วันศุกร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560


นิยายหญิงรักหญิง Girlfriend Season2

Chapter 3

Third party: Nicha


..It's been a long day without you my friend .And I'll tell you all about it when I see you again . We've come a long way from where we began Oh, I'll tell you all about it when I see you again When I see you again...

...เสียงเพลงสากลดังขึ้นเรื่อยๆตามระยะทางเดินที่ฉันก้าวเข้าสู่สตูดิโอปีหนึ่ง แม้ไม่ใช่เพลงรัก แต่เสียงจากเปียโนและเนื้อหาที่กล่าวถึงเพื่อนก็ให้อารมณ์ความเหงาความซาบซึ้งอยู่ไม่น้อย ตอนนี้พอฉันเดินมาถึงหน้าห้อง เสียงเพลงฮิตที่ได้ยินท่อนเศร้าๆครู่นี้ก็กลายเป็นท่อนแร็บของเพลงทันที ฉันมองเข้าไปในสตู มีเพื่อนผู้ชายสามสี่คนกำลังยืนยกไม้ยกมือทำทีเป็นร้องท่อนแร็บเพลงนี้ตอบโต้กันอยู่ ด้านหน้าพวกเขามีเครื่องเสียงที่เปิดจาUSB ลำโพงสองลูกใหญ่ กีตาร์ เครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ ชามก๊วยเตี๋ยว??? โอ้..นี่พวกเขาขนมันมาในสตูด้วยหรือนี่ ฉันทั้งคิดทั้งมองจนกระทั่งหนึ่งในเพื่อนชายกลุ่มนั้นยกไม้ยกมือมาทางฉัน
โย้ววว..จอเจ้ย..” นั่น..แร๊ปเปอร์หนุ่มทักทายฉันเข้าให้แล้ว ฉันอมยิ้มนึกขันในท่าทาง ก่อนจะยืนตัวตรงดิ่งแล้วลากมือทั้งสองข้างจากลำตัวขึ้นมาสะบัดไปข้างหน้าเหมือนเขาบ้างทันที
โย้วๆๆ..แม้นนน..” เพื่อนชายพากันตาโต พวกเขาพากันร้องว้าวเสียงดังทันทีที่เห็นท่าทางแรปเปอร์สาวของฉัน แน่นอนล่ะนานๆทีเพื่อนๆจะเห็นคนซีเรียสอย่างฉันตอบรับเล่นมุกกับพวกเขาด้วยความอารมณ์ดีอย่างนี้...
ใช่..วันนี้ฉันค่อนข้างอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ก็สืบเนื่องมาตั้งแต่ช่วงเย็นวันนี้ที่เอื้อยมาส่งฉันที่หอแล้วเธอขอให้ฉันไปอยู่หอกับเธอนั่นล่ะ แม้ว่าฉันจะปฏิเสธเธอไปด้วยความเสียดายเล็กๆที่คิดได้ว่าฉันพลาดโอกาสที่จะอยู่ใกล้ๆเอื้อยไปแล้ว แต่ฉันก็คิดว่ามันก็คงจะดีกว่านี้แน่นอนถ้าเราสองคนอยู่ด้วยกันในวันที่พร้อมทุกอย่างแล้วจริงๆ ซึ่งสิ่งที่ทำให้ฉันอารมณ์ดีแม้เวลาจะผ่านมาจนดึกขนาดนี้แล้วก็คือใบหน้าที่ยิ้มยอมรับ และทำตามสิ่งที่ฉันขอร้องด้วยความเต็มใจของเธอนั่นเอง..
ฉันเดินผ่านสตูดิโอโซนเด็กผู้ชายห้าวๆเกๆด้านหน้าเข้าไปยังโซนตรงกลางห้อง แถวโซนนั้นเพื่อนๆในชั้นปีจะเรียกว่า“โซนเทพ”กัน ซึ่งที่มาของชื่อก็ได้มาจากการที่บรรดาเด็กเรียนหรือเด็กที่มีลายเส้นสวยๆเก่งๆระดับเทพจะมานั่งทำงานกองกันอยู่ตรงนี้นั่นเอง
ฉันยิ้มทักทายเพื่อนผู้หญิงสองคนที่กำลังนั่งคุยเรื่องแบบกัน รวมทั้งนัทแว่นที่นั่งถัดจากโต๊ะเขียนแบบของฉันมาอีกสองที่ด้วย...
โห...คอนเซ็ปต์เลิศหรูอีกแล้วอ่ะ” ฉันแซวนัทแว่นทันทีที่แอบชะโงกมองดูงานของเขาที่สเก็ตไปได้เกือบๆจะห้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว
ไม่เท่าไหร่หรอก” นัทแว่นขยับแว่นตาแล้วหันมายิ้มให้ฉัน “จอเจ้ยพึ่งมาเหรอ กินข้าวหรือยัง..” ชายหนุ่มหันมาทัก ดูกระตือรือร้นจะชวนฉันคุยมากแม้คำถามจะฟังดูแล้วแปลกๆทะแม่งๆอย่างไรไม่รู้ “เอ่อ...กินแล้วสิ นี่มันสามสี่ทุ่มแล้วนี่ฝนตกอีกต่างหาก เรากินตั้งแต่เลิกคลาสเสร็จใหม่ๆแล้ว”
อ้าวเหรอ..” ชายหนุ่มหัวเราะ เขายิ้มแหยๆก่อนจะขยับแว่นตาแก้เขินอีกครั้งนึง “นั่นสิเนอะ..เอ่อ..จอเจ้ยจะถามอะไรมั้ย จะให้ช่วยอะไรมั้ย ถามเราได้นะ..” เขายังพยายามชวนคุยอยู่
อ่อ..ไม่เป็นไร งานนี้เราคิดไอเดียไว้คร่าวๆตั้งแต่อาจารย์ให้สเก๊ตช์ดีไซน์มาแล้ว คิดว่าน่าจะทำแป๊บเดียวเสร็จ แต่..ยังไงก็ขอบใจนัทนะ” ฉันโปรยยิ้มให้เขาอีกครั้ง ก่อนจะเดินไปที่โต๊ะเขียนแบบของตัวเองที่ตั้งอยู่ตรงกลางโซนนั่น
กล่องใส่แบบท่อสีน้ำเงินที่ฉันสะพายหลังถูกนำมาแขวนไว้ที่โต๊ะเขียนแบบ กระเป๋าสะพายและถุงใส่สีฉันเอาวางไว้เก้าอี้อีกตัวที่ยกมาหลังจากนั้น ฉันชำเรืองมองไปที่โต๊ะข้างๆตอนนี้มันก็ยังวางเปล่าอยู่ ยังไม่มีการเตรียมกระดาษแบบหรือข้าวของอะไรวางไว้รอทั้งสิ้น..
..ณิชายังไม่มาอีกเหรอนี่..ช้าอีกแล้วอ่ะ เดี๋ยวก็ทำแบบไม่ทันก็มานั่งรำพึงรำพันให้ทำช่วยอีก เฮ้อ.. ฉันแอบบ่นให้เจ้าของโต๊ะข้างๆทันทีที่เริ่มเห็นแววว่างานครั้งนี้เธอก็อาจจะทำเสร็จช้าอีกแล้ว ใช่...เป็นณิชาที่นั่งอยู่ข้างๆโต๊ะเขียนแบบฉัน แล้วเธอก็มักจะขอให้ฉันช่วยเธอทำนั่นทำนี่ประจำ เวลาที่เธอทำแบบเสร็จไม่ทันเวลาส่ง
นี่เธอทำอะไรอยู่ ทำไมถึงไม่รีบเข้าสตูมาทำงานนะ ตอนเข้าคลาสเชียร์มหาวิทยาลัยวันนี้ฉันก็ไม่เห็นเธอด้วย..เอ..จริงๆฉันก็ไม่ค่อยเห็นเธอตลอดนั่นแหละ แม้ว่าสีผมเธอจะดูโดดเด่นจำง่ายและมองเห็นในระยะไกลได้ขนาดไหน ฉันก็ยังไม่บังเอิญเห็นเธอเหมือนคนอื่นๆในคณะเสียที เอ..หรือฉันไม่ได้สังเกตอะไร แต่คลาสเชียร์ของคณะณิชาก็เข้าอยู่นะ แค่เธอชอบยืนอยู่แถวโซนข้างหลังไม่มาอยู่ใกล้ๆฉันเหมือนตอนเรียนหรือตอนทำแบบเท่านั้นเอง ฉันทั้งคิดทั้งหยิบเอากระดาษวาดเขียนA1ขึ้นมากางติดโต๊ะเขียนแบบด้วยกาวนิโต้ทั้งสี่มุม ก่อนจะเลื่อนไม้ทีสไลด์ที่อยู่ขอบล่างของโต๊ะขึ้นมาวางนำร่องดินสอเพื่อเขียนขอบเขตของงานไป
ฉันนั่งสเก๊ตซ์งานไปตามไอเดียที่ฉันคิดไว้คร่าวๆตั้งแต่อาจารย์แจกงานให้ ด้วยความที่ฉันเป็นคนทำงานไวตอนนี้ผ่านไปชั่วโมงกว่าๆฉันก็สเก๊ตซ์ภาพได้ครบทั้ง Concept,Plan,Section,DetailและPerspactiveแล้ว...

อะไรอ่ะ จะเสร็จแล้วนี่เหลือแต่ลงสีนี่นา..ไม่รอกันเลยอ่ะ..” เสียงณิชาลอยมาด้านหลังฉัน จนฉันรีบตอบกลับเธอไปด้วยความหมั่นไส้ทันที แม้จะยังไม่ทันได้หันไปมองเธอก็ตาม...
ก็เออน่ะสิ ตัวเองช้าเอง ใครเขาจะไปรอ ทีหลังนะ ถ้าจะ.....” พูดไม่จบ ปากฉันชะงักทันทีที่หันหลังไปเห็นณิชายืนยิ้มอยู่ข้างหลังฉันกับผู้หญิงคนหนึ่งเข้า..
เป็นผู้หญิงตัวสูงผมดำยาวๆที่หันไปมองแว็บแรกแล้วก็รับรู้ได้ทันทีว่าสวย แถมเธอยังหุ่นดีแต่งตัวเซ็กซี่เหมือนณิชาอีก เอ..แต่ดูหน้าตาแล้วคงไม่ใช่คนในคณะเราแน่นอน น่าจะมาจากคณะอื่น ..เพื่อนณิชาที่โรงเรียนเดิมหรือเปล่า ..นี่พาเพื่อนคณะอื่นมาเล่นในสตูเราได้ด้วยเหรอ ..เดี๋ยวนะเหมือนจะคุ้นๆว่าเคยเห็นอยู่ในวอลเปเปอร์ของโทรศัพท์ณิชา เออใช่เป็นผู้หญิงที่ทำปากจู๋ๆถ่ายรูปเซลฟ์ฟี่กับณิชานั่นเอง ฉันทั้งคิดทั้งมองหน้าผู้หญิงสวยๆเฉี่ยวๆหน้าตาเหมือนดาราคนนั้นอยู่นานจนณิชาต้องกระแอมเรียกสติฉัน...
เอ่อ..จอเจ้ย นี่เกดนะเป็น..เอ่อ..เพื่อนเราอ่ะ..”
อ่อๆค่ะ สวัสดีค่ะเกด” ฉันได้สติพยายามพยักหน้ารับและทักทายเธอ เกดยิ้มรับแต่ไม่พูดอะไรตอบ เธอหันไปเหล่มองณิชาด้วยสายตาแปลกๆแลดูไม่พอใจอะไรอยู่นาน ก่อนจะยื่นมือไปหยิกแขนณิชา จนณิชาร้องอูยเสียงหลง ทั้งตาเล็กตาน้อยจ้องมองเพื่อนสาวของเธอ ก่อนจะเดินมาเตรียมกระดาษวาดเขียนที่โต๊ะตัวเอง โดยที่ไม่ได้พูดอะไรกับฉันอีกเลย
ฉันก็หันกลับไปทำงานต่อไม่ทักท้วงอะไร แม้จะจะนึกสงสัยในท่าทางแปลกๆของเพื่อนสาวณิชาแค่ไหนก็ตาม เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง ณิชายังนั่งเงียบทำงานอยู่ หญิงสาวยังไม่หันมาคุยกับฉันเลย ความประหลาดใจเล็กๆเกิดขึ้นมาทันทีเมื่อฉันแอบหันไปมองงานณิชาด้วยความเป็นห่วงแล้วพบว่า...ตอนนี้งานณิชานั้นสเก๊ตซ์ครบทุกอย่างเหมือนๆกับฉันแล้ว..
อ้าว จะเสร็จแล้วนี่ เหลือแต่ลงสีนี่นา ทำไมทำไวจังเลยล่ะ” ฉันงงรีบทักณิชาด้วยความสงสัย
เอ่อ.. คือเรานั่งสเก๊ตซ์มาตั้งแต่หอแล้ว ว่าจะมาลงสีอยู่นี่เฉยๆ..” หญิงสาวอธิบาย พลางหยิบเอาขวดสีน้ำขึ้นมาเรียงไว้บนโต๊ะก่อนจะนั่งระบายสีงานไปเงียบๆของเธอต่อ เช่นเดียวกันกับฉัน ที่ก็หยิบพวกมันขึ้นมาเตรียมสีแล้วระบายลงรายละเอียดของงานตัวเองไปเรื่อยๆ มีเพื่อนๆสองสามคนเดินมาดูงานที่โต๊ะฉัน พวกเขาพากันชื่นชมลายเส้นและการลงสีของฉันกันใหญ่ ซึ่งก็เช่นเดียวกันกับณิชา ที่พอพวกเขาหันไปมองงานเธอบ้างก็ต่างร้องว้าวด้วยความตื่นเต้นทันที เสียงกรี๊ดกร๊าดปลุกสัญชาตญาณความอยากรู้อยากเห็นนัก ความสงสัยทำให้ฉันแอบชำเรืองดูงานเธอหลังจากนั้น..
เฮ้ยยย..จริงๆด้วย.. วันนี้ณิชาลงสีงานอย่างสวยเลยน่ะ เธอลงสีอย่างกับภาพวาดธรรมชาติที่พวกศิลปินมืออาชีพเขาวาดกันจริงๆ ดูสิ..ท้องฟ้าเป็นฟ้า ต้นไม้เป็นต้นไม้ รถยนต์ คน น้ำ รายละเอียดปลีกย่อยในแบบทุกอย่างมองแล้วแทบจะเหมือนภาพถ่ายจริงๆ ฉันอึ้งหันไปมองดูณิชา ตอนนี้เธอดูตั้งใจทำงานต่างจากที่ฉันเห็นทุกครั้งมาก ดูเธอจดจ่อ ดูเธอมีสมาธิ ไม่วอกแวกวุ่นวายเหมือนทุกครั้งที่เธอนั่งทำงานอยู่กับฉันแค่สองคน เอ..พอมีคนมานั่งกอดอกมองตัวเองทำงานอย่างนี้ ก็ดันตั้งใจทำงานเชียวนะ โฮะ...ทำตัวอย่างกับแม่และลูกสาวยังไงยังงั้น ฉันทั้งคิดทั้งมองณิชาและเพื่อนสาวของเธอด้วยความประหลาดใจ..
ณิชาหันมายิ้มให้เพื่อนๆตอนที่ชื่นชมเธอ ก่อนจะเหลือบตามาเห็นฉันที่ยืนอึ้งมองดูงานเธอด้วยความทึ่งและตะลึงเมื่อได้เห็นการทำงานที่เปลี่ยนไปของเธอในครั้งนี้
ตอนนี้พอตาเราทั้งสองสบกัน ณิชาก็เลิ่กคิ้วยักไหล่ เหมือนเธอจะบอกว่าไม่รู้ว่าวาดได้ยังไง เหมือนที่เธอทำให้ฉันเห็นทุกๆครั้งที่ฉันเผลอหันไปมองเห็นงานลายเส้นสวยๆ หรือไอเดียดีๆของเธอเข้าโดยบังเอิญ....

///////////////////////////////////////

“..เราไปก่อนนะจอเจ้ย เดี๋ยวค่อยเจอกันในคาบ..” เสียงณิชาบอกลาฉันตอนที่เธอเก็บข้าวของบนโต๊ะเสร็จแล้ว ฉันหันไปยิ้มและโบกมือรับ ก่อนจะหันมาค่อยๆเก็บของลงจากโต๊ะพร้อมๆกับตอบรับเอื้อยที่โทรมาตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงก่อนหน้านั้น ใช่..เอื้อยโทรมา ด้วยเรื่องที่ว่าอยากให้ฉันไปงานวันเกิดสาในวันศุกร์หน้าด้วย เธอทำทีเป็นเกริ่นถามฉันว่าใกล้วันเกิดสาแล้วจำอะไรได้มั้ย แต่ฉันก็จำอะไรไม่ได้ ได้แต่บอกว่าขอนึกดูก่อนแล้วจะบอกอีกที ซึ่งพอฉันตอบอย่างนั้น หญิงสาวก็บ่นพึมพัมทำเหมือนน้อยใจอะไรสักอย่าง เธอทำเสียงงอนอยู่นานก่อนจะเปลี่ยนเป็นคุยเรื่องอื่นๆเรื่อยมาจนกระทั่งตอนนี้...
เสียงใครน่ะเมื่อกี้..” เสียงเอื้อยถามดังมาตามสาย
เมื่อกี้น่ะเหรอ ณิชาน่ะ..เพื่อนที่นั่งข้างๆเขากลับแล้วก็เลยบอกลาน่ะ”
เอ..ณิชาเหรอ..ใช่คนที่เจ้ยบอกว่าทำงานช้าๆแล้วให้เจ้ยทำนั่นทำช่วยนี่ให้ตลอดหรือเปล่า” คนช่างสังเกตุลองถาม เธอคงจะจำเรื่องราวที่ฉันเคยแอบบ่นณิชาตอนที่เธอให้ฉันช่วย แล้วกลายเป็นว่าฉันก็ต้องกลับหอช้าเหมือนๆกันกับเธอได้
อืมใช่..” ฉันตอบรับเอื้อยก่อนจะหันไปยิ้มหวานให้นัทหล่อที่เดินเอาขนมมายื่นให้ฉัน แต่ฉันก็โบกไม้โบกมือปฏิเสธเขาไปว่าไม่เอา..
ไหงวันนี้เขาได้กลับก่อนเจ้ยล่ะนี่”
อืม..ไม่รู้เหมือนกัน วันนี้มาแปลก งานก็ทำมาตั้งแต่หอ ลงสีก็ลงสีอย่างสวย สงสัยมีคนมาคุมมั้ง วันนี้เลยตั้งใจทำงานเป็นพิเศษ..” ฉันอธิบายเอื้อยไป
คนมาคุม??ใครอ่ะเอาใครมาคุมได้ด้วยเหรอ” เอื้อยเสียงสูงถามย้ำด้วยความสงสัย เธอคงไม่แน่ใจในคำว่าคนมาคุมแน่ๆ
ก็คงเป็นเพื่อนคณะอื่นน่ะ เป็นเพื่อนผู้หญิง เห็นนั่งกอดอกคิ้วขมวดมองณิชาตลอด อารมณ์ประมาณเร่งๆให้ณิชาทำให้เสร็จไวๆประมาณนี้ล่ะ...”
เหรอ..เอาเพื่อนคณะอื่นไปสตูได้ด้วยเหรอ..” คนสวยเบาเสียงลง อารมณ์ประมาณอยากถามแต่ไม่แน่ใจว่าจะได้มั้ย..
ทำไมทำเสียงอย่างนั้น..” ฉันหัวเราะ นึกเอ็นดู โถ..ตอนนี้เด็กน้อยคงกำลังอยากอ้อนขออะไรด้วยความเกรงใจสักอย่างแน่ๆ...“อยากมาล่ะสิ มามั้ยล่ะ งั้นเดี๋ยวอาทิตย์หน้าได้ทำงานที่สตูอีก ถ้าเอื้อยอยากมาก็ค่อยมาอาทิตย์หน้าก็ได้..”ฉันยื่นข้อเสนอให้เด็กขี้เกรงใจ ด้วยจำได้ว่าเวลาที่ทำงานในสตูที่ไรเธอจะชอบบ่นให้ฟังว่าเหงาเสมอ เธอคงอยากมาหาฉัน...
ดะ..ได้จริงๆเหรอ ไม่มีใครว่าเค้าใช่มั้ยถ้าเค้าไปนั่งเฝ้าเจ้ยอย่างนั้น...” เสียงตื่นเต้นของเอื้อยถามย้ำมาตามสายตอนที่ฉันลุกขึ้นสะพายกล่องแบบและกระเป๋า เดินออกมาโบกมือลานัทหล่อกับนัทแว่นที่นั่งกินขนมอยู่โต๊ะด้วยกัน ฉันชำเรืองตาไปมองทางโซนด้านหน้า ตอนนี้เห็นมีเด็กสาวแปลกๆหน้าสองสามคนกำลังนั่งอยู่ข้างๆโต๊ะเพื่อนชายกลุ่มที่ร้องแรพตอนที่ฉันเข้ามาในสตูแรกๆ อ๋อ..นี่อย่าบอกนะว่าพวกนี้ก็มีคนมานั่งเฝ้าเหมือนๆกัน คงจะเป็นแฟนสาวของพวกเขาสิท่า ฉันเห็นผู้หญิงบางคนยื่นไม้ยื่นมือมาจับใบหน้าเพื่อนฉันด้วยท่าทางที่สนิทสนมกันเกินคำว่าเพื่อนอีก เอ๊ะ..นี่เขาพาคนนอกคณะเข้ามานั่งทำงานกันได้ตั้งแต่ตอนไหน ทำไมฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย หรือเป็นเพราะว่าฉันมัวแต่ตั้งหน้าตั้งตาทำงานที่โต๊ะตัวเองจนไม่มีเวลาสังเกตุสังกาใครเลย ฉันทั้งคิดทั้งยิ้มทักพวกเขาตอนที่เดินผ่านออกไปด้านนอกสตูก่อนจะตอบเอื้อยในสายอีกครั้ง..
“..อืม..มาเลย เค้าเห็นมีคนพาคนนอกคณะมานั่งทำงานด้วยตั้งหลายคน ก็ไม่เห็นจะมีใครว่าอะไรนี่ เราก็แค่มานั่งเป็นเพื่อนกันเฉยๆก็คงมาได้อยู่มั้ง..” ฉันทั้งตอบเอื้อยทั้งเดินตรงไปทางเดินฝั่งที่มีห้องน้ำ ซึ่งอยู่ห่างจากสตูประมาณครึ่งตึกเพื่อที่จะแวะเข้าไปสำรวจหน้าตาตัวเองก่อนกลับหอ
“...ถ้าเราบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ไม่ได้ทำอะไรที่ไม่ดีให้คณะเสียหายก็คงไม่...” ฉันชะงัก พูดยังไม่จบประโยค ในขณะที่กำลังเดินก้มหน้าเลี้ยวเข้าไปในห้องน้ำหญิงแล้วเงยหน้า ภาพผู้หญิงตัวสูงๆผมสีบลอนด์กับผู้หญิงผมดำกำลังยืนกอดรัดและจูบกันอย่างดูดดื่มตรงหน้ากระจกห้องน้ำนั้นก็อยู่ต่อหน้าฉันแล้ว...อึ๊ก..

..ดะ..เดี๋ยวนะ...นั่นณิชากับเกดนี่.. ผมสีบอนด์ทำให้ฉันนึกขึ้นได้ว่านั่นคือณิชาเพื่อนฉันเอง
อารมณ์ตกใจทำฉันผงะ รีบเดินถอยหลังออกจากห้องน้ำเพื่อไม่ให้ทั้งสองรู้ตัว แต่ฉันดันเดินไม่ตรงทางเก่าแล้วมันดันมีถังขยะกับไม้กวาดวางขวางทางเท้าฉันไว้ แน่นอนว่าแค่ฉันถอยออกมาไม่เท่าไหร่ เสียงปึงปังของถังขยะและไม้กวาดก็ดังขึ้นทันที ตอนนี้หญิงสาวทั้งสองรีบหันมามองตามเสียงแล้ว...
เอ่อๆ..เราขอโทษๆ เราไม่ได้ตั้งใจ ไปก่อนนะ” ฉันยกไม้ยกมือโบกลาทั้งสองคน ก่อนจะรีบวิ่งออกมาจากห้องน้ำนั้นให้เร็วที่สุด....

ดึกวันนั้นฉันกลับหอมาด้วยความอึ้งค้าง ทั้งงงทั้งเหวอที่เห็นเพื่อนสาวของตัวเองจูบกับผู้หญิงด้วยกันอย่างนั้น ...นี่อย่าบอกนะว่าณิชาชอบผู้หญิงด้วยกัน ใจฉันเต้นตุ้มๆต่อมๆทันทีที่นึกถึงภาพที่เธอมาคุยกับฉันเมื่อวันแรกได้ เฮ้ย..ไม่จริงน่ะ ณิชาก็ดูเป็นผู้หญิ๊งผู้หญิงจะตาย เธอทั้งแต่งตัวเก่งทั้งแต่งหน้าจัด ไม่มีลุคไหนที่จะบ่งบอกเลยว่าเธอชอบผู้หญิงด้วยกันเหมือนฉันกับเอื้อยเลย..อ๊ะ!!..เออจริงสินะ..ฉันกับเอื้อยก็ดูเป็นผู้หญิ๊งผู้หญิงเหมือนๆกับณิชา แต่เราสองคนก็ยังรักกันได้เฉยเลย..ฉันคิ้วขมวดทันทีที่นึกขึ้นได้ คงจะเป็นเพราะความตกใจที่ไม่เคยเจอตัวเป็นๆของผู้หญิงรักหญิงด้วยกันเหมือนตัวเองกระมัง เลยทำให้ฉันลืมคิดไปซะสนิทเลยว่าตัวเองก็ใช่....
แล้วนี่ฉันจะต้องทำตัวยังไงเมื่อเจอณิชา เพราะด้วยอารมณ์ตกใจที่เห็นเธอตอนนั้นเลยทำให้ฉันรีบวิ่งพุ่งพรวดออกมาโดยที่ยังไม่ได้ฟังคำอธิบายอะไรจากเธอเลย และด้วยความตกใจในตอนนั้น เลยทำให้ฉันอธิบายสิ่งที่เอื้อยได้ยินฉันขอโทษณิชาไม่ได้ ฉันได้แต่บอกเอื้อยไปว่าไม่มีอะไร แค่บังเอิญเดินไปชนเพื่อนเลยต้องขอโทษขอโพยกันแค่นั้นเอง..
เสียงแชทไลน์ดังขึ้นเรียกสติฉัน เอื้อยนั่นเอง เธอส่งข้อความมาบอกว่าเธอจะนอนแล้ว ฉันมองดูนาฬิกาตอนนี้เวลาตีสองยี่สิบนาทีก็ถือว่าดึกมากแล้ว เอื้อยคงจะง่วงนอนจากที่คุยเป็นเพื่อนฉันทำแบบคนเดียวในห้องเกือบๆจะโต้รุ่งเมื่อคืนวาน เอ..เดี๋ยวนะ..เมื่อคืนวานฉันอยู่คนเดียวในห้อง แล้วคืนนี้ฉันก็อยู่คนเดียวในห้องเหมือนเดิมนี่นา ฉันหันขวับไปมองที่เตียงนอนของรูมเมททันทีที่คิดได้ว่าเขาไม่อยู่ในห้องอีกแล้ว เฮ้ย..อะไรนี่ทำไมยังไม่กลับห้องอีกล่ะ นี่มันก็ตีสองกว่าๆแล้วถ้าเธอไปทำงานโต้รุ่งหรือไปเที่ยวโต้รุ่งเธอก็ควรจะกลับมานอนในห้องได้แล้วนี่นา ฉันคิ้วขมวด แม้จะนึกเป็นห่วงแต่ด้วยความที่ไม่ค่อยสนิทกันกับรูมเมทเท่าไหร่ก็เลยไม่กล้าโทรไปหาหรือเซ้าซี้อะไรมากมาย บางทีเธออาจจะกลับมาดึกๆกว่านี้ก็ได้ คิดได้ดังนั้นฉันก็ไปอาบน้ำเพื่อเข้านอนทันที...

..เช้าวันต่อมา ในขณะที่ฉันกำลังจะเดินเข้าไปในห้องเรียนที่คณะ ณิชาที่เดินตามหลังฉันมาตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ อยู่ๆก็เดินมาดึงมือฉันให้เดินไปตามทางไปสตูที่มันอยู่คนละฝากอาคารกับห้องเรียนทฤษฎี เธอดึงมือฉันให้เดินเข้าไปข้างในสุดของสตู ที่ตอนนี้มันไม่มีใครอยู่เลยสักคน....

อะไรนี่” เป็นประโยคเดิมที่ฉันถามเธอซ้ำๆ ตั้งแต่ที่ฉันโดนดึงให้เดินมาตามทางเดินมาสตูแล้ว
เราขอคุยด้วยแป๊บนึง..” หญิงสาวพูดก่อนจะปล่อยมือที่จับฉันออก เธอจ้องหน้าฉันอยู่ครู่หนึ่งเหมือนคิดแล้วคิดอีกว่าจะถามอะไรฉันดีมั้ย..
“..เมื่อคืน เธอเห็นแล้วใช่มั้ย เธอเห็นเรากับเกดในห้องน้ำแล้วใช่หรือเปล่า”
ฉันยืนนิ่งไม่ตอบ ด้วยกำลังคิดว่าจะบอกเธอไปตามความจริงดีมั้ย แต่ยังไม่ได้พูดอะไรเลยณิชาก็รีบพูดแทรกขึ้นมาซะก่อน...
เธอรังเกียจเราหรือเปล่าที่เราเป็นแบบนี้..รังเกียจหรือเปล่าที่เราชอบผู้หญิงด้วยกัน” เธอทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ตอนที่พูดประโยคนี้ออกมา
ฉันยิ้มรีบยื่นมือไปจับไหล่ อารมณ์อยากปลอบใจเพื่อนกลัวเพื่อนคิดมาก.. “เฮ้ย..บ้าดิ เราจะรังเกียจเธอทำไม เธอไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย..เธอ..” ฉันชะงัก พูดไม่ทันจบประโยค หญิงสาวผมบอนด์คนตรงหน้าก็รีบโผเข้ากอดฉันไว้ด้วยความดีใจของเธอซะแล้ว..

จริงเหรอ..เรากลัวแทบแย่ กลัวว่าเธอจะนึกรังเกียจเรา กลัวว่าเธอจะไม่อยากอยู่ใกล้เราถ้ารู้ว่าเราเป็นอะไร รู้มั้ยว่าเมื่อคืนนี้เรานอนไม่หลับทั้งคืนเลยนะ เรานอนคิดแต่เรื่องเธอตลอด เธอรู้มั้ยว่าเราแคร์เธอขนาดไหน..”
ห๊ะ..ฉันอึ้ง ยืนนิ่งค้างอยู่ในอ้อมกอดของณิชาอยู่นาน ทั้งกำลังทบทวนความหมายในถ้อยคำและน้ำเสียงแปลกๆที่เพื่อนบอกออกมาครู่นี้..
เอ่อ..คือ..”อารมณ์สับสันทำฉันยื่นมือลูบหลังณิชาอย่างกล้าๆกลัวๆ ทั้งอยากปลอบใจเพื่อน ทั้งกลัวว่าเพื่อนกำลังคิดอะไรกับตัวเองมากกว่านั้น...ความกังวลบางอย่างสั่งให้ฉันพยายามผละตัวเองออกมาจากอ้อมกอดเธอให้ได้ แต่ณิชาไม่ยอมปล่อย ยังคงซบไหล่ หญิงสาวกอดกระชับร่างฉันไว้แน่นกว่าเดิมเมื่อเริ่มรู้สึกว่าฉันกำลังจะผละตัวออกจากเธอแล้ว..
“..อยู่อย่างนี้ก่อนได้มั้ย เราโคตรรู้สึกดีเลย ขอเวลาให้เราอยู่กับเธออย่างนี้ก่อนได้มั้ย..”
แล้วแค่ได้ฟังประโยคขอร้องจากณิชา ฉันก็กลายเป็นพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ปล่อยให้เธอยืนซบกอดฉันไปเรื่อยๆ ด้วยเริ่มรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของณิชา ที่ฉันเองก็ไม่กล้าจะคิดเลยว่า...เพื่อนอย่างเธอกำลังคิดบางอย่างกับฉันจริงๆ..

คาบเรียนเช้านั้นทั้งคาบฉันนั่งเรียนข้างๆณิชาด้วยความรู้สึกแปลกๆ ทั้งรู้สึกสับสนในคำพูดประหลาดๆที่เธอพูดออกมาตอนกอดฉัน ทั้งรู้สึกสงสารณิชาที่แอบคิดเหมือนกันกับฉันเรื่องที่กลัวว่าคนอื่นจะรับได้มั้ยถ้ารู้ว่าตัวเองเป็นอะไรอย่างนี้ แต่ในความรู้สึกที่ฉันคิดว่าณิชาอาจจะแค่กลัวว่าเพื่อนอย่างฉันจะรับไม่ได้เรื่องที่เธอชอบผู้หญิงด้วยกันนั้น มันกลับมีความกังวลใจแปลกๆของฉันซ่อนอยู่ ความกังวลใจที่เกิดขึ้นแม้กระทั่งตอนนี้ที่ฉันแอบเห็นเธอส่งสายตาอย่างตอนที่เธอกอดฉันในสตูอีกแล้ว...

ณิชา..นี่เธอคงต้องการแค่เพื่อนสักคนที่รับได้ว่าเธอเป็นเลสเบี้ยนแค่นั้น...ใช่มั้ย...

//////////////////////////////////////////

ห๊ะ!!..อะไรนะจะกลับวันนี้ช่วงบ่ายเลยเหรอ..” เสียงตกใจของฉันถามเอื้อยผ่านทางโทรศัพท์ตอนที่ฉันเลิกคาบเช้าและกำลังจะเดินไปที่โรงอาหารใกล้ๆคณะ บรรยากาศตอนนี้ครึ้ม ฝนอาจตก นั่นทำให้ฉันไม่อยากไปกินข้าวเที่ยงที่ไหนไกลเมื่อต้องเรียนคาบบ่ายต่อที่คณะอย่างนี้อีก...
อืม..ใช่ เค้าอยากกลับไปอยู่กับแม่ให้นานที่สุดก่อนน่ะ คิดว่าวันนี้วันศุกร์ก็อยู่กับแม่ตั้งแต่ช่วงบ่ายไปจนถึงเช้าวันอาทิตย์ที่ไปส่งแม่ขึ้นเครื่อง มันก็คงจะพอมีเวลาทำให้เค้ากับแม่หายเศร้าหายเหงาลงไปได้บ้าง” หญิงสาวอธิบายเหตุผล ซึ่งฉันก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของเธอกับแม่ได้เป็นอย่างดีว่าต่างฝ่ายจะทรมานขนาดไหน เมื่อเหลือเวลาที่จะอยู่ใกล้กันอีกแค่ไม่กี่วันแล้ว...
เจ้ยล่ะคะจะกลับบ้านวันไหน พรุ่งนี้วันเสาร์เจ้ยจะกลับบ้านมั้ย..”
อ่อ..เค้าเหรอ คงไม่..เสาร์อาทิตย์นี้มีคลาสเชียร์คณะน่ะ คงต้องอยู่เพราะพี่ว๊ากขู่เอาไว้ว่าถ้ามีใครหนีหายไปแม้แต่คนเดียวจะโดนทำโทษทั้งชั้นปี..”
เหรอ..โหดจัง งั้นก็ไม่เป็นไร ดูแลตัวเองด้วยนะ เค้าอาจจะไม่ได้โทรหาบ่อยเพราะเค้าอาจจะนอนห้องเดียวกันกับแม่ แต่ยังไงจะพยายามโทรหาตลอดนะ รักนะ..อย่าลืมอาบน้ำด้วยล่ะ..”หญิงสาวแกล้งเย้าพูดทีเล่นทีจริง
บ้า...อาบอยู่.. บาย...เดี๋ยวเค้าโทรหาอีกทีค่ะ รักนะ” เสียงขำๆของฉันบอกลาปลายสายไป ก่อนจะเก็บโทรศัพท์ไว้แล้วยืนมองไปรอบๆทันทีที่ถึงที่หมาย โรงอาหารตอนนี้นักศึกษาเริ่มเยอะ ผู้คนค่อนข้างขวักไขว่ บางกลุ่มเพิ่งเริ่มเดินเข้า บางกลุ่มกำลังทยอยออก เสียงพูดจ๊อกแจ๊ก เสียงช้อนกระทบจาน กลิ่นหอมของเครื่องเทศต่างๆ ทั้งเสียงผัดกระทะดังฉ่าลอยออกมาเร้าความรู้สึกหิวของฉันตอนนี้ โอ..ฉันมองตรงไปข้างหน้าเลือกหาร้านอาหารที่ตัวเองชอบทันทีที่เริ่มได้ยินเสียงจ๊อกของท้อง...
จอเจ้ยยย..” ยังไม่ทันไปไหน เสียงตะโกนเรียกชื่อเสียงเรียงนามใหม่ของฉันก็ดังมาเรียกสติฉันไว้ซะก่อน ณิชานั่นเอง ตอนนี้เธอในชุดนักศึกษากระโปรงทรงเอสั้นๆ กำลังวิ่งกระหืบกระหอบถือแก้วกาแฟสองแก้วมาข้างหลังฉัน
เฮ้ย!!..เมื่อกี้หายไปไหนทำไมไม่เห็น” ฉันร้องทักณิชาเมื่อนึกขึ้นได้ เรื่องที่ฉันเห็นเธอลุกขึ้นเดินออกจากห้องเรียนไปเลยทั้งๆที่ยังไม่ทันหมดคาบเช้า ฉันมองดูเวลาตอนนั้นมันเหลือเวลาอีกตั้ง30นาทีเสียด้วยซ้ำ
เรากลับไปซื้อกาแฟที่หน้าหอเราน่ะ อ่ะ..เราซื้อมาฝากเธอด้วย..” ณิชายื่นแก้วกาแฟส่งมาให้ฉัน “..เรากลัวว่าคาบบ่ายเราจะง่วง เราเลยรีบออกไปซื้อมากินไว้ก่อน ช่วงเที่ยงร้านนี้ลูกค้าเยอะมากต้องรีบไปซื้อก่อน แล้วนี่น่ะเราจำได้ว่าเธอบอกว่าอร่อย เธอชอบเราเลยซื้อมาฝาก..”
โธ่เอ้ยนึกว่าอะไร..ฉันมองบนถอนหายใจใหญ่ทันทีที่ได้ยินเหตุผลเธอ “นี่ถึงขนาดลงทุนโดดออกไปซื้อเลยเหรอ ..จะขอบใจดีมั้ยล่ะเนี่ย..” ฉันทั้งนึกขำทั้งแอบแขวะณิชา ก่อนจะก้มลงหยิบเอาเงินในกระเป๋าออกมาจ่ายค่ากาแฟให้เธอไป
เฮ้ย ไม่ต้องเราเลี้ยงเอง เราตั้งใจซื้อมาเลี้ยงเธอน่ะวันนี้ เดี๋ยววันหลังค่อยเลี้ยงเราคืนก็ได้” ณิชาว่า เธอดันเงินคืนก่อนจะชวนฉันไปหาซื้ออะไรทานหลังจากนั้น..
ด้วยความที่อยากรีบทานรีบขึ้นห้อง ฉันจึงเลือกสั่งข้าวราดแกงแบบง่ายๆมานั่งทานที่โต๊ะก่อน ส่วนณิชา เธอไปรอสั่งอาหารตามสั่งในร้านที่เธอบอกว่าเธอชอบทานประจำและมันอร่อยถูกปากเธอมาก
ฉันนั่งทานรอณิชา ทั้งนั่งมองสำรวจสิ่งต่างๆในโรงอาหาร จนกระทั่งเจอเข้ากับบางคนที่ไม่คิดว่าจะมีโอกาสเจอกันได้ง่ายๆ ฉันรีบลุกขึ้นดึงแขนเธอไว้ทันทีตอนที่เธอกำลังจะเดินผ่านโต๊ะฉันไป...
เจ๊..จะไปไหน มานั่งนี่ก่อน” ผู้หญิงผมบ๊อบปะบ่า หน้าตาหมวยๆในชุดนักศึกษากระโปรงทรงเอสั้นๆ หันมามองฉันตอนที่โดนจับมือไว้อย่างนั้น เธอขมวดคิ้วมองฉันด้วยความงงอยู่นานกว่าจะร้องทักขึ้นด้วยความดีใจ...
เฮ้ย!! เจ้ยแกนี่ แม่แกบอกฉันอยู่ว่าแกอยู่หอในให้ฉันไปดูแกด้วย แต่ฉันยังไม่ว่างไปดูเลยน่ะ...อะไรวะนี่สวยสดใสขึ้นเป็นกองเลยนะแก”
เจ๊ก็สวยค่ะ มาๆมานั่งเมาส์มอยกันก่อนเร็วคิดถึ้งคิดถึง..” ฉันดึงเธอลงมานั่งข้างๆ ก่อนจะสำรวจไปทั่วๆใบหน้าพี่สาวของฉันด้วยความคิดถึง ใช่...เธอคือพี่สาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้องที่อายุห่างกันสองปีของฉันที่ชื่อเจ๊แนน ที่บ้านอยู่ต่างจังหวัดและพึ่งมีโอกาสได้เจอกันเมื่อปีใหม่ที่ผ่านมานี้เอง เธอเรียนอยู่ที่นี่เหมือนกันกับฉัน แต่ฉันยังไม่มีโอกาสได้เจอเธอเลยตั้งแต่เปิดเรียนมา
ไง..แกเรียนสถาปัตย์ใช่มั้ย ยากมั้ยล่ะแก โอเคอยู่ใช่มั้ย” เจ๊แนนถามฉันด้วยความเป็นห่วง ตอนนี้เธอก็สำรวจไปทั่วๆร่างกายฉันเหมือนกัน
ก็โออยู่เจ๊ แค่มีงานที่ต้องทำส่งเยอะแค่นั้น แต่มันก็ไม่ลำบากอะไรเท่าไหร่หรอก น้องเจ๊น่ะสวยถึกและบึกบึนอยู่แล้ว” ฉันยิ้มก่อนจะยกแขนเบ่งกล้ามโชว์ให้เจ๊แนนเห็นเนื้อน้อยๆด้วยความอารมณ์ดี
เออก็ดีแล้ว ฉันก็เป็นห่วงแก ถ้าแกขาดเหลืออะไรก็มาหาฉันที่หอแล้วกันนะ เดี๋ยวฉันจัดการให้ อาเมทกับอาจรรฝากฝังแกไว้กับฉันแล้ว ยังไงฉันก็ต้องได้สำรวจความเป็นอยู่ของแกให้อาทั้งสองสบายใจด้วยหน่อย..” เจ๊แนนทั้งพูดทั้งมองฉันด้วยความเป็นห่วง ซึ่ง “อาเมท”และ“อาจรร” ที่อยู่ในประโยคฝากฝังเมื่อครู่นี้ก็คือ “โกเมท”และ“จรรยา”ชื่อของพ่อกับแม่ฉันนั่นเอง
ไว้เดี๋ยวว่างๆฉันจะไปเล่นคณะแกบ้าง ได้ข่าวว่าผู้ชายคณะแกมีแต่คนหล่อๆ” ฉันหลุดหัวเราะทันทีที่ได้ยินเจ๊แนนทำทีเป็นตีเนียนจะไปเล่นคณะฉันด้วยเหตุผลนั้น แต่ยังไม่ทันแซวอะไรเจ๊แนนคืน เสียงณิชาที่เดินกลับมาโต๊ะก็ดังขึ้นแทรกเสียก่อน แต่แทนที่เธอจะทักฉัน ดันกลายเป็นทักเจ๊แนนด้วยประโยคแปลกๆไปเสียนี่....
“..นังแนน แกมาทำอะไรอยู่นี่..” ฉันหันขวับทันทีที่ได้ยินณิชาเรียกเจ๊แนนด้วยสรรพนามแปลกๆอย่างนั้น ตอนนี้ณิชาเดินถือจานข้าวไปนั่งที่นั่งฝั่งตรงข้ามเจ๊แนนและฉัน ก่อนจะหันไปรอฟังเจ๊แนนตอบคำถามด้วยความสงสัยต่อ...
เอ๋า..นังณิชาฉันก็นึกว่าฝรั่งที่ไหน ว่าไงแก.. เออ..เมื่อคืนฉันเห็นแกในผับด้วย แล้วนี่เป็นไงมาไงวะ..ปีสองแกหายไปตั้งแต่เทอมหนึ่งเลย ฉันได้ข้าวว่าแกซิ่วไปเรียนคณะอื่นใช่ป่ะแก”
ฉันคิ้วขมวดทันทีที่ได้ยินคำว่า “ซิ่ว” ส่วนณิชาหลังจากที่ยักคิ้วตอบรับเจ๊แนนแล้วเธอก็หันมาทำตาเล็กตาน้อยอ้อนฉัน เหมือนเธอกลัวว่าฉันจะรู้สึกไม่ดีที่เริ่มรู้ความลับบางอย่างที่เธอไม่เคยบอกฉันมาก่อนแล้ว
แล้วแกซิ่วไปคณะไหน”เสียงเจ๊แนนถามณิชาต่อด้วยความสงสัย
ณิชาไม่ตอบ เธอเหล่ตาส่งซิกมาทางฉันแทน เจ้าของคำถามเลยมองตาม เธอร้องทักทันทีที่นึกขึ้นได้ว่า.. “ห๊ะ!!อย่าบอกนะว่าถาปัตย์”
เยส..ถูกต้อง”สามผมบอนด์จีบปากจีบคอยอมรับ ทั้งตักข้าวผัดกระเพราในจานขึ้นมาทานต่อ รอยยิ้ม ท่าทาง อาการทุกอย่าง บ่งบอกว่าเธอชิลด์เต็มที่ที่ได้คุยกับเพื่อนเก่าอย่างเจ๊แนนอีกครั้ง
เออ..ใช่สิเนอะแกก็เก่งทางด้านนี้อยู่แล้วนี่ ก็คงเรียนได้อยู่แล้วล่ะสินะ” ณิชายิ้มน้อยยักคิ้วรับ เธอถามเจ๊แนนกลับไปบ้างว่า..“แล้วแกล่ะ มานั่งทำอะไรอยู่นี่ ยังไม่ตอบฉันเลย”
หา..ฉันเหรอ..ฉันก็คุยกับน้องฉันไงเจ๊แนนทั้งตอบทั้งยื่นนิ้วมาจิ้มจึกๆที่ไหล่ฉัน
น้อง???” ณิชาเลิ่กคิ้ว เซอร์ไพรส์ เธอมองฉันสลับกลับเจ๊แนนก่อนจะถามย้ำด้วยความตื่นเต้นว่า.. “น้องแกจริงๆเหรอ..”
ใช่สิน้องฉัน พ่อฉันเป็นลุงของมัน ก็เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน นามสกุลก็นามสกุลเดียวกัน ทำไมแกต้องทำเสียงเหมือนประหลาดใจอะไรอย่างนั้นด้วยวะ...”
ก็เปล่า..ฉันไม่ยักกะรู้ว่าแกจะมีน้องสาวสวยขนาดนี้...”
ทำไมล่ะ..ก็พี่มันก็สวย น้องมันก็ต้องสวยอยู่แล้วสิ” เจ๊แนนตาขวางมองค้อนณิชา สีหน้าบ่งบอกอาการไม่พอใจว่า..ทำไมยะ..ใบหน้าพวกฉันมันต่างกันตรงไหน.. เธอมองเพื่อนสาวของเธอยิ้มเล็กยิ้มน้อยมองฉันสลับกับเธออย่างมีเลสนัย ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้แล้วทักท้วงเพื่อนสาวของเธอ
เฮ้ย!!!ทำไมทำหน้าอย่างนั้น อย่าบอกนะว่าแก....ห้ามนะเว้ยคนนี้น้องสาวฉัน แกมีแฟนแล้วไม่ใช่เหรอ ฉันเห็นที่แกกับผู้หญิงคนเมื่อคืนไอ้นั่นกันอยู่..” เจ๊แนนหยุดพูด กลืนน้ำลาย เหมือนกระดากปากกระดากใจจะพูดต่อ เธอมองณิชาที่ยิ้มน้อยไม่ตอบคำถาม ก่อนจะหันขวับมาทางฉัน สายตาร้าย ใบหน้าดุ อาการเป็นห่วงของพี่ที่มีต่อน้องสาว ทำฉันสะดุ้งเฮือกทันทีที่คิดได้ว่าเธอกำลังจี้เอาคำตอบจากฉันว่า..ระหว่างฉันกับณิชามันคืออะไรยังไง..

อะไรเล่าเจ๊..เพื่อนกันเฉยๆ พี่..ณิชาเขาหยอกเล่นเฉยๆมั้ง...”ฉันหน้าแหยเสียงอ่อยๆตอนที่ใช้คำว่า“พี่”กับณิชา ด้วยเริ่มเรียบเรียงเรื่องราวได้แล้วว่า..ผู้หญิงผมบลอนด์ที่ทำทีเป็นคุยกับฉันด้วยความสนิทสนมเหมือนรุ่นเดียวกันนี้ จริงๆแล้วก็คือรุ่นพี่ของฉัน ใช่..เธอคงจะเป็นรุ่นเดียวกันกับเจ๊แนนนั่นล่ะ เพราะประโยคที่พูดก็แสดงความสนิทสนมเหมือนเพื่อนกันซะขนาดนั้นนี่ เดี๋ยวก่อนนะ..นี่ณิชาเป็นรุ่นพี่ฉันสองปีเลยเหรอ จริงๆแล้วตอนนี้เธอควรจะเรียนปีสามใช่มั้ย แล้วนี่เธอซิ่วมาเรียนที่คณะฉันได้ยังไง ฉันทั้งคิดทั้งคิ้วขมวดมองดูณิชาที่ยิ้มแหยๆมองฉันทันทีที่ได้ยินฉันเรียกว่า “พี่” อย่างนั้น...

/////////////////////////////////////////

เฮ้ย!!!..ห้ามเรียกเราว่าพี่เลยนะ!!!” เสียงโวยวายของณิชาดังขึ้นหลังจากที่เธอได้ยินฉันเรียกว่า “พี่” ตอนที่เราเดินออกมาจากโรงอาหาร ตอนนี้ใกล้บ่ายแล้ว เจ๊แนนแยกย้ายกับเราแล้ว และเราคุยเรื่องงานระหว่างเดินกลับคณะกัน..
ถ้าไม่เรียกพี่แล้วจะให้เรียกอะไร เจ๊เหรอถ้างั้น” ฉันรีบแย้ง รู้สึกไม่สะดวกใจที่จะเรียก “ณิชา” เฉยๆด้วยความสนิทสนมเหมือนแต่ก่อนแล้ว
ก็เรียกเหมือนเดิม เรียกว่าณิชาเหมือนเดิมก็ได้ อย่าเรียกเราว่าพี่ก็พอ เราอายคน เดี๋ยวเขาจะหาว่าเราแก่ เราไม่อยากทำตัวเป็นรุ่นพี่พวกเธอน่ะ ถ้าทุกคนรู้ว่าเราอายุมากกว่าประเดี๋ยวก็จะไม่ค่อยคุยกับเราอีก แค่นี้ก็ไม่ค่อยมีคนคุยกับเราอยู่แล้ว นะ..ทำตัวเหมือนเราเป็นเพื่อนเธอคนหนึ่งก็ได้ นะๆ” ณิชาเสียงอ่อนเสียงหวาน เธอทั้งขอร้องและอธิบายเหตุผล ฟังดูแล้วเหมือนเธอจะอยากให้ฉันช่วยเก็บเรื่องนี้เป็นความลับด้วยซ้ำ มองรุ่นพี่รบเร้าให้เรียกเหมือนเพื่อนอย่างนี้แล้ว ฉันก็อดจับปากบ่นมุบมิบด้วยความไม่สบายใจไม่ได้...
ฮึ้ยย..เดี๋ยวนรกก็กินปากอีกอ่ะ ไปเรียกคนแก่กว่าว่าเพื่อนอย่างนั้น เดี๋ยวก็หาว่าไม่รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่อีก..”
โอ้ยบ้าแล้ว นรกกับผีอะไร เราก็อนุญาติแล้วนี่ไง โฮย..เธออย่าทำตัวเป็นเด็กเนิร์ดไปหน่อยได้มั้ย นะนะถือว่าตอบแทนที่เราเลี้ยงกาแฟเธอก็ได้อ่ะ..” อ๊ะ..วกเข้าหาข้อแลกเปลี่ยนจนได้ ข้อเสนอเธอทำฉันคิ้วขมวดทันที ใบหน้ายียวนยิ้มหวาน ท่าทางออดอ้อนเธอยามนี้ทำฉันลำบากใจไปใหญ่ หญิงสาวทำเป็นจิ้มนิ้วมาที่แก้วกาแฟฉัน ตอนที่พูดประโยคทิ้งท้ายในฉันหนักใจกว่าเดิมอีกว่า..
นะๆ..เดี๋ยวเราจะเลี้ยงกาแฟเธอตลอดชีวิตเลยอ่ะ...”

เย็นนั้นฉันกลับมาหอมาพร้อมๆกับความรู้สึกประหลาดใจในตัวณิชาหลายๆอย่าง ฉันพึ่งรู้ว่าเธอเป็นหญิงรักหญิงเหมือนกัน พึ่งรู้ว่าเธอเป็นรุ่นพี่ฉัน แถมยังทำท่าเหมือนจะสนิทกับเจ๊แนนพี่สาวของฉันเสียอีก ตอนนี้ฉันรับรู้ได้ถึงความรู้สึกพิเศษจากณิชาที่ฉันไม่อยากคิดเป็นอื่นมากกว่าเพื่อนเลย ใช่สิ..ฉันไม่ได้โง่พอที่จะดูไม่ออกว่าณิชาคิดอะไรกับฉัน ด้วยความที่ฉันมีคนมาจีบมากมายประสบการณ์ต่างๆเลยบอกฉันได้ว่า สิ่งที่ณิชาทำทุกอย่าง การเอาอกเอาใจเป็นพิเศษ สายตาหวานซึ้ง คำพูดหวานๆ ท่าทางเป็นห่วงจากณิชา มันแปลว่าเธอต้องการจะจีบฉันนั่นเอง แม้ตอนแรกจะไม่ได้คิด..เพราะคิดแค่ว่าเธอคงเห็นฉันเป็นเหมือนเพื่อนสาวคนหนึ่งเท่านั้น แต่พอฉันรู้ว่าเธอชอบผู้หญิงด้วยกัน ความหมายต่างๆมันก็ปรากฏทันที...
ใช่..ฉันรู้ว่าณิชาชอบฉัน แต่ฉันกลับไม่ชอบและไม่ได้รู้สึกดีใจอะไรด้วยเลยแม้อีกฝ่ายจะสวยจัดขนาดไหน
ณิชาเป็นคนสวยดูดีมีเสน่ห์ จนบางทีคนใกล้ๆอาจจะหลงชอบเธอก็ได้ ถ้าเจอเธอเล่นลูกอ้อนบ่อยๆอย่างฉันเข้า ฉันได้ยินเพื่อนชายในคณะหลายๆคนพูดถึงณิชาบ่อยๆว่าเธอเป็นผู้หญิงที่น่าค้นหา ดูมีความลึกลับซับซ้อนตลอดเวลา เพราะเธอไม่ชอบแสดงออกทางอารมณ์ให้คนอื่นเห็นง่ายๆ ณิชาเป็นคนเงียบ ใช่..เธอเงียบจริงๆแต่ก็เฉพาะกับคนอื่นที่ไม่ใช่กับฉัน เธอถึงชอบพูดกับฉันเสมอว่าไม่ค่อยมีใครพูดกับเธอเลยเพราะเธอเลือกที่จะไม่พูดกับใครเองมากกว่า ความเงียบของณิชานั้นบรรยายได้ง่ายๆว่า “เงียบเพราะโลกส่วนตัวสูง อารมณ์ศิลปิน ” ไม่เหมือนเอื้อยที่เงียบเพราะเธอวางตัวดี เรียบร้อย และค่อนข้างขี้อาย แต่ณิชาไม่อาย เพราะเธอกล้าแสดงออกในยามที่ต้องการแสดงออกเสมอเห็นได้จากการแต่งตัวและสีผมของเธอ
สำหรับฉันณิชาคือเพื่อน ฉันคบและสนิทกับเธอเพราะเห็นว่าเธอเป็นคนที่น่าคบหาคนหนึ่งเท่านั้น แต่ถ้าสิ่งต่างๆเธอทำเพื่อคาดหวังสถานะที่มากกว่านั้น มันก็อาจทำให้ฉันเสียความรู้สึกจนอาจต่อต้านเธอก็ได้ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมฉันถึงมีความกังวลใจกับเธอเป็นพิเศษเมื่อเริ่มคิดว่าเธอมีใจให้ตัวเอง ตอนนี้เพื่อรักษาสถานะเพื่อนที่ดีและมิตรภาพให้คงอยู่ไว้ ฉันจะพยายามคิดเข้าข้างเธอให้ได้ว่า..เธอแค่ต้องการคนพิเศษที่รับรู้ว่าตัวเองเป็นเลสเบี้ยนได้แค่นั้นเอง..
ต่างจากเอื้อย แม้ทั้งสองจะเข้ามาหาฉันเหมือนกันแต่มันแตกต่าง ถึงแม้ตอนแรกฉันจะเห็นว่าเอื้อยเป็นเพื่อนฉันเหมือนกันกับณิชา แต่พอรับรู้ได้ว่าเอื้อยมีความรู้สึกพิเศษกับฉัน..หัวใจฉันก็กลายเป็นหวั่นไหว ความรู้สึกสับสน อารมณ์ร้อนรุ่ม ความหวง แรงหึง ความคิดถึงต่างๆมันเกิดขึ้นมาเองแม้อีกฝ่ายจะเป็นผู้หญิงด้วยกันหรือพึ่งรู้จักกันไม่เท่าไหร่ ฉันแทบจะไม่ต่อต้านอะไร หนำซ้ำกับยินดีด้วยเมื่อได้รู้ว่าใจเราต่างตรงกัน โอ..ฉันแทบจะบรรยายความสุขครั้งแรกที่รู้ใจเอื้อยออกมาเป็นคำพูดไม่ได้เลย ตอนนั้นถ้าไม่ติดว่ากำลังอยู่ในอารมณ์โรแมนติก กำลังอยู่ในFirstkissของกันและกัน ฉันคงจะร้องกรี๊ดกระโดดกอดคอหอมแก้มเหมือนตอนที่คบกันมาได้เกือบปีอย่างตอนนี้แล้ว ฉันอมยิ้ม นึกถึงใบหน้าหวานหลับตาพริ้มของคนสวยเมื่อจูบแรกอีกครั้ง ไม่แน่นะตอนนี้เธออาจจะกำลังคิดถึงฉันเหมือนกันก็ได้ อา..รอยยิ้มละมุนทำให้กระแสความสุขในใจตื่นตัวอีกครั้ง ฉันยิ้ม หันไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมามองรูปเธอก่อนจะก้มลงจุมพิต ตอนนี้คงได้เวลาบอกลาคนดีเข้านอนแล้ว.. กู๊ดไนท์นะคะที่รัก..

////////////////////////////////
วันเสาร์ วันนี้ไม่มีคาบเรียนอะไรกอรปกับฝนตกตั้งแต่เช้าๆ อากาศเย็นสบาย ท้องฟ้ามืดไม่มีแสงแดด เสียงฝนตกกระทบหลังคา โอ..ช่างเป็นบรรยากาศที่น่านอนพักผ่อนสำหรับเด็กหออย่างฉันเหลือเกิน ใช่สิ..อากาศเย็นๆในฤดูฝนอย่างนี้ถ้ามีเวลาใครก็ต้องนอนกันทั้งนั้น เช่นเดียวกันกับฉันที่นอนหลับยาวไปจนเกือบจะเที่ยงและตื่นนอนด้วยเสียงโทรศัพท์จากแม่ที่โทรมาถามเรื่องที่ว่าฉันจะกลับบ้านมั้ย ฉันได้แต่ตอบแม่ด้วยเสียงงัวเงียๆเรื่องที่ว่าฉันติดเข้าคลาสเชียร์ตอนเย็นทั้งสองวันคงจะกลับไม่ได้ ซึ่งจากเสียงงัวเงียนั้นก็ทำให้แม่บ่นให้ฉันทันทีที่รู้ว่าฉันยังไม่ทันตื่นทั้งๆที่สายขนาดนี้
ตอนนี้ฝนหยุดแล้วและแดดเริ่มออก ฉันลุกขึ้นมาซักเสื้อผ้า ปัดกวาดห้อง รวมถึงเสียบน้ำร้อนเพื่อชงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบถ้วยกินรองท้องแก้หิว โอ..แน่นอนล่ะวันเสาร์ในฤดูฝนอย่างนี้ ถ้าไม่มีกิจกรรมอะไรที่จำเป็นแล้วฉันก็ไม่อยากออกไปเตร็ดเตร่นอกหอตัวเองให้เสี่ยงตัวเปียกเท่าไหร่เลย ยิ่งวันนี้ที่ไม่มีเอื้อยอยู่ใกล้ๆให้ต้องเป็นห่วงแล้วด้วย ใช่..ฉันหมายถึงถ้าวันเสาร์อย่างนี้แล้วเอื้อยไม่ได้กลับบ้าน ฉันอาจจะเป็นห่วงว่าเธอจะทานข้าวยังไง จะอยู่อย่างไร จะเหงามั้ย และฉันจะต้องออกไปหา เราสองคนจะต้องมีกิจกรรมอะไรที่ต้องทำเพื่อให้เอื้อยรู้ว่าฉันยังรักและคิดถึงเธอเสมอ แม้ว่าวันจันทร์ถึงศุกร์ที่ผ่านมาฉันจะไม่ค่อยได้ไปไหนมาไหนกับเธอเลยก็ตาม แต่ตอนนี้วันนี้ ไม่แน่ว่าเธอก็คงจะมีความสุขกับแม่อยู่ก็ได้ ก็วันนี้เป็นวันสุดท้ายก่อนที่เธอจะไปส่งแม่ขึ้นเครื่องไปฮ่องกงนี่นา อา...งั้นสำหรับอาทิตย์ต่อๆไปเธอก็ต้องอยู่หอหรืออาจต้องกลับไปอยู่กับน้าภาอย่างที่เธอเคยเล่าให้ฟังว่าแม่จะให้น้าภาช่วยดูแลความเป็นอยู่ของเธอด้วยสินะ
น้าภา..คือคุณน้าข้างบ้านที่เอื้อยเคยไปนอนค้างตอนที่ฉันคิดว่าเธอไปนอนกับกร ท่านเป็นน้องสาวแท้ๆของแม่เอื้อยที่แม่เอื้อยเคยชวนมาอยู่ด้วยช่วงสมัยที่ท่านเริ่มสร้างฐานะและซื้อบ้านจัดสรรอยู่ได้ใหม่ๆ เอื้อยเคยเล่าให้ฟังว่าน้าภาเป็นคนเก่งสามารถสอบบรรจุครูได้ตั้งแต่อายุน้อยๆ แล้วท่านโชคดีได้แต่งงานกับเพื่อนครูด้วยกันเลยสร้างฐานะของตัวเองได้ไว กระทั่งสามารถมาซื้อบ้านอยู่ข้างๆบ้านแม่ในหมู่บ้านจัดสรรที่ดีที่สุดในจังหวัดเราได้อย่างปัจจุบัน

อืม..ถ้าอาทิตย์ไหนเอื้อยกลับบ้านเอื้อยก็คงจะไปอยู่บ้านน้าภา แต่ถ้าอาทิตย์ไหนไม่ได้กลับบ้านเธอก็คงต้องอยู่หอคนเดียวสินะ นี่ฉันอาจจะต้องได้ไปอยู่เป็นเพื่อนที่หอก็ได้ ฉันคิดเรื่องเอื้อยไปก่อนจะเริ่มคิดขึ้นได้ว่า..ตอนนี้ฉันก็กำลังอยู่หอคนเดียวเหมือนเอื้อยอีกแล้ว...
เฮ้ย...รูมเมทฉันยังไม่มาเลยนี่ ฉันหันขวับไปมองที่เตียงเขาอีกครั้งหนึ่ง เอาไงดีนี่ หรือฉันจะลองไลน์ไปถามเขาดีมั้ย ฉันหยิบโทรศัพท์เปิดดูรายชื่อเขาในไลน์ พิมพ์ทักทายเขาไปสองสามประโยค ความเกรงใจทำให้ฉันไม่กล้าถามเธอว่าทำไมไม่กลับหอตรงๆ ทำได้แค่เพียงพิมพ์ถามแบบอ้อมๆไปว่า.. ปลาอยู่ที่บ้านหรือเปล่าทำไมไม่เห็นมาหอเลย” คำตอบที่เธอตอบกลับมาก็ทำให้ฉันพอจะสบายไปได้บ้าง แม้จะคิ้วขมวดด้วยความสงสัยว่า..เฮ้ย..ทำอย่างนี้ได้อยู่เหรอ..
เราอยู่หอกับเพื่อน เจ้ยไม่ต้องเป็นห่วงนะ เราไม่ได้เป็นอะไร”

ช่วงราวๆบ่ายสามขณะที่ฉันกำลังจะเคลิ้มหลับจากการนอนดูคลิปซีรีย์ย้อนหลังในยูทูป อยู่ๆก็มีเสียงตะโกนอะไรก็ไม่รู้ดังโหวกๆเหวกๆอยู่หน้าหอ ฉันสะดุ้งตกใจตื่น ลุกขึ้นมานั่งฟังดีๆว่าเสียงตะโกนที่ได้ยินนั้นคืออะไร...

จอเจ้ย เฮ้.. จอเจ้ยอยู่ห้องไหน จอเจ้ย ออกมาหาเราหน่อยยยยยย.....”

ห๊ะ..เดี๋ยวนะ เสียงเรียกเมื่อกี้นั่นคือเสียงเรียกชื่อฉันใช่มั้ย ฉันคิ้วขมวดคิดว่าน่าจะใช่ เพราะคงไม่มีใครชื่อแปลกอย่างนี้ในมอนี้อีกแล้ว ความสงสัยทำให้ฉันรีบเปิดประตูระเบียงออกไปดูหน้าหอหาที่มาของเสียง....
จอเจ้ย...ยู้ฮู ...”
ตอนนี้ภาพหญิงสาวผมบอนด์นั่งอยู่บนรถสกูตเตอร์ก็ปรากฏอยู่ด้านล่างทันทีที่ฉันโผล่ระเบียงออกไป ณิชานั่นเอง เธอกำลังโบกไม้โบกมือพร้อมๆกับตะโกนโหวกเหวกเสียงดังด้วยชื่อแปลกๆ จนคนข้างบนหอต้องโผล่จากระเบียงออกมามองเหมือนๆกับฉัน เกือบจะทุกๆห้องที่มีคนอยู่
เฮ้ย อะไรนี่!!... ฉันคิ้วขมวด ยืนมองท่าทางโวยวายของหญิงสาวด้วยความตกใจ แต่อีกฝ่ายกลับดูจะไม่สะทกสะท้านอะไรด้วยเลยที่เห็นคนออกมายืนออมองเธอเต็มหอแบบนี้ ตอนนี้พอเธอสายตาดีสังเกตุเห็นฉันในระเบียงห้องเข้า แม่เจ้าประคุณก็รีบโบกไม้โบกมือเรียกฉันด้วยความดีใจเข้าไปใหญ่
เห็นแล้วๆชั้นสี่ห้องที่มีผ้าเช็ดตัวคิตตี้สีชมพูนั่นใช่มั้ย..เฮ้..จอเจ้ย ยู้ฮู้... ลงมาหาเราหน่อยเร็ว เรามีเรื่องจะคุยด้วยยย...”เสียงเอคโค่ของหญิงสาวดังมาพร้อมๆกับอาการเหงื่อตกของฉัน..
...เฮ้ยถ้าเห็นแล้วจะร้องทำไมอี๊กกก...
ฉันคิ้วขมวดรีบยกไม้ยกมือโบกไปมาห้ามไม่ให้เธอตะโกนเรียกอีก แต่เธอก็ไม่หยุด ไม่รู้ว่าเข้าใจว่าที่ฉันโบกไม้โบกมือนี่คือการทักทายเธอหรือเปล่า ทำไมถึงเพิ่มระดับเสียงและกลายเป็นร้องตะโกนด้วยความตื่นเต้นดีใจไปอีก ตอนนี้พอคนที่อยู่ในระเบียงได้ยินคำว่าเห็นแล้วๆห้องที่มีผ้าเช็ดตัวคิตตี้สีชมพู ทุกๆห้องก็รีบชะโงกหน้าออกมาหาห้องที่มีผ้าเช็ดตัวคิตตี้สีชมพูกันใหญ่ จนฉันอายแสนอาย ต้องรีบก้มตัวลงนั่งหมอบคลานเข้ามาในห้องเพื่อหาโทรศัพท์โทรหายัยคนบ้าที่ทำให้ฉันหน้าเหลือสองนิ้วในตอนนี้..
แต่...พอฉันกดโทรศัพท์ออกหาเบอร์โทรของเธอ โทรศัพท์ของเธอดันปิดเครื่องซะนี่...เฮ้ย..ปิดเครื่องทำไมวะ..ฉันต้องรีบวิ่งออกไประเบียงแล้วชี้นิ้วมาที่โทรศัพท์ให้เธอเปิดเครื่องให้ แต่แทนที่เธอจะเปิดโทรศัพท์ เธอดันตะโกนโหวกเหวกกลับคืนมาว่า “อะไรนะไม่ได้ยินๆ” เป็นประโยคซ้ำๆกันอยู่นั่น กระทั่งมีเสียงหนึ่งลอยกระแทกกระทั้นตามลมมา และฉันกับณิชาก็หยุดกึ๊กทันทีที่ได้ยิน.....
ก็ลงไปคุยกันดีๆซักทีสิคะ รำคาญค่าาาาา...”

//////////////////////////////////////////////

จะตะโกนทำไมนี่ ไม่กลัวคนอื่นเขารำคาญหรือไง”เสียงของฉันบ่นพึมพัมๆตอนที่กวักมือเรียกให้ณิชาเดินมาแอบยืนคุยอยู่แถวๆโรงจอดรถ ก่อนหน้านั้นพอฉันเริ่มนึกขึ้นได้ว่าควรจะลงมาคุยกับเธอดีๆดีกว่า ฉันก็รีบหยิบเสื้อแขนยาวที่มีหมวกใส่คุมหน้าคุมตาตัวเองไว้ ด้วยความอายแสนอายที่ต้องลงไปยืนคุยกับผู้หญิงที่ทุกคนในระเบียงกำลังลุ้นกันว่า คนที่เธอต้องการคุยด้วยนั้นเป็นใคร...

อ้าว ก็ถ้าไม่ตะโกนจะรู้ได้ไงว่าเจ้ยอยู่ห้องไหน” ผู้หญิงผมบลอนด์ในชุดกางเกงยีนส์ตัดขารุ่ยๆสั้นๆและเสื้อไหล่ตกลายขาวครามทำหน้าตายไม่รู้ไม่ชี้ ยืนเถียงฉันข้างๆคูๆ ท่าทางยียวนแต่แอ๊บใสซื่อทำฉันมองค้อนเธอซ้ำ เธอยิ้มแหยๆมองฉัน ก่อนจะก้มลงไปเขี่ยๆกระเป๋าสะพายข้างสีดำที่มองดูเหมือนกระเป๋ากล้องของเธอเอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร และคำตอบย้อนแย้งที่แสนจะกวนอารมณ์นั่นทำให้ฉันต้องย้อนถามเธอคืนทันที..
ไม่รู้ว่าอยู่ห้องไหน??? แต่มาหอถูกนี่นะ”
ก็ใช่..เราถามเพื่อนคนอื่นน่ะ แต่คนอื่นเขาก็ไม่รู้ว่าเจ้ยอยู่ห้องไหน เขารู้แค่ว่าเจ้ยอยู่หอในหอนี้เท่านั้น”
อ้อเหรอ..แล้วมาทำไม มีธุระอะไรรีบร้อนขนาดนั้น ปกติก็โทรหากันได้อยู่นี่..”
ณิชาหุบยิ้ม ใบหน้าเปลี่ยนอารมณ์ จากยียวนก่อนหน้านั้นกลายเป็นคิ้วขมวดเคร่งเครียด หญิงสาวกัดริมฝีปากตัวเองไปมา เหมือนกำลังครุ่นคิดบางอย่าง...
ก็..ก็เรามีเรื่องจำเป็นเราใช้โทรศัพท์ไม่ได้ เราไม่สบายใจอ่ะเราไม่กล้าปรึกษาใครเลยนอกจากเธอ..” ท่าทางซีเรียสของเพื่อนสาวทำฉันชะงักเปลี่ยนทีท่า จากที่ตั้งท่าจะต่อว่าเธอก็กลายเป็นรีบถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง..
อะไร..มีอะไรไม่สบายใจอย่างนั้นเหรอ..”
คือ..เรา...เราทะเลาะกับแฟน เรา...เลิกกับแฟนเราแล้ว...”

//////////////////////////////////////////

ห๊ะ!!!ว่าไงนะ ทะเลาะกับแฟนเพราะว่าแฟนคิดว่าเธอมีคนใหม่ แล้วแฟนเธอก็ดันคิดว่าเป็นเรานี่นะ ทำไมไม่อธิบายดีๆนี่ ก็บอกเขาไปสิว่าเราเป็นเพื่อนเธอ..” ความงงทำให้ฉันร้องเสียงหลงทันทีที่ได้ยินบทสรุปของณิชาเกี่ยวกับปัญหาชีวิตเธอก่อนหน้านั้น และยิ่งได้ยินว่าฉันเป็นต้นเหตุที่ทำให้แฟนสาวของเธอหึงฉัน เพราะเธอคิดว่าฉันสวยที่สุดในคณะแล้วด้วยนั้นก็ยิ่งทำให้ฉันงงไปใหญ่
อารมณ์งงทำฉันนั่งเอ๋อค้างจ้องหน้าณิชาฝั่งตรงข้ามด้วยความสงสัย กระทั่งสะดุ้งตกใจเพราะมีผู้หญิงในชุดผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาลเดินถือถาดเดินเข้ามา จานขนมปัง แก้วเครื่องดื่มอีกสองแก้วถูกวางเรียงต่อหน้าเราหลังจากนั้น ตอนนี้บรรยากาศร่มรื่นจากแมกไม้พร้อมที่จะเติมเต็มรสหวานชุ่มของนมสดและขนมปิ้งที่อยู่ต่อหน้าแล้ว ฉันก้มลงหยิบแก้วนมสดขึ้นดื่มก่อนจะหันไปมองรอบๆร้านนมที่ณิชาชวนมาดื่มอีกครั้ง โอนั่น..กำแพงต้นไม้บล๊อกสีเหลี่ยมที่มีสีเขียว แดง ส้มสลับสีกันไปตามใบไม้และดอก นั่นตู้โทรทัศน์ที่จัดเข้าชุดโต๊ะและเก้าอี้ไม้ จักรยานโบราณ ตู้โทรศัพท์สีแดง ของตกแต่งสไตล์เรทโทรต่างๆ โอ..ทุกอย่างช่างดูดีดูเก๋เหมาะแก่การพักผ่อนจิตใจอย่างที่ณิชาบอกจริงๆด้วย ใช่..ก่อนหน้านั้น ด้วยความที่ณิชาหน้าบึ้งหน้างอ เธอบอกว่ารู้สึกเครียดเกินกว่าจะคุยกับฉันต่อหน้าคนอื่นได้ บางทีการได้นั่งคุยกันในที่เงียบๆสักที่อาจจะทำให้เธอรู้สึกดีขึ้น หญิงสาวอ้างเหตุผลจนฉันเห็นใจ ก่อนจะพาฉันขับเวสป้าคันงามออกมาร้านนมที่เธอบอกว่าบรรยากาศดีและกาแฟอร่อยมากอย่างตอนนี้

“...ก็บอกแล้ว แต่เขาไม่เชื่อเรา เขาจับผิดเราทุกอย่างอ่ะ เราว่าเขางี่เง่าเกินไปน่ะ” แต่แทนที่เธอจะเศร้าให้สมกับที่เธอตะโกนโหวกเหวกเหมือนมีเรื่องใหญ่โตอะไรมากมายแล้ว กลายเป็นว่าเธอดันทำหน้าไม่ยี่ระต่อการเลิกลาที่เธอใช้เป็นข้ออ้างในเรียกฉันออกมาเลย...
ก็ทำไมไม่คุยกันดีๆเล่า..”
ทำไมจะไม่คุย เราคุยกับเขามาสามวันเต็มๆแล้ว คุยเรื่องเดิมมาตลอดจนเราเหนื่อยแล้วไม่อยากทะเลาะ ไม่อยากร้องไห้ ไม่อยากอะไรทั้งนั้นแล้วอ่ะ ตอนนี้เราโคตรเครียด เครียดจนไม่อยากพูดเรื่องของเขาอีกแล้วเข้าใจมั้ย!!”หญิงสาวกระแทกกระทั้นเสียง เธอถอนหายใจใหญ่ก่อนจะก้มลงหยิบแก้วโกโก้ปั่นของเธอมาดูดแก้เครียดของเธอไป ซึ่งพอฉันเห็นท่าทีซีเรียสอย่างนั้น ก็เลยพยายามหลีกเลี่ยงไม่ถามเรื่องแฟนของเธออีก..
งั้นเรียกเราออกมานี่มีอะไร อยากกินนมเฉยๆนี่นะ..”
อืมใช่..ทั้งอยากคุยกับเธอด้วยนั่นแหละ...เราว่าเราคุยกับเธอแล้วสบายใจดี...”
ฉันหัวเราะหึๆทันทีที่ได้ยิน“อ้อ..หรา นี่ถ้าอยากคุยด้วยเฉยๆโทรหาก็ได้นะเจ๊ ไม่ต้องลงทุนตะโกนโหวกเหวกอย่างนั้นก็ได้ เราอายคน..” ความอายทำให้ภาพผ้าเช็ดตัวคิตตี้สีชมพูลอยขึ้นในหัวฉันอีกครั้ง เห็นทีช่วงนี้คงจะเอามาซักตากไว้ที่ระเบียงไม่ได้ซะแล้ว
โทรได้ที่ไหนล่ะ แฟนเราโทรจิกจนเราปิดเครื่องแล้ว เราไม่อยากคุยกับเขาเราก็เลยปิดเครื่องหนีเขาไปเลย”
..อ๋อ นี่เองสาเหตุที่ฉันโทรเข้าเครื่องเธอไม่ติด.. ฉันร้องอ๋อทันทีที่ได้ยินเธอบอกเหตุผล ตอนนี้แม่เจ้าประคุณก็หายใจใหญ่ทำเป็นอยากปล่อยวางอารมณ์ซีเรียสที่เผลอวกเข้าไปคุยถึงแฟนสาวของเธอ ก่อนจะวางแก้วนมในมือลงแล้วเปลี่ยนเป็นจับแก้วกาแฟที่พนักงานเสริ์ฟพึ่งเอามาให้ครู่นี้ยกขึ้นชิมดู...
อืม..หอมดีนะคาปูชิโน่ร้านนี้ นี่ไงเราถึงอยากให้เธอมานั่งกินกับเรา ลองชิมดูสิ กินเลยนะเดี๋ยวเราเลี้ยงเอง” หญิงสาวยิ้มหวาน เธอผายมือมาทางแก้วกาแฟเพื่อเชิญชวนให้ฉันดื่ม
ฉันยักคิ้วรับ ก่อนจะลองหยิบคาปูชิโน่แก้วต่อหน้าขึ้นมาลองชิมบ้าง อืม..หอมกลมกล่อมอย่างที่เธอบอกจริงๆด้วย ฉันหลับตาพริ้มทันทีที่ปลายลิ้นสัมผัสเข้ากับฟองและรสชาติละเมียดละไมอย่างนั้น...
...อืม..คือดีอ่ะ..บรรยากาศร้านก็ดี นมก็อร่อย กาแฟก็หอมละมุน ขนมปังก็หอมกรุ่นนุ่มลิ้น โอ....เป็นร้านที่น่าชวนเอื้อยมานั่งเดทด้วยที่สุดเลย... ฉันทั้งคิดทั้งหลับตาพริ้มด้วยความสุข ขณะกำลังมโนภาพผู้หญิงผมบลอนด์ด้านหน้าตัวเองเป็นภาพของเอื้อยหญิงสาวที่ฉันรักแสนรักอยู่อย่างนั้น..

แชะ..แชะ..
เสียงดังของอะไรสักอย่างดังแทรกเข้ามาเรียกสติฉันจนต้องลืมตา ตอนนี้พอมองตรงไปข้างหน้า ภาพณิชากำลังหยิบกล้องถ่ายรูปสีดำขึ้นมาวางทาบตาก็ปรากฏขึ้นทันที เธอใช้มือซ้ายหมุนเลนส์สีขาวที่ยื่นออกมายาวๆด้านหน้าไปซ้ายทีขวาทีก่อนจะละใบหน้าออกยิ้มบอกฉัน “ลืมตาแล้วก็ยิ้มหน่อยสิ...”
อะไรน่ะ จะมาถ่ายอะไร อายคนเขา” อารมณ์เหวอไม่ทันตั้งตัวทำฉันทักท้วงเธอทันที
อะไรเล่า โลเคชั่นสวยๆนางแบบสวยๆก็ต้องเทคอะโฟโต้หน่อยสิ นะๆเป็นนางแบบให้เราหน่อยนะ” ฉันคิ้วขมวดตั้งท่าจะอ้าปากบ่น แต่ยังไม่ทันว่าอะไรณิชาก็กดชัตเตอร์ดังแชะแล้วละใบหน้ายียวนออกมายิ้มหวานอีกครั้ง “ยิ้มสวยๆนะ ไม่สวยก็จะกลายเป็นแบบเมื่อกี๊อีกนะ จะเอาแบบไหน เร็วๆเราจะถ่ายไว้เป็นที่ระทึก..เอ้ยระลึก” เธอเล่นมุก หึ..ขำตายล่ะ.. คิ้วฉันเพิ่มระดับขมวดทันทีที่นึกขึ้นได้ว่า..นี่เมื่อกี้เธอก็ถ่ายรูปหน้าเหวอๆฉันไปแล้วใช่มั้ยนี่...
นะๆเป็นนางแบบให้เราหน่อยนะ ตอบแทนที่เราจะเลี้ยงนมวันนี้ไง ขอ10รูปก็พอ” หญิงสาวขอร้องต่อ แต่ฉันไม่ตอบรับ เอาแต่หน้าบึ้งนั่งนิ่งมองณิชาค้างจนเธอทำหน้าแหยๆ....
“..อ๊ะๆ5รูปก็ได้” ณิชาเสียงอ่อนเสียงหวานยกนิ้วทั้ง5ขึ้นมาประกอบ เธอทำเป็นตาเล็กตาน้อยออดอ้อนขอร้องฉัน จนฉันทนรบเร้าไม่ไหว จำใจเป็นนางแบบจำเป็นอย่างที่เธอต้องการจนได้
เสียงชัตเตอร์กล้องของณิชาดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าหลังจากนั้น เธอทั้งถ่ายทั้งละหน้าออกมาสั่งให้ฉันเก๊กท่านั้นท่านี้ตามที่เธอขอ แม้จะอายผู้คน แต่ด้วยอารมณ์รำคาญอยากถ่ายให้เสร็จไวๆ เธออยากให้ฉันแอคติ้งท่าไหน ยังไง ฉันก็เลยรีบจัดให้เธอ....

ยิ้มอะไร” เป็นฉันที่ถามยัยตากล้องจอมเวอร์หลังจากที่เห็นเธอหยุดถ่ายแล้วนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มองภาพภายในกล้องไปคนเดียว..
ณิชาไม่ตอบ เธอละตาออกมาจากกล้องแล้วยิ้มน้อยมองฉันเหมือนเดิม ตาโตๆสีดำขลับที่โผล่พ้นผมม้าตัดตรงคู่นั้นฉายแววเจ้าเล่ห์ให้ฉันยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่
ถามแล้วไม่ตอบ ดูอะไรเอามาดูบ้างเลย”
หญิงสาวยิ้ม “อยากดูฝีมือการถ่ายภาพของเราเหรอ ด้ายยย..” เธอจีบปากจีบคอพูดก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วเดินถือกล้องตรงดิ่งมานั่งข้างๆฉัน
ฉันรับกล้องจากณิชามากดเลื่อนดูภาพถ่ายที่เธอถ่ายฉันเมื่อครู่นี้อย่างพินิจพิเคราะห์

..อืม..สวยดีแฮะ..คำว่าสวยในที่นี้ฉันไม่ได้หมายถึงฉัน แต่ฉันหมายถึงองค์ประกอบของภาพที่ณิชาถ่ายฉันเมื่อครู่นี้ ..ใช่...การจัดวางองค์ประกอบของภาพถ่ายที่ณิชาถ่ายฉันเมื่อครู่นี้ดูสวยมาก เธอปรับโฟกัสแบบชัดตื้น แม้ภาพของฉันจะดูดีสวยเด่นแต่ก็กลมกลืนกับบรรยากาศสีแดงๆส้มๆของแบลคกราวน์ร้านด้านหลังที่มองดูเบลอๆนวลๆ ให้อารมณ์ความอ่อนโยนนุ่มลึก ช่วยขับให้ภาพโฟร์กราวน์ด้านหน้าดูสวยโดดเด่นและลงตัวทั้งเฉดสีและอารมณ์ ณ ช่วงเวลาที่จับภาพนั้นเหลือเกิน...

...โอ้..นี่เธอจับอารมณ์ของภาพได้เก่งมากเลยนะ ไม่สิ..ต้องบอกว่าเธอถ่ายภาพได้สวยมากถึงจะถูก...

ฉันหันขึ้นไปยิ้มให้ณิชา “ถ่ายรูปสวยนะ คือหมายถึงรูปโดยรวมนะ ไม่ใช่เรา..”
ขอบคุณที่ชม นางแบบก็สวยด้วยล่ะ ภาพมันก็เลยสวย” หญิงสาวยิ้มกรุ่มกกริ่มได้ทีวกเข้าเรื่องชมฉันอีก
ฉันแสยะยิ้มหัวเราะหึๆทันทีที่ได้ยิน ก่อนจะนั่งก้มหน้าเลื่อนภาพในกล้องตัวนั้นไปเรื่อยๆ
..จริงๆด้วย ณิชานี่เป็นคนที่ถ่ายภาพสวยมากเลย ภาพบางภาพเป็นภาพวิวต้นไม้ธรรมดาแต่ฉันมองแล้วกลับให้ความรู้สึกเหงาเคว้งคว้างก็มี ให้ความรู้สึกสดใสสดชื่นก็มี ดูมันมีเรื่องราวในภาพถ่ายของณิชาเยอะแยะไปหมด อืม..นี่หรือเปล่านะที่เค้าว่ากันว่าอารมณ์ศิลปิน แค่มอง..ก็เห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น ก็คงจะมีแค่กล้องนี่กระมังที่ถ่ายทอดเรื่องราวที่เธอเห็นต่างจากคนอื่นมาเก็บไว้ได้ มันก็คือไดอารี่ของศิลปินดีๆนี่เองล่ะนะ...
ฉันยิ้ม นั่งเลื่อนดูภาพไปเรื่อยๆ จนไปถึงภาพเซ็ตผู้หญิงสวยๆที่ฉันจำได้ว่าเขาก็คือแฟนของณิชานั่นเอง หญิงสาวผมบอนด์เห็นฉันนั่งอึ้งค้างเธอจึงทักขึ้น..
ภาพแฟนเก่าเราน่ะ..ตอนนั้นพึ่งคบกันใหม่ๆ..”
ใคร..” ฉันละสายตาหันไปถามณิชา “..ก็เกดไงก็....” เธอพยายามอธิบายแต่ก็โดนฉันพูดแทรกเสียก่อนว่า..“ใครถาม..”หญิงสาวชะงัก เธอเหล่ตามองแรงฉันที่หัวเราะคิกๆคักๆทันทีที่ได้ทีกวนโอ้ยเธอคืนบ้าง
ล้อเล่นน่า ก็ไม่ได้ถามจริงๆเล่าให้ฟังทำไมกันเล่า เดี๋ยวก็คิดถึงเขาขึ้นมาก็ร้องไห้ขี้มูกโป่งอีก เราไม่มานั่งปลอบเธอนะอายคนเค้า”ฉันทั้งพูดทั้งยิ้ม อารมณ์อยากหยอกให้คนที่ฟังรู้สึกดี กลัวเพื่อนจะเสียใจเสียความรู้สึก ที่เผลอพูดถึงคนรักเก่าอย่างนั้นอีก
ใคร..เราน่ะเหรอจะร้องไห้ ไม่อ่ะ เราไม่ร้องไห้หรอก มีแต่เขานั่นล่ะที่จะร้องเพราะว่าเราบอกเลิกเขาไปแล้ว เราบอกเขาไปแล้วว่าระหว่างเรากับเขามันคงไม่ใช่ แล้วตอนนี้เราก็เจอคนที่เราคิดว่าใช่แล้วด้วย..” อึ๊ก..ฉันอึ้ง รู้สึกร้อนวูบๆวาบๆทันทีที่ได้ยินเธอบอกว่าเจอคนที่ใช่แล้วหันมาจ้องหน้ามองตาฉันนิ่งๆ เหมือนเธอกำลังจะบอกเป็นนัยๆว่าคนที่ใช่ของเธอนั้นหมายถึงใคร ความรู้สึกกระอักกระอ่วนใจทำฉันต้องรีบกระแอมแล้วแกล้งก้มลงมองกล้องในมือเพื่อเปลี่ยนเรื่องกันไม่ให้ตัวเองรู้สึกแปลกๆกับณิชาไปมากกว่านี้ ….
เอ่อ..กล้องรุ่นนี้คือรุ่นอะไรนี่”
นี่เหรอ แคนนอน EOS 760D ...”
ฉันพยักหน้ารับทั้งพลิกซ้ายพลิกขวามองดูกล้องก่อนจะตาละห้อยถามเธอต่อว่า.. “คงจะแพงล่ะสินะ..”
ก็นิดหน่อย ถ้าซื้อพร้อมเลนส์ดีๆด้วยก็สี่ห้าหมื่นอัพ ถามทำไมอยากได้เหรอ”
อืม..ก็อยากได้อยู่..เห็นพวกพี่ปีสองปีสามพกคนละตัว ได้ยินพี่เขาบอกว่าบางทีเราก็ต้องได้ถ่ายรูปงานหรือไม่ก็เวลาที่เราออกทริปเจอมุมเจอspace สวยๆก็จะได้ถ่ายไว้ดูเป็นไอเดียในการออกแบบน่ะ เราก็ว่าจะเก็บตังค์ซื้ออยู่แต่คงไม่ใช่ปีนี้หรอก ปีนี้ใช้ตังค์เยอะแล้ว..”
ณิชาเลิ่กคิ้วเหมือนคิดอะไรได้ เธอยิ้มหวานมอบข้อเสนอให้ฉันทันที “..งั้นเราให้ยืมใช้เอาป่ะ เรามีกล้องหลายตัว ถ้าเธอไม่รังเกียจว่ามันตกรุ่นไม่ใช่รุ่นใหม่ล่าสุดก็เอาของเราไปใช้ก่อนก็ได้”
โหยไม่เอาหรอก เกรงใจเดี๋ยวทำของณิชาพังอีกยุ่งเลย” ฉันส่ายหน้ารีบส่งกล้องในมือคืนให้ ด้วยนึกขึ้นได้ว่ามันก็คงจะพังเหมือนกันถ้าฉันเผลอซุ่มซ่าม..
ณิชายักคิ้ว เธอรับกล้องไปนั่งยิ้มหวานส่งสายตาแปลกๆจ้องมองฉันข้างๆอยู่นาน จนฉันเริ่มรู้สึกอึดอัดต้องแกล้งเก๊กเสียงดุบอกให้เธอกลับไปนั่งที่ของตัวเองเสียที
กลับไปนั่งที่เดิมเลย แล้วก็กินให้หมดเลยนะขนมปังพวกนี้น่ะ รีบกินจะได้รีบกลับไปเตรียมตัวเข้าคลาสเชียร์คณะเย็นนี้..”
รับทราบค่ะบอส...”สาวผมบอนด์เก๊กเสียงแข็งขันตอนพยักหน้ารับ เธอเดินถือกล้องกลับมานั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กินขนมปังที่อยู่ต่อหน้าจนหมดไป ก่อนจะพาฉันกลับหอเพื่อไปทำกิจกรรมอื่นๆหลังจากนั้น จนกระทั่งสิ้นสุดวันลง...

วันอาทิตย์ วันนี้ฉันตื่นนอนตั้งแต่สามโมงเช้า ลุกขึ้นมาพอกหน้ามาร์กหน้า สระผม ไดร์ผม ทำตัวเองให้ดูดีและสวยที่สุดสำหรับวันที่แฟนจะกลับมาหออีกครั้ง ใช่..วันนี้เอื้อยคงจะกลับหอช่วงบ่ายๆ และเธออาจจะเศร้าที่ไปส่งแม่ขึ้นเครื่องแล้วก็ได้ ฉันเลยคิดว่าบางทีเธออาจจะต้องการให้ฉันอยู่ใกล้ๆเธอยามนี้...
ฉันปัดกวาดห้องฆ่าเวลาก่อนจะถือถุงดำใส่ขยะเดินลงไปทิ้งหน้าหอ ตอนนี้พอฉันกำลังจะเดินกลับเข้าหอและผ่านหน้าเคาน์เตอร์สำนักงานหอพัก อยู่ๆก็มีพี่หอในนั้นเดินออกมาเรียกฉัน...
น้องๆ..น้องใช่น้องจอเจ้ยหรือเปล่าคะ..” ฉันสะดุ้งกึ๊กรีบหันไปหาที่มาของเสียง นึกแปลกใจเล็กๆที่ได้ยินชื่อที่น่าจะมีแต่คนในคณะเท่านั้นที่รู้จัก
เอ่อ..ใช่ค่ะ” พี่คนนั้นยิ้มรับแล้วกวักมือเรียกฉันไปเคาน์เตอร์ทันทีที่ได้ยินฉันตอบรับ
คือ..มีเพื่อนในคณะของน้องเค้าฝากของไว้ให้น่ะ คนที่ผมทองๆที่สวยๆน่ะ..” พี่คนนั้นหันไปชั้นวางของด้านหลัง เธอเลือกหยิบกระเป๋าผ้าสี่เหลี่ยมสีดำใบใหญ่ๆมองดูคล้ายกระเป๋ากล้องส่งมาให้ฉัน ฉันคิ้วขมวดตั้งแต่ได้ยินคำว่า “ผมทอง” แล้ว แล้วยิ่งมาเห็นกระเป๋าใบนี้อีกก็ยิ่งเพิ่มความขมวดเข้าไปใหญ่
เขามาฝากให้ตั้งแต่ตอนเช้าๆแล้ว บอกพี่ว่าฝากให้น้องจอเจ้ยคนที่สวยๆหมวยๆที่อยู่ถาปัตย์ปีหนึ่งหน่อย..เขาไม่รู้ว่าน้องอยู่ห้องไหน พี่ได้ยินคำว่าสวยๆหมวยๆก็เลยนึกถึงเราได้และก็จำได้ว่าเราอยู่ถาปัตย์ปีหนึ่งด้วย ก็เลยคิดว่าน่าจะใช่น่ะ..” ฉันยิ้มแก้เขินให้พี่หอก่อนจะก้มลงมองเจ้ากระเป๋าใบนี้ด้วยความงงแสนงง ..ไม่นะ..นี่คงไม่ใช่สิ่งที่ฉันกำลังคิดหรอกใช่มั้ย..
เออนี่..เค้าฝากจดหมายไว้ด้วยนะ...พี่ใส่ไว้ข้างกระเป๋าน่ะ” พี่คนนั้นชี้นิ้วมือให้ฉันดูซองน้ำตาลเล็กๆที่สอดใส่ช่องใส่ของที่อยู่ด้านข้าง ฉันพยักหน้ารับ ยกมือไหว้ขอบคุณ ก่อนจะรับเอาเจ้ากระเป๋าใบนั้นกลับมาด้วยความงงต่อ
ฉันโทรหาณิชาทันทีที่กลับเข้าห้อง แต่โทรเท่าไหร่ก็ไม่ติดไม่รู้ว่าเป็นเพราะเธอปิดเครื่องหนีแฟนสาวของเธอตั้งแต่เมื่อวานหรือเปล่า ฉันทั้งคิดทั้งกังวล ตั้งใจจะโทรถามเธอให้ได้ความก่อนแต่ก็ติดต่อไม่ได้ ความสงสัยทำให้ฉันตัดสินใจเปิดดูของข้างในหลังจากนั้น..

โอ..ไม่..มันเป็นสิ่งที่ฉันคิดจริงๆด้วย..

ใช่...ของในกระเป๋าคือกล้อง มันเป็นกล้อง DSLR สีดำยี่ห้อCanon ที่ด้านข้างมุมบนขวามีตัวหนังสือสีขาวคำว่าEOS 650D อยู่ด้วย ฉันยกมันขึ้นมาสำรวจสภาพของกล้องแม้จะมีร่องรอยเลือนๆของตัวหนังสือไปบ้าง แต่องค์ประกอบทุกอย่างมันยังอยู่ในสภาพที่ดีและใหม่เกือบๆจะ100%อยู่เลย ฉันมองลงไปในช่องของกระเป๋ามันมีชุดเลนส์คิตส์อีกสองอัน หยิบมันขึ้นมาหมุนเปิดฝาครอบเลนส์ก็เห็นข้อความสีขาวของแต่ละอันว่า EF-S 18-135 F3.5-5.6 STMและEF 40mm F2.8 STM นอกจากนั้นยังมีพวกอุปกรณ์พวกแท่นชาร์ต สายชาร์ต ชุดทำความสะอาดเลนส์ต่างๆจัดวางเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่ในกระเป๋านั้นอีก
ความกังวลใจทำฉันคิ้วขมวดก้มมองกล้องในมืออยู่นานจนนึกถึงจดหมายขึ้นมาได้ ฉันวางมือจากกล้อง รีบหยิบซองสีน้ำตาลนั้นขึ้นมาเปิดอ่านข้อความทันที..

To..จอเจ้ยสุดสวย ^_^
เราฝากกล้องไว้ให้เธอลองใช้ดูนะ กล้องตัวนี้เป็นกล้องDSLRตัวแรกของเรา เรารักมันมากเลยยังไงฝากเธอช่วยดูแลมันให้เราทีนะ
ปล.ใช้ไม่เป็นก็ลองเสิร์ชGoogleดูก่อนนะ ช่วงนี้เราอาจจะติดต่อไม่ได้ เรากำลังย้ายหอน่ะ
From..ณิชาไงจะใครล่ะ ^_^