้ย
พี่อยากเดินเข้าไปโรงเรียนพร้อมๆกับกี้อะ”
...อะ
ได้แค่นี้ก็มีความสุขเนอะ...
ฉันคิดทันทีที่ได้ยินเจ้าหล่อนขอเดินเข้าไปในโรงเรียนพร้อมๆกับฉัน
“เออ
ก็ได้รีบๆมาแล้วกันกี้มาโรงเรียนเช้านะ”
ฉันบอกพี่เนยไปก่อนที่จะนัดแนะเวลาเจ้าหล่อนแล้วก็วางสายเธอไป
แต่ก่อนที่ฉันจะไปอาบน้ำ
น้ำเสียงเว้าวอนที่โทรมาบอกให้ฉันฟังเพลงที่เธอโพสต์ก็ดังขึ้นมาในหัวจนฉันอดไม่ได้ที่จะลองเลื่อนขึ้นไปอ่านโพสต์ล่าสุดที่เธอโพสเพลงไว้
“วันนี้มีความสุขที่สุดเลย
อยากบอกเค้าคนนั้นเหลือเกินว่า
ทุกอย่างในวันนี้อยากให้เค้าคนนั้นเก็บเอาไว้นะ
แม้จะยังไม่ได้ใช้ตอนนี้
ก็ขอฝากเอาไว้ก่อนแล้วกัน
:)”
ฉันนั่งยิ้มนึกถึงใบหน้าของเจ้าหล่อนออกทันทีว่าจะเป็นอย่างไรเมื่อเธอพูดประโยคนี้
แล้วนิ้วของฉันก็กดไลค์ไปทันทีที่ไม่ทันได้คิดอะไรมาก
ฉันยิ้มจากที่ยิ้มนิดๆก็กลายเป็นยิ้มเต็มๆปากทันทีที่ได้ฟังเพลง..
ผู้หญิงบ้าอะไร..แปลกคนที่สุดเลย
แล้วนี่ฉันต้องให้โอกาสเธอคนนี้จริงๆใช่มั้ยนี่
ฉันทั้งคิดทั้งยิ้มตอนที่นั่งฟังเพลงนี้ไปนึกถึงหน้าผู้หญิงในภาพคนนี้ไปเรื่อยๆ...
กลายเป็นว่าคืนนั้นก่อนนอนฉันนอนเปิดเพลงนั้นฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนหลับไป...
*** ปล.เพลงประกอบ Chapter 5 จ้า***