Girlfriend
Special
Part
Valentine's
Day gift
Chapter 2
ฉันยิ้มและหัวเราะหึๆทันทีที่คิดได้
ตาก็จ้องมองไปที่สองคนนั้นด้วยความอารมณ์ดี
และเหมือนน้องคนนั้นจะรู้ว่าฉันมองเค้ากับอันเธอเลยสะกิดอันให้หันมาดูฉัน
ยัยอันหันควับมาทางฉันทันทีที่น้องคนนั้นบอก
แล้วก็เหมือนสองคนนี้คุยอะไรกันอยู่ครู่นึงน้องคนนั้นก็โบกมือลาอันแล้วเดินไปทางหน้าโรงเรียน
เธอคงเตรียมขึ้นรถกลับบ้าน
ส่วนยัยอันหันหน้ามามองฉันและเดินดุ่มๆจากรถคันนั้นเข้ามาหาฉันในโรงเรียนทันที
ฉันยิ้มและยักคิ้วไปทางน้องคนนั้นเพื่อแกล้งยั่วยัยอันที่ทำหน้าถมึงทึงเหมือนจะโกรธแหล่ไม่โกรธแหล่อยู่นี่
“ยิ้มอะไร
แล้วเธอมองพวกฉันทำไม”
เป็นยัยอันที่เปิดประเด็นขึ้นมาก่อน
“ยิ้มเฉยๆก็มองเฉยๆตามประสาคนรู้จักกัน”
ฉันทั้งยิ้มทั้งพูดมองยัยอันที่ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อว่าที่ฉันพูดนั้นเป็นความจริง
“ได้แฟนสวยนะคะ..ตาถึงนะนี่”
ฉันทำหน้ากรุ้มกริ่มยิ้มเล็กยิ้มน้อยแซวอันที่จ้องเขม็งมองมาที่ฉันใบหน้าหล่อนก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงๆด้วยความอาย
ก่อนจะรีบเก๊กหน้าแก้เขินพูดกับฉันด้วยเสียงห้วนๆ
“แล้วไง..”อันคิ้วขมวดเหล่ตามองฉัน
หน้ายังแดงระเรื่ออยู่เหมือนเดิม
“ห้ามแย่งเลยนะคนนี้..อุตสาห์ยกเอื้อยให้แล้วอย่ามายุ่งของฉันอีกนะ”
อันทั้งพูดทั้งเขินทำท่าทางชี้หน้าหาเรื่องแก้เขินฉัน
“บ้า
ใครเค้าจะแย่ง พูดยังกับน้องเค้าจะชอบฉัน
ถึงฉันชอบน้องเค้า
เค้าก็ไม่ชอบฉันเหมือนเดิมล่ะ
แล้วฉันน่ะ ก็โอเคแล้ว
มีแฟนแล้ว แฟนหวงด้วย จบป่ะ”
ฉันทั้งพูดทั้งหัวเราะ
อันยิ้มหน้าแดงทันทีที่ได้ยิน
“เออ
ก็ดีแล้ว แล้วอยู่ไหนล่ะแฟนเธอวันนี้ยังไม่เห็นหน้าเลย”
“เค้าไปประชุมชุมนุมเค้าอยู่
ยังไม่เลิก แต่เดี๋ยวก็คงมาแล้วล่ะ”
ฉันพูดไปก้มมองดูนาฬิกาไป
“อ๋อ..”อันพยักหน้าขานรับทันที
แล้วเหมือนเธอจะนึกอะไรขึ้นมาได้
“เออ..อย่าลืมเตรียมของขวัญให้แฟนเธอด้วยล่ะ
รู้เปล่าว่าแฟนเธอน่ะเค้าเห่อมากเลยนะทำยังกับวาเลนไทน์ปีนี้มันพิเศษกว่าปีอื่นๆมากๆ
อันพูดไปยิ้มไปท่าทางมีเลสนัยเหมือนกับเธอรู้อะไรบางอย่าง
“..พูดกรอกหูฉันทุกวันเลยอะไรก็ไม่รู้โทรมาหาเพื่อนทีไรคุยแต่เรื่องแฟนตลอดนี่ก็
ขอเมาส์นิดนึงเหอะแฟนเธออ่ะ..”อันทำท่าเหมือนจะกระซิบกระซาบคุยเรื่องเอื้อยกับฉัน
“เหรอ...”
เสียงลากยาวๆคุ้นๆแทรกมาตรงกลางระหว่างฉันกับอัน
เล่นเอาซะอันกับฉันสะดุ้งพร้อมๆกันทันทีที่ได้ยินเลยทีเดียว
“นินทาอะไรเค้ากันไม่ทราบ..”
เอื้อยทำเสียงงอน
มองค้อนสลับไปมาที่ฉันทีอันที
“เปล้า..”อันทำเสียงสูงปฏิเสธ
ฟังน้ำเสียงหล่อนก็รู้ว่ามีพิรุธ
“เค้าแค่ถามหาเอื้อยอ่ะ
วันนี้ยังไม่เห็นหน้าเลยคิดถึ๊งคิดถึง”
อันทำเสียงสูงตรงคำว่า
คิดถึ๊งคิดถึง
ยิ่งฟังยิ่งรู้ว่าประชด
“ไม่เชื่อหรอก”
เอื้อยเบ้ปากใส่อันแล้วทำตาเล็กตาน้อยมองค้อนอันคืนไปอีกโขนึง
“ตั้งแต่มีแฟนนี่..ลืมเพื่อนเลยนะ
แต่ก่อนไม่เห็นจะนินทาอย่างนี้เลย
รู้อย่างนี้ไม่ติดต่อให้ดีกว่า”
เอื้อยทำเป็นงอนพูดทวงถามบุญคุณกับอันเรื่องที่เอื้อยเคยเป็นแม่สื่อให้น้องนิวได้ทำความรู้จักกับอัน...
….ย้อนกับไปเมื่อตอนที่ฉันกับเอื้อยมีปัญหากัน....
ตอนนั้นเอื้อยเปิดตัวว่าคบกับกร
อันในตอนนั้นก็รู้สึกเสียใจไม่แพ้ฉันที่อยู่ๆเอื้อยก็ไปคบกับผู้ชายอย่างนั้น
เอื้อยบอกว่าตอนนั้นเอื้อยเองก็รู้สึกผิดที่เห็นเพื่อนที่เธอรักต้องมาเสียใจเพราะตัวเธอเป็นต้นเหตุ
เธอเลยพยายามหาคนมาดูแลหัวใจของอันให้
ซึ่งก็เหมือนบุญของอันนำพาชะตาฟ้าลิขิต..
ในวันที่เอื้อยนั่งรอกรมารับที่หน้าโรงเรียน
เธอได้ยินกลุ่มเด็กสาว3-4คน
ซึ่งน่าจะอยู่ประมาณชั้น
ม.5นั่งอยู่เยื้องๆม้านั่งถัดไปคุยกันเรื่องของอัน
โดยที่พวกเค้าไม่ทันสังเกตุว่าเอื้อยนั่งอยู่ตรงนั้น..เสียงนั้นแว่วๆมาเข้าหูเอื้อยมาว่า..
“แย่จัง..วันนี้ยังไม่เห็นพี่อันเลยอ่ะ
ตั้งแต่เช้าแล้ว..”
แล้วแค่ได้ยินคำว่า
“อัน” แค่นั้น
เอื้อยก็หูผึ่งรีบหันไปตามเสียงที่มาทันทีโดยที่ยังไม่รู้ว่า
อันที่ว่าหมายถึงใคร
แล้วทันทีที่เอื้อยเห็นเจ้าของที่มาของเสียงเอื้อยก็รู้ทันทีว่า
เด็กผู้หญิงคนนี้ล่ะที่จะมารักษาแผลใจของอันได้
เจ้าของเสียงเป็นเด็กสาวตัวเล็กๆผอมบางใบหน้าของเธอก็สวยหวานท่าทางจะยิ้มเก่งและร่าเริงอีกด้วยซึ่งเด็กคนนั้นก็คือน้องนิวนี่เอง
ตอนนั้นเธอทั้งพูดทั้งยิ้มใบหน้ามองดูมีความสุขตอนที่พูดถึงคนที่ชื่ออัน
ซึ่งแม้เอื้อยจะไม่แน่ใจว่าอันที่น้องคนนั้นกล่าวถึงนั้นใช้อันเพื่อนของเอื้อยหรือเปล่า
แต่ลางสังหรณ์ของผู้หญิงที่รักหญิงด้วยกันมันบอกเธอว่า
...อันที่น้องคนนั้นกล่าวถึงก็คือเพื่อนของเธอนั่นล่ะ..
ตอนนั้นในหัวของเอื้อยมีแผนการบางอย่างอยากจะทดสอบปฏิกิริยาของเด็กสาวผู้มีรอยยิ้มสวยหวานสดใสที่เอื้อยเล็งไว้ว่า
“อัน” ในหัวข้อสนทนาของเด็กสาวพวกนี้นั้นคือ
“อันจอมเก๊ก”เพื่อนเธอหรือเปล่า
เอื้อยรีบหยิบโทรศัพท์ส่งไลน์เรียกอันมาหาหน้าโรงเรียน
ซึ่งเป็นไปตามคาดแค่อันได้รับข้อความจากเอื้อยอันก็รีบตรงมาหาเอื้อยที่หน้าโรงเรียนทันที
แล้วทันทีที่อันเดินเข้ามาใกล้กับม้านั่งที่เอื้อยนั่ง
เสียงวี๊ดเบาๆของเด็กโต๊ะนั้นก็ดังขึ้น
เอื้อยยิ้มกรุ่มกริ้มแอบหันไปชำเรืองกลุ่มเด็กสาวพวกนั้น
ตอนนี้เพื่อนๆของน้องนิวสองสามคนกำลังพยักเพยิดเรียกน้องนิวให้ดูอันที่กำลังทำเป็นเท่ห์เดินมาแถวๆที่พวกเค้านั่ง
ซึ่งตอนนี้น้องนิวก็เขินหน้าแดงก้มหลบหน้าอันทันทีที่เค้าเห็นอันเดินมาใกล้ๆ
อันเดินยิ้มตรงมาหาเอื้อยโดยหารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้วเอื้อยไม่ได้ตั้งใจจะเรียกอันให้มาหาเลย
แล้วทันทีที่เด็กสาวพวกนั้นเห็นอันมานั่งอยู่โต๊ะเดียวกันกับเอื้อยพวกกันก็รีบสะกิดน้องนิวแล้วทำท่าซุบซิบเรื่องที่เห็นอันเดินมาหาเอื้อยอย่างนี้โดยที่อันไม่รู้ตัวเลย
ตอนนั้นเอื้อยแอบชำเรืองมองไปที่น้องนิว
น้องเค้าก็นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดจ้องมองมาที่อันประหนึ่งคนกำลังเสียใจที่เห็นอันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่คุยกับเอื้อยท่าทางมีความสุข
ซึ่งตอนนั้นเอื้อยก็แอบเล่นละครแกล้งดูน้องคนนั้นว่าจะมีท่าทางอย่างไรเมื่อเอื้อยแกล้งเข้าไปนั่งชิดๆและโอบแขนอันอย่างนี้
ซึ่งได้ผลน้องคนนั้นคิ้วขมวดนั่งมองภาพเบื้องหน้าด้วยความเสียใจ
เธอคงทนมองดูไม่ได้จึงลุกขึ้นเดินหนีจากโต๊ะนั้นไปยืนอยู่หน้าโรงเรียนเอาดื้อๆ
ตอนนั้นเอื้อยดูออกทันทีว่าน้องคนนี้ชอบอัน
และไม่อยากให้อันเสียโอกาสและไม่อยากให้น้องคนนั้นเข้าใจตนเองกับอันผิดๆเอื้อยจึงรีบเปิดประเด็นกับอันทันที
“อัน
อันว่าน้องคนนั้นสวยมั้ย”
เอื้อยพยายามชี้ให้อันมองไปที่น้องนิวที่ตอนนี้ยืนโดดเด่นอยู่หน้าโรงเรียนและหันมาชำเรืองมาอันอยู่เรื่อยๆ
และทันทีที่อันหันไปเห็น
อันก็หยุดกึ๊กจ้องมองน้องคนนั้นอยู่นานโขทีเดียวจนเอื้อยต้องเรียกอันให้หันกลับมาคุย
และภาพใบหน้าของอันตอนที่หันมานั้นก็คือ
ใบหน้ายิ้มแก้มแดงเหมือนคนกำลังตื่นเต้นเมื่อเห็นของสวยๆงามๆอย่างที่ตัวเองชอบ
“สวยมั้ย
ถามไม่ตอบเอาแต่อึ้งอยู่ได้”เอื้อยยังถามย้ำ
“สวยสิ
ถามทำไมอ่ะ
เอื้อยชอบน้องคนนั้นเหรอ”อันถามเอื้อยด้วยเสียงกังวลด้วยกลัวว่าเอื้อยจะชอบผู้หญิงคนอื่นอีกและกลัวเธอจะเสียใจจากผู้หญิงเหมือนๆกันกับฉัน
“บ้า..ไม่ได้ชอบ
น้องเค้าคงมีคนที่ชอบอยู่แล้วล่ะ”
“ก็คงงั้น
ก็สวยน่ารักอย่างนั้นนี่น่า”
อันทั้งพูดทั้งแอบหันไปชำเรืองมองที่น้องคนนั้นอีก
“ถามอะไรหน่อยดิ
ถ้ามีโอกาสได้เจอสิ่งที่ดีในชีวิตแล้ว..อันจะปล่อยให้หลุดมือมั้ย”
อันคิ้วขมวดจ้องมาที่เอื้อยด้วยความสงสัย
“หมายความว่าไง”
เอื้อยยิ้มแล้วก้มลงหาลูกอมรูปหัวใจในกระเป๋านักเรียนที่อันมักจะเอามาให้เอื้อยในตอนเช้าก่อนเข้าแถวเสมอยื่นมาให้อันที่ทำหน้างงๆ
“ตอนนี้โอกาสมาหาอันแล้วนะ
นี่คือหัวใจของอัน
เค้ารู้แล้วล่ะว่ามันควรจะอยู่กับใคร
นั่งรอเค้าอยู่นี่นะ
มีคนอยากคุยด้วย”
เอื้อยยิ้มร่ารีบลุกขึ้นเดินถือลูกอมอันนั้นเดินผ่านกลุ่มนักเรียนหญิงที่แอบดูพวกเค้าสองคนคุยกันจนไปหยุดที่น้องนิว
“น้อง
เพื่อนพี่ฝากมาให้น่ะ
น้องว่างมั้ย..คุยกับเพื่อนพี่ก่อนได้มั้ย”
เอื้อยทั้งพูดทั้งยิ้มทั้งหันมามองอันที่ทำหน้าเหวอๆมองเอื้อยส่งลูกอมลูกนั้นให้น้องคนนั้น
พร้อมๆกับชี้กลับมาที่อัน
ตอนนั้นน้องนิวก็ทำหน้าเหวอทั้งอายและไม่กล้าเดินไปหาอัน
จนเอื้อยนั้นต้องจูงแขนไปหาอันที่ทั้งหน้าแดงและอึ้งกับภาพที่เห็นน้องคนนั้นยิ้มหน้าแดงและนั่งลงคุยด้วยกับอันท่ามกลางเสียงแซวและเสียงปรบมือของเพื่อนๆน้องนิวที่ร้องยินดีกับภาพนั้น
ตอนนั้นแม้อันจะยังงงๆแต่ก็โดนเอื้อยขยิบตาให้ตอบรับในสิ่งที่เอื้อยพูดไปว่า
“อันอยากคุยอยากรู้จักกับน้องนิวอย่างไร”
ซึ่งอันก็เออออห่อหมกไปตามที่เอื้อยพูดด้วยจนกระทั่งสองคนนี้นั่งคุยกันเองเพราะเอื้อยต้องกลับบ้านก่อน
แล้วอีกสองวันต่อมาหลังจากนั้น..
อันก็เปิดตัวว่าคบกับน้องนิวทันที...
ซึ่งในตอนแรกเวลาที่สองคนนี้จะคุยกัน
เอื้อยก็มักจะไปเป็นเพื่อนอันที่เก้อเขินไม่กล้าไปหาน้องเค้าคนเดียว
แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าสองคนนั้นติดกันยังกับปลาท่องโก๋
ภายในวันนึงจะต้องเห็นสองคนนี้อยู่ด้วยกันไม่เช้าก็เที่ยงไม่เที่ยงก็เย็นเสมอ
จนเอื้อยยังแอบงอนว่าอันนั้นลืมเพื่อนที่อันมักจะแวะมาหาบ่อยๆอย่างเอื้อยไปเสียแล้ว
.อย่างเช่นตอนนี้...
...เอื้อยทำตาเล็กตาน้อยมองค้อนอันที่ยิ้มแหยๆคืนกลับมาให้เอื้อยทันทีที่ได้ยินประโยค
“รู้อย่างนี้ไม่ติดต่อให้ดีกว่า”
“โอ้ยขอโทษๆ
ไม่ได้นินทาอะไรมากหรอกนะ
เค้าแค่พยายามทวงของขวัญกับเจ้ยให้เอื้อยเท่านั้นเอง
ใช่มั้ยเจ้ย”
ฉันอมยิ้ม
ยักคิ้วคืนให้เอื้อยก่อนจะเอื้อมมือมาดึงแขนเอื้อยให้เข้ามาอยู่ใกล้ๆ
“อย่าโกรธเพื่อนเลยนะไม่มีอะไรจริงๆ
อันก็แค่เป็นห่วงกลัวว่าเค้าจะไม่สนใจเอื้อยจนลืมของขวัญวาเลนไทน์เฉยๆอ่ะ
อย่าคิดมากเลย เด๋วไม่สวยนะ”
เอื้อยหันมายิ้มมองหน้าฉันที่พยายามพูดช่วยอันและอ้อนเอื้อยไม่ให้เธอโกรธให้ฉันกับอันเรื่องที่แอบนินทาเธออย่างนี้
“แล้วนี่น้องนิวไปไหนแล้วล่ะ
ไม่รอกลับบ้านพร้อมอันเหรอ”
เมื่อเอื้อยเริ่มหายงอนก็ถามหาบุคคลที่สามที่เอื้อยพูดขึ้นมาก่อนหน้านั้นทันที
“อืม
วันนี้นิวรอพ่อมารับน่ะ
ช่วงนี้บ้านนิวหวงๆลูกสาวยังไงไม่รู้
เค้าไปส่งที่บ้านไม่ได้เลย
ต้องแอบมาคุยกันที่โรงเรียนเอา”
อันทำหน้าเซ็งนิดนึงตอนเล่าปัญหาที่บ้านของน้องนิวให้ฟัง
“อ้าวเหรอ..ไม่เป็นไรอันสู้ๆค่อยๆเป็นค่อยๆไป
อุปสรรคมีเยอะเราก็ต้องฝ่าฟันไปให้ได้
ดูตัวอย่างพวกเค้านี่สิ..”
เอื้อยยิ้มหวานให้กำลังใจอันพลางดึงฉันเค้าไปกอดเอวใกล้ๆแล้วทำท่าเหมือนจะหอมแก้มต่อหน้าอันและคนอื่นๆในโรงรถอย่างนี้
~~~เอ้ยยยย~~~~
ฉันหน้าเหวอร้องโวยวายรีบก้มหลบจุมพิตนั้นของเอื้อยทันที
ตอนนี้ฉันทำเขินทั้งอายใบหน้าก็แดงขึ้นเรื่อยๆๆ
จนอันต้องร้องแซวบอกว่าฉันยังไม่ชินอีกเหรอ
ส่วนเอื้อยนั้นหัวเราะคิกๆคักๆแล้วแกล้งเปลี่ยนอารมณ์เป็นหน้าบึ้งงอนว่าฉันรังเกียจและไม่สนใจที่เธออุตสาห์เอาใจอย่างนี้เลย
จนฉันต้องได้ง้องอนเอื้อยต่อหน้าอันที่บ่นพึมๆพัมๆว่าอิจฉาพวกเราสองคนเหลือเกิน
ฉันหันไปยิ้มแล้วเอื้อมมือไปจับไหล่อัน
“ไม่ต้องอิจฉาหรอก..เส้นทางชีวิตของคนเราไม่เหมือนกันนะ
เธอกับแฟนเธอก็โชคดีที่ได้รักกันเลยไม่ต้องรอเวลาอะไรมาก
แค่ต้องพยายามเดินทางตามระยะเวลาให้ไกลที่สุดเท่านั่นเอง”
ฉันยิ้มไปพูดไปอยากให้กำลังใจอันที่ทำหน้าเหงาๆตอนมองฉันกับเอื้อยหยอกกันอยู่อย่างนี้
“คิดถึงก็ค่อยโทรหาเค้าสิ
โทรจนโทรศัพท์พังไปเครื่องนึงแล้วไม่ใช่เหรอ”
เอื้อยแซว
อันหัวเราะหน้าแดงทันทีที่คิดได้เรื่องที่เอื้อยแซว
“อืมเปลี่ยนใหม่แล้วล่ะออกให้น้องเค้าเป็นรุ่นเดียวกันทั้งสองคนเลย”
“อึยย
น่าอิจฉาน้องนิวจังเลยอ่ะ
มีป๋าอันเป็นเจ้าบุญทุ่มอยู่อย่างนี้..”
เอื้อยทำเสียงกระแนะกระแหนแซวอัน
ก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่องเพราะนึกอะไรขึ้นมาได้บางอย่าง
“เออ..ได้ข่าวว่าได้เพื่อนๆในห้องโหวตให้ลงประกวดมิสวาเลนไทน์เหรอคะ”
เอื้อยยักคิ้วยิ้มกรุ้มกริ่มใส่อันที่หน้าแดงและอายขึ้นทันทีที่โดนล้อเลียนเรื่องนี้
ฉันคิ้วขมวดอ้าปากหวอหันควับไปมองอัน
...ยัยอันนี่นะ
ประกวดมิสวาเลนไทน์
“โอ้ย
เค้าโดนเพื่อนแกล้งอ่ะเอื้อย
ก็ทุกปีที่เอื้อยอยู่เอื้อยต้องลงประกวดแต่ปีนี้เอื้อยย้ายห้อง..พวกเพื่อนในห้องมันก็ดันมีความคิดประหลาดๆบ้าๆบอๆอะไรก็ไม่รู้พวกนี้
อยู่ๆก็เสนอชื่อเค้าแล้วก็ดันโหวตให้ทั้งห้องอีก
ชอบของแปลกอ่ะพวกนี้..”อันทำพูดด้วยน้ำเสียงต่อว่าเพื่อนๆในห้อง
“ก็แหม
อันก็สวยเป็นอันดับสองของห้องนี่นา
ตอนที่อันไว้ผมยาวอ่ะ
อันก็ฮอตจะตายหนุ่มๆตามจีบเพียบเค้าจำได้นะว่า...”ยังไม่ทันที่เอื้อยจะพูดจบอันก็รีบยกมือมาปิดปากเอื้อยทันที
“โอ้ย
ห้ามพูดเรื่องในอดีตเลยนะ
เด๋วคนแถวนี้จะขำเอา”
เอื้อยพยายามหลบตัวออกมาจากอันแล้วหัวเราะคิกๆคักๆทันทีที่ได้พูดหยอกอันในเรื่องสมัยก่อน
“แล้วห้องหนึ่งใครได้ลงอ่ะ”
อันหันมาถามพวกเราบ้าง
“ให้ทาย..”
เอื้อยยิ้มหวานแทนที่จะตอบกลายเป็นตั้งคำถามใหม่คืนอันไปเสียนั้น
อันคิ้วขมวดมองหน้าฉันสลับกับเอื้อยไปมา
ทำหน้าครุ่นคิด
“อืม..จริงๆเค้าคิดว่าเป็นเอื้อยนะ
แต่เอื้อยคงไม่ยอมเป็นเองหรอกถ้าแฟนตัวเองอยู่ในห้องด้วยกันอย่างนั้น”
อันยิ้มกรุ่มกริ้มมาทางเอื้อย
“ก็เอื้อยอ่ะออกจะหลงแฟนขนาดนั้นยังไงก็ต้องเป็นป๋าดัน
ดันเอาแฟนตัวเองไปประกวดแทนตัวเองอยู่แล้วใช่ป่ะล่ะ”
เอื้อยหน้าแดงทันทีที่ได้ยินอันแซว
“เพราะฉะนั้นให้ทาย..เจ้ย..เธอใช่มัยที่ได้ลงประกวด”
อันชี้นิ้วและทำเสียงซีเรียสตอนที่ทายว่าเป็นฉันประหนึ่งว่าตอนนี้เธอกำลังเล่นบทโคนันยอดนักสืบอยู่
ฉันหัวเราะหึๆยิ้มแหยๆให้อันทันที
กลายเป็นเอื้อยที่ตอบรับแทน
“ถูกต้องแล้วครับ..”เอื้อยหันมายิ้มเจ้าเล่ห์มองฉันที่เธอเดินเข้ามาโอบไหล่ฉันไว้
“ตำแหน่งนี้เค้าเล็งไว้ให้เจ้ยตั้งแต่ต้นปีแล้ว
คนที่ทั้งสวยทั้งนิสัยดีและเป็นที่รักของเพื่อนในห้องทุกคนอย่างนี้เหมาะสมแล้วล่ะที่จะได้รับความรักจากเพื่อนๆทั้งห้อง
โดยเฉพาะ...เค้า”เอื้อยลากเสียงหวานๆของเธอตอนที่จ้องมองมาที่ฉันด้วยดวงตาหวานละมุน
จนบุคคลที่สามต้องร้องแซวขึ้น
“โอ้ย
เค้ากลับบ้านก่อนนะอย่างนั้น
ไม่อยู่แล้ว ไม่รู้จะอยู่ทำไมนี่
เหมือนเป็นอากาศยังไงไม่รู้
อิจฉาๆ ไปแล้ว พวกเธอก็รีบๆไปส่งกันได้แล้ว
อย่ามาปล่อยความหวานแถวนี้ให้มากนักคนอื่นเค้าจะหมั่นไส้เอา”
อันทั้งพูดทั้งหันหลังเดินกลับไปที่รถของเธอ
พร้อมๆกับฉันและเอื้อยที่หยุดมองตากันแล้วชวนกันกลับบ้านเช่นเดียวกัน
วันพฤหัสบดี
12
กพ...
วันนี้ที่หน้าโรงเรียนก็เริ่มมีคนเอาโต๊ะที่มีตะกร้าใส่ดอกกุหลาบมาวางขาย
มันทีทั้งตุ๊กตาที่เสียบไม้ลูกโป่งที่ถูกตกแต่งด้วยริบบิ้นสีแดงและสีขาวด้านหน้ามีป้ายข้อความหลากหลายข้อความเช่น
LOVE
,MISSYOU ,HAPPY VALENTINE DAY และอื่นๆอีกมากมาย
ฉันเห็นเริ่มมีกลุ่มเด็กผู้หญิงกลุ่มใหญ่ๆเริ่มยืนเลือกดอกไม้และช่อตุ๊กตากันบ้างแล้ว
เราสองคนขับรถผ่านโต๊ะขายกุหลาบพวกนั้นเข้ามาในโรงเรียน
และทันทีที่จอดรถเสร็จเอื้อยก็รีบกระวีกระวาดตรงไปที่โต๊ะขายกุหลาบโต๊ะนั้นทันที
เอื้อยหยิบจับกุหลาบสีขาวขึ้นมาสองสามดอกพลางยื่นมาอวดฉันที่กำลังเดินตามเธอเข้ามาอยู่ใกล้ๆโต๊ะนั้นท่ามกลางสายตาเด็กๆพวกนั้นที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มองดูว่าเอื้อยกับฉันจะซื้อดอกกุหลาบให้ใคร
“เอาป่ะ
เด๋วซื้อให้”
เอื้อยยื่นกุหลาบมาให้ฉันแล้วร้องถาม
“ตักบาตรต้องถามพระด้วยเหรอ
ไม่มีเลยเนอะเซอร์พ้งเซอร์ไพรส์”
ฉันทำเสียงประชดประชันเอื้อย
ท่ามกลางเสียงหัวเราะคิกๆคักๆของเด็กที่แอบมองเราสองคนอยู่
“แหม
ก็ตัวติดกันอย่างกับตังเมอย่างนี้จะให้เซอร์ไพรส์ยังไงเล่า
เอาเปล่าจะเอาก็บอกจะซื้อให้เด๋วน้องพวกนี้เค้าเหมาหมดก่อนนะ”
เอื้อยพูดกับฉันพลางหันมาแซวเด็กๆที่แอบมองฉันกับเอื้อยพูดกันสลับไปมาแล้วก็หัวเราะขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงเอื้อยแซวอย่างนี้
“หนูให้พี่เอื้อยซื้อให้พี่เจ้ยหมดเลยก็ได้ค่ะ..”
เสียงเด็กคนนึงแซวเราทำหน้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“แต่ซื้อแล้วพวกหนูขอถ่ายรูปพี่ลงเพจCUTEGIRLของโรงเรียนได้มั้ย”
น้องคนนั้นมีข้อแลกเปลี่ยนมาเสนอทันที
เอื้อยหันไปมองสงสัยน้องคนนั้น
“หนูเป็นแอดมินเพจอ่ะพี่
หนูปลื้มพี่สองคนมานานแล้ว
เป็นแฟนคลับตัวยงของพี่ๆทั้งสองเลยนะคะ
หนูขอไม่กี่ภาพนะ
ขอเป็นภาพที่พี่เอื้อยให้ดอกกุหลาบพี่เจ้ยก็ได้นะคะ”
น้องคนนั้นทั้งพูดทั้งอ้อนขอร้องให้เรายอมทำตามที่เธอขอร้อง
“อ๋อ
เพจนี้ก็ลงรูปพวกพี่บ่อยแล้วนี่
จะเอาไปลงอีกเหรอ”
เอื้อยหันไปคุยกับน้องคนนั้นทันทีที่นึกขึ้นได้เรื่องเพจน้องคนนั้น
น้องคนนั้นยิ้มหวานส่งให้เอื้อยทันที
“ลงเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อหรอกค่ะ
พี่เอื้อยกับพี่เจ้ยน่ารักและเหมาะสมกันที่สุดหนูยังแอบเชียร์ให้พี่คบกันจริงๆเลย”
“เอ๋า
ก็คบกันอยู่
ไม่เชื่อเหรอว่าพวกพี่สองคนคบกันเป็นแฟนกัน”
เอื้อยยิ้มหวานหันมาโอบและซบหัวไหล่ฉันพูดทีเล่นทีจริงปล่อยให้น้องคนนั้นแอบหันไปกรี๊ดกับเพื่อนสองสามคนของเธอแล้วหันมายิ้มหวานให้เราสองคนต่อ
“พวกหนูเชื่อเสมอล่ะค่ะว่าพี่สองคนคบกันจริงๆ
พี่เอื้อยพี่เจ้ยน่ะของจริงอยู่แล้ว
AJ
is Real ค่ะ”
น้องคนนั้นพูดสโลแกนที่เธอชอบแทกรูปพวกเราสองคนเวลาลงรูปคู่ของเรา
ซึ่งAJ
นั่นก็คืออักษรย่อชื่อของเราสองคนนั่นเอง
คงเพราะข่าวเรื่องที่เอื้อยทะเลาะกับฉันแล้วไปคบกับกร
ทำให้ใครหลายๆคนที่เข้าใจผิดเรื่องฉันกับเอื้อยตั้งแต่สมัยเป็นคู่จิ้นแรกๆนั้นเลิกคิดว่าเราชอบผู้หญิงด้วยกันไป
ตอนนั้นแฟนคลับของเอื้อยกับเจ้ยยังแอบนอยด์โพสในเน็ตต่อว่าเอื้อยเลยว่า
ไม่น่าทำกับฉันอย่างนี้เลย
กระแสคู่จิ้นเลยเริ่มซาๆมาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ซึ่งถึงแม้ตอนนี้ฉันกับเอื้อยจะทำตัวเหมือนคนรักกันยังไง
ก็กลายเป็นว่าคนที่เคยเชื่อว่าเราสองคนเป็นผู้หญิงจริงๆที่เคยแย่งผู้ชายคนเดียวกันจนถึงขั้นตบตีกันนั้น
ไม่เชื่อว่าเราจะคบกันเป็นแฟนกันอย่างนั้นแล้ว...
..แต่คงจะยกเว้นเด็กๆกลุ่มนี้มั้ง..
ฉันคิดพลางมองดูใบหน้าที่ดีอกดีใจที่ได้ยินเอื้อยพูดทีเล่นทีจริงแซวกันไปกันมาอย่างนี้
ตอนนี้เอื้อยกำลังทำหน้าที่คืนความสุขให้เหล่าแฟนคลับตัวน้อยๆของเราอีกครั้งนึง
เอื้อยเลือกซื้อกุหลาบสีขาวเหล่านั้นมาสองสามดอกเหมือนๆกันกับฉันที่เลือกซื้อกุหลาบขาวให้เอื้อยเหมือนกัน
เราสองคนเดินออกมาจากร้านขายดอกกุหลาบพร้อมๆกับน้องแอดมินเพจคนนั้น
ตอนนี้น้องๆพวกนั้นมายืนมองดูเรามอบกุหลาบให้กันพร้อมๆกับการกดชัตเตอร์บันทึกภาพของน้องที่เป็นแอดมินเพจเอาไว้
พอถ่ายเสร็จน้องคนนั้นก็ขอบคุณและทำท่าจะขอตัวเข้าโรงเรียนไปแต่ก็โดนเอื้อยเรียกไว้ก่อน
“น้องๆถ่ายให้พี่อีกรูปนึงได้ป่าว”
เอื้อยยิ้มกวักมือเรียกน้องคนนั้นไว้
“คะ
ได้ๆค่ะพี่”
น้องคนนั้นดีใจรีบเบรคทันทีที่เอื้อยเรียกไว้
ตอนนี้เอื้อยขยับมาอยู่ข้างๆฉันมือข้างที่ถือดอกไม้ก็ทำเป็นยื่นมาฝั่งฉันอีกมือข้างที่ว่างๆก็โอบเอวฉันไว้
ฉันคิ้วขมวดหันควับไปมองมือนั่นทันทีที่วางแหมะไว้กับเอวของฉัน
“นิดนิดนะ”
เหมือนเอื้อยจะรู้ว่าฉันจะว่าเธอ
เธอเลยรีบพูดแทรกขึ้นมาก่อน
“อะ
น้องถ่ายได้นับ1-2
3...” แล้วแค่เอื้อยนับสามเธอก็รีบหันหน้ามาหอมแก้มฉันฟอดใหญ่ๆทันที
ตอนนี้ภาพที่ได้คงจะเป็นภาพที่ฉันตาโตอ้าปากเหวอเพราะตกใจที่โดนเอื้อยแอบหอมแก้มต่อหน้าเด็กๆและคนอื่นๆอีกมากมายอย่างนี้..อีกแล้ว
น้องๆพวกนั้นร้องกรี๊ดทันทีที่เห็นภาพฉันกับเอื้อยหอมแก้มกัน
ตอนนี้ฉันทั้งเขินทั้งอายใบหน้าก็แดงขึ้นเรื่อยๆจนไม่รู้จะแอ๊บเก็บความเก้อเขินเหล่านั้นไว้อย่างไร
ได้แต่วิ่งไล่ตีหลังเอื้อยหัวเราะร่าที่วิ่งหนีเข้าโรงเรียนไปทั้งๆอย่างนั้น
วันนี้ทั้งวันฉันกับเอื้อยจะมีเด็กๆสลับกันเอาของขวัญมาให้ตลอดเลย
มันมีทั้งดอกกุหลาบ ตุ๊กตา
ของขวัญที่ทำกันเองเช่นดาวกระดาษที่พับใส่ขวดโหล
กระดาพับเป็นรูปหัวใจหรือรูปนก
และพวกชอคโกแลคต่างๆ
เอื้อยดูมีความสุขมากที่เธอได้นั่งมองของขวัญเหล่านั้นที่ตอนนี้วางไว้กองโตๆที่หน้าโต๊ะของเราทั้งสองคน
จนอาจารย์ประจำวิชาต่างๆพากันแซวทันทีที่เดินเข้ามาในห้องเพื่อสอนในรายวิชานั้นๆ
“..นี่ถ้าครูไม่เห็นว่าเป็นทิพพานันกับเนตรอัปสร
ครูคงนึกว่ามีใครเอาของมาตั้งขายในห้องนะนี่
แหม..แฟนคลับให้ของขวัญกันเยอะเชียว..เลิกเรียนจะแวะเอาไปขายที่ไหนต่อหรือเปล่า”
เพื่อนๆหัวเราะกันครืนทันทีที่ได้ยินครูประจำวิชาพระพุทธศาสนาแกล้งแซวฉันกับเอื้อยเล่นๆ
ฉันยิ้มอายๆให้อาจารย์ทันทีที่ได้ยิน
ก่อนที่จะพยายามเก็บของขวัญบางส่วนลงมาวางไว้พื้นข้างล่างบ้าง
แต่มันก็ไม่หมดอยู่ดี
ฉันยังแอบกลัวเลยว่าตอนเย็นเราจะขนของพวกนี้กลับบ้านได้อย่างไร
นี่ขนาดว่ายังไม่ใช่วันวาเลนไทน์ฉันกับเอื้อยยังได้ของขวัญกันเยอะขนาดนี้แล้วถ้าวันจริงพวกเราจะเอามือที่ไหนหอบของพวกนี้กลับกัน
ฉันมองดูเอื้อย
ดูเธอไม่ได้มีสีหน้ากังวลใจสักนิดเลย
ว่าเธอจะทำอย่างไรกับบรรดาของขวัญเหล่านี้
แต่เมื่อลองถามเอื้อยในช่วงพักกลางวันของวันก็ทำให้ฉันเข้าใจสาเหตุได้ทันที.....
“ก็เค้าได้ทุกปีนี่นา
แล้วมันก็เยอะทุกปีด้วยช่วงนี้เค้าเลยขอให้แม่มารับเค้าไงเวลากลับ
เค้าจะได้เอาของใส่รถแม่กลับบ้านให้
เจ้ยเอามาฝากเค้ากลับด้วยก็ได้นะ
เด๋วเค้าจะบอกให้แม่ไปส่งให้เอง
“อ้าว
แล้วจะไม่กลับกับเค้าเหรอ
ทำไมไม่บอกเค้าเลยอ่ะ”
ฉันคิ้วขมวดทันทีที่คิดตามเอื้อย
ถ้าเอื้อยให้แม่มารับเอื้อยก็ต้องกลับกับแม่น่ะสิ
เอื้อยยิ้มแหยๆให้ฉันทันทีที่คิดได้
“โทษทีนะเค้าลืมบอก
ก็พึ่งโทรหาแม่ตอนเที่ยงนี่ล่ะเห็นของมันเริ่มเยอะอ่ะ
ไม่เป็นไรหรอกนะ
ไม่กลับด้วยกันแค่วันสองวันเอง”
ฉันทำหน้างอนแกล้งโกรธให้เอื้อย
ทำเป็นหน้าบึ้งหันหนีไปทางอื่นไม่มองไม่สนใจเธอทันที
“อย่างอนเค้าสิ
นะนะมันจำเป็นจริงๆนะ”
เอื้อยรีบโน้มตัวมาใกล้ๆฉันพลางทำไม้ทำมือยื่นนิ้วก้อยมาง้อขอคืนดี
“เด๋ววันเสาร์ก็จะได้อยู่กับเค้าทั้งวันแล้วไง..”
เอื้อยพูดง้อฉันด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดีก่อนที่จะนึกขึ้นได้เรื่องที่เธอบอกให้ฉันขอพ่อกับแม่มานอนเป็นเพื่อนเธอ
“เออจริงสิ
เจ้ยขอพ่อกับแม่หรือยังอ่ะ”
เอื้อยเนียมมองถามฉันด้วยความอายและความตื่นเต้น
“ยัง..”ฉันตอบเอื้อยด้วยน้ำเสียงที่เบาๆเรียบๆ
“ยังไม่มีโอกาสได้คุยเลยอ่ะ
เย็นนี้ว่าจะขออยู่”
เอื้อยคิ้วขมวดเม้มปากมองค้อนมาที่ฉันทันทีจากที่เธอกำลังอารมณ์ดีพยายามง้องอนอยู่ก่อนหน้านั้น
“ทำไมทำเหมือนไม่สนใจเค้าเลย
ทั้งๆที่เราจะได้อยู่ด้วยกันแท้ๆกับทำเป็นไม่ตื่นเต้นไม่รีบขอพ่อกับแม่ไว้แต่เนิ่นๆ”
เอื้อยบ่นพึมๆพัมๆด้วยน้ำเสียงต่อว่าและสุดแสนจะน้อยใจ
กลายเป็นเธอโกรธให้ฉันแทนเสียแล้ว
“โอ้ย
ไม่ใช่อย่างนั้น
ยังไม่มีโอกาสได้คุยจริงๆ
เดี๋ยววันนี้สัญญาเลยอ่ะว่าจะขอพ่อกับแม่ให้ได้”
ฉันรีบยกนิ้วสามนิ้วขึ้นมาทำท่าให้คำสัญญาตามแบบลูกเสือเนตรนารีเค้าทำกัน
เมื่อเห็นอาการตัดพ้อต่อว่าของเอื้อยฉันก็อดที่จะเดือดเนื้อร้อนใจกลัวว่าคนสวยที่กำลังพยายามเอาใจฉันอยู่นี่จะงอนให้แล้วกลายเป็นเสียโอกาสดีๆอย่างนั้นไปจนได้
“นะนะ
ยังไงก็ได้อยู่แล้วล่ะ...ถ้าไม่ได้ยังไงเค้าจะแอบหนีมาหาเอื้อยเลยดีมั้ย”
ฉันพูดทีเล่นทีจริงด้วยอยากเอาใจนางฟ้าแสนสวยของฉันที่กำลังน้อยใจจนใบหน้าเริ่มมีริ้วรอยจากการหน้านิ่วคิ้วขมวดของเธอในตอนนี้
“บ้าดิ
ลองหนีออกมาสิ
พ่อกับแม่จะได้รู้เรื่องแล้วก็จะได้ลามมาถึงแม่เค้า
ทีนี้เรื่องก็ยาวไปถึงอำเภอเลยมั้ง”
“ไปทำไมอำเภอ”
ฉันงงทันทีที่ได้ยินเอื้อยพูด
“ไปจดทะเบียนสิ..ชวนลูกสาวเค้าหนีมานอนที่บ้าน
เด๋วพ่อแม่ก็ว่าเค้าล่อลวงเจ้ยมาทำมิดีมิร้ายอีก
ยิ่งมีลูกสาวคนเดียวอยู่
ถ้าพ่อแม่ได้รู้ว่าลูกสาวตัวเองหนีตามผู้หญิงด้วยกันคงงามแน่ๆ”
เอื้อยทั้งพูดทั้งค้อน
แต่ฉันฟังดูแล้วมันออกแนวฮาๆอย่างไรไม่รู้
จนฉันหลุดขำออกมาตั้งแต่ได้ยินว่า
“ไปจดทะเบียน”
ซึ่งก็รู้ความหมายทันทีว่ามันคือจดทะเบียนอะไร
“บ้า
อายุยังไม่ถึงไม่มีใครยอมให้ไปจดทะเบียนสมรสด้วยกันหรอกนะ
ถ้าจะเป็นอย่างนั้นพ่อแม่ของเราทั้งสองก็ต้องมาตกลงสินไหมกันก่อนดิ
แต่มันก็คงจะยากนะเพราะมันเป็นผู้หญิงทั้งสองแถมยังไม่รู้อีกว่าใครตามใครกันแน่
แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงเอื้อยอ่ะก็ต้องยอมมาขอเค้านะ”
“ฮ้า..ทำไมต้องให้เค้าขอล่ะ”
เอื้อยหัวเราะรีบร้องถามเสียงหลงทันที
“เค้าจะบอกพ่อกับแม่ว่าเอื้อยเป็นฝ่ายนัดเค้าออกมา
นั่นก็เท่ากับว่าเอื้อยล่อลวงเค้ามา
เวลามีอะไรเสียๆหายๆเอื้อยก็ต้องชดใช้สิ
จ่ายมาเลยนะค่าตัวเค้าแพงนะ”
เอื้อยยิ้มเล็กยิ้มน้อยมองมาที่ฉันด้วยความอารมณ์ดีที่เธอได้ฟังเรื่องราวที่ฉันมโนเป็นตุเป็นตะอย่างนั้น
แถมยังมีทีท่าเห็นด้วยเป็นจริงเป็นจังเสียอีก
“เท่าไหร่ล่ะคะ
ถ้างั้นก่อนจะมานอนกับเค้าเรามาตกลงค่าสินสอดก่อนดีมั้ย
ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นแล้วจะได้เคลียร์กันลงตัว”
เอื้อยยังพูดเอาฮาเหมือนเดิม
“คิดว่าเท่าไหร่ดีล่ะ
สำหรับลูกสาวเดียวที่ทั้งสวย
เรียนก็เก่ง
นิสัยก็ดีแถมในอนาคตก็อาจจะมีหน้าที่การงานที่ดีอีกต่างหาก”
เอื้อยคิ้วขมวดทำหน้าเหมือนใช้ความคิด
“เท่าไหร่ว่ามาเลย ป๋าไม่เกี่ยงหรอก
ว่าแต่ขอให้คนสวยมานอนด้วยก็โอแล้ว”
ฉันหัวเราะรั่วทันทีที่ได้ยินเอื้อยเรียกแทนตัวเองว่า
“ป๋า”
แม้มันจะดูขัดๆหูแต่ฉันกลับชอบที่จะได้ยินคำนั้นจากปากเธอคนนี้เหลือเกิน
เพราะมันให้ความรู้สึกว่าผู้หญิงคนที่อยู่ข้างหน้าเราตอนนี้
เค้าพร้อมที่จะดูแลและปกป้องเราไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด
ฉันยิ้มแล้วแกล้งโน้มหน้าเค้าไปใกล้ๆเอื้อยที่ทำตัวเสมือนตัวเองเป็นสุภาพบุรุษเจ้าบุญทุ่มที่จะยอมวางเดิมพันทุกอย่างที่ตัวเองมีเพื่อแลกกับการได้ใกล้ชิดผู้หญิงคนที่ตัวเองรัก
“อืม..งั้นถ้าพ่อแม่เค้าขอหลักล้าน
เอื้อยจะหามาได้ป่ะ”
ฉันลองยื่นข้อเสนอให้เอื้อย
เอื้อยเลิ่กคิ้ว
“เป็นล้านเลยเหรอ
ทำไมแพงจังอ่ะ...ถ้าถึงขนาดนั้นล่ะก็หนีตามกันไปเฉยๆเหอะ”
เอื้อยเหล่ตามองฉันแล้วเปลี่ยนโทนเสียงทันที
“เฮ้ย..ไหนบอกเท่าไหร่ก็ยอมทุ่ม
อะไรอ่ะแค่นี้เอง”
ฉันทั้งพูดทั้งหัวเราะยื่นแขนตัวเองไปโน้มไหล่เอื้อยเข้ามากอดและกระซิบกระซาบใกล้ๆ
“ไหนบอกว่ายอมทำทุกอย่างไง
ลองนึกถึงเรื่องคืนวันเสาร์สิ
เราสองคนและอะไรก็ได้ที่เอื้อยอยากจะให้มันเกิด
เค้าพร้อมจะยอมทุกอย่างเลยนะ
เค้าจะไม่ขัดขืนไม่โวยวายและไม่ต่อรองอะไรเอื้อยเหมือนที่ผ่านๆมาอีกแล้ว”
ฉันทำเสียงกระซิบกระซิบกระซาบแกล้งพูดยั่วตัณหาเอื้อย
ทั้งๆที่จริงแล้วตัวของฉันเองนี่ล่ะ
ที่กิเลศก็แสนหนาตัญหาก็แสนเยอะ
แอบคิดเพ้อเจ้อกับเอื้อยไปสารพัดแล้ว
...ดีไม่ดีตอนนี้เอื้อยยังคิดไม่ลึกเท่าฉันเสียด้วย...
เมื่อโดนฉันโอบไหล่กอดและแอบกระซิบกระซาบข้างๆหูอย่างนั้น
เอื้อยก็เริ่มคิดตามและหน้าแดงขึ้นเรื่อยๆ
“ก็ได้..”เสียงอายๆของเอื้อย
“เค้าจะยอมเป็นรุกก็ได้นะ
ถ้าเจ้ยต้องการ...”
เอื้อยกระซิบกระซาบจ้องมองมาที่ฉันใบหน้าก็แดงขึ้นแดงขึ้นเรื่อยๆ
“แต่..สินสอดของเจ้ยน่ะ..ขอเวลาเก็บก่อนได้มั้ย”
เอื้อยทำเสียงจริงจังจ้องมองมาที่ฉันที่กำลังแพ้มนต์เสน่ห์ของสายตาดวงงามคู่นั้นอีกแล้ว
“ยังไงๆเราก็จะคบกันตลอดไปอยู่แล้วนี่นา
ถ้าเจ้ยไม่ทิ้งเค้า
เค้าก็จะมาสู่ขอเจ้ยแน่นอน”
เอื้อยยิ้มหวานพูดกับฉันด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
ยิ่งมองฉันก็ยิ่งเคลิ้มและเผลอยิ้มไปกับรอยยิ้มแสนหวานที่ทำหน้าที่หลอมละลายหัวใจของฉันมานักต่อนักแล้ว
ฉันปล่อยแขนข้างที่โอบไหล่เอื้อยไว้แล้วเคลื่อนตัวออกมานั่งต่อหน้าเอื้อย
“สัญญานะ”
ฉันยื่นนิ้วก้อยออกไปหาเอื้อยที่ยื่นนิ้วมาทันทีที่เห็นท่าทางของฉัน
“สัญญา..”
เอื้อยตอบรับพร้อมๆกับรอยยิ้มละมุนของเธอ
เย็นวันนั้นฉันอยู่รอแม่เป็นเพื่อนเอื้อยอยู่หน้าโรงเรียน
ซึ่งวันนี้แม่ก็มารับเอื้อยไวมากคงเป็นเพราะแม่ว่างพอดี
เมื่อส่งเอื้อยขึ้นรถและยกมือไหว้ทักทายคุณแม่ของเอื้อยสักครู่แล้วแม่ก็ขับรถพาเอื้อยกลับบ้านเช่นเดียวกันกับที่ฉันกลับไปเอารถในโรงรถขับกลับบ้านทันที
ตอนกลับฉันขับรถแวะไปร้านเครื่องเขียนที่ตลาด
คิดว่าเป็นโอกาสดีเหมือนกันที่เอื้อยและฉันไม่ได้กลับบ้านด้วยกัน
ฉันจะได้มีเวลาทำนั่นทำนี่เพื่อเซอร์ไพรส์เอื้อยบ้าง...
ฉันเลือกซื้อโบว์และกระดาษห่อของขวัญมาสองสามม้วน
ฉันซื้อมาไว้สำหรับห่อของบางอย่างที่ฉันเองแอบเตรียมเอาไว้ที่จะมอบให้กับคนที่ฉันรักในวันวาเลนไทน์นี้ตั้งนานแล้ว...
วันศุกร์....13
กพ....
วันนี้เป็นวันที่ทางโรงเรียนจัดกิจกรรมประกวดมิสวาเลนไทน์ของหมวดวิชาภาษาอังกฤษ
ซึ่งการประกวดนี้จะตัดสินผู้ชนะจากจำนวนดอกกุหลาบที่ได้ผู้เข้าประกวดได้รับจากบรรดานักเรียนที่ซื้อมามอบให้ผู้เข้าประกวดบนเวทีกัน
ซึ่งดอกไม้นั้นจะมาจากไหนก็ได้
แต่ต้องถูกมอบภายในเวลาที่ผู้ประกวดอยู่บนเวทีจนถึงเวลาที่กรรมการประกาศให้หยุดรับ
เมื่อได้นับจำนวนกุหลาบที่ผู้เข้าประกวดได้แล้ว
ใครมากที่สุดคนนั้นถือว่าเป็นมิสวาเลนไทน์ของปีนั้นทันที
กิจกรรมนี้จะจัดขึ้นในตลอดช่วงบ่ายของวัน
ซึ่งฉันก็ต้องเตรียมตัวไว้ตั้งแต่ตอนเที่ยงทันทีออดพักเที่ยงดังขึ้น
ฉันเตรียมเอาชุดกระโปรงกีฬาและเสื้อโปโลสีขาวตามคอนเซ็ปต์ชุดผู้เข้าประกวดที่อาจารย์บังคับใส่
มาเปลี่ยนที่โรงเรียน
ฉันชอบชุดประกวดแบบนี้มาก
เพราะมันดูน่ารักสมวัยไม่โป้เกินไป
มองดูทะมัดทะแมงดีสำหรับเด็กผู้หญิงใส่เดินไปเดินมาบนเวที
เท่าที่ฉันจำได้ตอนปีที่เอื้อยใส่ชุดนี้ฉันก็ยังแอบมองเอื้อยเลยว่าเอื้อยสวยน่ารักคงจะได้ตำแหน่งมิสวาเลนไทน์แน่ๆ
แล้วก็เป็นดังคาด
เอื้อยได้ตำแหน่งมิสวาเลนไทน์สลับกับฉันปีเว้นปีเสมอ
ตอนนั้นเราก็เจอกันแค่ผ่านๆตา
ฉันก็ไม่ได้รู้จักและสนิทอะไรกับเอื้อยเลย
เราอยู่บนเวทีด้วยกันก็จริงแต่ก็ได้แค่ยิ้มให้กันแค่ๆคนรู้จักเท่านั้น
ใครจะไปรู้ล่ะเนอะว่าผู้หญิงคนที่เคยประกวดแต่งตัวสวยๆทำนั่นทำนี่เหมือนที่ผู้หญิงปกติทั่วๆไปเค้าทำกันจะกลายมาเป็นแฟนตัวเองอย่างนี้ได้....
….ยิ่งคิดฉันก็ยิ่งยิ้ม...
ยิ่งยิ้มฉันก็ยิ่งโดนเอื้อยเอ็ด...เพราะว่าตอนนี้เธอกำลังแต่งหน้าให้กับฉันอยู่ในห้องเรียนที่ไม่มีใครอยู่นอกจากฉันกับเอื้อยแค่สองคน
“ยิ้มทำไมนี่
เด๋วเขียนปากเบี้ยวปากไม่สวยอีก..จะมาว่ากันไม่ได้นะ”
เอื้อยหยุดเขียนขอบปากแล้วหันมาเอ็ดฉันด้วยใบหน้าจริงจัง
ต่างจากฉันที่ยังยิ้มเพราะว่าเผลอคิดถึงหน้าเอื้อยตอนที่ประกวดด้วยกันตอนนั้นไม่ได้
“ขอโทษๆ
เอาใหม่ๆเด๋วขอตั้งสติก่อนแป๊บ”
ฉันพยายามโบกไม้โบกมือเรียกสติตัวเองกลับมาพร้อมๆกับสายตาของเอื้อยที่จ้องจับผิดว่าทำไมฉันต้องเรียกสติคืนกลับมาด้วย
“ก็เค้าคิดถึงตอนที่เอื้อยประกวดด้วยกันนี่นา
ไม่คิดว่าคนที่เคยเห็นบนเวทีด้วยกันจะได้มาเป็นแฟนกันอย่างนี้”
เอื้อยยิ้มหลุดหัวเราะออกมาทันทีที่คิดได้ดังที่ฉันบอก
“อืม..จริงสินะเราก็เจอหน้ากันบนเวทีทุกปีนะ
แต่ไม่มีทีท่าว่าจะคุยหรือจะทักกันเลย
เอาแต่ยิ้มให้แล้วก็เดินผ่านเฉยๆ
ไม่คิดเลยว่าเค้าจะได้มาอยู่ใกล้ๆเจ้ยอย่างนี้”
“แปลกๆดีเนอะ
ปีนี้ต้องยืนบนเวทีคนเดียวแล้ว
คนที่เคยแข่งกันกลายเป็นต้องมานั่งดูนั่งเชียร์อยู่ข้างล่าง
จริงๆแล้วเอื้อยน่าจะประกวดนะเพราะเอื้อยน่ะสวยและเหมาะสมกว่าเค้าอีก”
ฉันพูดพลางยื่นมือไปจับแก้มเอื้อยเบาๆ
“ไม่อ่ะ
เค้าบอกแล้วว่าเจ้ยนั่นล่ะคือคนทีเหมาะสมที่สุดกับตำแหน่งนี้
แล้วเค้าก็มีหน้าที่เชียร์และผลักดันให้เจ้ยเป็นผู้ชนะให้ได้
แล้วไม่ว่ายังไงเจ้ยก็ต้องชนะเชื่อเค้าดิ”
เอื้อยยิ้มละมุนมือเธอก็ยกขึ้นมาจับมือของฉันที่จับแก้มเธอค้างไว้
“คอยดูป๋าดันคนนี้นะ
ว่าจะดันเจ้ยได้ไกลเท่าไหร่”
เอื้อยทั้งพูดทั้งยิ้มให้ฉันก่อนจะรีบแต่งหน้าแต่งตัวให้ฉันต่อไป
ช่วงบ่ายก่อนออดเข้าเรียนจะดังหลังจากที่เอื้อยแต่งหน้าให้ฉันเสร็จเธอก็เดินไปส่งฉันที่ด้านหลังเวทีของห้องหอประชุมโรงเรียน
ตอนนี้เด็กผู้หญิงจากสายชั้นต่างๆกำลังยืนออกันเต็มด้านหลังหอประชุมเลย
ฉันมองดูเด็กผู้หญิงบางคนก็มีคนมาขอถ่ายรูปด้วย
บางคนก็จับกลุ่มถ่ายรูปกับคนที่เข้าประกวดสายชั้นเดียวกันดูท่าทางสนุกสนานคึกคักดี
และทันทีที่ฉันเดินมาถึงก็มีเด็กผู้หญิงรุ่นน้องที่มาประกวดเข้ามาขอถ่ายรูปฉันกับเอื้อย
พวกเรายืนถ่ายกับเด็กพวกนั้นอยู่นานโขจนอาจารย์ที่ควบคุมการประกวดเดินมาเรียกและเช็คชื่อ
ซึ่งเอื้อยก็บอกลาฉันทันทีที่อาจารย์มา
“สู้ๆนะ
เค้าจะเชียร์”
เอื้อยยิ้มหวานให้กำลังใจฉันก่อนจะเดินหายไป
หลังจากนั้นอาจารย์ก็ทยอยขานชื่อนักเรียนตามสายชั้นไล่จากนักเรียนม.1
จนมาถึงม.6
ผ่านชื่อฉันจนไปถึง..
“น.ส.อัญชลี
ลิ้มวัฒนาสกุล..ม.6/3”
พออาจารย์ขานกลายเป็นไม่มีเสียงตอบรับกลับมาจนอาจารย์ต้องขานอีกเป็นครั้งที่สองและสาม
“ค่ะๆมาแล้วค่ะ”
ฉันหันไปตามเสียง
เป็นเด็กผู้หญิงผมสั้นๆผิวขาวรูปร่างสูงโปร่ง
ทรงผมของเธอถูกจัดแต่งด้วยเยลหวีเรียบไปทางเดียวกันและครอบทับด้วยที่คาดผมสีชมพูหวานๆน่ารักๆอีกนึงอัน
ใบหน้าของเธอถูกแต่งด้วยโทนสีชมพูอ่อนๆเข้ากับปากนิดจมูกหน่อยและตาหยีๆหมวยๆของเธอดีมาก
ซึ่งพอฉันพินิจพิเคราะห์ใบหน้าของเธออยู่ครู่นึงฉันก็เริ่มจำเค้าโครงหน้าได้ว่า
เด็กผู้หญิงที่ยืนอยู่แถวเดียวกันถัดจากฉันไปสองคนที่กำลังยกไม้ยกมือขานรับอาจารย์อยู่นี้คือ...
ยัยอัน..ยัยอันจอมขี้เก๊กนั่นเอง