วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560


นิยายหญิงรักหญิง Girlfriend Season2

Chapter 5

Face to face : Ueai VS Nicha

“...อืมเดี๋ยวประมาณห้าทุ่มเอื้อยก็ค่อยขับรถมารอเค้าอยู่หน้าคณะก็ได้..ใช่..เดี๋ยวเค้าลงไปรับเอง”ฉันตอบรับเอื้อยผ่านทางโทรศัพท์ ในขณะกำลังใช้กาวนิตโต้ติดมุมกระดาษไขทั้งสี่ด้านลงบนโต๊ะเขียนแบบอยู่ ตอนนี้พอเอื้อยวางสายไป ฉันก็เริ่มหันไปสำรวจสตู มองดูเพื่อนที่อยู่ข้างๆว่ามีใครมาหรือยังไม่มา มีใครถึงไหนยังไม่ถึงไหนกันแล้วบ้าง..
กินหนมมั้ยจอเจ้ย...” เป็นนัทหล่อที่ทักฉันขึ้นตอนที่ฉันหันไปสบตากับเขาเข้า
เอ่อ ไม่เป็นไร เรากินมาเยอะแล้วนัทกินเลยก็ได้ เดี๋ยวนัทกินไม่อิ่มนะ ยิ่งตัวโตๆอยู่” ฉันยิ้มหวานแกล้งแซวนัทหล่อที่ยิ้มหน้าแดงทันทีที่เห็นฉันส่งสายตาแบบนั้นให้ ตอนนี้พอนัทแว่นที่นั่งอยู่ข้างๆเห็นฉันคุยกับนัทหล่อ เขาก็แกล้งร้องทักฉันขึ้นมาบ้าง..
เอ่อ..จอเจ้ยมีปากการ็อตติ้งเบอร์ไหนบ้างอ่ะ”
เราเหรอก็มี 0.1,0.2,0.3แล้วก็ 0.5 อ่ะเราซื้อเซตที่ขายทั่วไปมาใช้น่ะ ถามทำไมเหรอ” ฉันยกกล่องปากกาเขียนแบบรอตติ้งขึ้นโชว์นัทแว่นก่อนจะถามเขาคืนด้วยความสงสัย
อ่อ..เราถามเผื่อไว้ ของเรามีหัวรอตติ้งตั้งแต่ 0.1-0.8พวกไส้ใหญ่ๆเบอร์ 1.0-2.0ก็มีนะ เผื่อจอเจ้ยอยากใช้ มาใช้กับเราก็ได้ เราให้จอเจ้ยยืม” นัทแว่นยกกล่องปากกากล่องใหญ่ยักษ์ขึ้นมาโชว์ด้วยความภูมิใจตอนที่เขาบอกฉัน เขาหันไปยักคิ้วให้นัทหล่อที่เหล่ตามองแรงทันทีที่เห็นเขาทำคะแนนเอาใจฉันด้วยการโชว์ปากกาเขียนแบบชุดใหญ่อย่างนั้นเข้าให้
โห..จริงน่ะนี่มีทุกหัวเลยเหรอ ทำไมซื้อชุดใหญ่มาเลยล่ะ นี่ไม่บอกก็รู้เลยนะนี่ว่าใครจะได้Aวิชาเขียนแบบนี่” ฉันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แกล้งแซวนัทแว่นก่อนจะโปรยยิ้มหวานขอบใจเขาเหมือนๆกับที่ทำกับนัทหล่อ “ยังไงก็..ขอบใจนัทแว่นนะ..อุตส่าห์มีน้ำใจ เดี๋ยวไงถ้าเราจำเป็นต้องใช้เบอร์ไหนจะขอรบกวนนัทแว่นอีกทีแล้วกันนะ โอ้ย..รบกวนนัทแว่นตลอดเลยอ่ะ เราเกรงใจจัง..” นัทแว่นหน้าแดงเขายกมือขึ้นมาลูบหลังหัวแก้เขินทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น
รบกงรบกวนอะไรกันเล่า เราเต็มใจนะ อยากยืมมาหยิบเอาที่โต๊ะเลยก็ได้..” ฉันยิ้มหวานพยักหน้ารับเขา ก่อนจะหันกลับมานั่งเตรียมงานที่โต๊ะโดยมีเสียงแว่วๆของนัทหล่อลอยมาเป็นแบล๊คกราวน์ให้ฉันได้อมยิ้มทันทีที่ได้ฟังเสียงเขา... “ไอ้เชี้ยแว่น....ทีกูขอยืมบอกมีแค่สามเบอร์สาสสส....”
ฉันนั่งอ่านโจทย์งาน วันนี้อาจารย์ให้นักศึกษาฝึกเขียนแบบบ้านพักอาศัยชั้นเดียวส่ง โดยงานที่ส่งจะมีแปลนชั้นที่1 แปลนหลังคา รูปด้านทั้ง4ด้าน รูปตัด2รูปและแบบขยาย ซึ่งแบบแปลนและรูปด้านทุกอย่างจะต้องเขียนในขนาดมาตราส่วน1:100 โดยงานเขียนแบบจะต้องแสดงรายละเอียดประกอบแบบอย่างเช่น สัญลักษณ์แสดงประตู หน้าต่าง ระดับพื้น ลายเส้นที่แสดงให้เห็นว่าเป็นผนัง พื้นบ้าน พื้นห้องน้ำ ระยะห่างของเสาแต่ละเสา ทิศทางของอาคารหรือส่วนประกอบสำคัญอื่นๆลงไปในงานให้ชัดเจนครบถ้วน และถูกต้องตามมาตราฐานการเขียนแบบที่สุด พวกเราจะต้องใช้ปากการเขียนแบบที่มีขนาดความหนาเข้มของไส้ปากกาไม่เหมือนกันมาเขียน เพื่อแสดงมิติที่ต่าง วัสดุที่ต่างกัน เช่น เราจะใช้หัวปากกาที่มีความหนามากมาลงเส้นเพื่อแสดงให้เห็นในแบบว่านั่นคือเสา และเราจะใช้ปากกาที่มีขนาดบางมากๆมาใช้ทำพื้นผิวของพื้นห้องต่างๆหรือวาดเส้นไดเมนชั่นที่แสดงความกว้างยาวของระยะเสาต่างๆ การเขียนแบบเป็นงานที่ต้องใช้สมาธิ ความพยายาม ความปราณีตมาก และเราต้องให้เวลากับการเขียนแบบค่อนข้างเยอะ ซึ่งจริงๆแล้วงานนี้อาจารย์ให้เวลานักศึกษาทำส่งประมาณ3วันก่อนหน้านั้นหรือก็คือตั้งแต่วันศุกร์ และส่งงานจริงๆวันอังคารซึ่งก็คือวันพรุ่งนี้ แต่พวกเราทุกคนก็ชอบที่จะมาทำส่งกันในวันสุดท้ายก่อนส่งกัน เหมือนที่อาจารย์ชอบแซวว่าถ้าไม่ไฟรนก้นก็ไม่คิดที่จะทำงานส่ง นั่นจึงเป็นที่มาว่าทำไมพวกเราถึงได้มาใช้สตูกันทำงานอีกครั้งนึงในวันนี้..
ไงที่รัก..ทำถึงไหนแล้ว”สำเนียงยียวนฟังดูกะล่อนคุ้นหูดังขึ้นอยู่ข้างๆฉัน ณิชานั่นเอง ตอนนี้เธอในชุดกางเกงผ้ามันขาสั้นๆกับเสื้อเปิดไหล่สีขาวบางๆที่แสนจะเซ็กซี่ กำลังยืนโน้มหน้าค้างไว้ข้างๆแก้มฉัน จนเหมือนเธอกำลังจะหอมฉันทันทีที่ฉันหันหน้าไปทางเธอเต็มๆแรงอย่างนั้นเข้า “เฮ้ย..ณิชา” ฉันสะดุ้งโหยงอุทานชื่อเธอออกมาทันที ตอนนี้เธอก็ยังยืนยิ้มก้มตัวโน้มหัวค้างไว้แถวๆแก้มฉันเหมือนเดิม
หอมจังเลยอ่ะ สระผมใหม่เหรอ”เธอทำเป็นสูดลมหายใจเข้าลึกๆตอนที่บอกว่าหอม ก่อนจะร้องโอดโอยขึ้นหลังจากนั้น เนื่องจากโดนฉันยื่นไม้สเกลสามเหลี่ยมที่ฉันถือในมือไปเคาะหัวคนเจ้าชู้ยักษ์ดังป๊อกด้วยความหมั่นไส้
รีบไปทำงานเลย งานตั้งเยอะนี่จะเสร็จมั้ยนี่ไม่เสร็จไม่ช่วยแล้วนะ ตัวใครตัวมันเลย” ฉันบ่นให้ณิชา มือก็ถือไม้สเกลชี้หน้าทำตาเล็กตาน้อยข่มขู่เธอไป
โอ้ยอย่าพูดอย่างนั้นสิ ถ้าเธอไม่ช่วยเราแล้วใครจะช่วยเราล่ะ นะนะเดี๋ยวเราไปซื้อกาแฟมาให้” ไม่!!”ฉันเก๊กเสียงดุตะคอกเธอ ก่อนจะรีบหันกลับไปนั่งทำงานต่อ เพราะสายตากรุ่มกริ่มที่เพื่อนๆในห้องกำลังพากันมองฉันกับณิชาทำท่าเหมือนจะหยอกกันนั้นกำลังทำให้ฉันอาย ณิชาก็คงเห็น เพราะเธอยิ้มเล็กยิ้มน้อยตอนที่เหล่มองเพื่อนๆพวกนั้น ได้ยินเสียงเธอฮัมเพลงด้วยความอารมณ์ดีตอนที่เตรียมกระดาษทำงาน อย่างกับเธอไม่ได้แคร์สายตาอะไรของใครเท่าไหร่เลย..
เราทำงานหลังจากนั้นไม่นานเสียงโทรศัพท์ของฉันดังขึ้น เอื้อยนั่นเอง ตอนนี้เวลา23.14 .ผ่านไปเกือบๆชั่วโมงกว่า คงได้เวลาที่เธอจะมาหาฉันที่คณะแล้ว ฉันหยิบเสื้อกันหนาวที่ฉันวางพาดไว้เก้าอี้ ใส่คลุมเสื้อยืดสกรีนตราคณะตัวเอง ก่อนจะหันไปฝากโต๊ะกับณิชา แต่กลายเป็นว่าตอนนี้เธอหายไปไหนก็ไม่รู้ อะไรนี่..แว๊บหายตลอดเลยยัยคนนี้ นึกแปลกใจเล็กๆ ก่อนจะเดินเลยไปฝากโต๊ะกับนัทแว่นแทน..
รถยนต์สีแดงคันเล็กจอดติดเครื่องอยู่หน้าคณะ ฉันก้าวย่างออกไปยืนให้สัญญาณเจ้าของรถทันทีที่วิ่งลงไปถึงจุดนัดหมาย ตอนนี้เมื่อหญิงสาวในรถชำเรืองมาเห็นฉัน เครื่องยนต์ก็ถูกดับและเธอก็เดินลงมาจากรถให้ฉันเห็นร่างทันที ฉันอึ้ง ยืนขยี้ตาตัวเองก่อนจะเพ่งมองไปที่หญิงสาวในความมืดอีกครั้ง เดี๋ยวนะ..นั่นเหรอชุดที่เธอใส่มาหาฉันที่คณะ ความเหวอทำฉันคิ้วขมวดทันทีที่เห็นภาพนั้นชัดเจนขึ้น โอ..อะไรจะขนาดนั้น ฉันอุทานในใจในขณะที่พินิจพิเคราะห์การแต่งกายของแฟนสาวตัวเอง..
มันเป็นชุดจัมพ์สูทขาสั้นๆสีดำมันเงา โดยที่เสื้อเป็นเสื้อแขนกุดเว้าคล้องคอโชว์ไหล่ขาวๆเนียนๆของคนใส่ แสงเงาจากชุดสะท้อนขึ้นมาขับผิวขาวๆทันทีที่กระทบแสงไฟ ทำให้เอื้อยสวยโดดเด่นเป็นสง่าทันทีที่กำลังเยื้องย่างสะบัดปลายผมหยักศกไปมาในขณะนี้...
ความตะลึงพรึงเพริดในเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของคนตรงหน้า ทำให้ฉันต้องก้มลงมองชุดเครื่องแต่งกายสไตล์เด็กหอเสื้อยืดกางเกงขาสั้นของฉัน เปรียบเทียบกันแล้วให้ความรู้สึกแตกต่างคนละขั้วคนละละสไตล์กับเธอซะเหลือเกิน...นี่ฉันน่าจะไลน์บอกเธอก่อนดีมั้ยว่าฉันใส่ชุดอะไรมา...
จำเป็นต้องสวยขนาดนี้มั้ยนี่ มานั่งเฝ้าเค้าเฉยๆเนี่ย..ฉันคิ้วขมวดยืนเท้าสะเอวบ่นให้เอื้อยทันทีที่เธอเดินมาถึงตัวฉัน
อะไรเล่า..” เอื้อยก็คิ้วขมวด เธอเม้มปากเปลี่ยนสีหน้าจากสวยสง่าเมื่อกี้เป็นบึ้งขมึงทึงทันทีที่ได้ยินฉันว่า “อีกแล้วอ่ะ คำแรกที่ควรจะได้ยินจากแฟนก็ไม่ได้ยิน มิหนำซ้ำยังมายืนบ่นเป็นยัยป้าสอนหลานอยู่ได้ ไม่ชอบที่เค้าสวยหรือไง” คนใจน้อยว่า ตาเธอก็จ้องเขม็งฉันด้วยความงอนไป “..นี่อุตส่าห์ให้เกียรตินะนี่ ที่แต่งตัวดีมาหา”
อ๋อเหรอ..” เหตุผลของเธอทำฉันสแยะยิ้ม นี่แสดงว่าให้เกียรติมากๆเลยสินะถึงได้จัดชุดใหญ่ไฟกระพริบมาขนาดนี้ ฉันทั้งคิดทั้งสำรวจมองใบหน้าเอื้อยที่เธอก็เมคอัพบางๆให้รู้ว่าแต่งหน้ามาเหมือนกันอีก ก่อนจะเดินนำหน้าพาเธอเดินขึ้นตึกไป คอยดูนะพวกเพื่อนผู้ชายต้องพากันตาลุกวาวแน่ๆที่เห็นเอื้อยเข้าไปในสตูวันนี้
เป็นดังคาด..แค่เอื้อยเดินผ่านโซนเพื่อนผู้ชายเกเรๆที่อยู่ด้านหน้าห้อง เสียงร้องว้าว เสียงผิวปากก็ดังขึ้นเป็นสายทันที ได้ยินเสียงถามลอยลมมาเรื่อยๆว่าใครน่ะๆ ตอนที่เอื้อยกำลังเดินก้มหน้าก้มตาผ่านเข้ามาในห้อง
ความเป็นห่วงแฟนสาวตัวเองทำฉันต้องหันหลังไปมองตลอด เอื้อยอายหน้าแดงกร่ำเดินก้มหน้าหลบสายตาผู้ชาย ความอายทำเธอประหม่าแต่ก็ยังฝืนพยายามข่มอาการเหล่านั้นไว้ ..นี่เธอคงเหงาและอยากอยู่ใกล้ฉันจริงๆสินะ.. ฉันทั้งคิดทั้งเหลียวหลังมองหน้าด้วยความเป็นห่วง กระทั่งหันหน้ากลับมาอีกทีแล้วเจอณิชาคิ้วขมวดยืนถือแก้วกาแฟขวางทางฉันอยู่ที่โต๊ะของเธอ..

ไปไหนมา..”น้ำเสียงซีเรียสมาพร้อมดวงตาจ้องเขม็งแปลกใจ ณิชาคงสงสัยว่าใครคือผู้หญิงคนที่เดินตามหลังฉันเข้ามาในห้องอย่างนี้
เอ่อ..เราไปรับ..เอ่อ..เพื่อนเรามาน่ะ พอดีเพื่อนเราเหงาเราก็เลยชวนเค้ามาที่สตูด้วย”
เพื่อน???” ณิชาเสียงสูง เธอถามย้ำเหมือนกำลังวิเคราะห์ความหมายคำว่าเพื่อนของฉัน แววตาก็จับผิดสงสัย เธอพินิจพิเคราะห์มองเอื้อยอยู่นานกว่าจะหันใบหน้างอนๆมองค้อนฉันต่อ “อืม.. สวยดีนะไม่ยักกะรู้ว่าชอบ...มีเพื่อนสวยๆเหมือนกัน” พูดเสร็จเธอก็หันขวับไปฉีกยิ้มทักทายหญิงสาวที่อยู่ต่อหน้าอีกคนว่า..“สวัสดีค่ะ เราชื่อ..”
ณิชาใช่มั้ยคะ!!!” แนะนำตัวไม่ทันเสร็จ หญิงสาวอีกคนก็รีบพูดแทรกตัดบทเสียก่อน เหมือนเธอจะรับรู้ความหมายจากสายตาของณิชาที่มองทั้งฉันและเธอก่อนหน้านี้ “...เราเคยเห็นรูปเธอและได้ยินชื่อเธอจาก..เจ้ยตลอดเลย”
จึ๊ก..ฉันสะดุ้งทันทีที่ได้ยินเอื้อยพูดแบบนั้น
ตลอดเลยเหรอ..นี่แสดงว่าก็อยู่กับเจ้ยตลอดล่ะสิ เพื่อนสนิทสินะ สนิทกันระดับไหนล่ะนี่..”ณิชาทั้งพูดทั้งยิ้ม น้ำเสียงเหมือนหยอกล้อแต่ไหงสายตาที่เธอมองดูเอื้อยกลับให้ความรู้สึกจิกๆกัดๆอย่างไรไม่รู้
ก็ไม่รู้สิคะ ต้องถามเจ้ยดู เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเราสนิทกับเขาในระดับไหน..อ่อ...เราชื่อเอื้อยนะคะ เผื่อเธอยังไม่รู้ว่าเราเป็นใคร...” ณิชาหุบยิ้ม เธอคิ้วขมวดยืนส่งสายตาปริ๊บปร๊าบๆเป็นประจุไฟฟ้าแรงสูงต่อกรกับเอื้อยอยู่ครู่นึง ก่อนจะหันมายื่นแก้วกาแฟส่งให้ฉัน
อ๊ะ นึกว่าหายไปไหน เรากลัวเธอง่วง เราเลยไปซื้อกาแฟเซเว่นมาให้เธอ แต่คงไม่ง่วงแล้วล่ะมั้ง มีเพื่อนสวยๆมาเฝ้าขนาดนี้ หึ..อุตส่าห์เป็นห่วง..” สาวผมบอนด์หน้าบึ้งตัดพ้อ มองฉันด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ เธอหันหลังนั่งลงกับโต๊ะเขียนแบบ หยิบหูฟังจากสมาร์ทโฟนใส่หู แล้วนั่งก้มหน้าก้มตาทำงานเงียบๆของเธอหลังจากนั้น...

เอื้อยก็หน้าบึ้ง เธอหันมาขมึงตาใส่ฉันทันทีที่เห็นณิชาส่งสายตาแปลกๆแสดงท่าทางงอนๆอย่างนั้นใส่ฉันเข้า

..เอ้า..อะไรอ่ะ...สองคนนี้ มางอนฉันทำไมนี่ ฉันยังไม่ทันทำอะไรเลย... ฉันทั้งคิดทั้งมองเอื้อยด้วยสายตางงๆ นี่อย่าบอกนะว่าแค่สายตา ท่าทาง และคำพูดคำจาแค่นี้ พวกเธอสองคนก็สามารถมโนภาพแปลความหมายเป็นเรื่องราวระหว่างฉันกับพวกเธอทั้งสองได้แล้ว...อุ้ย.. ฉันสะดุ้งโหยงออกจากความคิดกังวลทันทีที่เห็นเอื้อยแยกเขี้ยวใส่ฉัน ตอนนี้ฉันเลยรีบจัดแจงหาที่นั่งให้เธอได้นั่งข้างๆฉันแต่เป็นคนละฝั่งกับณิชา ก่อนที่เธอจะอารมณ์ไม่ดีไปใหญ่

“..ตัวจริงสวยกว่าในรูปเสียอีก นี่เหรอที่ว่าไม่เท่าไหร่ ดีนะนี่..ตัดสินใจถูกแต่งตัวมาด้วย ไม่งั้นคง....” เสียงบ่นพึมๆพัมๆของเอื้อยดังเข้าหูของฉันตอนที่ฉันกำลังก้มหน้าก้มตาเขียนแบบต่อ ฉันหันไปมอง ตอนนี้เอื้อยนั่งกอดอก เธอยังตาขวางมองฉันอย่างเคืองๆเหมือนเดิม
เป็นอะไร” ฉันกระซิบกระซาบถามเธอด้วยเสียงหวั่นๆ เอื้อยขมึงตาใส่ฉันก่อนจะบ่นต่อว่า “ได้นั่งข้างๆคงมีกำลังใจในการทำงานดีสินะ..ชิ” เธอแยกเขี้ยวใส่ฉันอีกแล้ว “อะไรเล่า พูดอะไรเนี่ย”ฉันกระซิบกระซาบลดระดับเสียงคุยกับเอื้อยอีก ด้วยกลัวว่าคนข้างๆจะได้ยินเสียงบ่นพึมๆพัมๆที่เอื้อยกำลังพูดถึงเขาเข้า
ดีจังเลยนะ มีคนซื้อกาแฟมาให้กินด้วย...”ประเด็นใหม่มาเพิ่ม ตาเธอย้ายพิกัดไปจับจ้องแก้วกาแฟแก้วนั้นแทนฉันแล้ว
เพื่อนซื้อมาฝากเฉยๆ..”
จริ้งงงง..” เอื้อยใช้เสียงสอง เธอเหล่ตามองฉันเหมือนเธอจะไม่เชื่อ แต่ยังไม่ทันที่เอื้อยจะพูดอะไรต่อ นัทหล่อกับนัทแว่นก็เดินยิ้มหน้าแดงมาทักพวกเราก่อน..
เอ่อ..จอเจ้ยกับเพื่อนกินขนมมั้ย...เราไปซื้อมาเพิ่มแล้วมีเยอะ เลยเอามาแบ่ง” นัทหล่อว่า เขายื่นขนมมาให้ฉันแต่ตาเขากลับแอบชำเรืองมองเอื้อยอย่างอายๆ
อ่อ..เหรอซื้อมาเยอะเหรอ..”ฉันเหล่มองเอื้อย หญิงสาวทำหน้างงๆ เธอคงแปลกใจที่เห็นนัทหล่อแอบมองเธอหน้าแดงกร่ำอย่างนั้น ฉันอมยิ้มนึกขันอาการเพื่อนชาย ทั้งเดาใจเขาได้ว่าจริงๆต้องการจะชวนใครกันแน่“..เอื้อยกินขนมมั้ย เพื่อนเราซื้อมาฝาก”เอื้อยยิ้มแหยๆเธอพยักหน้าตอบรับฉัน ก่อนจะหันมาตั้งใจฟังฉันแนะนำเขาให้รู้จัก “เอ่อ นี่นัท..เพื่อนๆเรียกนัทหล่อ นี่เพื่อนเราชื่อเอื้อยนะนัท..”
ครับ..หวัดดีครับเอื้อย” นัทหล่อยิ้มหวาน เขายื่นขนมไปให้เอื้อยที่ยิ้มรับคำทักทายจากเขา ซึ่งพอนัทแว่นเห็นเพื่อนชายเปิดประเด็นทำความรู้จักเพื่อนใหม่ก่อนอย่างนั้น เขาก็เอาบ้าง..
เอ่อ..จอเจ้ยกับเพื่อนใช่..เอ่อ..นักร้องที่ประกวดร้องเพลงวงเกริล์เฟรนด์เมื่อปีก่อนนั่นหรือเปล่า..” เอื้อยเลิ่กคิ้วประหลาดใจที่ได้ยิน ซึ่งก็ไม่ต่างจากฉัน “เอ่อ..ใช่ค่ะ รู้ได้ไงคะ” หญิงสาวยิ้มเหรอหรา เธอถามนัทแว่นกลับด้วยความสงสัย
คือ..เอ่อ..” นัทแว่นหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดหาอะไรสักอย่างในนั้นแล้วรีบยื่นส่งมาให้เอื้อยและฉันดู คลิปร้องเพลงของพวกเรานั่นเอง “คือ เราเป็นแฟนคลับพวกเธอน่ะ เราได้ดูคลิปที่เธอสองคนประกวดด้วยนะ..เอื้อยกับเจ้ย AJ IS REAL” ชายหนุ่มใบหน้าร่าเริงตอนที่บอก เขาท่องสโลแกนประจำตัวของพวกเราออกมาให้ฟังได้ด้วย
เฮ้ยจริงดิ ทำไมไม่บอกกันอ่ะว่ารู้จัก นัทไม่ใช่คนจังหวัดเราไม่ใช่เหรอ” ฉันถามนัทแว่นกลับ ทั้งสงสัยทั้งประหลาดใจ ทั้งอายนิดๆเมื่อรู้ว่าเพื่อนที่นั่งเรียนด้วยกันข้างๆดันรู้จักเรา แต่ไม่เคยทักเราเรื่องนี้เสียที
ก็ไม่ใช่คนที่นี่หรอก แฮะๆคือเราพึ่งมารู้จักวงพวกเธอตอนที่เรียนอยู่ที่นี่ล่ะ คือเราลองค้น..เอ่อ...ชื่อจอเจ้ยดูในเน็ตก็เลยเห็น..”นัทแว่นว่า เขาหลบตาฉันทันทีที่เผลอสารภาพความลับที่ว่า..เขาเคยค้นหาข้อมูลของฉันในเน็ตด้วย นัทหล่อหันมาเหล่มองแรงนัทแว่น เขาแยกเขี้ยวใส่นัทแว่นทันทีที่เห็นนัทแว่นใช้มุกจีบสาวเหนือเมฆมาแข่งกับเขาอย่างนั้น
อ๋อเหรอ..” ฉันหัวเราะหึๆทั้งเขินทั้งอายเพื่อน ทั้งรู้สึกแปลกๆจนต้องแกล้งแนะนำตัวเพื่อนกับเอื้อยแก้เขินไป “เอ่อ..เอื้อย..นี่นัทอีกคน แต่เพื่อนๆเรียกว่านัทแว่นกันน่ะ”
อ๋อ นี่นัทแว่นเหรอ เราเคยได้ยินเจ้ยพูดถึงเธอบ่อยๆด้วย ยินดีที่รู้จักค่ะ เราเอื้อยนะ” เอื้อยยิ้มหวาน เธอทักเขาเรื่องที่ได้ยินฉันเล่าให้ฟังว่าเขาชอบให้ฉันยืมของต่างๆใช้ออกมาด้วย นัทแว่นยิ่งยิ้มตาหยี เขายกมือขึ้นลูบหลังหัวแก้เขิน ทั้งแอบเหล่มองฉัน ใบหน้าก็แดงระเรื่อขึ้นทันทีที่ได้ยินว่าฉันพูดถึงเขาบ่อยๆอย่างนั้น
ครับยินดีที่รู้จักครับ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ..” นัทแว่นว่าเขาทั้งพูดทั้งก้มหัวทำท่าเหมือนคนญี่ปุ่นแนะนำตัว ชายหนุ่มใส่แว่นหัวเราะแก้เขินทั้งแอบชำเรืองไปยักคิ้วใส่นัทหล่อที่ยังคงมองแรงใส่เขาด้วยความหมั่นไส้เหมือนเดิม พวกเขายืนคุยอะไรกับเราต่ออีกครู่นึงก่อนจะขอตัวกลับไปทำงานที่โต๊ะต่อ ฉันแอบชำเรืองหันไปมองดูพวกเขาตอนที่กลับไปที่โต๊ะ เห็นสบถด่าอะไรกันก็ไม่รู้ไม่เป็นคำ ทั้งทำท่าเป่ายิ้งฉุ๊บแข่งกันตั้งนานสองนาน จนกระทั่งพากันหยุดแล้วกอดคอพยักเพยิดเออออเหมือนกำลังตกลงอะไรกันไม่รู้อยู่สองคน...
ไม่เพียงแต่นัทหล่อกับนัทแว่นเท่านั้นที่แวะเวียนทำทีเดินเข้ามาทักทายฉันที่โต๊ะ วันนี้พวกผู้ชายเกๆเกรียนๆที่ไม่ค่อยเดินสำรวจดูงานเพื่อนๆเท่าไหร่ ก็ยังอุตส่าห์ทำเป็นเดินทะลุทะลวงเข้ามาในโซนเทพที่ฉันกับเอื้อยนั่งอีก...

เฮ้ย!!!..งานดีมากเลย”
เสียงโจ๊กเพื่อนชายที่ท่าทางจะเกเรทักขึ้นทันทีที่เดินผ่านมาโต๊ะของฉัน ฉันชำเรืองตามอง ตอนนี้เขาเหล่มองเอื้อยด้วยสายตากรุ้มกริ่มหวานเยิ้ม ก่อนจะส่งเสียงเรียกเพื่อนๆในกลุ่มของเขามาต่อ “เฮ้ยๆๆ ไอ้ต้นไอ้เปเล่ ไอ้จ๊อดด้วย พวกมึงมาดูงานโต๊ะจอเจ้ยดิ..งานดีมากกกกเลย...”
เชี่ยไร..ปกติไม่เคยเรียกดูงานคน..” เสียงเพื่อนหนึ่งในนั้นตะโกนด่าข้ามฟากมาอีกฝั่ง ก่อนจะพากันเดินมาดูเพราะทนเสียงรบเร้าคะยั้นคะยอของเพื่อนคนนี้ไม่ไหว แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะเดินมาถึงโต๊ะฉันดี แค่เห็นเงาแว๊บๆเฉียดๆกลายๆของเอื้อย พวกเขาก็พากันร้องทักขึ้นแล้ว
โอ้โห..งานดีจริงๆด้วย งานดีมากกก.. สวยมาก ขาวมากเอ้ย..ละเอียดมาก...”ฉันเหล่ตามองแรงทันทีที่ได้ยินพวกเขาทักขึ้นทั้งๆที่เดินมาไม่ทันเห็นงานฉัน คำว่า “งานดี”ของพวกเขานั้น ทำฉันบ่นพึมพัมว่า..“โคตรกะล่อน” ทันทีที่เข้าใจความหมายว่าแปลว่าอะไร อารมณ์หวงแฟนสาวทำฉันค้อนหันขวับไปมองเอื้อย ตอนนี้เธอนั่งหลบตา ใบหน้าแดงกร่ำ คงเป็นเพราะเธอรับรู้ความหมายจากคำพูดคำจาแทะโลมเพื่อนๆพวกนั้นเหมือนกัน เธอก็เลยทำตัวไม่ถูก
...คิดไว้แล้วเชียวว่าต้องเป็นแบบนี้... ฉันจ้องเอื้อยตาเขม็ง ก่อนจะถอดเสื้อกันหนาวของตัวเองออกไปคลุมตัวเอื้อยที่ใส่เสื้อแขนกุดโชว์แขนโชว์ไหล่ รวมถึงแผ่นหลังขาวๆเนียนๆล่อตาล่อใจบรรดาเพื่อนผู้ชายในคณะอยู่อย่างนี้ ขอบใจนะ..” หญิงสาวทำเสียงอ่อยๆสำนึกผิดตอนที่เธอขอบใจฉัน เธอดึงชายเสื้อของฉันลงมาคลุมตัวเธอไว้ทั้งตัวด้วยความอายแสนอาย ก่อนจะนั่งมองฉันทำงานต่อไปเรื่อยๆหลังจากนั้น..
ในช่วงแรกๆของการทำงาน หญิงสาวคนรักฉันพยายามชวนคุยและนั่งดูงานไปข้างๆตลอด กระทั่งดึกขึ้นแล้วเธอทนไม่ไหว กลายเป็นนั่งสัปหงกหัวโงนโงนไปซ้ายทีขวาที จนฉันต้องดึงหัวเธอมานอนพิงกับไหล่ฉันไว้ เอื้อยสลึมสลือเธอยิ้มให้ฉันก่อนจะทิ้งตัวลงนอนซบกับไหล่ในท่านั้น ท่ามกลางสายตาของเพื่อนๆในห้อง รวมทั้งณิชาที่แอบชำเรืองมองดูฉันกับเอื้อยเรื่อยๆมาตั้งแต่ฉันถอดเสื้อกันหนาวออกคลุมตัวให้เอื้อยแล้ว ตอนนี้พอเธอหันมาเห็นฉันดึงเอื้อยเข้ามานอนซบไหล่ หญิงสาวก็แสดงออกความน้อยเนื้อต่ำใจทางสายตากับฉันทันที..
งานฉันเสร็จทุกอย่างตอนเกือบๆจะตีห้าซึ่งก็พอดีกันกับที่ณิชาที่กำลังเตรียมม้วนกระดาษแบบเก็บลงไปในกล่องแบบสีน้ำเงินของเธอ เพื่อนๆในห้องเริ่มทยอยกลับ รวมทั้งนัทหล่อกับนัทแว่นที่เดินหายออกจากสตูไปก่อนหน้านั้น ฉันหันไปชมณิชาเรื่องที่ว่าวันนี้เธอทำงานดีและเรียบร้อยมากก่อนจะกลับ
ขอบใจ งานเจ้ยก็สวย สะอาดเรียบร้อยดีเหมือนกัน” ณิชายิ้มรับ ทั้งแอบชำเรืองมองเอื้อยตอนที่ว่า “ไปไหนกันต่อล่ะ จะกลับหอเลยเหรอ อยู่หอด้วยกันหรือเปล่า กลับกันยังไง” เธอถามฉันต่อด้วยความเคยชินที่ทุกครั้งเวลากลับเธอจะขับรถตามไปส่งฉันที่หอก่อนเสมอ
เอ่อ..คือไม่ได้อยู่หอด้วยกัน อยู่คนละหอ ก็เดี๋ยวเพื่อนเราคงขับตามไปส่งเราที่หอก่อนน่ะ” ฉันหยิบกล่องแบบขึ้นสะพายก่อนจะหันไปมองเอื้อยที่ตอนนี้นั่งกอดอกฟังฉันพูดกับณิชาอยู่
อยู่คนละหอเหรอ แสดงว่า..ยังไม่ทันได้อยู่ด้วยกัน” ณิชายิ้มออก จากแววตาหม่นๆเศร้าๆครู่นั้นกลับกลายฉายแววสดใสขึ้นทันที สาวผมบอนด์มองฉันด้วยความหวัง ตรงข้ามกับเอื้อยที่คิ้วขมวด เธอมองณิชาด้วยความไม่พอใจทันทีที่ได้ยินณิชาพูดจาแปลกๆเหมือนดีใจที่เห็นเอื้อยไม่ได้อยู่กับฉันอย่างนั้น
เออ..อย่างนี้ค่อยดีขึ้นหน่อย..” ณิชายิ้ม ใบหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องของเธอกลับมาอีกแล้ว “..เออ..ว่าจะถามตั้งนานแล้ว เป็นไงบ้างกล้องเรา เธอใช้เป็นหรือเปล่าหรือกล้องมีปัญหาอะไรยังไงมั้ย..เดี๋ยวตอนเรียนในคาบเอามาด้วยก็ได้นะเราจะสอนเธอใช้เอง....”
...จึ๊ก...ฉันสะดุ้งรีบหันไปมองเอื้อยทันทีที่นึกเรื่องราวบางอย่างเกี่ยวกับกล้องตัวที่ณิชาถามได้ ซึ่งเอื้อยก็คงจะนึกขึ้นได้เหมือนกัน เพราะเธอก็รีบลุกขึ้นเดินฉับๆเข้ามาถามณิชาใกล้ๆทันที
กล้องเธอ?? ใช้ตัวใหญ่ๆดีๆสีดำยี่ห้อCanonนั่นหรือเปล่า”
ใช่..ทำไมเหรอ” ณิชายิ้ม เธองงหันมามองฉันที่หน้าซีดถอดสีก่อนจะถามเอื้อยคืน “ทำไมเหรอ กล้องมันเป็นอะไร...”
“..มันไม่เป็นอะไรหรอก ไม่เป็นอะไรสักนิดเลย...” เอื้อยว่า เธอคิ้วขมวดหันจ้องมองฉัน ดวงตาบ่งบอกความผิดหวังก่อนจะรีบหยิบกระเป๋าแล้วสะบัดตัวเดินหนีออกจากห้องไปทันที
ฉันต้องรีบวิ่งตามเอื้อยออกไป ไม่ทันที่จะได้หยิบจับของอะไรออกมาด้วยเลยนอกจากกล่องแบบที่ยังสะพายหลังค้างอยู่อย่างนั้น เอื้อยทั้งเดินทั้งวิ่งเหมือนเธอตั้งใจจะหนีฉันไม่อยากให้ฉันเดินตามเธอได้ กระทั่งเธอมาหยุดที่หน้ารถและฉันวิ่งมาทันเธอพอดี
เอื้อยอย่าพึ่งไป คุยกันก่อนสิ” ฉันดึงมือเธอที่พยายามจะปลดสัญญาณกันขโมยรถเพื่อจะเปิดประตูไว้ เอื้อยสะบัดมือออกจากฉัน สายตาหม่นๆหมองๆคู่นั้นยังคงมองฉันด้วยความผิดหวังเช่นเดิม “จะคุยอะไร ไม่ต้องคุยแล้ว เค้ารู้เรื่องทุกอย่างหมดแล้ว”
แต่มันไม่ใช่อย่างที่เอื้อยเข้าใจนะ ฟังเค้าก่อนสิ”
ไม่ใช่อย่างที่เข้าใจยังไง มันมีความจริงในความจริงอีกเหรอ เจ้ยจะให้เค้าฟังอะไรจากคนที่โกหกเค้าอีกล่ะ” เอื้อยว่า ตาเธอก็ยังจ้องฉันด้วยความเสียใจไม่วางตา “เค้าว่าเจ้ยกลับไปตกลงกับเพื่อนใหม่ของเจ้ยก่อนเถอะว่าจะเอาอะไรยังไงกันแน่ ทีหลังจะโกหกเค้าก็เอาให้มันเนียนๆกว่านี้ อย่าให้มารู้ทีหลังอย่างนี้อีก เค้าเสียความรู้สึก...” เธอเปิดประตูรถแล้วรีบเข้าไปนั่งในรถทันที ซึ่งยังไม่ทันที่ฉันจะเดินไปเปิดประตูรถขึ้นไปนั่งกับเธอ เธอก็รีบล็อคประตูรถไว้แล้วรีบสตาร์ตรถออกเดินทางหนีจากฉันไปทันที...
อารมณ์ตกใจทำให้ฉันจะรีบขับมอเตอร์ไซค์ตามเอื้อยออกไป แต่นึกขึ้นได้ว่าทั้งกุญแจรถและกระเป๋ามันยังอยู่ในสตู ฉันรีบวิ่งขึ้นไปหยิบเอาข้าวของต่างๆออกมาหลังจากนั้น ทั้งหยิบจับโทรศัพท์โทรหาด้วยนึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่เคยไปหอเอื้อยสักที การจะขับรถออกไปหาเอื้อยตอนนี้นั้น คงทำได้แค่ขับไปตามทางไปหน้ามหาวิทยาลัยตามที่จำเธอบอกได้เท่านั้นเอง แต่ตอนนี้เมื่อฉันออกมายืนหลบมุมที่ระเบียงคณะเพื่อพยายามโทรหาเอื้อย กลายเป็นว่าเธอไม่รับสายเลยไม่ว่าฉันจะโทรไปซ้ำๆขนาดไหน เวลาผ่านไปนานจนฉันเริ่มใจไม่ดี คิดว่าบางทีฉันคงต้องเสี่ยงเดาขับรถไปหาเธอเลยดีกว่า แต่แค่หันหลังจะเดินลงไปหน้าคณะ ณิชาก็เดินเข้ามาขวางฉันทันที...

เจ้ยจะไปไหน” สาวผมบอนด์ดึงมือฉันไว้ตอนที่เธอพูด..เราเห็นเธอรีบวิ่งตาม..เอ่อ..เพื่อนของเธอน่ะ มีปัญหาอะไรกันหรือเปล่า เพื่อนเธอโกรธให้เราใช่มั้ย” ณิชาหยุดวรรคตอนที่พูดคำว่าเพื่อน เหมือนเธอจะรู้อะไรบางอย่างแต่แค่ไม่อยากจะพูดออกมาเท่านั้น
เปล่า..เขาแค่..เอ่อ..ง่วงนอนน่ะ”
อ้อเหรอ ง่วงนอนแต่รีบวิ่งฉิวขนาดนั้นนี่น่ะ น่าจะเดินโซเซล้มหน่อยนะที่จริง” ณิชาว่า เธอหัวเราะหึๆตอนที่เธอแอบแขวะเอื้อย “เอ่อ ใช่.. เวลาเขาง่วงก็เป็นอย่างนั้นล่ะ ”
งั้นให้เราไปส่งมั้ย ถ้าเพื่อนเธอกลับก่อนแล้วน่ะ”
เอ่อไม่เป็นไร เราจะไปทำธุระก่อนน่ะ” ณิชาเลิ่กคิ้ว เธอถามฉันด้วยความสงสัยทันทีว่า..“ธุระเหรอ ตีห้านี่ยังมีธุระอีกเหรอ”
เอ่อ..ใช่..เรานัดคนรู้จักไว้น่ะ คือเรารีบน่ะ ไปก่อนนะ เดี๋ยวค่อยเจอกันในคาบ” ฉันเอื้อมมือไปจับไหล่ณิชาขอบคุณในน้ำใจที่เธอเป็นห่วง ก่อนจะรีบวิ่งลงไปหน้าอาคารที่ฉันจอดรถมอเตอร์ไซค์ตัวเองไว้ทันที

ฉันรีบขับมอเตอร์ไซค์ออกไปตามถนนเส้นหน้ามอที่ฉันจำได้ว่าหอเอื้อยอยู่ทางนั้น ตอนนี้ด้วยความที่เวลาพึ่งจะตีห้ากว่าๆระหว่างทางจึงทั้งเปลี่ยวทั้งมืด ไม่มีรถ ไม่มีคน ร้านค้าต่างๆก็พากันปิดหน้าถัง มองไปมีแต่แสงไฟจากเสาไฟตามท้องถนนเท่านั้น ฉันขับรถด้วยความเร็วพอประมาณด้วยไม่อยากขับเร็วมากในช่วงเวลาที่ตัวเองกำลังง่วงนอนอย่างนี้
ช่วงเส้นทางที่ฉันขับรถเลยจากโซนตึกอาคารของมหาวิทยาลัยออกมาประมาณยี่สิบกว่าเมตร ถนนแถวนั้นจะเริ่มมืดมากขึ้น เพราะระยะห่างระหว่างเสาไฟจะตั้งอยู่ไกลกันมาก ได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์แสบแก้วหูดังมาตามหลังฉันแต่ฉันก็ไม่ได้หันหลังไปมองอะไร ยังคงขับต่อไปเรื่อยๆ กระทั่งรู้สึกตัวอีกทีเสียงแสบแก้วหูดังๆเสียงนั้นมันก็เริ่มมาดังอยู่ใกล้ๆฉันแล้วตอนนี้...
อารมณ์กลัวทำให้ฉันนึกภาพเก่าๆขึ้นมาอีกครั้ง ฉันหันไปมองตามเสียงทันทีที่เผลอคิดว่าบางทีมันอาจจะเป็นแบบนั้นอีกก็ได้ แล้วก็เป็นจริง.. สิ่งที่ฉันเห็นทำให้ฉันสะดุ้งผวาเข้าไปใหญ่ เพราะด้านข้างฉันมีผู้ชายร่างใหญ่ดำทะมึนกำลังขับมอเตอร์ไซค์มาประกบฉัน เขายื่นมือข้างที่ไม่ได้บังคับแฮนด์รถออกมาจับหน้าอกฉันทันทีที่ขับเข้ามาใกล้ ฉันร้องกรี๊ด ทั้งกลัวทั้งตกใจแต่ก็พยายามตั้งสติพยายามประครองรถไว้ไม่ให้เสียการทรงตัว ความกลัวที่จะเกิดอุบัติเหตุอย่างตอนนั้น ทำให้ฉันทำได้แค่ขับรถแล้วร้องกรี๊ดตะโกนขอความช่วยเหลือไปตามทาง โดยมีไอ้โจรบ้ากามขับรถขนาบข้างแล้วจับหน้าอกฉันค้างไปเรื่อยๆ...
ในขณะที่ฉันกำลังคิดหาทางเอาตัวรอด ทั้งพยายามสะบัดเหวี่ยงมือมันออกจากหน้าอกและบังคับรถที่กำลังเซๆไม่ให้ล้มอยู่นั้น อยู่ๆก็มีมอเตอร์ไซค์คันนึงขับมาขนาบข้างไอ้โจรนั้นไว้ ฉันมองทะลุไปยังรถอีกคัน ก็เห็นภาพผู้หญิงผมบอนด์กำลังขับรถสกูตเตอร์มาใกล้...ณิชานี่!!?? ฉันมั่นใจว่าเป็นเธอเมื่อเห็นกล่องใส่แบบสีน้ำเงินแขวนไว้ที่หลังและกางเกงขาสั้นผ้ามันที่กำลังยกขึ้นสูงตามขาของเธอ!!??...

...โอใช่..ตอนนี้ณิชาก็กำลังยกขายื่นเท้าออกมาถีบหน้าไอ้โจรบ้ากามนั้นเข้าเต็มๆแล้ว...

ด้วยแรงกระทบเต็มๆจังๆของเท้าเธอนั้น ทำให้ตอนนี้รถของไอ้โจรบ้ากามนั้นเซล้มมาโดนรถฉันแล้วกลายเป็นล้มลงไปกับพื้นถนนด้วยกันทั้งสองคัน แล้วหลังจากนั้น..เหตุการณ์ต่างๆที่ตามมาก็เกิดขึ้นไวมาก พอรถฉันกับโจรล้ม ณิชาก็รีบจอดรถแล้ววิ่งเอากล่องแบบมาฟาดหัวโจร ซึ่งพอๆกันกับที่นัทหล่อกับนัทแว่นที่บังเอิญขับรถออกมาจากร้านสะดวกซื้อแถวนั้น รีบวิ่งมาจากรถแล้วพากันเอาถ้วยกาแฟร้อนๆที่เขาพากันไปกดซื้อในร้านสะดวกซื้อ เทสาดใส่ไอ้โจรคนนั้นเข้าให้ ฉันเห็นพวกเขายืนสามัคคีลงแขกบาทาเจ้าโจรอยู่พักใหญ่ๆ ก่อนที่นัทหล่อกับนัทแว่นจะช่วยกันจับโจรไว้แล้วโทรตามตำรวจมา
ฉันนั้นกระโดดออกจากรถตั้งแต่เริ่มเห็นณิชายกขาขึ้นถีบแล้ว พอตอนนี้รถล้มฉันก็เลยไม่เป็นอะไรมาก มีเพียงด้านหลัง หัวเข่าและต้นขาที่ถลอกปอกเปิกเล็กๆน้อยๆเท่านั้น ซึ่งณิชาก็รีบมาพยุงฉันขึ้นทันทีที่เธอกับพวกเขาช่วยกันจัดการโจรไว้ได้แล้ว

เป็นยังไงบ้างเจ้ย เห็นมั้ยเราบอกแล้วให้เรามาส่งดีกว่า”ณิชาหยิบผ้าเช็ดหน้าเธอขึ้นมาปัดๆเศษฝุ่นตามเนื้อตามตัวฉันออกให้
มันทำอะไรจอเจ้ย!!!” เสียงนัทแว่นตะโกนถามมา ฉันอึ้งก้มหน้ามองหน้าอกตัวเองทันทีที่เริ่มกลับมารู้ตัวว่าโดนไอ้โจรบ้ากามนี้ทำไม่ดีไม่ร้ายเข้าให้แล้ว ...บ้าชะมัดเลยอ่ะ ทำไมฉันถึงชอบเจอไอ้พวกบ้าพวกนี้ตลอดเลย...ฉันร้องไห้โฮขึ้นทันทีที่คิดได้ ณิชาคงเห็นที่ฉันโดนจับหน้าอกและคงรู้ว่าฉันคงอายไม่กล้าบอกเพื่อนชายทั้งสองคน เธอเลยหันไปส่งซิกชี้ไอ้หมอนั่นแล้วทำท่าขยำหน้าอกตัวเองก่อนจะชี้มาที่ฉัน ซึ่งทำแค่นั้นนัทแว่นก็พอจะเข้าใจความหมายได้เป็นอย่างดี ฉันเห็นเขาออกอาการโมโหฮึดฮัดก่อนจะใช้เท้าถีบหลังมันแรงๆทันทีที่เขาสบถด่ามันเสร็จ...
ไอ้เชี้ยยย...มึงทำอย่างนั้นกับจอเจ้ยได้ยังไง....”

////////////////////////////////////////////////////////

เจ้ยเป็นยังไงบ้าง!!”
เสียงตะหนกตกใจของเอื้อยดังมาตามสายโทรศัพท์ หลังจากที่ฉันติดต่อเธอไม่ได้เลยตลอด3ชั่วโมงที่ผ่านมา...
...ก่อนหน้านั้นราวๆหกโมงเช้า หลังจากที่จัดการจับเจ้าโจรเสร็จและตำรวจก็มา พวกเราทั้งสี่คนก็ต้องไปให้ปากคำกับตำรวจที่โรงพัก ฉันพยายามติดต่อเอื้อยตลอด ทั้งอยากง้อเธอทั้งอยากเล่าเรื่องไม่ดีที่เกิดกับตัวฉันให้เธอรู้ หวังให้เธอมาดูแลปลอบใจฉัน แต่ก็ไม่ได้ผล เธอยังคงไม่รับโทรศัพท์ฉัน จนกระทั่งฉันต้องให้ณิชาถ่ายรูปฉันนั่งในโรงพักกับตำรวจ พร้อมทั้งถ่ายรูปบาดแผลต่างๆให้แล้วส่งภาพพวกนั้นไปในไลน์ให้เธอดู ด้วยอยากให้รู้ว่าฉันตกอยู่ในอันตรายขนาดไหน แต่เธอก็ไม่อ่านไลน์ จนกระทั่งตอนนี้เกือบๆจะสองโมงเช้า เลยเวลาที่ฉันพยายามโทรติดต่อโทรมาเกือบๆจะสามชั่วโมงแล้ว..
ก็เป็นอย่างที่ส่งให้ดูนั่นล่ะ หึ..นึกว่าจะปล่อยให้ตายซะแล้ว” ฉันตัดพ้อต่อว่าเอื้อยด้วยความน้อยใจสุดแสนจะน้อยใจ ไม่นึกว่าแฟนตัวเองจะไม่สนใจใยดีตัวเองขนาดนี้เลย นี่ถ้าไม่ได้ณิชาช่วยไว้ฉันจะเป็นยังไงนะนี่ เอื้อยร้องโอ้ยเบาๆที่ได้ยินฉันค่อนแคะ เธอรีบแก้ตัวเสียงอ่อยๆผ่านทางโทรศัพท์ว่า..
เค้าขอโทษ เค้าไม่คิดว่าจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับเจ้ย เค้าขอโทษจริงๆนะ..เดี๋ยวไงแค่นี้ก่อนเค้าจะรีบออกไปหาเจ้ยอยู่โรงพักเลยดีกว่า เจ้ยรออยู่นั่นก่อนนะเดี๋ยวเค้าจะรีบไปหา” เอื้อยรีบวางสายไปปล่อยให้ฉันรอให้ปากคำเพิ่มเติมกับณิชาต่อ ส่วนเพื่อนชายทั้งสองในฐานะพยายานและพลเมืองดี พวกเขาขอตัวกลับก่อนหน้านั้นประมาณ10นาทีแล้ว ฉันเก็บโทรศัพท์แล้วเดินมานั่งรอตำรวจที่โต๊ะร้อยเวรสืบสวนข้างๆณิชา หญิงสาวยิ้มทันทีที่เห็นฉัน เธอรีบถามฉันด้วยความเป็นห่วง
เป็นไงบ้าง..เจ้ยโทรหา..เพื่อนคนนั้นเหรอ” ฉันพยักหน้ารับแต่ไม่พูดอะไรกับหญิงสาวต่อ “..เขาหายโกรธหรือยังล่ะ”
ก็คงหายแล้วล่ะ ดีไม่ดีเรานี่ล่ะจะเป็นฝ่ายโกรธเขาแทน..” ฉันหน้าบึ้งคิ้วขมวด นึกโมโหเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเองในตอนนี้โดยที่แฟนตัวเองก็ไม่สนใจจะมาดูดำดูดีอะไรเลย ให้ตายเถอะ..แล้วอะไรจะซวยขนาดนี้ฉัน ทั้งแฟนก็โกรธให้ ทั้งโดนโจรบ้ากามมาจับหน้าอกอีก นี่เช้านี่จะไปเรียนทันหรือเปล่ายังไม่รู้เลย ดีที่ปิดพ่อแม่ไว้ไม่ให้ท่านรู้ ไม่อย่างนั้นฉันคงจะไม่ได้อยู่ที่หออีกแน่ๆ เฮ้อ..นี่มันเป็นวันเฮงซวยของฉันจริงๆ ฉันทั้งคิดทั้งเหวี่ยงสะบัดหัวด้วยความหงุดหงิดหงุ่นหง่าน ซึ่งก็อาจจะมาจากความง่วงที่ฉันไม่ได้นอนมาทั้งคืนนั้นด้วยกระมัง...

ง่วงหรือเปล่าล่ะ..นอนก็ได้นะ มานอนกับไหล่เราก็ได้ถ้าไม่กล้านอนที่ไหนน่ะ” ณิชาคงเห็นท่าทางโมโหง่วงของฉัน เธอจึงเอื้อมมืออ้อมหัวมาจับแก้มฉันอีกข้างแล้วดันหัวฉันให้ซบลงกับไหล่ของเธอ ฉันสะดุ้ง แต่ก็โอนอ่อนผ่อนตัวไปตามแรงที่เธอดันฉันทันที..
เวลานอนเรามีน้อย มีเวลาอย่างนี้แล้วก็ใช้ให้เป็นประโยชน์รีบนอนซะเข้าใจมั้ย..” เธอพูดข้อความชวนขำ ก่อนจะก้มหน้ามองฉันที่ก็ยิ้มรับในมุกตลกฝืดๆของเธอทันที..
...นี่ถ้าเมื่อคืนฉันไม่ได้เธอช่วยไว้ฉันจะเป็นยังไงนะ ยัยผู้หญิงบ้าบิ่น เธอบ้ามากเลยนะที่กล้าเผชิญหน้ากับโจรในสถานการณ์ที่อันตรายอย่างนั้นได้ นึกถึงภาพเธอยื่นเท้าถีบเต็มแรงแล้วก็ยิ่งอึ้ง นี่เธอไม่ห่วงกลัวตัวเองเป็นอันตรายเลยหรือไงกัน ถ้าเธอเกิดบาดเจ็บขึ้นมาจากเหตุการณ์ที่เธอช่วยฉันครั้งนั้น ฉันคงรู้สึกผิดและทำใจไม่ได้ตลอดชีวิตแน่ๆ ยิ่งคิดยิ่งมองหน้าเธอตอนนี้ฉันก็ยิ่งรู้สึกดีต่อใจ จนเผลอทิ้งตัวซบลงไปกับไหล่ณิชาด้วยความรู้สึกอบอุ่นใจอย่างที่ไม่เคยมาก่อน ซึ่งหลังจากนั้นไม่นาน ก็กลายเป็นว่าฉันหลับไปบนไหล่ณิชาจริงๆ...

เสียงเรียกชื่อของฉันปลุกให้ฉันสะดุ้งตื่นอีกครั้งนึง ฉันหันไปมองที่มาของเสียง เอื้อยนั่นเอง ตอนนี้เธอในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ของเธอยืนอยู่ข้างๆเก้าอี้ที่ฉันนั่งแล้ว เธอคิ้วขมวดมองฉันนอนซบกับณิชาด้วยใบหน้าตกใจและเสียใจอยู่นานก่อนจะหันมาถามด้วยเสียงเบาๆอ่อยๆฟังดูเหมือนคนรู้สึกผิด...
เจ้ยเป็นยังไงบ้าง...เกิดอะไรขึ้นกับเจ้ยนี่..”ฉันใบหน้าเหยเก จากที่ยิ้มดีใจเพราะเห็นเธอครู่นี้ก็กลายเป็นร้องไห้ รีบลุกโผเข้าไปกอดเธอด้วยความอึดอัดอัดอั้นใจ ด้วยอยากเล่าและอยากระบายเหตุการณ์ร้ายๆที่เกิดขึ้นกับตัวเองให้คนรักฟังเหลือเกิน เอื้อยสวมกอดรับ หญิงสาวลูบหลังทั้งพยายามพูดปลอบใจให้ฉันเลิกตื่นกลัวและรนราน ซึ่งทั้งหมดนี้ก็อยู่ในสายตาหมองๆหม่นๆของณิชาที่จ้องมองดูเราด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจของเธอ..

/////////////////////////////////////

เค้าขอโทษนะที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้เจ้ยต้องเจอกับเหตุการณ์อย่างนี้อีกแล้วน่ะ..” เสียงอ่อยๆของเอื้อยดังขึ้นในรถตอนที่ฉันให้ปากคำกับตำรวจเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก่อนหน้านั้นหลังจากที่รถของฉันถูกส่งไปที่ร้านซ่อมรถเพราะบังลมแตกและส่วนอื่นๆเสียหายเล็กน้อยจากการกระแทก เอื้อยก็ทำหน้าที่พาฉันไปส่งที่หอ เธอคิ้วขมวดทำหน้าเซ็งๆตอนที่บอกลาและขอบคุณณิชาที่ช่วยฉันไว้ก่อนจะกลับ ส่วนณิชาก็ทำหน้าเฉยชาตอบรับ แต่แอบหันมามองหน้าฉันด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ ตอนนี้พอเอื้อยขับมาส่งฉันถึงหลังหอ หญิงสาวก็รีบจับมือฉันขึ้นมากุมขอโทษ สีหน้าท่าทางบ่งบอกว่าเธอรู้สึกผิดและสำนึกผิดที่เป็นต้นเหตุทำให้ฉันเจอเรื่องไม่ดีอีกครั้งแล้ว

อืม..” เสียงขรึมๆของฉันขานรับ ก่อนจะก้มหน้ามองมือข้างที่ตำรวจใส่ยาและทำแผลให้ ทั้งพยายามเอื้อมมือไปสำรวจหลังที่ฉันล้มลงพื้นตอนที่กระโดดจากรถลงไปใหม่ๆ ฉันว่ามันน่าจะมีแผลหรือไม่ก็ร่องรอยฟกช้ำอะไร แต่ฉันไม่ได้ให้ตำรวจดูให้ ด้วยความอายที่ต้องเปิดส่วนต่างๆในร่มผ้าให้ผู้ชายดู
เจ็บเหรอ ให้เค้าดูแผลให้มั้ย” หญิงสาวตาละห้อยตอนที่ว่า เธอเอื้อมมือมาจับแขนฉันไปลูบๆคลำๆ ทั้งชะโงกหน้าไปดูด้านหลังฉันด้วยความเป็นห่วง
วันนี้คงไปเรียนไม่ทันกันหรอก ไม่ต้องไปดีมั้ย เดี๋ยวเค้า..เอ่อ ขึ้นไปดูแผลให้เจ้ย เอ่อ..ข้างบนหอดีกว่า” ฉันเหล่ตามองค้อนก่อนจะบ่นว่า.. “จะดูแผลหรือจะดูอะไร”
เฮ้ย..ไปดูแผลสิ ดูหน้าเค้าสินี่มันเหมือนคนคิดมิดีมิร้ายอยู่ตลอดเวลาหรือไงกัน จริงจังนะนี่ เค้าเป็นห่วงเจ้ยจริงๆ เดี๋ยวขออนุญาติพี่หอเจ้ยขึ้นไปดูแผลอยู่ห้องแป๊บเดียวก็ได้อ่ะ..”ฉันมองค้อน อารมณ์โมโหทำให้ฉันยังเคืองอยู่ แต่เรื่องราวร้ายๆก่อนหน้านั้นก็ทำให้ฉันนึกอยากจะอยู่ใกล้ๆกับเธอไม่ต่างกัน คิดในใจได้เช่นนั้นฉันก็ตอบตกลงแล้วพาเธอไปขออนุญาติพี่หอทันที..

อ้าว รูมเมทเจ้ยไม่อยู่อีกเหรอ”เสียงเอื้อยดังขึ้นในห้องฉันหลังจากนั้น
อืม..คงไม่อยู่แล้วมั้ง” ฉันตอบรับก่อนจะปิดประตูห้องแล้วหันมามองหญิงสาวที่จ้องมองส่วนต่างๆในห้องด้วยความตื่นเต้นของเธอต่อ เธอมองไปที่พัดลมเพดานและพัดลมตั้งโต๊ะอีกตัวที่ฉันตั้งไว้ข้างๆเตียงก่อนจะถามว่า..
ร้อนมั้ย ทำไมไม่เอาพัดลมมาเพิ่มอีกตัว”
ก็พออยู่ได้ ถ้าร้อนมากๆก็เปิดบานเกร็ดออก ดีที่มีมีมุ้งลวดอยู่ยุงเลยไม่เข้า” เอื้อยยิ้มรับก่อนจะจับตัวฉันให้มานั่งนิ่งๆที่เตียงแล้วบอกให้ฉันถอดเสื้อออก
เฮ้ย เป็นแผลอยู่นะ นี่เป็นรอยถลอกแดงๆจ้ำๆอยู่นี่” หญิงสาวว่ามือเธอก็จิ้มจึกๆที่แผลฉันไป
โอ้ยแล้วจะจิ้มทำไมคะ ดิฉันเจ็บนะคะคุณเนตรอัปสร” ฉันร้องโอดโอยตอนที่หันไปมองค้อนเธอ
ต้องทายา มียาแดงหรือยาสำหรับทำแผลอะไรมั้ย” เธอถาม ฉันพยักหน้ารับก่อนจะยิ้มด้วยความภูมิใจ “มีสิแม่เตรียมมาให้ทุกๆอย่างแล้วนี่ หึ ในที่สุดก็ได้ใช้จริงๆอย่างที่แม่บอก” ฉันเดินไปหยิบมันมาส่งให้เอื้อยแล้วนั่งหันหลังให้เธอีกครั้ง หญิงสาวเก้ๆกังๆอยู่ด้านหลังก่อนจะบอกให้ฉันถอดเสื้อชั้นในให้เพราะกลัวยาแดงเปื้อน ฉันตอบรับจัดการปลดให้ เธอจึงใช้สำลีชุบยาทำแผลให้หลังจากนั้น ได้ยินเสียงขอโทษพึมพัมๆระหว่างทำแผล ก่อนจะกลายเป็นนั่งร้องไห้ออกมาเมื่อทุกอย่างแล้วเสร็จ...
เป็นอะไร..” ฉันถามเธอด้วยความเป็นห่วง
เค้าขอโทษนะ เค้ารู้สึกผิดจริงๆที่เค้าทำให้เจ้ยเป็นแบบนี้อีก เค้าแค่..แค่รู้สึกเสียใจที่เห็นเจ้ยโกหกเค้าเรื่องผู้หญิงคนนั้น เค้าเลยหนีเจ้ยและไม่อยากรับโทรศัพท์ไม่อยากรับฟังเรื่องที่เจ้ยจะแก้ตัวอีก ถ้าเค้ารู้ว่าเจ้ยจะขับรถออกมาตามเค้าอย่างนี้ เค้าคงจะขับรถออกมาหาเจ้ยแล้ว” เอื้อยว่า เธอก้มลงร้องไห้สะอึกสะอื้นตอนที่พูด
เค้ารู้..ว่าเอื้อยเสียใจ และเค้าก็รู้ว่าเค้าผิดที่โกหกเอื้อยเรื่องกล้องอย่างนั้น เค้าแค่อยากจะอธิบายเอื้อยว่าเค้าบริสุทธิ์ใจที่จะรับกล้องณิชามาใช้โดยไม่ได้คิดอะไรเกินกว่านั้นนะ มันก็แค่เพื่อนให้ยืมของกันน่ะ แล้วที่เค้าโกหกเอื้อยตอนนั้นก็เพราะเห็นว่าเอื้อยยังระแวงณิชาอยู่ ถ้าเอื้อยรู้ว่ากล้องตัวนี้มาจากณิชาอีก เอื้อยก็คงจะคิดมากอีกน่ะ” ฉันก็ร้องไห้ ตอนนี้ฉันเอื้อมมือไปลูบน้ำตาที่แก้มเอื้อยออก ก่อนจะโผซบกอดเธอแล้วร้องไห้ไปด้วยกัน
เค้ารู้นะว่าเอื้อยหึงเค้ากับณิชาแต่เค้าบริสุทธิ์ใจจริงๆและมันก็ไม่มีอะไรจริงๆระหว่างเค้ากับณิชาน่ะ เอื้อยจะไว้ใจเค้าได้มั้ย หรือว่าเค้าจะต้องทำยังไงเอื้อยถึงจะเชื่อเค้า” หญิงสาวสะอื้น เธอผละตัวออกมาเสนอความต้องการหลังจากนั้น
ถ้าอย่างงั้น เจ้ยเอากล้องไปคืนเขาได้มั้ย ไม่ต้องใช้กับเค้าได้มั้ย เค้าไม่อยากให้เจ้ยใช้อะไรก็ตามที่มาจากผู้หญิงคนนั้น..”
เอื้อย..”ฉันคิ้วขมวดมองหน้าเอื้อย ทั้งคิดหนักเรื่องกล้องที่อุตส่าห์มีไว้ใช้ถ่ายงานตัวเองแล้วแท้ๆ และเพื่อนก็อุตส่าห์มีน้ำใจต่อตัวเองอย่างนี้แล้วฉันจะปฏิเสธเขาอย่างไรกัน เอื้อยคงรู้ เพราะเธอก็คิ้วขมวดนั่งรอฟังคำตอบจากฉัน สีหน้าเธอนั้นออกอาการเคร่งเครียดไม่พอใจทันที “เจ้ยจะไม่คืนให้ณิชาใช่มั้ย จะไม่...” “หยุด!!!” ฉันตัดบท ยกมือขึ้นห้ามศึก ถ้าฉันไม่ยอมเสียทีเรื่องนี้ท่าทางจะไม่จบง่ายๆ
ก็ได้..เค้าโอเค เค้ายอมก็ได้ เอื้อยจะจบมั้ย เดี๋ยวเค้าจะเอาไปคืนณิชาเอง เอื้อยจะโอหรือเปล่า” เธอนั่งนิ่งเม้มปากมองค้อนฉันทันทีที่เห็นท่าทางตกปากรับคำส่งๆอย่างนั้น “ทำเหมือนไม่เต็มใจเลยเนอะ มันสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ”
เอื้อย..จะทะเลาะกันอีกแล้วใช่มั้ย ดูเค้าก่อนดีมั้ย เค้าเจ็บขนาดนี้เพราะอะไร..”ฉันทำเสียงซีเรียสพยายามเตือนสติเธออีกครั้ง ได้ผลหญิงสาวหยุดต่อกร เธอกลับมาทำตาละห้อยทันทีที่โดนว่า เธอยื่นมือมาลูบแผลตามเนื้อตามตัวฉัน ก่อนจะพึมพัมขอโทษด้วยความรู้สึกผิดของเธออีกครั้งนึง
อารมณ์เซ็งที่โดนชวนทะเลาะเรื่อยทำฉันหน้างอหน้าคว่ำ หนำซ้ำยังโดนบังคับให้คืนกล้องให้เพื่อนอีก ฉันคิ้วขมวดนั่งกอดอกนึกเบื่อไม่รู้ว่าเธอจะโกรธอะไรอีกเมื่อไหร่ และเอื้อยคงรู้ว่าฉันเริ่มงอนและไม่พอใจ เธอเลยพยายามออเซาะฉันด้วยการทิ้งตัวลงกอดซบแผ่นหลัง ทั้งยื่นมือมาลูบคลำลำตัวด้านหน้าฉันไปเรื่อย
หืม?? อะไรนี่..” ร่างฉันโอนเอนไปตามแรงหอมจากริมฝีปากที่เอื้อยพยายามทำจากด้านหลัง ส่วนด้านหน้านั้น มือข้างหนึ่งเธอลูบคลำเค้นคลึงหน้าอกฉัน อีกข้างนั้นมันไหลลงไปยังในขอบกางเกงยีนส์ขาสั้นของฉันแล้ว..
ไหนบอกจะมาดูแผลเฉยๆไง โอ้ย..ทำ..อะ..ไร..เนี่ยยย....” ฉันเสียงอ่อน พูดไม่เป็นคำทันทีที่ปลายนิ้วซุกซนของเอื้อยเคลื่อนผ่านกางเกงชั้นในไปยังส่วนของเนื้อนุ่มนิ่มแสนรักส่วนนั้นของฉัน ตอนนี้นิ้วเรียวๆของเธอกำลังควานหาพื้นที่ร่องใจกลางของเนินเนื้อนั่น ซึ่งฉันก็สะดุ้งทันทีที่มันเคลื่อนผ่านเข้าไปเจอจนได้..
อือ.....”ฉันร้องคราง พยายามโอนตัวพิงหลังไว้กับเอื้อยทันทีที่เธอเร่งจังหวะเลื่อนขึ้นลงของปลายนิ้วเป็นเร็วและรัวขึ้น ตอนนี้มือข้างที่จับหน้าอกฉัน เธอก็เปลี่ยนมาใช้ปลายนิ้วค่อยๆนวดคลึงยอดถุมถันของฉันให้ ฉันรู้สึกเสียววูบๆวาบๆ ทั้งเกร็งขาจนต้องพยายามขยับชิดหนีบมันไว้ทั้งสองข้าง มือไม้ฉันก็เคลื่อนที่ไร้ทิศทาง ทั้งจิกรั้งผ้าปูที่นอนทั้งปัดป่ายเอื้อมขึ้นไปจับใบหน้าของเอื้อยที่กำลังจูบพรมแถวๆใบหน้าฉันด้วยอารมณ์ใคร่กระหายอย่างหยุดไม่อยู่..
เอื้อยหายใจแรงและถี่ขึ้น เธอโน้มตัวเคลื่อนใบหน้าก้มลงหอมซ้ำๆที่ซอกคอของฉัน เหมือนเธอคุมสติที่กำลังเตลิดจากสิ่งที่ทำอยู่นี่ไม่ไหว จนกระทั่งห้ามใจไม่ได้แล้วกลายเป็นเผลอดูดต้นคอฉันเข้าเต็มแรง...
ฉันสะดุ้ง พยายามใช้มือดันหัวเอื้อยออก ด้วยเริ่มรู้ตัวว่าเธอคงต้องการทำบางอย่างให้คนอย่างเช่นณิชารู้ว่าฉันมีเจ้าของแล้ว...

เอื้อยอย่าทำมันจะเป็นรอย..โอ้ย..” ยิ่งฉันบอกเธอยิ่งแกล้งเร่งจังหวะปลายนิ้วใหญ่
ก็ดีสิ เขาจะได้รู้ว่าเจ้ยมีแฟนแล้ว..เจ้ยมีเจ้าของแล้ว..จะได้ไม่กล้ามาอยู่ใกล้ๆเจ้ยอีก..” หญิงสาวว่า พลางเร่งจังหวะมือและแรงดูดต้นคอฉันขึ้นอีกจนฉันอ่อนละทวย กลายเป็นไม่มีแรงดันหรือขัดขืนอะไร ได้แต่ปล่อยให้เธอทำตามความพอใจของเธอไป ความรู้สึกเคลิ้มจนเหมือนจะล่องลอยกำลังเกิดขึ้นกับฉัน แต่ก็เกิดขึ้นได้หลังจากนั้นไม่นานเท่าไหร่ ทุกอย่างก็ต้องกลายเป็นชะงักทันทีที่เราได้ยินเหมือนมีเสียงไขกุญแจจากนอกห้องเข้ามา...

ฉันสะดุ้งตกใจรีบดันเอื้อยให้นอนลงไปบนเตียงแล้วรีบดึงผ้าห่มคลุมตัวเธอไว้พร้อมๆกับตัวฉันทันที...

เสียงเปิดประตูห้องดังมาพร้อมๆกับที่ฉันจับหัวเอื้อยดันลงไปด้านล่างตัวฉัน ส่วนตัวฉันนั้นแสร้งทำเป็นนอนแล้วโผล่เฉพาะส่วนหัวกับคอขึ้นมาเท่านั้น เนื่องจากท่อนบนก่อนหน้านั้นมันยังเปลือยเปล่าอยู่ ฉันหรี่ตาแอบมองทั้งๆที่ยังแกล้งหลับ ตอนนี้ภาพที่เห็นเป็นหญิงสาวร่างเล็กๆค่อยๆเปิดประตูเข้ามาในห้อง “ปลา” รูมเมทฉันนั่นเอง ฉันเห็นเธอยืนถอดรองเท้าอยู่ที่เก็บข้างผนังอยู่ครู่นึงแล้วแอบชำเรืองมองมาที่เตียงของฉัน เธอสะดุ้งเล็กๆก่อนจะค่อยๆเดินย่องลงเท้าไปที่เตียงเธอเบาๆด้วยความเกรงใจที่เห็นฉันหลับอยู่....
ปลาเดินไปเก็บของและทำอะไรอยู่แถวๆเตียงของเธอ ฉันเห็นเธอหยิบจับและค้นหาของในลอคเกอร์ของเธออยู่พักใหญ่ๆ ในระหว่างที่ฉันกำลังแอบลืมตาแอบมองนั้นอยู่ๆก็มีความรู้สึกเหมือนมีอะไรชุ่มๆมาดูดๆดันๆอยู่แถวๆยอดหน้าอกของฉัน..เอื้อย..เธอแน่ๆฉันยื่นมือไปตบหัวเธอทันทีที่นึกขึ้นได้..ได้ยินเสียงอูยเบาๆหลังจากนั้นทันที..
ตอนนี้ฉันทำเป็นดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มหัวตัวเองไว้ก่อนจะค่อยๆเลื่อนตัวเข้าไปกระซิบกระซาบคุยกับเธอในผ้าห่ม
ทำอะไรนี่!! เพื่อนอยู่ในห้องอยู่นี่เห็นมั้ย”
เห็น..แต่มันอดใจไม่ได้น่ะ..อยู่ต่อหน้าต่อตาขนาดนี่” เอื้อยว่า เธอกระซิบกระซาบคืนกลับมาด้วยน้ำเสียงกรุ้มกริ่ม “บ้า..เดี๋ยวเถอะ” ฉันมองค้อนเอื้อยทั้งยื่นมือไปหยิกแก้มเธอด้วยความหมั่นไส้ ระดับความหื่นชักจะมากไปแล้วนะยัยคนนี่ เธอทำเป็นเจ็บทำเป็นตาเล็กตาน้อยมองฉัน ก่อนจะยื่นมือมาจับหน้าฉันแล้วโน้มใบหน้าเธอมาขโมยจูบลึกล้ำจากฉันอีก ฉันตกใจแต่ก็ไม่ได้แสดงออกอะไร ด้วยกลัวว่าเพื่อนจะจับพิรุธได้หากยิ่งกระดุกกระดิก หญิงสาวประครองหน้าฉันมอบจูบดื่มด่ำให้อยู่นานกว่าจะยอมผละออก เธอจ้องมองฉันด้วยใบหน้าแดงระเรื่อให้ความรู้สึกทั้งอายทั้งมีความสุขซึ่งก็ไม่ต่างจากฉันเลย แต่หน้าฉันตอนนี้มันคงแดงไปมากกว่าเธอแล้ว
ทำอะไรนี่ ได้ทีเอาใหญ่เลยนะ ไม่กลัวเลยหรือไง..” ฉันกระซิบกระซาบต่อว่าคนขี้โกงด้วยความงอนแสนงอน ถ้ารูมเมทจับได้จะเอาหน้าไปไว้ไหน
ก็กลัวอยู่ แต่..มันก็ตื่นเต้นดี ได้จูบเจ้ยอย่างนี้มันรู้สึกดียังไงไม่รู้..” เธอกระซิบ ดวงตาก็หวานเยิ้มตอนที่เธออธิบายฉันต่อ.. “นานแล้วนะที่เราไม่ได้จูบกันเลย ตั้งแต่เราจบปิดเทอมม.6มาแล้วมั้ง..” ฉันอมยิ้มทันทีที่คิดตาม ทั้งโน้มหน้าไปหอมผมเธอด้วยเข้าใจความรู้สึกโหยหาที่เธอกำลังบอกมาได้อย่างดี
ใช่สินะ..กี่เดือนแล้วที่เราไม่มีโอกาสได้อยู่ใกล้ชิดกันอย่างตอนนี้ แม้จะไม่ได้มีอะไรกันเป็นชิ้นเป็นอัน แม้จะไม่สมหวังและแห้วรับประทานเหมือนทุกๆครั้ง แต่มันก็รู้สึกดีมากๆเวลาที่เราทั้งสองได้สัมผัสส่วนต่างๆของร่างกายกันอย่างนี้ ไม่รู้สิ..บางทีเราอาจจะอยู่ห่างจากคำว่าเซ็กส์ไปไกลแล้วก็ได้ เราอาจจะไม่มีโอกาสได้เข้าใกล้มันเหมือนคนรักคู่อื่นๆแล้วกระมัง การที่เราไม่สมหวังในเรื่องอย่างนั้นสักที มันก็เลยทำให้สัมผัสเล็กๆน้อยๆที่เกิดขึ้นกับเราทั้งสองอย่างตอนนี้...ดูมีค่าเหลือเกิน...

ฉันนอนกอดกับเอื้อยในผ้าห่มอยู่นานจนได้ยินเสียงเปิดและปิดประตูห้องน้ำ เมื่อรีบโผล่ผ้าห่มออกมาดูก็เห็นกองเสื้อผ้าชุดที่ปลาใส่เข้ามาในห้องเมื่อกี้ถอดวางอยู่ในตะกร้า นี่เขาคงจะอาบน้ำสินะ คิดได้ดังนั้นฉันก็รีบยกตัวขึ้นแล้วรีบจับเอื้อยให้ลุกขึ้นตามทันที
ไป..เอื้อยรีบกลับไปก่อนเลย เดินลงไปบอกพี่หอ แจ้งชื่อว่าจะกลับแล้วเดี๋ยวเค้าก็จะให้เซ็นออกให้” ฉันกระซิบกระซาบบอกเอื้อยตอนที่หยิบเสื้อคณะสีดำที่ถอดออกก่อนหน้านั้นขึ้นมารีบสวม เอื้อยก็รีบแต่ก็ยังไม่วายโน้มหน้ามาขโมยจูบฉันอีกตอนที่เธอหยิบกระเป๋าเตรียมเดินออกไป
“..มาทั้งทีต้องเอาให้คุ้ม” เธอว่า ดวงตาเจ้าเล่ห์คู่นั้นยียวนกวนจนฉันอดที่จะเขกหัวเธอดังโป๊กไม่ได้ เธอร้องโอ้ยก่อนจะรีบก้าวเท้าออกไปจากห้องทันทีที่ฉันเปิดประตูให้ “อ้อ..ใกล้วันเกิดสาแล้วนะ นึกออกหรือยังเรื่องที่เค้าเคยถามเจ้ยน่ะ นึกให้ออกนะพรุ่งนี้แล้วนะ..” หญิงสาวยิ้มหวานส่งสายตาสื่อความหมายถึงเรื่องพิเศษบางอย่างที่เธอเคยถาม ก่อนจะรีบเดินไปตามทางด้วยความอารมณ์ดี
เมื่อเอื้อยออกจากห้องไปแล้วฉันก็รีบกลับมานั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่ที่เตียงนอนต่อ ตอนนี้เพื่อนของฉันเดินออกมาจากห้องน้ำแล้ว “อ้าวเจ้ย..ตื่นแล้วเหรอ” ปลาทั้งถามทั้งยิ้ม เธอขยับชุดที่เธอเปลี่ยนในห้องน้ำให้เรียบร้อยก่อนจะเดินเอาผ้าเช็ดตัวไปตากหลังห้อง ส่วนฉันแกล้งหาวหวอดๆก่อนจะตอบรับว่าตื่นแล้ว ครูหนึ่งหลังจากนั้นหญิงสาวคนเดิมเดินกลับจากระเบียงเข้ามา เธอเดินผ่านมาแถวเตียงฉัน ชำเรืองมองที่วางรองเท้า มองที่โต๊ะทำงาน ทำเหมือนสำรวจอะไรบางอย่างก่อนจะหันมายิ้มกรุ้มกริ่มมองหน้าฉันอย่างมีเลสนัย สาวตัวเล็กเผยรอยยิ้มพร้อมคำถามที่ชวนสะดุ้งตกใจหลังจากนั้นว่า..
กลับแล้วเหรอ..แฟนเจ้ย”
ห๊ะ!!..อะไรนะ ปะ..ปลาพูดถึงใคร”
ก็แฟนเจ้ยไง..ไม่ต้องอายหรอกน่า เรารู้ว่าเธอน่ะ..พาแฟนมานอนด้วย” ฉันหน้าถอดสี ทั้งตกใจทั้งตะลึงคิดอะไรไม่ออกพูดอะไรไม่ถูก ได้แต่ทำหน้าถอดสีเหรอหรารอดูว่าเพื่อนจะพูดอะไรต่อ...
ทำหน้าอย่างนั้น งงล่ะสิ เธอเป็นทอมใช่มั้ย”หญิงสาวยิ้มเล็กยิ้มน้อยตอนที่ทำเป็นเหนียมอายถามฉัน บ้า..เราไม่ได้เป็น....”
จริงสิ ไม่ได้เป็นทอมแต่มีแฟนเป็นผู้หญิงด้วยกันนี่นะ อ๋อ..หรือเธอเป็นเลสเบี้ยน..”ฉันคิ้วขมวดยิ่งฟังยิ่งอึ้ง ด้วยงงว่าทำไมเพื่อนคนนี้ถึงรู้เรื่องฉันทั้งหมดได้ขนาดนั้น “เฮ้ยไม่ต้องตกใจจนหน้าถอดสีขนาดนั้น เราพวกเดียวกันๆเราก็หญิงรักหญิงเหมือนกันแต่คนละสปีชีย์เฉยๆ เรามีแฟนเป็นทอม ที่เราออกไปอยู่หอด้วยน่ะก็แฟนเรานั่นล่ะ..” ห๊ะ!!..ฉันกระพริบตาปริบๆทันทีที่ได้ยินเพื่อนว่า “นี่คงงงล่ะสิว่าเรารู้เรื่องเธอได้อย่างไร”
ปลาหัวเราะคิกๆคักๆก่อนจะชี้มือไปที่ที่วางรองเท้า “ก็ตอนเราเข้ามา เราเห็นรองเท้าแตะผู้หญิงถอดอยู่สองคู่แต่ตอนนี้มันเหลือคู่เดียว” พูดเรื่องรองเท้าเสร็จหญิงสาวก็รีบย้ายมือมาชี้ที่โต๊ะต่อ “แล้วเราก็เห็นกระเป๋าหนังผู้หญิงสีดำใบเล็กๆวางคู่กับกระเป๋าสีน้ำตาลใบนี้อยู่..แต่..ตอนนี้มันก็ไม่มีแล้ว แล้วที่สำคัญนะ เราเห็นชิ้นส่วนเธอวางอยู่เอ่อ..ตรงปลายเตียงด้วย..เอ่อ..เธอคงลืมเก็บน่ะ”ฉันสะดุ้งตกใจนึกขึ้นได้ถึงเรื่องชิ้นส่วนสำคัญก่อนจะรีบหันไปมอง...
ว้ายตายแล้วววว... ชั้นในของฉันที่ถอดตอนนั้น มันยังวางอยู่บนเตียงอยู่เลย ฉันหน้าซีดจะเป็นลมเสียให้ได้ต้องรีบตั้งสติดึงเอาเสื้อชั้นในตัวเองมาถือแอบไว้ ...โอ้ย โคนันหรือไงนี่..ทำไมช่างสังเกตุขนาดนั้นนนน...
ไงตกลงเธอมีแฟนเป็นผู้หญิงใช่ป่ะ” ปลายิ้มกรุ่มกริ้ม เธอถามฉันด้วยน้ำเสียงยินดีตื่นเต้น อารมณ์ดีใจที่จะได้มีรูมเมทเป็นหญิงรักหญิงเหมือนกัน
เอ่อ..เปล่า..เพื่อนเราน่ะ เจ้าของรองเท้าเขาเป็นเพื่อนเราน่ะ”
อ้าวเหรอ..เพื่อนกันจริงๆสิ” ปลาหัวเราะ “นี่รู้หรือเปล่าว่าตอนแรกเราก็ไม่ได้คิดอะไร ก็คิดว่าเป็นเพื่อนเธอนั่นล่ะนะ จนกระทั่งเรามาเห็นว่าเจ้ยน่ะ เอ่อ...” เธอหยุดพูดแล้วจิ้มมือไปที่คอตัวเองเพื่อส่งสัญญาณให้ฉันสะดุ้งตกใจเข้าไปใหญ่ที่นึกขึ้นได้เรื่องคอที่เอื้อยดูดไปเมื่อครู่นี้ “..เมื่อกี้มันยังไม่ค่อยแดงเท่าไหร่เลย แต่ตอนนี้เริ่มแดงชัดขึ้นเรื่อยๆแล้ว นี่แสดงว่าพึ่งจะแบบ..เอ่อ..กันเลยใช่มั้ยนี่...”
โอ้ย!!!..เราขอโทษ!!! เราไม่ได้ตั้งใจ!!! เรายังไม่ได้ทำอะไรเกินกว่านั้น เธออย่าว่าเรานะ เรายังไม่ได้ใช้ห้องของเราทำอะไรที่ไม่ดีหรอก..” เมื่อหมดทางหนีทีไล่ ฉันได้แต่ยกมือขึ้นไหว้ขอโทษเพื่อนประหลกๆ ด้วยกลัวว่าเพื่อนจะนึกรังเกียจหรือต่อว่าเรื่องที่ใช้ห้องส่วนรวมระหว่างฉันและเขาทำเรื่องไม่ดีอย่างว่าไปแล้ว
เราแค่..เอ่อ..เราแค่..เอ่อ..”ฉันคิดอะไรไม่ออก ไม่รู้จะอธิบายคำว่า “แค่” ของฉันให้เพื่อนฟังว่าอย่างไรดี ในเมื่อตอนนั้นมันก็ยังไม่เสร็จไม่ถึงไหนไม่อะไรอย่างที่ฉันจะบอกจริงๆ
เฮ้ยเจ้ย.เรายังไม่ว่าอะไรเลย มันก็ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย นี่ก็ห้องเธอ เธอก็ทำที่เตียงของเธอไม่ได้มาทำที่เตียงเราสักหน่อย เราก็แค่แซวเธอเฉยๆ คือจริงๆเราก็ควรจะขอโทษเธอนะที่ละลาบละล้วงถามเธอเรื่องส่วนตัวน่ะ แต่แบบเข้าใจเรามั้ยอ่ะ ว่าเราโคตรดีใจเลยที่เห็นรูมเมทตัวเองเป็นหญิงรักหญิงด้วยกัน แบบว่าโคตรฟลุ๊กเลยอ่ะไม่คิดว่าจะมาอยู่ด้วยกันได้ มาๆมาเราขอจับมือหน่อย พวกเดียวกัน” เธอยื่นมือมาจับมือฉันไปเช็กแฮนด์ด้วยความตื่นเต้นดีใจ ส่วนฉันนั้นหน้าซีดค้างด้วยไม่รู้ว่าจะตอบรับเพื่อนว่าอย่างไร ได้แต่กระพริบตาปริบๆมองเขาพูดไปคนเดียวอย่างนั้นต่อ
เฮ้ยไม่ต้องคิดมากน่า นี่ซีเรียสอย่างนี้คงไม่เคยบอกใครสักทีสินะว่าตัวเองเป็นน่ะ ไม่ต้องห่วงนะ ถ้าเธอปิดเรื่องนี้ไว้ก็สบายใจได้เราไม่บอกใครหรอก เราเข้าใจเธออยู่ นี่เราก็ปิดคนอื่นๆเหมือนกัน ไม่มีใครรู้ว่าเรามีแฟนเป็นทอมสักคน เราไม่เคยพูดเรื่องนี้ให้ใครฟังด้วย เพราะถ้าเรื่องรู้ไปถึงหูพ่อแม่เรา เราโดนฆ่าตายแน่ๆเลย เราถึงต้องแอบไปอยู่ด้วยกันกับแฟนอย่างนี้ไง” ปลาว่า เธอเปลี่ยนสีหน้าเป็นซีเรียสทันทีที่พูดถึงเรื่องครอบครัว...

กลายเป็นว่าวันนั้นฉันได้รู้เรื่องราวของปลารูมเมทฉันมากมาย เธอเกิดในครอบครัวที่ต่อต้านเพศที่3มากๆ แฟนของเธอที่เป็นทอมเลยต้องแอ๊บเป็นผู้หญิงเหมือนๆกับเธอเพื่อเข้าออกบ้านและไปไหนมาไหนกับเธอได้ ปลาหยิบรูปของแฟนเธอที่เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันให้ดู เธอก็ดูเหมือนผู้หญิงทุกๆอย่าง เธอไว้ผมยาวและแต่งกายด้วยชุดกางเกงแบบกลางๆไม่ออกทอมบอยและไม่ออกสาวเกินไป คนทั่วไปก็เลยมองว่าเธอเป็นผู้หญิงธรรมดาเหมือนๆกับที่ฉันเห็นในแว๊บแรกนั่น ปลาบอกว่าเธอคบกับแฟนของเธอมาตั้งแต่มัธยมต้นและประคับประครองความรักมาตลอด หลายครั้งที่ท้อใจและเบื่อที่ต้องหลบๆซ่อนๆจนถอดใจจะเลิกกันก็บ่อย แต่ด้วยความรักทั้งสองก็เลยพยายามต่อสู้ด้วยกันมาเรื่อยๆ เธอบอกว่าช่วงแรกๆที่มาอยู่หอด้วยกันพวกเธอมีความสุขมาก กินเที่ยวด้วยกันตลอดเพราะไม่เคยได้ไปไหนมาไหนด้วยกันเสียที จนหลังๆเริ่มอยากอยู่ด้วยกันมากขึ้น ปลาก็เลยเป็นฝ่ายแอบออกไปอยู่หอนอกกับแฟน เธอบอกว่าเธอออกไปและจะกลับมาสแกนบัตรไว้ช่วงสายๆอีกวัน บางวันไม่ได้สแกนก็เสี่ยงที่จะโดนครอบครอบครัวว่า แต่เธอก็ยอมเพราะเธอรักและคิดถึงแฟนของเธอมากนั่นเอง พูดถึงตรงนี้ปลาก็ร้องไห้ขึ้น เช่นเดียวกันกับฉันที่ก็ร้องไห้เพราะอดที่จะสงสารปลาไม่ได้ นี่ล่ะน่ะชีวิตรักหญิงรักหญิง ความเป็นจริงที่หลายๆคนต้องเจอมันโหดร้ายกว่าในนิยายมาก ฉันไม่กล้าแม้แต่จะคิดถึงอนาคตตัวเอง ไม่กล้าแม้แต่จะคิดถึงวันที่ฉันและเอื้อยต้องออกมาจากโลกสวยงามที่มีแต่ในความคิดของเราสองคนเท่านั้น อืม..โลกสวยงามเหรอ..จริงๆมันต้องเรียกว่าฝันสินะ ใช่..ความฝันที่ฉันและเอื้อยไม่กล้าคิดเลยว่าตื่นขึ้นมาแล้วจะเป็นอย่างไร...

/////////////////////////////

จอเจ้ยเป็นไงบ้าง..”เสียงนัทหล่อกับนัทแว่นกระซิบกระซาบถามฉันในคาบเรียนเช้าวันพฤหัสบดีหลังเกิดเหตุการณ์ หลังจากที่ฉันเดินเข้ามานั่งข้างๆพวกเขาด้านหลังห้องเลคเชอร์ ตอนนี้ในห้องยังไม่มีใคร มีเพียงนัททั้งสองกับเพื่อนผู้หญิงเด็กเรียนอีกสามคนที่นั่งด้านหน้าสุด คำถามครู่นั้นทำฉันชะงัก ได้แต่ส่ายหน้าแทนคำตอบว่าไม่เป็นอะไร ทั้งก้มหน้าหลบตาพวกเขาด้วยความอาย เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเพื่อนชายทั้งสองรู้ว่าตัวเองโดนโจรบ้ากามจับหน้าอกแล้ว
ไม่ต้องห่วงนะ พวกเราไม่เล่าให้ใครฟังหรอก เรารู้..ว่ามันเป็นเรื่องไม่ค่อยดีเท่าไหร่” นัทแว่นว่า เขาหันไปมองนัทหล่อที่พยักเหยิดเห็นด้วยกับนัทแว่นทันที ฉันพยักหน้ายิ้มเจื่อนๆรับพวกเขา “ขอบใจนัทหล่อกับนัทแว่นด้วยนะที่ช่วยเราไว้อีกแรง ไม่รู้ว่าถ้ามีแต่ณิชาแล้วจะทำอะไรไอ้บ้านั้นได้หรือเปล่า..”
ทำได้สิ แต่อาจจะเจ็บตัวกว่านี้หน่อยเท่านั้นเอง” เสียงณิชาดังแทรกเข้ามากลางวง จนพวกเราทั้งสามละสายตาออกไปมองเจ้าของเสียง ตอนนี้เธอเดินกระโผกกระเผกเข้ามานั่งข้างๆฉันอีกฝั่ง ฉันหันไปมองก็เห็นสิ่งผิดปกติที่น่าตกใจบางอย่าง ที่ขาของเธอนั้นมีผ้ายืดพันแผลพันขาข้างที่เธอใช้ถีบหน้าโจรไว้ตั้งแต่ข้อขายาวขึ้นมาจนถึงหัวเข่า
เฮ้ย เป็นอะไรมากหรือเปล่านั่น” ฉันทั้งถามทั้งยื่นมือไปจับขาณิชา ซึ่งเธอก็ร้องโอ้ยทันทีที่โดยจับเข้า
เบาๆดิ มันพึ่งมาปวดน่ะ ถีบมันผิดท่าไปหน่อยเลยเคล็ดข้อขาหรือไงไม่รู้” ฉันอมยิ้มที่ได้ยินเธอว่า นึกถึงภาพที่เธอยื่นขาไปถีบโจรแล้วก็ทั้งขำทั้งสงสาร ก็ขับมาแรงขนาดนั้นแล้วยังใช้แรงถีบผู้ชายตกรถได้อีกมันก็ต้องมีการเคล็ดขัดยอกกันบ้างล่ะ
ดีนะนี่ขาไม่หัก..ทีหลังไม่ต้องทำอย่างนั้นก็ได้นะ แค่ตะโกนเรียกคนมาช่วยก็พอแล้ว ตัวเองก็อันตรายเหมือนกัน” น้ำเสียงจริงจังฟังเหมือนตำหนิ แต่สายตากลับจ้องมองเธอด้วยความเป็นห่วง มองยัยผู้หญิงบ้าบิ่นที่นั่งยิ้มน้อยมองฉันไม่สลดอยู่นี่ก็อดที่จะบ่นต่อด้วยความหมั่นไส้ไม่ได้..“ถ้าโจรมันฮึดสู้ขึ้นมาจะทำยังไง ดีนะนี่นัททั้งสองมาช่วยไว้ก่อนไม่งั้นล่ะก็..” ณิชายิ้มยักคิ้ว จากหน้าทะเล้นครู่นี้กลายเป็นหวานซึ้ง เหมือนเธอดีใจที่ได้ยินถ้อยคำเป็นห่วงทางอ้อมของฉัน เธอจ้องมองฉันด้วยแววตาหวานซึ้งละมุนอยู่นานจนฉันก็เผลอยิ้มรับทันทีที่คิดได้ว่าเธอหวังดีกับฉันขนาดไหน มองสายตาหวานๆของณิชาก็รับรู้ได้ว่ามีบางอย่างกำลังเปลี่ยนไป ซึ่งฉันก็ไม่รู้ว่าเป็นไปแบบไหน รู้แต่ว่ามันเป็นความรู้สึกดี อบอุ่น อยู่ด้วยแล้วสบายใจ กระทั่งเผลอใจสั่นทันทีที่เธอขยับมุมปากยิ้มหวานให้อีกครั้ง...
ใจเด็ดมากเลยอ่ะ เห็นสวยๆเปรี้ยวๆอย่างนี้ แต่นิสัยโคตรแมนเลยนะเจ๊..” เสียงนัทหล่อดังแทรกเข้ามาระหว่างเรา ณิชาคิ้วขมวดหันไปมองนัทหล่อ เธอทำเป็นยกนิ้วชี้ขึ้นมาจุ๊ปากห้ามไม่ให้เขาพูดต่อ ฉันก็คิ้วขมวดหันไปมองนัทหล่อทันทีที่ได้ยินเขาเรียกณิชาว่าเจ๊อย่างนั้น
นี่นัทรู้ด้วยเหรอว่าณิชาเป็นพี่พวกเราน่ะ” ฉันกระซิบกระซาบถามเขาด้วยความประหลาดใจ
ก็พึ่งรู้ตอนเห็นบัตรประชาชนตอนไปแจ้งความเมื่อวานนี่ล่ะ” ชายหนุ่มเฉลย เขาหันไปยักคิ้วรับกับนัทแว่น “แต่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เรารู้ว่าผู้หญิงไม่ชอบให้คนอื่นว่าตัวเองว่าแก่หรอก...” นัทหล่อหัวเราะนัทแว่นก็ด้วย ซึ่งพอฉันเห็นอาการสนุกสนานของเพื่อนชายทั้งสองแล้วก็อดที่จะหัวเราะตามไม่ได้ ณิชางอนแต่เธอไม่ว่าอะไร ได้แต่ทำตาเล็กตาน้อยบอกเพื่อนชายทั้งสองให้สัญญาว่าจะเก็บไว้เป็นความลับให้เธอด้วย
มองดูภาพพวกเราทั้งสี่คนในวันนี้แล้วก็อดที่ยิ้มตามด้วยสัมผัสได้ถึงความใกล้ชิดสนิทสนม และความไว้ใจที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆอย่างตอนนี้ไม่ได้ นี่ถ้าฉันไม่บังเอิญมีพวกเขาอยู่ข้างๆอย่างนี้มาตลอด ไม่สิ..ไม่ว่าจะความบังเอิญหรือการจงใจอะไรของพวกเขาก็ตาม มันก็ช่วยฉันให้ปลอดภัยจากเหตุการณ์ในวันนั้นได้ ใช่..ถ้าวันนั้นฉันไม่ได้พวกเขาทั้งสามคนมาช่วยฉันป่านนี้ฉันจะเป็นอย่างไรแล้วก็ไม่รู้ ฉันทั้งยิ้มทั้งหันไปมองหน้าพวกเขาและเธอก่อนจะเดินไปยืนตรงกลางต่อหน้าพวกเขา เนื่องจากคิดอะไรบางอย่างได้...
“..เราขอบคุณพวกนายทุกๆคนนะที่ช่วยเราไว้ เราไม่รู้จะตอบแทนอะไรดี เอาเป็นว่าเราขอเป็นเพื่อนกับพวกนายทั้งสามตลอดไปเลยได้มั้ยอ่ะ ขออยู่เป็นแกงค์เดียวกันเลยก็ได้ ไหนๆเราก็นั่งเรียนและนั่งทำงานอยู่ด้วยกันตลอดอยู่แล้ว พวกนายเห็นว่ายังไงบ้าง ถ้าเราจะชวนให้เราทุกคนมาเป็นแกงค์เดียวกันน่ะ”
นัทหล่อยิ้ม “ได้เหรอ..เราเป็นเพื่อนจอเจ้ยได้เหรอ”
ได้สิ..มึงเป็นได้แค่..เพื่อน..จอเจ้ยอยู่แล้ว..”นัทแว่นพูดแทรก เขาโดนนัทหล่อตบหัวดังเพลี๊ยะทันทีที่เบรคเพื่อนแรงอย่างนั้น “เฮ้ย อย่าทะเลาะกันดิ หึงกันหรือไงคู่จิ้นสายวาย... ”ณิชาหัวเราะเธอแซวพวกเขาถึงฉายาที่โดนตั้งให้ก่อนนั้น ก่อนจะพากันหัวเราะและก่นด่ากันด้วยถ้อยคำเจ็บๆแสบๆที่แสดงถึงความสนิทสนมที่มากขึ้น ความผ่อนคลายที่เพิ่มมากขึ้น กระทั่งฉันตัดสินใจจับมือของทุกๆคนออกมาวางกลางวงและประสานกัน
งั้น..เรามาสัญญากันเถอะ...ต่อไปนี้พวกเราจะเป็นเพื่อนกันตลอดไป มีอะไรก็จะช่วยเหลือกัน มีทุกร่วมทุกข์มีสุขร่วมสุข โอเคมั้ย!!..” ทุกๆคนยิ้มรับทันทีที่ได้ยินฉันว่า พวกเขามองหน้ากันก่อนจะพร้อมใจกันตอบรับด้วยน้ำเสียงแห่งความมุ่งมั่นว่า..“โอเค!!!...”
เที่ยงวันนั้นฉันไปกินข้าวกับเพื่อนๆในแกงค์ “โฟร์แมน” ที่พวกเราพากันตั้งชื่อและเสนอกันด้วยพากันชอบในความหมายที่แปลจากคำพ้องเสียงในการอ่านได้สองแบบคือ “Four man” ที่แปลว่าคนสี่คน ซึ่งก็หมายถึงพวกเราทั้งสี่คน และ “Foreman”ที่แปลว่าผู้คุมงานก่อสร้าง ที่เกี่ยวข้องกับอาชีพที่เราต้องพบเจอในอนาคตเมื่อเราจบกันไปทำงานแล้วอีก
ไอเดียดีมาก เลิศมาก เพอร์เฟรคที่สุด ตรงและให้ความหมายถูกต้องชัดเจนดี เหมาะแก่พวกเราทั้งสี่ที่เรียนสถาปัตย์ที่สุด” ณิชากล่าวคำนิยามของชื่อแกงค์ขึ้นในตอนแรกที่ได้ยินนัทแว่นเสนอ
มึงนี่เป็นคนที่เก่งทุกอย่างยกเว้นเรื่องจีบสาวนะมึง” นัทหล่อชมบ้างแต่คำชมของเขานั้นก็ทำให้นัทแว่นเหล่ตามองแรงทันทีที่ได้ยิน “สาสสส..กูยังไม่จีบเฉยๆถ้าจีบจะยิ่งกว่านี้”
อ้าวเหรอ นี่มึงยังไม่จีบใช่มั้ย ถถถถ..โถ..มิน่าเขาไม่แลมึงเลยเนอะ”
เขาก็ไม่แลมึงก็เหมือนกันล่ะ..สาสส..”
อะไรพูดเรื่องอะไรกัน ขนสัตว์มาเต็มคันรถเชียวนะ” ฉันแขวะเพื่อนชายทั้งสองก่อนจะเหล่ตามองพวกเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็นเรื่องที่เขาพูดมาเมื่อกี้
พูดถึงใครกันเมื่อกี้ นัทแว่นจีบใครอย่างนั้นเหรอ นัทหล่อด้วย” ชายหนุ่มทั้งสองสะดุ้งพวกเขาหน้าแดงพากันเหล่ตาลอกแล่กมองกันอยู่ครู่นึงก่อนจะปฏิเสธพร้อมๆกันว่าไม่มีอะไร และไม่ได้จีบใครทั้งนั้น “จริงเหรอยังไม่มีแฟนกันเหรอ” ฉันหัวเราะหึๆทันทีที่ได้ยินพวกเขาปฏิเสธก่อนจะลองถามเรื่องที่สงสัยมานานว่าทำไมพวกเขาชอบอยู่ด้วยกันสองคนแบบนี้..“อย่าบอกนะว่าเรื่องที่ลือว่าชอบกันน่ะเป็นจริง จิ้นกันใช่มั้ย” ฉันได้ทีรีบแซวพวกเขาเรื่องประเด็นคู่จิ้น นัทแว่นนั่งนิ่งทำหน้าตายมองฉัน เขาหันไปเหล่ตามองนัทหล่อก่อนจะส่ายหน้าแรงๆอย่างคนรับไม่ได้
ให้มันใส่วิกแต่งหน้ามาเรายังไม่เอาเลย”
ใช่..ไอ้แว่นมันไม่ชอบผู้ชายอย่างเราหรอก” นัทหล่อได้ทีปล่อยมุกกวนเพื่อนอีกแล้ว
สาสสส มึงสิไม่ชอบผู้ชายอย่างกู มึงชอบแมนๆแตะบอลใช่ป่ะ กูเห็นไปสนามบอลบ่อย”
สาสสส..มึงสิ ชอบไปฟิตเนต มึงแหละชอบผู้ชายเล่นกล้าม”
ไอ้ห่า กูเล่นกล้ามของกูเองเว้ย”
เดี๋ยวๆทะเลาะกันอีกแล้วอ่ะ อะไรอ่ะคำก็สัตว์สองคำก็สัตว์อยู่ในแกงค์งดเอาสัตว์มาปล่อยได้ป่ะ จะอยู่กันสองคนแล้วค่อยด่ากันก็ได้ แต่เราขอแบบไม่เอาสัตว์ไม่เอาห่าและไม่เอาเชี้ยได้มั้ยเราไม่ชอบน่ะ” นัทแว่นอึ้ง เขาหันไปมองนัทหล่อก่อนจะคิ้วขมวดส่งซิกอะไรให้กันอยู่ครู่นึงแล้วหันมาเออออตกลงด้วย
จอเจ้ยเขาไม่ค่อยชอบน่ะ เราอยู่กับเขาก็งี้ล่ะ ก็ให้เกียรติเขาเถอะนะถ้าอยากอยู่ใกล้ๆเขาเหมือนเราน่ะ อิอิ..” ณิชายักคิ้วเธอส่งซิกให้ชายหนุ่มทั้งสองก่อนจะหันมาคุยนั้นคุยนี่กับฉันด้วยสำเนียงน่าฟัง เช่นเดียวกันกับที่ชายหนุ่มทั้งสองก็เริ่มพยายามพูดคุยกันด้วยสรรพนามใหม่ว่า “เราและนาย”
พวกเราทั้งทานข้าวทั้งคุยกันด้วยความสนุกสนานเฮฮาอยู่นาน จนเสียงโทรศัพท์ของฉันดังขึ้น ฉันหยิบมันขึ้นมามอง เอื้อยนั่นเอง เธอคงจะโทรมาถามว่าฉันกินข้าวหรือยัง
ว่าไงเอื้อย..” ตอนนี้พอฉันรับสาย กลายเป็นว่าทุกคนเงียบเสียงแล้วก้มหน้าก้มตากินข้าวทำเป็นไม่สนใจอะไร แต่ทำไมฉันมองแล้วเหมือนทุกๆคนพยายามเอียงใบหูมาทางฉันยังไงก็ไม่รู้..
เจ้ยกินข้าวหรือยัง เป็นยังไงบ้างแผลดีขึ้นบ้างมั้ย”เอื้อยว่า เธอถามฉันด้วยความเป็นห่วง
ก็โอนะดีขึ้นอยู่ นี่เค้าก็กำลังกินข้าวอยู่ เอื้อยล่ะกินหรือยัง” ฉันพยายามพูดเบาๆเสียงลงด้วยรู้สึกเหมือนเพื่อนๆกำลังตั้งใจฟังฉันพูดสายกับเอื้อยยังไงก็ไม่รู้
กินแล้วสิ เออพรุ่งนี้วันเกิดสาแล้วนะ จำได้หรือยังเรื่องที่เค้าถามวันนั้นน่ะ เค้าว่าจะ...”
เอ่อ เดี๋ยวเค้าโทรกลับอีกทีแล้วกันนะ คือนั่งกินข้าวกับเพื่อนอยู่น่ะ ยังไม่สะดวกคุย” ฉันยกมือขึ้นมาป้องปากพยายามกระซิบกระซาบตัดบทสนทนากับเธอไป เมื่อเห็นว่าทุกๆสายตากำลังจับจ้องมองดูฉันคุยโทรศัพท์อย่างตั้งใจหลังจากได้ยินฉันพูดสรรพนามว่า “เค้าๆ”กับเอื้อยตลอด เอื้อยตอบรับ เธอวางสายแล้วปล่อยให้ฉันนั่งยิ้มแหยๆมองพวกเขาทั้งสามอีกครั้ง...
คงมีคนอยากจะถามใช่มั้ย ว่าเจ้ยคุยกับใคร ใช่แฟนหรือเปล่า” ณิชายิ้มน้อย เธอทำเป็นเสนอคำถามที่ทุกคนทำท่าเหมือนจะอยากรู้ รวมทั้งเธอด้วย
คุยกับเพื่อน เอ่อ..เพื่อนเราที่โรงเรียนเก่าน่ะ”
เหรอ..” ณิชายักคิ้วหันไปเหล่มองชายหนุ่มทั้งสองที่ใจจดใจจ่อรอฟังฉันตอบอยู่ “แล้วแฟนล่ะมีหรือยัง”หญิงสาวยื่นคำถามต่อจากนั้น ซึ่งก็เหมือนเคยคือเพื่อนชายทั้งสองก็ยังคงรอฟังคำตอบจากฉันด้วยใจจดจ่อ ฉันเห็นอาการตั้งอกตั้งใจของพวกเขาทั้งสามคนแล้วก็อดที่จะเกรงใจเลี่ยงๆตอบไม่ให้พวกเขาเสียใจไม่ได้..
เอ่อ..ยังไม่มี เรายังไม่มีแฟน” นัทแว่นกับนัทหล่อหายใจใหญ่ทันทีที่ได้ยินคำตอบ พวกเขาพากันหันไปทำท่าYes!! ใส่กันอยู่ครู่นึงก่อนจะหันมายักคิ้วส่งซิกมองณิชาอย่างอารมณ์ดี
ฉันก้มหน้าแอบขำอาการพวกเขาในใจ ให้ตายเถอะ...นี่พวกเขาจะทำตัวไม่ให้ฉันรู้พิรุธหน่อยไม่ได้หรือไงว่าพวกเขาชอบฉันอยู่ นี่ฉันชักจะทำตัวไม่ถูกแล้วนะ ไม่รู้ว่าควรจะแกล้งโง่ต่อไปดี หรือคุยเล่นกับทุกคนให้เท่าเทียมกันดี ด้วยก็รู้อยู่เต็มอกอยู่แล้วว่าคนพวกนี้คิดอย่างไรกับฉัน
ใช่..ฉันรู้อยู่แล้วว่าสามคนนี้แอบชอบฉัน ก็อย่างที่บอกด้วยประสบการณ์ที่ฉันเคยมีคนมาจีบตั้งแต่เด็กๆฉันก็เลยพอจะอ่านใจและท่าทางของคนที่เขาจะมีใจให้ตัวเองได้บ้างอยู่ แต่ฉันก็ไม่คิดว่าพวกเขาจะแสดงออกให้เห็นชัดและเป็นกันหนักขนาดนี้ เฮ้อ..เอาล่ะฉันจะพยายามคิดในแง่ดีว่า เพราะพวกเขาพึ่งจะเคยคุยกับฉันแบบสนิทสนมครั้งแรกพวกเขาก็เลยยังตื่นเต้นอยู่ เดี๋ยวอยู่ด้วยกันนานๆ เรียนด้วยกันไปนานๆก็คงจะหายจากอาการดี๊ด๊าที่เป็นกันเมื่อครู่นี้เอง ฉันทั้งคิดทั้งอมยิ้มก่อนจะหันไปชวนพวกเขารีบทานมื้อเที่ยงให้เสร็จกันเสียที...

เย็นวันนั้นพวกเราโฟร์แมนพากันฉลองมิตรภาพใหม่ด้วยการไปนั่งกินเนื้อย่างหน้ามอกัน ซึ่งคนที่เสนอไอเดียก่อนหน้านั้นก็คือณิชานั่นเอง
เราว่าข้าวเย็น เราไปกินเนื้อย่างกันเถอะให้จอเจ้ยเลี้ยงก็ได้ เห็นบอกว่าไม่รู้จะตอบแทนยังไงไม่ใช่เหรอ งั้นก็เลี้ยงเนื้อย่างพวกเราแล้วกันนะ”
ห๊ะ!!กันวันนี้เลยเหรอ โอ้ยวันหลังได้มั้ยอ่ะวันนี้กระเป๋าแบนมากๆเลยรออาทิตย์หน้าพ่อโอนตังค์ให้ก่อนได้มั้ย” ฉันเสียงละห้อยทันทีที่ได้ยินเพื่อนว่า
งั้นไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวเราเลี้ยงเองก็ได้ไปกินกันเถอะนะ” นัทแว่นรีบเสนอตัวทันทีที่เห็นฉันบอกอย่างนั้น
เออใช่ให้นัทแว่นเลี้ยงก็ได้ บ้านมันรวย” นัทหล่อบอกก่อนจะตีคิ้วแซวนัทแว่นอีกครั้งว่า.. “ไงล่ะ..เราได้กินข้าวฟรีจากนายแล้ว..นัทแว่น” ชายหนุ่มทำเสียงหล่อๆเหมือนคนพากษ์หนังจีนกำลังภายใน ตอนที่เขาพูดคำสรรพนามเรียกเพื่อนชายใหม่ของเขา
หึ ก็แค่ครั้งนี้เท่านั้นล่ะน่า นายไม่ได้แอ้มฉันอีกแล้วล่ะเพื่อน”นัทแว่นก็เอาบ้าง เขาทำทีเป็นเก๊กหล่อทำเสียงพากษ์หนังตอบรับมุกของนัทหล่อไป ฉันกับณิชาพากันขำตั้งแต่ที่นัทหล่อพูดแล้ว ยิ่งมาเห็นนัทแว่นพูดก็ยิ่งขำไปกันใหญ่ ซึ่งหลังจากนั้นพวกเราก็ตกลงตามคำเชิญชวนของนัทแว่นว่าเขาจะเลี้ยงเนื้อย่างเราอย่างที่กำลังนั่งรอย่างกินกันอยู่ตอนนี้นี่เอง..
ร้านเนื้อย่างที่เรากินเป็นร้านขนาดใหญ่ สร้างเป็นเหมือนอาคารอเนกประสงค์ โครงสร้างมีแค่พื้น เสาและหลังคาเหล็กปกคลุมบังแดดบังฝนไว้โดยที่ไม่มีผนังกั้น ทำให้มีละอองฝนพัดเข้ามาแถวๆโต๊ะที่เราทานตลอดตอนที่ฝนเทียวตกเทียวรินลงมาเรื่อยๆอย่างนี้
พวกเรานั่งกินและนั่งคุยกันไปเรื่อย จากที่เริ่มกินกันประมาณทุ่มนึง ตอนนี้ก็จะสามทุ่มจะสี่ทุ่มแล้ว...
เสียงโทรศัพท์ของฉันดังขึ้นอีกครั้ง ฉันก้มลงมองโทรศัพท์ เอื้อยนั่นเอง โอ๊ะ..เธอโทรหาฉันตั้งหลายสิบสายแล้วนี่แต่ทำไมฉันไม่ได้รับสายเธอเลย ฉันอึ้งนั่งคิดอยู่ครู่นึง ก่อนจะนึกขึ้นได้เรื่องเสียงเพลงที่ดังอยู่ในร้านเนื้อย่าง ก็คงเป็นเพราะเสียงนี่กระมังฉันเลยไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ของเธอ ฉันรีบรับสายทันทีที่คิดได้
ว่าไงเอื้อย..”
อยู่ไหนนี่ ไหนบอกจะโทรหา รู้มั้ยว่าเค้าโทรหาตั้งหลายครั้งแล้ว แล้วทำไมไม่รับสายทำอะไรอยู่นี่”น้ำเสียงโมโหฉุนเฉียวของเธอใส่มาเป็นชุดทันทีที่ฉันทักทายเสร็จ
เอ่อ เค้ากินข้าวกับเพื่อน เอ่อ..กินเนื้อย่างกับเพื่อนที่ช่วยเค้าจากโจรโรคจิตวันนั้นน่ะ”
เพื่อนที่ช่วยจากโจรโรคจิต??? ณิชาด้วยเหรอ” เอื้อยถามฉันเสียงสูง ฉันจับพลังเสียงจากการพูดได้ ตอนนี้เธอกำลังโกรธฉันมาก
เอ่อ ใช่ก็ณิชาแล้วก็นัททั้งสองไง ไม่ได้มากินกันสองคน มากันหลายคนอยู่..” ตอนนี้พอฉันทำท่าเหมือนจะซีเรียสทั้งน้ำเสียงก็ฟังดูเครียดแตกต่างจากก่อนหน้านั้น เพื่อนทั้งสามก็เริ่มหันมามองด้วยความเป็นห่วงทันที
เหรอ...นี่เอาคนอื่นมาอ้างหรือเปล่าน่ะ เค้าเริ่มจะทนไม่ไหวแล้วนะเจ้ย ถามจริงๆเถอะ เห็นคนอื่นสำคัญกว่าเค้าแล้วใช่มั้ย รู้หรือเปล่านี่ว่าวันนี้วันอะไร หรือจำอะไรที่เกี่ยวกับเค้าไม่ได้แล้วใช่มั้ย เค้าจะได้ไม่ต้องรอเจ้ยอีก..” เอื้อยขึ้นเสียงจนฉันตกใจ ด้วยไม่เคยได้ยินเธอตะคอกโวยวายฉันผ่านทางโทรศัพท์เสียที
ใจเย็นๆสิเอื้อย เอื้อยเป็นอะไรนี่ แล้ววันนี้วันอะไร มันเป็นวันอะไรอย่างนั้นเหรอ..ทำไม..”ยังไม่ทันที่ฉันจะถามเธอจบเอื้อยก็ตัดสายทิ้งทันที ซึ่งเพียงชั่ววินาทีที่ฉันรีบโทรกลับหลังจากนั้นก็กลายเป็นว่าเอื้อยปิดเครื่องไปแล้ว...
แฟนโทรมาเหรอ” ณิชาที่นั่งอยู่ข้างฉันกระซิบกระซาบถามทันทีที่ได้ยินคำและสำเนียงแปลกๆอย่างนั้น เหมือนเธอจะพอรู้ความลับที่ฉันปิดบังเพื่อนไว้บ้างแล้ว “เปล่า..เพื่อนเราน่ะ”
เพื่อน??เพื่อนที่ชื่อเอื้อยน่ะเหรอ” หญิงสาวถามกลับ ใบหน้าก็จับจ้องมองหาพิรุธจากฉัน เธอคงไม่เชื่อในคำว่าเพื่อนก่อนหน้านั้นแน่ๆ อารมณ์ซีเรียสทำฉันหน้าบึ้งไม่ตอบคำถามอะไร ได้แต่คิ้วขมวดครุ่นคิดแต่เรื่องเอื้อยคนเดียวเรื่อยไป กระทั่งเสียงนัทหล่อทักฉันดังขึ้นมาจากอีกฝั่ง..
จอเจ้ย โอเคมั้ยเป็นอะไรหรือเปล่า มีอะไรบอกพวกเราได้นะ ถ้าไม่สบายใจไม่อยากอยู่ตอนนี้ก็กลับก่อนก็ได้” ฉันได้สติเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่ม ตอนนี้ทั้งนัทหล่อและนัทแว่นก็ต่างมีสีหน้าไม่สบายใจเหมือนกัน ซึ่งพอเห็นอย่างนั้นฉันก็เลยไม่อยากทำให้เพื่อนลำบากใจ ได้แต่ตอบรับพวกเขาไปว่าไม่มีอะไรให้กินกันต่อไปเถอะ..
อุตส่าห์ได้กินข้าวเย็นด้วยกันครั้งแรกทั้งทีก็ต้องกินจนกว่าจะอิ่มสิ จะลุกชิ่งหนีเพื่อนได้ไง” ฉันว่า แววตาก็พยายามปรับอารมณ์ให้เป็นสดใสเหมือนเดิมไว้ แม้จะกังวลใจเรื่องเอื้อยแค่ไหนก็ตาม เพื่อนทั้งสามคงรู้และไม่อยากเซ้าซี้ให้ฉันไม่สบายใจ พวกเขาจึงไม่ถามอะไรได้แต่พากันกินและคุยเรื่องอื่นๆต่อไปหลังจากนั้น..