นิยายหญิงรักหญิง Girlfriend Season2
Chapter 3
Third party: Nicha
..It's
been a long day without you my friend .And I'll tell you all about it
when I see you again . We've come a long way from where we began Oh,
I'll tell you all about it when I see you again When I see you
again...
...เสียงเพลงสากลดังขึ้นเรื่อยๆตามระยะทางเดินที่ฉันก้าวเข้าสู่สตูดิโอปีหนึ่ง
แม้ไม่ใช่เพลงรัก
แต่เสียงจากเปียโนและเนื้อหาที่กล่าวถึงเพื่อนก็ให้อารมณ์ความเหงาความซาบซึ้งอยู่ไม่น้อย
ตอนนี้พอฉันเดินมาถึงหน้าห้อง
เสียงเพลงฮิตที่ได้ยินท่อนเศร้าๆครู่นี้ก็กลายเป็นท่อนแร็บของเพลงทันที
ฉันมองเข้าไปในสตู
มีเพื่อนผู้ชายสามสี่คนกำลังยืนยกไม้ยกมือทำทีเป็นร้องท่อนแร็บเพลงนี้ตอบโต้กันอยู่
ด้านหน้าพวกเขามีเครื่องเสียงที่เปิดจากUSB
ลำโพงสองลูกใหญ่
กีตาร์ เครื่องดื่มแอลกอฮอลล์
ชามก๊วยเตี๋ยว???
โอ้..นี่พวกเขาขนมันมาในสตูด้วยหรือนี่
ฉันทั้งคิดทั้งมองจนกระทั่งหนึ่งในเพื่อนชายกลุ่มนั้นยกไม้ยกมือมาทางฉัน
“โย้ววว..จอเจ้ย..”
นั่น..แร๊ปเปอร์หนุ่มทักทายฉันเข้าให้แล้ว
ฉันอมยิ้มนึกขันในท่าทาง
ก่อนจะยืนตัวตรงดิ่งแล้วลากมือทั้งสองข้างจากลำตัวขึ้นมาสะบัดไปข้างหน้าเหมือนเขาบ้างทันที
“โย้วๆๆ..แม้นนน..”
เพื่อนชายพากันตาโต
พวกเขาพากันร้องว้าวเสียงดังทันทีที่เห็นท่าทางแรปเปอร์สาวของฉัน
แน่นอนล่ะนานๆทีเพื่อนๆจะเห็นคนซีเรียสอย่างฉันตอบรับเล่นมุกกับพวกเขาด้วยความอารมณ์ดีอย่างนี้...
ใช่..วันนี้ฉันค่อนข้างอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
ก็สืบเนื่องมาตั้งแต่ช่วงเย็นวันนี้ที่เอื้อยมาส่งฉันที่หอแล้วเธอขอให้ฉันไปอยู่หอกับเธอนั่นล่ะ
แม้ว่าฉันจะปฏิเสธเธอไปด้วยความเสียดายเล็กๆที่คิดได้ว่าฉันพลาดโอกาสที่จะอยู่ใกล้ๆเอื้อยไปแล้ว
แต่ฉันก็คิดว่ามันก็คงจะดีกว่านี้แน่นอนถ้าเราสองคนอยู่ด้วยกันในวันที่พร้อมทุกอย่างแล้วจริงๆ
ซึ่งสิ่งที่ทำให้ฉันอารมณ์ดีแม้เวลาจะผ่านมาจนดึกขนาดนี้แล้วก็คือใบหน้าที่ยิ้มยอมรับ
และทำตามสิ่งที่ฉันขอร้องด้วยความเต็มใจของเธอนั่นเอง..
ฉันเดินผ่านสตูดิโอโซนเด็กผู้ชายห้าวๆเกๆด้านหน้าเข้าไปยังโซนตรงกลางห้อง
แถวโซนนั้นเพื่อนๆในชั้นปีจะเรียกว่า“โซนเทพ”กัน
ซึ่งที่มาของชื่อก็ได้มาจากการที่บรรดาเด็กเรียนหรือเด็กที่มีลายเส้นสวยๆเก่งๆระดับเทพจะมานั่งทำงานกองกันอยู่ตรงนี้นั่นเอง
ฉันยิ้มทักทายเพื่อนผู้หญิงสองคนที่กำลังนั่งคุยเรื่องแบบกัน
รวมทั้งนัทแว่นที่นั่งถัดจากโต๊ะเขียนแบบของฉันมาอีกสองที่ด้วย...
“โห...คอนเซ็ปต์เลิศหรูอีกแล้วอ่ะ”
ฉันแซวนัทแว่นทันทีที่แอบชะโงกมองดูงานของเขาที่สเก็ตไปได้เกือบๆจะห้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว
“ไม่เท่าไหร่หรอก”
นัทแว่นขยับแว่นตาแล้วหันมายิ้มให้ฉัน
“จอเจ้ยพึ่งมาเหรอ กินข้าวหรือยัง..”
ชายหนุ่มหันมาทัก
ดูกระตือรือร้นจะชวนฉันคุยมากแม้คำถามจะฟังดูแล้วแปลกๆทะแม่งๆอย่างไรไม่รู้
“เอ่อ...กินแล้วสิ
นี่มันสามสี่ทุ่มแล้วนี่ฝนตกอีกต่างหาก
เรากินตั้งแต่เลิกคลาสเสร็จใหม่ๆแล้ว”
“อ้าวเหรอ..”
ชายหนุ่มหัวเราะ
เขายิ้มแหยๆก่อนจะขยับแว่นตาแก้เขินอีกครั้งนึง
“นั่นสิเนอะ..เอ่อ..จอเจ้ยจะถามอะไรมั้ย
จะให้ช่วยอะไรมั้ย ถามเราได้นะ..”
เขายังพยายามชวนคุยอยู่
“อ่อ..ไม่เป็นไร
งานนี้เราคิดไอเดียไว้คร่าวๆตั้งแต่อาจารย์ให้สเก๊ตช์ดีไซน์มาแล้ว
คิดว่าน่าจะทำแป๊บเดียวเสร็จ
แต่..ยังไงก็ขอบใจนัทนะ”
ฉันโปรยยิ้มให้เขาอีกครั้ง
ก่อนจะเดินไปที่โต๊ะเขียนแบบของตัวเองที่ตั้งอยู่ตรงกลางโซนนั่น
กล่องใส่แบบท่อสีน้ำเงินที่ฉันสะพายหลังถูกนำมาแขวนไว้ที่โต๊ะเขียนแบบ
กระเป๋าสะพายและถุงใส่สีฉันเอาวางไว้เก้าอี้อีกตัวที่ยกมาหลังจากนั้น
ฉันชำเรืองมองไปที่โต๊ะข้างๆตอนนี้มันก็ยังวางเปล่าอยู่
ยังไม่มีการเตรียมกระดาษแบบหรือข้าวของอะไรวางไว้รอทั้งสิ้น..
..ณิชายังไม่มาอีกเหรอนี่..ช้าอีกแล้วอ่ะ
เดี๋ยวก็ทำแบบไม่ทันก็มานั่งรำพึงรำพันให้ทำช่วยอีก
เฮ้อ..
ฉันแอบบ่นให้เจ้าของโต๊ะข้างๆทันทีที่เริ่มเห็นแววว่างานครั้งนี้เธอก็อาจจะทำเสร็จช้าอีกแล้ว
ใช่...เป็นณิชาที่นั่งอยู่ข้างๆโต๊ะเขียนแบบฉัน
แล้วเธอก็มักจะขอให้ฉันช่วยเธอทำนั่นทำนี่ประจำ
เวลาที่เธอทำแบบเสร็จไม่ทันเวลาส่ง
นี่เธอทำอะไรอยู่
ทำไมถึงไม่รีบเข้าสตูมาทำงานนะ
ตอนเข้าคลาสเชียร์มหาวิทยาลัยวันนี้ฉันก็ไม่เห็นเธอด้วย..เอ..จริงๆฉันก็ไม่ค่อยเห็นเธอตลอดนั่นแหละ
แม้ว่าสีผมเธอจะดูโดดเด่นจำง่ายและมองเห็นในระยะไกลได้ขนาดไหน
ฉันก็ยังไม่บังเอิญเห็นเธอเหมือนคนอื่นๆในคณะเสียที
เอ..หรือฉันไม่ได้สังเกตอะไร
แต่คลาสเชียร์ของคณะณิชาก็เข้าอยู่นะ
แค่เธอชอบยืนอยู่แถวโซนข้างหลังไม่มาอยู่ใกล้ๆฉันเหมือนตอนเรียนหรือตอนทำแบบเท่านั้นเอง
ฉันทั้งคิดทั้งหยิบเอากระดาษวาดเขียนA1ขึ้นมากางติดโต๊ะเขียนแบบด้วยกาวนิโต้ทั้งสี่มุม
ก่อนจะเลื่อนไม้ทีสไลด์ที่อยู่ขอบล่างของโต๊ะขึ้นมาวางนำร่องดินสอเพื่อเขียนขอบเขตของงานไป
ฉันนั่งสเก๊ตซ์งานไปตามไอเดียที่ฉันคิดไว้คร่าวๆตั้งแต่อาจารย์แจกงานให้
ด้วยความที่ฉันเป็นคนทำงานไวตอนนี้ผ่านไปชั่วโมงกว่าๆฉันก็สเก๊ตซ์ภาพได้ครบทั้ง
Concept,Plan,Section,DetailและPerspactiveแล้ว...
“อะไรอ่ะ
จะเสร็จแล้วนี่เหลือแต่ลงสีนี่นา..ไม่รอกันเลยอ่ะ..”
เสียงณิชาลอยมาด้านหลังฉัน
จนฉันรีบตอบกลับเธอไปด้วยความหมั่นไส้ทันที
แม้จะยังไม่ทันได้หันไปมองเธอก็ตาม...
“ก็เออน่ะสิ
ตัวเองช้าเอง ใครเขาจะไปรอ
ทีหลังนะ ถ้าจะ.....”
พูดไม่จบ
ปากฉันชะงักทันทีที่หันหลังไปเห็นณิชายืนยิ้มอยู่ข้างหลังฉันกับผู้หญิงคนหนึ่งเข้า..
เป็นผู้หญิงตัวสูงผมดำยาวๆที่หันไปมองแว็บแรกแล้วก็รับรู้ได้ทันทีว่าสวย
แถมเธอยังหุ่นดีแต่งตัวเซ็กซี่เหมือนณิชาอีก
เอ..แต่ดูหน้าตาแล้วคงไม่ใช่คนในคณะเราแน่นอน
น่าจะมาจากคณะอื่น
..เพื่อนณิชาที่โรงเรียนเดิมหรือเปล่า
..นี่พาเพื่อนคณะอื่นมาเล่นในสตูเราได้ด้วยเหรอ
..เดี๋ยวนะเหมือนจะคุ้นๆว่าเคยเห็นอยู่ในวอลเปเปอร์ของโทรศัพท์ณิชา
เออใช่เป็นผู้หญิงที่ทำปากจู๋ๆถ่ายรูปเซลฟ์ฟี่กับณิชานั่นเอง
ฉันทั้งคิดทั้งมองหน้าผู้หญิงสวยๆเฉี่ยวๆหน้าตาเหมือนดาราคนนั้นอยู่นานจนณิชาต้องกระแอมเรียกสติฉัน...
“เอ่อ..จอเจ้ย
นี่เกดนะเป็น..เอ่อ..เพื่อนเราอ่ะ..”
“อ่อๆค่ะ
สวัสดีค่ะเกด”
ฉันได้สติพยายามพยักหน้ารับและทักทายเธอ
เกดยิ้มรับแต่ไม่พูดอะไรตอบ
เธอหันไปเหล่มองณิชาด้วยสายตาแปลกๆแลดูไม่พอใจอะไรอยู่นาน
ก่อนจะยื่นมือไปหยิกแขนณิชา
จนณิชาร้องอูยเสียงหลง
ทั้งตาเล็กตาน้อยจ้องมองเพื่อนสาวของเธอ
ก่อนจะเดินมาเตรียมกระดาษวาดเขียนที่โต๊ะตัวเอง
โดยที่ไม่ได้พูดอะไรกับฉันอีกเลย
ฉันก็หันกลับไปทำงานต่อไม่ทักท้วงอะไร
แม้จะจะนึกสงสัยในท่าทางแปลกๆของเพื่อนสาวณิชาแค่ไหนก็ตาม
เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง
ณิชายังนั่งเงียบทำงานอยู่
หญิงสาวยังไม่หันมาคุยกับฉันเลย
ความประหลาดใจเล็กๆเกิดขึ้นมาทันทีเมื่อฉันแอบหันไปมองงานณิชาด้วยความเป็นห่วงแล้วพบว่า...ตอนนี้งานณิชานั้นสเก๊ตซ์ครบทุกอย่างเหมือนๆกับฉันแล้ว..
“อ้าว
จะเสร็จแล้วนี่ เหลือแต่ลงสีนี่นา
ทำไมทำไวจังเลยล่ะ”
ฉันงงรีบทักณิชาด้วยความสงสัย
“เอ่อ..
คือเรานั่งสเก๊ตซ์มาตั้งแต่หอแล้ว
ว่าจะมาลงสีอยู่นี่เฉยๆ..”
หญิงสาวอธิบาย
พลางหยิบเอาขวดสีน้ำขึ้นมาเรียงไว้บนโต๊ะก่อนจะนั่งระบายสีงานไปเงียบๆของเธอต่อ
เช่นเดียวกันกับฉัน
ที่ก็หยิบพวกมันขึ้นมาเตรียมสีแล้วระบายลงรายละเอียดของงานตัวเองไปเรื่อยๆ
มีเพื่อนๆสองสามคนเดินมาดูงานที่โต๊ะฉัน
พวกเขาพากันชื่นชมลายเส้นและการลงสีของฉันกันใหญ่
ซึ่งก็เช่นเดียวกันกับณิชา
ที่พอพวกเขาหันไปมองงานเธอบ้างก็ต่างร้องว้าวด้วยความตื่นเต้นทันที
เสียงกรี๊ดกร๊าดปลุกสัญชาตญาณความอยากรู้อยากเห็นนัก
ความสงสัยทำให้ฉันแอบชำเรืองดูงานเธอหลังจากนั้น..
เฮ้ยยย..จริงๆด้วย..
วันนี้ณิชาลงสีงานอย่างสวยเลยน่ะ
เธอลงสีอย่างกับภาพวาดธรรมชาติที่พวกศิลปินมืออาชีพเขาวาดกันจริงๆ
ดูสิ..ท้องฟ้าเป็นฟ้า
ต้นไม้เป็นต้นไม้ รถยนต์
คน น้ำ
รายละเอียดปลีกย่อยในแบบทุกอย่างมองแล้วแทบจะเหมือนภาพถ่ายจริงๆ
ฉันอึ้งหันไปมองดูณิชา
ตอนนี้เธอดูตั้งใจทำงานต่างจากที่ฉันเห็นทุกครั้งมาก
ดูเธอจดจ่อ ดูเธอมีสมาธิ
ไม่วอกแวกวุ่นวายเหมือนทุกครั้งที่เธอนั่งทำงานอยู่กับฉันแค่สองคน
เอ..พอมีคนมานั่งกอดอกมองตัวเองทำงานอย่างนี้
ก็ดันตั้งใจทำงานเชียวนะ
โฮะ...ทำตัวอย่างกับแม่และลูกสาวยังไงยังงั้น
ฉันทั้งคิดทั้งมองณิชาและเพื่อนสาวของเธอด้วยความประหลาดใจ..
ณิชาหันมายิ้มให้เพื่อนๆตอนที่ชื่นชมเธอ
ก่อนจะเหลือบตามาเห็นฉันที่ยืนอึ้งมองดูงานเธอด้วยความทึ่งและตะลึงเมื่อได้เห็นการทำงานที่เปลี่ยนไปของเธอในครั้งนี้
ตอนนี้พอตาเราทั้งสองสบกัน
ณิชาก็เลิ่กคิ้วยักไหล่
เหมือนเธอจะบอกว่าไม่รู้ว่าวาดได้ยังไง
เหมือนที่เธอทำให้ฉันเห็นทุกๆครั้งที่ฉันเผลอหันไปมองเห็นงานลายเส้นสวยๆ
หรือไอเดียดีๆของเธอเข้าโดยบังเอิญ....
///////////////////////////////////////
“..เราไปก่อนนะจอเจ้ย
เดี๋ยวค่อยเจอกันในคาบ..”
เสียงณิชาบอกลาฉันตอนที่เธอเก็บข้าวของบนโต๊ะเสร็จแล้ว
ฉันหันไปยิ้มและโบกมือรับ
ก่อนจะหันมาค่อยๆเก็บของลงจากโต๊ะพร้อมๆกับตอบรับเอื้อยที่โทรมาตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงก่อนหน้านั้น
ใช่..เอื้อยโทรมา
ด้วยเรื่องที่ว่าอยากให้ฉันไปงานวันเกิดสาในวันศุกร์หน้าด้วย
เธอทำทีเป็นเกริ่นถามฉันว่าใกล้วันเกิดสาแล้วจำอะไรได้มั้ย
แต่ฉันก็จำอะไรไม่ได้
ได้แต่บอกว่าขอนึกดูก่อนแล้วจะบอกอีกที
ซึ่งพอฉันตอบอย่างนั้น
หญิงสาวก็บ่นพึมพัมทำเหมือนน้อยใจอะไรสักอย่าง
เธอทำเสียงงอนอยู่นานก่อนจะเปลี่ยนเป็นคุยเรื่องอื่นๆเรื่อยมาจนกระทั่งตอนนี้...
“เสียงใครน่ะเมื่อกี้..”
เสียงเอื้อยถามดังมาตามสาย
“เมื่อกี้น่ะเหรอ
ณิชาน่ะ..เพื่อนที่นั่งข้างๆเขากลับแล้วก็เลยบอกลาน่ะ”
“เอ..ณิชาเหรอ..ใช่คนที่เจ้ยบอกว่าทำงานช้าๆแล้วให้เจ้ยทำนั่นทำช่วยนี่ให้ตลอดหรือเปล่า”
คนช่างสังเกตุลองถาม
เธอคงจะจำเรื่องราวที่ฉันเคยแอบบ่นณิชาตอนที่เธอให้ฉันช่วย
แล้วกลายเป็นว่าฉันก็ต้องกลับหอช้าเหมือนๆกันกับเธอได้
“อืมใช่..”
ฉันตอบรับเอื้อยก่อนจะหันไปยิ้มหวานให้นัทหล่อที่เดินเอาขนมมายื่นให้ฉัน
แต่ฉันก็โบกไม้โบกมือปฏิเสธเขาไปว่าไม่เอา..
“ไหงวันนี้เขาได้กลับก่อนเจ้ยล่ะนี่”
“อืม..ไม่รู้เหมือนกัน
วันนี้มาแปลก งานก็ทำมาตั้งแต่หอ
ลงสีก็ลงสีอย่างสวย
สงสัยมีคนมาคุมมั้ง
วันนี้เลยตั้งใจทำงานเป็นพิเศษ..”
ฉันอธิบายเอื้อยไป
“คนมาคุม??ใครอ่ะเอาใครมาคุมได้ด้วยเหรอ”
เอื้อยเสียงสูงถามย้ำด้วยความสงสัย
เธอคงไม่แน่ใจในคำว่าคนมาคุมแน่ๆ
“ก็คงเป็นเพื่อนคณะอื่นน่ะ
เป็นเพื่อนผู้หญิง
เห็นนั่งกอดอกคิ้วขมวดมองณิชาตลอด
อารมณ์ประมาณเร่งๆให้ณิชาทำให้เสร็จไวๆประมาณนี้ล่ะ...”
“เหรอ..เอาเพื่อนคณะอื่นไปสตูได้ด้วยเหรอ..”
คนสวยเบาเสียงลง
อารมณ์ประมาณอยากถามแต่ไม่แน่ใจว่าจะได้มั้ย..
“ทำไมทำเสียงอย่างนั้น..”
ฉันหัวเราะ
นึกเอ็นดู
โถ..ตอนนี้เด็กน้อยคงกำลังอยากอ้อนขออะไรด้วยความเกรงใจสักอย่างแน่ๆ...“อยากมาล่ะสิ
มามั้ยล่ะ งั้นเดี๋ยวอาทิตย์หน้าได้ทำงานที่สตูอีก
ถ้าเอื้อยอยากมาก็ค่อยมาอาทิตย์หน้าก็ได้..”ฉันยื่นข้อเสนอให้เด็กขี้เกรงใจ
ด้วยจำได้ว่าเวลาที่ทำงานในสตูที่ไรเธอจะชอบบ่นให้ฟังว่าเหงาเสมอ
เธอคงอยากมาหาฉัน...
“ดะ..ได้จริงๆเหรอ
ไม่มีใครว่าเค้าใช่มั้ยถ้าเค้าไปนั่งเฝ้าเจ้ยอย่างนั้น...”
เสียงตื่นเต้นของเอื้อยถามย้ำมาตามสายตอนที่ฉันลุกขึ้นสะพายกล่องแบบและกระเป๋า
เดินออกมาโบกมือลานัทหล่อกับนัทแว่นที่นั่งกินขนมอยู่โต๊ะด้วยกัน
ฉันชำเรืองตาไปมองทางโซนด้านหน้า
ตอนนี้เห็นมีเด็กสาวแปลกๆหน้าสองสามคนกำลังนั่งอยู่ข้างๆโต๊ะเพื่อนชายกลุ่มที่ร้องแรพตอนที่ฉันเข้ามาในสตูแรกๆ
อ๋อ..นี่อย่าบอกนะว่าพวกนี้ก็มีคนมานั่งเฝ้าเหมือนๆกัน
คงจะเป็นแฟนสาวของพวกเขาสิท่า
ฉันเห็นผู้หญิงบางคนยื่นไม้ยื่นมือมาจับใบหน้าเพื่อนฉันด้วยท่าทางที่สนิทสนมกันเกินคำว่าเพื่อนอีก
เอ๊ะ..นี่เขาพาคนนอกคณะเข้ามานั่งทำงานกันได้ตั้งแต่ตอนไหน
ทำไมฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย
หรือเป็นเพราะว่าฉันมัวแต่ตั้งหน้าตั้งตาทำงานที่โต๊ะตัวเองจนไม่มีเวลาสังเกตุสังกาใครเลย
ฉันทั้งคิดทั้งยิ้มทักพวกเขาตอนที่เดินผ่านออกไปด้านนอกสตูก่อนจะตอบเอื้อยในสายอีกครั้ง..
“..อืม..มาเลย
เค้าเห็นมีคนพาคนนอกคณะมานั่งทำงานด้วยตั้งหลายคน
ก็ไม่เห็นจะมีใครว่าอะไรนี่
เราก็แค่มานั่งเป็นเพื่อนกันเฉยๆก็คงมาได้อยู่มั้ง..”
ฉันทั้งตอบเอื้อยทั้งเดินตรงไปทางเดินฝั่งที่มีห้องน้ำ
ซึ่งอยู่ห่างจากสตูประมาณครึ่งตึกเพื่อที่จะแวะเข้าไปสำรวจหน้าตาตัวเองก่อนกลับหอ
“...ถ้าเราบริสุทธิ์ใจ
ไม่ได้ทำให้คนอื่นเดือดร้อน
ไม่ได้ทำอะไรที่ไม่ดีให้คณะเสียหายก็คงไม่...”
ฉันชะงัก
พูดยังไม่จบประโยค
ในขณะที่กำลังเดินก้มหน้าเลี้ยวเข้าไปในห้องน้ำหญิงแล้วเงยหน้า
ภาพผู้หญิงตัวสูงๆผมสีบลอนด์กับผู้หญิงผมดำกำลังยืนกอดรัดและจูบกันอย่างดูดดื่มตรงหน้ากระจกห้องน้ำนั้นก็อยู่ต่อหน้าฉันแล้ว...อึ๊ก..
..ดะ..เดี๋ยวนะ...นั่นณิชากับเกดนี่..
ผมสีบอนด์ทำให้ฉันนึกขึ้นได้ว่านั่นคือณิชาเพื่อนฉันเอง
อารมณ์ตกใจทำฉันผงะ
รีบเดินถอยหลังออกจากห้องน้ำเพื่อไม่ให้ทั้งสองรู้ตัว
แต่ฉันดันเดินไม่ตรงทางเก่าแล้วมันดันมีถังขยะกับไม้กวาดวางขวางทางเท้าฉันไว้
แน่นอนว่าแค่ฉันถอยออกมาไม่เท่าไหร่
เสียงปึงปังของถังขยะและไม้กวาดก็ดังขึ้นทันที
ตอนนี้หญิงสาวทั้งสองรีบหันมามองตามเสียงแล้ว...
“เอ่อๆ..เราขอโทษๆ
เราไม่ได้ตั้งใจ ไปก่อนนะ”
ฉันยกไม้ยกมือโบกลาทั้งสองคน
ก่อนจะรีบวิ่งออกมาจากห้องน้ำนั้นให้เร็วที่สุด....
ดึกวันนั้นฉันกลับหอมาด้วยความอึ้งค้าง
ทั้งงงทั้งเหวอที่เห็นเพื่อนสาวของตัวเองจูบกับผู้หญิงด้วยกันอย่างนั้น
...นี่อย่าบอกนะว่าณิชาชอบผู้หญิงด้วยกัน
ใจฉันเต้นตุ้มๆต่อมๆทันทีที่นึกถึงภาพที่เธอมาคุยกับฉันเมื่อวันแรกได้
เฮ้ย..ไม่จริงน่ะ
ณิชาก็ดูเป็นผู้หญิ๊งผู้หญิงจะตาย
เธอทั้งแต่งตัวเก่งทั้งแต่งหน้าจัด
ไม่มีลุคไหนที่จะบ่งบอกเลยว่าเธอชอบผู้หญิงด้วยกันเหมือนฉันกับเอื้อยเลย..อ๊ะ!!..เออจริงสินะ..ฉันกับเอื้อยก็ดูเป็นผู้หญิ๊งผู้หญิงเหมือนๆกับณิชา
แต่เราสองคนก็ยังรักกันได้เฉยเลย..ฉันคิ้วขมวดทันทีที่นึกขึ้นได้
คงจะเป็นเพราะความตกใจที่ไม่เคยเจอตัวเป็นๆของผู้หญิงรักหญิงด้วยกันเหมือนตัวเองกระมัง
เลยทำให้ฉันลืมคิดไปซะสนิทเลยว่าตัวเองก็ใช่....
แล้วนี่ฉันจะต้องทำตัวยังไงเมื่อเจอณิชา
เพราะด้วยอารมณ์ตกใจที่เห็นเธอตอนนั้นเลยทำให้ฉันรีบวิ่งพุ่งพรวดออกมาโดยที่ยังไม่ได้ฟังคำอธิบายอะไรจากเธอเลย
และด้วยความตกใจในตอนนั้น
เลยทำให้ฉันอธิบายสิ่งที่เอื้อยได้ยินฉันขอโทษณิชาไม่ได้
ฉันได้แต่บอกเอื้อยไปว่าไม่มีอะไร
แค่บังเอิญเดินไปชนเพื่อนเลยต้องขอโทษขอโพยกันแค่นั้นเอง..
เสียงแชทไลน์ดังขึ้นเรียกสติฉัน
เอื้อยนั่นเอง
เธอส่งข้อความมาบอกว่าเธอจะนอนแล้ว
ฉันมองดูนาฬิกาตอนนี้เวลาตีสองยี่สิบนาทีก็ถือว่าดึกมากแล้ว
เอื้อยคงจะง่วงนอนจากที่คุยเป็นเพื่อนฉันทำแบบคนเดียวในห้องเกือบๆจะโต้รุ่งเมื่อคืนวาน
เอ..เดี๋ยวนะ..เมื่อคืนวานฉันอยู่คนเดียวในห้อง
แล้วคืนนี้ฉันก็อยู่คนเดียวในห้องเหมือนเดิมนี่นา
ฉันหันขวับไปมองที่เตียงนอนของรูมเมททันทีที่คิดได้ว่าเขาไม่อยู่ในห้องอีกแล้ว
เฮ้ย..อะไรนี่ทำไมยังไม่กลับห้องอีกล่ะ
นี่มันก็ตีสองกว่าๆแล้วถ้าเธอไปทำงานโต้รุ่งหรือไปเที่ยวโต้รุ่งเธอก็ควรจะกลับมานอนในห้องได้แล้วนี่นา
ฉันคิ้วขมวด
แม้จะนึกเป็นห่วงแต่ด้วยความที่ไม่ค่อยสนิทกันกับรูมเมทเท่าไหร่ก็เลยไม่กล้าโทรไปหาหรือเซ้าซี้อะไรมากมาย
บางทีเธออาจจะกลับมาดึกๆกว่านี้ก็ได้
คิดได้ดังนั้นฉันก็ไปอาบน้ำเพื่อเข้านอนทันที...
..เช้าวันต่อมา
ในขณะที่ฉันกำลังจะเดินเข้าไปในห้องเรียนที่คณะ
ณิชาที่เดินตามหลังฉันมาตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้
อยู่ๆก็เดินมาดึงมือฉันให้เดินไปตามทางไปสตูที่มันอยู่คนละฝากอาคารกับห้องเรียนทฤษฎี
เธอดึงมือฉันให้เดินเข้าไปข้างในสุดของสตู
ที่ตอนนี้มันไม่มีใครอยู่เลยสักคน....
“อะไรนี่”
เป็นประโยคเดิมที่ฉันถามเธอซ้ำๆ
ตั้งแต่ที่ฉันโดนดึงให้เดินมาตามทางเดินมาสตูแล้ว
“เราขอคุยด้วยแป๊บนึง..”
หญิงสาวพูดก่อนจะปล่อยมือที่จับฉันออก
เธอจ้องหน้าฉันอยู่ครู่หนึ่งเหมือนคิดแล้วคิดอีกว่าจะถามอะไรฉันดีมั้ย..
“..เมื่อคืน
เธอเห็นแล้วใช่มั้ย
เธอเห็นเรากับเกดในห้องน้ำแล้วใช่หรือเปล่า”
ฉันยืนนิ่งไม่ตอบ
ด้วยกำลังคิดว่าจะบอกเธอไปตามความจริงดีมั้ย
แต่ยังไม่ได้พูดอะไรเลยณิชาก็รีบพูดแทรกขึ้นมาซะก่อน...
“เธอรังเกียจเราหรือเปล่าที่เราเป็นแบบนี้..รังเกียจหรือเปล่าที่เราชอบผู้หญิงด้วยกัน”
เธอทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ตอนที่พูดประโยคนี้ออกมา
ฉันยิ้มรีบยื่นมือไปจับไหล่
อารมณ์อยากปลอบใจเพื่อนกลัวเพื่อนคิดมาก..
“เฮ้ย..บ้าดิ
เราจะรังเกียจเธอทำไม
เธอไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย..เธอ..”
ฉันชะงัก
พูดไม่ทันจบประโยค
หญิงสาวผมบอนด์คนตรงหน้าก็รีบโผเข้ากอดฉันไว้ด้วยความดีใจของเธอซะแล้ว..
“จริงเหรอ..เรากลัวแทบแย่
กลัวว่าเธอจะนึกรังเกียจเรา
กลัวว่าเธอจะไม่อยากอยู่ใกล้เราถ้ารู้ว่าเราเป็นอะไร
รู้มั้ยว่าเมื่อคืนนี้เรานอนไม่หลับทั้งคืนเลยนะ
เรานอนคิดแต่เรื่องเธอตลอด
เธอรู้มั้ยว่าเราแคร์เธอขนาดไหน..”
ห๊ะ..ฉันอึ้ง
ยืนนิ่งค้างอยู่ในอ้อมกอดของณิชาอยู่นาน
ทั้งกำลังทบทวนความหมายในถ้อยคำและน้ำเสียงแปลกๆที่เพื่อนบอกออกมาครู่นี้..
“เอ่อ..คือ..”อารมณ์สับสันทำฉันยื่นมือลูบหลังณิชาอย่างกล้าๆกลัวๆ
ทั้งอยากปลอบใจเพื่อน
ทั้งกลัวว่าเพื่อนกำลังคิดอะไรกับตัวเองมากกว่านั้น...ความกังวลบางอย่างสั่งให้ฉันพยายามผละตัวเองออกมาจากอ้อมกอดเธอให้ได้
แต่ณิชาไม่ยอมปล่อย ยังคงซบไหล่
หญิงสาวกอดกระชับร่างฉันไว้แน่นกว่าเดิมเมื่อเริ่มรู้สึกว่าฉันกำลังจะผละตัวออกจากเธอแล้ว..
“..อยู่อย่างนี้ก่อนได้มั้ย
เราโคตรรู้สึกดีเลย
ขอเวลาให้เราอยู่กับเธออย่างนี้ก่อนได้มั้ย..”
แล้วแค่ได้ฟังประโยคขอร้องจากณิชา
ฉันก็กลายเป็นพูดอะไรไม่ออก
ได้แต่ปล่อยให้เธอยืนซบกอดฉันไปเรื่อยๆ
ด้วยเริ่มรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของณิชา
ที่ฉันเองก็ไม่กล้าจะคิดเลยว่า...เพื่อนอย่างเธอกำลังคิดบางอย่างกับฉันจริงๆ..
คาบเรียนเช้านั้นทั้งคาบฉันนั่งเรียนข้างๆณิชาด้วยความรู้สึกแปลกๆ
ทั้งรู้สึกสับสนในคำพูดประหลาดๆที่เธอพูดออกมาตอนกอดฉัน
ทั้งรู้สึกสงสารณิชาที่แอบคิดเหมือนกันกับฉันเรื่องที่กลัวว่าคนอื่นจะรับได้มั้ยถ้ารู้ว่าตัวเองเป็นอะไรอย่างนี้
แต่ในความรู้สึกที่ฉันคิดว่าณิชาอาจจะแค่กลัวว่าเพื่อนอย่างฉันจะรับไม่ได้เรื่องที่เธอชอบผู้หญิงด้วยกันนั้น
มันกลับมีความกังวลใจแปลกๆของฉันซ่อนอยู่
ความกังวลใจที่เกิดขึ้นแม้กระทั่งตอนนี้ที่ฉันแอบเห็นเธอส่งสายตาอย่างตอนที่เธอกอดฉันในสตูอีกแล้ว...
ณิชา..นี่เธอคงต้องการแค่เพื่อนสักคนที่รับได้ว่าเธอเป็นเลสเบี้ยนแค่นั้น...ใช่มั้ย...
//////////////////////////////////////////
“ห๊ะ!!..อะไรนะจะกลับวันนี้ช่วงบ่ายเลยเหรอ..”
เสียงตกใจของฉันถามเอื้อยผ่านทางโทรศัพท์ตอนที่ฉันเลิกคาบเช้าและกำลังจะเดินไปที่โรงอาหารใกล้ๆคณะ
บรรยากาศตอนนี้ครึ้ม ฝนอาจตก
นั่นทำให้ฉันไม่อยากไปกินข้าวเที่ยงที่ไหนไกลเมื่อต้องเรียนคาบบ่ายต่อที่คณะอย่างนี้อีก...
“อืม..ใช่
เค้าอยากกลับไปอยู่กับแม่ให้นานที่สุดก่อนน่ะ
คิดว่าวันนี้วันศุกร์ก็อยู่กับแม่ตั้งแต่ช่วงบ่ายไปจนถึงเช้าวันอาทิตย์ที่ไปส่งแม่ขึ้นเครื่อง
มันก็คงจะพอมีเวลาทำให้เค้ากับแม่หายเศร้าหายเหงาลงไปได้บ้าง”
หญิงสาวอธิบายเหตุผล
ซึ่งฉันก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของเธอกับแม่ได้เป็นอย่างดีว่าต่างฝ่ายจะทรมานขนาดไหน
เมื่อเหลือเวลาที่จะอยู่ใกล้กันอีกแค่ไม่กี่วันแล้ว...
“เจ้ยล่ะคะจะกลับบ้านวันไหน
พรุ่งนี้วันเสาร์เจ้ยจะกลับบ้านมั้ย..”
“อ่อ..เค้าเหรอ
คงไม่..เสาร์อาทิตย์นี้มีคลาสเชียร์คณะน่ะ
คงต้องอยู่เพราะพี่ว๊ากขู่เอาไว้ว่าถ้ามีใครหนีหายไปแม้แต่คนเดียวจะโดนทำโทษทั้งชั้นปี..”
“เหรอ..โหดจัง
งั้นก็ไม่เป็นไร ดูแลตัวเองด้วยนะ
เค้าอาจจะไม่ได้โทรหาบ่อยเพราะเค้าอาจจะนอนห้องเดียวกันกับแม่
แต่ยังไงจะพยายามโทรหาตลอดนะ
รักนะ..อย่าลืมอาบน้ำด้วยล่ะ..”หญิงสาวแกล้งเย้าพูดทีเล่นทีจริง
“บ้า...อาบอยู่..
บาย...เดี๋ยวเค้าโทรหาอีกทีค่ะ
รักนะ”
เสียงขำๆของฉันบอกลาปลายสายไป
ก่อนจะเก็บโทรศัพท์ไว้แล้วยืนมองไปรอบๆทันทีที่ถึงที่หมาย
โรงอาหารตอนนี้นักศึกษาเริ่มเยอะ
ผู้คนค่อนข้างขวักไขว่
บางกลุ่มเพิ่งเริ่มเดินเข้า
บางกลุ่มกำลังทยอยออก
เสียงพูดจ๊อกแจ๊ก
เสียงช้อนกระทบจาน
กลิ่นหอมของเครื่องเทศต่างๆ
ทั้งเสียงผัดกระทะดังฉ่าลอยออกมาเร้าความรู้สึกหิวของฉันตอนนี้
โอ..ฉันมองตรงไปข้างหน้าเลือกหาร้านอาหารที่ตัวเองชอบทันทีที่เริ่มได้ยินเสียงจ๊อกของท้อง...
“จอเจ้ยยย..”
ยังไม่ทันไปไหน
เสียงตะโกนเรียกชื่อเสียงเรียงนามใหม่ของฉันก็ดังมาเรียกสติฉันไว้ซะก่อน
ณิชานั่นเอง
ตอนนี้เธอในชุดนักศึกษากระโปรงทรงเอสั้นๆ
กำลังวิ่งกระหืบกระหอบถือแก้วกาแฟสองแก้วมาข้างหลังฉัน
“เฮ้ย!!..เมื่อกี้หายไปไหนทำไมไม่เห็น”
ฉันร้องทักณิชาเมื่อนึกขึ้นได้
เรื่องที่ฉันเห็นเธอลุกขึ้นเดินออกจากห้องเรียนไปเลยทั้งๆที่ยังไม่ทันหมดคาบเช้า
ฉันมองดูเวลาตอนนั้นมันเหลือเวลาอีกตั้ง30นาทีเสียด้วยซ้ำ
“เรากลับไปซื้อกาแฟที่หน้าหอเราน่ะ
อ่ะ..เราซื้อมาฝากเธอด้วย..”
ณิชายื่นแก้วกาแฟส่งมาให้ฉัน
“..เรากลัวว่าคาบบ่ายเราจะง่วง
เราเลยรีบออกไปซื้อมากินไว้ก่อน
ช่วงเที่ยงร้านนี้ลูกค้าเยอะมากต้องรีบไปซื้อก่อน
แล้วนี่น่ะเราจำได้ว่าเธอบอกว่าอร่อย
เธอชอบเราเลยซื้อมาฝาก..”
โธ่เอ้ยนึกว่าอะไร..ฉันมองบนถอนหายใจใหญ่ทันทีที่ได้ยินเหตุผลเธอ
“นี่ถึงขนาดลงทุนโดดออกไปซื้อเลยเหรอ
..จะขอบใจดีมั้ยล่ะเนี่ย..”
ฉันทั้งนึกขำทั้งแอบแขวะณิชา
ก่อนจะก้มลงหยิบเอาเงินในกระเป๋าออกมาจ่ายค่ากาแฟให้เธอไป
“เฮ้ย
ไม่ต้องเราเลี้ยงเอง
เราตั้งใจซื้อมาเลี้ยงเธอน่ะวันนี้
เดี๋ยววันหลังค่อยเลี้ยงเราคืนก็ได้”
ณิชาว่า
เธอดันเงินคืนก่อนจะชวนฉันไปหาซื้ออะไรทานหลังจากนั้น..
ด้วยความที่อยากรีบทานรีบขึ้นห้อง
ฉันจึงเลือกสั่งข้าวราดแกงแบบง่ายๆมานั่งทานที่โต๊ะก่อน
ส่วนณิชา
เธอไปรอสั่งอาหารตามสั่งในร้านที่เธอบอกว่าเธอชอบทานประจำและมันอร่อยถูกปากเธอมาก
ฉันนั่งทานรอณิชา
ทั้งนั่งมองสำรวจสิ่งต่างๆในโรงอาหาร
จนกระทั่งเจอเข้ากับบางคนที่ไม่คิดว่าจะมีโอกาสเจอกันได้ง่ายๆ
ฉันรีบลุกขึ้นดึงแขนเธอไว้ทันทีตอนที่เธอกำลังจะเดินผ่านโต๊ะฉันไป...
“เจ๊..จะไปไหน
มานั่งนี่ก่อน” ผู้หญิงผมบ๊อบปะบ่า
หน้าตาหมวยๆในชุดนักศึกษากระโปรงทรงเอสั้นๆ
หันมามองฉันตอนที่โดนจับมือไว้อย่างนั้น
เธอขมวดคิ้วมองฉันด้วยความงงอยู่นานกว่าจะร้องทักขึ้นด้วยความดีใจ...
“เฮ้ย!!
เจ้ยแกนี่
แม่แกบอกฉันอยู่ว่าแกอยู่หอในให้ฉันไปดูแกด้วย
แต่ฉันยังไม่ว่างไปดูเลยน่ะ...อะไรวะนี่สวยสดใสขึ้นเป็นกองเลยนะแก”
“เจ๊ก็สวยค่ะ
มาๆมานั่งเมาส์มอยกันก่อนเร็วคิดถึ้งคิดถึง..”
ฉันดึงเธอลงมานั่งข้างๆ
ก่อนจะสำรวจไปทั่วๆใบหน้าพี่สาวของฉันด้วยความคิดถึง
ใช่...เธอคือพี่สาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้องที่อายุห่างกันสองปีของฉันที่ชื่อเจ๊แนน
ที่บ้านอยู่ต่างจังหวัดและพึ่งมีโอกาสได้เจอกันเมื่อปีใหม่ที่ผ่านมานี้เอง
เธอเรียนอยู่ที่นี่เหมือนกันกับฉัน
แต่ฉันยังไม่มีโอกาสได้เจอเธอเลยตั้งแต่เปิดเรียนมา
“ไง..แกเรียนสถาปัตย์ใช่มั้ย
ยากมั้ยล่ะแก โอเคอยู่ใช่มั้ย”
เจ๊แนนถามฉันด้วยความเป็นห่วง
ตอนนี้เธอก็สำรวจไปทั่วๆร่างกายฉันเหมือนกัน
“ก็โออยู่เจ๊
แค่มีงานที่ต้องทำส่งเยอะแค่นั้น
แต่มันก็ไม่ลำบากอะไรเท่าไหร่หรอก
น้องเจ๊น่ะสวยถึกและบึกบึนอยู่แล้ว”
ฉันยิ้มก่อนจะยกแขนเบ่งกล้ามโชว์ให้เจ๊แนนเห็นเนื้อน้อยๆด้วยความอารมณ์ดี
“เออก็ดีแล้ว
ฉันก็เป็นห่วงแก
ถ้าแกขาดเหลืออะไรก็มาหาฉันที่หอแล้วกันนะ
เดี๋ยวฉันจัดการให้
อาเมทกับอาจรรฝากฝังแกไว้กับฉันแล้ว
ยังไงฉันก็ต้องได้สำรวจความเป็นอยู่ของแกให้อาทั้งสองสบายใจด้วยหน่อย..”
เจ๊แนนทั้งพูดทั้งมองฉันด้วยความเป็นห่วง
ซึ่ง “อาเมท”และ“อาจรร”
ที่อยู่ในประโยคฝากฝังเมื่อครู่นี้ก็คือ
“โกเมท”และ“จรรยา”ชื่อของพ่อกับแม่ฉันนั่นเอง
“ไว้เดี๋ยวว่างๆฉันจะไปเล่นคณะแกบ้าง
ได้ข่าวว่าผู้ชายคณะแกมีแต่คนหล่อๆ”
ฉันหลุดหัวเราะทันทีที่ได้ยินเจ๊แนนทำทีเป็นตีเนียนจะไปเล่นคณะฉันด้วยเหตุผลนั้น
แต่ยังไม่ทันแซวอะไรเจ๊แนนคืน
เสียงณิชาที่เดินกลับมาโต๊ะก็ดังขึ้นแทรกเสียก่อน
แต่แทนที่เธอจะทักฉัน
ดันกลายเป็นทักเจ๊แนนด้วยประโยคแปลกๆไปเสียนี่....
“..นังแนน
แกมาทำอะไรอยู่นี่..”
ฉันหันขวับทันทีที่ได้ยินณิชาเรียกเจ๊แนนด้วยสรรพนามแปลกๆอย่างนั้น
ตอนนี้ณิชาเดินถือจานข้าวไปนั่งที่นั่งฝั่งตรงข้ามเจ๊แนนและฉัน
ก่อนจะหันไปรอฟังเจ๊แนนตอบคำถามด้วยความสงสัยต่อ...
“เอ๋า..นังณิชาฉันก็นึกว่าฝรั่งที่ไหน
ว่าไงแก..
เออ..เมื่อคืนฉันเห็นแกในผับด้วย
แล้วนี่เป็นไงมาไงวะ..ปีสองแกหายไปตั้งแต่เทอมหนึ่งเลย
ฉันได้ข้าวว่าแกซิ่วไปเรียนคณะอื่นใช่ป่ะแก”
ฉันคิ้วขมวดทันทีที่ได้ยินคำว่า
“ซิ่ว”
ส่วนณิชาหลังจากที่ยักคิ้วตอบรับเจ๊แนนแล้วเธอก็หันมาทำตาเล็กตาน้อยอ้อนฉัน
เหมือนเธอกลัวว่าฉันจะรู้สึกไม่ดีที่เริ่มรู้ความลับบางอย่างที่เธอไม่เคยบอกฉันมาก่อนแล้ว
“แล้วแกซิ่วไปคณะไหน”เสียงเจ๊แนนถามณิชาต่อด้วยความสงสัย
ณิชาไม่ตอบ
เธอเหล่ตาส่งซิกมาทางฉันแทน
เจ้าของคำถามเลยมองตาม
เธอร้องทักทันทีที่นึกขึ้นได้ว่า..
“ห๊ะ!!อย่าบอกนะว่าถาปัตย์”
“เยส..ถูกต้อง”สามผมบอนด์จีบปากจีบคอยอมรับ
ทั้งตักข้าวผัดกระเพราในจานขึ้นมาทานต่อ
รอยยิ้ม ท่าทาง อาการทุกอย่าง
บ่งบอกว่าเธอชิลด์เต็มที่ที่ได้คุยกับเพื่อนเก่าอย่างเจ๊แนนอีกครั้ง
“เออ..ใช่สิเนอะแกก็เก่งทางด้านนี้อยู่แล้วนี่
ก็คงเรียนได้อยู่แล้วล่ะสินะ”
ณิชายิ้มน้อยยักคิ้วรับ
เธอถามเจ๊แนนกลับไปบ้างว่า..“แล้วแกล่ะ
มานั่งทำอะไรอยู่นี่
ยังไม่ตอบฉันเลย”
“หา..ฉันเหรอ..ฉันก็คุยกับน้องฉันไง”เจ๊แนนทั้งตอบทั้งยื่นนิ้วมาจิ้มจึกๆที่ไหล่ฉัน
“น้อง???”
ณิชาเลิ่กคิ้ว
เซอร์ไพรส์
เธอมองฉันสลับกลับเจ๊แนนก่อนจะถามย้ำด้วยความตื่นเต้นว่า..
“น้องแกจริงๆเหรอ..”
“ใช่สิน้องฉัน
พ่อฉันเป็นลุงของมัน
ก็เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน
นามสกุลก็นามสกุลเดียวกัน
ทำไมแกต้องทำเสียงเหมือนประหลาดใจอะไรอย่างนั้นด้วยวะ...”
“ก็เปล่า..ฉันไม่ยักกะรู้ว่าแกจะมีน้องสาวสวยขนาดนี้...”
“ทำไมล่ะ..ก็พี่มันก็สวย
น้องมันก็ต้องสวยอยู่แล้วสิ”
เจ๊แนนตาขวางมองค้อนณิชา
สีหน้าบ่งบอกอาการไม่พอใจว่า..ทำไมยะ..ใบหน้าพวกฉันมันต่างกันตรงไหน..
เธอมองเพื่อนสาวของเธอยิ้มเล็กยิ้มน้อยมองฉันสลับกับเธออย่างมีเลสนัย
ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้แล้วทักท้วงเพื่อนสาวของเธอ
“เฮ้ย!!!ทำไมทำหน้าอย่างนั้น
อย่าบอกนะว่าแก....ห้ามนะเว้ยคนนี้น้องสาวฉัน
แกมีแฟนแล้วไม่ใช่เหรอ
ฉันเห็นที่แกกับผู้หญิงคนเมื่อคืนไอ้นั่นกันอยู่..”
เจ๊แนนหยุดพูด
กลืนน้ำลาย เหมือนกระดากปากกระดากใจจะพูดต่อ
เธอมองณิชาที่ยิ้มน้อยไม่ตอบคำถาม
ก่อนจะหันขวับมาทางฉัน
สายตาร้าย ใบหน้าดุ
อาการเป็นห่วงของพี่ที่มีต่อน้องสาว
ทำฉันสะดุ้งเฮือกทันทีที่คิดได้ว่าเธอกำลังจี้เอาคำตอบจากฉันว่า..ระหว่างฉันกับณิชามันคืออะไรยังไง..
“อะไรเล่าเจ๊..เพื่อนกันเฉยๆ
พี่..ณิชาเขาหยอกเล่นเฉยๆมั้ง...”ฉันหน้าแหยเสียงอ่อยๆตอนที่ใช้คำว่า“พี่”กับณิชา
ด้วยเริ่มเรียบเรียงเรื่องราวได้แล้วว่า..ผู้หญิงผมบลอนด์ที่ทำทีเป็นคุยกับฉันด้วยความสนิทสนมเหมือนรุ่นเดียวกันนี้
จริงๆแล้วก็คือรุ่นพี่ของฉัน
ใช่..เธอคงจะเป็นรุ่นเดียวกันกับเจ๊แนนนั่นล่ะ
เพราะประโยคที่พูดก็แสดงความสนิทสนมเหมือนเพื่อนกันซะขนาดนั้นนี่
เดี๋ยวก่อนนะ..นี่ณิชาเป็นรุ่นพี่ฉันสองปีเลยเหรอ
จริงๆแล้วตอนนี้เธอควรจะเรียนปีสามใช่มั้ย
แล้วนี่เธอซิ่วมาเรียนที่คณะฉันได้ยังไง
ฉันทั้งคิดทั้งคิ้วขมวดมองดูณิชาที่ยิ้มแหยๆมองฉันทันทีที่ได้ยินฉันเรียกว่า
“พี่” อย่างนั้น...
/////////////////////////////////////////
“เฮ้ย!!!..ห้ามเรียกเราว่าพี่เลยนะ!!!”
เสียงโวยวายของณิชาดังขึ้นหลังจากที่เธอได้ยินฉันเรียกว่า
“พี่” ตอนที่เราเดินออกมาจากโรงอาหาร
ตอนนี้ใกล้บ่ายแล้ว
เจ๊แนนแยกย้ายกับเราแล้ว
และเราคุยเรื่องงานระหว่างเดินกลับคณะกัน..
“ถ้าไม่เรียกพี่แล้วจะให้เรียกอะไร
เจ๊เหรอถ้างั้น” ฉันรีบแย้ง
รู้สึกไม่สะดวกใจที่จะเรียก
“ณิชา” เฉยๆด้วยความสนิทสนมเหมือนแต่ก่อนแล้ว
“ก็เรียกเหมือนเดิม
เรียกว่าณิชาเหมือนเดิมก็ได้
อย่าเรียกเราว่าพี่ก็พอ
เราอายคน เดี๋ยวเขาจะหาว่าเราแก่
เราไม่อยากทำตัวเป็นรุ่นพี่พวกเธอน่ะ
ถ้าทุกคนรู้ว่าเราอายุมากกว่าประเดี๋ยวก็จะไม่ค่อยคุยกับเราอีก
แค่นี้ก็ไม่ค่อยมีคนคุยกับเราอยู่แล้ว
นะ..ทำตัวเหมือนเราเป็นเพื่อนเธอคนหนึ่งก็ได้
นะๆ” ณิชาเสียงอ่อนเสียงหวาน
เธอทั้งขอร้องและอธิบายเหตุผล
ฟังดูแล้วเหมือนเธอจะอยากให้ฉันช่วยเก็บเรื่องนี้เป็นความลับด้วยซ้ำ
มองรุ่นพี่รบเร้าให้เรียกเหมือนเพื่อนอย่างนี้แล้ว
ฉันก็อดจับปากบ่นมุบมิบด้วยความไม่สบายใจไม่ได้...
“ฮึ้ยย..เดี๋ยวนรกก็กินปากอีกอ่ะ
ไปเรียกคนแก่กว่าว่าเพื่อนอย่างนั้น
เดี๋ยวก็หาว่าไม่รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่อีก..”
“โอ้ยบ้าแล้ว
นรกกับผีอะไร เราก็อนุญาติแล้วนี่ไง
โฮย..เธออย่าทำตัวเป็นเด็กเนิร์ดไปหน่อยได้มั้ย
นะนะถือว่าตอบแทนที่เราเลี้ยงกาแฟเธอก็ได้อ่ะ..”
อ๊ะ..วกเข้าหาข้อแลกเปลี่ยนจนได้
ข้อเสนอเธอทำฉันคิ้วขมวดทันที
ใบหน้ายียวนยิ้มหวาน
ท่าทางออดอ้อนเธอยามนี้ทำฉันลำบากใจไปใหญ่
หญิงสาวทำเป็นจิ้มนิ้วมาที่แก้วกาแฟฉัน
ตอนที่พูดประโยคทิ้งท้ายในฉันหนักใจกว่าเดิมอีกว่า..
“นะๆ..เดี๋ยวเราจะเลี้ยงกาแฟเธอตลอดชีวิตเลยอ่ะ...”
เย็นนั้นฉันกลับมาหอมาพร้อมๆกับความรู้สึกประหลาดใจในตัวณิชาหลายๆอย่าง
ฉันพึ่งรู้ว่าเธอเป็นหญิงรักหญิงเหมือนกัน
พึ่งรู้ว่าเธอเป็นรุ่นพี่ฉัน
แถมยังทำท่าเหมือนจะสนิทกับเจ๊แนนพี่สาวของฉันเสียอีก
ตอนนี้ฉันรับรู้ได้ถึงความรู้สึกพิเศษจากณิชาที่ฉันไม่อยากคิดเป็นอื่นมากกว่าเพื่อนเลย
ใช่สิ..ฉันไม่ได้โง่พอที่จะดูไม่ออกว่าณิชาคิดอะไรกับฉัน
ด้วยความที่ฉันมีคนมาจีบมากมายประสบการณ์ต่างๆเลยบอกฉันได้ว่า
สิ่งที่ณิชาทำทุกอย่าง
การเอาอกเอาใจเป็นพิเศษ
สายตาหวานซึ้ง คำพูดหวานๆ
ท่าทางเป็นห่วงจากณิชา
มันแปลว่าเธอต้องการจะจีบฉันนั่นเอง
แม้ตอนแรกจะไม่ได้คิด..เพราะคิดแค่ว่าเธอคงเห็นฉันเป็นเหมือนเพื่อนสาวคนหนึ่งเท่านั้น
แต่พอฉันรู้ว่าเธอชอบผู้หญิงด้วยกัน
ความหมายต่างๆมันก็ปรากฏทันที...
ใช่..ฉันรู้ว่าณิชาชอบฉัน
แต่ฉันกลับไม่ชอบและไม่ได้รู้สึกดีใจอะไรด้วยเลยแม้อีกฝ่ายจะสวยจัดขนาดไหน
ณิชาเป็นคนสวยดูดีมีเสน่ห์
จนบางทีคนใกล้ๆอาจจะหลงชอบเธอก็ได้
ถ้าเจอเธอเล่นลูกอ้อนบ่อยๆอย่างฉันเข้า
ฉันได้ยินเพื่อนชายในคณะหลายๆคนพูดถึงณิชาบ่อยๆว่าเธอเป็นผู้หญิงที่น่าค้นหา
ดูมีความลึกลับซับซ้อนตลอดเวลา
เพราะเธอไม่ชอบแสดงออกทางอารมณ์ให้คนอื่นเห็นง่ายๆ
ณิชาเป็นคนเงียบ
ใช่..เธอเงียบจริงๆแต่ก็เฉพาะกับคนอื่นที่ไม่ใช่กับฉัน
เธอถึงชอบพูดกับฉันเสมอว่าไม่ค่อยมีใครพูดกับเธอเลยเพราะเธอเลือกที่จะไม่พูดกับใครเองมากกว่า
ความเงียบของณิชานั้นบรรยายได้ง่ายๆว่า
“เงียบเพราะโลกส่วนตัวสูง
อารมณ์ศิลปิน ”
ไม่เหมือนเอื้อยที่เงียบเพราะเธอวางตัวดี
เรียบร้อย และค่อนข้างขี้อาย
แต่ณิชาไม่อาย
เพราะเธอกล้าแสดงออกในยามที่ต้องการแสดงออกเสมอเห็นได้จากการแต่งตัวและสีผมของเธอ
สำหรับฉันณิชาคือเพื่อน
ฉันคบและสนิทกับเธอเพราะเห็นว่าเธอเป็นคนที่น่าคบหาคนหนึ่งเท่านั้น
แต่ถ้าสิ่งต่างๆเธอทำเพื่อคาดหวังสถานะที่มากกว่านั้น
มันก็อาจทำให้ฉันเสียความรู้สึกจนอาจต่อต้านเธอก็ได้
นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมฉันถึงมีความกังวลใจกับเธอเป็นพิเศษเมื่อเริ่มคิดว่าเธอมีใจให้ตัวเอง
ตอนนี้เพื่อรักษาสถานะเพื่อนที่ดีและมิตรภาพให้คงอยู่ไว้
ฉันจะพยายามคิดเข้าข้างเธอให้ได้ว่า..เธอแค่ต้องการคนพิเศษที่รับรู้ว่าตัวเองเป็นเลสเบี้ยนได้แค่นั้นเอง..
ต่างจากเอื้อย
แม้ทั้งสองจะเข้ามาหาฉันเหมือนกันแต่มันแตกต่าง
ถึงแม้ตอนแรกฉันจะเห็นว่าเอื้อยเป็นเพื่อนฉันเหมือนกันกับณิชา
แต่พอรับรู้ได้ว่าเอื้อยมีความรู้สึกพิเศษกับฉัน..หัวใจฉันก็กลายเป็นหวั่นไหว
ความรู้สึกสับสน อารมณ์ร้อนรุ่ม
ความหวง แรงหึง
ความคิดถึงต่างๆมันเกิดขึ้นมาเองแม้อีกฝ่ายจะเป็นผู้หญิงด้วยกันหรือพึ่งรู้จักกันไม่เท่าไหร่
ฉันแทบจะไม่ต่อต้านอะไร
หนำซ้ำกับยินดีด้วยเมื่อได้รู้ว่าใจเราต่างตรงกัน
โอ..ฉันแทบจะบรรยายความสุขครั้งแรกที่รู้ใจเอื้อยออกมาเป็นคำพูดไม่ได้เลย
ตอนนั้นถ้าไม่ติดว่ากำลังอยู่ในอารมณ์โรแมนติก
กำลังอยู่ในFirstkissของกันและกัน
ฉันคงจะร้องกรี๊ดกระโดดกอดคอหอมแก้มเหมือนตอนที่คบกันมาได้เกือบปีอย่างตอนนี้แล้ว
ฉันอมยิ้ม
นึกถึงใบหน้าหวานหลับตาพริ้มของคนสวยเมื่อจูบแรกอีกครั้ง
ไม่แน่นะตอนนี้เธออาจจะกำลังคิดถึงฉันเหมือนกันก็ได้
อา..รอยยิ้มละมุนทำให้กระแสความสุขในใจตื่นตัวอีกครั้ง
ฉันยิ้ม
หันไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมามองรูปเธอก่อนจะก้มลงจุมพิต
ตอนนี้คงได้เวลาบอกลาคนดีเข้านอนแล้ว..
กู๊ดไนท์นะคะที่รัก..
////////////////////////////////
วันเสาร์
วันนี้ไม่มีคาบเรียนอะไรกอรปกับฝนตกตั้งแต่เช้าๆ
อากาศเย็นสบาย ท้องฟ้ามืดไม่มีแสงแดด
เสียงฝนตกกระทบหลังคา
โอ..ช่างเป็นบรรยากาศที่น่านอนพักผ่อนสำหรับเด็กหออย่างฉันเหลือเกิน
ใช่สิ..อากาศเย็นๆในฤดูฝนอย่างนี้ถ้ามีเวลาใครก็ต้องนอนกันทั้งนั้น
เช่นเดียวกันกับฉันที่นอนหลับยาวไปจนเกือบจะเที่ยงและตื่นนอนด้วยเสียงโทรศัพท์จากแม่ที่โทรมาถามเรื่องที่ว่าฉันจะกลับบ้านมั้ย
ฉันได้แต่ตอบแม่ด้วยเสียงงัวเงียๆเรื่องที่ว่าฉันติดเข้าคลาสเชียร์ตอนเย็นทั้งสองวันคงจะกลับไม่ได้
ซึ่งจากเสียงงัวเงียนั้นก็ทำให้แม่บ่นให้ฉันทันทีที่รู้ว่าฉันยังไม่ทันตื่นทั้งๆที่สายขนาดนี้
ตอนนี้ฝนหยุดแล้วและแดดเริ่มออก
ฉันลุกขึ้นมาซักเสื้อผ้า
ปัดกวาดห้อง
รวมถึงเสียบน้ำร้อนเพื่อชงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบถ้วยกินรองท้องแก้หิว
โอ..แน่นอนล่ะวันเสาร์ในฤดูฝนอย่างนี้
ถ้าไม่มีกิจกรรมอะไรที่จำเป็นแล้วฉันก็ไม่อยากออกไปเตร็ดเตร่นอกหอตัวเองให้เสี่ยงตัวเปียกเท่าไหร่เลย
ยิ่งวันนี้ที่ไม่มีเอื้อยอยู่ใกล้ๆให้ต้องเป็นห่วงแล้วด้วย
ใช่..ฉันหมายถึงถ้าวันเสาร์อย่างนี้แล้วเอื้อยไม่ได้กลับบ้าน
ฉันอาจจะเป็นห่วงว่าเธอจะทานข้าวยังไง
จะอยู่อย่างไร จะเหงามั้ย
และฉันจะต้องออกไปหา
เราสองคนจะต้องมีกิจกรรมอะไรที่ต้องทำเพื่อให้เอื้อยรู้ว่าฉันยังรักและคิดถึงเธอเสมอ
แม้ว่าวันจันทร์ถึงศุกร์ที่ผ่านมาฉันจะไม่ค่อยได้ไปไหนมาไหนกับเธอเลยก็ตาม
แต่ตอนนี้วันนี้
ไม่แน่ว่าเธอก็คงจะมีความสุขกับแม่อยู่ก็ได้
ก็วันนี้เป็นวันสุดท้ายก่อนที่เธอจะไปส่งแม่ขึ้นเครื่องไปฮ่องกงนี่นา
อา...งั้นสำหรับอาทิตย์ต่อๆไปเธอก็ต้องอยู่หอหรืออาจต้องกลับไปอยู่กับน้าภาอย่างที่เธอเคยเล่าให้ฟังว่าแม่จะให้น้าภาช่วยดูแลความเป็นอยู่ของเธอด้วยสินะ
น้าภา..คือคุณน้าข้างบ้านที่เอื้อยเคยไปนอนค้างตอนที่ฉันคิดว่าเธอไปนอนกับกร
ท่านเป็นน้องสาวแท้ๆของแม่เอื้อยที่แม่เอื้อยเคยชวนมาอยู่ด้วยช่วงสมัยที่ท่านเริ่มสร้างฐานะและซื้อบ้านจัดสรรอยู่ได้ใหม่ๆ
เอื้อยเคยเล่าให้ฟังว่าน้าภาเป็นคนเก่งสามารถสอบบรรจุครูได้ตั้งแต่อายุน้อยๆ
แล้วท่านโชคดีได้แต่งงานกับเพื่อนครูด้วยกันเลยสร้างฐานะของตัวเองได้ไว
กระทั่งสามารถมาซื้อบ้านอยู่ข้างๆบ้านแม่ในหมู่บ้านจัดสรรที่ดีที่สุดในจังหวัดเราได้อย่างปัจจุบัน
อืม..ถ้าอาทิตย์ไหนเอื้อยกลับบ้านเอื้อยก็คงจะไปอยู่บ้านน้าภา
แต่ถ้าอาทิตย์ไหนไม่ได้กลับบ้านเธอก็คงต้องอยู่หอคนเดียวสินะ
นี่ฉันอาจจะต้องได้ไปอยู่เป็นเพื่อนที่หอก็ได้
ฉันคิดเรื่องเอื้อยไปก่อนจะเริ่มคิดขึ้นได้ว่า..ตอนนี้ฉันก็กำลังอยู่หอคนเดียวเหมือนเอื้อยอีกแล้ว...
เฮ้ย...รูมเมทฉันยังไม่มาเลยนี่
ฉันหันขวับไปมองที่เตียงเขาอีกครั้งหนึ่ง
เอาไงดีนี่ หรือฉันจะลองไลน์ไปถามเขาดีมั้ย
ฉันหยิบโทรศัพท์เปิดดูรายชื่อเขาในไลน์
พิมพ์ทักทายเขาไปสองสามประโยค
ความเกรงใจทำให้ฉันไม่กล้าถามเธอว่าทำไมไม่กลับหอตรงๆ
ทำได้แค่เพียงพิมพ์ถามแบบอ้อมๆไปว่า..
“ปลาอยู่ที่บ้านหรือเปล่าทำไมไม่เห็นมาหอเลย”
คำตอบที่เธอตอบกลับมาก็ทำให้ฉันพอจะสบายไปได้บ้าง
แม้จะคิ้วขมวดด้วยความสงสัยว่า..เฮ้ย..ทำอย่างนี้ได้อยู่เหรอ..
“เราอยู่หอกับเพื่อน
เจ้ยไม่ต้องเป็นห่วงนะ
เราไม่ได้เป็นอะไร”
ช่วงราวๆบ่ายสามขณะที่ฉันกำลังจะเคลิ้มหลับจากการนอนดูคลิปซีรีย์ย้อนหลังในยูทูป
อยู่ๆก็มีเสียงตะโกนอะไรก็ไม่รู้ดังโหวกๆเหวกๆอยู่หน้าหอ
ฉันสะดุ้งตกใจตื่น
ลุกขึ้นมานั่งฟังดีๆว่าเสียงตะโกนที่ได้ยินนั้นคืออะไร...
“จอเจ้ย
เฮ้..
จอเจ้ยอยู่ห้องไหน
จอเจ้ย ออกมาหาเราหน่อยยยยยย.....”
ห๊ะ..เดี๋ยวนะ
เสียงเรียกเมื่อกี้นั่นคือเสียงเรียกชื่อฉันใช่มั้ย
ฉันคิ้วขมวดคิดว่าน่าจะใช่
เพราะคงไม่มีใครชื่อแปลกอย่างนี้ในมอนี้อีกแล้ว
ความสงสัยทำให้ฉันรีบเปิดประตูระเบียงออกไปดูหน้าหอหาที่มาของเสียง....
“จอเจ้ย...ยู้ฮู
...”
ตอนนี้ภาพหญิงสาวผมบอนด์นั่งอยู่บนรถสกูตเตอร์ก็ปรากฏอยู่ด้านล่างทันทีที่ฉันโผล่ระเบียงออกไป
ณิชานั่นเอง
เธอกำลังโบกไม้โบกมือพร้อมๆกับตะโกนโหวกเหวกเสียงดังด้วยชื่อแปลกๆ
จนคนข้างบนหอต้องโผล่จากระเบียงออกมามองเหมือนๆกับฉัน
เกือบจะทุกๆห้องที่มีคนอยู่
เฮ้ย
อะไรนี่!!...
ฉันคิ้วขมวด
ยืนมองท่าทางโวยวายของหญิงสาวด้วยความตกใจ
แต่อีกฝ่ายกลับดูจะไม่สะทกสะท้านอะไรด้วยเลยที่เห็นคนออกมายืนออมองเธอเต็มหอแบบนี้
ตอนนี้พอเธอสายตาดีสังเกตุเห็นฉันในระเบียงห้องเข้า
แม่เจ้าประคุณก็รีบโบกไม้โบกมือเรียกฉันด้วยความดีใจเข้าไปใหญ่
“เห็นแล้วๆชั้นสี่ห้องที่มีผ้าเช็ดตัวคิตตี้สีชมพูนั่นใช่มั้ย..เฮ้..จอเจ้ย
ยู้ฮู้...
ลงมาหาเราหน่อยเร็ว
เรามีเรื่องจะคุยด้วยยย...”เสียงเอคโค่ของหญิงสาวดังมาพร้อมๆกับอาการเหงื่อตกของฉัน..
...เฮ้ยถ้าเห็นแล้วจะร้องทำไมอี๊กกก...
ฉันคิ้วขมวดรีบยกไม้ยกมือโบกไปมาห้ามไม่ให้เธอตะโกนเรียกอีก
แต่เธอก็ไม่หยุด
ไม่รู้ว่าเข้าใจว่าที่ฉันโบกไม้โบกมือนี่คือการทักทายเธอหรือเปล่า
ทำไมถึงเพิ่มระดับเสียงและกลายเป็นร้องตะโกนด้วยความตื่นเต้นดีใจไปอีก
ตอนนี้พอคนที่อยู่ในระเบียงได้ยินคำว่าเห็นแล้วๆห้องที่มีผ้าเช็ดตัวคิตตี้สีชมพู
ทุกๆห้องก็รีบชะโงกหน้าออกมาหาห้องที่มีผ้าเช็ดตัวคิตตี้สีชมพูกันใหญ่
จนฉันอายแสนอาย
ต้องรีบก้มตัวลงนั่งหมอบคลานเข้ามาในห้องเพื่อหาโทรศัพท์โทรหายัยคนบ้าที่ทำให้ฉันหน้าเหลือสองนิ้วในตอนนี้..
แต่...พอฉันกดโทรศัพท์ออกหาเบอร์โทรของเธอ
โทรศัพท์ของเธอดันปิดเครื่องซะนี่...เฮ้ย..ปิดเครื่องทำไมวะ..ฉันต้องรีบวิ่งออกไประเบียงแล้วชี้นิ้วมาที่โทรศัพท์ให้เธอเปิดเครื่องให้
แต่แทนที่เธอจะเปิดโทรศัพท์
เธอดันตะโกนโหวกเหวกกลับคืนมาว่า
“อะไรนะไม่ได้ยินๆ”
เป็นประโยคซ้ำๆกันอยู่นั่น
กระทั่งมีเสียงหนึ่งลอยกระแทกกระทั้นตามลมมา
และฉันกับณิชาก็หยุดกึ๊กทันทีที่ได้ยิน.....
“ก็ลงไปคุยกันดีๆซักทีสิคะ
รำคาญค่าาาาา...”
//////////////////////////////////////////////
“จะตะโกนทำไมนี่
ไม่กลัวคนอื่นเขารำคาญหรือไง”เสียงของฉันบ่นพึมพัมๆตอนที่กวักมือเรียกให้ณิชาเดินมาแอบยืนคุยอยู่แถวๆโรงจอดรถ
ก่อนหน้านั้นพอฉันเริ่มนึกขึ้นได้ว่าควรจะลงมาคุยกับเธอดีๆดีกว่า
ฉันก็รีบหยิบเสื้อแขนยาวที่มีหมวกใส่คุมหน้าคุมตาตัวเองไว้
ด้วยความอายแสนอายที่ต้องลงไปยืนคุยกับผู้หญิงที่ทุกคนในระเบียงกำลังลุ้นกันว่า
คนที่เธอต้องการคุยด้วยนั้นเป็นใคร...
“อ้าว
ก็ถ้าไม่ตะโกนจะรู้ได้ไงว่าเจ้ยอยู่ห้องไหน”
ผู้หญิงผมบลอนด์ในชุดกางเกงยีนส์ตัดขารุ่ยๆสั้นๆและเสื้อไหล่ตกลายขาวครามทำหน้าตายไม่รู้ไม่ชี้
ยืนเถียงฉันข้างๆคูๆ
ท่าทางยียวนแต่แอ๊บใสซื่อทำฉันมองค้อนเธอซ้ำ
เธอยิ้มแหยๆมองฉัน
ก่อนจะก้มลงไปเขี่ยๆกระเป๋าสะพายข้างสีดำที่มองดูเหมือนกระเป๋ากล้องของเธอเอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร
และคำตอบย้อนแย้งที่แสนจะกวนอารมณ์นั่นทำให้ฉันต้องย้อนถามเธอคืนทันที..
“ไม่รู้ว่าอยู่ห้องไหน???
แต่มาหอถูกนี่นะ”
“ก็ใช่..เราถามเพื่อนคนอื่นน่ะ
แต่คนอื่นเขาก็ไม่รู้ว่าเจ้ยอยู่ห้องไหน
เขารู้แค่ว่าเจ้ยอยู่หอในหอนี้เท่านั้น”
“อ้อเหรอ..แล้วมาทำไม
มีธุระอะไรรีบร้อนขนาดนั้น
ปกติก็โทรหากันได้อยู่นี่..”
ณิชาหุบยิ้ม
ใบหน้าเปลี่ยนอารมณ์
จากยียวนก่อนหน้านั้นกลายเป็นคิ้วขมวดเคร่งเครียด
หญิงสาวกัดริมฝีปากตัวเองไปมา
เหมือนกำลังครุ่นคิดบางอย่าง...
“ก็..ก็เรามีเรื่องจำเป็นเราใช้โทรศัพท์ไม่ได้
เราไม่สบายใจอ่ะเราไม่กล้าปรึกษาใครเลยนอกจากเธอ..”
ท่าทางซีเรียสของเพื่อนสาวทำฉันชะงักเปลี่ยนทีท่า
จากที่ตั้งท่าจะต่อว่าเธอก็กลายเป็นรีบถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง..
“อะไร..มีอะไรไม่สบายใจอย่างนั้นเหรอ..”
“คือ..เรา...เราทะเลาะกับแฟน
เรา...เลิกกับแฟนเราแล้ว...”
//////////////////////////////////////////
“ห๊ะ!!!ว่าไงนะ
ทะเลาะกับแฟนเพราะว่าแฟนคิดว่าเธอมีคนใหม่
แล้วแฟนเธอก็ดันคิดว่าเป็นเรานี่นะ
ทำไมไม่อธิบายดีๆนี่
ก็บอกเขาไปสิว่าเราเป็นเพื่อนเธอ..”
ความงงทำให้ฉันร้องเสียงหลงทันทีที่ได้ยินบทสรุปของณิชาเกี่ยวกับปัญหาชีวิตเธอก่อนหน้านั้น
และยิ่งได้ยินว่าฉันเป็นต้นเหตุที่ทำให้แฟนสาวของเธอหึงฉัน
เพราะเธอคิดว่าฉันสวยที่สุดในคณะแล้วด้วยนั้นก็ยิ่งทำให้ฉันงงไปใหญ่
อารมณ์งงทำฉันนั่งเอ๋อค้างจ้องหน้าณิชาฝั่งตรงข้ามด้วยความสงสัย
กระทั่งสะดุ้งตกใจเพราะมีผู้หญิงในชุดผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาลเดินถือถาดเดินเข้ามา
จานขนมปัง
แก้วเครื่องดื่มอีกสองแก้วถูกวางเรียงต่อหน้าเราหลังจากนั้น
ตอนนี้บรรยากาศร่มรื่นจากแมกไม้พร้อมที่จะเติมเต็มรสหวานชุ่มของนมสดและขนมปิ้งที่อยู่ต่อหน้าแล้ว
ฉันก้มลงหยิบแก้วนมสดขึ้นดื่มก่อนจะหันไปมองรอบๆร้านนมที่ณิชาชวนมาดื่มอีกครั้ง
โอนั่น..กำแพงต้นไม้บล๊อกสีเหลี่ยมที่มีสีเขียว
แดง ส้มสลับสีกันไปตามใบไม้และดอก
นั่นตู้โทรทัศน์ที่จัดเข้าชุดโต๊ะและเก้าอี้ไม้
จักรยานโบราณ ตู้โทรศัพท์สีแดง
ของตกแต่งสไตล์เรทโทรต่างๆ
โอ..ทุกอย่างช่างดูดีดูเก๋เหมาะแก่การพักผ่อนจิตใจอย่างที่ณิชาบอกจริงๆด้วย
ใช่..ก่อนหน้านั้น
ด้วยความที่ณิชาหน้าบึ้งหน้างอ
เธอบอกว่ารู้สึกเครียดเกินกว่าจะคุยกับฉันต่อหน้าคนอื่นได้
บางทีการได้นั่งคุยกันในที่เงียบๆสักที่อาจจะทำให้เธอรู้สึกดีขึ้น
หญิงสาวอ้างเหตุผลจนฉันเห็นใจ
ก่อนจะพาฉันขับเวสป้าคันงามออกมาร้านนมที่เธอบอกว่าบรรยากาศดีและกาแฟอร่อยมากอย่างตอนนี้
“...ก็บอกแล้ว
แต่เขาไม่เชื่อเรา
เขาจับผิดเราทุกอย่างอ่ะ
เราว่าเขางี่เง่าเกินไปน่ะ”
แต่แทนที่เธอจะเศร้าให้สมกับที่เธอตะโกนโหวกเหวกเหมือนมีเรื่องใหญ่โตอะไรมากมายแล้ว
กลายเป็นว่าเธอดันทำหน้าไม่ยี่ระต่อการเลิกลาที่เธอใช้เป็นข้ออ้างในเรียกฉันออกมาเลย...
“ก็ทำไมไม่คุยกันดีๆเล่า..”
“ทำไมจะไม่คุย
เราคุยกับเขามาสามวันเต็มๆแล้ว
คุยเรื่องเดิมมาตลอดจนเราเหนื่อยแล้วไม่อยากทะเลาะ
ไม่อยากร้องไห้ ไม่อยากอะไรทั้งนั้นแล้วอ่ะ
ตอนนี้เราโคตรเครียด
เครียดจนไม่อยากพูดเรื่องของเขาอีกแล้วเข้าใจมั้ย!!”หญิงสาวกระแทกกระทั้นเสียง
เธอถอนหายใจใหญ่ก่อนจะก้มลงหยิบแก้วโกโก้ปั่นของเธอมาดูดแก้เครียดของเธอไป
ซึ่งพอฉันเห็นท่าทีซีเรียสอย่างนั้น
ก็เลยพยายามหลีกเลี่ยงไม่ถามเรื่องแฟนของเธออีก..
“งั้นเรียกเราออกมานี่มีอะไร
อยากกินนมเฉยๆนี่นะ..”
“อืมใช่..ทั้งอยากคุยกับเธอด้วยนั่นแหละ...เราว่าเราคุยกับเธอแล้วสบายใจดี...”
ฉันหัวเราะหึๆทันทีที่ได้ยิน“อ้อ..หรา
นี่ถ้าอยากคุยด้วยเฉยๆโทรหาก็ได้นะเจ๊
ไม่ต้องลงทุนตะโกนโหวกเหวกอย่างนั้นก็ได้
เราอายคน..”
ความอายทำให้ภาพผ้าเช็ดตัวคิตตี้สีชมพูลอยขึ้นในหัวฉันอีกครั้ง
เห็นทีช่วงนี้คงจะเอามาซักตากไว้ที่ระเบียงไม่ได้ซะแล้ว
“โทรได้ที่ไหนล่ะ
แฟนเราโทรจิกจนเราปิดเครื่องแล้ว
เราไม่อยากคุยกับเขาเราก็เลยปิดเครื่องหนีเขาไปเลย”
..อ๋อ
นี่เองสาเหตุที่ฉันโทรเข้าเครื่องเธอไม่ติด..
ฉันร้องอ๋อทันทีที่ได้ยินเธอบอกเหตุผล
ตอนนี้แม่เจ้าประคุณก็หายใจใหญ่ทำเป็นอยากปล่อยวางอารมณ์ซีเรียสที่เผลอวกเข้าไปคุยถึงแฟนสาวของเธอ
ก่อนจะวางแก้วนมในมือลงแล้วเปลี่ยนเป็นจับแก้วกาแฟที่พนักงานเสริ์ฟพึ่งเอามาให้ครู่นี้ยกขึ้นชิมดู...
“อืม..หอมดีนะคาปูชิโน่ร้านนี้
นี่ไงเราถึงอยากให้เธอมานั่งกินกับเรา
ลองชิมดูสิ กินเลยนะเดี๋ยวเราเลี้ยงเอง”
หญิงสาวยิ้มหวาน
เธอผายมือมาทางแก้วกาแฟเพื่อเชิญชวนให้ฉันดื่ม
ฉันยักคิ้วรับ
ก่อนจะลองหยิบคาปูชิโน่แก้วต่อหน้าขึ้นมาลองชิมบ้าง
อืม..หอมกลมกล่อมอย่างที่เธอบอกจริงๆด้วย
ฉันหลับตาพริ้มทันทีที่ปลายลิ้นสัมผัสเข้ากับฟองและรสชาติละเมียดละไมอย่างนั้น...
...อืม..คือดีอ่ะ..บรรยากาศร้านก็ดี
นมก็อร่อย กาแฟก็หอมละมุน
ขนมปังก็หอมกรุ่นนุ่มลิ้น
โอ....เป็นร้านที่น่าชวนเอื้อยมานั่งเดทด้วยที่สุดเลย...
ฉันทั้งคิดทั้งหลับตาพริ้มด้วยความสุข
ขณะกำลังมโนภาพผู้หญิงผมบลอนด์ด้านหน้าตัวเองเป็นภาพของเอื้อยหญิงสาวที่ฉันรักแสนรักอยู่อย่างนั้น..
แชะ..แชะ..
เสียงดังของอะไรสักอย่างดังแทรกเข้ามาเรียกสติฉันจนต้องลืมตา
ตอนนี้พอมองตรงไปข้างหน้า
ภาพณิชากำลังหยิบกล้องถ่ายรูปสีดำขึ้นมาวางทาบตาก็ปรากฏขึ้นทันที
เธอใช้มือซ้ายหมุนเลนส์สีขาวที่ยื่นออกมายาวๆด้านหน้าไปซ้ายทีขวาทีก่อนจะละใบหน้าออกยิ้มบอกฉัน
“ลืมตาแล้วก็ยิ้มหน่อยสิ...”
“อะไรน่ะ
จะมาถ่ายอะไร อายคนเขา”
อารมณ์เหวอไม่ทันตั้งตัวทำฉันทักท้วงเธอทันที
“อะไรเล่า
โลเคชั่นสวยๆนางแบบสวยๆก็ต้องเทคอะโฟโต้หน่อยสิ
นะๆเป็นนางแบบให้เราหน่อยนะ”
ฉันคิ้วขมวดตั้งท่าจะอ้าปากบ่น
แต่ยังไม่ทันว่าอะไรณิชาก็กดชัตเตอร์ดังแชะแล้วละใบหน้ายียวนออกมายิ้มหวานอีกครั้ง
“ยิ้มสวยๆนะ ไม่สวยก็จะกลายเป็นแบบเมื่อกี๊อีกนะ
จะเอาแบบไหน
เร็วๆเราจะถ่ายไว้เป็นที่ระทึก..เอ้ยระลึก”
เธอเล่นมุก หึ..ขำตายล่ะ..
คิ้วฉันเพิ่มระดับขมวดทันทีที่นึกขึ้นได้ว่า..นี่เมื่อกี้เธอก็ถ่ายรูปหน้าเหวอๆฉันไปแล้วใช่มั้ยนี่...
“นะๆเป็นนางแบบให้เราหน่อยนะ
ตอบแทนที่เราจะเลี้ยงนมวันนี้ไง
ขอ10รูปก็พอ”
หญิงสาวขอร้องต่อ แต่ฉันไม่ตอบรับ
เอาแต่หน้าบึ้งนั่งนิ่งมองณิชาค้างจนเธอทำหน้าแหยๆ....
“..อ๊ะๆ5รูปก็ได้”
ณิชาเสียงอ่อนเสียงหวานยกนิ้วทั้ง5ขึ้นมาประกอบ
เธอทำเป็นตาเล็กตาน้อยออดอ้อนขอร้องฉัน
จนฉันทนรบเร้าไม่ไหว
จำใจเป็นนางแบบจำเป็นอย่างที่เธอต้องการจนได้
เสียงชัตเตอร์กล้องของณิชาดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าหลังจากนั้น
เธอทั้งถ่ายทั้งละหน้าออกมาสั่งให้ฉันเก๊กท่านั้นท่านี้ตามที่เธอขอ
แม้จะอายผู้คน
แต่ด้วยอารมณ์รำคาญอยากถ่ายให้เสร็จไวๆ
เธออยากให้ฉันแอคติ้งท่าไหน
ยังไง ฉันก็เลยรีบจัดให้เธอ....
“ยิ้มอะไร”
เป็นฉันที่ถามยัยตากล้องจอมเวอร์หลังจากที่เห็นเธอหยุดถ่ายแล้วนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มองภาพภายในกล้องไปคนเดียว..
ณิชาไม่ตอบ
เธอละตาออกมาจากกล้องแล้วยิ้มน้อยมองฉันเหมือนเดิม
ตาโตๆสีดำขลับที่โผล่พ้นผมม้าตัดตรงคู่นั้นฉายแววเจ้าเล่ห์ให้ฉันยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่
“ถามแล้วไม่ตอบ
ดูอะไรเอามาดูบ้างเลย”
หญิงสาวยิ้ม
“อยากดูฝีมือการถ่ายภาพของเราเหรอ
ด้ายยย..”
เธอจีบปากจีบคอพูดก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วเดินถือกล้องตรงดิ่งมานั่งข้างๆฉัน
ฉันรับกล้องจากณิชามากดเลื่อนดูภาพถ่ายที่เธอถ่ายฉันเมื่อครู่นี้อย่างพินิจพิเคราะห์
..อืม..สวยดีแฮะ..คำว่าสวยในที่นี้ฉันไม่ได้หมายถึงฉัน
แต่ฉันหมายถึงองค์ประกอบของภาพที่ณิชาถ่ายฉันเมื่อครู่นี้
..ใช่...การจัดวางองค์ประกอบของภาพถ่ายที่ณิชาถ่ายฉันเมื่อครู่นี้ดูสวยมาก
เธอปรับโฟกัสแบบชัดตื้น
แม้ภาพของฉันจะดูดีสวยเด่นแต่ก็กลมกลืนกับบรรยากาศสีแดงๆส้มๆของแบลคกราวน์ร้านด้านหลังที่มองดูเบลอๆนวลๆ
ให้อารมณ์ความอ่อนโยนนุ่มลึก
ช่วยขับให้ภาพโฟร์กราวน์ด้านหน้าดูสวยโดดเด่นและลงตัวทั้งเฉดสีและอารมณ์
ณ ช่วงเวลาที่จับภาพนั้นเหลือเกิน...
...โอ้..นี่เธอจับอารมณ์ของภาพได้เก่งมากเลยนะ
ไม่สิ..ต้องบอกว่าเธอถ่ายภาพได้สวยมากถึงจะถูก...
ฉันหันขึ้นไปยิ้มให้ณิชา
“ถ่ายรูปสวยนะ คือหมายถึงรูปโดยรวมนะ
ไม่ใช่เรา..”
“ขอบคุณที่ชม
นางแบบก็สวยด้วยล่ะ
ภาพมันก็เลยสวย”
หญิงสาวยิ้มกรุ่มกกริ่มได้ทีวกเข้าเรื่องชมฉันอีก
ฉันแสยะยิ้มหัวเราะหึๆทันทีที่ได้ยิน
ก่อนจะนั่งก้มหน้าเลื่อนภาพในกล้องตัวนั้นไปเรื่อยๆ
..จริงๆด้วย
ณิชานี่เป็นคนที่ถ่ายภาพสวยมากเลย
ภาพบางภาพเป็นภาพวิวต้นไม้ธรรมดาแต่ฉันมองแล้วกลับให้ความรู้สึกเหงาเคว้งคว้างก็มี
ให้ความรู้สึกสดใสสดชื่นก็มี
ดูมันมีเรื่องราวในภาพถ่ายของณิชาเยอะแยะไปหมด
อืม..นี่หรือเปล่านะที่เค้าว่ากันว่าอารมณ์ศิลปิน
แค่มอง..ก็เห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น
ก็คงจะมีแค่กล้องนี่กระมังที่ถ่ายทอดเรื่องราวที่เธอเห็นต่างจากคนอื่นมาเก็บไว้ได้
มันก็คือไดอารี่ของศิลปินดีๆนี่เองล่ะนะ...
ฉันยิ้ม
นั่งเลื่อนดูภาพไปเรื่อยๆ
จนไปถึงภาพเซ็ตผู้หญิงสวยๆที่ฉันจำได้ว่าเขาก็คือแฟนของณิชานั่นเอง
หญิงสาวผมบอนด์เห็นฉันนั่งอึ้งค้างเธอจึงทักขึ้น..
“ภาพแฟนเก่าเราน่ะ..ตอนนั้นพึ่งคบกันใหม่ๆ..”
“ใคร..”
ฉันละสายตาหันไปถามณิชา
“..ก็เกดไงก็....”
เธอพยายามอธิบายแต่ก็โดนฉันพูดแทรกเสียก่อนว่า..“ใครถาม..”หญิงสาวชะงัก
เธอเหล่ตามองแรงฉันที่หัวเราะคิกๆคักๆทันทีที่ได้ทีกวนโอ้ยเธอคืนบ้าง
“ล้อเล่นน่า
ก็ไม่ได้ถามจริงๆเล่าให้ฟังทำไมกันเล่า
เดี๋ยวก็คิดถึงเขาขึ้นมาก็ร้องไห้ขี้มูกโป่งอีก
เราไม่มานั่งปลอบเธอนะอายคนเค้า”ฉันทั้งพูดทั้งยิ้ม
อารมณ์อยากหยอกให้คนที่ฟังรู้สึกดี
กลัวเพื่อนจะเสียใจเสียความรู้สึก
ที่เผลอพูดถึงคนรักเก่าอย่างนั้นอีก
“ใคร..เราน่ะเหรอจะร้องไห้
ไม่อ่ะ เราไม่ร้องไห้หรอก
มีแต่เขานั่นล่ะที่จะร้องเพราะว่าเราบอกเลิกเขาไปแล้ว
เราบอกเขาไปแล้วว่าระหว่างเรากับเขามันคงไม่ใช่
แล้วตอนนี้เราก็เจอคนที่เราคิดว่าใช่แล้วด้วย..”
อึ๊ก..ฉันอึ้ง
รู้สึกร้อนวูบๆวาบๆทันทีที่ได้ยินเธอบอกว่าเจอคนที่ใช่แล้วหันมาจ้องหน้ามองตาฉันนิ่งๆ
เหมือนเธอกำลังจะบอกเป็นนัยๆว่าคนที่ใช่ของเธอนั้นหมายถึงใคร
ความรู้สึกกระอักกระอ่วนใจทำฉันต้องรีบกระแอมแล้วแกล้งก้มลงมองกล้องในมือเพื่อเปลี่ยนเรื่องกันไม่ให้ตัวเองรู้สึกแปลกๆกับณิชาไปมากกว่านี้
….
“เอ่อ..กล้องรุ่นนี้คือรุ่นอะไรนี่”
“นี่เหรอ
แคนนอน EOS
760D ...”
ฉันพยักหน้ารับทั้งพลิกซ้ายพลิกขวามองดูกล้องก่อนจะตาละห้อยถามเธอต่อว่า..
“คงจะแพงล่ะสินะ..”
“ก็นิดหน่อย
ถ้าซื้อพร้อมเลนส์ดีๆด้วยก็สี่ห้าหมื่นอัพ
ถามทำไมอยากได้เหรอ”
“อืม..ก็อยากได้อยู่..เห็นพวกพี่ปีสองปีสามพกคนละตัว
ได้ยินพี่เขาบอกว่าบางทีเราก็ต้องได้ถ่ายรูปงานหรือไม่ก็เวลาที่เราออกทริปเจอมุมเจอspace
สวยๆก็จะได้ถ่ายไว้ดูเป็นไอเดียในการออกแบบน่ะ
เราก็ว่าจะเก็บตังค์ซื้ออยู่แต่คงไม่ใช่ปีนี้หรอก
ปีนี้ใช้ตังค์เยอะแล้ว..”
ณิชาเลิ่กคิ้วเหมือนคิดอะไรได้
เธอยิ้มหวานมอบข้อเสนอให้ฉันทันที
“..งั้นเราให้ยืมใช้เอาป่ะ
เรามีกล้องหลายตัว
ถ้าเธอไม่รังเกียจว่ามันตกรุ่นไม่ใช่รุ่นใหม่ล่าสุดก็เอาของเราไปใช้ก่อนก็ได้”
“โหยไม่เอาหรอก
เกรงใจเดี๋ยวทำของณิชาพังอีกยุ่งเลย”
ฉันส่ายหน้ารีบส่งกล้องในมือคืนให้
ด้วยนึกขึ้นได้ว่ามันก็คงจะพังเหมือนกันถ้าฉันเผลอซุ่มซ่าม..
ณิชายักคิ้ว
เธอรับกล้องไปนั่งยิ้มหวานส่งสายตาแปลกๆจ้องมองฉันข้างๆอยู่นาน
จนฉันเริ่มรู้สึกอึดอัดต้องแกล้งเก๊กเสียงดุบอกให้เธอกลับไปนั่งที่ของตัวเองเสียที
“กลับไปนั่งที่เดิมเลย
แล้วก็กินให้หมดเลยนะขนมปังพวกนี้น่ะ
รีบกินจะได้รีบกลับไปเตรียมตัวเข้าคลาสเชียร์คณะเย็นนี้..”
“รับทราบค่ะบอส...”สาวผมบอนด์เก๊กเสียงแข็งขันตอนพยักหน้ารับ
เธอเดินถือกล้องกลับมานั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กินขนมปังที่อยู่ต่อหน้าจนหมดไป
ก่อนจะพาฉันกลับหอเพื่อไปทำกิจกรรมอื่นๆหลังจากนั้น
จนกระทั่งสิ้นสุดวันลง...
วันอาทิตย์
วันนี้ฉันตื่นนอนตั้งแต่สามโมงเช้า
ลุกขึ้นมาพอกหน้ามาร์กหน้า
สระผม ไดร์ผม
ทำตัวเองให้ดูดีและสวยที่สุดสำหรับวันที่แฟนจะกลับมาหออีกครั้ง
ใช่..วันนี้เอื้อยคงจะกลับหอช่วงบ่ายๆ
และเธออาจจะเศร้าที่ไปส่งแม่ขึ้นเครื่องแล้วก็ได้
ฉันเลยคิดว่าบางทีเธออาจจะต้องการให้ฉันอยู่ใกล้ๆเธอยามนี้...
ฉันปัดกวาดห้องฆ่าเวลาก่อนจะถือถุงดำใส่ขยะเดินลงไปทิ้งหน้าหอ
ตอนนี้พอฉันกำลังจะเดินกลับเข้าหอและผ่านหน้าเคาน์เตอร์สำนักงานหอพัก
อยู่ๆก็มีพี่หอในนั้นเดินออกมาเรียกฉัน...
“น้องๆ..น้องใช่น้องจอเจ้ยหรือเปล่าคะ..”
ฉันสะดุ้งกึ๊กรีบหันไปหาที่มาของเสียง
นึกแปลกใจเล็กๆที่ได้ยินชื่อที่น่าจะมีแต่คนในคณะเท่านั้นที่รู้จัก
“เอ่อ..ใช่ค่ะ”
พี่คนนั้นยิ้มรับแล้วกวักมือเรียกฉันไปเคาน์เตอร์ทันทีที่ได้ยินฉันตอบรับ
“คือ..มีเพื่อนในคณะของน้องเค้าฝากของไว้ให้น่ะ
คนที่ผมทองๆที่สวยๆน่ะ..”
พี่คนนั้นหันไปชั้นวางของด้านหลัง
เธอเลือกหยิบกระเป๋าผ้าสี่เหลี่ยมสีดำใบใหญ่ๆมองดูคล้ายกระเป๋ากล้องส่งมาให้ฉัน
ฉันคิ้วขมวดตั้งแต่ได้ยินคำว่า
“ผมทอง” แล้ว
แล้วยิ่งมาเห็นกระเป๋าใบนี้อีกก็ยิ่งเพิ่มความขมวดเข้าไปใหญ่
“เขามาฝากให้ตั้งแต่ตอนเช้าๆแล้ว
บอกพี่ว่าฝากให้น้องจอเจ้ยคนที่สวยๆหมวยๆที่อยู่ถาปัตย์ปีหนึ่งหน่อย..เขาไม่รู้ว่าน้องอยู่ห้องไหน
พี่ได้ยินคำว่าสวยๆหมวยๆก็เลยนึกถึงเราได้และก็จำได้ว่าเราอยู่ถาปัตย์ปีหนึ่งด้วย
ก็เลยคิดว่าน่าจะใช่น่ะ..”
ฉันยิ้มแก้เขินให้พี่หอก่อนจะก้มลงมองเจ้ากระเป๋าใบนี้ด้วยความงงแสนงง
..ไม่นะ..นี่คงไม่ใช่สิ่งที่ฉันกำลังคิดหรอกใช่มั้ย..
“เออนี่..เค้าฝากจดหมายไว้ด้วยนะ...พี่ใส่ไว้ข้างกระเป๋าน่ะ”
พี่คนนั้นชี้นิ้วมือให้ฉันดูซองน้ำตาลเล็กๆที่สอดใส่ช่องใส่ของที่อยู่ด้านข้าง
ฉันพยักหน้ารับ ยกมือไหว้ขอบคุณ
ก่อนจะรับเอาเจ้ากระเป๋าใบนั้นกลับมาด้วยความงงต่อ
ฉันโทรหาณิชาทันทีที่กลับเข้าห้อง
แต่โทรเท่าไหร่ก็ไม่ติดไม่รู้ว่าเป็นเพราะเธอปิดเครื่องหนีแฟนสาวของเธอตั้งแต่เมื่อวานหรือเปล่า
ฉันทั้งคิดทั้งกังวล
ตั้งใจจะโทรถามเธอให้ได้ความก่อนแต่ก็ติดต่อไม่ได้
ความสงสัยทำให้ฉันตัดสินใจเปิดดูของข้างในหลังจากนั้น..
โอ..ไม่..มันเป็นสิ่งที่ฉันคิดจริงๆด้วย..
ใช่...ของในกระเป๋าคือกล้อง
มันเป็นกล้อง DSLR
สีดำยี่ห้อCanon
ที่ด้านข้างมุมบนขวามีตัวหนังสือสีขาวคำว่าEOS
650D อยู่ด้วย
ฉันยกมันขึ้นมาสำรวจสภาพของกล้องแม้จะมีร่องรอยเลือนๆของตัวหนังสือไปบ้าง
แต่องค์ประกอบทุกอย่างมันยังอยู่ในสภาพที่ดีและใหม่เกือบๆจะ100%อยู่เลย
ฉันมองลงไปในช่องของกระเป๋ามันมีชุดเลนส์คิตส์อีกสองอัน
หยิบมันขึ้นมาหมุนเปิดฝาครอบเลนส์ก็เห็นข้อความสีขาวของแต่ละอันว่า
EF-S
18-135 F3.5-5.6 STMและEF
40mm F2.8 STM นอกจากนั้นยังมีพวกอุปกรณ์พวกแท่นชาร์ต
สายชาร์ต
ชุดทำความสะอาดเลนส์ต่างๆจัดวางเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่ในกระเป๋านั้นอีก
ความกังวลใจทำฉันคิ้วขมวดก้มมองกล้องในมืออยู่นานจนนึกถึงจดหมายขึ้นมาได้
ฉันวางมือจากกล้อง
รีบหยิบซองสีน้ำตาลนั้นขึ้นมาเปิดอ่านข้อความทันที..
To..จอเจ้ยสุดสวย
^_^
เราฝากกล้องไว้ให้เธอลองใช้ดูนะ
กล้องตัวนี้เป็นกล้องDSLRตัวแรกของเรา
เรารักมันมากเลยยังไงฝากเธอช่วยดูแลมันให้เราทีนะ
ปล.ใช้ไม่เป็นก็ลองเสิร์ชGoogleดูก่อนนะ
ช่วงนี้เราอาจจะติดต่อไม่ได้
เรากำลังย้ายหอน่ะ
From..ณิชาไงจะใครล่ะ
^_^