นิยายหญิงรักหญิง Girlfriend Season2
Chapter 5
Face to face : Ueai VS Nicha
“...อืมเดี๋ยวประมาณห้าทุ่มเอื้อยก็ค่อยขับรถมารอเค้าอยู่หน้าคณะก็ได้..ใช่..เดี๋ยวเค้าลงไปรับเอง”ฉันตอบรับเอื้อยผ่านทางโทรศัพท์
ในขณะกำลังใช้กาวนิตโต้ติดมุมกระดาษไขทั้งสี่ด้านลงบนโต๊ะเขียนแบบอยู่
ตอนนี้พอเอื้อยวางสายไป
ฉันก็เริ่มหันไปสำรวจสตู
มองดูเพื่อนที่อยู่ข้างๆว่ามีใครมาหรือยังไม่มา
มีใครถึงไหนยังไม่ถึงไหนกันแล้วบ้าง..
“กินหนมมั้ยจอเจ้ย...”
เป็นนัทหล่อที่ทักฉันขึ้นตอนที่ฉันหันไปสบตากับเขาเข้า
“เอ่อ
ไม่เป็นไร เรากินมาเยอะแล้วนัทกินเลยก็ได้
เดี๋ยวนัทกินไม่อิ่มนะ
ยิ่งตัวโตๆอยู่”
ฉันยิ้มหวานแกล้งแซวนัทหล่อที่ยิ้มหน้าแดงทันทีที่เห็นฉันส่งสายตาแบบนั้นให้
ตอนนี้พอนัทแว่นที่นั่งอยู่ข้างๆเห็นฉันคุยกับนัทหล่อ
เขาก็แกล้งร้องทักฉันขึ้นมาบ้าง..
“เอ่อ..จอเจ้ยมีปากการ็อตติ้งเบอร์ไหนบ้างอ่ะ”
“เราเหรอก็มี
0.1,0.2,0.3แล้วก็
0.5
อ่ะเราซื้อเซตที่ขายทั่วไปมาใช้น่ะ
ถามทำไมเหรอ”
ฉันยกกล่องปากกาเขียนแบบรอตติ้งขึ้นโชว์นัทแว่นก่อนจะถามเขาคืนด้วยความสงสัย
“อ่อ..เราถามเผื่อไว้
ของเรามีหัวรอตติ้งตั้งแต่
0.1-0.8พวกไส้ใหญ่ๆเบอร์
1.0-2.0ก็มีนะ
เผื่อจอเจ้ยอยากใช้
มาใช้กับเราก็ได้ เราให้จอเจ้ยยืม”
นัทแว่นยกกล่องปากกากล่องใหญ่ยักษ์ขึ้นมาโชว์ด้วยความภูมิใจตอนที่เขาบอกฉัน
เขาหันไปยักคิ้วให้นัทหล่อที่เหล่ตามองแรงทันทีที่เห็นเขาทำคะแนนเอาใจฉันด้วยการโชว์ปากกาเขียนแบบชุดใหญ่อย่างนั้นเข้าให้
“โห..จริงน่ะนี่มีทุกหัวเลยเหรอ
ทำไมซื้อชุดใหญ่มาเลยล่ะ
นี่ไม่บอกก็รู้เลยนะนี่ว่าใครจะได้Aวิชาเขียนแบบนี่”
ฉันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แกล้งแซวนัทแว่นก่อนจะโปรยยิ้มหวานขอบใจเขาเหมือนๆกับที่ทำกับนัทหล่อ
“ยังไงก็..ขอบใจนัทแว่นนะ..อุตส่าห์มีน้ำใจ
เดี๋ยวไงถ้าเราจำเป็นต้องใช้เบอร์ไหนจะขอรบกวนนัทแว่นอีกทีแล้วกันนะ
โอ้ย..รบกวนนัทแว่นตลอดเลยอ่ะ
เราเกรงใจจัง..”
นัทแว่นหน้าแดงเขายกมือขึ้นมาลูบหลังหัวแก้เขินทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น
“รบกงรบกวนอะไรกันเล่า
เราเต็มใจนะ อยากยืมมาหยิบเอาที่โต๊ะเลยก็ได้..”
ฉันยิ้มหวานพยักหน้ารับเขา
ก่อนจะหันกลับมานั่งเตรียมงานที่โต๊ะโดยมีเสียงแว่วๆของนัทหล่อลอยมาเป็นแบล๊คกราวน์ให้ฉันได้อมยิ้มทันทีที่ได้ฟังเสียงเขา...
“ไอ้เชี้ยแว่น....ทีกูขอยืมบอกมีแค่สามเบอร์สาสสส....”
ฉันนั่งอ่านโจทย์งาน
วันนี้อาจารย์ให้นักศึกษาฝึกเขียนแบบบ้านพักอาศัยชั้นเดียวส่ง
โดยงานที่ส่งจะมีแปลนชั้นที่1
แปลนหลังคา
รูปด้านทั้ง4ด้าน
รูปตัด2รูปและแบบขยาย
ซึ่งแบบแปลนและรูปด้านทุกอย่างจะต้องเขียนในขนาดมาตราส่วน1:100
โดยงานเขียนแบบจะต้องแสดงรายละเอียดประกอบแบบอย่างเช่น
สัญลักษณ์แสดงประตู หน้าต่าง
ระดับพื้น ลายเส้นที่แสดงให้เห็นว่าเป็นผนัง
พื้นบ้าน พื้นห้องน้ำ
ระยะห่างของเสาแต่ละเสา
ทิศทางของอาคารหรือส่วนประกอบสำคัญอื่นๆลงไปในงานให้ชัดเจนครบถ้วน
และถูกต้องตามมาตราฐานการเขียนแบบที่สุด
พวกเราจะต้องใช้ปากการเขียนแบบที่มีขนาดความหนาเข้มของไส้ปากกาไม่เหมือนกันมาเขียน
เพื่อแสดงมิติที่ต่าง
วัสดุที่ต่างกัน เช่น
เราจะใช้หัวปากกาที่มีความหนามากมาลงเส้นเพื่อแสดงให้เห็นในแบบว่านั่นคือเสา
และเราจะใช้ปากกาที่มีขนาดบางมากๆมาใช้ทำพื้นผิวของพื้นห้องต่างๆหรือวาดเส้นไดเมนชั่นที่แสดงความกว้างยาวของระยะเสาต่างๆ
การเขียนแบบเป็นงานที่ต้องใช้สมาธิ
ความพยายาม ความปราณีตมาก
และเราต้องให้เวลากับการเขียนแบบค่อนข้างเยอะ
ซึ่งจริงๆแล้วงานนี้อาจารย์ให้เวลานักศึกษาทำส่งประมาณ3วันก่อนหน้านั้นหรือก็คือตั้งแต่วันศุกร์
และส่งงานจริงๆวันอังคารซึ่งก็คือวันพรุ่งนี้
แต่พวกเราทุกคนก็ชอบที่จะมาทำส่งกันในวันสุดท้ายก่อนส่งกัน
เหมือนที่อาจารย์ชอบแซวว่าถ้าไม่ไฟรนก้นก็ไม่คิดที่จะทำงานส่ง
นั่นจึงเป็นที่มาว่าทำไมพวกเราถึงได้มาใช้สตูกันทำงานอีกครั้งนึงในวันนี้..
“ไงที่รัก..ทำถึงไหนแล้ว”สำเนียงยียวนฟังดูกะล่อนคุ้นหูดังขึ้นอยู่ข้างๆฉัน
ณิชานั่นเอง
ตอนนี้เธอในชุดกางเกงผ้ามันขาสั้นๆกับเสื้อเปิดไหล่สีขาวบางๆที่แสนจะเซ็กซี่
กำลังยืนโน้มหน้าค้างไว้ข้างๆแก้มฉัน
จนเหมือนเธอกำลังจะหอมฉันทันทีที่ฉันหันหน้าไปทางเธอเต็มๆแรงอย่างนั้นเข้า
“เฮ้ย..ณิชา”
ฉันสะดุ้งโหยงอุทานชื่อเธอออกมาทันที
ตอนนี้เธอก็ยังยืนยิ้มก้มตัวโน้มหัวค้างไว้แถวๆแก้มฉันเหมือนเดิม
“หอมจังเลยอ่ะ
สระผมใหม่เหรอ”เธอทำเป็นสูดลมหายใจเข้าลึกๆตอนที่บอกว่าหอม
ก่อนจะร้องโอดโอยขึ้นหลังจากนั้น
เนื่องจากโดนฉันยื่นไม้สเกลสามเหลี่ยมที่ฉันถือในมือไปเคาะหัวคนเจ้าชู้ยักษ์ดังป๊อกด้วยความหมั่นไส้
“รีบไปทำงานเลย
งานตั้งเยอะนี่จะเสร็จมั้ยนี่ไม่เสร็จไม่ช่วยแล้วนะ
ตัวใครตัวมันเลย” ฉันบ่นให้ณิชา
มือก็ถือไม้สเกลชี้หน้าทำตาเล็กตาน้อยข่มขู่เธอไป
“โอ้ยอย่าพูดอย่างนั้นสิ
ถ้าเธอไม่ช่วยเราแล้วใครจะช่วยเราล่ะ
นะนะเดี๋ยวเราไปซื้อกาแฟมาให้”
“ไม่!!”ฉันเก๊กเสียงดุตะคอกเธอ
ก่อนจะรีบหันกลับไปนั่งทำงานต่อ
เพราะสายตากรุ่มกริ่มที่เพื่อนๆในห้องกำลังพากันมองฉันกับณิชาทำท่าเหมือนจะหยอกกันนั้นกำลังทำให้ฉันอาย
ณิชาก็คงเห็น
เพราะเธอยิ้มเล็กยิ้มน้อยตอนที่เหล่มองเพื่อนๆพวกนั้น
ได้ยินเสียงเธอฮัมเพลงด้วยความอารมณ์ดีตอนที่เตรียมกระดาษทำงาน
อย่างกับเธอไม่ได้แคร์สายตาอะไรของใครเท่าไหร่เลย..
เราทำงานหลังจากนั้นไม่นานเสียงโทรศัพท์ของฉันดังขึ้น
เอื้อยนั่นเอง ตอนนี้เวลา23.14
น.ผ่านไปเกือบๆชั่วโมงกว่า
คงได้เวลาที่เธอจะมาหาฉันที่คณะแล้ว
ฉันหยิบเสื้อกันหนาวที่ฉันวางพาดไว้เก้าอี้
ใส่คลุมเสื้อยืดสกรีนตราคณะตัวเอง
ก่อนจะหันไปฝากโต๊ะกับณิชา
แต่กลายเป็นว่าตอนนี้เธอหายไปไหนก็ไม่รู้
อะไรนี่..แว๊บหายตลอดเลยยัยคนนี้
นึกแปลกใจเล็กๆ
ก่อนจะเดินเลยไปฝากโต๊ะกับนัทแว่นแทน..
รถยนต์สีแดงคันเล็กจอดติดเครื่องอยู่หน้าคณะ
ฉันก้าวย่างออกไปยืนให้สัญญาณเจ้าของรถทันทีที่วิ่งลงไปถึงจุดนัดหมาย
ตอนนี้เมื่อหญิงสาวในรถชำเรืองมาเห็นฉัน
เครื่องยนต์ก็ถูกดับและเธอก็เดินลงมาจากรถให้ฉันเห็นร่างทันที
ฉันอึ้ง
ยืนขยี้ตาตัวเองก่อนจะเพ่งมองไปที่หญิงสาวในความมืดอีกครั้ง
เดี๋ยวนะ..นั่นเหรอชุดที่เธอใส่มาหาฉันที่คณะ
ความเหวอทำฉันคิ้วขมวดทันทีที่เห็นภาพนั้นชัดเจนขึ้น
โอ..อะไรจะขนาดนั้น
ฉันอุทานในใจในขณะที่พินิจพิเคราะห์การแต่งกายของแฟนสาวตัวเอง..
มันเป็นชุดจัมพ์สูทขาสั้นๆสีดำมันเงา
โดยที่เสื้อเป็นเสื้อแขนกุดเว้าคล้องคอโชว์ไหล่ขาวๆเนียนๆของคนใส่
แสงเงาจากชุดสะท้อนขึ้นมาขับผิวขาวๆทันทีที่กระทบแสงไฟ
ทำให้เอื้อยสวยโดดเด่นเป็นสง่าทันทีที่กำลังเยื้องย่างสะบัดปลายผมหยักศกไปมาในขณะนี้...
ความตะลึงพรึงเพริดในเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของคนตรงหน้า
ทำให้ฉันต้องก้มลงมองชุดเครื่องแต่งกายสไตล์เด็กหอเสื้อยืดกางเกงขาสั้นของฉัน
เปรียบเทียบกันแล้วให้ความรู้สึกแตกต่างคนละขั้วคนละละสไตล์กับเธอซะเหลือเกิน...นี่ฉันน่าจะไลน์บอกเธอก่อนดีมั้ยว่าฉันใส่ชุดอะไรมา...
“จำเป็นต้องสวยขนาดนี้มั้ยนี่
มานั่งเฝ้าเค้าเฉยๆเนี่ย..”
ฉันคิ้วขมวดยืนเท้าสะเอวบ่นให้เอื้อยทันทีที่เธอเดินมาถึงตัวฉัน
“อะไรเล่า..”
เอื้อยก็คิ้วขมวด
เธอเม้มปากเปลี่ยนสีหน้าจากสวยสง่าเมื่อกี้เป็นบึ้งขมึงทึงทันทีที่ได้ยินฉันว่า
“อีกแล้วอ่ะ
คำแรกที่ควรจะได้ยินจากแฟนก็ไม่ได้ยิน
มิหนำซ้ำยังมายืนบ่นเป็นยัยป้าสอนหลานอยู่ได้
ไม่ชอบที่เค้าสวยหรือไง”
คนใจน้อยว่า ตาเธอก็จ้องเขม็งฉันด้วยความงอนไป
“..นี่อุตส่าห์ให้เกียรตินะนี่
ที่แต่งตัวดีมาหา”
“อ๋อเหรอ..”
เหตุผลของเธอทำฉันสแยะยิ้ม
นี่แสดงว่าให้เกียรติมากๆเลยสินะถึงได้จัดชุดใหญ่ไฟกระพริบมาขนาดนี้
ฉันทั้งคิดทั้งสำรวจมองใบหน้าเอื้อยที่เธอก็เมคอัพบางๆให้รู้ว่าแต่งหน้ามาเหมือนกันอีก
ก่อนจะเดินนำหน้าพาเธอเดินขึ้นตึกไป
คอยดูนะพวกเพื่อนผู้ชายต้องพากันตาลุกวาวแน่ๆที่เห็นเอื้อยเข้าไปในสตูวันนี้
เป็นดังคาด..แค่เอื้อยเดินผ่านโซนเพื่อนผู้ชายเกเรๆที่อยู่ด้านหน้าห้อง
เสียงร้องว้าว
เสียงผิวปากก็ดังขึ้นเป็นสายทันที
ได้ยินเสียงถามลอยลมมาเรื่อยๆว่าใครน่ะๆ
ตอนที่เอื้อยกำลังเดินก้มหน้าก้มตาผ่านเข้ามาในห้อง
ความเป็นห่วงแฟนสาวตัวเองทำฉันต้องหันหลังไปมองตลอด
เอื้อยอายหน้าแดงกร่ำเดินก้มหน้าหลบสายตาผู้ชาย
ความอายทำเธอประหม่าแต่ก็ยังฝืนพยายามข่มอาการเหล่านั้นไว้
..นี่เธอคงเหงาและอยากอยู่ใกล้ฉันจริงๆสินะ..
ฉันทั้งคิดทั้งเหลียวหลังมองหน้าด้วยความเป็นห่วง
กระทั่งหันหน้ากลับมาอีกทีแล้วเจอณิชาคิ้วขมวดยืนถือแก้วกาแฟขวางทางฉันอยู่ที่โต๊ะของเธอ..
“ไปไหนมา..”น้ำเสียงซีเรียสมาพร้อมดวงตาจ้องเขม็งแปลกใจ
ณิชาคงสงสัยว่าใครคือผู้หญิงคนที่เดินตามหลังฉันเข้ามาในห้องอย่างนี้
“เอ่อ..เราไปรับ..เอ่อ..เพื่อนเรามาน่ะ
พอดีเพื่อนเราเหงาเราก็เลยชวนเค้ามาที่สตูด้วย”
“เพื่อน???”
ณิชาเสียงสูง
เธอถามย้ำเหมือนกำลังวิเคราะห์ความหมายคำว่าเพื่อนของฉัน
แววตาก็จับผิดสงสัย
เธอพินิจพิเคราะห์มองเอื้อยอยู่นานกว่าจะหันใบหน้างอนๆมองค้อนฉันต่อ
“อืม..
สวยดีนะไม่ยักกะรู้ว่าชอบ...มีเพื่อนสวยๆเหมือนกัน”
พูดเสร็จเธอก็หันขวับไปฉีกยิ้มทักทายหญิงสาวที่อยู่ต่อหน้าอีกคนว่า..“สวัสดีค่ะ
เราชื่อ..”
“ณิชาใช่มั้ยคะ!!!”
แนะนำตัวไม่ทันเสร็จ
หญิงสาวอีกคนก็รีบพูดแทรกตัดบทเสียก่อน
เหมือนเธอจะรับรู้ความหมายจากสายตาของณิชาที่มองทั้งฉันและเธอก่อนหน้านี้
“...เราเคยเห็นรูปเธอและได้ยินชื่อเธอจาก..เจ้ยตลอดเลย”
จึ๊ก..ฉันสะดุ้งทันทีที่ได้ยินเอื้อยพูดแบบนั้น
“ตลอดเลยเหรอ..นี่แสดงว่าก็อยู่กับเจ้ยตลอดล่ะสิ
เพื่อนสนิทสินะ
สนิทกันระดับไหนล่ะนี่..”ณิชาทั้งพูดทั้งยิ้ม
น้ำเสียงเหมือนหยอกล้อแต่ไหงสายตาที่เธอมองดูเอื้อยกลับให้ความรู้สึกจิกๆกัดๆอย่างไรไม่รู้
“ก็ไม่รู้สิคะ
ต้องถามเจ้ยดู
เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเราสนิทกับเขาในระดับไหน..อ่อ...เราชื่อเอื้อยนะคะ
เผื่อเธอยังไม่รู้ว่าเราเป็นใคร...”
ณิชาหุบยิ้ม
เธอคิ้วขมวดยืนส่งสายตาปริ๊บปร๊าบๆเป็นประจุไฟฟ้าแรงสูงต่อกรกับเอื้อยอยู่ครู่นึง
ก่อนจะหันมายื่นแก้วกาแฟส่งให้ฉัน
“อ๊ะ
นึกว่าหายไปไหน เรากลัวเธอง่วง
เราเลยไปซื้อกาแฟเซเว่นมาให้เธอ
แต่คงไม่ง่วงแล้วล่ะมั้ง
มีเพื่อนสวยๆมาเฝ้าขนาดนี้
หึ..อุตส่าห์เป็นห่วง..”
สาวผมบอนด์หน้าบึ้งตัดพ้อ
มองฉันด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ
เธอหันหลังนั่งลงกับโต๊ะเขียนแบบ
หยิบหูฟังจากสมาร์ทโฟนใส่หู
แล้วนั่งก้มหน้าก้มตาทำงานเงียบๆของเธอหลังจากนั้น...
เอื้อยก็หน้าบึ้ง
เธอหันมาขมึงตาใส่ฉันทันทีที่เห็นณิชาส่งสายตาแปลกๆแสดงท่าทางงอนๆอย่างนั้นใส่ฉันเข้า
..เอ้า..อะไรอ่ะ...สองคนนี้
มางอนฉันทำไมนี่
ฉันยังไม่ทันทำอะไรเลย...
ฉันทั้งคิดทั้งมองเอื้อยด้วยสายตางงๆ
นี่อย่าบอกนะว่าแค่สายตา
ท่าทาง และคำพูดคำจาแค่นี้
พวกเธอสองคนก็สามารถมโนภาพแปลความหมายเป็นเรื่องราวระหว่างฉันกับพวกเธอทั้งสองได้แล้ว...อุ้ย..
ฉันสะดุ้งโหยงออกจากความคิดกังวลทันทีที่เห็นเอื้อยแยกเขี้ยวใส่ฉัน
ตอนนี้ฉันเลยรีบจัดแจงหาที่นั่งให้เธอได้นั่งข้างๆฉันแต่เป็นคนละฝั่งกับณิชา
ก่อนที่เธอจะอารมณ์ไม่ดีไปใหญ่
“..ตัวจริงสวยกว่าในรูปเสียอีก
นี่เหรอที่ว่าไม่เท่าไหร่
ดีนะนี่..ตัดสินใจถูกแต่งตัวมาด้วย
ไม่งั้นคง....”
เสียงบ่นพึมๆพัมๆของเอื้อยดังเข้าหูของฉันตอนที่ฉันกำลังก้มหน้าก้มตาเขียนแบบต่อ
ฉันหันไปมอง ตอนนี้เอื้อยนั่งกอดอก
เธอยังตาขวางมองฉันอย่างเคืองๆเหมือนเดิม
“เป็นอะไร”
ฉันกระซิบกระซาบถามเธอด้วยเสียงหวั่นๆ
เอื้อยขมึงตาใส่ฉันก่อนจะบ่นต่อว่า
“ได้นั่งข้างๆคงมีกำลังใจในการทำงานดีสินะ..ชิ”
เธอแยกเขี้ยวใส่ฉันอีกแล้ว
“อะไรเล่า
พูดอะไรเนี่ย”ฉันกระซิบกระซาบลดระดับเสียงคุยกับเอื้อยอีก
ด้วยกลัวว่าคนข้างๆจะได้ยินเสียงบ่นพึมๆพัมๆที่เอื้อยกำลังพูดถึงเขาเข้า
“ดีจังเลยนะ
มีคนซื้อกาแฟมาให้กินด้วย...”ประเด็นใหม่มาเพิ่ม
ตาเธอย้ายพิกัดไปจับจ้องแก้วกาแฟแก้วนั้นแทนฉันแล้ว
“เพื่อนซื้อมาฝากเฉยๆ..”
“จริ้งงงง..”
เอื้อยใช้เสียงสอง
เธอเหล่ตามองฉันเหมือนเธอจะไม่เชื่อ
แต่ยังไม่ทันที่เอื้อยจะพูดอะไรต่อ
นัทหล่อกับนัทแว่นก็เดินยิ้มหน้าแดงมาทักพวกเราก่อน..
“เอ่อ..จอเจ้ยกับเพื่อนกินขนมมั้ย...เราไปซื้อมาเพิ่มแล้วมีเยอะ
เลยเอามาแบ่ง” นัทหล่อว่า
เขายื่นขนมมาให้ฉันแต่ตาเขากลับแอบชำเรืองมองเอื้อยอย่างอายๆ
“อ่อ..เหรอซื้อมาเยอะเหรอ..”ฉันเหล่มองเอื้อย
หญิงสาวทำหน้างงๆ
เธอคงแปลกใจที่เห็นนัทหล่อแอบมองเธอหน้าแดงกร่ำอย่างนั้น
ฉันอมยิ้มนึกขันอาการเพื่อนชาย
ทั้งเดาใจเขาได้ว่าจริงๆต้องการจะชวนใครกันแน่“..เอื้อยกินขนมมั้ย
เพื่อนเราซื้อมาฝาก”เอื้อยยิ้มแหยๆเธอพยักหน้าตอบรับฉัน
ก่อนจะหันมาตั้งใจฟังฉันแนะนำเขาให้รู้จัก
“เอ่อ นี่นัท..เพื่อนๆเรียกนัทหล่อ
นี่เพื่อนเราชื่อเอื้อยนะนัท..”
“ครับ..หวัดดีครับเอื้อย”
นัทหล่อยิ้มหวาน
เขายื่นขนมไปให้เอื้อยที่ยิ้มรับคำทักทายจากเขา
ซึ่งพอนัทแว่นเห็นเพื่อนชายเปิดประเด็นทำความรู้จักเพื่อนใหม่ก่อนอย่างนั้น
เขาก็เอาบ้าง..
“เอ่อ..จอเจ้ยกับเพื่อนใช่..เอ่อ..นักร้องที่ประกวดร้องเพลงวงเกริล์เฟรนด์เมื่อปีก่อนนั่นหรือเปล่า..”
เอื้อยเลิ่กคิ้วประหลาดใจที่ได้ยิน
ซึ่งก็ไม่ต่างจากฉัน
“เอ่อ..ใช่ค่ะ
รู้ได้ไงคะ” หญิงสาวยิ้มเหรอหรา
เธอถามนัทแว่นกลับด้วยความสงสัย
“คือ..เอ่อ..”
นัทแว่นหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดหาอะไรสักอย่างในนั้นแล้วรีบยื่นส่งมาให้เอื้อยและฉันดู
คลิปร้องเพลงของพวกเรานั่นเอง
“คือ เราเป็นแฟนคลับพวกเธอน่ะ
เราได้ดูคลิปที่เธอสองคนประกวดด้วยนะ..เอื้อยกับเจ้ย
AJ
IS REAL” ชายหนุ่มใบหน้าร่าเริงตอนที่บอก
เขาท่องสโลแกนประจำตัวของพวกเราออกมาให้ฟังได้ด้วย
“เฮ้ยจริงดิ
ทำไมไม่บอกกันอ่ะว่ารู้จัก
นัทไม่ใช่คนจังหวัดเราไม่ใช่เหรอ”
ฉันถามนัทแว่นกลับ
ทั้งสงสัยทั้งประหลาดใจ
ทั้งอายนิดๆเมื่อรู้ว่าเพื่อนที่นั่งเรียนด้วยกันข้างๆดันรู้จักเรา
แต่ไม่เคยทักเราเรื่องนี้เสียที
“ก็ไม่ใช่คนที่นี่หรอก
แฮะๆคือเราพึ่งมารู้จักวงพวกเธอตอนที่เรียนอยู่ที่นี่ล่ะ
คือเราลองค้น..เอ่อ...ชื่อจอเจ้ยดูในเน็ตก็เลยเห็น..”นัทแว่นว่า
เขาหลบตาฉันทันทีที่เผลอสารภาพความลับที่ว่า..เขาเคยค้นหาข้อมูลของฉันในเน็ตด้วย
นัทหล่อหันมาเหล่มองแรงนัทแว่น
เขาแยกเขี้ยวใส่นัทแว่นทันทีที่เห็นนัทแว่นใช้มุกจีบสาวเหนือเมฆมาแข่งกับเขาอย่างนั้น
“อ๋อเหรอ..”
ฉันหัวเราะหึๆทั้งเขินทั้งอายเพื่อน
ทั้งรู้สึกแปลกๆจนต้องแกล้งแนะนำตัวเพื่อนกับเอื้อยแก้เขินไป
“เอ่อ..เอื้อย..นี่นัทอีกคน
แต่เพื่อนๆเรียกว่านัทแว่นกันน่ะ”
“อ๋อ
นี่นัทแว่นเหรอ
เราเคยได้ยินเจ้ยพูดถึงเธอบ่อยๆด้วย
ยินดีที่รู้จักค่ะ เราเอื้อยนะ”
เอื้อยยิ้มหวาน
เธอทักเขาเรื่องที่ได้ยินฉันเล่าให้ฟังว่าเขาชอบให้ฉันยืมของต่างๆใช้ออกมาด้วย
นัทแว่นยิ่งยิ้มตาหยี
เขายกมือขึ้นลูบหลังหัวแก้เขิน
ทั้งแอบเหล่มองฉัน
ใบหน้าก็แดงระเรื่อขึ้นทันทีที่ได้ยินว่าฉันพูดถึงเขาบ่อยๆอย่างนั้น
“ครับยินดีที่รู้จักครับ
ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ..”
นัทแว่นว่าเขาทั้งพูดทั้งก้มหัวทำท่าเหมือนคนญี่ปุ่นแนะนำตัว
ชายหนุ่มใส่แว่นหัวเราะแก้เขินทั้งแอบชำเรืองไปยักคิ้วใส่นัทหล่อที่ยังคงมองแรงใส่เขาด้วยความหมั่นไส้เหมือนเดิม
พวกเขายืนคุยอะไรกับเราต่ออีกครู่นึงก่อนจะขอตัวกลับไปทำงานที่โต๊ะต่อ
ฉันแอบชำเรืองหันไปมองดูพวกเขาตอนที่กลับไปที่โต๊ะ
เห็นสบถด่าอะไรกันก็ไม่รู้ไม่เป็นคำ
ทั้งทำท่าเป่ายิ้งฉุ๊บแข่งกันตั้งนานสองนาน
จนกระทั่งพากันหยุดแล้วกอดคอพยักเพยิดเออออเหมือนกำลังตกลงอะไรกันไม่รู้อยู่สองคน...
ไม่เพียงแต่นัทหล่อกับนัทแว่นเท่านั้นที่แวะเวียนทำทีเดินเข้ามาทักทายฉันที่โต๊ะ
วันนี้พวกผู้ชายเกๆเกรียนๆที่ไม่ค่อยเดินสำรวจดูงานเพื่อนๆเท่าไหร่
ก็ยังอุตส่าห์ทำเป็นเดินทะลุทะลวงเข้ามาในโซนเทพที่ฉันกับเอื้อยนั่งอีก...
“เฮ้ย!!!..งานดีมากเลย”
เสียงโจ๊กเพื่อนชายที่ท่าทางจะเกเรทักขึ้นทันทีที่เดินผ่านมาโต๊ะของฉัน
ฉันชำเรืองตามอง
ตอนนี้เขาเหล่มองเอื้อยด้วยสายตากรุ้มกริ่มหวานเยิ้ม
ก่อนจะส่งเสียงเรียกเพื่อนๆในกลุ่มของเขามาต่อ
“เฮ้ยๆๆ ไอ้ต้นไอ้เปเล่
ไอ้จ๊อดด้วย
พวกมึงมาดูงานโต๊ะจอเจ้ยดิ..งานดีมากกกกเลย...”
“เชี่ยไร..ปกติไม่เคยเรียกดูงานคน..”
เสียงเพื่อนหนึ่งในนั้นตะโกนด่าข้ามฟากมาอีกฝั่ง
ก่อนจะพากันเดินมาดูเพราะทนเสียงรบเร้าคะยั้นคะยอของเพื่อนคนนี้ไม่ไหว
แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะเดินมาถึงโต๊ะฉันดี
แค่เห็นเงาแว๊บๆเฉียดๆกลายๆของเอื้อย
พวกเขาก็พากันร้องทักขึ้นแล้ว
“โอ้โห..งานดีจริงๆด้วย
งานดีมากกก..
สวยมาก
ขาวมากเอ้ย..ละเอียดมาก...”ฉันเหล่ตามองแรงทันทีที่ได้ยินพวกเขาทักขึ้นทั้งๆที่เดินมาไม่ทันเห็นงานฉัน
คำว่า “งานดี”ของพวกเขานั้น
ทำฉันบ่นพึมพัมว่า..“โคตรกะล่อน”
ทันทีที่เข้าใจความหมายว่าแปลว่าอะไร
อารมณ์หวงแฟนสาวทำฉันค้อนหันขวับไปมองเอื้อย
ตอนนี้เธอนั่งหลบตา ใบหน้าแดงกร่ำ
คงเป็นเพราะเธอรับรู้ความหมายจากคำพูดคำจาแทะโลมเพื่อนๆพวกนั้นเหมือนกัน
เธอก็เลยทำตัวไม่ถูก
...คิดไว้แล้วเชียวว่าต้องเป็นแบบนี้...
ฉันจ้องเอื้อยตาเขม็ง
ก่อนจะถอดเสื้อกันหนาวของตัวเองออกไปคลุมตัวเอื้อยที่ใส่เสื้อแขนกุดโชว์แขนโชว์ไหล่
รวมถึงแผ่นหลังขาวๆเนียนๆล่อตาล่อใจบรรดาเพื่อนผู้ชายในคณะอยู่อย่างนี้
“ขอบใจนะ..”
หญิงสาวทำเสียงอ่อยๆสำนึกผิดตอนที่เธอขอบใจฉัน
เธอดึงชายเสื้อของฉันลงมาคลุมตัวเธอไว้ทั้งตัวด้วยความอายแสนอาย
ก่อนจะนั่งมองฉันทำงานต่อไปเรื่อยๆหลังจากนั้น..
ในช่วงแรกๆของการทำงาน
หญิงสาวคนรักฉันพยายามชวนคุยและนั่งดูงานไปข้างๆตลอด
กระทั่งดึกขึ้นแล้วเธอทนไม่ไหว
กลายเป็นนั่งสัปหงกหัวโงนโงนไปซ้ายทีขวาที
จนฉันต้องดึงหัวเธอมานอนพิงกับไหล่ฉันไว้
เอื้อยสลึมสลือเธอยิ้มให้ฉันก่อนจะทิ้งตัวลงนอนซบกับไหล่ในท่านั้น
ท่ามกลางสายตาของเพื่อนๆในห้อง
รวมทั้งณิชาที่แอบชำเรืองมองดูฉันกับเอื้อยเรื่อยๆมาตั้งแต่ฉันถอดเสื้อกันหนาวออกคลุมตัวให้เอื้อยแล้ว
ตอนนี้พอเธอหันมาเห็นฉันดึงเอื้อยเข้ามานอนซบไหล่
หญิงสาวก็แสดงออกความน้อยเนื้อต่ำใจทางสายตากับฉันทันที..
งานฉันเสร็จทุกอย่างตอนเกือบๆจะตีห้าซึ่งก็พอดีกันกับที่ณิชาที่กำลังเตรียมม้วนกระดาษแบบเก็บลงไปในกล่องแบบสีน้ำเงินของเธอ
เพื่อนๆในห้องเริ่มทยอยกลับ
รวมทั้งนัทหล่อกับนัทแว่นที่เดินหายออกจากสตูไปก่อนหน้านั้น
ฉันหันไปชมณิชาเรื่องที่ว่าวันนี้เธอทำงานดีและเรียบร้อยมากก่อนจะกลับ
“ขอบใจ
งานเจ้ยก็สวย สะอาดเรียบร้อยดีเหมือนกัน”
ณิชายิ้มรับ ทั้งแอบชำเรืองมองเอื้อยตอนที่ว่า
“ไปไหนกันต่อล่ะ จะกลับหอเลยเหรอ
อยู่หอด้วยกันหรือเปล่า
กลับกันยังไง”
เธอถามฉันต่อด้วยความเคยชินที่ทุกครั้งเวลากลับเธอจะขับรถตามไปส่งฉันที่หอก่อนเสมอ
“เอ่อ..คือไม่ได้อยู่หอด้วยกัน
อยู่คนละหอ
ก็เดี๋ยวเพื่อนเราคงขับตามไปส่งเราที่หอก่อนน่ะ”
ฉันหยิบกล่องแบบขึ้นสะพายก่อนจะหันไปมองเอื้อยที่ตอนนี้นั่งกอดอกฟังฉันพูดกับณิชาอยู่
“อยู่คนละหอเหรอ
แสดงว่า..ยังไม่ทันได้อยู่ด้วยกัน”
ณิชายิ้มออก
จากแววตาหม่นๆเศร้าๆครู่นั้นกลับกลายฉายแววสดใสขึ้นทันที
สาวผมบอนด์มองฉันด้วยความหวัง
ตรงข้ามกับเอื้อยที่คิ้วขมวด
เธอมองณิชาด้วยความไม่พอใจทันทีที่ได้ยินณิชาพูดจาแปลกๆเหมือนดีใจที่เห็นเอื้อยไม่ได้อยู่กับฉันอย่างนั้น
“เออ..อย่างนี้ค่อยดีขึ้นหน่อย..”
ณิชายิ้ม
ใบหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องของเธอกลับมาอีกแล้ว
“..เออ..ว่าจะถามตั้งนานแล้ว
เป็นไงบ้างกล้องเรา
เธอใช้เป็นหรือเปล่าหรือกล้องมีปัญหาอะไรยังไงมั้ย..เดี๋ยวตอนเรียนในคาบเอามาด้วยก็ได้นะเราจะสอนเธอใช้เอง....”
...จึ๊ก...ฉันสะดุ้งรีบหันไปมองเอื้อยทันทีที่นึกเรื่องราวบางอย่างเกี่ยวกับกล้องตัวที่ณิชาถามได้
ซึ่งเอื้อยก็คงจะนึกขึ้นได้เหมือนกัน
เพราะเธอก็รีบลุกขึ้นเดินฉับๆเข้ามาถามณิชาใกล้ๆทันที
“กล้องเธอ??
ใช้ตัวใหญ่ๆดีๆสีดำยี่ห้อCanonนั่นหรือเปล่า”
“ใช่..ทำไมเหรอ”
ณิชายิ้ม
เธองงหันมามองฉันที่หน้าซีดถอดสีก่อนจะถามเอื้อยคืน
“ทำไมเหรอ กล้องมันเป็นอะไร...”
“..มันไม่เป็นอะไรหรอก
ไม่เป็นอะไรสักนิดเลย...”
เอื้อยว่า
เธอคิ้วขมวดหันจ้องมองฉัน
ดวงตาบ่งบอกความผิดหวังก่อนจะรีบหยิบกระเป๋าแล้วสะบัดตัวเดินหนีออกจากห้องไปทันที
ฉันต้องรีบวิ่งตามเอื้อยออกไป
ไม่ทันที่จะได้หยิบจับของอะไรออกมาด้วยเลยนอกจากกล่องแบบที่ยังสะพายหลังค้างอยู่อย่างนั้น
เอื้อยทั้งเดินทั้งวิ่งเหมือนเธอตั้งใจจะหนีฉันไม่อยากให้ฉันเดินตามเธอได้
กระทั่งเธอมาหยุดที่หน้ารถและฉันวิ่งมาทันเธอพอดี
“เอื้อยอย่าพึ่งไป
คุยกันก่อนสิ”
ฉันดึงมือเธอที่พยายามจะปลดสัญญาณกันขโมยรถเพื่อจะเปิดประตูไว้
เอื้อยสะบัดมือออกจากฉัน
สายตาหม่นๆหมองๆคู่นั้นยังคงมองฉันด้วยความผิดหวังเช่นเดิม
“จะคุยอะไร ไม่ต้องคุยแล้ว
เค้ารู้เรื่องทุกอย่างหมดแล้ว”
“แต่มันไม่ใช่อย่างที่เอื้อยเข้าใจนะ
ฟังเค้าก่อนสิ”
“ไม่ใช่อย่างที่เข้าใจยังไง
มันมีความจริงในความจริงอีกเหรอ
เจ้ยจะให้เค้าฟังอะไรจากคนที่โกหกเค้าอีกล่ะ”
เอื้อยว่า ตาเธอก็ยังจ้องฉันด้วยความเสียใจไม่วางตา
“เค้าว่าเจ้ยกลับไปตกลงกับเพื่อนใหม่ของเจ้ยก่อนเถอะว่าจะเอาอะไรยังไงกันแน่
ทีหลังจะโกหกเค้าก็เอาให้มันเนียนๆกว่านี้
อย่าให้มารู้ทีหลังอย่างนี้อีก
เค้าเสียความรู้สึก...”
เธอเปิดประตูรถแล้วรีบเข้าไปนั่งในรถทันที
ซึ่งยังไม่ทันที่ฉันจะเดินไปเปิดประตูรถขึ้นไปนั่งกับเธอ
เธอก็รีบล็อคประตูรถไว้แล้วรีบสตาร์ตรถออกเดินทางหนีจากฉันไปทันที...
อารมณ์ตกใจทำให้ฉันจะรีบขับมอเตอร์ไซค์ตามเอื้อยออกไป
แต่นึกขึ้นได้ว่าทั้งกุญแจรถและกระเป๋ามันยังอยู่ในสตู
ฉันรีบวิ่งขึ้นไปหยิบเอาข้าวของต่างๆออกมาหลังจากนั้น
ทั้งหยิบจับโทรศัพท์โทรหาด้วยนึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่เคยไปหอเอื้อยสักที
การจะขับรถออกไปหาเอื้อยตอนนี้นั้น
คงทำได้แค่ขับไปตามทางไปหน้ามหาวิทยาลัยตามที่จำเธอบอกได้เท่านั้นเอง
แต่ตอนนี้เมื่อฉันออกมายืนหลบมุมที่ระเบียงคณะเพื่อพยายามโทรหาเอื้อย
กลายเป็นว่าเธอไม่รับสายเลยไม่ว่าฉันจะโทรไปซ้ำๆขนาดไหน
เวลาผ่านไปนานจนฉันเริ่มใจไม่ดี
คิดว่าบางทีฉันคงต้องเสี่ยงเดาขับรถไปหาเธอเลยดีกว่า
แต่แค่หันหลังจะเดินลงไปหน้าคณะ
ณิชาก็เดินเข้ามาขวางฉันทันที...
“เจ้ยจะไปไหน”
สาวผมบอนด์ดึงมือฉันไว้ตอนที่เธอพูด..“เราเห็นเธอรีบวิ่งตาม..เอ่อ..เพื่อนของเธอน่ะ
มีปัญหาอะไรกันหรือเปล่า
เพื่อนเธอโกรธให้เราใช่มั้ย”
ณิชาหยุดวรรคตอนที่พูดคำว่าเพื่อน
เหมือนเธอจะรู้อะไรบางอย่างแต่แค่ไม่อยากจะพูดออกมาเท่านั้น
“เปล่า..เขาแค่..เอ่อ..ง่วงนอนน่ะ”
“อ้อเหรอ
ง่วงนอนแต่รีบวิ่งฉิวขนาดนั้นนี่น่ะ
น่าจะเดินโซเซล้มหน่อยนะที่จริง”
ณิชาว่า เธอหัวเราะหึๆตอนที่เธอแอบแขวะเอื้อย
“เอ่อ ใช่..
เวลาเขาง่วงก็เป็นอย่างนั้นล่ะ
”
“งั้นให้เราไปส่งมั้ย
ถ้าเพื่อนเธอกลับก่อนแล้วน่ะ”
“เอ่อไม่เป็นไร
เราจะไปทำธุระก่อนน่ะ”
ณิชาเลิ่กคิ้ว
เธอถามฉันด้วยความสงสัยทันทีว่า..“ธุระเหรอ
ตีห้านี่ยังมีธุระอีกเหรอ”
“เอ่อ..ใช่..เรานัดคนรู้จักไว้น่ะ
คือเรารีบน่ะ ไปก่อนนะ
เดี๋ยวค่อยเจอกันในคาบ”
ฉันเอื้อมมือไปจับไหล่ณิชาขอบคุณในน้ำใจที่เธอเป็นห่วง
ก่อนจะรีบวิ่งลงไปหน้าอาคารที่ฉันจอดรถมอเตอร์ไซค์ตัวเองไว้ทันที
ฉันรีบขับมอเตอร์ไซค์ออกไปตามถนนเส้นหน้ามอที่ฉันจำได้ว่าหอเอื้อยอยู่ทางนั้น
ตอนนี้ด้วยความที่เวลาพึ่งจะตีห้ากว่าๆระหว่างทางจึงทั้งเปลี่ยวทั้งมืด
ไม่มีรถ ไม่มีคน
ร้านค้าต่างๆก็พากันปิดหน้าถัง
มองไปมีแต่แสงไฟจากเสาไฟตามท้องถนนเท่านั้น
ฉันขับรถด้วยความเร็วพอประมาณด้วยไม่อยากขับเร็วมากในช่วงเวลาที่ตัวเองกำลังง่วงนอนอย่างนี้
ช่วงเส้นทางที่ฉันขับรถเลยจากโซนตึกอาคารของมหาวิทยาลัยออกมาประมาณยี่สิบกว่าเมตร
ถนนแถวนั้นจะเริ่มมืดมากขึ้น
เพราะระยะห่างระหว่างเสาไฟจะตั้งอยู่ไกลกันมาก
ได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์แสบแก้วหูดังมาตามหลังฉันแต่ฉันก็ไม่ได้หันหลังไปมองอะไร
ยังคงขับต่อไปเรื่อยๆ
กระทั่งรู้สึกตัวอีกทีเสียงแสบแก้วหูดังๆเสียงนั้นมันก็เริ่มมาดังอยู่ใกล้ๆฉันแล้วตอนนี้...
อารมณ์กลัวทำให้ฉันนึกภาพเก่าๆขึ้นมาอีกครั้ง
ฉันหันไปมองตามเสียงทันทีที่เผลอคิดว่าบางทีมันอาจจะเป็นแบบนั้นอีกก็ได้
แล้วก็เป็นจริง..
สิ่งที่ฉันเห็นทำให้ฉันสะดุ้งผวาเข้าไปใหญ่
เพราะด้านข้างฉันมีผู้ชายร่างใหญ่ดำทะมึนกำลังขับมอเตอร์ไซค์มาประกบฉัน
เขายื่นมือข้างที่ไม่ได้บังคับแฮนด์รถออกมาจับหน้าอกฉันทันทีที่ขับเข้ามาใกล้
ฉันร้องกรี๊ด
ทั้งกลัวทั้งตกใจแต่ก็พยายามตั้งสติพยายามประครองรถไว้ไม่ให้เสียการทรงตัว
ความกลัวที่จะเกิดอุบัติเหตุอย่างตอนนั้น
ทำให้ฉันทำได้แค่ขับรถแล้วร้องกรี๊ดตะโกนขอความช่วยเหลือไปตามทาง
โดยมีไอ้โจรบ้ากามขับรถขนาบข้างแล้วจับหน้าอกฉันค้างไปเรื่อยๆ...
ในขณะที่ฉันกำลังคิดหาทางเอาตัวรอด
ทั้งพยายามสะบัดเหวี่ยงมือมันออกจากหน้าอกและบังคับรถที่กำลังเซๆไม่ให้ล้มอยู่นั้น
อยู่ๆก็มีมอเตอร์ไซค์คันนึงขับมาขนาบข้างไอ้โจรนั้นไว้
ฉันมองทะลุไปยังรถอีกคัน
ก็เห็นภาพผู้หญิงผมบอนด์กำลังขับรถสกูตเตอร์มาใกล้...ณิชานี่!!??
ฉันมั่นใจว่าเป็นเธอเมื่อเห็นกล่องใส่แบบสีน้ำเงินแขวนไว้ที่หลังและกางเกงขาสั้นผ้ามันที่กำลังยกขึ้นสูงตามขาของเธอ!!??...
...โอใช่..ตอนนี้ณิชาก็กำลังยกขายื่นเท้าออกมาถีบหน้าไอ้โจรบ้ากามนั้นเข้าเต็มๆแล้ว...
ด้วยแรงกระทบเต็มๆจังๆของเท้าเธอนั้น
ทำให้ตอนนี้รถของไอ้โจรบ้ากามนั้นเซล้มมาโดนรถฉันแล้วกลายเป็นล้มลงไปกับพื้นถนนด้วยกันทั้งสองคัน
แล้วหลังจากนั้น..เหตุการณ์ต่างๆที่ตามมาก็เกิดขึ้นไวมาก
พอรถฉันกับโจรล้ม
ณิชาก็รีบจอดรถแล้ววิ่งเอากล่องแบบมาฟาดหัวโจร
ซึ่งพอๆกันกับที่นัทหล่อกับนัทแว่นที่บังเอิญขับรถออกมาจากร้านสะดวกซื้อแถวนั้น
รีบวิ่งมาจากรถแล้วพากันเอาถ้วยกาแฟร้อนๆที่เขาพากันไปกดซื้อในร้านสะดวกซื้อ
เทสาดใส่ไอ้โจรคนนั้นเข้าให้
ฉันเห็นพวกเขายืนสามัคคีลงแขกบาทาเจ้าโจรอยู่พักใหญ่ๆ
ก่อนที่นัทหล่อกับนัทแว่นจะช่วยกันจับโจรไว้แล้วโทรตามตำรวจมา
ฉันนั้นกระโดดออกจากรถตั้งแต่เริ่มเห็นณิชายกขาขึ้นถีบแล้ว
พอตอนนี้รถล้มฉันก็เลยไม่เป็นอะไรมาก
มีเพียงด้านหลัง
หัวเข่าและต้นขาที่ถลอกปอกเปิกเล็กๆน้อยๆเท่านั้น
ซึ่งณิชาก็รีบมาพยุงฉันขึ้นทันทีที่เธอกับพวกเขาช่วยกันจัดการโจรไว้ได้แล้ว
“เป็นยังไงบ้างเจ้ย
เห็นมั้ยเราบอกแล้วให้เรามาส่งดีกว่า”ณิชาหยิบผ้าเช็ดหน้าเธอขึ้นมาปัดๆเศษฝุ่นตามเนื้อตามตัวฉันออกให้
“มันทำอะไรจอเจ้ย!!!”
เสียงนัทแว่นตะโกนถามมา
ฉันอึ้งก้มหน้ามองหน้าอกตัวเองทันทีที่เริ่มกลับมารู้ตัวว่าโดนไอ้โจรบ้ากามนี้ทำไม่ดีไม่ร้ายเข้าให้แล้ว
...บ้าชะมัดเลยอ่ะ
ทำไมฉันถึงชอบเจอไอ้พวกบ้าพวกนี้ตลอดเลย...ฉันร้องไห้โฮขึ้นทันทีที่คิดได้
ณิชาคงเห็นที่ฉันโดนจับหน้าอกและคงรู้ว่าฉันคงอายไม่กล้าบอกเพื่อนชายทั้งสองคน
เธอเลยหันไปส่งซิกชี้ไอ้หมอนั่นแล้วทำท่าขยำหน้าอกตัวเองก่อนจะชี้มาที่ฉัน
ซึ่งทำแค่นั้นนัทแว่นก็พอจะเข้าใจความหมายได้เป็นอย่างดี
ฉันเห็นเขาออกอาการโมโหฮึดฮัดก่อนจะใช้เท้าถีบหลังมันแรงๆทันทีที่เขาสบถด่ามันเสร็จ...
“ไอ้เชี้ยยย...มึงทำอย่างนั้นกับจอเจ้ยได้ยังไง....”
////////////////////////////////////////////////////////
“เจ้ยเป็นยังไงบ้าง!!”
เสียงตะหนกตกใจของเอื้อยดังมาตามสายโทรศัพท์
หลังจากที่ฉันติดต่อเธอไม่ได้เลยตลอด3ชั่วโมงที่ผ่านมา...
...ก่อนหน้านั้นราวๆหกโมงเช้า
หลังจากที่จัดการจับเจ้าโจรเสร็จและตำรวจก็มา
พวกเราทั้งสี่คนก็ต้องไปให้ปากคำกับตำรวจที่โรงพัก
ฉันพยายามติดต่อเอื้อยตลอด
ทั้งอยากง้อเธอทั้งอยากเล่าเรื่องไม่ดีที่เกิดกับตัวฉันให้เธอรู้
หวังให้เธอมาดูแลปลอบใจฉัน
แต่ก็ไม่ได้ผล เธอยังคงไม่รับโทรศัพท์ฉัน
จนกระทั่งฉันต้องให้ณิชาถ่ายรูปฉันนั่งในโรงพักกับตำรวจ
พร้อมทั้งถ่ายรูปบาดแผลต่างๆให้แล้วส่งภาพพวกนั้นไปในไลน์ให้เธอดู
ด้วยอยากให้รู้ว่าฉันตกอยู่ในอันตรายขนาดไหน
แต่เธอก็ไม่อ่านไลน์
จนกระทั่งตอนนี้เกือบๆจะสองโมงเช้า
เลยเวลาที่ฉันพยายามโทรติดต่อโทรมาเกือบๆจะสามชั่วโมงแล้ว..
“ก็เป็นอย่างที่ส่งให้ดูนั่นล่ะ
หึ..นึกว่าจะปล่อยให้ตายซะแล้ว”
ฉันตัดพ้อต่อว่าเอื้อยด้วยความน้อยใจสุดแสนจะน้อยใจ
ไม่นึกว่าแฟนตัวเองจะไม่สนใจใยดีตัวเองขนาดนี้เลย
นี่ถ้าไม่ได้ณิชาช่วยไว้ฉันจะเป็นยังไงนะนี่
เอื้อยร้องโอ้ยเบาๆที่ได้ยินฉันค่อนแคะ
เธอรีบแก้ตัวเสียงอ่อยๆผ่านทางโทรศัพท์ว่า..
“เค้าขอโทษ
เค้าไม่คิดว่าจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับเจ้ย
เค้าขอโทษจริงๆนะ..เดี๋ยวไงแค่นี้ก่อนเค้าจะรีบออกไปหาเจ้ยอยู่โรงพักเลยดีกว่า
เจ้ยรออยู่นั่นก่อนนะเดี๋ยวเค้าจะรีบไปหา”
เอื้อยรีบวางสายไปปล่อยให้ฉันรอให้ปากคำเพิ่มเติมกับณิชาต่อ
ส่วนเพื่อนชายทั้งสองในฐานะพยายานและพลเมืองดี
พวกเขาขอตัวกลับก่อนหน้านั้นประมาณ10นาทีแล้ว
ฉันเก็บโทรศัพท์แล้วเดินมานั่งรอตำรวจที่โต๊ะร้อยเวรสืบสวนข้างๆณิชา
หญิงสาวยิ้มทันทีที่เห็นฉัน
เธอรีบถามฉันด้วยความเป็นห่วง
“เป็นไงบ้าง..เจ้ยโทรหา..เพื่อนคนนั้นเหรอ”
ฉันพยักหน้ารับแต่ไม่พูดอะไรกับหญิงสาวต่อ
“..เขาหายโกรธหรือยังล่ะ”
“ก็คงหายแล้วล่ะ
ดีไม่ดีเรานี่ล่ะจะเป็นฝ่ายโกรธเขาแทน..”
ฉันหน้าบึ้งคิ้วขมวด
นึกโมโหเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเองในตอนนี้โดยที่แฟนตัวเองก็ไม่สนใจจะมาดูดำดูดีอะไรเลย
ให้ตายเถอะ..แล้วอะไรจะซวยขนาดนี้ฉัน
ทั้งแฟนก็โกรธให้
ทั้งโดนโจรบ้ากามมาจับหน้าอกอีก
นี่เช้านี่จะไปเรียนทันหรือเปล่ายังไม่รู้เลย
ดีที่ปิดพ่อแม่ไว้ไม่ให้ท่านรู้
ไม่อย่างนั้นฉันคงจะไม่ได้อยู่ที่หออีกแน่ๆ
เฮ้อ..นี่มันเป็นวันเฮงซวยของฉันจริงๆ
ฉันทั้งคิดทั้งเหวี่ยงสะบัดหัวด้วยความหงุดหงิดหงุ่นหง่าน
ซึ่งก็อาจจะมาจากความง่วงที่ฉันไม่ได้นอนมาทั้งคืนนั้นด้วยกระมัง...
“ง่วงหรือเปล่าล่ะ..นอนก็ได้นะ
มานอนกับไหล่เราก็ได้ถ้าไม่กล้านอนที่ไหนน่ะ”
ณิชาคงเห็นท่าทางโมโหง่วงของฉัน
เธอจึงเอื้อมมืออ้อมหัวมาจับแก้มฉันอีกข้างแล้วดันหัวฉันให้ซบลงกับไหล่ของเธอ
ฉันสะดุ้ง
แต่ก็โอนอ่อนผ่อนตัวไปตามแรงที่เธอดันฉันทันที..
“เวลานอนเรามีน้อย
มีเวลาอย่างนี้แล้วก็ใช้ให้เป็นประโยชน์รีบนอนซะเข้าใจมั้ย..”
เธอพูดข้อความชวนขำ
ก่อนจะก้มหน้ามองฉันที่ก็ยิ้มรับในมุกตลกฝืดๆของเธอทันที..
...นี่ถ้าเมื่อคืนฉันไม่ได้เธอช่วยไว้ฉันจะเป็นยังไงนะ
ยัยผู้หญิงบ้าบิ่น
เธอบ้ามากเลยนะที่กล้าเผชิญหน้ากับโจรในสถานการณ์ที่อันตรายอย่างนั้นได้
นึกถึงภาพเธอยื่นเท้าถีบเต็มแรงแล้วก็ยิ่งอึ้ง
นี่เธอไม่ห่วงกลัวตัวเองเป็นอันตรายเลยหรือไงกัน
ถ้าเธอเกิดบาดเจ็บขึ้นมาจากเหตุการณ์ที่เธอช่วยฉันครั้งนั้น
ฉันคงรู้สึกผิดและทำใจไม่ได้ตลอดชีวิตแน่ๆ
ยิ่งคิดยิ่งมองหน้าเธอตอนนี้ฉันก็ยิ่งรู้สึกดีต่อใจ
จนเผลอทิ้งตัวซบลงไปกับไหล่ณิชาด้วยความรู้สึกอบอุ่นใจอย่างที่ไม่เคยมาก่อน
ซึ่งหลังจากนั้นไม่นาน
ก็กลายเป็นว่าฉันหลับไปบนไหล่ณิชาจริงๆ...
เสียงเรียกชื่อของฉันปลุกให้ฉันสะดุ้งตื่นอีกครั้งนึง
ฉันหันไปมองที่มาของเสียง
เอื้อยนั่นเอง
ตอนนี้เธอในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ของเธอยืนอยู่ข้างๆเก้าอี้ที่ฉันนั่งแล้ว
เธอคิ้วขมวดมองฉันนอนซบกับณิชาด้วยใบหน้าตกใจและเสียใจอยู่นานก่อนจะหันมาถามด้วยเสียงเบาๆอ่อยๆฟังดูเหมือนคนรู้สึกผิด...
“เจ้ยเป็นยังไงบ้าง...เกิดอะไรขึ้นกับเจ้ยนี่..”ฉันใบหน้าเหยเก
จากที่ยิ้มดีใจเพราะเห็นเธอครู่นี้ก็กลายเป็นร้องไห้
รีบลุกโผเข้าไปกอดเธอด้วยความอึดอัดอัดอั้นใจ
ด้วยอยากเล่าและอยากระบายเหตุการณ์ร้ายๆที่เกิดขึ้นกับตัวเองให้คนรักฟังเหลือเกิน
เอื้อยสวมกอดรับ
หญิงสาวลูบหลังทั้งพยายามพูดปลอบใจให้ฉันเลิกตื่นกลัวและรนราน
ซึ่งทั้งหมดนี้ก็อยู่ในสายตาหมองๆหม่นๆของณิชาที่จ้องมองดูเราด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจของเธอ..
/////////////////////////////////////
“เค้าขอโทษนะที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้เจ้ยต้องเจอกับเหตุการณ์อย่างนี้อีกแล้วน่ะ..”
เสียงอ่อยๆของเอื้อยดังขึ้นในรถตอนที่ฉันให้ปากคำกับตำรวจเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ก่อนหน้านั้นหลังจากที่รถของฉันถูกส่งไปที่ร้านซ่อมรถเพราะบังลมแตกและส่วนอื่นๆเสียหายเล็กน้อยจากการกระแทก
เอื้อยก็ทำหน้าที่พาฉันไปส่งที่หอ
เธอคิ้วขมวดทำหน้าเซ็งๆตอนที่บอกลาและขอบคุณณิชาที่ช่วยฉันไว้ก่อนจะกลับ
ส่วนณิชาก็ทำหน้าเฉยชาตอบรับ
แต่แอบหันมามองหน้าฉันด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ
ตอนนี้พอเอื้อยขับมาส่งฉันถึงหลังหอ
หญิงสาวก็รีบจับมือฉันขึ้นมากุมขอโทษ
สีหน้าท่าทางบ่งบอกว่าเธอรู้สึกผิดและสำนึกผิดที่เป็นต้นเหตุทำให้ฉันเจอเรื่องไม่ดีอีกครั้งแล้ว
“อืม..”
เสียงขรึมๆของฉันขานรับ
ก่อนจะก้มหน้ามองมือข้างที่ตำรวจใส่ยาและทำแผลให้
ทั้งพยายามเอื้อมมือไปสำรวจหลังที่ฉันล้มลงพื้นตอนที่กระโดดจากรถลงไปใหม่ๆ
ฉันว่ามันน่าจะมีแผลหรือไม่ก็ร่องรอยฟกช้ำอะไร
แต่ฉันไม่ได้ให้ตำรวจดูให้
ด้วยความอายที่ต้องเปิดส่วนต่างๆในร่มผ้าให้ผู้ชายดู
“เจ็บเหรอ
ให้เค้าดูแผลให้มั้ย”
หญิงสาวตาละห้อยตอนที่ว่า
เธอเอื้อมมือมาจับแขนฉันไปลูบๆคลำๆ
ทั้งชะโงกหน้าไปดูด้านหลังฉันด้วยความเป็นห่วง
“วันนี้คงไปเรียนไม่ทันกันหรอก
ไม่ต้องไปดีมั้ย เดี๋ยวเค้า..เอ่อ
ขึ้นไปดูแผลให้เจ้ย
เอ่อ..ข้างบนหอดีกว่า”
ฉันเหล่ตามองค้อนก่อนจะบ่นว่า..
“จะดูแผลหรือจะดูอะไร”
“เฮ้ย..ไปดูแผลสิ
ดูหน้าเค้าสินี่มันเหมือนคนคิดมิดีมิร้ายอยู่ตลอดเวลาหรือไงกัน
จริงจังนะนี่ เค้าเป็นห่วงเจ้ยจริงๆ
เดี๋ยวขออนุญาติพี่หอเจ้ยขึ้นไปดูแผลอยู่ห้องแป๊บเดียวก็ได้อ่ะ..”ฉันมองค้อน
อารมณ์โมโหทำให้ฉันยังเคืองอยู่
แต่เรื่องราวร้ายๆก่อนหน้านั้นก็ทำให้ฉันนึกอยากจะอยู่ใกล้ๆกับเธอไม่ต่างกัน
คิดในใจได้เช่นนั้นฉันก็ตอบตกลงแล้วพาเธอไปขออนุญาติพี่หอทันที..
“อ้าว
รูมเมทเจ้ยไม่อยู่อีกเหรอ”เสียงเอื้อยดังขึ้นในห้องฉันหลังจากนั้น
“อืม..คงไม่อยู่แล้วมั้ง”
ฉันตอบรับก่อนจะปิดประตูห้องแล้วหันมามองหญิงสาวที่จ้องมองส่วนต่างๆในห้องด้วยความตื่นเต้นของเธอต่อ
เธอมองไปที่พัดลมเพดานและพัดลมตั้งโต๊ะอีกตัวที่ฉันตั้งไว้ข้างๆเตียงก่อนจะถามว่า..
“ร้อนมั้ย
ทำไมไม่เอาพัดลมมาเพิ่มอีกตัว”
“ก็พออยู่ได้
ถ้าร้อนมากๆก็เปิดบานเกร็ดออก
ดีที่มีมีมุ้งลวดอยู่ยุงเลยไม่เข้า”
เอื้อยยิ้มรับก่อนจะจับตัวฉันให้มานั่งนิ่งๆที่เตียงแล้วบอกให้ฉันถอดเสื้อออก
“เฮ้ย
เป็นแผลอยู่นะ
นี่เป็นรอยถลอกแดงๆจ้ำๆอยู่นี่”
หญิงสาวว่ามือเธอก็จิ้มจึกๆที่แผลฉันไป
“โอ้ยแล้วจะจิ้มทำไมคะ
ดิฉันเจ็บนะคะคุณเนตรอัปสร”
ฉันร้องโอดโอยตอนที่หันไปมองค้อนเธอ
“ต้องทายา
มียาแดงหรือยาสำหรับทำแผลอะไรมั้ย”
เธอถาม ฉันพยักหน้ารับก่อนจะยิ้มด้วยความภูมิใจ
“มีสิแม่เตรียมมาให้ทุกๆอย่างแล้วนี่
หึ ในที่สุดก็ได้ใช้จริงๆอย่างที่แม่บอก”
ฉันเดินไปหยิบมันมาส่งให้เอื้อยแล้วนั่งหันหลังให้เธออีกครั้ง
หญิงสาวเก้ๆกังๆอยู่ด้านหลังก่อนจะบอกให้ฉันถอดเสื้อชั้นในให้เพราะกลัวยาแดงเปื้อน
ฉันตอบรับจัดการปลดให้
เธอจึงใช้สำลีชุบยาทำแผลให้หลังจากนั้น
ได้ยินเสียงขอโทษพึมพัมๆระหว่างทำแผล
ก่อนจะกลายเป็นนั่งร้องไห้ออกมาเมื่อทุกอย่างแล้วเสร็จ...
“เป็นอะไร..”
ฉันถามเธอด้วยความเป็นห่วง
“เค้าขอโทษนะ
เค้ารู้สึกผิดจริงๆที่เค้าทำให้เจ้ยเป็นแบบนี้อีก
เค้าแค่..แค่รู้สึกเสียใจที่เห็นเจ้ยโกหกเค้าเรื่องผู้หญิงคนนั้น
เค้าเลยหนีเจ้ยและไม่อยากรับโทรศัพท์ไม่อยากรับฟังเรื่องที่เจ้ยจะแก้ตัวอีก
ถ้าเค้ารู้ว่าเจ้ยจะขับรถออกมาตามเค้าอย่างนี้
เค้าคงจะขับรถออกมาหาเจ้ยแล้ว”
เอื้อยว่า เธอก้มลงร้องไห้สะอึกสะอื้นตอนที่พูด
“เค้ารู้..ว่าเอื้อยเสียใจ
และเค้าก็รู้ว่าเค้าผิดที่โกหกเอื้อยเรื่องกล้องอย่างนั้น
เค้าแค่อยากจะอธิบายเอื้อยว่าเค้าบริสุทธิ์ใจที่จะรับกล้องณิชามาใช้โดยไม่ได้คิดอะไรเกินกว่านั้นนะ
มันก็แค่เพื่อนให้ยืมของกันน่ะ
แล้วที่เค้าโกหกเอื้อยตอนนั้นก็เพราะเห็นว่าเอื้อยยังระแวงณิชาอยู่
ถ้าเอื้อยรู้ว่ากล้องตัวนี้มาจากณิชาอีก
เอื้อยก็คงจะคิดมากอีกน่ะ”
ฉันก็ร้องไห้
ตอนนี้ฉันเอื้อมมือไปลูบน้ำตาที่แก้มเอื้อยออก
ก่อนจะโผซบกอดเธอแล้วร้องไห้ไปด้วยกัน
“เค้ารู้นะว่าเอื้อยหึงเค้ากับณิชาแต่เค้าบริสุทธิ์ใจจริงๆและมันก็ไม่มีอะไรจริงๆระหว่างเค้ากับณิชาน่ะ
เอื้อยจะไว้ใจเค้าได้มั้ย
หรือว่าเค้าจะต้องทำยังไงเอื้อยถึงจะเชื่อเค้า”
หญิงสาวสะอื้น
เธอผละตัวออกมาเสนอความต้องการหลังจากนั้น
“ถ้าอย่างงั้น
เจ้ยเอากล้องไปคืนเขาได้มั้ย
ไม่ต้องใช้กับเค้าได้มั้ย
เค้าไม่อยากให้เจ้ยใช้อะไรก็ตามที่มาจากผู้หญิงคนนั้น..”
“เอื้อย..”ฉันคิ้วขมวดมองหน้าเอื้อย
ทั้งคิดหนักเรื่องกล้องที่อุตส่าห์มีไว้ใช้ถ่ายงานตัวเองแล้วแท้ๆ
และเพื่อนก็อุตส่าห์มีน้ำใจต่อตัวเองอย่างนี้แล้วฉันจะปฏิเสธเขาอย่างไรกัน
เอื้อยคงรู้
เพราะเธอก็คิ้วขมวดนั่งรอฟังคำตอบจากฉัน
สีหน้าเธอนั้นออกอาการเคร่งเครียดไม่พอใจทันที
“เจ้ยจะไม่คืนให้ณิชาใช่มั้ย
จะไม่...”
“หยุด!!!”
ฉันตัดบท
ยกมือขึ้นห้ามศึก
ถ้าฉันไม่ยอมเสียทีเรื่องนี้ท่าทางจะไม่จบง่ายๆ
“ก็ได้..เค้าโอเค
เค้ายอมก็ได้ เอื้อยจะจบมั้ย
เดี๋ยวเค้าจะเอาไปคืนณิชาเอง
เอื้อยจะโอหรือเปล่า”
เธอนั่งนิ่งเม้มปากมองค้อนฉันทันทีที่เห็นท่าทางตกปากรับคำส่งๆอย่างนั้น
“ทำเหมือนไม่เต็มใจเลยเนอะ
มันสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ”
“เอื้อย..จะทะเลาะกันอีกแล้วใช่มั้ย
ดูเค้าก่อนดีมั้ย
เค้าเจ็บขนาดนี้เพราะอะไร..”ฉันทำเสียงซีเรียสพยายามเตือนสติเธออีกครั้ง
ได้ผลหญิงสาวหยุดต่อกร
เธอกลับมาทำตาละห้อยทันทีที่โดนว่า
เธอยื่นมือมาลูบแผลตามเนื้อตามตัวฉัน
ก่อนจะพึมพัมขอโทษด้วยความรู้สึกผิดของเธออีกครั้งนึง
อารมณ์เซ็งที่โดนชวนทะเลาะเรื่อยทำฉันหน้างอหน้าคว่ำ
หนำซ้ำยังโดนบังคับให้คืนกล้องให้เพื่อนอีก
ฉันคิ้วขมวดนั่งกอดอกนึกเบื่อไม่รู้ว่าเธอจะโกรธอะไรอีกเมื่อไหร่
และเอื้อยคงรู้ว่าฉันเริ่มงอนและไม่พอใจ
เธอเลยพยายามออเซาะฉันด้วยการทิ้งตัวลงกอดซบแผ่นหลัง
ทั้งยื่นมือมาลูบคลำลำตัวด้านหน้าฉันไปเรื่อย
“หืม??
อะไรนี่..”
ร่างฉันโอนเอนไปตามแรงหอมจากริมฝีปากที่เอื้อยพยายามทำจากด้านหลัง
ส่วนด้านหน้านั้น
มือข้างหนึ่งเธอลูบคลำเค้นคลึงหน้าอกฉัน
อีกข้างนั้นมันไหลลงไปยังในขอบกางเกงยีนส์ขาสั้นของฉันแล้ว..
“ไหนบอกจะมาดูแผลเฉยๆไง
โอ้ย..ทำ..อะ..ไร..เนี่ยยย....”
ฉันเสียงอ่อน
พูดไม่เป็นคำทันทีที่ปลายนิ้วซุกซนของเอื้อยเคลื่อนผ่านกางเกงชั้นในไปยังส่วนของเนื้อนุ่มนิ่มแสนรักส่วนนั้นของฉัน
ตอนนี้นิ้วเรียวๆของเธอกำลังควานหาพื้นที่ร่องใจกลางของเนินเนื้อนั่น
ซึ่งฉันก็สะดุ้งทันทีที่มันเคลื่อนผ่านเข้าไปเจอจนได้..
“อือ.....”ฉันร้องคราง
พยายามโอนตัวพิงหลังไว้กับเอื้อยทันทีที่เธอเร่งจังหวะเลื่อนขึ้นลงของปลายนิ้วเป็นเร็วและรัวขึ้น
ตอนนี้มือข้างที่จับหน้าอกฉัน
เธอก็เปลี่ยนมาใช้ปลายนิ้วค่อยๆนวดคลึงยอดถุมถันของฉันให้
ฉันรู้สึกเสียววูบๆวาบๆ
ทั้งเกร็งขาจนต้องพยายามขยับชิดหนีบมันไว้ทั้งสองข้าง
มือไม้ฉันก็เคลื่อนที่ไร้ทิศทาง
ทั้งจิกรั้งผ้าปูที่นอนทั้งปัดป่ายเอื้อมขึ้นไปจับใบหน้าของเอื้อยที่กำลังจูบพรมแถวๆใบหน้าฉันด้วยอารมณ์ใคร่กระหายอย่างหยุดไม่อยู่..
เอื้อยหายใจแรงและถี่ขึ้น
เธอโน้มตัวเคลื่อนใบหน้าก้มลงหอมซ้ำๆที่ซอกคอของฉัน
เหมือนเธอคุมสติที่กำลังเตลิดจากสิ่งที่ทำอยู่นี่ไม่ไหว
จนกระทั่งห้ามใจไม่ได้แล้วกลายเป็นเผลอดูดต้นคอฉันเข้าเต็มแรง...
ฉันสะดุ้ง
พยายามใช้มือดันหัวเอื้อยออก
ด้วยเริ่มรู้ตัวว่าเธอคงต้องการทำบางอย่างให้คนอย่างเช่นณิชารู้ว่าฉันมีเจ้าของแล้ว...
“เอื้อยอย่าทำมันจะเป็นรอย..โอ้ย..”
ยิ่งฉันบอกเธอยิ่งแกล้งเร่งจังหวะปลายนิ้วใหญ่
“ก็ดีสิ
เขาจะได้รู้ว่าเจ้ยมีแฟนแล้ว..เจ้ยมีเจ้าของแล้ว..จะได้ไม่กล้ามาอยู่ใกล้ๆเจ้ยอีก..”
หญิงสาวว่า
พลางเร่งจังหวะมือและแรงดูดต้นคอฉันขึ้นอีกจนฉันอ่อนละทวย
กลายเป็นไม่มีแรงดันหรือขัดขืนอะไร
ได้แต่ปล่อยให้เธอทำตามความพอใจของเธอไป
ความรู้สึกเคลิ้มจนเหมือนจะล่องลอยกำลังเกิดขึ้นกับฉัน
แต่ก็เกิดขึ้นได้หลังจากนั้นไม่นานเท่าไหร่
ทุกอย่างก็ต้องกลายเป็นชะงักทันทีที่เราได้ยินเหมือนมีเสียงไขกุญแจจากนอกห้องเข้ามา...
ฉันสะดุ้งตกใจรีบดันเอื้อยให้นอนลงไปบนเตียงแล้วรีบดึงผ้าห่มคลุมตัวเธอไว้พร้อมๆกับตัวฉันทันที...
เสียงเปิดประตูห้องดังมาพร้อมๆกับที่ฉันจับหัวเอื้อยดันลงไปด้านล่างตัวฉัน
ส่วนตัวฉันนั้นแสร้งทำเป็นนอนแล้วโผล่เฉพาะส่วนหัวกับคอขึ้นมาเท่านั้น
เนื่องจากท่อนบนก่อนหน้านั้นมันยังเปลือยเปล่าอยู่
ฉันหรี่ตาแอบมองทั้งๆที่ยังแกล้งหลับ
ตอนนี้ภาพที่เห็นเป็นหญิงสาวร่างเล็กๆค่อยๆเปิดประตูเข้ามาในห้อง
“ปลา” รูมเมทฉันนั่นเอง
ฉันเห็นเธอยืนถอดรองเท้าอยู่ที่เก็บข้างผนังอยู่ครู่นึงแล้วแอบชำเรืองมองมาที่เตียงของฉัน
เธอสะดุ้งเล็กๆก่อนจะค่อยๆเดินย่องลงเท้าไปที่เตียงเธอเบาๆด้วยความเกรงใจที่เห็นฉันหลับอยู่....
ปลาเดินไปเก็บของและทำอะไรอยู่แถวๆเตียงของเธอ
ฉันเห็นเธอหยิบจับและค้นหาของในลอคเกอร์ของเธออยู่พักใหญ่ๆ
ในระหว่างที่ฉันกำลังแอบลืมตาแอบมองนั้นอยู่ๆก็มีความรู้สึกเหมือนมีอะไรชุ่มๆมาดูดๆดันๆอยู่แถวๆยอดหน้าอกของฉัน..เอื้อย..เธอแน่ๆฉันยื่นมือไปตบหัวเธอทันทีที่นึกขึ้นได้..ได้ยินเสียงอูยเบาๆหลังจากนั้นทันที..
ตอนนี้ฉันทำเป็นดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มหัวตัวเองไว้ก่อนจะค่อยๆเลื่อนตัวเข้าไปกระซิบกระซาบคุยกับเธอในผ้าห่ม
“ทำอะไรนี่!!
เพื่อนอยู่ในห้องอยู่นี่เห็นมั้ย”
“เห็น..แต่มันอดใจไม่ได้น่ะ..อยู่ต่อหน้าต่อตาขนาดนี่”
เอื้อยว่า
เธอกระซิบกระซาบคืนกลับมาด้วยน้ำเสียงกรุ้มกริ่ม
“บ้า..เดี๋ยวเถอะ”
ฉันมองค้อนเอื้อยทั้งยื่นมือไปหยิกแก้มเธอด้วยความหมั่นไส้
ระดับความหื่นชักจะมากไปแล้วนะยัยคนนี่
เธอทำเป็นเจ็บทำเป็นตาเล็กตาน้อยมองฉัน
ก่อนจะยื่นมือมาจับหน้าฉันแล้วโน้มใบหน้าเธอมาขโมยจูบลึกล้ำจากฉันอีก
ฉันตกใจแต่ก็ไม่ได้แสดงออกอะไร
ด้วยกลัวว่าเพื่อนจะจับพิรุธได้หากยิ่งกระดุกกระดิก
หญิงสาวประครองหน้าฉันมอบจูบดื่มด่ำให้อยู่นานกว่าจะยอมผละออก
เธอจ้องมองฉันด้วยใบหน้าแดงระเรื่อให้ความรู้สึกทั้งอายทั้งมีความสุขซึ่งก็ไม่ต่างจากฉันเลย
แต่หน้าฉันตอนนี้มันคงแดงไปมากกว่าเธอแล้ว
“ทำอะไรนี่
ได้ทีเอาใหญ่เลยนะ
ไม่กลัวเลยหรือไง..”
ฉันกระซิบกระซาบต่อว่าคนขี้โกงด้วยความงอนแสนงอน
ถ้ารูมเมทจับได้จะเอาหน้าไปไว้ไหน
“ก็กลัวอยู่
แต่..มันก็ตื่นเต้นดี
ได้จูบเจ้ยอย่างนี้มันรู้สึกดียังไงไม่รู้..”
เธอกระซิบ
ดวงตาก็หวานเยิ้มตอนที่เธออธิบายฉันต่อ..
“นานแล้วนะที่เราไม่ได้จูบกันเลย
ตั้งแต่เราจบปิดเทอมม.6มาแล้วมั้ง..”
ฉันอมยิ้มทันทีที่คิดตาม
ทั้งโน้มหน้าไปหอมผมเธอด้วยเข้าใจความรู้สึกโหยหาที่เธอกำลังบอกมาได้อย่างดี
ใช่สินะ..กี่เดือนแล้วที่เราไม่มีโอกาสได้อยู่ใกล้ชิดกันอย่างตอนนี้
แม้จะไม่ได้มีอะไรกันเป็นชิ้นเป็นอัน
แม้จะไม่สมหวังและแห้วรับประทานเหมือนทุกๆครั้ง
แต่มันก็รู้สึกดีมากๆเวลาที่เราทั้งสองได้สัมผัสส่วนต่างๆของร่างกายกันอย่างนี้
ไม่รู้สิ..บางทีเราอาจจะอยู่ห่างจากคำว่าเซ็กส์ไปไกลแล้วก็ได้
เราอาจจะไม่มีโอกาสได้เข้าใกล้มันเหมือนคนรักคู่อื่นๆแล้วกระมัง
การที่เราไม่สมหวังในเรื่องอย่างนั้นสักที
มันก็เลยทำให้สัมผัสเล็กๆน้อยๆที่เกิดขึ้นกับเราทั้งสองอย่างตอนนี้...ดูมีค่าเหลือเกิน...
ฉันนอนกอดกับเอื้อยในผ้าห่มอยู่นานจนได้ยินเสียงเปิดและปิดประตูห้องน้ำ
เมื่อรีบโผล่ผ้าห่มออกมาดูก็เห็นกองเสื้อผ้าชุดที่ปลาใส่เข้ามาในห้องเมื่อกี้ถอดวางอยู่ในตะกร้า
นี่เขาคงจะอาบน้ำสินะ
คิดได้ดังนั้นฉันก็รีบยกตัวขึ้นแล้วรีบจับเอื้อยให้ลุกขึ้นตามทันที
“ไป..เอื้อยรีบกลับไปก่อนเลย
เดินลงไปบอกพี่หอ
แจ้งชื่อว่าจะกลับแล้วเดี๋ยวเค้าก็จะให้เซ็นออกให้”
ฉันกระซิบกระซาบบอกเอื้อยตอนที่หยิบเสื้อคณะสีดำที่ถอดออกก่อนหน้านั้นขึ้นมารีบสวม
เอื้อยก็รีบแต่ก็ยังไม่วายโน้มหน้ามาขโมยจูบฉันอีกตอนที่เธอหยิบกระเป๋าเตรียมเดินออกไป
“..มาทั้งทีต้องเอาให้คุ้ม”
เธอว่า
ดวงตาเจ้าเล่ห์คู่นั้นยียวนกวนจนฉันอดที่จะเขกหัวเธอดังโป๊กไม่ได้
เธอร้องโอ้ยก่อนจะรีบก้าวเท้าออกไปจากห้องทันทีที่ฉันเปิดประตูให้
“อ้อ..ใกล้วันเกิดสาแล้วนะ
นึกออกหรือยังเรื่องที่เค้าเคยถามเจ้ยน่ะ
นึกให้ออกนะพรุ่งนี้แล้วนะ..”
หญิงสาวยิ้มหวานส่งสายตาสื่อความหมายถึงเรื่องพิเศษบางอย่างที่เธอเคยถาม
ก่อนจะรีบเดินไปตามทางด้วยความอารมณ์ดี
เมื่อเอื้อยออกจากห้องไปแล้วฉันก็รีบกลับมานั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่ที่เตียงนอนต่อ
ตอนนี้เพื่อนของฉันเดินออกมาจากห้องน้ำแล้ว
“อ้าวเจ้ย..ตื่นแล้วเหรอ”
ปลาทั้งถามทั้งยิ้ม
เธอขยับชุดที่เธอเปลี่ยนในห้องน้ำให้เรียบร้อยก่อนจะเดินเอาผ้าเช็ดตัวไปตากหลังห้อง
ส่วนฉันแกล้งหาวหวอดๆก่อนจะตอบรับว่าตื่นแล้ว
ครูหนึ่งหลังจากนั้นหญิงสาวคนเดิมเดินกลับจากระเบียงเข้ามา
เธอเดินผ่านมาแถวเตียงฉัน
ชำเรืองมองที่วางรองเท้า
มองที่โต๊ะทำงาน
ทำเหมือนสำรวจอะไรบางอย่างก่อนจะหันมายิ้มกรุ้มกริ่มมองหน้าฉันอย่างมีเลสนัย
สาวตัวเล็กเผยรอยยิ้มพร้อมคำถามที่ชวนสะดุ้งตกใจหลังจากนั้นว่า..
“กลับแล้วเหรอ..แฟนเจ้ย”
“ห๊ะ!!..อะไรนะ
ปะ..ปลาพูดถึงใคร”
“ก็แฟนเจ้ยไง..ไม่ต้องอายหรอกน่า
เรารู้ว่าเธอน่ะ..พาแฟนมานอนด้วย”
ฉันหน้าถอดสี
ทั้งตกใจทั้งตะลึงคิดอะไรไม่ออกพูดอะไรไม่ถูก
ได้แต่ทำหน้าถอดสีเหรอหรารอดูว่าเพื่อนจะพูดอะไรต่อ...
“ทำหน้าอย่างนั้น
งงล่ะสิ
เธอเป็นทอมใช่มั้ย”หญิงสาวยิ้มเล็กยิ้มน้อยตอนที่ทำเป็นเหนียมอายถามฉัน
“บ้า..เราไม่ได้เป็น....”
“จริงสิ
ไม่ได้เป็นทอมแต่มีแฟนเป็นผู้หญิงด้วยกันนี่นะ
อ๋อ..หรือเธอเป็นเลสเบี้ยน..”ฉันคิ้วขมวดยิ่งฟังยิ่งอึ้ง
ด้วยงงว่าทำไมเพื่อนคนนี้ถึงรู้เรื่องฉันทั้งหมดได้ขนาดนั้น
“เฮ้ยไม่ต้องตกใจจนหน้าถอดสีขนาดนั้น
เราพวกเดียวกันๆเราก็หญิงรักหญิงเหมือนกันแต่คนละสปีชีย์เฉยๆ
เรามีแฟนเป็นทอม
ที่เราออกไปอยู่หอด้วยน่ะก็แฟนเรานั่นล่ะ..”
ห๊ะ!!..ฉันกระพริบตาปริบๆทันทีที่ได้ยินเพื่อนว่า
“นี่คงงงล่ะสิว่าเรารู้เรื่องเธอได้อย่างไร”
ปลาหัวเราะคิกๆคักๆก่อนจะชี้มือไปที่ที่วางรองเท้า
“ก็ตอนเราเข้ามา
เราเห็นรองเท้าแตะผู้หญิงถอดอยู่สองคู่แต่ตอนนี้มันเหลือคู่เดียว”
พูดเรื่องรองเท้าเสร็จหญิงสาวก็รีบย้ายมือมาชี้ที่โต๊ะต่อ
“แล้วเราก็เห็นกระเป๋าหนังผู้หญิงสีดำใบเล็กๆวางคู่กับกระเป๋าสีน้ำตาลใบนี้อยู่..แต่..ตอนนี้มันก็ไม่มีแล้ว
แล้วที่สำคัญนะ
เราเห็นชิ้นส่วนเธอวางอยู่เอ่อ..ตรงปลายเตียงด้วย..เอ่อ..เธอคงลืมเก็บน่ะ”ฉันสะดุ้งตกใจนึกขึ้นได้ถึงเรื่องชิ้นส่วนสำคัญก่อนจะรีบหันไปมอง...
ว้ายตายแล้วววว...
ชั้นในของฉันที่ถอดตอนนั้น
มันยังวางอยู่บนเตียงอยู่เลย
ฉันหน้าซีดจะเป็นลมเสียให้ได้ต้องรีบตั้งสติดึงเอาเสื้อชั้นในตัวเองมาถือแอบไว้
...โอ้ย
โคนันหรือไงนี่..ทำไมช่างสังเกตุขนาดนั้นนนน...
“ไงตกลงเธอมีแฟนเป็นผู้หญิงใช่ป่ะ”
ปลายิ้มกรุ่มกริ้ม
เธอถามฉันด้วยน้ำเสียงยินดีตื่นเต้น
อารมณ์ดีใจที่จะได้มีรูมเมทเป็นหญิงรักหญิงเหมือนกัน
“เอ่อ..เปล่า..เพื่อนเราน่ะ
เจ้าของรองเท้าเขาเป็นเพื่อนเราน่ะ”
“อ้าวเหรอ..เพื่อนกันจริงๆสิ”
ปลาหัวเราะ
“นี่รู้หรือเปล่าว่าตอนแรกเราก็ไม่ได้คิดอะไร
ก็คิดว่าเป็นเพื่อนเธอนั่นล่ะนะ
จนกระทั่งเรามาเห็นว่าเจ้ยน่ะ
เอ่อ...”
เธอหยุดพูดแล้วจิ้มมือไปที่คอตัวเองเพื่อส่งสัญญาณให้ฉันสะดุ้งตกใจเข้าไปใหญ่ที่นึกขึ้นได้เรื่องคอที่เอื้อยดูดไปเมื่อครู่นี้
“..เมื่อกี้มันยังไม่ค่อยแดงเท่าไหร่เลย
แต่ตอนนี้เริ่มแดงชัดขึ้นเรื่อยๆแล้ว
นี่แสดงว่าพึ่งจะแบบ..เอ่อ..กันเลยใช่มั้ยนี่...”
“โอ้ย!!!..เราขอโทษ!!!
เราไม่ได้ตั้งใจ!!!
เรายังไม่ได้ทำอะไรเกินกว่านั้น
เธออย่าว่าเรานะ
เรายังไม่ได้ใช้ห้องของเราทำอะไรที่ไม่ดีหรอก..”
เมื่อหมดทางหนีทีไล่
ฉันได้แต่ยกมือขึ้นไหว้ขอโทษเพื่อนประหลกๆ
ด้วยกลัวว่าเพื่อนจะนึกรังเกียจหรือต่อว่าเรื่องที่ใช้ห้องส่วนรวมระหว่างฉันและเขาทำเรื่องไม่ดีอย่างว่าไปแล้ว
“เราแค่..เอ่อ..เราแค่..เอ่อ..”ฉันคิดอะไรไม่ออก
ไม่รู้จะอธิบายคำว่า “แค่”
ของฉันให้เพื่อนฟังว่าอย่างไรดี
ในเมื่อตอนนั้นมันก็ยังไม่เสร็จไม่ถึงไหนไม่อะไรอย่างที่ฉันจะบอกจริงๆ
“เฮ้ยเจ้ย.เรายังไม่ว่าอะไรเลย
มันก็ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย
นี่ก็ห้องเธอ
เธอก็ทำที่เตียงของเธอไม่ได้มาทำที่เตียงเราสักหน่อย
เราก็แค่แซวเธอเฉยๆ
คือจริงๆเราก็ควรจะขอโทษเธอนะที่ละลาบละล้วงถามเธอเรื่องส่วนตัวน่ะ
แต่แบบเข้าใจเรามั้ยอ่ะ
ว่าเราโคตรดีใจเลยที่เห็นรูมเมทตัวเองเป็นหญิงรักหญิงด้วยกัน
แบบว่าโคตรฟลุ๊กเลยอ่ะไม่คิดว่าจะมาอยู่ด้วยกันได้
มาๆมาเราขอจับมือหน่อย
พวกเดียวกัน”
เธอยื่นมือมาจับมือฉันไปเช็กแฮนด์ด้วยความตื่นเต้นดีใจ
ส่วนฉันนั้นหน้าซีดค้างด้วยไม่รู้ว่าจะตอบรับเพื่อนว่าอย่างไร
ได้แต่กระพริบตาปริบๆมองเขาพูดไปคนเดียวอย่างนั้นต่อ
“เฮ้ยไม่ต้องคิดมากน่า
นี่ซีเรียสอย่างนี้คงไม่เคยบอกใครสักทีสินะว่าตัวเองเป็นน่ะ
ไม่ต้องห่วงนะ
ถ้าเธอปิดเรื่องนี้ไว้ก็สบายใจได้เราไม่บอกใครหรอก
เราเข้าใจเธออยู่
นี่เราก็ปิดคนอื่นๆเหมือนกัน
ไม่มีใครรู้ว่าเรามีแฟนเป็นทอมสักคน
เราไม่เคยพูดเรื่องนี้ให้ใครฟังด้วย
เพราะถ้าเรื่องรู้ไปถึงหูพ่อแม่เรา
เราโดนฆ่าตายแน่ๆเลย
เราถึงต้องแอบไปอยู่ด้วยกันกับแฟนอย่างนี้ไง”
ปลาว่า
เธอเปลี่ยนสีหน้าเป็นซีเรียสทันทีที่พูดถึงเรื่องครอบครัว...
กลายเป็นว่าวันนั้นฉันได้รู้เรื่องราวของปลารูมเมทฉันมากมาย
เธอเกิดในครอบครัวที่ต่อต้านเพศที่3มากๆ
แฟนของเธอที่เป็นทอมเลยต้องแอ๊บเป็นผู้หญิงเหมือนๆกับเธอเพื่อเข้าออกบ้านและไปไหนมาไหนกับเธอได้
ปลาหยิบรูปของแฟนเธอที่เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันให้ดู
เธอก็ดูเหมือนผู้หญิงทุกๆอย่าง
เธอไว้ผมยาวและแต่งกายด้วยชุดกางเกงแบบกลางๆไม่ออกทอมบอยและไม่ออกสาวเกินไป
คนทั่วไปก็เลยมองว่าเธอเป็นผู้หญิงธรรมดาเหมือนๆกับที่ฉันเห็นในแว๊บแรกนั่น
ปลาบอกว่าเธอคบกับแฟนของเธอมาตั้งแต่มัธยมต้นและประคับประครองความรักมาตลอด
หลายครั้งที่ท้อใจและเบื่อที่ต้องหลบๆซ่อนๆจนถอดใจจะเลิกกันก็บ่อย
แต่ด้วยความรักทั้งสองก็เลยพยายามต่อสู้ด้วยกันมาเรื่อยๆ
เธอบอกว่าช่วงแรกๆที่มาอยู่หอด้วยกันพวกเธอมีความสุขมาก
กินเที่ยวด้วยกันตลอดเพราะไม่เคยได้ไปไหนมาไหนด้วยกันเสียที
จนหลังๆเริ่มอยากอยู่ด้วยกันมากขึ้น
ปลาก็เลยเป็นฝ่ายแอบออกไปอยู่หอนอกกับแฟน
เธอบอกว่าเธอออกไปและจะกลับมาสแกนบัตรไว้ช่วงสายๆอีกวัน
บางวันไม่ได้สแกนก็เสี่ยงที่จะโดนครอบครอบครัวว่า
แต่เธอก็ยอมเพราะเธอรักและคิดถึงแฟนของเธอมากนั่นเอง
พูดถึงตรงนี้ปลาก็ร้องไห้ขึ้น
เช่นเดียวกันกับฉันที่ก็ร้องไห้เพราะอดที่จะสงสารปลาไม่ได้
นี่ล่ะน่ะชีวิตรักหญิงรักหญิง
ความเป็นจริงที่หลายๆคนต้องเจอมันโหดร้ายกว่าในนิยายมาก
ฉันไม่กล้าแม้แต่จะคิดถึงอนาคตตัวเอง
ไม่กล้าแม้แต่จะคิดถึงวันที่ฉันและเอื้อยต้องออกมาจากโลกสวยงามที่มีแต่ในความคิดของเราสองคนเท่านั้น
อืม..โลกสวยงามเหรอ..จริงๆมันต้องเรียกว่าฝันสินะ
ใช่..ความฝันที่ฉันและเอื้อยไม่กล้าคิดเลยว่าตื่นขึ้นมาแล้วจะเป็นอย่างไร...
/////////////////////////////
“จอเจ้ยเป็นไงบ้าง..”เสียงนัทหล่อกับนัทแว่นกระซิบกระซาบถามฉันในคาบเรียนเช้าวันพฤหัสบดีหลังเกิดเหตุการณ์
หลังจากที่ฉันเดินเข้ามานั่งข้างๆพวกเขาด้านหลังห้องเลคเชอร์
ตอนนี้ในห้องยังไม่มีใคร
มีเพียงนัททั้งสองกับเพื่อนผู้หญิงเด็กเรียนอีกสามคนที่นั่งด้านหน้าสุด
คำถามครู่นั้นทำฉันชะงัก
ได้แต่ส่ายหน้าแทนคำตอบว่าไม่เป็นอะไร
ทั้งก้มหน้าหลบตาพวกเขาด้วยความอาย
เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเพื่อนชายทั้งสองรู้ว่าตัวเองโดนโจรบ้ากามจับหน้าอกแล้ว
“ไม่ต้องห่วงนะ
พวกเราไม่เล่าให้ใครฟังหรอก
เรารู้..ว่ามันเป็นเรื่องไม่ค่อยดีเท่าไหร่”
นัทแว่นว่า
เขาหันไปมองนัทหล่อที่พยักเหยิดเห็นด้วยกับนัทแว่นทันที
ฉันพยักหน้ายิ้มเจื่อนๆรับพวกเขา
“ขอบใจนัทหล่อกับนัทแว่นด้วยนะที่ช่วยเราไว้อีกแรง
ไม่รู้ว่าถ้ามีแต่ณิชาแล้วจะทำอะไรไอ้บ้านั้นได้หรือเปล่า..”
“ทำได้สิ
แต่อาจจะเจ็บตัวกว่านี้หน่อยเท่านั้นเอง”
เสียงณิชาดังแทรกเข้ามากลางวง
จนพวกเราทั้งสามละสายตาออกไปมองเจ้าของเสียง
ตอนนี้เธอเดินกระโผกกระเผกเข้ามานั่งข้างๆฉันอีกฝั่ง
ฉันหันไปมองก็เห็นสิ่งผิดปกติที่น่าตกใจบางอย่าง
ที่ขาของเธอนั้นมีผ้ายืดพันแผลพันขาข้างที่เธอใช้ถีบหน้าโจรไว้ตั้งแต่ข้อขายาวขึ้นมาจนถึงหัวเข่า
“เฮ้ย
เป็นอะไรมากหรือเปล่านั่น”
ฉันทั้งถามทั้งยื่นมือไปจับขาณิชา
ซึ่งเธอก็ร้องโอ้ยทันทีที่โดยจับเข้า
“เบาๆดิ
มันพึ่งมาปวดน่ะ
ถีบมันผิดท่าไปหน่อยเลยเคล็ดข้อขาหรือไงไม่รู้”
ฉันอมยิ้มที่ได้ยินเธอว่า
นึกถึงภาพที่เธอยื่นขาไปถีบโจรแล้วก็ทั้งขำทั้งสงสาร
ก็ขับมาแรงขนาดนั้นแล้วยังใช้แรงถีบผู้ชายตกรถได้อีกมันก็ต้องมีการเคล็ดขัดยอกกันบ้างล่ะ
“ดีนะนี่ขาไม่หัก..ทีหลังไม่ต้องทำอย่างนั้นก็ได้นะ
แค่ตะโกนเรียกคนมาช่วยก็พอแล้ว
ตัวเองก็อันตรายเหมือนกัน”
น้ำเสียงจริงจังฟังเหมือนตำหนิ
แต่สายตากลับจ้องมองเธอด้วยความเป็นห่วง
มองยัยผู้หญิงบ้าบิ่นที่นั่งยิ้มน้อยมองฉันไม่สลดอยู่นี่ก็อดที่จะบ่นต่อด้วยความหมั่นไส้ไม่ได้..“ถ้าโจรมันฮึดสู้ขึ้นมาจะทำยังไง
ดีนะนี่นัททั้งสองมาช่วยไว้ก่อนไม่งั้นล่ะก็..”
ณิชายิ้มยักคิ้ว
จากหน้าทะเล้นครู่นี้กลายเป็นหวานซึ้ง
เหมือนเธอดีใจที่ได้ยินถ้อยคำเป็นห่วงทางอ้อมของฉัน
เธอจ้องมองฉันด้วยแววตาหวานซึ้งละมุนอยู่นานจนฉันก็เผลอยิ้มรับทันทีที่คิดได้ว่าเธอหวังดีกับฉันขนาดไหน
มองสายตาหวานๆของณิชาก็รับรู้ได้ว่ามีบางอย่างกำลังเปลี่ยนไป
ซึ่งฉันก็ไม่รู้ว่าเป็นไปแบบไหน
รู้แต่ว่ามันเป็นความรู้สึกดี
อบอุ่น อยู่ด้วยแล้วสบายใจ
กระทั่งเผลอใจสั่นทันทีที่เธอขยับมุมปากยิ้มหวานให้อีกครั้ง...
“ใจเด็ดมากเลยอ่ะ
เห็นสวยๆเปรี้ยวๆอย่างนี้
แต่นิสัยโคตรแมนเลยนะเจ๊..”
เสียงนัทหล่อดังแทรกเข้ามาระหว่างเรา
ณิชาคิ้วขมวดหันไปมองนัทหล่อ
เธอทำเป็นยกนิ้วชี้ขึ้นมาจุ๊ปากห้ามไม่ให้เขาพูดต่อ
ฉันก็คิ้วขมวดหันไปมองนัทหล่อทันทีที่ได้ยินเขาเรียกณิชาว่าเจ๊อย่างนั้น
“นี่นัทรู้ด้วยเหรอว่าณิชาเป็นพี่พวกเราน่ะ”
ฉันกระซิบกระซาบถามเขาด้วยความประหลาดใจ
“ก็พึ่งรู้ตอนเห็นบัตรประชาชนตอนไปแจ้งความเมื่อวานนี่ล่ะ”
ชายหนุ่มเฉลย เขาหันไปยักคิ้วรับกับนัทแว่น
“แต่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก
เรารู้ว่าผู้หญิงไม่ชอบให้คนอื่นว่าตัวเองว่าแก่หรอก...”
นัทหล่อหัวเราะนัทแว่นก็ด้วย
ซึ่งพอฉันเห็นอาการสนุกสนานของเพื่อนชายทั้งสองแล้วก็อดที่จะหัวเราะตามไม่ได้
ณิชางอนแต่เธอไม่ว่าอะไร
ได้แต่ทำตาเล็กตาน้อยบอกเพื่อนชายทั้งสองให้สัญญาว่าจะเก็บไว้เป็นความลับให้เธอด้วย
มองดูภาพพวกเราทั้งสี่คนในวันนี้แล้วก็อดที่ยิ้มตามด้วยสัมผัสได้ถึงความใกล้ชิดสนิทสนม
และความไว้ใจที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆอย่างตอนนี้ไม่ได้
นี่ถ้าฉันไม่บังเอิญมีพวกเขาอยู่ข้างๆอย่างนี้มาตลอด
ไม่สิ..ไม่ว่าจะความบังเอิญหรือการจงใจอะไรของพวกเขาก็ตาม
มันก็ช่วยฉันให้ปลอดภัยจากเหตุการณ์ในวันนั้นได้
ใช่..ถ้าวันนั้นฉันไม่ได้พวกเขาทั้งสามคนมาช่วยฉันป่านนี้ฉันจะเป็นอย่างไรแล้วก็ไม่รู้
ฉันทั้งยิ้มทั้งหันไปมองหน้าพวกเขาและเธอก่อนจะเดินไปยืนตรงกลางต่อหน้าพวกเขา
เนื่องจากคิดอะไรบางอย่างได้...
“..เราขอบคุณพวกนายทุกๆคนนะที่ช่วยเราไว้
เราไม่รู้จะตอบแทนอะไรดี
เอาเป็นว่าเราขอเป็นเพื่อนกับพวกนายทั้งสามตลอดไปเลยได้มั้ยอ่ะ
ขออยู่เป็นแกงค์เดียวกันเลยก็ได้
ไหนๆเราก็นั่งเรียนและนั่งทำงานอยู่ด้วยกันตลอดอยู่แล้ว
พวกนายเห็นว่ายังไงบ้าง
ถ้าเราจะชวนให้เราทุกคนมาเป็นแกงค์เดียวกันน่ะ”
นัทหล่อยิ้ม
“ได้เหรอ..เราเป็นเพื่อนจอเจ้ยได้เหรอ”
“ได้สิ..มึงเป็นได้แค่..เพื่อน..จอเจ้ยอยู่แล้ว..”นัทแว่นพูดแทรก
เขาโดนนัทหล่อตบหัวดังเพลี๊ยะทันทีที่เบรคเพื่อนแรงอย่างนั้น
“เฮ้ย อย่าทะเลาะกันดิ
หึงกันหรือไงคู่จิ้นสายวาย...
”ณิชาหัวเราะเธอแซวพวกเขาถึงฉายาที่โดนตั้งให้ก่อนนั้น
ก่อนจะพากันหัวเราะและก่นด่ากันด้วยถ้อยคำเจ็บๆแสบๆที่แสดงถึงความสนิทสนมที่มากขึ้น
ความผ่อนคลายที่เพิ่มมากขึ้น
กระทั่งฉันตัดสินใจจับมือของทุกๆคนออกมาวางกลางวงและประสานกัน
“งั้น..เรามาสัญญากันเถอะ...ต่อไปนี้พวกเราจะเป็นเพื่อนกันตลอดไป
มีอะไรก็จะช่วยเหลือกัน
มีทุกร่วมทุกข์มีสุขร่วมสุข
โอเคมั้ย!!..”
ทุกๆคนยิ้มรับทันทีที่ได้ยินฉันว่า
พวกเขามองหน้ากันก่อนจะพร้อมใจกันตอบรับด้วยน้ำเสียงแห่งความมุ่งมั่นว่า..“โอเค!!!...”
เที่ยงวันนั้นฉันไปกินข้าวกับเพื่อนๆในแกงค์
“โฟร์แมน”
ที่พวกเราพากันตั้งชื่อและเสนอกันด้วยพากันชอบในความหมายที่แปลจากคำพ้องเสียงในการอ่านได้สองแบบคือ
“Four
man” ที่แปลว่าคนสี่คน
ซึ่งก็หมายถึงพวกเราทั้งสี่คน
และ “Foreman”ที่แปลว่าผู้คุมงานก่อสร้าง
ที่เกี่ยวข้องกับอาชีพที่เราต้องพบเจอในอนาคตเมื่อเราจบกันไปทำงานแล้วอีก
“ไอเดียดีมาก
เลิศมาก เพอร์เฟรคที่สุด
ตรงและให้ความหมายถูกต้องชัดเจนดี
เหมาะแก่พวกเราทั้งสี่ที่เรียนสถาปัตย์ที่สุด”
ณิชากล่าวคำนิยามของชื่อแกงค์ขึ้นในตอนแรกที่ได้ยินนัทแว่นเสนอ
“มึงนี่เป็นคนที่เก่งทุกอย่างยกเว้นเรื่องจีบสาวนะมึง”
นัทหล่อชมบ้างแต่คำชมของเขานั้นก็ทำให้นัทแว่นเหล่ตามองแรงทันทีที่ได้ยิน
“สาสสส..กูยังไม่จีบเฉยๆถ้าจีบจะยิ่งกว่านี้”
“อ้าวเหรอ
นี่มึงยังไม่จีบใช่มั้ย
ถถถถ..โถ..มิน่าเขาไม่แลมึงเลยเนอะ”
“เขาก็ไม่แลมึงก็เหมือนกันล่ะ..สาสส..”
“อะไรพูดเรื่องอะไรกัน
ขนสัตว์มาเต็มคันรถเชียวนะ”
ฉันแขวะเพื่อนชายทั้งสองก่อนจะเหล่ตามองพวกเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็นเรื่องที่เขาพูดมาเมื่อกี้
“พูดถึงใครกันเมื่อกี้
นัทแว่นจีบใครอย่างนั้นเหรอ
นัทหล่อด้วย”
ชายหนุ่มทั้งสองสะดุ้งพวกเขาหน้าแดงพากันเหล่ตาลอกแล่กมองกันอยู่ครู่นึงก่อนจะปฏิเสธพร้อมๆกันว่าไม่มีอะไร
และไม่ได้จีบใครทั้งนั้น
“จริงเหรอยังไม่มีแฟนกันเหรอ”
ฉันหัวเราะหึๆทันทีที่ได้ยินพวกเขาปฏิเสธก่อนจะลองถามเรื่องที่สงสัยมานานว่าทำไมพวกเขาชอบอยู่ด้วยกันสองคนแบบนี้..“อย่าบอกนะว่าเรื่องที่ลือว่าชอบกันน่ะเป็นจริง
จิ้นกันใช่มั้ย”
ฉันได้ทีรีบแซวพวกเขาเรื่องประเด็นคู่จิ้น
นัทแว่นนั่งนิ่งทำหน้าตายมองฉัน
เขาหันไปเหล่ตามองนัทหล่อก่อนจะส่ายหน้าแรงๆอย่างคนรับไม่ได้
“ให้มันใส่วิกแต่งหน้ามาเรายังไม่เอาเลย”
“ใช่..ไอ้แว่นมันไม่ชอบผู้ชายอย่างเราหรอก”
นัทหล่อได้ทีปล่อยมุกกวนเพื่อนอีกแล้ว
“สาสสส
มึงสิไม่ชอบผู้ชายอย่างกู
มึงชอบแมนๆแตะบอลใช่ป่ะ
กูเห็นไปสนามบอลบ่อย”
“สาสสส..มึงสิ
ชอบไปฟิตเนต มึงแหละชอบผู้ชายเล่นกล้าม”
“ไอ้ห่า
กูเล่นกล้ามของกูเองเว้ย”
“เดี๋ยวๆทะเลาะกันอีกแล้วอ่ะ
อะไรอ่ะคำก็สัตว์สองคำก็สัตว์อยู่ในแกงค์งดเอาสัตว์มาปล่อยได้ป่ะ
จะอยู่กันสองคนแล้วค่อยด่ากันก็ได้
แต่เราขอแบบไม่เอาสัตว์ไม่เอาห่าและไม่เอาเชี้ยได้มั้ยเราไม่ชอบน่ะ”
นัทแว่นอึ้ง
เขาหันไปมองนัทหล่อก่อนจะคิ้วขมวดส่งซิกอะไรให้กันอยู่ครู่นึงแล้วหันมาเออออตกลงด้วย
“จอเจ้ยเขาไม่ค่อยชอบน่ะ
เราอยู่กับเขาก็งี้ล่ะ
ก็ให้เกียรติเขาเถอะนะถ้าอยากอยู่ใกล้ๆเขาเหมือนเราน่ะ
อิอิ..”
ณิชายักคิ้วเธอส่งซิกให้ชายหนุ่มทั้งสองก่อนจะหันมาคุยนั้นคุยนี่กับฉันด้วยสำเนียงน่าฟัง
เช่นเดียวกันกับที่ชายหนุ่มทั้งสองก็เริ่มพยายามพูดคุยกันด้วยสรรพนามใหม่ว่า
“เราและนาย”
พวกเราทั้งทานข้าวทั้งคุยกันด้วยความสนุกสนานเฮฮาอยู่นาน
จนเสียงโทรศัพท์ของฉันดังขึ้น
ฉันหยิบมันขึ้นมามอง
เอื้อยนั่นเอง
เธอคงจะโทรมาถามว่าฉันกินข้าวหรือยัง
“ว่าไงเอื้อย..”
ตอนนี้พอฉันรับสาย
กลายเป็นว่าทุกคนเงียบเสียงแล้วก้มหน้าก้มตากินข้าวทำเป็นไม่สนใจอะไร
แต่ทำไมฉันมองแล้วเหมือนทุกๆคนพยายามเอียงใบหูมาทางฉันยังไงก็ไม่รู้..
“เจ้ยกินข้าวหรือยัง
เป็นยังไงบ้างแผลดีขึ้นบ้างมั้ย”เอื้อยว่า
เธอถามฉันด้วยความเป็นห่วง
“ก็โอนะดีขึ้นอยู่
นี่เค้าก็กำลังกินข้าวอยู่
เอื้อยล่ะกินหรือยัง”
ฉันพยายามพูดเบาๆเสียงลงด้วยรู้สึกเหมือนเพื่อนๆกำลังตั้งใจฟังฉันพูดสายกับเอื้อยยังไงก็ไม่รู้
“กินแล้วสิ
เออพรุ่งนี้วันเกิดสาแล้วนะ
จำได้หรือยังเรื่องที่เค้าถามวันนั้นน่ะ
เค้าว่าจะ...”
“เอ่อ
เดี๋ยวเค้าโทรกลับอีกทีแล้วกันนะ
คือนั่งกินข้าวกับเพื่อนอยู่น่ะ
ยังไม่สะดวกคุย”
ฉันยกมือขึ้นมาป้องปากพยายามกระซิบกระซาบตัดบทสนทนากับเธอไป
เมื่อเห็นว่าทุกๆสายตากำลังจับจ้องมองดูฉันคุยโทรศัพท์อย่างตั้งใจหลังจากได้ยินฉันพูดสรรพนามว่า
“เค้าๆ”กับเอื้อยตลอด
เอื้อยตอบรับ
เธอวางสายแล้วปล่อยให้ฉันนั่งยิ้มแหยๆมองพวกเขาทั้งสามอีกครั้ง...
“คงมีคนอยากจะถามใช่มั้ย
ว่าเจ้ยคุยกับใคร ใช่แฟนหรือเปล่า”
ณิชายิ้มน้อย
เธอทำเป็นเสนอคำถามที่ทุกคนทำท่าเหมือนจะอยากรู้
รวมทั้งเธอด้วย
“คุยกับเพื่อน
เอ่อ..เพื่อนเราที่โรงเรียนเก่าน่ะ”
“เหรอ..”
ณิชายักคิ้วหันไปเหล่มองชายหนุ่มทั้งสองที่ใจจดใจจ่อรอฟังฉันตอบอยู่
“แล้วแฟนล่ะมีหรือยัง”หญิงสาวยื่นคำถามต่อจากนั้น
ซึ่งก็เหมือนเคยคือเพื่อนชายทั้งสองก็ยังคงรอฟังคำตอบจากฉันด้วยใจจดจ่อ
ฉันเห็นอาการตั้งอกตั้งใจของพวกเขาทั้งสามคนแล้วก็อดที่จะเกรงใจเลี่ยงๆตอบไม่ให้พวกเขาเสียใจไม่ได้..
“เอ่อ..ยังไม่มี
เรายังไม่มีแฟน”
นัทแว่นกับนัทหล่อหายใจใหญ่ทันทีที่ได้ยินคำตอบ
พวกเขาพากันหันไปทำท่าYes!!
ใส่กันอยู่ครู่นึงก่อนจะหันมายักคิ้วส่งซิกมองณิชาอย่างอารมณ์ดี
ฉันก้มหน้าแอบขำอาการพวกเขาในใจ
ให้ตายเถอะ...นี่พวกเขาจะทำตัวไม่ให้ฉันรู้พิรุธหน่อยไม่ได้หรือไงว่าพวกเขาชอบฉันอยู่
นี่ฉันชักจะทำตัวไม่ถูกแล้วนะ
ไม่รู้ว่าควรจะแกล้งโง่ต่อไปดี
หรือคุยเล่นกับทุกคนให้เท่าเทียมกันดี
ด้วยก็รู้อยู่เต็มอกอยู่แล้วว่าคนพวกนี้คิดอย่างไรกับฉัน
ใช่..ฉันรู้อยู่แล้วว่าสามคนนี้แอบชอบฉัน
ก็อย่างที่บอกด้วยประสบการณ์ที่ฉันเคยมีคนมาจีบตั้งแต่เด็กๆฉันก็เลยพอจะอ่านใจและท่าทางของคนที่เขาจะมีใจให้ตัวเองได้บ้างอยู่
แต่ฉันก็ไม่คิดว่าพวกเขาจะแสดงออกให้เห็นชัดและเป็นกันหนักขนาดนี้
เฮ้อ..เอาล่ะฉันจะพยายามคิดในแง่ดีว่า
เพราะพวกเขาพึ่งจะเคยคุยกับฉันแบบสนิทสนมครั้งแรกพวกเขาก็เลยยังตื่นเต้นอยู่
เดี๋ยวอยู่ด้วยกันนานๆ
เรียนด้วยกันไปนานๆก็คงจะหายจากอาการดี๊ด๊าที่เป็นกันเมื่อครู่นี้เอง
ฉันทั้งคิดทั้งอมยิ้มก่อนจะหันไปชวนพวกเขารีบทานมื้อเที่ยงให้เสร็จกันเสียที...
เย็นวันนั้นพวกเราโฟร์แมนพากันฉลองมิตรภาพใหม่ด้วยการไปนั่งกินเนื้อย่างหน้ามอกัน
ซึ่งคนที่เสนอไอเดียก่อนหน้านั้นก็คือณิชานั่นเอง
“เราว่าข้าวเย็น
เราไปกินเนื้อย่างกันเถอะให้จอเจ้ยเลี้ยงก็ได้
เห็นบอกว่าไม่รู้จะตอบแทนยังไงไม่ใช่เหรอ
งั้นก็เลี้ยงเนื้อย่างพวกเราแล้วกันนะ”
“ห๊ะ!!กันวันนี้เลยเหรอ
โอ้ยวันหลังได้มั้ยอ่ะวันนี้กระเป๋าแบนมากๆเลยรออาทิตย์หน้าพ่อโอนตังค์ให้ก่อนได้มั้ย”
ฉันเสียงละห้อยทันทีที่ได้ยินเพื่อนว่า
“งั้นไม่เป็นไรๆ
เดี๋ยวเราเลี้ยงเองก็ได้ไปกินกันเถอะนะ”
นัทแว่นรีบเสนอตัวทันทีที่เห็นฉันบอกอย่างนั้น
“เออใช่ให้นัทแว่นเลี้ยงก็ได้
บ้านมันรวย”
นัทหล่อบอกก่อนจะตีคิ้วแซวนัทแว่นอีกครั้งว่า..
“ไงล่ะ..เราได้กินข้าวฟรีจากนายแล้ว..นัทแว่น”
ชายหนุ่มทำเสียงหล่อๆเหมือนคนพากษ์หนังจีนกำลังภายใน
ตอนที่เขาพูดคำสรรพนามเรียกเพื่อนชายใหม่ของเขา
“หึ
ก็แค่ครั้งนี้เท่านั้นล่ะน่า
นายไม่ได้แอ้มฉันอีกแล้วล่ะเพื่อน”นัทแว่นก็เอาบ้าง
เขาทำทีเป็นเก๊กหล่อทำเสียงพากษ์หนังตอบรับมุกของนัทหล่อไป
ฉันกับณิชาพากันขำตั้งแต่ที่นัทหล่อพูดแล้ว
ยิ่งมาเห็นนัทแว่นพูดก็ยิ่งขำไปกันใหญ่
ซึ่งหลังจากนั้นพวกเราก็ตกลงตามคำเชิญชวนของนัทแว่นว่าเขาจะเลี้ยงเนื้อย่างเราอย่างที่กำลังนั่งรอย่างกินกันอยู่ตอนนี้นี่เอง..
ร้านเนื้อย่างที่เรากินเป็นร้านขนาดใหญ่
สร้างเป็นเหมือนอาคารอเนกประสงค์
โครงสร้างมีแค่พื้น
เสาและหลังคาเหล็กปกคลุมบังแดดบังฝนไว้โดยที่ไม่มีผนังกั้น
ทำให้มีละอองฝนพัดเข้ามาแถวๆโต๊ะที่เราทานตลอดตอนที่ฝนเทียวตกเทียวรินลงมาเรื่อยๆอย่างนี้
พวกเรานั่งกินและนั่งคุยกันไปเรื่อย
จากที่เริ่มกินกันประมาณทุ่มนึง
ตอนนี้ก็จะสามทุ่มจะสี่ทุ่มแล้ว...
เสียงโทรศัพท์ของฉันดังขึ้นอีกครั้ง
ฉันก้มลงมองโทรศัพท์
เอื้อยนั่นเอง
โอ๊ะ..เธอโทรหาฉันตั้งหลายสิบสายแล้วนี่แต่ทำไมฉันไม่ได้รับสายเธอเลย
ฉันอึ้งนั่งคิดอยู่ครู่นึง
ก่อนจะนึกขึ้นได้เรื่องเสียงเพลงที่ดังอยู่ในร้านเนื้อย่าง
ก็คงเป็นเพราะเสียงนี่กระมังฉันเลยไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ของเธอ
ฉันรีบรับสายทันทีที่คิดได้
“ว่าไงเอื้อย..”
“อยู่ไหนนี่
ไหนบอกจะโทรหา
รู้มั้ยว่าเค้าโทรหาตั้งหลายครั้งแล้ว
แล้วทำไมไม่รับสายทำอะไรอยู่นี่”น้ำเสียงโมโหฉุนเฉียวของเธอใส่มาเป็นชุดทันทีที่ฉันทักทายเสร็จ
“เอ่อ
เค้ากินข้าวกับเพื่อน
เอ่อ..กินเนื้อย่างกับเพื่อนที่ช่วยเค้าจากโจรโรคจิตวันนั้นน่ะ”
“เพื่อนที่ช่วยจากโจรโรคจิต???
ณิชาด้วยเหรอ”
เอื้อยถามฉันเสียงสูง
ฉันจับพลังเสียงจากการพูดได้
ตอนนี้เธอกำลังโกรธฉันมาก
“เอ่อ
ใช่ก็ณิชาแล้วก็นัททั้งสองไง
ไม่ได้มากินกันสองคน
มากันหลายคนอยู่..”
ตอนนี้พอฉันทำท่าเหมือนจะซีเรียสทั้งน้ำเสียงก็ฟังดูเครียดแตกต่างจากก่อนหน้านั้น
เพื่อนทั้งสามก็เริ่มหันมามองด้วยความเป็นห่วงทันที
“เหรอ...นี่เอาคนอื่นมาอ้างหรือเปล่าน่ะ
เค้าเริ่มจะทนไม่ไหวแล้วนะเจ้ย
ถามจริงๆเถอะ
เห็นคนอื่นสำคัญกว่าเค้าแล้วใช่มั้ย
รู้หรือเปล่านี่ว่าวันนี้วันอะไร
หรือจำอะไรที่เกี่ยวกับเค้าไม่ได้แล้วใช่มั้ย
เค้าจะได้ไม่ต้องรอเจ้ยอีก..”
เอื้อยขึ้นเสียงจนฉันตกใจ
ด้วยไม่เคยได้ยินเธอตะคอกโวยวายฉันผ่านทางโทรศัพท์เสียที
“ใจเย็นๆสิเอื้อย
เอื้อยเป็นอะไรนี่ แล้ววันนี้วันอะไร
มันเป็นวันอะไรอย่างนั้นเหรอ..ทำไม..”ยังไม่ทันที่ฉันจะถามเธอจบเอื้อยก็ตัดสายทิ้งทันที
ซึ่งเพียงชั่ววินาทีที่ฉันรีบโทรกลับหลังจากนั้นก็กลายเป็นว่าเอื้อยปิดเครื่องไปแล้ว...
“แฟนโทรมาเหรอ”
ณิชาที่นั่งอยู่ข้างฉันกระซิบกระซาบถามทันทีที่ได้ยินคำและสำเนียงแปลกๆอย่างนั้น
เหมือนเธอจะพอรู้ความลับที่ฉันปิดบังเพื่อนไว้บ้างแล้ว
“เปล่า..เพื่อนเราน่ะ”
“เพื่อน??เพื่อนที่ชื่อเอื้อยน่ะเหรอ”
หญิงสาวถามกลับ
ใบหน้าก็จับจ้องมองหาพิรุธจากฉัน
เธอคงไม่เชื่อในคำว่าเพื่อนก่อนหน้านั้นแน่ๆ
อารมณ์ซีเรียสทำฉันหน้าบึ้งไม่ตอบคำถามอะไร
ได้แต่คิ้วขมวดครุ่นคิดแต่เรื่องเอื้อยคนเดียวเรื่อยไป
กระทั่งเสียงนัทหล่อทักฉันดังขึ้นมาจากอีกฝั่ง..
“จอเจ้ย
โอเคมั้ยเป็นอะไรหรือเปล่า
มีอะไรบอกพวกเราได้นะ
ถ้าไม่สบายใจไม่อยากอยู่ตอนนี้ก็กลับก่อนก็ได้”
ฉันได้สติเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่ม
ตอนนี้ทั้งนัทหล่อและนัทแว่นก็ต่างมีสีหน้าไม่สบายใจเหมือนกัน
ซึ่งพอเห็นอย่างนั้นฉันก็เลยไม่อยากทำให้เพื่อนลำบากใจ
ได้แต่ตอบรับพวกเขาไปว่าไม่มีอะไรให้กินกันต่อไปเถอะ..
“อุตส่าห์ได้กินข้าวเย็นด้วยกันครั้งแรกทั้งทีก็ต้องกินจนกว่าจะอิ่มสิ
จะลุกชิ่งหนีเพื่อนได้ไง”
ฉันว่า แววตาก็พยายามปรับอารมณ์ให้เป็นสดใสเหมือนเดิมไว้
แม้จะกังวลใจเรื่องเอื้อยแค่ไหนก็ตาม
เพื่อนทั้งสามคงรู้และไม่อยากเซ้าซี้ให้ฉันไม่สบายใจ
พวกเขาจึงไม่ถามอะไรได้แต่พากันกินและคุยเรื่องอื่นๆต่อไปหลังจากนั้น..