Lovely
Mafia Girl
ลูกสาวเจ้าพ่อ
ขอเป็นแฟนหนู
“ความพยายามของเธอ”
แสงไฟในช๊อปบางดวงถูกอาจารย์ฝึกสอนที่มาดูแลนักเรียนที่มาแต่งหน้าปิดลงเพราะไม่อยากให้แสงไฟแยงตานักเรียนที่ต้องการนอนพักผ่อน
ความมืดเริ่มเข้ามาปกคลุมบางส่วนของห้อง
โดยเฉพาะโซนตรงกลางที่มีนักเรียนเริ่มเข้ามานอนพักเอาแรงกันก่อนหน้านั้นแล้วรวมทั้งฉันกับพี่เนยด้วย
ฉันทิ้งตัวลงนอนบนหมอนใบเดียวนั้นข้างๆพี่เนยโดยที่หล่อนอยู่ริมสุดของแถวส่วนฉันอีกฝั่งนั้นนอนติดกับเพื่อนนักเรียนหญิงอีกคน
พี่เนยขยับหัวเข้ามาใกล้ๆฉันเธอดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวของฉันไว้พร้อมๆกับเธอ
ฉันต้องคอยขยับตัวออกให้ไกลจากหล่อนเพราะในใจยังแอบกลัวว่าพี่เนยอาจจะทำอะไรบ้าๆบอๆของเธอกับฉันได้อีก
แล้วก็เป็นดังคาด
แค่ฉันเพิ่งเริ่มข่มตาหลับพี่เนยก็ขยับมือของเธอมาวางไว้ที่เอวของฉัน
ประหนึ่งว่าตอนนี้เธอกำลังนอนกอดฉันอยู่
ฉันลืมตาโพลง
ตัวแข็งทื่อทันทีที่มือพี่เนยวางลงบนตัวฉัน
“พี่เนย..”
ฉันต้องหันหน้าไปกระซิบกระซาบเรียกเจ้าหล่อนมือก็พยายามปัดมือของเธอให้ออกจากตัวของฉัน
แต่หล่อนก็ทำเป็นเงียบ
เมื่อเพ่งมองดีๆก็เห็นว่าหล่อนกำลังหลับตาอยู่
“แกล้งหลับเหรอ..นี่แหนะ”
ฉันหยิกแรงๆไปที่มือพี่เนย
เธอสะดุ้งได้ยินเสียง
อุ้ย..ดังออกมาจากปากของพี่เนยเบาๆ
ฉันหยิบมือพี่เนยออกไปวางไว้ที่พื้นตรงกลางระหว่างเรา
พี่เนยนิ่ง จนดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก
แต่ก็นิ่งได้ไม่นาน
นิ้วมือเรียวยาวของเจ้าหล่อนก็คลืบคลานไต่ตามตัวของฉันขึ้นมาอีก
ฉันต้องคอยข่มสติด้วยกลัวว่าเพื่อนข้างๆจะจับได้ว่าพี่เนยกำลังพยายามเตะอั๋งของฉันภายในห้องที่มีเพื่อนนักเรียนหญิงเยอะๆอย่างนี้
ฮึย..สงบสติอารมณ์ไว้กี้...หล่อนคงไม่กล้าทำอะไรมากไปกว่านี้หรอก...คนอยู่ตั้งเยอะ...ใช่มั้ย..
แต่ฉันคงคิดผิด
มองโลกในแง่ดีเกินไป
เพราะแทนที่มือของหล่อนจะวางไว้กับลำตัวของฉันนิ่งๆแค่นั้น
กลายเป็นว่าตอนนี้มันค่อยๆคืบคลานลงมาตามเอวและไหลลงไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึง
ตรงนั้น
“!!เฮ้ย..!!!พี่เนย!!!??..”
ฉันสะดุ้งรีบลุกขึ้นนั่งร้องเรียกชื่อพี่เนยเสียงดังจนเพื่อนๆในห้องทั้งที่นอนอยู่และไม่ทันนอนพากันตกใจรีบตื่นขึ้นมามองดูฉัน
ที่มีสีหน้าตื่นตกใจในสิ่งที่ตัวเองเจอเมื่อกี้
พี่เนยก็ตกใจ
เธอก็สะดุ้งลุกขึ้นนั่งมองหน้าฉัน
ใบหน้าเธอถอดสีทันทีที่เห็นฉันร้องขึ้นเสียงดังอย่างนั้น
ตอนนี้ทุกคนหันมาจ้องที่ฉันกับพี่เนยเป็นตาเดียวกัน
พวกเค้าคงตกใจและอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นทำไม
ฉันถึงร้องโวยวายเสียงดังอย่างนั้น
ทุกคนเงียบรอฟังเสียงของฉันที่หน้าตาหล่อกแล่กมองพี่เนยสลับกับหน้าเพื่อนๆคนอื่นๆในช๊อปไปมา....
ฉันคิ้วขมวด
ชี้หน้าตวาดพี่เนย ...
“....ฮึยย..พี่เนย..เขยิบไปอีกได้มั้ย
พี่เนยนอนเบียดกี้จนกี้เบียดเพื่อนฝั่งนี้จนเค้าจะนอนไม่สบายตัวแล้วนี่
เขยิบไปโน้นอีกเลย” อารมณ์ตกใจ
ฉันคิดอะไรไม่ออก
คิดได้แต่เพียงว่าตอนนี้ฉันไม่อยากให้ใครรู้เรื่องของฉันกับพี่เนยเลยแม้เค้ากำลังจะทำอะไรไม่ดีกับฉันอย่างนั้น
กลายเป็นว่าฉันพูดโกหกคนละเรื่องกับสิ่งที่ฉันเจอมาเมื่อกี้เลย
พี่เนยอึ้ง
เธอพยักหน้าอึกๆอักๆก่อนจะเลื่อนหมอนและผ้าห่มขยับไปทางเธออีก
“ไกลพอยัง..”
“เออ
แค่นั้นล่ะ..”ฉันยังขึ้นเสียงใส่หล่อนอยู่เหมือนเดิม
“โธ่เอ้ยกี้..ฉันก็นึกว่าแกเป็นอะไร
ตะคอกใส่พี่เนยซะเสียงดังเชียวทำยังกับมีเรื่องอะไรกัน
แค่นี้เองอะ..แกก็บอกพี่เนยเบาๆก็ได้นิ
พวกฉันล่ะตกใจหมดเลย”เพื่อนคนที่อยู่ข้างๆพูดขึ้น
ฉันหน้าเหรอหราหันหน้าไปยิ้มแหยๆให้เพื่อนคนนั้น
“เอ่อคือขอโทษนะ
คือฉันพยายามเรียกพี่เนยแล้ว
แต่แกไม่ได้ยินน่ะคงหลับลึก
ฉันเลยต้องตะโกน
ใช่มั้ยพี่เนย”ฉันรีบแก้ตัว
แล้วหันไปเรียกพี่เนยให้ตอบรับในสิ่งที่ฉันโกหกไปเมื่อครู่นี้ด้วย
“อ่อ.ใช่ๆพี่ง่วง
คงเหนื่อยมากเลยหลับลึกไม่ได้ยินเสียงกี้เรียกเลย
ไม่มีอะไรแล้วล่ะ นอนต่อกันเถอะนะ
ง่วงนอนแล้วนี่”พี่เนยยกมือขึ้นมาป้องปากทำท่าหาวนอนเหมือนคนกำลังง่วงนอนเต็มที่
แล้วก็ค่อยๆหย่อนตัวลงไปนอนในผ้าห่มเหมือนเดิม
ฉันหันไปตาขวางมองพี่เนยที่ทำเป็นหลับตานอนแล้วก็อดหมั่นไส้ไม่ได้
แต่ก็จำใจเขยิบเข้าไปนอนใกล้ๆหล่อนเหมือนเดิม
ตอนนี้เพื่อนๆก็ทยอยนอนกันเหมือนเดิมแล้ว
ไม่นานห้องก็เข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง
ฉันนอนลืมตา
ตอนนี้กลายเป็นว่าฉันหลับไม่ลงเสียแล้ว
..ตายแล้ว..ขอบตาดำแน่ๆเลยฉัน..ฉันทั้งคิดกังวลทั้งนอนไม่หลับต้องพยายามข่มตานอนอย่างนั้นจนกระทั่งความรู้สึกว่าคนข้างๆที่นอนอยู่หมอนใบเดียวกันเอียงหันหน้าขยับมาใกล้ๆใบหูของฉัน
แล้วพยายามกระซิบกระซาบคุยกับฉัน
“ขอบใจกี้นะ
ที่เมื่อกี้ไม่ได้บอกเรื่องนั้นกับใคร
พี่ขอโทษนะเมื่อกี้พี่ไม่ได้ตั้งใจจะทำอย่างนั้นกับกี้จริงๆ”
“ไม่ได้ตั้งใจ..เชื่อตายล่ะ
บอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าทำอย่างนั้นกับกี้อีก”
“พี่แค่อยากกอดกี้เฉยๆอ่ะ
ไม่ได้ตั้งใจทำอย่างนั้นจริงๆ”เธอยังคงพยายามกระซิบกระซาบเถียงฉันต่อ
“กอดก็ห้าม
ห้ามมาแตะต้องตัวกี้เลย”
“งั้นจับมือนอนเฉยๆได้มั้ย”
พี่เนยพูดพลางยื่นมือมาจับมือฉัน
เธอทำประหนึ่งเด็กน้อยไร้เดียงสาที่ต้องการแค่นอนจับมือกับคนที่เธอรักโดยที่ไม่คิดจะทำอะไรเกินเลยกว่านั้น
ฮึ..ใครเค้าจะเชื่อ
ขืนปล่อยให้มือเธอจับฉันได้อิสระอย่างนี้
ไม่ช้าไม่นานก็ได้เรื่องได้ราวอย่างว่าอีก
ฉันรีบปัดมือพี่เนยออก
แล้วคว้ามับไปที่มือของเธอเพื่อดึงล็อคแขนของเธอเอาไว้ข้างๆตัวฉันอย่างนี้ไม่ให้เคลื่อนไปไหนมาไหนได้อีก
“ไม่ต้องมาจับมือกี้เลย
กี้จะจับมือพี่เนยเอาไว้อย่างนี้ทั้งคืนจะไม่ปล่อยให้ทำอะไรได้แล้วคอยดูเถอะ”
ซึ่งพอฉันพูดอย่างนั้นออกไป
ฉันก็ได้ยินเสียง อุ๊บส์
มาจากพี่เนยทันที
เหมือนเธอกำลังกลั้นหัวเราะพยายามจะไม่ขำเรื่องอะไรสักอย่างของเธอ
“หัวเราะอะไร..”
ฉันพยายามกระซิบกระซาบถามในสิ่งที่ฉันสงสัยลองดู
“เปล่า..ไม่ได้หัวเราะ
กี้คงหูฝาดไปเองแล้วล่ะ
งั้นก็จับมือพี่ไว้แน่นๆทั้งคืนเลยนะ
อย่าเผลอปล่อยก็แล้วกัน”
อะ..ยังมีหน้ามาต่อล้อต่อเถียงฉันอีกยัยคนนี้
หึ อยู่เป็นนักโทษอย่างนี้ทั้งคืนเถอะนะ
ยัยตัวร้าย
แล้วตั้งแต่นั้นมาฉันก็กลายเป็นนอนไม่หลับต้องเทียวหลับตาลืมตาอยู่อย่างนั้นตลอดทั้งคืน
ด้วยกลัวว่าคนข้างๆจะทำอะไรหรือเปล่า
เค้าจะขยับมือไปไหนมาไหนหรือเปล่า
ฉันต้องคอยแอบหันรีหันขวางไปทางที่เค้านอนตลอดไม่เป็นอันหลับอันนอนเลย
ซึ่งแตกต่างจากอีกฝ่ายเหลือเกิน
รายนั้นตั้งแต่ฉันจับมือเอาไว้
หล่อนก็ทำท่านอนนิ่งหลับตาพริ้มเงียบไม่มีเสียงใดๆเล็ดลอดออกมา
..ทำอย่างกับว่า
หล่อนมีความสุขเต็มที่ที่ได้โดนฉันจับมือเธอนอนทั้งคืนอย่างนี้...
..เอ..หรือหล่อนจะมีความสุขจริงๆ
ฉันเริ่มนอนคิ้วขมวดในใจก็เริ่มคิดฟุ้งซ่านไปเรื่อยๆ
ภาพที่อยู่ในรถด้วยกันก็เริ่มปรากฎเข้ามาอยู่ในสมองของฉัน
ให้ตายเถอะฉันไม่อยากจะนึกถึงเรื่องน่าอายพวกนั้นเลย
ทำอย่างไรฉันจะหลับตานอนได้นะ
พี่เนยนะพี่เนยทำไมเธอถึงกล้าทำเรื่องแย่ๆอย่างนั้นกับฉันได้...
แล้วทำไมฉันถึงกลายเป็นโกรธเธอไม่ลงเลยนะ..พี่เนย
ฉันทั้งคิดทั้งหลับตานึกถึงภาพหน้าขาวๆใสๆสวยๆของพี่เนยที่ได้เจอกันวันแรก
ทั้งตอนที่ฉันชวนเธอคุยอีก
ภาพของเธอตอนที่รู้จักตอนแรกนั้นมันสดใสราวกับนางฟ้าแตกต่างกับนางมารร้ายที่ฉันนอนอยู่ข้างๆตอนนี้ยิ่งนัก
..นึกถึงใบหน้างามๆด้านข้างของพี่เนยแล้วเธอก็ช่างสวยดูดีดูงามละเอียดละออ
อย่างกับฉันได้นั่งมองดาราหรือนางฟ้าที่อยู่บนดิน..อืม
ภาพความสวยงามของพี่เนยที่ได้เจอในตอนแรกนั้นกำลังจะทำให้ฉันเคลิ้มหลับอยู่มะรอมมะร่อ
ถ้าบังเอิญไม่มีแสงไฟสว่างพรึ่บขึ้นทั้งห้องพร้อมๆกับเสียงที่ดังมา...
“เอ้า
ตื่นๆกันได้แล้ว”
เสียงอาจารย์ที่กำลังปลุกนักเรียนให้ลุกขึ้นเตรียมตัวแต่งหน้ากันนั่นเอง
~~~เง้อ....ในที่สุดฉันก็ไม่ได้นอนจนได้
~~~
********************************
แสงแดดตอนเช้าค่อยๆลอดผ่านเข้ามาตามหน้าต่าง
เสียงทดสอบเครื่องเสียงของสแตนด์เชียร์ต่างๆดังสลับสับเปลี่ยนส่งเสียงเป็นเพลงจังหวะสนุกสนานที่กำลังฮิตอยู่
ณ ช่วงเวลานั้น
แม้จะแยกไม่ออกว่าเพลงไหนเป็นเพลงบ้างเนื่องจากทุกสแตนด์เชียร์ประโคมเปิดเพลงแข่งกันฟังดูน่ารำคาญแล้ว
แต่เสียงเหล่านั้นกับปลุกเร้าความตื่นเต้น
ความสนุกสนานของเด็กนักเรียนในวัยอย่างพวกฉันยิ่งนัก
ตอนนี้ใครต่อใครก็ต่างตั้งตารอเฝ้ารอคอยให้ถึงเวลาที่จะเข้าร่วมขบวนเข้าร่วมกิจกรรมแข่งกีฬาสีกันเสียที
รวมทั้งพวกฉันด้วย
นักเรียนหญิงกลุ่มใหญ่เริ่มแต่งหน้าแต่งตัวเสร็จกันแล้ว
บางคนก็นั่งรออยู่ในห้องสำรวจตัวเองอยู่หน้ากระจกอยู่ตลอด
บางคนก็ออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ด้านนอกช๊อป
ฉันก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ทนความอึดอัดและเสียงคุยจอกแจกจอจอของเพื่อนนักเรียนหญิงคนอื่นๆไม่ไหว
ต้องออกมานั่งเล่นที่ม้านั่งข้างนอกเช่นเดียวกันกับพี่เนย
ซึ่งเธอคนนั้นไม่ยอมเดินห่างจากฉันไปไหนไกลเลยตั้งแต่อาจารย์ปลุกให้ลุกขึ้นมาแต่งหน้าแต่งตัวหล่อนก็รีบจองคิวต่อจากฉันเพื่อที่จะได้เสร็จพร้อมๆกับฉันแล้วเดินไปไหนมาไหนด้วยกันทั้งเช้าแบบนี้
พี่เนยยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ทันทีตอนเธอเห็นฉันแต่งหน้าทาปากและแต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จ
เธอยิ้มตาค้างทำยังกับว่าตกตะลึงที่ได้เห็นอะไรบางอย่างที่ไม่ธรรมดา
แม้กระทั่งตอนนี้เธอก็ยังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
คอยหันมามองฉันบ้าง
ขอฉันถ่ายรูปบ้าง
ทำอยู่ตลอดเวลาท่าทางช่างมีความสุขนัก
“ยิ้มอะไรกันนักกันหนา
ไม่เคยเห็นหรือไง”
ฉันเริ่มหงุดหงิดในพฤติกรรมของหล่อนจึงถามออกไป
“ใช่พี่พึ่งเคยเห็นกี้แต่งตัวถือป้ายครั้งนี้ครั้งแรก
รู้มั้ยว่ากี้สวยมากๆเลยนะ
นั่งมองผ่านๆนึกว่านางฟ้า”
“เวอร์อ่ะ
ทำยังกับตัวเองไม่สวย
ถามจริงๆทำตัวอย่างนี้ไม่ห่วงสวยเลยเหรอ...คือ
ไม่คิดว่าตัวเองน่ะสวยเหรอ
เก๊กบ้างอะไรบ้างสิ”
“อืม..ทำไมต้องเก๊กล่ะ
ในเมื่อเรารู้อยู่แล้วว่าเราสวย
ทำยังไง อยู่ยังไงมันก็สวยเหมือนเดิมไม่ใช่เหรอ..”
..อ๊ะ..หลงตัวเองก็เป็นแฮะ
...
ฉันคิดพลางทำหน้าประหลาดใจมองพี่เนยที่พูดชื่นชมตัวเองด้วยใบหน้าเฉยๆเรียบๆของเธอ..เออ..ก็รู้ตัวด้วยนะว่าตัวเองสวย..
“..พี่ควรจะมองความสวยของคน..ที่พี่ชอบมากกว่ามั้ยอะ
เพราะไม่แน่ใจว่าพี่จะเห็นมันได้ตลอดหรือเปล่า”พูดเสร็จเธอก็ยิ้มแล้วเก๊กหน้าสวยๆของเธอส่งมาให้ฉัน
แหวะ..ฉันเบะปากทำตามองบนใส่พี่เนยทันทีที่ได้ยินประโยคเลี่ยนๆแบบนี้
โธ่..แม่คุณฉันไม่อยากคิดภาพเลยถ้าเธอเป็นผู้ชายนี่จะกระล่อนขนาดไหน...นี่ขนาดเป็นผู้หญิงด้วยกันฉันยังแหยงๆกับวลีของหล่อนที่พูดมาแต่ละคำเลย..
“ตลกเนอะ
พี่เนยนี่”
ฉันทำหน้าแหยๆส่งไปให้เธอก่อนจะหันมามองสำรวจความเรียบร้อยชุดของตัวเอง
พี่เนยก็หันไปสำรวจตัวเองเหมือนกัน
ฉันได้ยินเสียงพึมๆพัมๆของหล่อนลอยมา
“แปลกดีอ่ะ
พึ่งเคยใส่
ประหลาดๆยังไงไม่รู้..ไม่รู้ว่าจะสวยถูกใจใครหรือเปล่า”
พอพูดประโยคนี้เสร็จหล่อนก็ทำเป็นชำเรืองหันมาแอบมองฉัน
ทำยังกับว่าคำว่า ถูกใจใครหรือเปล่า
ใครคนนั้นก็คือฉันนั่นเอง
ฉันหันไปแสยะยิ้มเบาๆให้เจ้าหล่อนนิดนึงก่อนจะแกล้งทำเป็นไม่สนใจต่อ
“พี่แต่งชุดนี้แล้วกี้ว่าสวยหรือเปล่า
โอเคมั้ย”
พี่เนยหันมาถามความเห็นฉันตรงๆหลังจากที่เธอเห็นฉันทำเป็นไม่สนใจหล่อน
“ก็สวยอยู่แล้วนี่
รู้ตัวว่าตัวเองสวยอยู่แล้วนี่
จะมาถามคนอื่นทำไมอ่ะ
ไหนว่าอยู่เฉยๆก็สวยอยู่แล้ว
จะใส่ชุดหรือแต่งตัวอะไรยังไงมันก็คงจะสวยเหมือนเดิมอยู่แล้วมั้ง”
พี่เนยเม้มปาก
คิ้วขมวดทำหน้างอน “พูดประชดพี่ปะนี่
พี่แค่อยากให้กี้ชมพี่บ้างนิดนึงพอให้กำลังใจกันบ้างสักนิดไม่ได้เลยเหรอ
ใจร้ายจัง”
ฉันหันไปเหล่ตามองหล่อน
ที่ทำหน้าเศร้าๆเหมือนเธอกำลังนอยด์ที่โดนฉันแกล้งไม่ชมไม่สนใจเธออย่างนี้
“มั่นใจตัวเองเถอะน่า..กี้ไม่อยากจะพูดมาก
สวยก็สวยโอเคมั้ย”
ฉันพูดปัดๆไปเพราะไม่อยากบอกความรู้สึกในใจตอนที่เห็นเธอใส่ชุดไทยตอนนี้ให้เธอรู้ออกไป...
...ก็พี่เนยน่ะสวยอยู่แล้วนี่นา
แค่ฉันเห็นเค้าตอนแต่งตัวเสร็จแล้วไปยืนมองที่หน้ากระจก
ฉันก็ยังรู้สึกเลยว่าหล่อนสวยงามอย่างกับเทพธิดาในตำนาน
ยิ่งใส่ชุดไทยเข้าไป
ยิ่งสวยเข้าไปใหญ่
ยิ่งเวลาที่เธอออกมายืนด้านนอกช๊อปแล้วแสงพระอาทิตย์ยามเช้าตกกระทบกับเครื่องประดับบนตัวเธอแล้วสะท้อนขึ้นไปกระทบกับใบหน้าเรียวๆขาวๆที่โดนตกแต่งให้เหมือนนางในวรรณคดีไทยแล้ว
ยิ่งมีรังสีออร่าส่องประกายรัศมีเฉิดฉาย
ให้ฉันแทบไม่อยากละสายตาในเวลาที่เธอหันมามองทำตาหวานกับฉันอย่างนี้เลย
เวลาที่พี่เนยยืนนิ่งๆไม่ทำตัวประหลาด
วิ่งตามฉันไปมาเหมือนที่เธอทำกับฉันอยู่นี้
จะดูดีมองดูมีสง่าราศรีงดงามปานพญาหงส์เลยล่ะ
ยิ่งมองยิ่งจ้องความรู้สึกในใจของฉันยิ่งบอกว่าเธอคนนี้สวยและงดงามมากๆ
พูดง่ายๆก็คือพี่เนยสวยยิ่งกว่านางเอกหนังบางคนเสียอีก
ไม่อยากจะบอกเลยว่าแค่ตอนที่เธอส่องกระจกเสร็จแล้วหันมายิ้มหวานให้ฉันครั้งแรก
ฉันนี่ถึงกลับตกตะลึงพรึงเพริดไปเลยทันที
จนฉันต้องแอบข่มใจไม่ให้หลงไหลในความงามภายนอกของเจ้าหล่อนที่เห็นแค่เปลือกนอกอย่างนี้
เพราะฉันกล้วเหลือเกินว่า..ภายใต้รูปโฉมที่งดงามของพี่เนยนั้น
จะซ่อนอะไรบางอย่างที่ทำให้ฉันต้องเสียใจ
หากฉันเผลอไผลปล่อยตัวปล่อยใจให้เธอไปหมดแล้ว
ฉันได้แต่ก้มหน้าสะกดอารมณ์และความคิดของตัวเอง
และปล่อยให้ความเงียบ
ความเฉยชาภายนอกที่แสดงออกไปต่อหน้าพี่เนยตอนนี้ปิดบังความรู้สึกหวาดหวั่นในใจของตัวเองเอาไว้....
ไม่นานเพื่อนๆนักเรียนก็แต่งหน้าเสร็จกันทุกคน
พวกเราพากันขึ้นรถตู้โรงเรียนที่มารับให้ไปส่งที่ตั้งขบวนที่อยู่แถวตลาดๆในเมือง
เมื่อไปถึงเราก็พากันเข้าประจำตำแหน่งในขบวนตามที่คุณครูได้กำหนดจุดไว้ให้
ฉันกับพี่เนยก็เข้าประจำที่ตรงหน้าขบวนสุด
ตอนนี้บรรดาผู้ปกครอง
ประชาชนและคนทั่วๆไปต่างพากันเข้ามาขอถ่ายภาพฉันกับพี่เนยกันใหญ่
พวกเราต้องยิ้มเหงือกแห้งอยู่ตั้งนานกว่าขบวนจะออก
ฉันหันไปดูพี่เนย
เธอคงเหนื่อยกับการยิ้มแห้งๆถ่ายรูป
ตอนนี้ฉันแอบเห็นเธอหน้าบึ้งคิ้วขมวดเหมือนเธอไม่อยากให้ใครมาถ่ายรูปเธอแล้ว
แต่เธอก็พยายามหันมามองทางฉันเรื่อยๆเหมือนว่าเธอจะดูท่าทีของฉัน
ถ้าฉันยังยิ้มอยู่เธอก็จะยังยิ้มตาม
พอขบวนเริ่มเดิน
เราสองคนก็เดินไปยิ้มแย้มไปตามคอนเซ็ปต์ที่อาจารย์บอก
แรกๆนั้นพี่เนยก็ดูร่าเริงสดใสไปกับฉันดีหรอกแต่หลังๆมาก็เริ่มมีอาการแปลกๆ
พี่เนยเดินโยกไปซ้ายทีขวาทีทำท่าเหมือนจะล้มเสียให้ได้
ฉันต้องเหล่ตาคอยมองดูว่าเธอเป็นอะไรทำไมถึงเดินไม่ค่อยตรง
จนกระทั่งขบวนหยุดพักรอให้ตำรวจราจรมาโบกรถให้ข้ามถนนตรงสี่แยกไฟแดงก่อนจะเข้าโรงเรียน
ฉันถึงส่งเสียงถามเธอไป
“พี่เนย
ทำไมเซๆอย่างนั้น เป็นไรป่ะ”
“รองเท้าคัชชูคู่นี้มันกัดเท้าพี่อ่ะ
พี่เจ็บเท้ามากเลย..”
“อะไร
ไม่เคยใส่คัชชูเหรอ”
“เคยใส่อยู่
แต่คู่นี้พึ่งเคยใส่น่ะ
พี่ไม่คิดว่ามันจะคับจนกัดเท้าพี่ขนาดนี้
ยิ่งเดินไกลยิ่งเจ็บอ่ะ”
“เอ้า
แล้วไหวป่ะนี่”
ฉันหันหน้าไปดูหน้าพี่เนยที่ตอนนี้เธอเริ่มหน้าถอดสีเสียแล้ว
“ไหวๆ
อีกนิดก็คงจะถึงแล้วใช่ป่ะ
นิดเดียวพี่ทนได้
ขอแค่..ได้อยู่ใกล้ๆกี้ก็พอ”
ฉันทำตาขวางแล้วมองบนใส่พี่เนยทันทีที่ได้ยินประโยคนี้...
..ยัง..ยังจะมีอารมณ์มารำพึงรำพันอีก
ยัยคนนี้นี่
หน้าซีดเป็นไข่ต้มอยู่แล้ว..
ฉันทำปากมุบมิบๆส่งสัญญาณให้เจ้าหล่อนหยุดพูดอะไรทำนองนี้ต่อหน้าธารกำนัลอย่างนี้เสียที
หล่อนก็หันมายิ้มแหยๆด้วยใบหน้าซีดๆเซียวๆของหล่อนก่อนจะหันกลับไปเดินขบวนต่อ
ไม่นานขบวนก็เคลื่อนตัวเข้าสู่โรงเรียน
ฉันกับพี่เนยที่ได้เดินนำขบวนก็พากันวางป้ายและหยุดยืนรอให้นักเรียนในขบวนอื่นๆเดินเข้ามาต่อรูปขบวนในโรงเรียน
พี่เนยคอยหันมามองฉันอยู่เรื่อยๆ
ตรงข้ามกับฉันที่ไม่ได้หันไปสนใจเจ้าหล่อนเลยเพราะมัวแต่หันไปยิ้มให้กลับเด็กนักเรียนที่ไม่ได้ไปร่วมเดินขบวนแล้วรออยู่ที่โรงเรียน
ที่ตอนนี้พวกเค้าเดินเข้ามาขอถ่ายรูปฉันกับพี่เนยแล้ว
ฉันต้องคอยสะกิดข้างพี่เนยให้หันไปยิ้มให้กล้องบ้างอย่ามัวแต่หันหน้ามามองแต่ฉันอย่างเดียวอย่างนี้
พี่เนยทำหน้าเซ็งๆ
ใบหน้าเธอยังซีดๆเซียวๆเหมือนเดิมแต่เธอก็ยังฝืนยิ้มให้กับกล้องตามที่ฉันขอร้องเธอ
ในขณะที่ขบวนสีต่างๆเริ่มเข้ามาตั้งขบวนในโรงเรียน
และพวกนักเรียนที่อยู่สแตนด์ก็เริ่มทยอยหนีออกมาถ่ายรูปพวกคนที่ได้ถือป้าย
หรือคฑากรต่างๆในขบวน
ฉันกับพี่เนยก็เป็นกลุ่มคนแรกๆที่มีนักเรียนมาขอถ่ายรูปด้วย
ฉันต้องยิ้มจนฟันแห้ง
ขากรรไกรก็เริ่มค้าง
ความเหนื่อยก็เริ่มก่อตัวขึ้น
ตอนนี้ในใจฉันเริ่มคิดว่าเมื่อไหร่ขบวนจะมากันหมดสักทีนะ
แล้วนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
เอ..พี่เนยเจ็บเท้านี่นา
ตอนนี้เธอจะโอเคขึ้นหรือยังนะ
ฉันรีบหันไปมองหล่อน
ตอนนี้รู้สึกเหมือนหล่อนกำลังยืนเซซ้ายเซขวา
จนฉันต้องสะกิดพี่เนยให้หันหน้ามาทางฉันเพื่อถามอาการ
พี่เนยหันหน้าขาวๆซีดๆมาพร้อมๆกับเสียงพูดเบาๆของเธอ
“กี้..พี่ไม่ไหวแล้ว..”
พูดเสร็จพี่เนยก็ตาลอยแล้วเซล้มมาทางฉัน
ฉันต้องรีบพยุงตัวพี่เนยแล้วดึงมากอดไว้เพราะกลัวเธอล้มลงไปกองกับพื้น
“เฮ้ย
พี่เนยเป็นลมอ่ะ..”
ฉันรีบหันไปเรียกอาจารย์ผู้ชายที่ทำหน้าที่เป็นแพทย์สนามให้มารับพี่เนยไป
อาจารย์ก็รีบมาอุ้มพี่เนยขึ้น
“หน้าซีดจัง
คงจะตากแดดนาน
เด๋วอาจารย์พาไปห้องพยาบาลดีกว่า
ถ้าอยู่แถวๆสนามเด๋วก็ร้อนอีกไม่สบายอีก”
อาจารย์รีบพยุงตัวพี่เนยขึ้น
“ดีค่ะอาจารย์
หนูว่าควรพาพี่เนยไปเข้าร่มดีกว่า”
ฉันตอบรับอาจารย์
อาจารย์รีบอุ้มพี่เนยไปที่ห้องพยาบาลทิ้งให้ฉันยืนมองตามพี่เนยไปด้วยความคิดสับสนต่อทันที
..ไม่ไปดูเค้าหน่อยเหรอ..เค้าไม่ได้สติ
แถมยังไปกับอาจารย์ผู้ชายแค่สองคน...อยู่ในห้องที่ตอนนี้ไม่รู้ว่าจะมีใครหรือเปล่า..เป็นห่วงเค้าหน่อยสิ...เค้าอุตสาห์พยายามเดินเพื่อแกนะกี้..ฉันคิดถึงประโยคหนึ่งที่พี่เนยพูดตอนที่เธอเริ่มหน้าซีดๆเซียวๆตอนนั้น
“..นิดเดียวพี่ทนได้
ขอแค่..ได้อยู่ใกล้ๆกี้ก็พอ..”
...เห็นแก่มนุษยธรรม..ยังไงเค้ากับแกก็มีอะไรกันแล้วนะกี้
แล้วเค้าก็เป็นผู้หญิงเหมือนๆแก
ถ้าตอนนี้เค้าเป็นอะไรไปแล้วใครจะดูแลเค้า..ถ้าไม่ใช่แก..
ฉันยืนอึ้ง
รู้สึกงงในความคิดของตัวเอง..ไม่แน่ใจว่าควรจะไปดูเค้าดีมั้ย
แต่เมื่อคิดถึงใบหน้าที่หน้าสงสารของหล่อนแล้ว..ในที่สุดฉันก็อดรนทนไม่ได้เหมือนเดิม
ฉันรีบวิ่งตามอาจารย์ไปที่ห้องพยาบาลทันที..
ตอนนี้พี่เนยนอนอยู่บนเตียงพยาบาลโดยมีอาจารย์กำลังเอาพัดมาพัดโบกให้และมืออีกข้างก็คอยส่งยาดมให้พี่เนยได้ดม
ฉันรีบเดินเข้าไปหาเธอที่เตียงนอน
นั่งคุกเข่าข้างๆเตียงพี่เนย
แล้วขอยาดมกับพัดจากอาจารย์มาทันที
“เอ่อ...เด๋วหนูดูพี่เนยเองก็ได้ค่ะอาจารย์
อาจารย์กลับไปดูแถวก็ได้นะคะ
เหมือนนักเรียนจะเป็นลมเยอะอ่ะคะ”
“อ้อ
ได้ๆดีเลยงั้นดูพี่เค้าด้วยนะ
ครูจะรีบไปดูแถวต่อก่อน”
อาจารย์รีบพูดแล้วรีบเดินออกไปจากห้องพยาบาลทิ้งให้ฉันกับพี่เนยอยู่ในห้องพยาบาลแค่สองคน
ตอนนี้พี่เนยนอนหลับตาใบหน้ายังขาวๆซีดๆอยู่เหมือนเดิม
ฉันต้องคอยพัดให้อากาศบริเวณนั้นถ่ายเทด้วยกลัวว่าหล่อนจะหายใจไม่ออก
..จริงๆต้องปลดตะขอเสื้อชั้นในพี่เนยออกด้วยนะกี้
เพราะตอนนี้พี่แกหายใจด้วยตัวเองค่อนข้างลำบากอยู่แล้ว
แกต้องพยายามทำให้ร่างกายเข้าถ่ายเทอากาศเข้าปอดให้ง่ายที่สุด..สมองของฉันคงจำเรื่องราวที่อาจารย์เคยสอนตอนวิชาเนตรนารีในการพยาบาลคนเป็นลม
ตอนนี้มันเลยพยายามสั่งให้ร่างกายของฉันทำอย่างนั้นกับเธอ
...แล้วฉันจะไปกล้าปลดตะขอเสื้อชั้นในหล่อนยังไงล่ะนี่..ฉันมองหน้าขาวๆซีดๆที่หลับตาพริ้มเหมือนคนไม่ได้สติอยู่อย่างกลัวๆ
แม้ว่าฉันกับเค้าเป็นผู้หญิงด้วยกัน..แต่เค้าไม่ได้คิดว่าฉันเป็นผู้หญิงปกตินี่สิ..เค้าคิดว่าฉันคือคนที่เค้าต้องการจะมีอะไรด้วย
แล้วถ้าเค้าตื่นขึ้นมาแล้วเห็นฉันในสภาพที่พยายามปลดตะขอเสื้อชั้นในหล่อนในห้องที่มีกันแค่สองคน
เหตุการณ์มันจะไม่แย่ไปกว่าเก่าอีกเหรอ
ฉัน..จะไม่แย่อย่างตอนนั้นอีกแล้วเหรอ
โอ้ย..กี้เอ้ยกี้
ทำไมต้องมาเจอสถานการณ์อย่างนี้ด้วย..
“ฮือ..”
เสียงพี่เนยร้องครางออกมาเบาๆหล่อนคิ้วขมวดมือปัดป่ายไปตรงหน้าอกของหล่อนทำเหมือนกับว่าตอนนี้หล่อนหายใจไม่ออก
เมื่อเห็นอาการอย่างนั้นของหล่อนฉันก็ไม่รอช้า
ด้วยกลัวว่าหล่อนจะหายใจไม่ออกจนกระทั่งกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาอีก
ฉันจึงรีบช้อนตัวพี่เนยขึ้นแล้วใช้มืออีกข้างซุกเข้าไปในเกาะอกชุดไทยเพื่อเข้าไปปลดตะขอเสื้อชั้นในของเธอออก
พี่เนยสำลักไอขึ้นทันทีที่ตะขอเสื้อชั้นในหลุดออก
เธอคงเริ่มหายใจได้แล้ว
ฉันยิ้มออกทันทีที่เห็นอาการพี่เนยอย่างนั้น
เธอค่อยๆลดระดับการหายใจจากที่เธอหอบแรงๆในตอนแรกมาเป็นค่อยๆหายใจเข้าลึกๆแทน
ฉันต้องพยายามเอายาดมยื่นเข้าไปใกล้ๆกับจมูกของพี่เนยเหมือนเดิมเพราะอยากให้เธอได้รับไอระเหยของยาดม
อ้อฉันนึกได้แล้วฉันน่าจะเอาผ้าเช็ดหน้าไปชุบหน้ามาคอยเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ตัวเธอได้รับความเย็นเพิ่มขึ้นด้วย
ฉันหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าของฉันที่เหน็บไว้ข้างเอวที่พกติดตัวเอาไว้เผื่อเช็ดหน้าเช็ดตาออกมาเพื่อไปชุบน้ำที่ซิงค์ที่อยู่ในห้องพยาบาลนั้น
ฉันซักผ้าเช็ดหน้าแล้วบิดพอหมาดๆแล้วเอากลับมาเช็ดตามลำคอของเธอและรอบๆใบหน้าของเธอจนเครื่องสำอางของเธอเริ่มหลุดออก
ฉันต้องเทียวลุกขึ้นไปซักผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นอยู่เรื่อยๆเพราะเมื่อผ้าโดนเครื่องสำอางมันก็จะเริ่มสกปรกแล้วจะเช็ดพี่เนยไม่สะอาดกลายเป็นมีผดผื่นขึ้นมาทีหลังได้
แล้วเหมือนได้ผลพอใบหน้าของเธอโดนความเย็นของผ้าสีขาวๆซีดๆของใบหน้าก็เริ่มแดงมีเลือดฝาดขึ้นมาตามลำดับ
แม้ว่าพี่เนยจะเริ่มหายใจได้สบายกว่าตอนแรกแล้ว
แต่เธอก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่น
ตอนนี้เธอยังคงหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงเหมือนๆเดิม
เสียงบรรเลงดนตรีของวงดุริยางที่อยู่ด้านนอกดังขึ้นเป็นเพลงมหาฤกษ์
ตอนนี้งานกีฬาสีของโรงเรียนคงเปิดเป็นทางการ
แม้ฉันจะอยากออกไปร่วมขบวนด้านนอกด้วยแต่เมื่อมองพี่เนยที่นอนหลับไม่ได้สติอยู่บนเตียงอยู่ตอนนี้แล้วก็อดห่วงไม่ได้
ใจจริงฉันรู้สึกห่วงพี่เนยนะแต่อีกใจหนึ่งฉันก็ไม่อยากจะอยู่ใกล้ชิดกับหล่อนสองต่อสองอย่างนี้เลย
ฉันคงกลัวพี่เนยจะทำอย่างนั้นกับฉันอีก..แม้ตอนนี้เธอจะสิ้นฤทธิ์หมดสติอยู่บนเตียงแล้วก็เถอะ
แต่เสือก็คือเสือ
แม้จะนอนหลับแต่ถ้าตื่นขึ้นมาเจอกระต่ายน้อยอยู่เคียงข้างในถ้ำที่ไม่มีใครแล้ว..ไม่นานเจ้าเสือร้ายก็คงจะขย้ำกระต่ายน้อยจอมเซ่อซ่าตัวนั้นให้กลายเป็นอาหารอยู่ดี
ยิ่งคิดฉันก็ยิ่งสับสน
แล้วก็เหมือนโชคจะเข้าข้างฉันอยู่บ้าง
เพราะฉันได้ยินเสียงคนเดินตรงมาที่ห้องพยาบาล
ฉันรีบหันไปมองตามเสียงทันที
ครูพยาบาลผู้หญิงกำลังพยุงร่างของพี่ออยพี่ที่ถือป้ายเดี่ยวต่อจากพวกฉันเข้ามา
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าพี่ออยคงเป็นลมเหมือนๆกัน
ครูพยาบาลจัดแจงดูแลพี่ออยเสร็จสรรพครูก็นั่งประจำที่อยู่ที่โต๊ะ
ท่าทางคุณครูคงไม่ได้ออกไปไหนจากห้องพยาบาลแน่ๆเพราะคุณครูนั่งก้มลงขีดๆเขียนๆอะไรของครูอยู่บนโต๊ะ
ครูคงทำงานที่ค้างของครูไปด้วยและดูแลนักเรียนที่ไม่สบายไปด้วยแน่นอน
ฉันได้ทีรีบเดินเข้าไปฝากพี่เนยกับอาจารย์ซึ่งอาจารย์ก็รับคำทันที...
“ขอโทษนะพี่เนย
กี้ดูแลพี่เนยได้แค่นี้ล่ะ..หวังว่าพี่เนยจะหายไวๆนะ
เป็นห่วงนะ ลาก่อน..”
ฉันก้มลงกระซิบหล่อนตอนที่หยิบเอาผ้าเช็ดที่ฉันเดินไปเปลี่ยนน้ำให้มาใหม่อีกรอบเช็ดไปรอบๆหน้า
แล้วก็พับวางไว้ที่หน้าผากของหล่อนก่อนจะเดินออกจากห้องพยาบาลไปอย่างเงียบๆ
วันนั้นฉันกลับบ้านมาด้วยความเหนื่อยล้า
หลังจากที่ฉันดูแลพี่เนยเสร็จฉันก็กลับไปเช็คชื่อที่ขบวนและอยู่ดูงานกีฬาไม่นานจึงกลับไปเปลี่ยนชุดที่ช๊อปและนั่งรถกลับมาที่บ้านทันทีไม่ได้แวะไปเที่ยวเล่นที่ไหนเหมือนที่เพื่อนคนอื่นๆเป็นกัน
ฉันทำงานช่วยพ่อกับแม่ไม่นานก็โดนพ่อสั่งให้ขึ้นมานอนพัก
ซึ่งก็คงจะเป็นเพราะว่าพ่อเห็นใบหน้าที่อิดโรยและดวงตาที่ดำคล้ำของฉันกับท่าทางที่เดินไปเดินมาเหมือนคนไม่มีแรงเลยทนไม่ไหว
ฉันก็ไม่ไหวจริงๆเหมือนที่พ่อมองนั่นล่ะ
ด้วยความรู้สึกล้าๆเหนื่อยจากการไม่ได้นอนทั้งคืน
แถมยังต้องเดินตากแดดเป็นระยะทางไกลอีก
นี่แค่ปีแรกที่ได้ถือป้ายนะนี่ยังยุ่งยากลำบากได้ขนาดนี้
ฉันนึกไม่ออกเลยจริงๆว่าพวกที่ถือป้ายและทำกิจกรรมอย่างนี้ทุกปีจะลำบากขนาดไหน
ยิ่งพวกวงค์ดุริยางยิ่งแล้วใหญ่
สงสารพวกเค้าจังต้องหอบเครื่องดนตรีใหญ่ๆหนักๆอยู่ตลอดเวลาที่เดิน
ปีหน้าฉันคงต้องคิดทบทวนดีๆแล้วล่ะ
ถ้าหากอาจารย์จะให้ฉันมาเดินอย่างนี้อีก..เฮ้อ..
ฉันเดินขึ้นห้องมาด้วยความคิดเหนื่อยๆล้าๆ
เปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่ออาบน้ำซึ่งหลังจากอาบน้ำเสร็จก็เดินมาทิ้งตัวลงเตียงนอนด้วยหวังว่าฉันจะสามารถหลับตานอนได้ในตอนนี้
แต่ก็เปล่าเลย
กลายเป็นว่าฉันกึ่งหลับกึ่งตื่นตลอดเหมือนๆจะหลับแล้วแต่ก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมา
เหมือนในใจมีเรื่องราวให้คิดมากมายกลายเป็นจิตใจฉันฟุ้งซ่านสับสนคิดมากไปเรื่อยๆ
และหนึ่งในเรื่องที่ฉันคิดมากนั่นก็คือเรื่องของพี่เนยนั่นเอง
ฉันทั้งคิดว่า
ฉันกับเค้าต่อไปจะเป็นยังไง
จะมีใครรู้เรื่องของพวกเรากันมั้ย
พี่เนยจะเอาไปโพนทะนาบอกใครหรือเปล่า...
ฉันไม่เป็นอะไรใช่มั้ย..ถ้าฉันมีอะไรกับผู้หญิงอย่างนี้...
ฉันเทียวผุดลุกผุดนั่งทั้งหลับทั้งตื่น
เหมือนจะหลับได้ชั่วครู่ประเดี๋ยวประด๋าวก็ตื่นขึ้นมาใหม่อีก
เวลาก็ค่อยๆผ่านไปเรื่อยๆจากที่ด้านนอกมีแสงพระอาทิตย์อยู่ก็กลายเป็นความมืดค่อยๆแผ่ปกคลุมด้านนอกเข้ามาจนถึงในห้องฉันเรื่อยๆ
จากที่ฉันดูนาฬิกาตอนที่ฉันอาบน้ำเสร็จตอนแรกบ่ายสามโมงครึ่งตอนนี้กลายเป็นเวลาทุ่มกว่าแล้ว
โอ้ยให้ตายเถอะฉันเหนื่อยเหลือเกินแต่ฉันก็ดันนอนไม่หลับซะนี่
ไม่ได้ๆฉันต้องข่มตานอนให้ได้
คิดได้ดังนั้นฉันก็เอาผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงพยายามนอนให้หลับให้ได้ภายใต้ผ้าห่มผืนนี้......
...แล้วก็เหมือนฉันจะหลับ
อืม..ฉันคงจะหลับได้อีกไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้นเสียงโทรศัพท์ของฉันก็ดังปลุกให้ฉันงัวเงียขึ้นมาในห้องที่มืดสนิทและเงียบสงัด
ฉันดูนาฬิกาในโทรศัพท์ตอนนี้มันบอกเวลาไว้ที่23.45
น.
เกือบๆจะเที่ยงคืนแล้ว
ใครกันนะโทรมาหาฉันกลางค่ำกลางคืนอย่างนี้
แถมดูเบอร์ก็ยังเป็นเบอร์ที่ไม่คุ้นเสียอีก
ในใจคิดว่าจะรับดีมั้ยเพราะมันดึกเหลือเกินแต่ในใจนึงก็กลัวคนที่โทรมาจะมีปัญหาฉุกเฉินอะไรหรือเปล่าถึงจำเป็นต้องโทรมาหาฉัน
ณ เวลานี้
คิดได้ไม่นานฉันก็ตัดสินใจกดรับสายเบอร์แปลกเบอร์นั้นทันที
ปลายสายดังเป็นเสียงที่ฉันคุ้นหูมาทันทีที่ฉันเอ่ยคำสวัสดีไป
“กี้นอนหรือยัง”
เสียงพี่เนยนั่นเอง..
“นอนแล้วสิ
ทำไมพี่เนยรู้จักเบอร์กี้
ไปเอามาจากไหนนี่”
“ก็พี่บอกแล้วว่าพี่เฝ้าดูกี้อยู่ตลอด”
“โรคจิตหรือเปล่านี่
โทรมาทำไมตอนนี้ดึกๆดื่นๆ”
“พี่คิดถึงกี้
พี่นอนไม่หลับน่ะ พี่ไม่รู้จะทำยังไง
พี่กลัวกี้เกลียดพี่ พี่คิดมาก
พี่เครียด พี่เลย....”
ฉันนั่งเงียบฟังพี่เนยกำลังพร่ำเพ้อบ้าบออะไรของเธอไปเรื่อย
จนกระทั่งมาสะดุดกับประโยคต่อมา
“..มาหากี้
ตอนนี้พี่อยู่หน้าบ้านกี้..”
“ห๊า
อะไรน้า ล้อเล่นหรือเปล่า
ไม่เชื่อหรอกอย่ามาโกหก
นี่มันจะเที่ยงคืนแล้วจะมาได้ยังไง”
“พี่ก็เดินมาเอา
พี่คิดถึงกี้พี่ไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ
ถ้ากี้ไม่เชื่อก็ลองโผล่ระเบียงออกมาดูพี่ข้างนอกสิ”
ฉันคิ้วขมวด
แม้จะไม่ค่อยเชื่อแต่เมื่อคิดถึงความประหลาดของพี่เนยที่กล้าทำอะไรบ้าๆบอๆกับฉันแล้ว
ก็อดที่จะเชื่อไม่ได้ว่าเธอมาอยู่ที่หน้าตึกจริงๆ
ฉันรีบเปิดไฟที่ห้องแล้วโผล่ออกไปที่ระเบียงตึกบนห้องที่ฉันอยู่มองลงไปข้างล่าง
...เฮ้ย..พี่เนยจริงๆด้วย..
ตอนนี้เธอยืนถือโทรศัพท์มือถือคุยกับฉันอยู่ข้างล่าง
ทั้งๆที่รอบๆบริเวณนั้นมืดและเงียบสนิทไม่มีแม้กระทั่งรถผ่านไปมา
“บ้าหรือเปล่า
มาทำอะไรตอนนี้กลับบ้านไปเลยไป”
“พี่จะกลับยังไง
พี่เดินมากว่าจะถึง..ไม่เอาอ่ะพี่ไม่กลับ
ถ้ากี้ไม่ให้พี่เจอหน้ากี้พี่ก็จะยืนรอกี้อยู่หน้าบ้านอย่างนี้ล่ะ”
“จะบ้าเหรอ
เป็นผู้หญิงมายืนอะไรคนเดียวดึกๆดื่นๆอย่างนี้ไม่กลัวอันตรายหรือไง
ถ้าใครเค้าลากไปข่มขืนจะทำยังไง
แถวนี้ยิ่งมีพวกมิจฉาชีพเยอะอยู่
กลับบ้านไปเลยไป”
ฉันทำเสียงดุไล่ให้พี่เนยกลับบ้าน
นี่มันเที่ยงคืนแล้วแท้ๆแถมยังเป็นที่มืดๆเปลี่ยวอย่างนี้
เป็นผู้หญิงอย่างนี้แถมยังหน้าตาดียังจะกล้ามาอีก
ฉันให้เวลาเต็มที่
5นาทีเด๋วก็ต้องมีพวกโรคจิตเดินมาลากเธอไปทำมิดีมิร้ายแน่ๆ
“กี้จะให้พี่กลับยังไง
ไม่สงสารพี่เหรอ พี่เดินมา
บ้านพี่ก็อยู่ตั้งไกล
ให้พี่นอนกับกี้ได้มั้ย”
!!!.ห๊า..นี่ยังจะมีหน้ามาขอนอนกับฉัน
โดยใช้คำว่า สงสาร
มาขอความเห็นใจจากฉันอีกอย่างนั้นเหรอ
เห็นฉันเป็นคนยังไงเนี่ย
ไม่หลงกลเธออีกแล้วล่ะนะยัยตัวร้าย
“บ้า
ไม่เอาอะ ไปหานอนที่อื่นเลยไป
โรงแรมแถวนี้มีเยอะแยะ”
ฉันยังทำเสียงดุผ่านโทรศัพท์ไปอีก
“พี่เป็นผู้หญิงนะกี้
ยังเป็นเด็กด้วย
จะให้พี่เดินเข้าไปเปิดโรงแรมนอนคนเดียวอย่างนี้ไม่คิดว่าพี่จะอายเหรอ
ทำไมกี้ไม่สงสารพี่เลยอะ
ถ้ากี้ไม่ให้พี่นอนด้วย
พี่ก็จะนั่งรอกี้อยู่หน้าบ้านอย่างนี้ล่ะ”
“ตามใจสิ
อยากทำอะไรก็ทำกี้ไม่คุยด้วยแล้ว”
ฉันรีบกดวางโทรศัพท์แล้วรีบปิดประตูระเบียงเข้ามาในห้องทันที
...ผู้หญิงบ้าอะไรนี่
นี่ทำตัวประหลาดเกินไปแล้วนะ..
เธอกล้าและบ้าบิ่นมาก
ทั้งๆที่บ้านเธออยู่อีกตั้งอำเภอแท้ๆยังกล้าที่จะเดินมาหาฉันในเวลาดึกๆดื่นๆอย่างนี้
แต่ไม่กล้าไปนอนที่โรงแรมคนเดียว
..หมายความว่ายังไงกัน
???
ช่างเถอะฉันไม่ใส่ใจแล้ว
อยากรอก็รอไป
อีกหน่อยก็คงกลัวแล้วก็หาทางกลับบ้านเอง
ฉันปิดไฟแล้วกลับมานอนที่เตียงทันที
...แต่....
...ฉันก็นอนไม่หลับ
มันกระสับกระส่ายอย่างไรไม่รู้
ฉันเทียวพลิกตัวไปทางซ้ายทีขวาที
ทั้งเทียวลุกเทียวนั่งหันออกไปทางระเบียง
ด้วยเริ่มกลัวว่า คนข้างล่าง
จะเป็นอะไรไปหรือยัง
ตอนนี้ฉันดูนาฬิกาในโทรศัพท์เวลาผ่านไปเกือบ10นาทีแล้ว
ยัยคนนั้นจะยังอยู่หรือจะไปไหนแล้วหรือยังนะ
เมื่อเกิดความสงสัยและด้วยความเป็นห่วงนิดๆฉันเลยแอบเดินไปที่ระเบียงโดยที่ไม่ได้เปิดไฟ
ตอนนี้ฉันแอบชะโงกหน้าลงไปดูที่ข้างล่าง
กลายเป็นว่าไม่มีพี่เนยแล้ว
..นั่นไงทนไม่ได้กลับไปแล้วใช่มั้ยล่ะ..
เมื่อเห็นดังนั้นฉันจึงรีบกลับเข้ามานอนที่เตียงตัวเองต่อ
แต่ก็นอนไม่หลับอีกเหมือนเดิม
เพราะมันยังมีคำถามอยู่ในหัวดังเข้ามาเรื่อยๆ
...แล้วถ้าพี่เนยยังไม่ได้กลับบ้านล่ะ
แต่กลายเป็นว่าเธอโดนผู้ชายฉุดไปข่มขืนจะทำยังไง
ถึงแม้เค้าจะเคยทำอะไรแย่ๆกับฉัน
แต่ฉันก็ไม่ได้มีความสุขหรอกนะที่จะเห็นเค้าโดนอย่างนั้นเหมือนๆกันกับฉัน
...โอ้ย..แล้วถ้าโดนฆ่าหมกป่าอีกจะทำยังไงนี่
...ถ้าเค้าสืบสวนไปมาแล้วพบว่าที่สุดท้ายที่เธอมาหาคือบ้านฉัน
ฉันจะทำยังไง
แค่คิดความรู้สึกผิดก็ประเดประดังเข้ามาหาฉัน
ทำไมฉันถึงเป็นคนขี้สงสารและเป็นห่วงคนอื่นได้ขนาดนี้นะ
ทั้งๆที่เค้าทำเรื่องที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตกับฉันมาแท้ๆแต่ฉันก็ไม่วายเป็นห่วงเค้าอยู่ดี
ฉันมองดูโทรศัพท์
ฉันควรจะโทรถามเค้าดีมั้ยว่าเค้าอยู่ไหนแล้ว
ฉันลังเลใจจริง ๆ...