นิยายหญิงรักหญิง Lovely
Mafia Girl
ลูกสาวเจ้าพ่อ
ขอเป็นแฟนหนู
“เธอ”
“..เราเลิกกันเถอะ..ก่อนที่อะไรหลายๆอย่างจะยุ่งยากกว่านี้”
เสียงเรียบๆออกมาจากปากของหญิงสาวแสนสวยที่อยู่ต่อหน้าฉันตอนนี้
แค่ได้ยินฉันก็อึ้ง
เพราะไม่คิดเลยว่าระยะเวลาเกือบ10
ปีที่ฉันเคยดูใจคบหากับผู้หญิงคนที่อยู่ต่อหน้าฉันตอนนี้
อยู่ๆจะมีวันนี้
วันที่เค้าเคยสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า...จะไม่เกิดขึ้นในชีวิตรักของเรา
“คิดมาดีแล้วใช่มั้ย...”
เสียงอึกๆอักๆของฉันถามย้ำคนที่อยู่ต่อหน้าออกไป
“อืม..มันคงจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้วล่ะ..สำหรับสถานการณ์อย่างนี้”
ฉันนิ่ง
ตอนนี้ในหัวของฉันมันสับสนไปหมดคิดอะไรไม่ออกเลย
ได้แต่ยิ้มให้คนทีอยู่ต่อหน้าแทนคำตอบว่าไม่เป็นไร
“...ถ้ามันเป็นทางออกที่ดีที่สุด
กี้ก็ยอมนะ..เราคงมาด้วยกันได้สุดทางแค่นี้ล่ะ
ขอบคุณจริงๆสำหรับทุกอย่าง
ที่เคยให้กี้..ขอให้เรื่องร้ายๆที่เกิดขึ้นตอนนี้ผ่านไปด้วยดีนะ...
ลาก่อน”
ฉันกลืนน้ำลายตรงประโยคสุดท้ายเพราะรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังคอแห้งผาก
ตอนนี้ฉันรู้สึกเหมือนน้ำตากำลังคลอเบ้าตาตัวเองอย่างไรไม่รู้
ฉันรีบหยิบเอากระเป๋าและโทรศัพท์มือถือลุกขึ้นจากโต๊ะอาหาร
ก้มหน้าก้าวเดินออกมาจากร้านอาหารแสนหรู
ที่ประจำของฉันกับผู้หญิงคนนี้
ที่เคยมาทานตั้งแต่ฉันเรียนจบมหาลัย
แม้จะงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้แต่ฉันก็พยายามตั้งสติ
และขับรถออกมาจากที่เกิดเหตุให้ไวที่สุด
ตลอดระยะเวลาที่ฉันขับรถ
ในใจฉันเฝ้าคิดทบทวนถึงเรื่องราวความรักของฉัน
จริงๆแล้วฉันควรจะเศร้าและเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้
แต่หลายๆสิ่งหลายๆอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาระหว่างฉันกับเธอคนเมื่อครู่นี้สอนให้ฉันรู้ว่าบางทีบางครั้งเราก็ควรปล่อยวางในปัญหาที่เราสองคนพยายามแก้ไขแล้วยังแก้ไม่ได้อยู่
ฉันรักผู้หญิงคนนี้มาก
แต่บางครั้งสถานการณ์ในชีวิตของเราสองคนอาจจะไม่เหมือนกัน
เธอคนนั้นอาจจะไม่เหมาะที่จะต้องมามีความรักแบบอย่างนี้
กับผู้หญิงธรรมดาคนนี้
นั่นเป็นสิ่งที่ฉันเคยทำใจมาก่อนหน้านี้หลายปีแล้ว
เมื่อวันนึงเค้าเป็นคนร้องขอที่จะจบเรื่องของเรา
ฉันจึงได้แต่ปล่อยให้มันเป็นไป
เพราะด้วยหวังว่า
สิ่งสุดท้ายที่ฉันจะทำให้เค้ารู้ได้ว่าฉันรักเค้าจริงๆก็คือ
“การเสียสละ”
เสียสละความรักที่เค้าเคยมีให้แก่ฉันไปให้ใครสักคนที่เหมาะสมและคู่ควรกับเค้ามากกว่าฉันนั้นเอง
ฉันขับรถมาเรื่อยๆพร้อมกับความคิดหลายๆอย่างที่ผ่านเข้ามาในหัวของฉัน
ตอนนี้รถมาจอดอยู่ที่ลานจอดรถของคอนโดของฉันแล้ว
ฉันดับเครื่องค่อยๆเดินเอื่อยๆเฉื่อยๆอย่างคนซังกะตาย
ขึ้นลิฟท์ไปที่ห้องของตัวเอง
เมื่อมาถึงห้อง
หลังจากที่ฉันเก็บกระเป๋าและจัดการเปลี่ยนชุดทำงานของฉันออกมาอยู่ในชุดลำลองของตัวเอง
ฉันเดินมานั่งเช็ดเครื่องสำอางที่หน้าออกที่โต๊ะเครื่องแป้งก่อนจะหยุดอึ้งมองผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้านี้
ผู้หญิงคนนี้ผู้หญิงธรรมดาๆคนนึงกับชีวิตที่เติบโตมาอย่างธรรมดาๆ
ไม่เคยคิดไม่เคยคาดหวังว่าชีวิตตัวเองต้องเป็นอย่างคนอื่น
ต้องเหนือคนอื่น
หรือแปลกแตกต่างจากคนอื่น
ฉันเป็นผู้หญิงคนนึงที่มีความรัก
เป็นความรักที่อาจจะเหมือนคนอื่นๆทั่วไปที่ไม่มีอะไรแปลกประหลาดมากมายถ้าอีกฝ่ายไม่ใช่
“ผู้หญิง”ด้วยกัน
ใช่...
ฉันเป็นผู้หญิงรักหญิง
ซึ่งจริงๆก็ไม่ได้เป็นมาตั้งแต่เกิดหรอก
เรื่องราวของความรักที่มีต่อผู้หญิงด้วยกันของฉันมันเกิดขึ้นมาอย่างประหลาดๆ
มันเป็นความรักแบบแปลกๆที่ยากที่จะเล่าให้คนอื่นฟังได้
จะมีก็เพียงแต่ฉันและผู้หญิงคนนึงเท่านั้นที่รู้ถึงที่มาที่ไปแบบแปลกๆในจุดเริ่มต้นนั้น
ใช่
ฉันหมายถึงผู้หญิงคนที่เค้าพึ่งบอกเลิกฉันเมื่อครู่นี่ล่ะ
เค้าเป็นคนรักคนแรกของฉันและเป็นคนแรกที่ทำให้ฉันมอบความรักให้กับผู้หญิงด้วยกัน
และฉันคบกับเค้ามาได้9ปีเกือบๆจะ10
แล้ว
ครั้งนี้เมื่อฉันนึกถึงเรื่องราวที่ทำให้เราได้เจอกันและคบกันได้ฉันก็ยังหัวเราะเหมือนเดิมแม้เสียงหัวเราะนั้นจะฟังดูไม่สดใสเท่าทุกครั้งที่นึกถึง
ฉันอมยิ้ม
เดินไปหยิบอัลบั้มรูปภาพเก่าๆมาเปิดดู
คงเป็นเพราะตอนนี้ฉันอารมณ์เศร้าแต่ไม่อยากจะร้องไห้
ฉันจึงพยายามนึกย้อนกลับไปถึงเรื่องราวดีๆในอดีตระหว่างฉันกับเธอคนนี้แทน
คิดเสียว่า
ยังไงวันนึงเราอาจจะกลับมาเป็นเพื่อน
เป็นพี่เป็นน้องที่พึ่งพาอาศัยกันได้
...นึกย้อนกลับไปเมื่อ
9
ปีที่แล้ว..
เมื่อตอนที่ฉันอายุ
16
ปี
ตอนนั้นฉันเรียนอยู่ชั้น
ม.4
ในโรงเรียนสหศึกษาอันดับหนึ่งประจำจังหวัด
หรือก็คือโรงเรียนที่มีทั้งผู้หญิงและผู้ชายอยู่ในโรงเรียน
ตอนนั้นฉันเป็นเด็กสาวใสซื่อบริสุทธิ์
...ใช่..
คำว่าใสซื่อบริสุทธิ์สำหรับฉันก็คือ
ทั้งสดใส ซื่อบื้อไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร
มองโลกในแง่ดี แล้วก็บริสุทธิ์ไปทั้งความคิด
ร่างกาย และจิตใจ ไม่มีอะไรแอบแฝงจริงๆ
ฉันใช้ชีวิตของเด็ก
ม.ปลายเหมือนเพื่อนๆคนอื่นๆในชั้นเรียน
เป็นเด็กสาวที่เริ่มโตตามวัย
ฉันเริ่มไว้ผมยาวตั้งแต่ปิดเทอม
ม.3
เพื่อจะให้ยาวทันตอนเปิดเทอม
ม.4
ซึ่งก็ได้ผล
เมื่อผมฉันยาวเพื่อนๆที่โรงเรียนก็ต่างชื่นชมว่าฉันสวยน่ารัก
อาจจะเป็นเพราะว่าฉันมีรูปร่างที่สูงดูเป็นสาวกว่าเพื่อนๆในสายชั้นด้วย
จึงทำให้ช่วงที่ขึ้นเรียน
ม.4
ใหม่ๆฉันกลายเป็นคนดังของสายชั้นขึ้นมาทันที
เพื่อนๆพี่ๆในโรงเรียนบางคนไม่เคยเห็นหน้าฉันในตอนที่ฉันเรียน
ม.ต้น
ซึ่งก็อาจจะเป็นเพราะตอนนั้นฉันผมสั้นหน้าตาเอ๋อๆเหมือนเด็กธรรมดาๆคนนึง
ไม่มีอะไรโดดเด่น คนมองเห็นจึงมองผ่านๆ
ซึ่งตอนนั้นฉันก็ไม่ค่อยสุงสิงกับใครอีกด้วย
จึงไม่น่าแปลกเลย
ที่พวกเค้าจะคิดว่าฉันเป็นนักเรียนใหม่ที่เข้ามาตอน
ม.4
จนหลายๆคนเริ่มเข้ามาจีบฉัน
แม้จะมีเพื่อนๆพี่ๆหลายคนเข้ามาจีบฉันในตอนนั้น
แต่ฉันก็ไม่ได้นึกสนใจเรื่องอย่างว่าเลย
คงเป็นเพราะว่าความคิดของฉันยังเด็กอยู่
การคุยเล่นกับคนอื่นๆนั้นจึงเป็นแค่เพียงคุยเหมือนคนรู้จักกันเฉยๆ
ตอนนั้นมีทั้งรุ่นพี่ผู้ชายและรุ่นพี่ผู้หญิงมาคุยด้วย
รุ่นพี่ผู้ชายส่วนมากก็จะเข้ามาจีบ
ส่วนรุ่นพี่ผู้หญิงก็จะคล้ายๆกับปลื้มเราคอยเทคแคร์เอาใจเราให้เรารู้สึกดี
แต่ฉันก็ไม่ได้คิดอะไรอย่างนั้นจริงๆ
ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะน่ารัก
น่าตาดีหรือนิสัยดียังไงฉันก็ยังไม่เคยเกิดความรู้สึกรักใคร่แบบวัยรุ่นเสียที
ฉันคงเด็กเกินไปที่จะคิดเรื่องอย่างว่าจริงๆ
เป็นธรรมดาเมื่อเราเริ่มเป็นสาวและมีคนเห็นว่าเราหน้าตาดี
สิ่งที่เรามักจะได้ทำในโรงเรียนก็คือการเข้าร่วมกิจกรรมของทางโรงเรียนประเภทถือป้าย
หรือเดินขบวนต่างๆ
ซึ่งปีนี้ก็เป็นปีแรกที่ฉันได้ถือป้าย
ฉันยังนึกถึงวันที่อาจารย์คัดตัวได้
อาจารย์เรียกนักเรียนหญิงที่น่าตาดีๆประมาณสิบกว่าคนออกไปรวมทั้งฉันด้วย
พวกเค้าคัดตัวเด็กที่มีความสูงใกล้เคียงกันให้ถือป้ายต่อๆกัน
สำหรับฉันได้ถือป้ายคู่ที่เป็นชื่อโรงเรียน
คนที่ถือป้ายคู่กับฉันคือพี่ออยรุ่นพี่
ม.5
ที่เคยให้ดอกไม้ในวันวาเลนไทน์ฉันด้วย
พี่คนนี้ดูใจดีและยิ้มง่ายเค้าจะชวนฉันคุยตลอดเวลาที่อยู่ใกล้ๆ
ในขบวนที่เราเดินป้ายของเราจะอยู่อันดับแรก
และต่อด้วยป้ายกีฬาสีที่เป็นป้ายเดี่ยว
ฉันหันไปดูคนที่ถือป้ายเดี่ยวที่ต่อจากฉัน
เป็นรุ่นพี่ผู้หญิงคนนึงน่าจะรุ่นเดียวกันกับพี่ออยเพราะเห็นใช้สรรพนามว่า
“แกๆ” ตอนเรียกกันอยู่
รุ่นพี่คนนี้ฉันไม่รู้จักเค้าและไม่คุ้นหน้าเลย
ไม่เคยแม้แต่จะเห็นหน้าเสียด้วยซ้ำ
แม้จะรูปร่างผิวพรรณดี
หน้าตาก็สะสวยแลดูโดดเด่นจนฉันต้องหันกลับไปมองอีกครั้งทันทีที่ฉันเห็นแว็บแรกก็ตาม
แต่เมื่อเพ่งพินิจดูใบหน้าของพี่คนนี้แล้วก็เกิดความรู้สึกคุ้นๆแบบแปลกๆ
ซึ่งฉันก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าคุ้นยังไง
ฉันได้แต่แอบมองหน้าพี่เค้า
ด้วยความสงสัยว่าฉันเคยเห็นหน้าเค้ามาก่อนหรือเปล่า
ซึ่งพอเค้ารู้ตัวว่าฉันแอบมองเค้า
เค้าก็ยิ้มที่มุมปากให้ฉันนิดนึงทันที
ทั้งๆที่เหมือนว่าพี่คนนี้จะเป็นคนที่ไม่ค่อยยิ้มและค่อนข้างจะหยิ่งแถมยังเฉยชาเสียด้วย
เมื่อเห็นว่าพี่คนนั้นยิ้มให้ฉันจึงรีบยิ้มตอบอย่างมีมารยาทก่อนที่จะหันมาสนใจในคำพูดของอาจารย์ที่กำลังอธิบายรูปแบบขบวนอยู่ด้านหน้าต่อไป
เมื่อตอนที่อาจารย์เลือกและคัดตัวคนถือป้ายลงตัวเสร็จแล้ว
อาจารย์ก็ให้นักเรียนที่ได้รับการคัดเลือกมาลงชื่อไว้
ซึ่งในตอนนั้นเอง
อยู่ๆพี่คนที่อยู่ข้างหลังป้ายของเราก็ขอเปลี่ยนตัวกับพี่ออย
โดยให้เหตุผลว่า
ไม่ชอบถือป้ายเดี่ยวอย่างนี้
อยากถือป้ายคู่มากกว่า
ซึ่งพี่ออยก็ยอมเปลี่ยนให้ทันทีที่พี่คนนั้นขอร้อง
ตอนนี้พี่คนนั้นขยับขึ้นมานั่งข้างๆฉันแล้ว
ฉันหันไปยิ้มให้พี่คนนั้นก่อนเพื่อเป็นการผูกมิตร
พี่คนนั้นก็ยิ้มตอบให้ฉันนิดนึงแต่ก็ไม่พูดอะไร
คุณครูส่งสมุดสำหรับเซ็นชื่อให้พี่คนนั้นเซ็นก่อน
เมื่อเซ็นเสร็จพี่คนนั้นก็ส่งมาให้ฉัน
ฉันแอบอ่านชื่อของพี่คนนั้น
..นางสาวเนรนิมิตร
ธนสารพิบูลทรัพย์...
อื้ม..ชื่อแปลกจัง
เป็นความคิดแว๊บแรกที่ฉันอ่านชื่อของพี่คนนั้นทันที
เอ..อ่านว่า
เน-ระ-นิ-มิต
หรือ เน-นิ-มิต
หรือว่า เนน-นิ-มิต
กันนะ
แม้จะนึกสงสัย
แต่ด้วยความมีมารยาทฉันก็ได้แต่เก็บความสงสัยนั้นไว้ในใจคนเดียว
พี่คนนั้นหันมามองฉันตอนที่ฉันอึ้งกับชื่อของพี่แกอยู่
เหมือนเธอจะรู้ว่าฉันคงสงสัยชื่อเธอ
เธอเลยยิ้มให้
“เรียกพี่ว่าเนยเฉยๆก็ได้นะ
ชื่อจริงอาจจะอ่านยากซักหน่อยน่ะ
มันอ่านว่า เน-ระ-นิ-มิต
น่ะ” พี่คนนั้นยิ้มพร้อมๆกับบอกฉัน
“อ๋อ..พี่ชื่อเนยเหรอคะ
หนูชื่อกี้นะคะยินดีที่รู้จักค่ะพี่”
ฉันกล่าวแนะนำตัวเองบ้างตามมารยาทที่พี่คนนั้นชวนคุย
“อืม
รู้แล้วล่ะว่าเราชื่อกี้..”พี่คนนั้นยิ้มหวานให้ก่อนที่จะหันหน้าไปมองอาจารย์ต่อ
เฮ้..ท่ายิ้มเมื่อครู่นี้
อย่างสวยเลยอะ
ฉันคิดทันทีที่เห็นรอยยิ้มของพี่เค้า
พี่เนย..นี่เป็นคนสวยมากๆเลยนะ
ยิ่งยิ้มยิ่งสวย สวยอย่างกับพวกดาราเลย
ผิวพรรณ รูปร่างหน้าตาก็ดูดีมีสง่าราศรีเหมือนผู้ดีมีสกุล
เพียงแต่ว่า แกชอบทำหน้าบึ้งๆไม่ค่อยยิ้ม
หน้าตาเลยดูดุๆ ทำให้คนอื่นไม่กล้ามอง
แต่เอ...นี่พี่เนยเค้ารู้จักฉันด้วยเหรอ
คงจะเคยเห็นกันแล้วสินะมิน่าฉันก็ว่าหน้าพี่คนนี้คุ้นๆอยู่
เพียงแต่นึกไม่ออกว่าคุ้นยังไงเฉยๆ
อืมยิ่งนึกยิ่งสงสัย
แต่ก็ช่างเถอะ
เด๋วถ้าสนิทกันแล้วฉันจะค่อยถามพี่เนยอีกทีก็ได้ว่าเราเคยเจอกันที่ไหนหรือเปล่า
….นั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันได้ทำกิจกรรมของโรงเรียนหลังจากที่อยู่โรงเรียนนี้มา3ปีแล้ว
แต่ไม่เคยได้ร่วมกิจกรรมประเภทเดินขบวนอะไรเลยสักอย่าง
นอกจากนั่งเชียร์กีฬาอยู่ที่สแตนด์
นอกจากไม่ค่อยได้เข้าร่วมกิจกรรมต่างๆที่โรงเรียนเท่าไหร่แล้ว
ฉันยังไม่ค่อยมีเพื่อนที่สนิทเท่าไหร่ด้วย
เพราะชีวิตประจำวันของฉันจะทำแค่
เช้ามาโรงเรียน
เย็นกลับบ้านช่วยพ่อแม่ขายของ
อ้อ...ฉันลืมบอกไป
บ้านของฉันเป็นร้านขายข้าวมันไก่อยู่แถวๆตลาดในเมือง
ตรงนั้นจะเป็นท่ารถเมลล์ของจังหวัดด้วย
ตอนเย็นกลับจากโรงเรียนแล้วฉันจะรีบเปลี่ยนเสื้อผ้ามาขายข้าวมันไก่ช่วยพ่อแม่ทุกๆวัน
รวมทั้งเวลาว่างในวันเสาร์ด้วย
จึงไม่แปลกเลยที่ฉันจะไม่ค่อยมีเพื่อน
เพราะฉันเอาเวลาว่างของฉันมาช่วยพ่อแม่ทำงานมากกว่าจะเอาไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนๆ
ด้วยเห็นว่าร้านข้าวมันไก่ของพ่อกับแม่ฉันนั้นขายดีมาก
มีลูกค้าประจำเยอะ
แล้วพ่อแม่ก็ไม่ได้จ้างลูกน้องมาช่วย
ฉันจึงคิดว่าควรแบ่งเบาภาระของพ่อแม่ด้วยการช่วยหยิบจับโน้นนี่
ช่วยเสริ์ฟ
ช่วยล้างจานหรือทำทุกอย่างที่ฉันจะช่วยทำได้ดีกว่า
เพราะฉันหวังว่าวันนึงเราจะมีเงินซื้อบ้านเป็นของตัวเองเสียที
ไม่ต้องมาเช่าอาคารที่ราชพัสดุเก่าๆอย่างนี้อยู่
ใช่...
ฉันหมายถึงบ้านหลังเดี่ยวๆโตๆ
ที่ถูกตกแต่งสวยงาม มีอาณาเขต
มีสนามหน้าบ้าน
เหมือนบ้านหลังหรูๆที่อยู่หน้าปากซอยทางเข้าบ้านฉัน
เวลาฉันกลับจากโรงเรียนทีไรฉันจะแอบมองดูบ้านหลังนั้นตลอด
บ้านหลังนั้นใหญ่โตมากเวลาฉันมองเข้าไปในรั้วบ้านที่สูงๆจะมองเห็นหลังคาบ้านหลังนั้นอยู่ลิบๆไกลๆ
เพราะว่าภายในบ้านหลังนั้นกินอาณาเขตบริเวณกว้างเข้าไปไกลโขทีเดียว
บางทีฉันเห็นคนในบ้านก็ต้องขี่รถกอล์ฟจากหน้าบ้านไปหลังบ้านก็มี
ในนั้นมีรถจอดอยู่เป็นสิบกว่าคันน่าจะได้
หน้าบ้านหลังนั้นฉันเห็นมีผู้ชายตัวใหญ่ๆใส่ชุดซาฟารีสีดำสองสามคนยืนถือวิทยุสื่อสารโทรหากันประจำ
ได้ข่าวว่าเจ้าของบ้านหลังนั้นเป็นคนรวยมากและเป็นคนที่มีอิทธิพลของจังหวัดเราด้วย
เค้าเคยเป็นทั้ง สส.
สจ.
สท.
หรือ
ส.อะไรก็ได้ที่พอจะลงสมัครแล้วมีคนเลือกตั้งได้
เค้าจะลงหมด
ได้ยินชาวบ้านพูดกันว่าเจ้าของบ้านหลังนี้เคยพัวพันคดีดังหลายๆคดีไม่ว่าจะเป็นยาเสพติด
ลักพาตัว ทำร้ายร่างกาย
ข่มขู่กรรโชกทรัพย์และอีกหลายคดีที่ฉันฟังแล้วยังรู้สึกกลัวไม่คิดว่าเจ้าของบ้านจะเป็นคนที่ร้ายกาจได้ขนาดนั้น
ฉันรู้มาคร่าวๆแค่นี้
เพราะว่ารู้สึกว่าคนพวกนี้น่ากลัวเกินกว่าที่เด็กอย่างฉันจะเข้าใกล้ได้
..ฉันรู้แต่ว่าถ้าฉันเป็นคนดี
คนน่ากลัวพวกนั้นก็คงจะไม่มาเข้าใกล้และทำอันตรายฉันได้หรอก..
เวลาว่างหลังจากที่ฉันขายของเก็บร้านช่วยพ่อแม่เสร็จแล้ว
ฉันก็จะทำการบ้านอ่านหนังสือ
ที่ห้องของฉันมีโน๊คบุ๊คเครื่องเก่าๆเครื่องนึงที่พ่อเคยซื้อให้ตั้งแต่ตอนอยู่
ม.2
จริงๆแล้วมันก็ยังไม่เก่าเท่าไหร่หรอก
เพราะฉันเอาไว้ใช้แค่พิมพ์รายงาน
เล่นเน็ตบ้าง
ดูหนังบ้างตามประสาเด็กสาววัยรุ่นทั่วไป
โดยเฉพาะกิจกรรมสุดท้ายนั้นในช่วงนี้ฉันจะชอบทำเป็นพิเศษ
ฉันเป็นคนที่ค่อนข้างจะติดหนังโดยเฉพาะซีรีย์หนังต่างประเทศ
เช่น ซีรีย์เกาหลี
เรื่องไหนที่ฉันชอบฉันจะตามโหลดเอามาเก็บไว้ดูตลอด
นั่นเป็นความสุขที่ฉันทำได้ในตอนที่ฉันว่างจากการช่วยงานบ้านนั่นเอง
ชีวิตของฉันดำเนินไปตามปกติเฉกเช่นทุกวันไม่มีอะไรพิเศษ
ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจนกระทั่งวันนึง
วันก่อนที่เราจะเดินขบวนกีฬาสีที่โรงเรียนนั่นเอง
...ในวันนั้นอาจารย์เรียกพวกเรามานอนที่โรงเรียนเพราะทางโรงเรียนจ้างช่างแต่งหน้ามาสำหรับแต่งหน้าพวกนักเรียนที่ถือป้ายกันโดยเฉพาะ
ฉันจึงจำเป็นต้องมานอนที่โรงเรียนเหมือนๆกับคนอื่นที่ร่วมขบวน
วันนั้นเป็นวันศุกร์หลังจากที่โรงเรียนปล่อยให้พวกนักเรียนที่ต้องทำกิจกรรมกลับบ้านไปตั้งแต่ยังไม่ทันบ่ายสามโมง
ฉันก็รีบช่วยพ่อแม่ทำนั่นทำนี่จนเสร็จก่อนจะขอตัวอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเดินทางออกมานอนที่โรงเรียน
ฉันนั่งรถเมลล์ไปถึงที่โรงเรียนประมาณเกือบๆห้าโมงเย็นได้
ตอนนี้ที่ด้านหน้าโรงเรียนเริ่มเงียบเพราะบรรยากาศโพล้เพล้แล้ว
ด้วยความกลัวฉันจึงรีบเดินลัดเลาะเข้าไปที่ช๊อปศิลปะที่อาจารย์นัดให้มาแต่งหน้ากันทันที
เมื่อไปถึงปรากฏว่าตอนนี้มีมีคนมารออยู่ในนั้น5-6คนแล้ว
นี่ฉันคิดว่าฉันมาเร็วแล้วยังมีคนมาเร็วกว่าฉันอีกเหรอนี่
มองเข้าไปในช๊อป
ฉันเห็นเป็นนักเรียนชั้นอื่นที่ฉันไม่ค่อยรู้จัก
พวกเค้าพากันจับกลุ่มคุยกันอยู่ในห้องนั้น
ฉันได้แต่ยืนเก้ๆกังๆอยู่ด้านนอกตัวช็อปเพราะไม่รู้จะเข้าไปคุยกับใครดี
เลยแก้เขินด้วยการเดินออกมานั่งรอที่ด้านนอกช็อปแทน
ตรงนั้นจะมีม้าหินอ่อนอยู่สามสี่ตัวไว้สำหรับให้นักเรียนนั่งพักกัน
ฉันมองไปที่ม้านั่งตรงริมสุด
ตรงนั้นมีคนๆนึงนั่งอยู่ก่อนหน้าแล้ว
เมื่อฉันเพ่งสายตาไปมองดีๆก็เห็นว่าเป็นพี่เนยคนที่ได้ถือป้ายคู่กับฉันนั่นเอง
เธอนั่งก้มหน้าอ่านหนังสืออะไรของเธออยู่ก็ไม่รู้
โอเค
ยังไงก็เป็นคนที่ถือป้ายกับฉันถ้าฉันจะชวนเค้าคุยสักหน่อยก็คงไม่แปลก
คิดได้ดังนั้นฉันก็รีบเดินตรงดิ่งเข้าไปหาพี่เนยทันที
“..พี่เนยมานานยัง”
เป็นประโยคแรกที่ฉันทักตอนที่เดินเข้าไปยืนอยู่ใกล้ๆโต๊ะพี่เนย
พี่เนยเงยหน้าขึ้นมองฉันทันทีที่ได้ยินเสียง
เธอยิ้มให้นิดนึงก่อนจะตอบ
“ประมาณ5นาทีแล้วล่ะ”
“กี้นั่งด้วยได้มั้ย”
ฉันขอนั่งด้วยอย่างมีมารยาท
พี่เนยยิ้มให้ฉันนิดนึงก่อนตอบ
“ได้สิ”
เมื่อฉันนั่งลงข้างๆหญิงสาวตัวผอมบางรูปร่างอ้อนแอ้นอรชรคนนี้แล้วก็แอบที่จะเหล่ตามองตามประสาเด็กช่างสังสัยอย่างฉันไม่ได้
..พี่เนยเป็นลูกครึ่งอะไรหรือเปล่านะ..
ทั้งดวงตาสีน้ำตาลอ่อนๆประหลาดๆ
ที่กลมโต
และจมูกของพี่เนยที่มันให้ความรู้สึกที่โด่งมากแตกต่างจากเด็กสาวในรุ่นราวคราวเดียวกัน
...ฉันว่าดั้งฉันโด่งแล้ว
ยังมีคนที่โด่งกว่าฉันอีกเหรอนี่...
ฉันแอบคิดตอนที่เอาปลายนิ้วมาถูๆกับจมูกของตัวเอง
ดูผมของพี่เนยแล้วก็แปลกๆ
วันนี้พี่เนยปล่อยผมยาวๆหยักศกของเธอลงมากลางหลังมองดูสีผมของเธอจะออกสีน้ำตาลนิดนึง
ไม่แน่ใจว่าจะเป็นสีผมธรรมชาติหรือไปทำสีผมมา
ฉันแอบพินิจพิเคราะห์ใบหน้าพี่เนยด้านข้างแล้ว
ก็อดที่จะแอบชื่นชมในใจอีกไม่ได้ว่า
พี่เนยสวยเหมือนดาราจริงๆ
นี่ถ้ามีแมวมองมาเคตติ้งแถวๆนี้พี่เนยคงได้ไปกับเค้าแน่ๆ
เสียอยู่อย่างเดียวคือ....
พี่เนยจะไม่ค่อยยิ้มและชอบทำหน้าบึ้งเหมือนคนไม่มีมนุษยสัมพันธ์
ดูๆแล้วพี่เนยเหมือนเป็นคนพูดน้อยยิ้มน้อยไม่ค่อยสุงสิงกับใคร
จากการเลือกที่นั่งของเธอแล้วก็รู้ได้ว่าเธอไม่ต้องการเข้าใกล้พวกนักเรียนในช๊อปนั่นเอง
..เอ..แล้วนี่พี่เนยอยากจะคุยกับฉันหรือเปล่านะ
ถ้าฉันชวนคุยแล้วเค้าจะรำคาญมั้ยนะ...
ฉันแอบคิดอย่างหวั่นๆใจ
กลัวผู้หญิงสาวแสนสวยที่อยู่ต่อหน้าจะอยากอยู่คนเดียวมากกว่า
“พี่เนย..อยากอยู่คนเดียวมั้ย
ถ้ารำคาญกี้บอกได้นะ
กี้จะไปนั่งที่อื่น”
ฉันถามด้วยเสียงเกรงใจ
“รำคาญทำไมล่ะ
กี้ยังไม่ทันทำอะไรเลย”
พี่เนยพูดยิ้มแบบขำๆ
“กี้คิดว่าพี่อาจจะอยากอยู่คนเดียว
เห็นมานั่งอยู่คนเดียวอย่างนี้”ฉันยิ้มแหยๆ
“พี่ก็ไม่ได้อยากอยู่คนเดียวหรอก
แต่ไม่มีใครเค้าอยากคุยกับพี่มากกว่า..พี่ก็เลยนั่งคนเดียวตรงนี้”
เสียงเรียบๆของพี่เนยกำลังอธิบายในภาพที่ฉันเห็นอยู่ตอนนี้
“เค้าคงไม่ค่อยสนิทกับพี่เนยมากกว่ามั้งเลยไม่มา
อย่าคิดมากเลยค่ะ”
ฉันพยายามชวนคุยเพราะอยากปลอบใจพี่เนย
พี่เนยมองหน้าฉันแล้วยิ้มให้ฉันนิดนึงก่อนจะก้มลงไปอ่านหนังสือต่อ
ทิ้งให้ฉันอยู่กับความเงียบเหมือนเดิม
ให้ตายสิฉันไม่ชอบความเงียบเลย
ฉันชอบความสดใส ชอบเสียงหัวเราะและรอยยิ้ม
แต่ตอนนี้คนที่อยู่ต่อหน้าฉันตอนนี้เค้ากลับดูเฉยชา
พูดน้อย ยิ้มน้อยมิหนำซ้ำยังดูเข้ากับคนอื่นไม่ได้ด้วย
ทำยังไงฉันถึงจะทำให้สถาณการณ์ตอนนี้คลี่คลายไปในทางที่ดีได้นะ
ฉันคิดพลางเริ่มชวนพี่เนยคนเงียบคุยด้วยอีกครั้ง
“บ้านพี่เนยอยู่ไหนเหรอ...”
เสียงเบาๆของฉันพยายามชวนอีกฝ่ายให้มาคุยด้วย
พี่เนยเงยหน้าขึ้นมามองหน้าฉัน
เธอไม่ตอบกลายเป็นว่าเธอจ้องหน้าด้วยความสงสัยแทน
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ตอบแถมยังโดนจ้องหน้าคืนอย่างนั้นใจฉันเริ่มเสียทันที
...เค้าคงไม่อยากคุยกับเราจริงๆสินะ...
“เอ่อ..ถ้าพี่เนยไม่อยากตอบกี้
ก็ไม่ต้องตอบก็ได้นะ
กี้ขอโทษที่เสียมารยาทถามเรื่องส่วนตัวของพี่เนยนะคะ”
ฉันพยายามอธิบายด้วยน้ำเสียงอึกๆอักๆ
พี่เนยรีบโบกมือไปมาก่อนจะตอบว่า
“เปล่าๆพี่ไม่ได้เป็นอะไร
พี่แค่สงสัยว่า...กี้อยากรู้เรื่องของพี่จริงๆเหรอ..กี้ไม่รู้จริงๆเหรอว่าบ้านพี่อยู่ไหน...”
ฉันพยักหน้างึกๆให้พี่เนยแทนคำตอบว่า
..ไม่รู้จริงๆ..
พี่เนยจ้องหน้าฉันอยู่อีกนาน..กว่าจะยิ้มให้ฉันนิดนึงแล้วตอบมา
“บ้านพี่อยู่อีกอำเภอนึงน่ะ
ก็ไกลจากโรงเรียนประมาณ40กิโลได้..บอกไปกี้ก็ไม่รู้จักหรอก”
“โห..งั้นก็ไกลน่ะสิ
แล้วนี่พี่มายังไง มารถโดยสารเหรอ”
ฉันยังถามพี่เนยต่อ
พี่เนยก็เอาแต่ยิ้มและพยักหน้าตอบ
“ว้า
เป็นเด็กต่างอำเภองั้นก็ลำบากแย่สิเวลาเดินทางไปกลับโรงเรียน”
พี่เนยเลิ่กคิ้วให้ฉันนิดนึงใบหน้าของเธอนั้นก็ยังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ต่อไป
“ก็ลำบากนะ
แต่จริงๆแล้วชีวิตพี่ก็ลำบากมาตั้งแต่เด็กแล้วล่ะ
อยู่กับพ่อมาสองคน
พ่อก็ไม่ค่อยสนใจปล่อยให้พี่ดูแลตัวเองมาตั้งแต่เด็ก
ทำอะไรด้วยตัวเองมาตั้งแต่เด็กๆมันก็เลยชินเสียแล้ว”
ฉันฟังคำว่าลำบากของพี่เนยแล้วก็เริ่มเข้าใจได้ทันที
พี่เนยของเป็นเด็กต่างอำเภออยู่กลับพ่อที่ต้องทำงานหาเลี้ยงลูกสาวคนเดียวด้วยความลำบาก
อาจจะทำทั้งวันทั้งคืนจนไม่มีเวลาแม้กระทั่งดูแลลูกเลย
ลูกก็ต้องปากกัดตีนถีบคอยช่วยเหลือตัวเองมาตั้งแต่เด็กๆจนกระทั่งโต
อาจจะเป็นเพราะปมที่อยู่คนเดียวมาตั้งแต่เด็กนี่เอง
พี่เนยก็เลยเป็นคนนิ่งๆดูเงียบๆจนเหมือนหยิ่งไม่ค่อยพูดกับใคร
แต่เอ..พี่เนยเป็นเด็กต่างอำเภอที่หน้าตารูปร่างและผิวพรรณดีมากเลยนะ
ฉันมองดูตอนแรกยังคิดเลยว่าน่าจะมาจากกรุงเทพด้วยซ้ำไป
แต่ฉันก็ได้แต่คิดไม่กล้าถามเพราะกลัวว่าจะเป็นการเสียมารยาทกับผู้ฟังได้
เมื่อได้รู้เรื่องความลำบากของพี่เนยตรงจุดนี้แล้วฉันก็อดที่จะเป็นห่วงเป็นใยกลัวพี่เนยเศร้าไปไม่ได้
...ดีล่ะชวนเค้าคุยแก้เหงาไปเรื่อยๆดีกว่า...
“พี่เนยดูหนังมั้ย
กี้โหลดซีรีย์มาไว้ดูในโทรศัพท์ด้วย
นี่เรื่องนี้..กี้ชอบพระเอกมากเลย”
ฉันหยิบโทรศัพท์สมาร์ทโฟนเครื่องเล็กๆที่ราคาแสนถูก
แต่ก็เหมาะที่เด็กนักเรียนอย่างฉันจะใช้
ขึ้นมาเปิดคลิปหนังให้พี่เนยดู
“แฮะๆ
จอเล็กไปนิดนึงนะ
โทรศัพท์เครื่องนี้กี้ใช้มาตั้งแต่ม.3แล้ว
ถึงเครื่องจะเล็กแต่มันก็ใช้ได้ครบทุกฟังก์ชั่นอยู่นะ”
พี่เนยนั่งมองที่โทรศัพท์ของฉันอย่างพินิจพิเคราะห์
“อืม
ไม่เป็นไรหรอกพี่มองเห็นอยู่
ยังไม่แก่แค่นี้มองเห็นอยู่แล้ว”
พี่เนยพูดติดตลกปล่อยมุกขำๆออกมา
..เฮ้..อารมณ์ดีเหมือนกันนี่นา...
ฉันหันไปยิ้มหวานให้พี่เนยทันทีที่ได้ยิน
นี่แสดงว่าพี่เนยก็ไม่ได้หยิ่งเท่าไหร่
ก็คุยได้สินะ
“เอ...ชอบพระเอกคนนี้เหรอ
งั้นก็ต้องเคยดู My
bad Girl ด้วยใช่มั้ยละ”
เสียงพี่เนยพูดมาอย่างอารมณ์ดี
“ใช่ๆ
กี้เคยดูค่ะชอบมากเลยเสียดายหาดาวน์โหลดไม่ได้แล้วเรื่องนี้
ไม่งั้นก็จะโหลดเก็บเอาไว้ดูทั้งวันเลย”
“พี่มีซีดีซีรีย์
My
bad Girlอยู่นะ
วันนี้พี่ก็เอามาด้วย
กี้อยากดูมั้ยล่ะ”เสียงพี่เนยชวนฉันอย่างอารมณ์ดี
“ฮ้าจริงดิ
อยู่ไหนล่ะพี่พกมาในกระเป๋าด้วยเหรอ”
พี่เนยส่ายหัว
“เปล่า...มันอยู่ในรถของพี่น่ะ”
ฉันคิ้วขมวด
“รถมอเตอร์ไซค์เหรอคะ..???”
“เปล่า...รถยนต์..คือเป็นรถของคนในบ้านนั่นล่ะ
วันนี้ไม่มีใครมาส่งพี่
พี่เลยขอยืมรถมาก่อนน่ะ
แต่ว่าพี่แอบขี่ไปจอดอยู่หลังโรงเรียนโน้นล่ะ
กี้อยากไปดูมั้ยล่ะเด๋วพี่จะเปิดให้ดู”
“อยากสิ
งั้นดีเลยกว่าอาจารย์จะมาก็อีกนานเราไปนั่งดูซีรีย์อยู่ที่รถพี่เนยก่อนก็ได้
เด๋วบอกให้เพื่อนโทรเรียกอีกทีนึงแล้วกันถ้าอาจารย์มา”
พี่เนยยิ้มพยักหน้าตอบรับก่อนที่จะลุกขึ้นยืนมองฉันแล้วยิ้มหวานมาให้
“กี้ใส่ชุดนี้มาแล้วน่ารักจังเลย”
เสียงพี่เนยชมฉันตอนฉันลุกขึ้นจากที่นั่ง
ฉันอึ้งไม่นึกว่าพี่เนยจะชมฉันอย่างนี้
วันนี้ฉันใส่ชุดเอี้ยมกางเกงขาสั้นมา
ฉันว่ามันจะถอดเปลี่ยนง่ายดีเวลาที่เราแต่งตัวใส่ชุดไทยจะได้เปลี่ยนออกง่ายๆ
“ขอบคุณค่ะ
พี่เนยก็สวยนะคะ” เสียงฉันขอบคุณพี่เนย
แล้วหันไปมองดูพี่เนยที่ยิ้มให้ฉันตอนนี้เหมือนกัน
พี่เนยใส่กางเกงยีนส์ขาสั้นๆโชว์ท่อนขาเรียวสวยกับเสื้อเชิตแขนสั้นสีขาวที่เธอผูกชายเสื้อเข้าไว้ด้วยกัน
มือก็หิ้วกระเป๋าหนังแบบที่ผู้ใหญ่ใช้กัน
ฉันมองดูมันเหมือนของมียี่ห้อแพงๆอะไรสักอย่างที่เห็นดาราชอบถือ
แต่มันก็คงจะเป็นของก๊อปนั่นแหละ
ไม่มีเด็กมัธยมที่ไหนจะมีปัญญาไปซื้อของเบรนด์เนมแบบนั้นมาใช้หรอก
โดยเฉพาะพี่เนยที่บอกว่าตัวเองค่อนข้างจะลำบากด้วยแล้ว
คงเป็นไปไม่ได้
ฉันเดินตามพี่เนยไปที่หลังโรงเรียนตอนนี้น่าจะหกโมงเย็นได้แล้วบรรยากาศแถวนั้นมืดสนิทมีเพียงไฟตามทางเดินที่ลอดผ่านลองมาส่องสว่างทางให้เห็นเพียงลางๆเท่านั้น
พี่เนยพาฉันมาหยุดอยู่ที่รถคันนึง
ที่ฉันเห็นตอนแรกฉันยังอึ้งไม่คิดว่าจะเป็นรถพี่เนยได้
มันเป็นรถแวน5ประตูสีขาวรุ่นใหม่ล่าสุด
ฉันเคยเห็นแต่คนรวยๆเท่านั้นที่เค้าจะขับกัน
พี่เนยหันมายิ้มให้ฉันนิดนึงก่อนก่อนที่จะชวนฉันขึ้นไปนั่ง
“รถคันนี้ล่ะ..”
ฉันเข้าไปนั่งในรถ5ประตูคันนั้นแบบงงๆ
ในใจก็ยังแอบคิดว่าตกลงบ้านพี่เนยทำอาชีพอะไรกันแน่
ไหนบอกอยู่บ้านลำบาก
ทำอะไรด้วยตัวเองทุกอย่าง
พ่อก็ไม่มีเวลาให้
จะไปไหนมาไหนก็ต้องไปคนเดียวตลอด
แต่ดูจากรถที่ขับมาโรงเรียนนั้น
มันรถรุ่นใหม่ล่าสุดแถมข้างในยังดูตกแต่งหรูหราอีก
“นี่รถบ้านพี่เนยเหรอคะ”
ฉันลองถามพี่เนยในสิ่งที่สงสัยดู
“อ่อ
รถคนแถวๆนั้นล่ะ
พี่ยืมมาเพราะไม่มีใครว่างมารับมาส่งพี่”พี่เนยพยายามตอบเสียงเรียบๆ
“พี่เนยเก่งจัง
ขับรถมาเองได้ด้วย”
ฉันยิ้มแหยๆให้พี่เนยนิดนึง
แต่ในใจเริ่มคิดว่า
นี่พี่เนยอายุถึงแล้วเหรอถึงเอารถยนต์มาขับเองอย่างนี้
ถ้าเกิดเป็นอะไรไปจะทำยังไง
แต่นั่นก็เป็นแค่ความคิดในใจ
เพราะฉันก็ไม่กล้าพูดกับพี่เนยอย่างนั้นอยู่ดี
พี่เนยสตาร์ทรถด้านหน้าแล้วชวนฉันเข้ามานั่งที่นั่งเบาะหลังคนขับ
ตรงนั้นจะมีคอลโซลที่ถูกปรับแต่งให้เป็นเหมือนมินิโฮมเธียเตอร์เล็กๆไว้สำหรับคนในรถนั่งดูหนังกันอยู่
..อย่างหรูอ่ะ..
ฉันยังแอบคิดตอนที่นั่งลงต่อหน้าคอลโซลนั้น
นี่ถ้าบอกว่าเป็นรถสำหรับเช่าก็คงจะเชื่อเลยนะเนี่ย
ฉันนั่งนิ่งๆไม่กล้าแม้แต่จะเอามือไปจับอะไรในนั้น
กลัวไปทำอะไรแตกแล้วจะไม่มีปัญญาชดใช้ช่วยพี่เนย
พี่เนยคงเห็นว่าฉันนั่งเกร็งอยู่นานเลยชวนคุย
“..รถคนในบ้านน่ะ
เค้าเอาไว้สำหรับให้เช่าเวลามีพวกนักท่องเที่ยวต่างชาติมาอะไรอย่างนี้ไง..”
“อ๋อ..”
ฉันยิ้มออกทันที
มันเหมือนกับที่ฉันคิดไว้จริงๆด้วย
“กี้ไม่ต้องเกร็งนะ
ทำตัวตามสบายเลย
พ่อพี่ช่วยซื้อรถคันนี้ด้วย..ถึงรถเป็นอะไรมาเค้าก็ไม่กล้าว่าพี่หรอก”
ฉันยิ้มแหยๆให้พี่เนยนิดนึง
พี่เนยคงรู้ว่าฉันกำลังกลัวความซุ่มซ่ามของตัวเองจะทำให้รถคันนี้พังลงไปต่อหน้าต่อตา
พี่เนยปิดไฟในรถและดึงผ้าม่านในรถลงทุกๆด้าน
เธอบอกว่าเด๋วคนจะเห็นบังเอาไว้อย่างนี้ดีกว่าเผื่อใครเห็นว่าเป็นผู้หญิงอยู่ด้วยกันสองคนในรถหรูๆอย่างนี้จะอันตราย
ฉันพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของพี่เนย
พี่เนยหยิบแผ่นซีดีจากชั้นวางออกมานั่งเลือกสองสามแผ่นแล้วหยิบมาเปิด
มันเป็นซีรีย์เรื่องที่ฉันชอบจริงๆด้วย
ฉันยิ้มให้พี่เนยทันทีที่เห็นภาพซีรีย์กำลังดำเนินไปในจอมินิโฮมเธียร์เตอร์
พี่เนยก็ยิ้มหวานให้ฉัน
“อยู่บ้านพี่ยังมีอีกเยอะเลยนะ
ถ้ากี้อยากดู
วันหลังพี่จะเอามาให้กี้ยืมดูก็ได้นะ”
“จริงเหรอคะ
ขอบคุณพี่เนยมากๆเลยนะคะ”
ฉันทั้งยิ้มให้พี่เนยทั้งหันมานั่งชมซีรีย์โปรดของตัวเองไป
ตอนนี้ฉันมีความสุขจริงๆเลย
ฉันมีทั้งเพื่อนใหม่ที่เป็นรุ่นพี่แสนสวยและแสนจะใจดี
และมีหนังซีรีย์เรื่องโปรดที่ฉันพยายามตามหาตั้งนานแต่ไม่เจอเสียที
แต่ตอนนี้มันอยู่ต่อหน้าฉันแล้ว
..โชคดีจัง..
ในขณะที่ฉันนั่งดูและนั่งคิดอะไรเพลินๆอยู่คนเดียวนั้นจู่ๆก็มีความรู้สึกเหมือนมีแขนของใครสักคนกำลังโอบมาทางด้านหลังของฉันแล้วดึงฉันเข้าไปกอดใกล้ๆ
ฉันสะดุ้งตกใจรีบหันไปมอง
!!!!
..พี่เนย????....
ตอนนี้พี่เนยหอมที่แก้มของฉันด้วย
~~~~เหวออออออ....~~~~
“เฮ้ย..พี่เนยทำอะไรอ่ะ”
ฉันตกใจในสิ่งที่ตัวเองกำลังเจอ
หน้าตาเหรอหรา
“หอมแก้มไง..”
พี่เนยพูดไปยิ้มไป
เป็นรอยยิ้มแปลกๆที่ฉันเห็นแล้วรู้สึกกลัวขึ้นมาทันที
แววตาของพี่เนยก็เริ่มเปลี่ยนไป
แค่ฉันมองมันก็ทำให้ฉันรับรู้ได้ถึงความผิดปกติที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า
มันเหมือนแววตาของหมาป่าที่มองเห็นเหยื่ออยู่ตรงหน้า
และกำลังจะขย้ำกินอีกไม่กี่วินาที
“หอมทำไม..แล้วมากอดกี้อย่างนี้ทำไมอ่ะ”
ฉันเสียงหลงหน้าเอ๋อเป็นไก่ตื่นกับสิ่งที่ได้เจอในตอนนี้
ยิ่งพูดพี่เนยยิ่งกอดฉันแน่นกว่าเดิม
ตอนนี้พี่เนยเปลี่ยนจากหอมมาเป็นไซ้ที่ซอกคอของฉันแทนเสียแล้ว
“เฮ้ย
พี่เนยบ้าแล้ว..จะทำอะไรกี้อะ”
ฉันพยายามสะบัดตัวแต่พี่เนยก็ยังไม่ยอมปล่อย
กลับซุกไซ้หนักยิ่งกว่าเดิมอีก
ตอนนี้ฉันทั้งตกใจ
ทั้งกลัวลนลานไปหมด
ทำอะไรไม่ถูกนึกอะไรก็ไม่ออกด้วย
พี่เนยระดมจูบฉันไปทั่วทั้งร่าง
มือข้างหนึ่งที่อ้อมมากอดจากด้านหลังนั้นเริ่มขยับขึ้นมาจับหน้าอกของฉันแล้ว
ส่วนมืออีกข้างก็ไม่น้อยหน้าค่อยๆคืบคลานลงไปในชายกางเกงเอี้ยมของฉัน
ด้วยความที่มันเป็นชุดกางเกงขาสั้นหลวมเวลาใส่นั้นสบาย
ตอนนี้มือซนๆของพี่เนยก็กำลังลุกล้ำเข้าไปอย่างสบายเช่นเดียวกัน
“โอ้ย..พี่เนยอย่าทำอย่างนี้นะ
ปล่อยกี้เถอะ”
ฉันทั้งร้องทั้งดิ้นเพราะหวังว่าตัวเองจะหลุดออกมาจากอ้อมกอดของพี่เนยโดยง่าย
แต่ก็เปล่าเลยกำลังของพี่เนยนั้นกลายเป็นมีมากกว่าฉันเสียอีก
ตอนนี้เท่ากับว่าเธอล็อคตัวของฉันขึ้นไปนั่งตักเธอเอาไว้ในท่านั่งท่านี้เสียแล้ว
“พี่เนย
ปล่อยกี้เถอะนะ
ถ้าใครมาเห็นเข้าจะทำยังไง”ฉันเสียงสั่นขอร้องพี่เนยด้วยความรนราน
“ไม่มีใครมาเห็นหรอกนะ
ถ้ากี้ไม่ร้องโวยวายอ่ะ”
“งั้นกี้จะร้องให้คนมาช่วยนะ”
“กี้จะร้องทำไม
ไม่สงสารพี่เหรอ เราเป็นผู้หญิงด้วยกันนะ
ถ้ามีใครมาเจอว่าพี่ทำอะไรกี้อย่างนี้แล้วพี่จะเอาหน้าไปไว้ไหน
กี้ไม่สงสารพี่เหรอ..”
พี่เนยทำเสียงเหมือนคนน่าสงสารกำลังอ้อนวอนขอให้ฉันเห็นใจเธอ
ฉันคิ้วขมวด
ฟังคำว่า “สงสาร”
ของพี่เนยแล้วก็ยิ่งงง
นี่กลายเป็นว่าฉันควรจะต้องสงสารเธอเหรอนี่...
“..งั้นพี่เนยก็อย่าทำกี้สิ”
“ฮือ..”พี่เนยส่ายหน้า
“พี่หยุดไม่ได้อะ
ยิ่งอยู่ใกล้ๆกี้อย่างนี้แล้ว
พี่ยิ่งหยุดความรู้สึกอย่างนี้ไม่ได้เลย”
ฉันคิ้วขมวดหันมามองพี่เนยที่ทำหน้าเหมือนตัวเองกำลังอ่อนแอกับสิ่งที่กำลังเจออยู่
“กี้สงสารพี่เถอะนะ
พี่หลงรักกี้มาตั้งแต่ตอนที่กี้อยู่ม.3
แล้ว
พี่ไม่เคยรักใครมาก่อนเลยไม่เคยแม้กระทั่งคบผู้ชาย
จนมาพบกี้..พี่ถึงรู้ตัวว่าพี่ชอบผู้หญิงด้วยกันน่ะ
นะสงสารพี่เถอะนะ..”เสียงพี่เนยกำลังอธิบายด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนขอร้องให้ฉันเห็นใจเธอ
“ฮ้า
..”
ฉันอ้าปากค้างยิ่งฟังยิ่งงง
หญิงสาวสวยคนที่ฉันพึ่งรู้จัก
ที่ฉันเห็นว่าเค้าแสนจะเย็นชา
เฉยเมิน ไม่ค่อยยิ้ม
ไม่ค่อยพูดคนนี้กำลังสารภาพรักฉันอย่างนั้นเหรอ
แล้วจะมาสารภาพรักด้วยวิธีอะไรอย่างนี้เล่า
แล้วนี่ฉันควรจะสงสารเค้าด้วยการยอมให้เค้าทำอย่างว่ากับฉันอย่างนั้นเหรอ
..มันใช่ซะที่ไหนเล่า..