วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2559


นิยายหญิงรักหญิง Lovely Mafia Girl
ลูกสาวเจ้าพ่อ ขอเป็นแฟนหนู
Chapter 1
เธอ”

“..เราเลิกกันเถอะ..ก่อนที่อะไรหลายๆอย่างจะยุ่งยากกว่านี้”
เสียงเรียบๆออกมาจากปากของหญิงสาวแสนสวยที่อยู่ต่อหน้าฉันตอนนี้
แค่ได้ยินฉันก็อึ้ง เพราะไม่คิดเลยว่าระยะเวลาเกือบ10 ปีที่ฉันเคยดูใจคบหากับผู้หญิงคนที่อยู่ต่อหน้าฉันตอนนี้ อยู่ๆจะมีวันนี้ วันที่เค้าเคยสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า...จะไม่เกิดขึ้นในชีวิตรักของเรา

คิดมาดีแล้วใช่มั้ย...” เสียงอึกๆอักๆของฉันถามย้ำคนที่อยู่ต่อหน้าออกไป
อืม..มันคงจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้วล่ะ..สำหรับสถานการณ์อย่างนี้”
ฉันนิ่ง ตอนนี้ในหัวของฉันมันสับสนไปหมดคิดอะไรไม่ออกเลย ได้แต่ยิ้มให้คนทีอยู่ต่อหน้าแทนคำตอบว่าไม่เป็นไร
“...ถ้ามันเป็นทางออกที่ดีที่สุด กี้ก็ยอมนะ..เราคงมาด้วยกันได้สุดทางแค่นี้ล่ะ ขอบคุณจริงๆสำหรับทุกอย่าง ที่เคยให้กี้..ขอให้เรื่องร้ายๆที่เกิดขึ้นตอนนี้ผ่านไปด้วยดีนะ... ลาก่อน” ฉันกลืนน้ำลายตรงประโยคสุดท้ายเพราะรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังคอแห้งผาก ตอนนี้ฉันรู้สึกเหมือนน้ำตากำลังคลอเบ้าตาตัวเองอย่างไรไม่รู้
ฉันรีบหยิบเอากระเป๋าและโทรศัพท์มือถือลุกขึ้นจากโต๊ะอาหาร ก้มหน้าก้าวเดินออกมาจากร้านอาหารแสนหรู ที่ประจำของฉันกับผู้หญิงคนนี้ ที่เคยมาทานตั้งแต่ฉันเรียนจบมหาลัย
แม้จะงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้แต่ฉันก็พยายามตั้งสติ และขับรถออกมาจากที่เกิดเหตุให้ไวที่สุด
ตลอดระยะเวลาที่ฉันขับรถ ในใจฉันเฝ้าคิดทบทวนถึงเรื่องราวความรักของฉัน
จริงๆแล้วฉันควรจะเศร้าและเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ แต่หลายๆสิ่งหลายๆอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาระหว่างฉันกับเธอคนเมื่อครู่นี้สอนให้ฉันรู้ว่าบางทีบางครั้งเราก็ควรปล่อยวางในปัญหาที่เราสองคนพยายามแก้ไขแล้วยังแก้ไม่ได้อยู่
ฉันรักผู้หญิงคนนี้มาก แต่บางครั้งสถานการณ์ในชีวิตของเราสองคนอาจจะไม่เหมือนกัน เธอคนนั้นอาจจะไม่เหมาะที่จะต้องมามีความรักแบบอย่างนี้ กับผู้หญิงธรรมดาคนนี้
นั่นเป็นสิ่งที่ฉันเคยทำใจมาก่อนหน้านี้หลายปีแล้ว
เมื่อวันนึงเค้าเป็นคนร้องขอที่จะจบเรื่องของเรา ฉันจึงได้แต่ปล่อยให้มันเป็นไป
เพราะด้วยหวังว่า สิ่งสุดท้ายที่ฉันจะทำให้เค้ารู้ได้ว่าฉันรักเค้าจริงๆก็คือ การเสียสละ” เสียสละความรักที่เค้าเคยมีให้แก่ฉันไปให้ใครสักคนที่เหมาะสมและคู่ควรกับเค้ามากกว่าฉันนั้นเอง

ฉันขับรถมาเรื่อยๆพร้อมกับความคิดหลายๆอย่างที่ผ่านเข้ามาในหัวของฉัน
ตอนนี้รถมาจอดอยู่ที่ลานจอดรถของคอนโดของฉันแล้ว ฉันดับเครื่องค่อยๆเดินเอื่อยๆเฉื่อยๆอย่างคนซังกะตาย ขึ้นลิฟท์ไปที่ห้องของตัวเอง
เมื่อมาถึงห้อง หลังจากที่ฉันเก็บกระเป๋าและจัดการเปลี่ยนชุดทำงานของฉันออกมาอยู่ในชุดลำลองของตัวเอง ฉันเดินมานั่งเช็ดเครื่องสำอางที่หน้าออกที่โต๊ะเครื่องแป้งก่อนจะหยุดอึ้งมองผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้านี้
ผู้หญิงคนนี้ผู้หญิงธรรมดาๆคนนึงกับชีวิตที่เติบโตมาอย่างธรรมดาๆ ไม่เคยคิดไม่เคยคาดหวังว่าชีวิตตัวเองต้องเป็นอย่างคนอื่น ต้องเหนือคนอื่น หรือแปลกแตกต่างจากคนอื่น
ฉันเป็นผู้หญิงคนนึงที่มีความรัก เป็นความรักที่อาจจะเหมือนคนอื่นๆทั่วไปที่ไม่มีอะไรแปลกประหลาดมากมายถ้าอีกฝ่ายไม่ใช่ “ผู้หญิง”ด้วยกัน
ใช่... ฉันเป็นผู้หญิงรักหญิง ซึ่งจริงๆก็ไม่ได้เป็นมาตั้งแต่เกิดหรอก
เรื่องราวของความรักที่มีต่อผู้หญิงด้วยกันของฉันมันเกิดขึ้นมาอย่างประหลาดๆ
มันเป็นความรักแบบแปลกๆที่ยากที่จะเล่าให้คนอื่นฟังได้ จะมีก็เพียงแต่ฉันและผู้หญิงคนนึงเท่านั้นที่รู้ถึงที่มาที่ไปแบบแปลกๆในจุดเริ่มต้นนั้น
ใช่ ฉันหมายถึงผู้หญิงคนที่เค้าพึ่งบอกเลิกฉันเมื่อครู่นี่ล่ะ เค้าเป็นคนรักคนแรกของฉันและเป็นคนแรกที่ทำให้ฉันมอบความรักให้กับผู้หญิงด้วยกัน และฉันคบกับเค้ามาได้9ปีเกือบๆจะ10 แล้ว
ครั้งนี้เมื่อฉันนึกถึงเรื่องราวที่ทำให้เราได้เจอกันและคบกันได้ฉันก็ยังหัวเราะเหมือนเดิมแม้เสียงหัวเราะนั้นจะฟังดูไม่สดใสเท่าทุกครั้งที่นึกถึง
ฉันอมยิ้ม เดินไปหยิบอัลบั้มรูปภาพเก่าๆมาเปิดดู คงเป็นเพราะตอนนี้ฉันอารมณ์เศร้าแต่ไม่อยากจะร้องไห้ ฉันจึงพยายามนึกย้อนกลับไปถึงเรื่องราวดีๆในอดีตระหว่างฉันกับเธอคนนี้แทน
คิดเสียว่า ยังไงวันนึงเราอาจจะกลับมาเป็นเพื่อน เป็นพี่เป็นน้องที่พึ่งพาอาศัยกันได้

...นึกย้อนกลับไปเมื่อ 9 ปีที่แล้ว..

เมื่อตอนที่ฉันอายุ 16 ปี ตอนนั้นฉันเรียนอยู่ชั้น ม.4 ในโรงเรียนสหศึกษาอันดับหนึ่งประจำจังหวัด หรือก็คือโรงเรียนที่มีทั้งผู้หญิงและผู้ชายอยู่ในโรงเรียน

ตอนนั้นฉันเป็นเด็กสาวใสซื่อบริสุทธิ์

...ใช่.. คำว่าใสซื่อบริสุทธิ์สำหรับฉันก็คือ ทั้งสดใส ซื่อบื้อไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร มองโลกในแง่ดี แล้วก็บริสุทธิ์ไปทั้งความคิด ร่างกาย และจิตใจ ไม่มีอะไรแอบแฝงจริงๆ
ฉันใช้ชีวิตของเด็ก ม.ปลายเหมือนเพื่อนๆคนอื่นๆในชั้นเรียน เป็นเด็กสาวที่เริ่มโตตามวัย
ฉันเริ่มไว้ผมยาวตั้งแต่ปิดเทอม ม.3 เพื่อจะให้ยาวทันตอนเปิดเทอม ม.4 ซึ่งก็ได้ผล เมื่อผมฉันยาวเพื่อนๆที่โรงเรียนก็ต่างชื่นชมว่าฉันสวยน่ารัก
อาจจะเป็นเพราะว่าฉันมีรูปร่างที่สูงดูเป็นสาวกว่าเพื่อนๆในสายชั้นด้วย จึงทำให้ช่วงที่ขึ้นเรียน ม.4 ใหม่ๆฉันกลายเป็นคนดังของสายชั้นขึ้นมาทันที
เพื่อนๆพี่ๆในโรงเรียนบางคนไม่เคยเห็นหน้าฉันในตอนที่ฉันเรียน ม.ต้น ซึ่งก็อาจจะเป็นเพราะตอนนั้นฉันผมสั้นหน้าตาเอ๋อๆเหมือนเด็กธรรมดาๆคนนึง ไม่มีอะไรโดดเด่น คนมองเห็นจึงมองผ่านๆ ซึ่งตอนนั้นฉันก็ไม่ค่อยสุงสิงกับใครอีกด้วย จึงไม่น่าแปลกเลย ที่พวกเค้าจะคิดว่าฉันเป็นนักเรียนใหม่ที่เข้ามาตอน ม.4 จนหลายๆคนเริ่มเข้ามาจีบฉัน
แม้จะมีเพื่อนๆพี่ๆหลายคนเข้ามาจีบฉันในตอนนั้น แต่ฉันก็ไม่ได้นึกสนใจเรื่องอย่างว่าเลย คงเป็นเพราะว่าความคิดของฉันยังเด็กอยู่ การคุยเล่นกับคนอื่นๆนั้นจึงเป็นแค่เพียงคุยเหมือนคนรู้จักกันเฉยๆ
ตอนนั้นมีทั้งรุ่นพี่ผู้ชายและรุ่นพี่ผู้หญิงมาคุยด้วย
รุ่นพี่ผู้ชายส่วนมากก็จะเข้ามาจีบ ส่วนรุ่นพี่ผู้หญิงก็จะคล้ายๆกับปลื้มเราคอยเทคแคร์เอาใจเราให้เรารู้สึกดี แต่ฉันก็ไม่ได้คิดอะไรอย่างนั้นจริงๆ ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะน่ารัก น่าตาดีหรือนิสัยดียังไงฉันก็ยังไม่เคยเกิดความรู้สึกรักใคร่แบบวัยรุ่นเสียที
ฉันคงเด็กเกินไปที่จะคิดเรื่องอย่างว่าจริงๆ
เป็นธรรมดาเมื่อเราเริ่มเป็นสาวและมีคนเห็นว่าเราหน้าตาดี สิ่งที่เรามักจะได้ทำในโรงเรียนก็คือการเข้าร่วมกิจกรรมของทางโรงเรียนประเภทถือป้าย หรือเดินขบวนต่างๆ
ซึ่งปีนี้ก็เป็นปีแรกที่ฉันได้ถือป้าย
ฉันยังนึกถึงวันที่อาจารย์คัดตัวได้ อาจารย์เรียกนักเรียนหญิงที่น่าตาดีๆประมาณสิบกว่าคนออกไปรวมทั้งฉันด้วย พวกเค้าคัดตัวเด็กที่มีความสูงใกล้เคียงกันให้ถือป้ายต่อๆกัน สำหรับฉันได้ถือป้ายคู่ที่เป็นชื่อโรงเรียน
คนที่ถือป้ายคู่กับฉันคือพี่ออยรุ่นพี่ ม.5 ที่เคยให้ดอกไม้ในวันวาเลนไทน์ฉันด้วย พี่คนนี้ดูใจดีและยิ้มง่ายเค้าจะชวนฉันคุยตลอดเวลาที่อยู่ใกล้ๆ
ในขบวนที่เราเดินป้ายของเราจะอยู่อันดับแรก และต่อด้วยป้ายกีฬาสีที่เป็นป้ายเดี่ยว
ฉันหันไปดูคนที่ถือป้ายเดี่ยวที่ต่อจากฉัน เป็นรุ่นพี่ผู้หญิงคนนึงน่าจะรุ่นเดียวกันกับพี่ออยเพราะเห็นใช้สรรพนามว่า “แกๆ” ตอนเรียกกันอยู่
รุ่นพี่คนนี้ฉันไม่รู้จักเค้าและไม่คุ้นหน้าเลย ไม่เคยแม้แต่จะเห็นหน้าเสียด้วยซ้ำ แม้จะรูปร่างผิวพรรณดี หน้าตาก็สะสวยแลดูโดดเด่นจนฉันต้องหันกลับไปมองอีกครั้งทันทีที่ฉันเห็นแว็บแรกก็ตาม
แต่เมื่อเพ่งพินิจดูใบหน้าของพี่คนนี้แล้วก็เกิดความรู้สึกคุ้นๆแบบแปลกๆ ซึ่งฉันก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าคุ้นยังไง
ฉันได้แต่แอบมองหน้าพี่เค้า ด้วยความสงสัยว่าฉันเคยเห็นหน้าเค้ามาก่อนหรือเปล่า
ซึ่งพอเค้ารู้ตัวว่าฉันแอบมองเค้า เค้าก็ยิ้มที่มุมปากให้ฉันนิดนึงทันที ทั้งๆที่เหมือนว่าพี่คนนี้จะเป็นคนที่ไม่ค่อยยิ้มและค่อนข้างจะหยิ่งแถมยังเฉยชาเสียด้วย
เมื่อเห็นว่าพี่คนนั้นยิ้มให้ฉันจึงรีบยิ้มตอบอย่างมีมารยาทก่อนที่จะหันมาสนใจในคำพูดของอาจารย์ที่กำลังอธิบายรูปแบบขบวนอยู่ด้านหน้าต่อไป
เมื่อตอนที่อาจารย์เลือกและคัดตัวคนถือป้ายลงตัวเสร็จแล้ว อาจารย์ก็ให้นักเรียนที่ได้รับการคัดเลือกมาลงชื่อไว้ ซึ่งในตอนนั้นเอง อยู่ๆพี่คนที่อยู่ข้างหลังป้ายของเราก็ขอเปลี่ยนตัวกับพี่ออย โดยให้เหตุผลว่า ไม่ชอบถือป้ายเดี่ยวอย่างนี้ อยากถือป้ายคู่มากกว่า ซึ่งพี่ออยก็ยอมเปลี่ยนให้ทันทีที่พี่คนนั้นขอร้อง

ตอนนี้พี่คนนั้นขยับขึ้นมานั่งข้างๆฉันแล้ว

ฉันหันไปยิ้มให้พี่คนนั้นก่อนเพื่อเป็นการผูกมิตร พี่คนนั้นก็ยิ้มตอบให้ฉันนิดนึงแต่ก็ไม่พูดอะไร
คุณครูส่งสมุดสำหรับเซ็นชื่อให้พี่คนนั้นเซ็นก่อน เมื่อเซ็นเสร็จพี่คนนั้นก็ส่งมาให้ฉัน
ฉันแอบอ่านชื่อของพี่คนนั้น
..นางสาวเนรนิมิตร ธนสารพิบูลทรัพย์...
อื้ม..ชื่อแปลกจัง เป็นความคิดแว๊บแรกที่ฉันอ่านชื่อของพี่คนนั้นทันที
เอ..อ่านว่า เน-ระ-นิ-มิต หรือ เน-นิ-มิต หรือว่า เนน-นิ-มิต กันนะ
แม้จะนึกสงสัย แต่ด้วยความมีมารยาทฉันก็ได้แต่เก็บความสงสัยนั้นไว้ในใจคนเดียว
พี่คนนั้นหันมามองฉันตอนที่ฉันอึ้งกับชื่อของพี่แกอยู่ เหมือนเธอจะรู้ว่าฉันคงสงสัยชื่อเธอ เธอเลยยิ้มให้
เรียกพี่ว่าเนยเฉยๆก็ได้นะ ชื่อจริงอาจจะอ่านยากซักหน่อยน่ะ มันอ่านว่า เน-ระ-นิ-มิต น่ะ” พี่คนนั้นยิ้มพร้อมๆกับบอกฉัน
อ๋อ..พี่ชื่อเนยเหรอคะ หนูชื่อกี้นะคะยินดีที่รู้จักค่ะพี่” ฉันกล่าวแนะนำตัวเองบ้างตามมารยาทที่พี่คนนั้นชวนคุย
อืม รู้แล้วล่ะว่าเราชื่อกี้..”พี่คนนั้นยิ้มหวานให้ก่อนที่จะหันหน้าไปมองอาจารย์ต่อ

เฮ้..ท่ายิ้มเมื่อครู่นี้ อย่างสวยเลยฉันคิดทันทีที่เห็นรอยยิ้มของพี่เค้า

พี่เนย..นี่เป็นคนสวยมากๆเลยนะ ยิ่งยิ้มยิ่งสวย สวยอย่างกับพวกดาราเลย ผิวพรรณ รูปร่างหน้าตาก็ดูดีมีสง่าราศรีเหมือนผู้ดีมีสกุล เพียงแต่ว่า แกชอบทำหน้าบึ้งๆไม่ค่อยยิ้ม หน้าตาเลยดูดุๆ ทำให้คนอื่นไม่กล้ามอง
แต่เอ...นี่พี่เนยเค้ารู้จักฉันด้วยเหรอ คงจะเคยเห็นกันแล้วสินะมิน่าฉันก็ว่าหน้าพี่คนนี้คุ้นๆอยู่ เพียงแต่นึกไม่ออกว่าคุ้นยังไงเฉยๆ อืมยิ่งนึกยิ่งสงสัย แต่ก็ช่างเถอะ เด๋วถ้าสนิทกันแล้วฉันจะค่อยถามพี่เนยอีกทีก็ได้ว่าเราเคยเจอกันที่ไหนหรือเปล่า

….นั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันได้ทำกิจกรรมของโรงเรียนหลังจากที่อยู่โรงเรียนนี้มา3ปีแล้ว แต่ไม่เคยได้ร่วมกิจกรรมประเภทเดินขบวนอะไรเลยสักอย่าง นอกจากนั่งเชียร์กีฬาอยู่ที่สแตนด์
นอกจากไม่ค่อยได้เข้าร่วมกิจกรรมต่างๆที่โรงเรียนเท่าไหร่แล้ว ฉันยังไม่ค่อยมีเพื่อนที่สนิทเท่าไหร่ด้วย
เพราะชีวิตประจำวันของฉันจะทำแค่ เช้ามาโรงเรียน เย็นกลับบ้านช่วยพ่อแม่ขายของ
อ้อ...ฉันลืมบอกไป บ้านของฉันเป็นร้านขายข้าวมันไก่อยู่แถวๆตลาดในเมือง ตรงนั้นจะเป็นท่ารถเมลล์ของจังหวัดด้วย ตอนเย็นกลับจากโรงเรียนแล้วฉันจะรีบเปลี่ยนเสื้อผ้ามาขายข้าวมันไก่ช่วยพ่อแม่ทุกๆวัน รวมทั้งเวลาว่างในวันเสาร์ด้วย จึงไม่แปลกเลยที่ฉันจะไม่ค่อยมีเพื่อน เพราะฉันเอาเวลาว่างของฉันมาช่วยพ่อแม่ทำงานมากกว่าจะเอาไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนๆ ด้วยเห็นว่าร้านข้าวมันไก่ของพ่อกับแม่ฉันนั้นขายดีมาก มีลูกค้าประจำเยอะ แล้วพ่อแม่ก็ไม่ได้จ้างลูกน้องมาช่วย ฉันจึงคิดว่าควรแบ่งเบาภาระของพ่อแม่ด้วยการช่วยหยิบจับโน้นนี่ ช่วยเสริ์ฟ ช่วยล้างจานหรือทำทุกอย่างที่ฉันจะช่วยทำได้ดีกว่า
เพราะฉันหวังว่าวันนึงเราจะมีเงินซื้อบ้านเป็นของตัวเองเสียที ไม่ต้องมาเช่าอาคารที่ราชพัสดุเก่าๆอย่างนี้อยู่
ใช่... ฉันหมายถึงบ้านหลังเดี่ยวๆโตๆ ที่ถูกตกแต่งสวยงาม มีอาณาเขต มีสนามหน้าบ้าน เหมือนบ้านหลังหรูๆที่อยู่หน้าปากซอยทางเข้าบ้านฉัน เวลาฉันกลับจากโรงเรียนทีไรฉันจะแอบมองดูบ้านหลังนั้นตลอด บ้านหลังนั้นใหญ่โตมากเวลาฉันมองเข้าไปในรั้วบ้านที่สูงๆจะมองเห็นหลังคาบ้านหลังนั้นอยู่ลิบๆไกลๆ เพราะว่าภายในบ้านหลังนั้นกินอาณาเขตบริเวณกว้างเข้าไปไกลโขทีเดียว บางทีฉันเห็นคนในบ้านก็ต้องขี่รถกอล์ฟจากหน้าบ้านไปหลังบ้านก็มี ในนั้นมีรถจอดอยู่เป็นสิบกว่าคันน่าจะได้ หน้าบ้านหลังนั้นฉันเห็นมีผู้ชายตัวใหญ่ๆใส่ชุดซาฟารีสีดำสองสามคนยืนถือวิทยุสื่อสารโทรหากันประจำ
ได้ข่าวว่าเจ้าของบ้านหลังนั้นเป็นคนรวยมากและเป็นคนที่มีอิทธิพลของจังหวัดเราด้วย เค้าเคยเป็นทั้ง สส. สจ. สท. หรือ ส.อะไรก็ได้ที่พอจะลงสมัครแล้วมีคนเลือกตั้งได้ เค้าจะลงหมด ได้ยินชาวบ้านพูดกันว่าเจ้าของบ้านหลังนี้เคยพัวพันคดีดังหลายๆคดีไม่ว่าจะเป็นยาเสพติด ลักพาตัว ทำร้ายร่างกาย ข่มขู่กรรโชกทรัพย์และอีกหลายคดีที่ฉันฟังแล้วยังรู้สึกกลัวไม่คิดว่าเจ้าของบ้านจะเป็นคนที่ร้ายกาจได้ขนาดนั้น ฉันรู้มาคร่าวๆแค่นี้ เพราะว่ารู้สึกว่าคนพวกนี้น่ากลัวเกินกว่าที่เด็กอย่างฉันจะเข้าใกล้ได้
..ฉันรู้แต่ว่าถ้าฉันเป็นคนดี คนน่ากลัวพวกนั้นก็คงจะไม่มาเข้าใกล้และทำอันตรายฉันได้หรอก..

เวลาว่างหลังจากที่ฉันขายของเก็บร้านช่วยพ่อแม่เสร็จแล้ว ฉันก็จะทำการบ้านอ่านหนังสือ ที่ห้องของฉันมีโน๊คบุ๊คเครื่องเก่าๆเครื่องนึงที่พ่อเคยซื้อให้ตั้งแต่ตอนอยู่ ม.2 จริงๆแล้วมันก็ยังไม่เก่าเท่าไหร่หรอก เพราะฉันเอาไว้ใช้แค่พิมพ์รายงาน เล่นเน็ตบ้าง ดูหนังบ้างตามประสาเด็กสาววัยรุ่นทั่วไป
โดยเฉพาะกิจกรรมสุดท้ายนั้นในช่วงนี้ฉันจะชอบทำเป็นพิเศษ ฉันเป็นคนที่ค่อนข้างจะติดหนังโดยเฉพาะซีรีย์หนังต่างประเทศ เช่น ซีรีย์เกาหลี เรื่องไหนที่ฉันชอบฉันจะตามโหลดเอามาเก็บไว้ดูตลอด นั่นเป็นความสุขที่ฉันทำได้ในตอนที่ฉันว่างจากการช่วยงานบ้านนั่นเอง
ชีวิตของฉันดำเนินไปตามปกติเฉกเช่นทุกวันไม่มีอะไรพิเศษ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจนกระทั่งวันนึง
วันก่อนที่เราจะเดินขบวนกีฬาสีที่โรงเรียนนั่นเอง

...ในวันนั้นอาจารย์เรียกพวกเรามานอนที่โรงเรียนเพราะทางโรงเรียนจ้างช่างแต่งหน้ามาสำหรับแต่งหน้าพวกนักเรียนที่ถือป้ายกันโดยเฉพาะ
ฉันจึงจำเป็นต้องมานอนที่โรงเรียนเหมือนๆกับคนอื่นที่ร่วมขบวน
วันนั้นเป็นวันศุกร์หลังจากที่โรงเรียนปล่อยให้พวกนักเรียนที่ต้องทำกิจกรรมกลับบ้านไปตั้งแต่ยังไม่ทันบ่ายสามโมง ฉันก็รีบช่วยพ่อแม่ทำนั่นทำนี่จนเสร็จก่อนจะขอตัวอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเดินทางออกมานอนที่โรงเรียน
ฉันนั่งรถเมลล์ไปถึงที่โรงเรียนประมาณเกือบๆห้าโมงเย็นได้ ตอนนี้ที่ด้านหน้าโรงเรียนเริ่มเงียบเพราะบรรยากาศโพล้เพล้แล้ว ด้วยความกลัวฉันจึงรีบเดินลัดเลาะเข้าไปที่ช๊อปศิลปะที่อาจารย์นัดให้มาแต่งหน้ากันทันที
เมื่อไปถึงปรากฏว่าตอนนี้มีมีคนมารออยู่ในนั้น5-6คนแล้ว
นี่ฉันคิดว่าฉันมาเร็วแล้วยังมีคนมาเร็วกว่าฉันอีกเหรอนี่ มองเข้าไปในช๊อป ฉันเห็นเป็นนักเรียนชั้นอื่นที่ฉันไม่ค่อยรู้จัก พวกเค้าพากันจับกลุ่มคุยกันอยู่ในห้องนั้น
ฉันได้แต่ยืนเก้ๆกังๆอยู่ด้านนอกตัวช็อปเพราะไม่รู้จะเข้าไปคุยกับใครดี เลยแก้เขินด้วยการเดินออกมานั่งรอที่ด้านนอกช็อปแทน
ตรงนั้นจะมีม้าหินอ่อนอยู่สามสี่ตัวไว้สำหรับให้นักเรียนนั่งพักกัน
ฉันมองไปที่ม้านั่งตรงริมสุด ตรงนั้นมีคนๆนึงนั่งอยู่ก่อนหน้าแล้ว
เมื่อฉันเพ่งสายตาไปมองดีๆก็เห็นว่าเป็นพี่เนยคนที่ได้ถือป้ายคู่กับฉันนั่นเอง
เธอนั่งก้มหน้าอ่านหนังสืออะไรของเธออยู่ก็ไม่รู้
โอเค ยังไงก็เป็นคนที่ถือป้ายกับฉันถ้าฉันจะชวนเค้าคุยสักหน่อยก็คงไม่แปลก
คิดได้ดังนั้นฉันก็รีบเดินตรงดิ่งเข้าไปหาพี่เนยทันที

“..พี่เนยมานานยัง” เป็นประโยคแรกที่ฉันทักตอนที่เดินเข้าไปยืนอยู่ใกล้ๆโต๊ะพี่เนย
พี่เนยเงยหน้าขึ้นมองฉันทันทีที่ได้ยินเสียง เธอยิ้มให้นิดนึงก่อนจะตอบ
ประมาณ5นาทีแล้วล่ะ”
กี้นั่งด้วยได้มั้ย” ฉันขอนั่งด้วยอย่างมีมารยาท พี่เนยยิ้มให้ฉันนิดนึงก่อนตอบ “ได้สิ”
เมื่อฉันนั่งลงข้างๆหญิงสาวตัวผอมบางรูปร่างอ้อนแอ้นอรชรคนนี้แล้วก็แอบที่จะเหล่ตามองตามประสาเด็กช่างสังสัยอย่างฉันไม่ได้

..พี่เนยเป็นลูกครึ่งอะไรหรือเปล่านะ..

ทั้งดวงตาสีน้ำตาลอ่อนๆประหลาดๆ ที่กลมโต และจมูกของพี่เนยที่มันให้ความรู้สึกที่โด่งมากแตกต่างจากเด็กสาวในรุ่นราวคราวเดียวกัน
...ฉันว่าดั้งฉันโด่งแล้ว ยังมีคนที่โด่งกว่าฉันอีกเหรอนี่... ฉันแอบคิดตอนที่เอาปลายนิ้วมาถูๆกับจมูกของตัวเอง
ดูผมของพี่เนยแล้วก็แปลกๆ วันนี้พี่เนยปล่อยผมยาวๆหยักศกของเธอลงมากลางหลังมองดูสีผมของเธอจะออกสีน้ำตาลนิดนึง ไม่แน่ใจว่าจะเป็นสีผมธรรมชาติหรือไปทำสีผมมา
ฉันแอบพินิจพิเคราะห์ใบหน้าพี่เนยด้านข้างแล้ว ก็อดที่จะแอบชื่นชมในใจอีกไม่ได้ว่า พี่เนยสวยเหมือนดาราจริงๆ นี่ถ้ามีแมวมองมาเคตติ้งแถวๆนี้พี่เนยคงได้ไปกับเค้าแน่ๆ
เสียอยู่อย่างเดียวคือ....
พี่เนยจะไม่ค่อยยิ้มและชอบทำหน้าบึ้งเหมือนคนไม่มีมนุษยสัมพันธ์
ดูๆแล้วพี่เนยเหมือนเป็นคนพูดน้อยยิ้มน้อยไม่ค่อยสุงสิงกับใคร จากการเลือกที่นั่งของเธอแล้วก็รู้ได้ว่าเธอไม่ต้องการเข้าใกล้พวกนักเรียนในช๊อปนั่นเอง
..เอ..แล้วนี่พี่เนยอยากจะคุยกับฉันหรือเปล่านะ ถ้าฉันชวนคุยแล้วเค้าจะรำคาญมั้ยนะ... ฉันแอบคิดอย่างหวั่นๆใจ กลัวผู้หญิงสาวแสนสวยที่อยู่ต่อหน้าจะอยากอยู่คนเดียวมากกว่า
พี่เนย..อยากอยู่คนเดียวมั้ย ถ้ารำคาญกี้บอกได้นะ กี้จะไปนั่งที่อื่น” ฉันถามด้วยเสียงเกรงใจ
รำคาญทำไมล่ะ กี้ยังไม่ทันทำอะไรเลย” พี่เนยพูดยิ้มแบบขำๆ
กี้คิดว่าพี่อาจจะอยากอยู่คนเดียว เห็นมานั่งอยู่คนเดียวอย่างนี้”ฉันยิ้มแหยๆ
พี่ก็ไม่ได้อยากอยู่คนเดียวหรอก แต่ไม่มีใครเค้าอยากคุยกับพี่มากกว่า..พี่ก็เลยนั่งคนเดียวตรงนี้” เสียงเรียบๆของพี่เนยกำลังอธิบายในภาพที่ฉันเห็นอยู่ตอนนี้
เค้าคงไม่ค่อยสนิทกับพี่เนยมากกว่ามั้งเลยไม่มา อย่าคิดมากเลยค่ะ” ฉันพยายามชวนคุยเพราะอยากปลอบใจพี่เนย
พี่เนยมองหน้าฉันแล้วยิ้มให้ฉันนิดนึงก่อนจะก้มลงไปอ่านหนังสือต่อ

ทิ้งให้ฉันอยู่กับความเงียบเหมือนเดิม ให้ตายสิฉันไม่ชอบความเงียบเลย ฉันชอบความสดใส ชอบเสียงหัวเราะและรอยยิ้ม
แต่ตอนนี้คนที่อยู่ต่อหน้าฉันตอนนี้เค้ากลับดูเฉยชา พูดน้อย ยิ้มน้อยมิหนำซ้ำยังดูเข้ากับคนอื่นไม่ได้ด้วย
ทำยังไงฉันถึงจะทำให้สถาณการณ์ตอนนี้คลี่คลายไปในทางที่ดีได้นะ
ฉันคิดพลางเริ่มชวนพี่เนยคนเงียบคุยด้วยอีกครั้ง
บ้านพี่เนยอยู่ไหนเหรอ...” เสียงเบาๆของฉันพยายามชวนอีกฝ่ายให้มาคุยด้วย
พี่เนยเงยหน้าขึ้นมามองหน้าฉัน เธอไม่ตอบกลายเป็นว่าเธอจ้องหน้าด้วยความสงสัยแทน
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ตอบแถมยังโดนจ้องหน้าคืนอย่างนั้นใจฉันเริ่มเสียทันที

...เค้าคงไม่อยากคุยกับเราจริงๆสินะ...

เอ่อ..ถ้าพี่เนยไม่อยากตอบกี้ ก็ไม่ต้องตอบก็ได้นะ กี้ขอโทษที่เสียมารยาทถามเรื่องส่วนตัวของพี่เนยนะคะ” ฉันพยายามอธิบายด้วยน้ำเสียงอึกๆอักๆ
พี่เนยรีบโบกมือไปมาก่อนจะตอบว่า “เปล่าๆพี่ไม่ได้เป็นอะไร พี่แค่สงสัยว่า...กี้อยากรู้เรื่องของพี่จริงๆเหรอ..กี้ไม่รู้จริงๆเหรอว่าบ้านพี่อยู่ไหน...”

ฉันพยักหน้างึกๆให้พี่เนยแทนคำตอบว่า ..ไม่รู้จริงๆ..

พี่เนยจ้องหน้าฉันอยู่อีกนาน..กว่าจะยิ้มให้ฉันนิดนึงแล้วตอบมา
บ้านพี่อยู่อีกอำเภอนึงน่ะ ก็ไกลจากโรงเรียนประมาณ40กิโลได้..บอกไปกี้ก็ไม่รู้จักหรอก”
โห..งั้นก็ไกลน่ะสิ แล้วนี่พี่มายังไง มารถโดยสารเหรอ”
ฉันยังถามพี่เนยต่อ พี่เนยก็เอาแต่ยิ้มและพยักหน้าตอบ
ว้า เป็นเด็กต่างอำเภองั้นก็ลำบากแย่สิเวลาเดินทางไปกลับโรงเรียน”
พี่เนยเลิ่กคิ้วให้ฉันนิดนึงใบหน้าของเธอนั้นก็ยังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ต่อไป
ก็ลำบากนะ แต่จริงๆแล้วชีวิตพี่ก็ลำบากมาตั้งแต่เด็กแล้วล่ะ อยู่กับพ่อมาสองคน พ่อก็ไม่ค่อยสนใจปล่อยให้พี่ดูแลตัวเองมาตั้งแต่เด็ก ทำอะไรด้วยตัวเองมาตั้งแต่เด็กๆมันก็เลยชินเสียแล้ว”
ฉันฟังคำว่าลำบากของพี่เนยแล้วก็เริ่มเข้าใจได้ทันที พี่เนยของเป็นเด็กต่างอำเภออยู่กลับพ่อที่ต้องทำงานหาเลี้ยงลูกสาวคนเดียวด้วยความลำบาก อาจจะทำทั้งวันทั้งคืนจนไม่มีเวลาแม้กระทั่งดูแลลูกเลย ลูกก็ต้องปากกัดตีนถีบคอยช่วยเหลือตัวเองมาตั้งแต่เด็กๆจนกระทั่งโต
อาจจะเป็นเพราะปมที่อยู่คนเดียวมาตั้งแต่เด็กนี่เอง พี่เนยก็เลยเป็นคนนิ่งๆดูเงียบๆจนเหมือนหยิ่งไม่ค่อยพูดกับใคร
แต่เอ..พี่เนยเป็นเด็กต่างอำเภอที่หน้าตารูปร่างและผิวพรรณดีมากเลยนะ ฉันมองดูตอนแรกยังคิดเลยว่าน่าจะมาจากกรุงเทพด้วยซ้ำไป
แต่ฉันก็ได้แต่คิดไม่กล้าถามเพราะกลัวว่าจะเป็นการเสียมารยาทกับผู้ฟังได้
เมื่อได้รู้เรื่องความลำบากของพี่เนยตรงจุดนี้แล้วฉันก็อดที่จะเป็นห่วงเป็นใยกลัวพี่เนยเศร้าไปไม่ได้
...ดีล่ะชวนเค้าคุยแก้เหงาไปเรื่อยๆดีกว่า...
พี่เนยดูหนังมั้ย กี้โหลดซีรีย์มาไว้ดูในโทรศัพท์ด้วย นี่เรื่องนี้..กี้ชอบพระเอกมากเลย”
ฉันหยิบโทรศัพท์สมาร์ทโฟนเครื่องเล็กๆที่ราคาแสนถูก แต่ก็เหมาะที่เด็กนักเรียนอย่างฉันจะใช้ ขึ้นมาเปิดคลิปหนังให้พี่เนยดู
แฮะๆ จอเล็กไปนิดนึงนะ โทรศัพท์เครื่องนี้กี้ใช้มาตั้งแต่ม.3แล้ว ถึงเครื่องจะเล็กแต่มันก็ใช้ได้ครบทุกฟังก์ชั่นอยู่นะ”
พี่เนยนั่งมองที่โทรศัพท์ของฉันอย่างพินิจพิเคราะห์
อืม ไม่เป็นไรหรอกพี่มองเห็นอยู่ ยังไม่แก่แค่นี้มองเห็นอยู่แล้ว” พี่เนยพูดติดตลกปล่อยมุกขำๆออกมา
..เฮ้..อารมณ์ดีเหมือนกันนี่นา... ฉันหันไปยิ้มหวานให้พี่เนยทันทีที่ได้ยิน
นี่แสดงว่าพี่เนยก็ไม่ได้หยิ่งเท่าไหร่ ก็คุยได้สินะ
เอ...ชอบพระเอกคนนี้เหรอ งั้นก็ต้องเคยดู My bad Girl ด้วยใช่มั้ยละ” เสียงพี่เนยพูดมาอย่างอารมณ์ดี
ใช่ๆ กี้เคยดูค่ะชอบมากเลยเสียดายหาดาวน์โหลดไม่ได้แล้วเรื่องนี้ ไม่งั้นก็จะโหลดเก็บเอาไว้ดูทั้งวันเลย”
พี่มีซีดีซีรีย์ My bad Girlอยู่นะ วันนี้พี่ก็เอามาด้วย กี้อยากดูมั้ยล่ะ”เสียงพี่เนยชวนฉันอย่างอารมณ์ดี
ฮ้าจริงดิ อยู่ไหนล่ะพี่พกมาในกระเป๋าด้วยเหรอ”
พี่เนยส่ายหัว “เปล่า...มันอยู่ในรถของพี่น่ะ”
ฉันคิ้วขมวด
รถมอเตอร์ไซค์เหรอคะ..???”
เปล่า...รถยนต์..คือเป็นรถของคนในบ้านนั่นล่ะ วันนี้ไม่มีใครมาส่งพี่ พี่เลยขอยืมรถมาก่อนน่ะ แต่ว่าพี่แอบขี่ไปจอดอยู่หลังโรงเรียนโน้นล่ะ กี้อยากไปดูมั้ยล่ะเด๋วพี่จะเปิดให้ดู”
อยากสิ งั้นดีเลยกว่าอาจารย์จะมาก็อีกนานเราไปนั่งดูซีรีย์อยู่ที่รถพี่เนยก่อนก็ได้ เด๋วบอกให้เพื่อนโทรเรียกอีกทีนึงแล้วกันถ้าอาจารย์มา”
พี่เนยยิ้มพยักหน้าตอบรับก่อนที่จะลุกขึ้นยืนมองฉันแล้วยิ้มหวานมาให้
กี้ใส่ชุดนี้มาแล้วน่ารักจังเลย” เสียงพี่เนยชมฉันตอนฉันลุกขึ้นจากที่นั่ง
ฉันอึ้งไม่นึกว่าพี่เนยจะชมฉันอย่างนี้
วันนี้ฉันใส่ชุดเอี้ยมกางเกงขาสั้นมา ฉันว่ามันจะถอดเปลี่ยนง่ายดีเวลาที่เราแต่งตัวใส่ชุดไทยจะได้เปลี่ยนออกง่ายๆ
ขอบคุณค่ะ พี่เนยก็สวยนะคะ” เสียงฉันขอบคุณพี่เนย แล้วหันไปมองดูพี่เนยที่ยิ้มให้ฉันตอนนี้เหมือนกัน
พี่เนยใส่กางเกงยีนส์ขาสั้นๆโชว์ท่อนขาเรียวสวยกับเสื้อเชิตแขนสั้นสีขาวที่เธอผูกชายเสื้อเข้าไว้ด้วยกัน มือก็หิ้วกระเป๋าหนังแบบที่ผู้ใหญ่ใช้กัน ฉันมองดูมันเหมือนของมียี่ห้อแพงๆอะไรสักอย่างที่เห็นดาราชอบถือ
แต่มันก็คงจะเป็นของก๊อปนั่นแหละ ไม่มีเด็กมัธยมที่ไหนจะมีปัญญาไปซื้อของเบรนด์เนมแบบนั้นมาใช้หรอก
โดยเฉพาะพี่เนยที่บอกว่าตัวเองค่อนข้างจะลำบากด้วยแล้ว คงเป็นไปไม่ได้
ฉันเดินตามพี่เนยไปที่หลังโรงเรียนตอนนี้น่าจะหกโมงเย็นได้แล้วบรรยากาศแถวนั้นมืดสนิทมีเพียงไฟตามทางเดินที่ลอดผ่านลองมาส่องสว่างทางให้เห็นเพียงลางๆเท่านั้น
พี่เนยพาฉันมาหยุดอยู่ที่รถคันนึง ที่ฉันเห็นตอนแรกฉันยังอึ้งไม่คิดว่าจะเป็นรถพี่เนยได้
มันเป็นรถแวน5ประตูสีขาวรุ่นใหม่ล่าสุด ฉันเคยเห็นแต่คนรวยๆเท่านั้นที่เค้าจะขับกัน
พี่เนยหันมายิ้มให้ฉันนิดนึงก่อนก่อนที่จะชวนฉันขึ้นไปนั่ง
รถคันนี้ล่ะ..”
ฉันเข้าไปนั่งในรถ5ประตูคันนั้นแบบงงๆ ในใจก็ยังแอบคิดว่าตกลงบ้านพี่เนยทำอาชีพอะไรกันแน่ ไหนบอกอยู่บ้านลำบาก ทำอะไรด้วยตัวเองทุกอย่าง พ่อก็ไม่มีเวลาให้ จะไปไหนมาไหนก็ต้องไปคนเดียวตลอด
แต่ดูจากรถที่ขับมาโรงเรียนนั้น มันรถรุ่นใหม่ล่าสุดแถมข้างในยังดูตกแต่งหรูหราอีก
นี่รถบ้านพี่เนยเหรอคะ” ฉันลองถามพี่เนยในสิ่งที่สงสัยดู
อ่อ รถคนแถวๆนั้นล่ะ พี่ยืมมาเพราะไม่มีใครว่างมารับมาส่งพี่”พี่เนยพยายามตอบเสียงเรียบๆ
พี่เนยเก่งจัง ขับรถมาเองได้ด้วย” ฉันยิ้มแหยๆให้พี่เนยนิดนึง แต่ในใจเริ่มคิดว่า นี่พี่เนยอายุถึงแล้วเหรอถึงเอารถยนต์มาขับเองอย่างนี้ ถ้าเกิดเป็นอะไรไปจะทำยังไง
แต่นั่นก็เป็นแค่ความคิดในใจ เพราะฉันก็ไม่กล้าพูดกับพี่เนยอย่างนั้นอยู่ดี
พี่เนยสตาร์ทรถด้านหน้าแล้วชวนฉันเข้ามานั่งที่นั่งเบาะหลังคนขับ ตรงนั้นจะมีคอลโซลที่ถูกปรับแต่งให้เป็นเหมือนมินิโฮมเธียเตอร์เล็กๆไว้สำหรับคนในรถนั่งดูหนังกันอยู่

..อย่างหรูอ่ะ.. ฉันยังแอบคิดตอนที่นั่งลงต่อหน้าคอลโซลนั้น

นี่ถ้าบอกว่าเป็นรถสำหรับเช่าก็คงจะเชื่อเลยนะเนี่ย
ฉันนั่งนิ่งๆไม่กล้าแม้แต่จะเอามือไปจับอะไรในนั้น กลัวไปทำอะไรแตกแล้วจะไม่มีปัญญาชดใช้ช่วยพี่เนย
พี่เนยคงเห็นว่าฉันนั่งเกร็งอยู่นานเลยชวนคุย
“..รถคนในบ้านน่ะ เค้าเอาไว้สำหรับให้เช่าเวลามีพวกนักท่องเที่ยวต่างชาติมาอะไรอย่างนี้ไง..”
อ๋อ..” ฉันยิ้มออกทันที มันเหมือนกับที่ฉันคิดไว้จริงๆด้วย
กี้ไม่ต้องเกร็งนะ ทำตัวตามสบายเลย พ่อพี่ช่วยซื้อรถคันนี้ด้วย..ถึงรถเป็นอะไรมาเค้าก็ไม่กล้าว่าพี่หรอก”
ฉันยิ้มแหยๆให้พี่เนยนิดนึง พี่เนยคงรู้ว่าฉันกำลังกลัวความซุ่มซ่ามของตัวเองจะทำให้รถคันนี้พังลงไปต่อหน้าต่อตา
พี่เนยปิดไฟในรถและดึงผ้าม่านในรถลงทุกๆด้าน เธอบอกว่าเด๋วคนจะเห็นบังเอาไว้อย่างนี้ดีกว่าเผื่อใครเห็นว่าเป็นผู้หญิงอยู่ด้วยกันสองคนในรถหรูๆอย่างนี้จะอันตราย
ฉันพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของพี่เนย
พี่เนยหยิบแผ่นซีดีจากชั้นวางออกมานั่งเลือกสองสามแผ่นแล้วหยิบมาเปิด
มันเป็นซีรีย์เรื่องที่ฉันชอบจริงๆด้วย
ฉันยิ้มให้พี่เนยทันทีที่เห็นภาพซีรีย์กำลังดำเนินไปในจอมินิโฮมเธียร์เตอร์
พี่เนยก็ยิ้มหวานให้ฉัน “อยู่บ้านพี่ยังมีอีกเยอะเลยนะ ถ้ากี้อยากดู วันหลังพี่จะเอามาให้กี้ยืมดูก็ได้นะ”
จริงเหรอคะ ขอบคุณพี่เนยมากๆเลยนะคะ” ฉันทั้งยิ้มให้พี่เนยทั้งหันมานั่งชมซีรีย์โปรดของตัวเองไป
ตอนนี้ฉันมีความสุขจริงๆเลย ฉันมีทั้งเพื่อนใหม่ที่เป็นรุ่นพี่แสนสวยและแสนจะใจดี และมีหนังซีรีย์เรื่องโปรดที่ฉันพยายามตามหาตั้งนานแต่ไม่เจอเสียที แต่ตอนนี้มันอยู่ต่อหน้าฉันแล้ว
..โชคดีจัง..

ในขณะที่ฉันนั่งดูและนั่งคิดอะไรเพลินๆอยู่คนเดียวนั้นจู่ๆก็มีความรู้สึกเหมือนมีแขนของใครสักคนกำลังโอบมาทางด้านหลังของฉันแล้วดึงฉันเข้าไปกอดใกล้ๆ
ฉันสะดุ้งตกใจรีบหันไปมอง

!!!! ..พี่เนย????....

ตอนนี้พี่เนยหอมที่แก้มของฉันด้วย

~~~~เหวออออออ....~~~~

เฮ้ย..พี่เนยทำอะไรอ่ะ” ฉันตกใจในสิ่งที่ตัวเองกำลังเจอ หน้าตาเหรอหรา
หอมแก้มไง..” พี่เนยพูดไปยิ้มไป เป็นรอยยิ้มแปลกๆที่ฉันเห็นแล้วรู้สึกกลัวขึ้นมาทันที
แววตาของพี่เนยก็เริ่มเปลี่ยนไป แค่ฉันมองมันก็ทำให้ฉันรับรู้ได้ถึงความผิดปกติที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า มันเหมือนแววตาของหมาป่าที่มองเห็นเหยื่ออยู่ตรงหน้า และกำลังจะขย้ำกินอีกไม่กี่วินาที
หอมทำไม..แล้วมากอดกี้อย่างนี้ทำไมอ่ะ” ฉันเสียงหลงหน้าเอ๋อเป็นไก่ตื่นกับสิ่งที่ได้เจอในตอนนี้
ยิ่งพูดพี่เนยยิ่งกอดฉันแน่นกว่าเดิม ตอนนี้พี่เนยเปลี่ยนจากหอมมาเป็นไซ้ที่ซอกคอของฉันแทนเสียแล้ว
เฮ้ย พี่เนยบ้าแล้ว..จะทำอะไรกี้อะ” ฉันพยายามสะบัดตัวแต่พี่เนยก็ยังไม่ยอมปล่อย กลับซุกไซ้หนักยิ่งกว่าเดิมอีก
ตอนนี้ฉันทั้งตกใจ ทั้งกลัวลนลานไปหมด ทำอะไรไม่ถูกนึกอะไรก็ไม่ออกด้วย
พี่เนยระดมจูบฉันไปทั่วทั้งร่าง มือข้างหนึ่งที่อ้อมมากอดจากด้านหลังนั้นเริ่มขยับขึ้นมาจับหน้าอกของฉันแล้ว
ส่วนมืออีกข้างก็ไม่น้อยหน้าค่อยๆคืบคลานลงไปในชายกางเกงเอี้ยมของฉัน ด้วยความที่มันเป็นชุดกางเกงขาสั้นหลวมเวลาใส่นั้นสบาย ตอนนี้มือซนๆของพี่เนยก็กำลังลุกล้ำเข้าไปอย่างสบายเช่นเดียวกัน
โอ้ย..พี่เนยอย่าทำอย่างนี้นะ ปล่อยกี้เถอะ” ฉันทั้งร้องทั้งดิ้นเพราะหวังว่าตัวเองจะหลุดออกมาจากอ้อมกอดของพี่เนยโดยง่าย แต่ก็เปล่าเลยกำลังของพี่เนยนั้นกลายเป็นมีมากกว่าฉันเสียอีก
ตอนนี้เท่ากับว่าเธอล็อคตัวของฉันขึ้นไปนั่งตักเธอเอาไว้ในท่านั่งท่านี้เสียแล้ว
พี่เนย ปล่อยกี้เถอะนะ ถ้าใครมาเห็นเข้าจะทำยังไง”ฉันเสียงสั่นขอร้องพี่เนยด้วยความรนราน
ไม่มีใครมาเห็นหรอกนะ ถ้ากี้ไม่ร้องโวยวายอ่ะ”
งั้นกี้จะร้องให้คนมาช่วยนะ”
กี้จะร้องทำไม ไม่สงสารพี่เหรอ เราเป็นผู้หญิงด้วยกันนะ ถ้ามีใครมาเจอว่าพี่ทำอะไรกี้อย่างนี้แล้วพี่จะเอาหน้าไปไว้ไหน กี้ไม่สงสารพี่เหรอ..” พี่เนยทำเสียงเหมือนคนน่าสงสารกำลังอ้อนวอนขอให้ฉันเห็นใจเธอ

ฉันคิ้วขมวด ฟังคำว่า “สงสาร” ของพี่เนยแล้วก็ยิ่งงง นี่กลายเป็นว่าฉันควรจะต้องสงสารเธอเหรอนี่...
“..งั้นพี่เนยก็อย่าทำกี้สิ”
ฮือ..”พี่เนยส่ายหน้า “พี่หยุดไม่ได้อะ ยิ่งอยู่ใกล้ๆกี้อย่างนี้แล้ว พี่ยิ่งหยุดความรู้สึกอย่างนี้ไม่ได้เลย”
ฉันคิ้วขมวดหันมามองพี่เนยที่ทำหน้าเหมือนตัวเองกำลังอ่อนแอกับสิ่งที่กำลังเจออยู่
กี้สงสารพี่เถอะนะ พี่หลงรักกี้มาตั้งแต่ตอนที่กี้อยู่ม.3 แล้ว พี่ไม่เคยรักใครมาก่อนเลยไม่เคยแม้กระทั่งคบผู้ชาย จนมาพบกี้..พี่ถึงรู้ตัวว่าพี่ชอบผู้หญิงด้วยกันน่ะ นะสงสารพี่เถอะนะ..”เสียงพี่เนยกำลังอธิบายด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนขอร้องให้ฉันเห็นใจเธอ
ฮ้า ..” ฉันอ้าปากค้างยิ่งฟังยิ่งงง หญิงสาวสวยคนที่ฉันพึ่งรู้จัก ที่ฉันเห็นว่าเค้าแสนจะเย็นชา เฉยเมิน ไม่ค่อยยิ้ม ไม่ค่อยพูดคนนี้กำลังสารภาพรักฉันอย่างนั้นเหรอ แล้วจะมาสารภาพรักด้วยวิธีอะไรอย่างนี้เล่า แล้วนี่ฉันควรจะสงสารเค้าด้วยการยอมให้เค้าทำอย่างว่ากับฉันอย่างนั้นเหรอ

..มันใช่ซะที่ไหนเล่า..