Girlfriend
Special
Part
Valentine's
Day gift
Chapter 3
ฉันตาโตตกใจทันทีที่นึกขึ้นได้...
..โห..สวยน่ารักไม่ใช่เล่นเชียวนะ
ฉันหันไปยิ้มเล็กยิ้มน้อยและยักคิ้วทักทายให้ยัยอันทันที
แล้วพอยัยอันหันมาเห็นฉันยิ้มเล็กยิ้มน้อยทำท่าเหมือนจะแซวหล่อน
หล่อนก็สะดุ้งกลายเป็นเขินหน้าแดงจนต้องเอามือมาปิดหน้าปิดตาตัวเอง
แล้วร้องบอกว่าห้ามมองและห้ามแซวอะไรหล่อนทั้งนั้น
ฉันหัวเราะด้วยความอารมณ์ดีก่อนจะยื่นไม้ยื่นมือไปโบกทักทายหล่อนแล้วบอกให้หล่อนเลิกอายเสียที
“ทำตัวปกติเหอะน่าไม่มีใครเค้าแซวหรอก
ผู้หญิงด้วยกันทั้งนั้น”ฉันหัวเราะคิกๆคักๆตอนพูด
“รู้แล้วน่า
ฉันก็แค่อายเฉยๆ
เธอก็ห้ามมาล้อเลียนฉันทีหลังเลยนะ”
อันแกล้งขู่ฉันที่ยังหัวเราะคิกๆคักๆไม่หายเสียที
“ใครแต่งหน้าให้อ่ะ
สวยจัง..แฟนเหรอ”
ฉันแกล้งถามอันที่ยิ้มหน้าแดงขึ้นทันทีที่ได้ยิ้นฉันแซวอย่างนั้น
“รู้ได้ไงอ่ะ”
อันทำเสียงอายๆถามฉันคืน
“โธ่..เซนส์มันบอก
แต่งสวยนะนี่จำเกือบไม่ได้แหนะ”
ฉันยังไม่วายกระแนะกระแหน่อันคืนไปด้วยความอารมณ์ดีเหมือนเดิม
“ขอบคุณไม่ต้องชม
ธรรมดาล่ะคนหน้าตาดีแต่งนิดแต่งหน่อยมันก็สวยแล้ว”
อันทั้งพูดทั้งเก๊กของหล่อนไปมองดูแล้วก็อดหมั่นไส้และขำเจ้าหล่อนไม่ได้
แต่เราก็พูดกันได้แค่นั้นเพราะอาจารย์ที่คุมเดินออกมาบอกให้พวกเราเริ่มเตรียมตัวได้แล้วเดี๋ยวการประกวดก็จะเริ่มขึ้นแล้ว
ตอนนี้เสียงอาจารย์หน้าเวทีดังขึ้นบรรยายการเปิดงาน
พร้อมๆกับการกล่าวให้โอวาสของผอ.โรงเรียน
ฉันก้มลงสำรวจตัวเองอีกครั้ง
พยายามจับเสื้อและกระโปรงให้เข้าทรงก่อนจะหยิบเอากระจกสำหรับพกบานเล็กๆมาส่องสำรวจใบหน้าอีกครั้งนึง
ฉันยิ้มให้กระจก
พยามทำตาหวานๆเยิ้มๆหมวยๆ...เหมือนดังคำที่เอื้อยบอก...
“...เวลาขึ้นไปบนเวทีแล้วเดินโชว์ตัว
เจ้ยยิ้มหวานๆตาเยิ้มๆเลยนะ”
“ยิ้มหวานตาเยิ้ม
ประเดี๋ยวก็มองไม่เห็นลูกกะตาหรอก
หนังตายิ่งมีแค่ชั้นกว่าๆเอง”
ฉันแอบทำเสียงงอนๆบอกเอื้อยด้วยกลัวว่าตัวเองจะสวยได้ไม่เท่าที่เอื้อยต้องการ
เพราะความที่เป็นคนไทยเชื้อสายจีนของฉันแม้มันจะมีดวงตาที่กลมโตกว่าญาติพี่น้องคนอื่นๆอยู่
แต่ยังไงๆชั้นหนังตาของฉันก็ไม่ได้มีสองชั้นเหมือนของเอื้อย
จะให้ฉันยิ้มหวานๆเยิ้มๆเหมือนดังที่เอื้อยชอบยิ้มชอบทำ
แล้วมาสั่งให้ฉันทำอย่างนั้นคงไม่ได้แน่
“แหม..แสดงว่าไม่รู้ตัวใช่มั้ยว่าเสน่ห์ของเจ้ยจริงๆแล้วอยู่ที่ตาเยิ้มจะปิดแหล่ไม่ปิดเหล่นี่ล่ะ
เจ้ยอ่ะไม่ค่อยชอบยิ้มแบบสุดๆ
จะชอบเก๊กยิ้มทำหน้าดุจริงจังซีเรียสเอาไว้
แต่เวลาที่เจ้ยหลุดยิ้มแบบสุดๆออกมาแบบไม่ตั้งใจเมื่อไหร่แล้วนะ
ไม่ใครก็ใครถ้าเห็นเจ้ยตอนนั้นคงจะใจละลายและหลงรักเจ้ยทันทีที่เห็นแน่ๆ”
“เหรอ..เป็นมาแล้วใช่ป่ะเรื่องหลงเสน่ห์เค้า
ก็เลยพูดได้”
ฉันทำเสียงกะล่อนแกล้งอำถามเอื้อยย้อนคืน
เอื้อยยิ้ม..ยื่นมือเธอมาจับเพ้าจับผมให้เข้าที
“ก็อาจจะใช่..ไอ้รอยยิ้มนั่นมันอาจจะเป็นประเด็นที่ทำให้เค้าเริ่มสนใจเจ้ย
แต่จริงๆแล้ว
เค้าชอบทุกๆอย่างในตัวเจ้ยนะ..ก็เพราะว่ามันเป็นความรักแบบค่อยๆเป็นค่อยๆไป
พอเราได้อยู่ใกล้คนที่เรารู้สึกดีด้วยแล้วยิ่งเราได้พบได้เห็นทุกๆอย่างในตัวเค้า
ความรู้สึกชอบมันก็ยิ่งชัดเจนขึ้น
เค้าเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะชอบผู้หญิงด้วยกันหรอกนะ..แต่พอเค้าได้อยู่ใกล้ๆเจ้ย
ได้มีโอกาสได้รู้ว่าเจ้ยยังไม่มีใคร
ได้แอบมองเห็นท่าทางประหลาดๆบางอย่างที่ทำให้คิดได้ว่าบางทีคนนั้นก็อาจจะมีอะไรที่เหมือนๆกับเราอยู่ในใจ
จนเค้าถามตัวเค้าเองว่า..เค้าจะยอมปล่อยโอกาสที่เค้าอุตสาห์ได้ใกล้ชิดคนที่ดีที่เพรียบพร้อมที่สุดขนาดนี้ไปมั้ย
แม้โอกาสที่เค้าจะจีบผู้หญิงด้วยกันติดมันจะเป็นแค่1ใน100
แต่มันก็น่าลองใช่ป่ะล่ะ”
เอื้อยทั้งยิ้มทั้งพูด
สายตากรุ้มกริ่มคู่นี้ทำให้ฉันนึกถึงวันเก่าๆที่เอื้อยพยายามทำตัวแปลกๆตั้งแต่วันที่เริ่มถามว่าฉันเคยมีผู้หญิงมาจีบหรือเปล่า
ซึ่งฉันก็ไม่นึกเลยว่าตั้งแต่วันนั้นมาเอื้อยนี่ล่ะที่กลายเป็นคนจีบฉันเสียเอง
..ให้บอกใคร
ใครเค้าจะเชื่อว่าเอื้อยจีบฉันก่อน...ขนาดญาติศรีพี่น้องฉันเค้ายังคิดว่าฉันต้องเป็นฝ่ายไปจีบเอื้อยก่อนเสียด้วยซ้ำ...
….ฉันหลุดยิ้มและหัวเราะออกมาเบาๆทันทีที่นึกถึงเรื่องนั้นได้
ตอนนี้เสียงเพลงหน้าเวทีกำลังดังขึ้นมา
อาจารย์เริ่มอ่านชื่อนักเรียนไล่จากชั้นม.1/1
ม.1/2
ไปเรื่อยๆ
ฉันเก็บกระจกเอาไว้ในกระเป๋ากระโปรง
พลางหยิบเอาสายสร้อยจี้ปลาโลมาที่อยู่ด้านในเสื้อของฉันออกมาจัดวางโชว์ไว้ด้านนอกปกเสื้อ
ฉันอยากให้มันเป็นของนำโชคของฉัน
อะไรก็ตามที่เอื้อยให้ฉันฉันคิดว่าเป็นสิ่งที่มีค่าและเรียกความมั่นใจของฉันได้ดีที่สุด
อาจารย์เรียกนักเรียนหญิงออกไปตามลำดับแถวเรื่อยๆเสียงกรี๊ดและเสียงปรบมือของบรรดากองเชียร์ดังต่อๆขึ้นไม่ขาดสาย
เสียงของคนก่อนหน้านี้เบาลงคนต่อไปก็จะดังขึ้นอีกเป็นอย่างนี้เรื่อยๆเพราะเหล่าบรรดากองเชียร์แต่ละสายชั้นต่างมารอให้กำลังใจมิสวาเลนไทน์ของแต่ละห้องกันอย่างใจจดใจจ่อ
เสียงประกาศของเซตนักเรียนชั้นม.5
กำลังจะหมดไป
ฉันในฐานะนักเรียนหญิงของม.6/1ซึ่งเป็นคนแรกของสายชั้นต้องรีบเดินนำขบวนเพื่อนๆเดินออกมารอที่ประตูด้านข้างเวทีเสียงดนตรีดังคลอเป็นธีมของงานพร้อมๆกับเสียงประกาศของอาจารย์
“ตัวแทนมิสวาเลนไทน์สายชั้นม.6/1
นส.ทิพานัน
เฮงธนากุล....”
สิ้นเสียงเรียกฉันก็เดินยิ้มหวานตามเยิ้มตามคอนเซ็ปต์ที่เอื้อยกำชับฉันให้ทำทันที
เสียงกรี๊ดๆดังขึ้นมาตั้งแต่อาจารย์อ่านชื่อฉันเสร็จแต่ฉันยังไม่ทันได้ก้าวเดินออกมาจากด้านหลังเวที
ฉันเดินไปทางซ้ายของเวทีและทางขวาของเวทีและมาหยุดอยู่ตรงด้านหน้าเวทีเพื่อที่จะรอรับดอกกุหลาบจากบรรดากองเชียร์ตามกำหนดการเดินของผู้เข้าประกวดแต่ละคน
กองเชียร์ของฉันกรี๊ดไม่หยุด
ไม่แน่ใจว่าเพราะเค้าเห็นท่ายิ้มเยิ้มๆตาหยีๆของฉันหรือเปล่า
แต่เสียงกรี๊ดดังๆอย่างนี้ก็เรียกกำลังใจของฉันได้เป็นอย่างดี
และทันทีที่ฉันหยุดยืนอยู่ตรงกลางเวทีที่ทำเป็นทางเดินยื่นออกไปยาวประมาณ2เมตรเพื่อให้บรรดากองเชียร์ได้มายืนรอ
บรรดาแฟนคลับของฉันก็พากันแย่งกันมอบดอกกุหลาบให้ฉันทันที
บางคนก็หอบมาเป็นช่อบางคนก็ให้เป็นกำแต่เท่าที่ฉันดูตอนนี้ดอกไม้ที่ฉันรับอยู่นี่ก็ล้นมือจนฉันไม่สามารถจะหอบเดินกลับไปที่ที่ยืนประจำได้แล้ว
ฉันมองซ้ายมองขวาส่วนหนึ่งเป็นกองเชียร์ของเพื่อนๆในสายชั้นของฉัน
นอกนั้นก็จะเป็นกลุ่มเด็กๆชายหญิงที่เป็นแฟนคลับของฉันและของเอื้อยด้วย..
...อ้อ..นี่เอื้อยคงจะไปบอกบรรดาแฟนคลับทั้งหมดของเธอให้พากันมาเชียร์ฉันกันแทนล่ะสิ..มิหน้าดอกไม้ที่ฉันได้ปีนี้มันถึงล้นหลามขนาดนี้
เพราะมันเท่ากับของฉันและของเอื้อยมารวมกันนี่เอง..
เอ..
แล้วนี่เอื้อยไปไหนล่ะ
ฉันไม่เห็นเธอเลย
ไม่ว่าจะมองไปรอบๆข้างเวทีที่เพื่อนๆในห้องฉันยืนอยู่หรือฝั่งบรรดาแฟนคลับของเอื้อยอยู่ก็ไม่มีเอื้อยเลย...
เมื่อคิดว่าคนที่เอาดอกไม้มามอบให้ฉันน่าจะหมดแล้วฉันก็รีบพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นมาพร้อมกองดอกไม้มหึมากองนั้น
ตอนนี้มีนักเรียนที่ทำหน้าที่เป็นกรรมการดูแลการแข่งขั้นวิ่งถือตะกร้ามาแบ่งใส่ดอกกุหลาบของฉันส่วนหนึ่งแล้วเดินไปส่งวางไว้ให้ฉันตรงที่ฉันยืนรอ
ฉันชำเรืองมองบรรดาเด็กๆที่ยืนเข้าแถวรอการประกวดสิ้นสุด
คนที่ได้มากสุดก็น่าจะเป็นแค่1ใน4ของฉันแค่นั้นเอง
พวกเค้าพากันยิ้มตื่นเต้นทันทีที่เห็นกองกุหลาบกองโตกองนั้นของฉัน
ได้ยินเสียงเด็กๆแซวฉันเบาๆ...
ไม่ต้องนับก็รู้แล้วมั่งนี้ใครได้ที่หนึ่ง..
คนที่เดินต่อจากฉันออกมาเดินเรื่อยๆจนกระทั่งถึงอัน
ยัยอันคนขี้เก๊ก..ตอนนี้กำลังแอ๊บสวยยิ้มหวานตาเยิ้มเดินสะบัดบ๊อบน้อยๆของหล่อนออกมาจากเวที
...ฉันหลุดขำทันทีที่เห็นท่าทีแอ๊บๆเนียนๆของหล่อน...
เธอเดินไปทางซ้ายของเวทีและทางขวาของเวทีท่ามกลางเสียงกรี๊ดสนั่นดังมาไม่แพ้ฉัน..ซึ่งฉันก็ไม่แน่ใจว่าเสียงที่คนกรี๊ดกันนั้นมาจาก...กรี๊ดเพราะปลื้มในตัวยัยอันเอง...หรือกรี๊ดเพราะได้เห็นอันในเวอร์ชั่นสวยหวานอย่างนี้อีกครั้งนึง..
เอ..แต่เท่าที่จำได้อันก็เป็นผู้หญิงมาตลอดนะ
ก็พึ่งจะมาค้นพบตัวเองว่าต้องการจะเป็นสาวหล่อก็เพราะว่าอยากให้เอื้อยชอบตอนม.6นี่เอง
ก่อนหน้านั้นเจ้าหล่อนก็สวยๆหวานๆอย่างนี้มาตลอดนี้นา..
เอ...แต่งหญิงแล้วเรตติ้งดีอย่างนี้จะกลับมาเป็นหญิงเหมือนเดิมมั้ยนะ
ฉันแอบคิดในใจคนเดียวอย่างขำๆมองดูบรรดาแฟนคลับของยัยอันทยอยมอบดอกไม้ให้กับเธอตอนที่เธอหยุดยืนอยู่ตรงเวทีที่ยื่นออกมา
...แต่ท่าทางคงจะไม่กลับไปแล้วล่ะ
เพราะต่อหน้ายัยอันตอนนี้มีนางฟ้าตัวน้อยๆของเจ้าหล่อนกำลังยื่นช่อดอกกุหลาบช่อโตๆมาพร้อมๆกับรอยยิ้มหวานหยาดเยิ้มท่ามกลางคนดูที่โห่แซว..
ยัยอันยิ้มหวานหน้าแดงเป็นลูกตำลึงทันทีที่เห็นน้องนิวเขย่งตัวขึ้นยื่นช่อกุหลาบช่อยักษ์ช่อนี้ให้
หล่อนก้มลงมารับพร้อมๆกับเสียงกรี๊ดกร๊าดของบรรดาคนที่เชียร์หล่อนอยู่
แต่บรรดากองเชียร์ต้องกรี๊ดหนักกว่านั้นเพราะว่าจู่ๆน้องนิวก็โน้มหน้าของอันลงมาหอมฟอดใหญ่ๆต่อหน้าต่อตาบรรดานักเรียนทั้งโรงเรียนรวมทั้งคุณครูทุกๆคนด้วย
โอ้ววว...เป็นการเปิดตัวที่อลังการมาก...
ฉันคิดได้ทันทีที่ตาค้างมองดูน้องนิวหอมแก้มอันค้างไว้อย่างนั้น
น่าอิจฉาจริงๆ..ชีวิตรักหญิงรักหญิงที่สามารถเปิดตัวได้อย่างไม่แคร์ใครอย่างนี้..ถึงแม้ฉันกับเอื้อยจะอยากเปิดตัวเหลือเกิน
แต่ด้วยความที่เราทั้งสองเป็นผู้หญิงที่เป็นผู้หญิงด้วยกันจริงๆ100%
ฉันก็เป็นผู้หญิงจริงจังกับงานและการเรียนเป็นเด็กกิจกรรมเป็นผู้นำเพื่อนๆ
หลายๆอย่างที่แสดงออกไปต่อหน้าคนอื่นจึงอยู่ในกรอบและในกฏเกณฑ์เสมอ
เช่นเดียวกันกับเอื้อย
เอื้อยก็เป็นคนเรียบร้อย
พูดน้อย
แม้หลังๆเธอจะดูเป็นคนขี้เล่นขึ้นแต่ทุกอย่างก็ล้วนอยู่ในกรอบของความเรียบร้อยและคำว่ากุลสตรีเสมอ...ฉันยังจำประโยคที่เอื้อยเถียงข้างๆคูๆกับฉันได้
..แม่เค้าสอนมาดี..ก็คงจะจริงๆเราจะหยอกกัน
กระหนุงกระหนิงกันก็ต่อหน้าคนที่เราสนิทด้วยเท่านั้น
เราจะไม่แสดงท่าทีที่ดูโอเวอร์
ดูขัดตาคนอื่นที่ยังรับเรื่องอย่างว่าไม่ได้...เพราะฉะนั้นสถานะของฉันกับเอื้อยที่คนเกือบๆทั้งโรงเรียนเห็นและคิดกันอยู่ตอนนี้ก็คือ....เพื่อนที่สนิทกันมากๆจนกระทั่งหอมแก้มกอดเอวและพูดเค้ากับตัวเองได้โดยที่คนไม่คิดอะไรเกินเลยกว่านั้นแล้ว
การที่เป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อมเกินไปของเราทั้งสองคนมันก็ทำให้เราอยู่ในโลกของความรักที่ต้องแคร์ความรู้สึกคนข้างๆด้วย
บางทีเราอาจจะดีเกินกว่าที่คนจะคิดว่าเราทั้งสองนั้นจะชอบผู้หญิงด้วยกันจริงๆก็ได้
ฉันยิ้มค้างมองดูภาพอันกับน้องนิวแล้วก็ยิ่งคิดถึงเอื้อย
แม้แต่ตอนนี้ฉันก็ยังไม่เห็นหน้าเธอเลยไม่รู้ว่าเธอหายไปไหนกัน...
ทั้งๆที่ย้ำแล้วย้ำอีกกับฉันแล้วแท้ๆว่าเธอจะเชียร์ฉันให้ได้
แม้ตอนนี้ฉันจะได้ดอกไม้เยอะจนอาจจะไม่ต้องนับให้เสียเวลาว่าใครได้ที่1แล้ว
แต่ฉันก็ยังต้องการกำลังใจจากคนที่ฉันรักอยู่..
ก็การประกวดนี้มันคือการประกวดมิสวาเลนไทน์นี่นา
ตัวแทนของความรักได้ความรักจากคนอื่นๆมาหมดแล้ว
แต่กับคนรักของตัวเองกลับไม่ได้
อย่างนี้จะมีความหมายได้อย่างไร...
ยิ่งคิดยิ่งน้อยใจ...
ฉันยืนอึ้งตาเหม่อมองอันยิ้มหวานตาเยิ้มเดินกลับมาเข้าแถวแล้วสลับสับเปลี่ยนเป็นนักเรียนชั้นม.6ห้องอื่นเดินต่อๆกันไปเรื่อยๆ
จนกระทั่งคนสุดท้ายผ่านไป
นักเรียนที่อยู่ข้างล่างบางคนก็ยังทยอยมอบดอกไม้ให้กับคนบนเวทีอยู่เรื่อยๆจนกระทั่งอาจารย์คนที่ทำหน้าที่พิธีกรเริ่มนับถอยหลังสิ้นสุดเวลาการรับดอกไม้จากนักเรียนด้านล่าง
“9....8..7...6...”
“เด๋วๆค่ะ..”
…...........
เสียงร้องตะโกนทางฝั่งประตูหลังสุดของหอประชุมดังขึ้นพร้อมๆกับเสียงโห่แซวร้องของนักเรียนในห้องประชุมที่ดังขึ้น
ฉันหันไปมองตามเสียงที่มาพร้อมๆกับภาพนักเรียนแหวกแถวเปิดทางออกให้ใครคนใดคนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบมาที่หน้าเวที
??!!เอื้อย!!!
เป็นเอื้อยที่วิ่งกระหืดกระหอบมาพร้อมๆกับตะกร้าหวายใบใหญ่ๆ
ซึ่งมันใหญ่เท่าๆกับตะกร้าที่เค้าวางขายดอกกุหลาบในตลาดกัน
ในนั้นมีดอกกุหลาบสีแดงบรรจุเต็มจนล้นออกมาบังหน้าบังตาคนที่หอบตะกร้าวิ่งผ่าฝูงชนเข้ามาหน้าเวทีตอนนี้
ฉันอึ้งอ้าปากค้างจนต้องเอามือข้างที่ไม่ได้ถือช่อกุหลาบขึ้นมาป้องปากตัวเองทั้งด้วยประหลาดใจและตื้นตันใจจนน้ำตาแอบเล็ดออกมา
เพราะไม่คิดว่าเอื้อยที่ฉันคิดว่าเค้าจะไม่สนใจใยดี
ปล่อยให้ฉันประกวดไปจนเสร็จถึงจะมาหา
กลับโผล่ขึ้นมาหน้าเวทีทั้งๆเกือบๆจะนาทีสุดท้ายของการประกวดแล้วแท้ๆ
..ให้ตายเถอะ..ตอนนี้ฉันเข้าใจความรู้สึกของนางงามตอนได้รับมงกุฏแล้วล่ะ
ว่าทำไมเค้าต้องร้องไห้กันด้วย
ฉันแอบยกช่อกุหลาบขึ้นมาบังหน้าตัวเองนิดนึงก่อนจะใช้มืออีกข้างแอบเช็ดน้ำตาที่เผลอไหลออกมาด้วยความดีใจตอนเห็นเอื้อย
อาจารย์ก็อึ้ง
หยุดนับก้มลงไปมองเอื้อยกับดอกกุหลาบพวกนั้น
แล้วหันกลับมาทางที่พวกฉันยืนเข้าแถวรออยู่หน้าเวทีตอนนี้
“อ่ะ..ของใครล่ะนี่..
ใครรู้ตัวว่าเป็นของตัวเองออกมารับด้วย”
แล้วทันทีที่อาจารย์ถามออกไมค์เสียงข้างล่างก็ดังขึ้นเป็นเสียงแซวเป็นจังหวะพร้อมๆกันว่า
“เจ้ย
เจ้ย เจ้ย...”
เสียงนั้นดังขึ้นมาเรื่อยๆ
นักเรียนเกือบๆทั้งห้องประชุมพากันปรบมือและร้องเรียกชื่อฉันเป็นจังหวะจนเอื้อยและฉันพากันยืนยิ้มหน้าแดงค้างอยู่อย่างนั้น
“ออกมารับสิ
เด๋วนับต่อแล้วหมดสิทธิ์มอบแล้วนะ”
อาจารย์หันมาเรียกสติฉันผ่านไมค์อีกรอบจนฉันสะดุ้งตกใจรีบวิ่งออกมาพร้อมๆกับช่อดอกกุหลาบช่อใหญ่อีกช่อที่อยู่ในมือ
ฉันวิ่งออกไปยืนบนเวทีที่ยืนออกไปตรงตำแหน่งที่เอื้อยยืนรอ
ตอนนี้เมื่อมองหน้าเอื้อยใกล้จะเห็นว่าใบหน้าของเอื้อยนั้นเต็มไปด้วยคราบเหงื่อไหลไคลย้อยที่เธอรีบวิ่งเข้ามาหาฉันเมื่อกี้
ฉันย่อตัวลงนั่งยื่นมือไปรับตะกร้าดอกกุหลาบตะกร้านั้นของเอื้อยพร้อมๆกับเสียงปรบมือ
เสียงผิวปากและเสียงโห่แซวของบรรดานักเรียนในห้องประชุมที่ดังขึ้นพร้อมๆกัน
“ไปไหนมานี่
ทำไมมาเอาตอนนี้”
ฉันยิ้มค้างพร้อมๆกับส่งเสียงดังๆพยายามถามเอื้อยผ่านเสียงอื้ออึงในห้องประชุมด้วยความสงสัย
“ออกไปเอาดอกกุหลาบมา
ให้เพื่อนพาไปเอา
เกือบมาไม่ทันแล้วนะนี่
เค้ารีบสุดๆเลยนะนี่รู้มั้ย”
เอื้อยก็พยายามตะโกนใส่ข้างๆหูให้ฉันได้ยิน
ฉันเงยหน้าขึ้นมามองเอื้อยด้วยสายตาที่ทั้งดีใจทั้งปลื้มใจไม่คิดว่าเอื้อยจะแอบออกไปหาดอกไม้ข้างนอกมาโดยที่ไม่ให้ฉันเห็นในช่วงเช้าตอนที่เราอยู่ด้วยกันตอนแต่งหน้านั้น
เอื้อยก็ยิ้มหวาน
เธอยิ้มค้างมองฉันด้วยความดีใจอยู่นานจนอาจารย์ต้องต้องแกล้งกระแอมออกไมค์เบาๆให้พวกเราสองคนเลิกจ้องหน้าตาหวานฉ่ำกันต่อหน้าคนเยอะๆอย่างนี้เสียที
ฉันก็ต้องเรียกสติตัวเองด้วยเพราะใจเผลอลอยไปกับดวงตาหวานๆข้างล่างจนไม่เป็นอันทำอะไร
พลอยจะเสียการเสียงานเปล่าๆ
เอื้อยยิ้มหวานแล้วก็พยักหน้าส่งสัญญาณให้ฉันกลับไปประจำที่ตัวเองได้แล้ว
ฉันก็อยากเดินกลับไปตอนนี้อยู่หรอก...ถ้าไม่ติดความรู้สึกที่ว่า...เหมือนตอนนี้มันยังขาดอะไรบางอย่างไปอยู่
มันเป็นบางอย่างที่ฉันยังค้างๆคาๆอยู่ในใจ
บางอย่างที่ฉันเคยทิ้งโอกาสไปตอนที่คนตรงหน้านี้เคยหยิบยื่นโอกาสแบบนี้ให้กับฉัน
เหมือนบนเวทีประกวดร้องเพลงในตอนนั้น...
เหตุการณ์ในวันนั้นกับวันนี้ดูช่างคล้ายกันเหลือเกิน..
หรือนี่จะเป็นโอกาสให้ฉันได้ย้อนกลับไปทำสิ่งที่ฉันเคยทำผิดพลาดกับเอื้อยเมื่อวันนั้นกันนะ
ฉันทั้งคิดทั้งมองหน้าเอื้อยที่เริ่มยิ้มค้างมองหน้าฉันด้วยความงงๆว่าทำไมฉันถึงไม่ลุกเดินกลับไปที่ตำแหน่งเสียที
..เอาล่ะเป็นไงเป็นกัน...
ฉันคิดก่อนจะยื่นมือทั้งสองข้างที่ข้างนึงถือช่อกุหลาบช่อใหญ่
อีกข้างหนึ่งอุ้มตะกร้าดอกกุหลาบของเอื้อยไว้ออกไปข้างหน้าให้อยู่ระหว่างหัวของเอื้อยทั้งสองฝั่ง
ตอนนี้หัวของเอื้อยโดนบังไว้ด้วยช่อกุหลาบช่อใหญ่และตะกร้าใบใหญ่ๆใบนั้นจนมิด
เอื้อยงงมองลอดมาตามสองแขนของฉัน
และต้องกลายเป็นตัวแข็งตาค้างทันทีที่เธอเห็นฉันค่อยๆโน้มหน้าลอดผ่านเข้าไปในอุโมงค์ดอกไม้ชั่วคราวที่ฉันสร้างไว้สำหรับเราสองคน...
“..เอ๋...???”
เอื้อยร้องเสียงหลงและก็ต้องหยุดลงทันทีที่โดนริมฝีปากของฉันยื่นไปประกบจุมพิตเบาๆให้กับเธอในตอนนี้
..ทุกคนเงียบ..
ในห้องประชุมตอนนี้เงียบกริบ
เพราะทุกคนกำลังอึ้งทันทีที่เห็นภาพฉันก้มลงไปทำอะไรสักอย่างกับเอื้อยในช่อกุหลาบทั้งซ้ายและขวาที่ฉันยื่นเอามาบังสายตาคนอื่นๆในตอนนี้
เอื้อยอึ้งตาค้างมองหน้าฉันอย่างไม่เชื่อสายตาทันทีที่ฉันละริมฝีปากออกมาจากเธอ
ฉันยิ้มหวานและยักคิ้วให้เอื้อยนิดนึงแล้วทำท่าดูดริมฝีปากตัวเองให้เอื้อยรีบรู้ตัวว่าตอนนี้ริมฝีปากของเธอก็มีรอยริมสติกจางๆของฉันติดอยู่ เธอควรจะรีบดูดรอยเปื้อนนั้นออกด้วยดีกว่า เอื้อยรีบทำตามเธอเม้มริมฝีปากไปมาแล้วจ้องมองฉันที่รีบพยุงตัวลุกขึ้นยืนยิ้มหวานตาเยิ้มหอบเอาช่อกุหลาบทั้งสองกลับมาประจำอยู่ที่เดิมท่ามกลางเสียงกรี๊ดของคนในห้องที่เริ่มดังขึ้นเพราะเริ่มมโนกันว่าภาพเบื้องหลังช่อกุหลาบที่พวกเค้าเห็นเมื่อกี้นั้นคืออะไร?
ยังไง?กัน
เอื้อยยิ้มหน้าแดงกร่ำเธอหันซ้ายทีขวาทีตามแรงสะกิดถามของคนรอบๆข้างเธอว่า
เมื่อกี้เราสองคนทำอะไรกันในช่อดอกไม้พวกนั้น
เธอต้องหันมามองดูท่าทีของฉันที่ยืนยิ้มทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อยู่ข้างบนรออาจารย์ประกาศสิ้นสุดการรับดอกไม้โดยไม่ได้สนใจอะไรเอื้อยเลย
แล้วเหมือนเอื้อยจะรู้แกว
ฉันเห็นเอื้อยส่ายหน้าให้คนนั้นทีคนโน้นทีเพื่อบอกพวกเค้าไปว่าไม่มีอะไรในกอดอกไม้ทั้งนั้น...
อาจารย์ประกาศสิ้นสุดการรับดอกไม้เพื่อนับผลโหวต
แล้วก็เป็นดังคาดคืออาจารย์ก็ไม่ได้นับอะไรยากมากมายเลยว่าอันดับหนึ่งที่ได้รับมอบดอกกุหลาบนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก..ฉัน...
เสียงกรี๊ดดังขึ้นทั้งห้องประชุมทันทีตอนอาจารย์ประกาศผลว่าฉันคือมิสวาเลนไทน์ประจำปีนี้
พอฉันรับรางวัลจากผู้อำนวยการโรงเรียน
อาจารย์คนที่ทำหน้าที่พิธีกรก็หันมาถามฉันทันทีที่เจ้าตัวทำหน้าที่สัมภาษณ์นักเรียนที่ได้รับตำแหน่งนี้...
“เมื่อกี้ทำอะไรกันในช่อดอกไม้”
เสียงกรี๊ดดังขึ้นมาทั้งห้องประชุมทันทีที่ได้ยินเสียงอาจารย์ถามเรื่องนี้ออกไมค์
ฉันยิ้มหน้าแดงหันลงไปมองเอื้อยข้างล่างที่ตอนนี้หน้าแดงยิ่งกว่าฉันเสียอีก
เธอยืนเก้ๆกังๆท่ามกลางเพื่อนๆทางซ้ายทางขวาที่เขี่ยและสะกิดแซวเอื้อยในสิ่งที่อาจารย์ถามมาเมื่อกี้นั้น
ฉันหันไปยิ้มให้อาจารย์
“บอกรัก..เพื่อนเฉยๆค่ะ”
เสียงกรี๊ดสนั่นดังขึ้นทันทีที่ได้ยินคำตอบของฉัน
“จริงเหร๊อ..บอกอะไรในช่อดอกไม้มุบมิบๆกันสองคน”
เสียงอาจารย์คนนั้นแซวฉันทำยังกับไม่เชื่อว่าที่ฉันพูดนั้นคือความจริง
“ต้องกระซิบใกล้ๆค่ะอาจารย์
เสียงคนอื่นดังเกินไป
กลัวเพื่อนจะไม่ได้ยินคำว่ารัก..ของหนู”ฉันยิ้มและหัวเราะหึๆแก้ตัวด้วยมุกฝืดๆ
อาจารย์ยิ้มทำตาเจ้าเล่ห์มองฉัน
“รักเพื่อนว่างั้น...”
ฉันพยักหน้ายิ้มรับอาจารย์ทันทีที่อาจารย์ย้อนถาม
“เอ้างั้นโอเคๆ..วันนี้เป็นวันที่จัดกิจกรรมแห่งความรักเราทุกคนมีสิทธิ์มอบความรักให้กัน
ไม่จำเป็นต้องเป็นแฟนกันเสมอไปนะ
เป็นเพื่อน เป็นพี่น้อง
เป็นครูลูกศิษย์กันทุกคนมีสิทธิ์มอบความรักให้กันได้ทั้งนั้นล่ะ
อ้าวๆนักเรียนหญิงข้างล่างก็เลิกมโนเลิกกรี๊ดๆกันได้แล้ว
เค้าได้ตำแหน่งแล้วมาดีใจกับเค้าเรื่องตำแหน่งกันเถอะ...”
เสียงอาจารย์ประกาศออกไมค์เป็นการพูดช่วยให้ฉันกับเอื้อยรอดพ้นจากวิกฤติคู่จิ้นช่อดอกไม้บังกลางหอประชุมได้อย่างหวุดหวิด
เมื่อการประกวดเสร็จสิ้นลงบรรดาแฟนคลับทั้งของฉันและของเอื้อยก็พากันกรูเข้ามาขอถ่ายรูปคู่ของเราของเราทั้งสองคน
พวกเราพาเด็กๆเดินไปถ่ายรูปอยู่ด้านหลังของหอประชุมกันซึ่งตรงนั้นมีอันและน้องนิวยืนถ่ายรูปทำนั่นทำนี่ด้วยกันก่อนหน้านั้นอยู่แล้ว
พอเราสองคนเสร็จจากการถ่ายรูปกับพวกเด็กๆอันที่ยืนแอบมองอยู่ตรงที่พวกเค้ายืนอยู่ก่อนหน้านั้นก็รีบตรงเข้ามาหาพวกเราสองคนทันที
“ไง..สวีทกันจังเลยนะ”
เป็นอันที่เดินแซวเราเข้ามาก่อน
“น้อยกว่าเธอแล้วกันล่ะน่ะ”
ฉันรีบหันไปแซวอันกับน้องนิวที่เดินอายๆขนาบเข้ามาด้วยทันที
“แหมๆ
จะไม่แนะนำน้องเค้าให้ฉันรู้จักหน่อยเหรอ
หวงจังเลยนะ”
ฉันแกล้งแซวน้องนิวที่ยิ้มหน้าแดงขึ้นทันทีที่ได้ยินฉันถามอันอย่างนั้น
“ไม่อ่ะ
ไม่อยากให้รู้จัก
เด๋วก็ไปอีกคนใช่มั้ยเอื้อย”
อันหันไปแซะเอื้อยที่กำลังยิ้มทักกับนิวจนต้องหน้าเหวอที่ได้ยินอันแซวอย่างนั้น
“ไปไหนอะไรยังไงเล่า
อันนี่พูดเอาฮาใช่มั้ย
เค้าก็อยู่อย่างนี้ของเค้าตั้งนานแล้วไม่ได้หนีจากอันไปไหนสักหน่อย
เราก็เป็นเพื่อนที่รักกันสนิทกันอย่างนี้เสมอนี่นาใช่มั้ย”
เอื้อยยิ้มหันไปโอบไหล่แล้วตบเสียงดังแผะๆ
“เค้าพูดเล่นเฉยๆ
ก็แกล้งแซวยัยนี่ไปงั้นล่ะ
เห็นแอบมองน้องเค้าตาเป็นมันเชียว”
“จริงเหรอ”
เอื้อยคิ้วขมวดรีบหันมาถามฉันทันทีที่ได้ยินอันฟ้องอย่างนั้น
“บ้าดิ
ฉันก็มองดูพวกเธอสองคนว่าน่ารักกันดีไม่ได้คิดอะไรสักหน่อย
พูดอย่างนี้อยากมีเรื่องกันอีกใช่มั้ย
หรือจะไฟรท์?”
ฉันก็ไม่น้อยหน้ารีบเถียงยัยอันคืนด้วยกลัวว่าเอื้อยจะพาลโกรธเอา
“ฮ่าฮ่า
ล้อเล่นๆ อะนี่นิว
นี่เจ้ยเพื่อนพี่..แฟนเอื้อย..”
พอแนะนำว่าเป็นแฟนเอื้อยยัยอันก็ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ใส่ฉันกับเอื้อยที่ทำหน้าเลิ่กลั่กเพราะตกใจที่ยัยอันไปแนะนำตัวน้องเค้าอย่างนั้น
น้องนิวยกมือไหว้ฉัน
“ตกลงพี่สองคนเป็นแฟนกันจริงๆใช่มั้ยคะ
หนูเห็นเค้าเชียร์พี่เป็นคู่จิ้นกัน
ถามพี่อันพี่อันก็บอกไม่รู้ให้มาถามพี่สองคนเอง”
ฉันสะดุ้งเหล่ตาไปมองเอื้อยที่เหงื่อตกหันหน้ามามองรอดูท่าทีของฉันก่อนเหมือนกัน
“ฮ่าฮ่า
แล้วแต่จะคิด
เอาที่สบายใจเลยพวกพี่ไม่ว่าอะไรหรอก”
ฉันยิ้มทำหน้าแหยๆตอบน้องนิวไป
“จริงเหรอคะ
งั้นหนูคิดว่าพี่สองคนเป็นแฟนกันจริงๆได้มั้ย
เพราะพี่สองคนเหมาะสมกันมากเลย
จริงๆหนูก็เป็นแฟนคลับของพี่สองคนเหมือนๆกันนะคะหนูตามกดไลค์ภาพพวกพี่สองคนในเพจCuteGirl
ตลอดเลย
ถามพี่อันก็ได้ว่าหนูปลื้มพวกพี่ขนาดไหน”
“ใช่
เลยมาพาลให้ฉันต้องเปลี่ยนไปทำตัวเหมือนคู่จิ้นอย่างพวกเธออีก..จะให้เป็นหญิงรักหญิงแบบสวยๆสาวๆแบบนี้เปลี่ยนไม่ทันแล้วนะ”อันทำเป็นพูดต่อว่าต่อขานน้องนิวใบหน้าก็แสดงความน้อยใจซะเต็มประดา
“เค้าล้อเล่นน่ะ
เค้าชอบตัวเองแบบนี้ล่ะก็พูดแซวไปอย่างนั้นเห็นแต่ก่อนก็สวยหวานไม่ใช่เหรอ”
น้องนิวพูดพลางยื่นมือสองข้างไปหยิกแก้มของอันอย่างหมั่นเขี้ยว
ฉันอมยิ้มมองดูน้องคนนั้นพูดเค้าๆกับอันแล้วก็อดที่จะดีใจกับอันไม่ได้ที่ตอนนี้หัวใจของหล่อนมีคนมาดูแลเทคแคร์เสียที
เอื้อยมองอันที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เพราะโดนน้องนิวหยอกอยู่อย่างนั้นก็หันมายิ้มให้ฉันเหมือนเธออยากจะทำอย่างนั้นกับฉันเหมือนกัน
ฉันยักคิ้วและกระพริบตาให้เอื้อย
อยากให้เอื้อยรู้ว่า...ไม่เป็นไรหรอกนะเวลาที่เรายังอยู่ด้วยกันยังมีอีกเยอะ
ไม่จำเป็นต้องทำอะไรอย่างนี้ตอนนี้ก็ได้..
เอื้อยยิ้มรับทันทีเธอคงรู้ความหมายจากสายตาที่ฉันส่งไปให้
สองคนนั้นหยอกกันอยู่ครู่นึงแล้วก็หันมาถามพวกเราต่อ
“เออ..ตกลงเมื่อกี้บนเวทีทำอะไรกัน..”
อันทำเสียงกรุ้มกริ่มยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แววตาเจ้าเล่ห์นั้นบอกให้รู้ว่าเค้ารู้ว่าเราทำอะไรกันในช่อดอกไม้พวกนั้น
“ไม่บอก..ปล่อยให้งง”
ฉันทำเสียงทะเล้นคืนกลับไปหายัยอันทันที
“เหรอ..แหมต่อหน้าต่อตาคนทั้งโรงเรียนเชียวนะ
ช่างกล้า”
“ก็เหมือนเธอเลย
แหม..พูดมาไม่ดูตัวเองเลยอ่ะ
ยิ่งกว่าเค้าซะอีกของเค้ายังมีช่อดอกไม้บัง”
ฉันรีบแซวยัยอันคืนทันที
“น่านน...แสดงว่าพวกเธอทำแบบฉันในช่อดอกไม้นั่นใช่มั้ย
ฉันรู้แล้วๆ
ฮ่าฮ่า...ในที่สุดก็หลุดจนได้นะเธอยัยเจ้ย”
อันทั้งหัวเราะทั้งพูดหล่อนคงพอใจที่ฉันเผลอหลุดพูดให้เจ้าหล่อนจับไต๋เรื่องนั้นบนเวทีได้
เอื้อยหน้าแดงทันทีที่โดนแซว
เธอหน้าแดงขึ้นเรื่อยๆจนตอนนี้จะกลายเป็นมะเขือเทศซะแล้ว
ยัยอันหยุดหัวเราะแล้วหันมามองเอื้อยที่หน้าแดงทำหน้าเหมือนอายมากๆ
หล่อนคงเป็นห่วงความรู้สึกของเอื้อยเธอจึงรีบมาจับไหล่ขอโทษขอโพยแล้วเอื้อยแล้วขอแยกย้ายจากเราพาน้องนิวกลับบ้านไปสองคน
เราสองคนช่วยกันแบกเอาช่อดอกไม้รวมทั้งกระเป๋าและเสื้อผ้าของฉันเดินไปนั่งอยู่แถวๆลานม้านั่งที่เก่าที่เราชอบไปนั่งพักผ่อนตอนเที่ยง
ตอนนี้เวลาเกือบๆบ่ายสามโมงครึ่งเนื่องจากวันนี้ช่วงบ่ายโรงเรียนยกคาบเรียนให้จัดกิจกรรมประกวดมิสวาเลนไทน์ทั้งคาบ
เมื่อการประกวดเสร็จสิ้นแล้วเด็กๆบางคนก็ถือโอกาสกลับบ้านกันต่อ
บางคนก็ถือโอกาสพาเพื่อน
พาแฟนไปดูหนังซื้อของหรือกิจกรรมต่างๆที่พวกเค้าต้องการจะเซอร์ไพรส์กันในวันแห่งความรักที่จะถึงนี้
ตอนนี้ในโรงเรียนจึงเริ่มเงียบ
นักเรียนที่เหลืออยู่ก็เริ่มทยอยกลับ
โซนม้านั่งหน้าโรงเรียนก็ปราศจากผู้คนไม่มีใครอยู่รอบๆบริเวณนั้นเลยนอกจากเรา
เอื้อยหยิบเอาสำลีขึ้นมาซับเมคอัพรีมูฟเวอร์แล้วค่อยๆทำความสะอาดใบหน้าให้กับฉัน
เธอทั้งทำทั้งยิ้มมองฉันด้วยสายตาละมุนละไมบ่งบอกถึงความสุขใจในสิ่งที่ตัวเธอกำลังมีอยู่ในตอนนี้
“ยิ้มอะไรมองหน้าคนสวยแล้วยิ้มกรุ้มกริ่มอย่างนี้คิดอะไรอยู่”
ฉันแกล้งพูดหยอกแซวเอื้อยทันทีที่เห็นท่าทางมีความสุขอย่างน่าหมั่นไส้ของคนตรงหน้านี้
“อืม..ยิ้มเพราะว่ามีความสุข
มีความสุขก็เลยยิ้มไง
ยิ้มไม่ได้เหรอคะ
จะให้ทำหน้าบึ้งเก๊กสวยแข่งกันอย่างนั้นเหรอ”
เอื้อยทำเป็นเถียงเสียงเนียมๆอายๆ
เธอมองฉันยิ้มตอนถามแล้วเธอก็ยิ้มตามอีก
“ก็ไม่ได้ว่าอะไร..เห็นยิ้มๆมองหน้ามีพิรุธเหมือนสงสัยอะไร”
“ก็สงสัยอยู่นะ”
เอื้อยรีบพูดขึ้นทันทีดวงตาเธอก็จ้องเขม็งฉายแววความสงสัยอะไรสักอย่างอยู่ในนั้น
“สงสัยอะไร”
ฉันก็รีบถามเอื้อยคืนทันที
“ทำไม..เจ้าช่างกล้า...นัก”
เอื้อยยื่นนิ้วชี้มายีจมูกฉันจึกๆตอนที่เธอบอกคำว่า
กล้า ด้วยเสียงหมั่นไส้สุดๆของเธอ
“กล้าอะไร
เอื้อยพูดเรื่องอะไรเค้าไม่เห็นรู้เรื่องเลย”
ฉันแกล้งพูดยียวนกวนอารมณ์เอื้อยคืน
มือก็เอื้อมไปจับแก้มคนสวยที่แดงระเรื่อด้วยความหมั่นไส้
“ไม่ต้องมาพูดเลย
กล้าบ้าบิ่นมากเลยนะที่ทำอย่างนั้นในห้องประชุมต่อหน้าคนเยอะๆ
ไม่กลัวเหรอว่าคนอื่นเค้าจะรู้ว่าเราทำอะไรกัน”
“ก็กลัวอยู่..แต่ว่าความรู้สึกในใจตอนนั้นมันสั่งให้ทำอย่างนั้นกับเอื้อย..เพราะถ้าไม่ทำแล้ว
เค้าคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตเหมือนตอนที่ประกวดร้องเพลงตอนนั้นอีกแน่ๆ”
เสียงฉันเศร้าลงทันทีที่พูดถึงเรื่องที่ฉันเคยทำผิดพลาดกับเอื้อยในอดีต
เอื้อยอึ้ง
หยุดนึกถึงเรื่องนั้นก่อนจะค่อยๆยื่นมือมาค่อยๆเช็ดหน้าให้ฉันต่อ
“พูดเรื่องเก่าๆอีกแล้ว..มันผ่านไปแล้วช่างมันเถอะ
ตอนนี้ทุกอย่างก็โอเคขึ้นแล้ว
เค้าก็รู้สึกดีขึ้นแล้วที่เห็นเจ้ยพยามเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างนี้..แต่ทีหน้าทีหลังระวังตัวหน่อยก็ดี
นี่ต่อหน้าผอ.โรงเรียน
ทั้งอาจารย์ ทั้งนักเรียนทั้งโรงเรียน
ถ้าเกิดผิดคิวขึ้นมาจะกลายเป็นเรื่องไปถึงพ่อแม่เราเลยนะ”
เอื้อยทั้งพูดทั้งแอบต่อว่าเล็กๆเรื่องที่ฉันลักไก่แอบจุ๊บเธอต่อหน้าคนทั้งโรงเรียนอย่างนั้น
“ค่ะคุณผู้หญิง
อิฉันจะระวังตัวเองให้มากขึ้นกว่านี้นะเจ้าคะ
จะพยายามลดความหวาดหวั่นต่อสายตาคุณผู้หญิงให้น้อยลงกว่าเดิม
แล้วจะได้ไม่เผลอปล่อยใจทำอะไรเกินเลยอย่างนั้นต่อหน้าธารกำนัลอย่างนั้นอีก”ฉันทำเสียงกระแนะกระแหนแกล้งพูดเป็นสำเนียงหญิงไทยในสมัยโบราณกาลก่อน
“ทำเป็นเล่นไป
เด๋วก็โดนเอาคืนหรอก..พูดถึงเรื่องพ่อกับแม่แล้วตกลงว่าขอหรือยัง
พรุ่งนี้แล้วนะ”
“ขอแล้วสิ..”
ฉันทำหน้าทะเล้นทะลึ่งตึงตังคุยกับเอื้อยต่อ
“แล้วตกลงว่าไง”
เอื้อยก็ตื่นเต้นเธอก็ถามคืนในสิ่งที่เธออยากรู้เหมือนกัน
ฉันยิ้มน้อยจ้องตาเอื้อยคืนอยู่นานก่อนจะพยักหน้าหงึกๆบอกให้รู้ว่าสิ่งที่เธอต้องการนั้นสัมฤทธิ์ผลแล้วนะ
เอื้อยดีใจโผเข้ากอดฉันทันที
“จริงๆอ่ะ”
เธอทั้งพูดทั้งร้องด้วยความตื่นเต้นจนฉันต้องแอบเหล่ตามองแล้วแขวะเธอคืนด้วยความหมั่นไส้
“ดีใจออกนอกหน้าจังเลยนะ
ระริกระรี้เกินงาม..ทำยังจะได้สามี”
“ใครบอก
ภรรยาต่างหากล่ะ”
เอื้อยรีบเถียงคืนทันที
“หราา..
สรุปว่าตกลงเรื่องค่าสินสอดแล้วใช่มั้ย”
“ตกลงแล้วสิ..แต่ว่าอาจจะขอลดลงอีกนิดนึงได้มั้ยอะ”
เอื้อยทำเสียงออดอ้อน
พลางหันไปหยิบเอาตะกร้าใส่กุหลาบตะกร้านั้นขึ้นมาให้ฉันดู
“รู้มั้ยว่ากุหลาบที่เค้าขายช่วงวันวาเลนไทน์นี้แพงมากมากเลยนะ
ขนหน้าแข้งร่วงเกือบหมดแหนะกว่าจะไปกว้านซื้อมาให้ได้ขนาดนี้”เอื้อยทั้งยิ้มทั้งพูด
“ก็เลยจะให้ลดให้ว่างั้น..”
ฉันย้อนถามเอื้อยคืน
เอื้อยยิ้มทำตาหวานแสดงท่าทางออดอ้อนของเธอมาอีกแล้ว
“ทำยังซื้อผักซื้อปลาเนอะ
ถามหาส่วนลดนั่นโน้นนี้
เอานั้นเอานี่มาหักลบอย่างนี้ประเดี๋ยวก็ไม่ไปนอนด้วยซะหรอก”
ฉันแกล้งทำเสียงงอนๆต่อว่าเอื้อย
“โอ้ย
ไม่ลดก็ได้
แค่อยากให้รู้ว่าเค้าทุ่มเทให้เจ้ยมากๆเลยรู้มั้ย..จะมีผู้หญิงดีๆที่ไหนที่เค้ายอมเสียภาพภพจน์วิ่งตามจีบตามเอาใจผู้หญิงด้วยกันได้ขนาดนี้..โดยเฉพาะคนสวยๆอย่างเค้าอ่ะ
เจ้ยจะไม่เห็นความดีเค้าบ้างเลยเหรอ”
ฉันนั่งฟังเอื้อยแล้วคิดตามเห็นแล้วก็อดที่จะนึกถึงภาพที่เอื้อยวิ่งกระหืดกระหอบวิ่งแบกช่อดอกไม้เข้ามาในหอประชุมไม่ได้
...มันก็จริงอย่างที่เธอบอกนั่นล่ะ
เอื้อยเรียบร้อยเป็นกุลสตรีขนาดนี้
แถมยังเป็นดาวโรงเรียนที่ทุกๆคนต่างโหวตให้ว่าสวยที่สุดในโรงเรียนแล้วแท้ๆ
แต่เธอก็ยังต้องตามจีบตามเอาใจตามง้องอนฉันอยู่ตลอดจนเสียภาพพจน์คนสวยไปหมดแล้ว
...ยิ่งคิดยิ่งมองเอื้อยฉันก็ยิ่งดีใจ
เป็นบุญของแกจริงๆเลยนะเจ้ยที่ได้มาเจอคนที่ดีพร้อมอย่างนี้..
ฉันยื่นใบหน้าไปหอมแก้มคนที่พยายามเสนอความดีความชอบของตัวเองมาให้กับฉัน
แล้วรีบกลับมานั่งยิ้มตาหวานมองหน้าคนตรงหน้าที่ตกใจเพราะโดนขโมยหอมแก้มอีกแล้ว
“ก็เห็นอยู่นี่ไงคะ
เค้าถึงอดใจที่จะทำอย่างนั้นกับเอื้อยหน้าเวทีไม่ได้
เอื้อยก็รู้อยู่แล้วนี่ว่าเค้าน่ะอายคนเป็นที่สุด
โดยเฉพาะเวลาที่คนแซวเรื่องของเรากัน
แต่วันนี้ความดีความพยายามของเอื้อย
มันบอกให้เค้ารู้ว่า
เค้าจะแคร์คนอื่นทำไมในเมื่อคนที่แคร์เค้าที่สุด
เค้าไม่ได้กลัวที่จะเป็นคนไม่ดีในสายตาคนอื่นเลย
เค้าจะยอมปล่อยให้เค้าคนนั้นเป็นคนบ้าในายตาคนอื่นทำโน่นทำนี่อยู่คนเดียวโดยที่เค้าไม่สนใจอย่างนั้นเหรอ
ไม่หรอกนะ..ครั้งนี้เค้าก็ยอมเป็นคนบ้าไปพร้อมๆคนที่เค้ารักเหมือนๆกัน
เอื้อยจะไม่รู้สึกว่าที่เอื้อยทำอย่างนั้นอย่างนี้ให้เค้าน่ะเป็นเสียเปล่าไปฝ่ายเดียวหรอกนะ
เราเป็นผู้หญิงด้วยกันทำตัวดีมาเหมือนๆกันถ้าวันนี้มันจะมีอะไรต้องเสียเค้าก็พร้อมจะยอมเสียมันไปพร้อมๆกับเอื้อยนะ...”
เอื้อยยิ้มหวานทำตาซึ้งเธอยื่นมือมาลูบแก้มของฉัน
“ขอบคุณเจ้ยนะ
ขอบคุณจริงๆเค้าไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากนี้แล้ว
นึกไม่ออกจริงๆ
ถ้าอยู่ด้วยกันสองคนเค้าคงจะ..เจ้ยไปแล้ว”
เอื้อยเลื่อนนิ้วมาจับที่ริมฝีปากของฉันเพื่อที่จะทำให้รู้ว่าคำว่าจะ..ของเธอนั้นหมายถึงอะไร
“ทำอย่างนี้เหรอ...”
ฉันยื่นหน้าไปขโมยจุ๊บจากริมฝีปากงามๆของเอื้อยอีกครั้งนึงก่อนจะรีบดึงวงหน้าตัวเองคืนแล้วมาทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ต่อเบื้องหน้า
“เฮ้ย...”
เอื้อยร้องเสียงหลงเธอหันซ้ายหันขวามองคนรอบๆโซนม้านั่งที่เรานั่งกัน
โชคดีที่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่แถวๆนั้นแล้ว
“ได้ทีขี่แพะไล่เลยนะ
จุ๊บเอาๆอย่างนี้ประเดี๋ยวก็จับไปปล้ำซะหรอก”
เอื้อยหน้าแดงทำเป็นพูดขู่ฉัน
ฉันตาโตเลิ่กคิ้วแกล้งยั่วประสาทเอื้อย
“อ๊ายย..
กลัวจังเลยอะ..พรุ่งนี้ต้องไปอยู่ด้วยสองต่อสองอย่างนี้จะไม่แย่เลยเหรอ
งั้นเค้าไม่ไปดีกว่านะ
อุตสาห์รักนวลสงวนตัวมาตั้งนานไปพรุ่งนี้ก็แย่ล่ะสิ”
ฉันดัดเสียงแกล้งพูดมีจริตจะกร้านเหมือนคนอ่อนแอขี้กลัวแลดูโลกสวยเกินงาม...
เอื้อยตาขวางนั่งมองฉันอย่างงอนๆ
“เวอร์แล้วเห็นเค้าเป็นอะไรนี่
เค้าเป็นสุภาพบุรุษจะตายนะ
เจ้ยก็รู้อยู่แล้วนี่ถ้าไม่ยอมเค้า
เค้าก็ไม่ทำอะไรหรอก..แต่ถ้าพูดอย่างนี้แล้ว
เจ้ยก็ห้ามทำอะไรเค้าเลยนะถ้างั้น
หมั่นไส้..”
“โอ้ย..ขอโทษๆเค้าแกล้งพูดเล่นไปอย่างนั้นล่ะนะอย่างอนเลยนะ
นะคะนะ”
ฉันโน้มตัวไปกอดทั้งจักกะจี๊เอื้อยที่หลุดยิ้มและหัวเราะออกมาพร้อมๆกับฉันด้วยความสุขที่ออกมาจากใจ
ท่ามกลางลมหนาวที่กำลังพัดโชยมาตามช่วงเวลายามเย็นที่กำลังเคลื่อนผ่านเข้ามาหาพวกเราทั้งสองคน...