วันศุกร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560


นิยายหญิงรักหญิง Girlfriend Season2

Chapter 4

Suspect : Ueai

โทรหาใครเหรอ.....”
เสียงเอื้อยเรียกสติฉันจากการพยายามกดโทรศัพท์โทรออกหาเบอร์ณิชา เธอคงสงสัยว่าฉันกำลังพยายามโทรหาใครด้วยอาการกังวลใจซ้ำๆอย่างนั้น
เอ่อ..โทรหาเพื่อนน่ะ” ฉันยิ้ม ก้มลงเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกงวอร์มตัวเองแล้วหันมาตั้งใจคุยกับเอื้อย
เพื่อน?? ใครเหรอ เห็นพยายามโทรหาหลายรอบแล้ว มีธุระสำคัญอะไรหรือเปล่า ให้เค้าพาไปหามั้ยล่ะ..” คนสวยถามด้วยความเป็นห่วง เธอตักต้มยำทะเลหม้อไฟในหม้อที่กำลังเดือดปุดๆใส่ถ้วยเล็กส่งให้ฉันก่อนจะหันมาตักของเธอบ้าง
เอ่อ..ณิชาน่ะ คือมันก็ไม่มีธุระอะไรมากหรอก แค่ก่อนจะเลิกคลาสเชียร์ณิชาจะคุยด้วย แต่พอเลิกแล้วเขาก็หายไปไหนก็ไม่รู้ เค้ารอตั้งนานก็เลยกลับก่อน ก็ว่าจะมาบอกตอนที่ออกมากินข้าวกับเอื้อยอีกทีนี่ล่ะ..” ฉันพยายามอธิบายให้เอื้อยฟังเรื่องที่ก่อนหน้านี้ฉันยืนรอณิชาอยู่หน้าคณะแล้วเธอก็ไม่มาสักที จนฉันหิวทนรอไม่ไหวต้องรีบออกมาทานข้าวกับเอื้อยอย่างนี้...

ก่อนหน้านั้นช่วงค่ำ ก่อนที่ฉันจะเข้าคลาสเชียร์คณะแล้วเจอณิชา ฉันก็รีบเข้าไปคุยเรื่องกล้องกับเธอทันที...
อะไรเล่าก็อย่างที่บอกนั่นไง เราให้เธอยืมใช้ก่อนไม่ได้ว่าจะให้เลยสักหน่อยจะโวยวายทำไมกันเล่า...”
เฮ้ย!!จะบ้าเหรอกล้องตั้งแพงเดี๋ยวเราก็ทำพังอีกอ่ะ เอากลับคืนไปเลย” ฉันยื่นกระเป๋ากล้องคืนให้ณิชาแต่ก็โดนเธอดันคืนมาอีก แถมยังอ้างเหตุผลให้ลำบากใจทันทีที่ที่คิดตามได้...
เฮ้ยจอเจ้ย..ถือว่าเราขอร้องก็ได้นะ ช่วยดูแลมันไว้ให้เราหน่อย กล้องตัวนี้เรารักมาก มันเป็นกล้องตัวแรกของเรา แล้วตอนนี้คือเรากำลังย้ายหอน่ะ..คือ..ยังไงดีล่ะ เอาตรงๆนะเราย้ายหนีแฟนเรานี่ล่ะ แฟนเราเขามาก่อกวนเขาจะทำลายของของเราทุกอย่าง อะไรก็ตามที่เขาเห็นว่าเรารัก เขาจะทำมันพัง นี่เมื่อวานเราออกจากหอก็แบกกล้องตัวใหม่มาด้วยเพราะกลัวเขาโยนทิ้ง แล้วทีนี้เค้าก็ดันรู้ว่ามีตัวนี้อีกที่เรารักมาก เขาก็ขู่ว่าจะทำมันพังอีกอ่ะ เราก็เลยไม่อยากเก็บไว้กับตัวเรา นะนะ..ถือว่าช่วยเราก็ได้ เธอก็ช่วยดูแลกล้องเรา อยากใช้ก็ใช้เลยถือว่าเป็นค่าดูแลไง...”
จริงดิ ทำไมดุจัง..โกหกเราหรือเปล่านี่” ฉันคิ้วขมวด พยายามถามณิชาคืนทันทีที่คิดได้ว่าจะมีผู้หญิงที่ดุและงี่เง่าขนาดนี้อยู่เหรอ ณิชาสะบัดหัวก่อนจะยกมือสามนิ้วขึ้นมาทำท่าทางสาบานต่อหน้า
ไม่ได้โกหกสิ!!หน้าตาเราใสซื่อจะตายเธอก็รู้..” ฉันคิ้วขมวดทันทีที่ได้ยินคำว่า “ใสซื่อ???” ของณิชา ทั้งจ้องมองใบหน้าซีเรียสที่มองดูมีพิรุธอยู่นาน กระทั่งได้ยินเสียงเพื่อนๆบอกว่าพี่มาแล้วจึงยอมตกลงรับกล้องจากณิชามาเก็บไว้
เดี๋ยวตอนเลิกคลาสเชียร์แล้ว รอเราหน้าคณะด้วยนะ เรามีเรื่องอยากคุยกับเธอ..” ณิชายิ้มหวาน เธอยื่นมือมาแอบจับแก้มฉันแล้วรีบวิ่งหนีไปเข้าแถวด้านหลังสุด จนฉันยังสะดุ้งตกใจ ที่อยู่ๆโดนลักไก่จับแก้มต่อหน้าคนมากมายอย่างนั้นเข้า ดีที่ตอนนี้ทุกคนยังไม่รู้ว่าณิชาเป็นอะไร ไม่อย่างนั้นฉันคงโดนแซวเป็นประเด็นใหม่ของคณะอีกแน่ๆ..
ซึ่งพอเลิกคลาสเชียร์แล้ว ฉันก็ยืนรอเธออยู่หน้าคณะตามที่เธอขอแต่เธอก็ไม่มา จนเวลาผ่านไปเกือบ30นาทีและฉันหิวข้าวท้องกิ่ว ต้องตัดใจกลับก่อนพร้อมๆกับการค่อนแคะกระแนะกระแหนเธอด้วยความโมโหหิวว่า..บางที..เธออาจจะโดนแฟนสาวเธอฆ่าทิ้งแล้วก็ได้....

อืม..ถ้าไม่ได้รีบร้อนอะไรมากก็กินข้าวก่อนเถอะ เค้ารู้ว่าเจ้ยหิว..” เสียงเอื้อยเรียกสติฉันจากความคิดเรื่องณิชาอีกครั้งหนึ่ง เธอยิ้มแล้วตักทอดมันกุ้งยื่นใส่จานของฉัน ทั้งหยิบเอาแก้วน้ำดื่มฉันไปรินน้ำเติมให้ ฉันขอบใจเอื้อยก่อนจะชวนเธอคุยบ้าง
เอื้อยล่ะคะเป็นไงบ้าง โอเคขึ้นหรือยังคะ” คำถามมาพร้อมการสังเกตุอาการ ตอนนี้ตาของเธอก็ยังมีร่องรอยแดงๆโชว์ให้เห็นอยู่เหมือนตอนที่ฉันเจอเธอในรถครั้งแรก ตอนนั้นฉันทักเธอไปด้วยความเป็นห่วง ไม่คิดว่าเธอจะยังทำใจไม่ได้แล้วกลายเป็นร้องไห้เรื่องแม่ขึ้นมาทันทีที่โดนจุดไต้ตำตออย่างนั้นเข้า ฉันต้องโอบกอดนั่งปลอบใจเอื้อยอยู่ในรถตั้งนานกว่าเธอจะดีขึ้นและทำใจไม่ให้ร้องอีกได้..
ตอนนี้เอื้อยชะงักทันทีได้ยินฉันถาม เธอเม้มปากก้มหน้าเศร้าๆนั่งเขี่ยข้าวในจานอยู่นาน กว่าจะเงยหน้าแดงๆที่เธอพยามฝืนกลั้นน้ำตาตัวเองเอาไว้ขึ้นมาตอบฉัน “..ก็พยายามจะโอแล้วล่ะ แต่มันก็เนอะ..เฮ้อ..”คนสวยถอนหายใจ เธอยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่ซึมออกมาจากนัยตาหวานทั้งสองข้างอีกครั้ง
เอื้อย...”เสียงแห่งความรู้สึกผิดมาพร้อมๆกับการยื่นมือไปกุมให้กำลังใจ “เค้าขอโทษที่ถามอีกนะ..”
ไม่เป็นไรหรอก เค้าจะพยายามคิดว่าเดี๋ยวแป๊บเดียวก็ได้เจอแม่แล้ว ถ้าซัมเมอร์ไม่ได้ลงเรียนอะไรมากเค้าก็จะบินไปอยู่กับแม่ตอนเปิดเทอมแล้วค่อยกับมาใหม่ เค้าคุยกับแม่ไว้ว่าอย่างน้อยๆก็เจอกันปีละครั้งก็ได้ เค้าอาจจะไปอยู่กับแม่ที่โน้นสักเดือนหนึ่งอะไรประมาณนี้น่ะ..” เอื้อยยิ้ม น้ำตายังเกาะอยู่ที่ขนตา เธอมองฉันนั่งกุมมือเธอด้วยความเป็นห่วงอยู่นานก่อนจะพยายามพูดต่อ..
“..แม่บอกให้เค้าอดทนเพราะว่าบริษัทที่แม่ทำงานมีคนไทยน้อยคนนักที่จะมีโอกาสได้ย้ายไปประจำสาขาที่ต่างประเทศอย่างนี้ พวกผู้บริหารเขาเห็นแม่เชี่ยวชาญและมีโอกาสที่จะดำรงตำแหน่งที่สำคัญของสาขาที่เมืองไทย เขาเลยให้แม่ย้ายไปศึกษาดูงานสาขาใหญ่ที่สุดของภูมิภาคอาเซียนอย่างฮ่องกงก่อนน่ะ ตอนแรกแม่บอกว่าออฟฟิศใหญ่ที่อเมริกาจะให้แม่ไปตั้งแต่ช่วงที่เค้าเรียนม.5แล้วด้วย แต่ตอนนั้นแม่บอกว่าแม่ยังไม่พร้อมจะขึ้นตำแหน่ง ก็เลยรอช่วงที่เค้าเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้วยอมตกลงไปนี่ล่ะ..” เอื้อยอธิบายเรื่องของงานในบริษัทแม่ให้ฉันฟัง

บริษัทที่แม่เอื้อยทำงานเป็นบริษัทของแบรนด์เครื่องสำอางค์ชื่อดังที่มีสาขากระจายอยู่ประเทศต่างๆทั่วโลก หลายต่อหลายครั้งที่ฉันจะได้ยินว่าแม่เอื้อยไปดูงานที่ประเทศต่างๆ แต่ท่านก็ไม่ได้ไปนานขนาดนี้ เช่นเดียวกันกับพ่อฉัน ท่านก็เคยไปดูงานที่ญี่ปุ่นเหมือนกันเมื่อครั้งที่ฉันยังเรียนประถม ตอนนั้นท่านไปประมาณ6เดือนแล้วกลับมา จากนั้นก็ไปๆมาๆต่างประเทศในลักษณะประชุมหรือดูงานระยะสั้นๆมากกว่า ไม่ได้ไปอยู่นานเท่าแม่เอื้อยขนาดนี้เลย
อาจจะเป็นเพราะว่าแม่เอื้อยท่านเป็นผู้หญิงที่สวย เก่ง ปราดเปรียว และมีความสามารถอยู่รอบด้านเหมาะที่จะเป็นผู้นำคนด้วยกระมัง ทางบอร์ดผู้บริหารใหญ่จึงอยากจะผลักดันให้แม่ได้ใช้ความสามารถมาบริหารบริษัทของพวกเขาด้วย ฉันยิ้มทันทีที่นึกถึงภาพแม่เอื้อยในวันแรกที่เจอท่าน แม้แม่จะสวยเหมือนกันกับเอื้อยทุกๆอย่าง ทั้งใบหน้า ตา ปาก จมูกหรือแม้แต่ทรวดทรงองค์เอว เรียกได้ว่าเอื้อยถอดแบบคุณแม่มาแทบจะทุกอย่างแล้ว แต่ท่านกลับเป็นคนที่กระฉับกระเฉงปราดเปรียวเสียจน...บางทีฉันก็แอบคิดว่าเอื้อยไปได้ท่าทางเนิบนาบๆ เรียบร้อยกุลสตรีแบบนี้มาจากใครกันแน่...

ตอนดึกหลังจากที่ทานข้าวเสร็จ เอื้อยชวนฉันแวะร้านสะดวกซื้อแถวๆหน้ามอก่อนกลับหอ เธอนั้นเดินเข้าไปเลือกซื้อของใช้ในร้าน ส่วนฉันแวะซื้อมันปิ้งที่กำลังปิ้งร้อนๆหอมกรุ่นจากรถเข็นที่จอดขายอยู่ด้านข้างร้าน ฉันสั่งมันสองชุดเพื่อแบ่งให้เอื้อยทานด้วย ระหว่างยืนรอเจ้าของร้านปิ้งมันเพิ่มให้นั้น อยู่ๆเจ๊แนนที่บังเอิญผ่านมาซื้อของร้านนั้นก็แวะมาทักทายฉันจากด้านหลัง...

เฮ้ยเจ้ย อะไรนี่กินมันรอบดึกไม่อ้วนแย่เรอะ” เสียงเจ๊แนนทักฉัน ประโยคแรกก็เล่นเอาฉันสะดุ้ง
ไม่หรอกเจ๊ซื้อไปนั่งกินตอนทำงานน่ะ เจ้ยอยู่ดึกเผื่อหิว” ฉันยิ้มแหยๆ ทั้งหัวเราะแก้เขินที่โดนทักเรื่องกินจุบจิบตอนดึกๆอย่างนี้ เจ๊แนนยิ้มพยักหน้ารับ เธอสำรวจหน้าตาฉันด้วยความเป็นห่วงก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้ เธอมองซ้ายมองขวา ทำปากมุบๆมิบๆประหนึ่งคันปากอยากคุยบางเรื่องที่ไม่น่าคุยด้วยเท่าไหร่...

เฮ้ยแก แกไปไหนมาไหนกับนังณิชาอย่างนี้ระวังนะเว้ย ฉันพึ่งรู้ว่ามันชอบผู้หญิงด้วยกันก็ตอนที่เจอมันในผับวันก่อนแล้วเห็นมัน..เอ่อ..จูบกันกับแฟนสาวของมันในผับน่ะ” พูดถึงตรงนี้เจ๊แนนก็กอดแขนตัวเองทำท่าขนลุก เธอทำหน้าแหยๆเหมือนไม่อยากจะพูดอะไรทำนองนี้กับน้องสาวตัวเองเท่าไหร่ ก่อนจะถามคำถามที่ฉันสะดุ้งตกใจทันทีที่ได้ยิน..
เค้าเรียกว่าเลสเบี้ยนหรือเปล่าวะ อะไรอย่างนี้น่ะ ผู้หญิงกับผู้หญิงเอากันน่ะ” คำถามซื่อๆภาษาบ้านๆทำฉันตะกุกตะกักทันทีที่จะตอบ ..จุดใต้ตำตอดีแท้ๆ “คง...คงใช่เจ๊”
เออ..แกรู้ป่ะว่านังณิชามันมารบเร้าเซ้าซี้อยากให้ฉันติดต่อแกให้ มันบอกว่ามันชอบแก มันบอกว่ามีความรู้สึกเหมือนแกจะเป็นเลสเบี้ยนแบบมันด้วย จริงหรือวะ..” ห๊ะ!!..ฉันสำลักน้ำลายไอแค่กๆทันทีที่ได้ยินเจ๊แนนบอก..
บ้าสิ!! แล้วเจ๊จะไปเชื่อเขาทำไม เขาก็อาจจะพูดเล่นๆบ้าๆบอๆเหมือนตอนที่เขาพูดกับเจ๊ต่อหน้าเจ้ยก็ได้นิ”
จริงดิ..” เธอคิ้วขมวดมองหน้าเหมือนอ่านใจฉัน “เออ..ไม่เป็นก็แล้วไป แกอย่าไปเป็นเหมือนมันเลย มันทำตัวประหลาดๆ ชอบได้ไงก็ไม่รู้ผู้หญิงด้วยกัน ฉันล่ะแหยงยังไงไม่รู้ตอนเห็นมันจุ๊บแฟนสาวมัน”พูดเสร็จเจ๊แนนก็ยกไหล่ เธอทำเป็นตัวสั่นออกอาการขนลุกรับไม่ได้เรื่องที่เธอพูดไปเมื่อครู่นี้
“..ไม่รู้ว่าพ่อแม่มันจะว่ายังไงบ้างนะ ทำอะไรไม่คิดถึงหน้าพ่อหน้าแม่ตัวเองเลย พ่อแม่มันจะคิดยังไงถ้ารู้ว่ามีลูกสาวทำตัวประหลาดๆผิดปกติมนุษย์อย่างนี้..”
อึ๊ก..ฉันกลืนน้ำลาย ก้มหน้าหลบตาเจ๊แนนเพราะเผลอคิดตามตั้งแต่ประโยคที่บอกว่าทำอะไรไม่คิดถึงหน้าพ่อแม่แล้ว ยิ่งได้ยินเธอพูดกระทบกระทั่งว่าพวกเลสเบี้ยนทำตัวประหลาดผิดปกติมนุษย์ทั่วไปอีกก็ยิ่งรู้สึกร้อนในตาจนเกือบจะร้องไห้ ความรู้สึกเจ็บตอนนี้คงเหมือนกำลังโดนตบหน้า แถมโดนกระแนะกระแหนด่าโดยที่เจ้าของคำพูดไม่รู้ตัวเลยว่า...จริงๆแล้วน้องสาวเธอก็เป็นหนึ่งในผู้หญิงประหลาดที่เธอกำลังแอนตี้อยู่นี้อีก...

ฉันยืนก้มหน้าฟังเจ๊แนนบ่นอยู่ครู่นึงจนรู้สึกเหมือนมีคนเดินมายืนอยู่ข้างๆฉัน เอื้อยนั่นเอง ตอนนี้เธอทำหน้าประหลาดใจที่ได้เห็นภาพฉันกำลังก้มหน้าก้มตาฟังใครสักคนที่เธอไม่รู้จักด้วยความเครียดอยู่ ฉันปรับอารมณ์ ตีหน้าซื่อ พยายามแนะนำทั้งสองให้รู้จักกันด้วยอาการปกติ..
เอ่อเจ๊..นี่เอื้อยเพื่อนเจ้ย เพื่อนจากโรงเรียนเก่า คนที่เจ๊เคยเห็นในเฟซน่ะ..เอื้อยนี่พี่สาว..เรา..เอ่อ..เป็นลูกพี่ลูกน้องกันน่ะ” คำสรรพนามใหม่จาก“เค้า”เป็น “เรา”ถูกใช้ทันทีที่ฉันเริ่มรู้ตัวว่าพี่สาวตัวเองกำลังเอนตี้คนอย่างเราสองคนอยู่..
สวัสดีค่ะ” เอื้อยรีบยกมือไหว้ เธอยิ้มให้เจ๊แนนก่อนจะก้มหน้าหลบสายตา บางทีเธอคงจะจับสัญญาณพิเศษจากคำสรรพนามใหม่ที่ฉันเรียกเธอได้ เลยพยายามไม่แสดงพิรุธ
อ๋อ ใช่น้องคนที่สวยๆที่ถ่ายรูปกับแกนั่นป่ะ เออ..ตัวจริงน้องสวยมากเลยนะ พี่ว่าแล้วว่าตัวจริงน้องต้องสวยเจ้าเจ๊ยมัน..” เจ๊แนนว่า เธอคงนึกถึงเรื่องที่เธอเคยแซวว่าเอื้อยสวยกว่าฉันได้ เธอยกมือรับไหว้เอื้อยที่ยกมือไหว้ขอบคุณก่อนจะหันมาจีบปากจีบคอเม้าส์มอยเรื่องณิชาต่อ..
พูดต่อๆ เอ้อ..ฉันว่าจริงๆเรื่องนี้มันก็ไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่หรอก ฉันคงไม่เล่าให้แม่แกฟังดีกว่า เพราะเดี๋ยวสักพักมันก็คงเลิกเป็นเอง ถึงตอนนั้นฉันก็คงจะไม่ห่วงแกแล้วล่ะ” เจ๊แนนยิ้ม เธอยื่นมือมาตบไหล่ฉันอย่างโล่งใจ ก่อนจะกระแนะกระแหนณิชาไปด้วยความหมั่นไส้ของเธอต่อ.. “ฉันว่านะ จริงๆผู้หญิงพวกนี้จริงๆมันอาจจะไม่ได้ชอบผู้หญิงด้วยกันจริงๆก็ได้ มันก็คงจะเป็นแค่พวกบ้าเซ็กส์ชอบลองของแปลกเท่านั้น นี่ถ้ามันมีแฟนเป็นผู้ชายสักทีก็คงจะหายแล้วล่ะมั้งเนอะแกว่ามั้ยเจ้ย...อ้าว..เป็นอะไรวะยืนก้มหน้าก้มตาอยู่ได้ ได้ฟังฉันพูดป่ะเนี่ย..” เจ๊แนนทักฉันทันทีที่หันมาเห็นฉันก้มหน้ากำหมัด ยืนตัวสั่นด้วยความโกรธที่ได้ยินประโยคแรงๆฟังดูหยาบๆอย่างนั้น..
เอ่อ..เจ๊..อย่าไปว่าเขาอย่างนั้นเลย จริงๆเค้าอาจจะรักกันจริงๆก็ได้ เราไม่รู้อะไรกับเขาหรอก เอ่อ..เดี๋ยวเจ๊จะไปไหนต่อหรือเปล่า พอดีเจ้ยต้องรีบกลับหอไปสเก๊ตซ์งานส่งอาจารย์ก่อนน่ะ เอาไว้วันหลังค่อยคุยกันดีกว่าเนอะ..” ฉันพยายามฉีกยิ้ม เปลี่ยนสีหน้า แกล้งชวนเจ๊แนนให้เลิกพูดเรื่องไม่ดีต่อ ก่อนที่ฉันจะเริ่มอึดอัดจนทนไม่ได้ไปเสียก่อน ซึ่งเอื้อยก็คงรู้ ฉันเห็นเธอก้มหน้าหลบสายตา ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมามองเจ๊แนนเลยแม้จะรู้สึกไม่ดีขนาดไหนก็ตาม..

ดึกวันนั้นหลังจากที่เราแยกย้ายจากเจ๊แนนแล้วเอื้อยขับรถพาฉันมาส่งที่หลังหอ เธอก็รีบคุยกับฉันด้วยความเป็นห่วงทันที...
พี่เค้าพูดถึงใครเหรอ ที่ว่าผู้หญิงชอบผู้หญิงด้วยกันนั่นน่ะ..”
อืม..เพื่อนแกน่ะ เพื่อนแกชอบผู้หญิงด้วยกัน แกคงกลัวเพื่อนแกมายุ่งกับเค้ามั้ง..” ฉันตอบเลี่ยงๆไม่อยากให้เธอคิดมาก ถ้ารู้ว่าคนที่ไปไหนมาไหนกับฉันตลอดอย่างณิชาเป็นคนที่เจ๊ว่า เอื้อยคงไม่สบายใจแน่
เหรอ..ดูพี่เขาเอนตี้คนอย่างพวกเราจังเลยเนอะ” เธอทำหน้าแหยๆตอนที่พูดต่อ..
ก็ธรรมดาล่ะ นานาจิตตัง หลากหลายความคิด เราคงไปบังคับความคิดใครไม่ได้หรอก..”
อืม..แล้ว..เจ้ยกลัวพี่เขารู้เรื่องของเรามั้ยล่ะ..” ฉันนั่งนิ่ง ก้มหน้ามองถุงมันปิ้งในมือเงียบๆไม่ตอบอะไร เอื้อยคงรู้คำตอบจากอาการนั้น เธอจึงยิ้มแล้วยื่นมือมาลูบหัวฉันเบาๆอย่างปลอบใจ
ไม่เป็นไรนะ เค้าเข้าใจเจ้ย ค่อยๆเป็นค่อยๆไปก็ได้ บางทีการอยู่ด้วยกันตลอดทำตัวดีๆอย่างนี้ไปเรื่อยๆ คนที่เขาต่อต้านพวกเรา เขาก็อาจจะใจอ่อนยอมรับเข้าสักวันนั่นล่ะ ไม่ต้องคิดมาก ถ้ากลัวพี่เจ้ยรู้ เราก็อยู่กันแบบเดิมก็ได้ ไม่ต้องให้ใครรู้สถานะ ขอแค่เราสองคนเข้าใจกันก็พอ..” เอื้อยยิ้มละมุน เธอเลื่อนมือลงมากุมมือฉันไว้ เหมือนอยากจะให้กำลังใจให้ก้าวข้ามอุปสรรคเล็กๆน้อยๆพวกนี้ไปให้ได้ทั้งสองคน..

//////////////////////////////////////
วันจันทร์ก่อนเข้าเรียนคาบเช้า ในขณะที่ฉันเดินเข้าห้องเลคเชอร์มุ่งตรงไปนั่งที่นั่งด้านหน้า อยู่ๆก็มีมือของใครไม่รู้เอื้อมมาดึงมือฉันไว้ ณิชานั่นเอง เธอในชุดนักศึกษากระตุกแขนฉันให้เดินเข้าไปหาเธอที่ที่นั่งด้านหลังสุดของห้อง..
เฮ้ย...จอเจ้ยมานั่งเป็นเพื่อนเราหน่อยดิ..”ณิชาว่า เธอทำท่าหาวหวอดๆ ตอนที่ดึงแขนฉันให้เดินเข้าไปนั่งข้างๆเธอฝั่งด้านใน หญิงสาวผมบอนด์อมยิ้มนิดๆที่เห็นใบหน้าเหรอหราของฉัน ส่วนฉันเมื่อเห็นใบหน้าเจ้าเล่ห์ความทรงจำโมโหหิวเมื่อวานปรากฏขึ้นอีกครั้ง หน็อย..ยังมีหน้ามายิ้มน้อยยิ้มใหญ่อีก ฉันคิ้วขมวดต่อว่าคนผิดนัดทันที
เออ..ไหนเมื่อวานบอกให้เรารอ แล้วเธอหายไปไหน ทำไมเราไม่เห็นเธอเลย..” ณิชายิ้มแหยๆ เธอทำตาเล็กตาน้อยบอกเหตุผลกับฉันว่า..
เมื่อวานน่ะเหรอ เรารอเธออยู่นะ พอดีเราเห็นเกดขับรถผ่านมาคณะ เราก็เลยรีบชิ่งหนีเขาก่อนน่ะ..”

...โฮะ..ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงกับที่นึกล่ะเนอะ...ฉันหัวเราะหึๆทันทีที่ได้ยินณิชาแก้ตัว..ดีนะไม่โดนฆ่าตายเสียก่อน อารมณ์งอนทำให้ฉันมองค้อนณิชาค้าง ส่วนเจ้าหล่อนยิ้มน้อยยกแก้วกาแฟจากใต้โต๊ะเลคเชอร์ขึ้นมายื่นให้ฉัน

อ่ะนี่กาแฟเราซื้อมาฝากเธอด้วย” หญิงสาวไม่รอให้ฉันตอบรับหรือปฏิเสธ วางแผละแก้วกาแฟลงโต๊ะ แล้วหยิบแก้วของตัวเองมาดูดกินบ้าง
อะไรนี่ ซื้ออะไรมาทุกวัน” ฉันก้มลงมองแก้วกาแฟทั้งดุณิชา รู้สึกว่าช่วงนี้เธอจะทำเหมือนฉันเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องเซ่นด้วยกาแฟทุกเช้าเย็นตลอดเลยนะ
กินไปเหอะน่า เราง่วงนอน เมื่อวานเราจัดห้องจนดึกตอนเช้าก็เลยซื้อกาแฟมากิน ก็เลยนึกถึงเธอก็เลยซื้อมาฝากน่ะ” ณิชายิ้มอ่อน เธอทำทีเป็นกัดหลอดกาแฟค้างไว้แล้วบ่นงึมงัมๆของเธอต่อไป “..ก็เราสัญญาแล้วว่าเราจะเลี้ยงกาแฟเธอตลอดชีวิต เราก็ต้องทำตามสัญญาสิ นะนะกินเร็วๆเดี๋ยวน้ำแข็งละลายแล้วไม่อร่อยนะ”
ฉันตาขวางมองหน้าณิชา ก่อนจะเผลอหยิบแก้วกาแฟขึ้นมาดูดกินตอนที่นั่งรออาจารย์อยู่ในห้องไป
เวลาผ่านไปเกือบๆจะยี่สิบนาที อาจารย์ยังคงไม่มา ได้ยินเพื่อนในห้องบางคนนั่งคุยกันเรื่องงานบ้าง เรื่องเข้าคลาสเชียร์บ้าง เรื่องหอบ้าง หลายคนนอนหมอบหลับไปกับโต๊ะ รวมถึงนัทหล่อกับนัทแว่นที่พากันนั่งสัปหงกอยู่ที่นั่งหน้าฉันตอนนี้ด้วย ฉันอมยิ้มมองสองคนนี้นั่งโงนเงนหัวโขกกันไปมาอยู่ครู่นึง จนรู้สึกว่าตอนนี้ที่ไหล่ตัวเองกำลังมีอะไรหนักๆตกลงมาทับอยู่ ฉันรีบหันไปมอง...

ณิชานั่นเอง เธอนั่งเอนตัวเอาหัวมาพิงไหล่ฉันไว้ ฉันก้มลงมอง ตอนนี้เธอหลับตาพริ้ม ขนตางอนยาวเป็นแพรสีดำวางเรียงนิ่งสงบอยู่ ได้ยินแต่เสียงงัวๆเงียๆลอยออกมาเบาๆว่า.. “ง่วงนอนจังเลย..ขอยืมไหล่หนุนนอนหน่อยได้มั้ย..ถ้าอาจารย์มาแล้วปลุกด้วยนะ..”

..หึ..วันนี้เล่นมุกนี้อย่างนั้นเร๊อะ.. ฉันรู้ทันมุกเตะอั๋งของยัยณิชาเลยแกล้งขยับไหล่ยุกยิกแรงๆเพื่อหวังให้เธอคอตกจากไหล่ฉัน แต่ไม่ได้ผล เพราะเธอดันคอแข็งสามารถล็อคคอตัวเองวางไว้บนไหล่ฉันนิ่งๆได้โดยที่หัวไม่ตกไปไหนมาไหนเลย เมื่อเห็นว่าการเอาคืนของฉันไม่สามารถจะทำอะไรเธอได้ ฉันก็ได้แต่ปล่อยให้เธอนอนหลับไปโดยที่ตัวเองก็นั่งรออาจารย์ไปเรื่อยๆ พร้อมๆกับความคิดที่มาพร้อมกับความสลึมสลือเมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า...
..อืม..คือดีน่ะ ตอนนี้ห้องเลคเชอร์ก็เงี๊ยบเงียบ แถมพวกด้านหน้าก็ยังพากันปิดไฟตั้งใจนอนกันอีก แอร์ห้องนี่ก็เย็นดีเหลือเกิน ฉันยิ้มน้อย ค่อยๆหลับตานั่งถ่อแอร์ในห้องด้วยความรู้สึกเคลิ้มๆเย็นๆสบายๆ กระทั่งกลายเป็นงัวเงียนั่งสัปหงกหลับไปเหมือนเพื่อนๆคนอื่นๆในที่สุด.....
/////////////////////////
เสียงเตือนโทรศัพท์จากFacebookดังขึ้นตอนที่ฉันนั่งกินข้าวเที่ยงกับเอื้อยที่ร้านอาหารตามสั่งหน้ามอ หลังจากที่คาบเช้าทั้งเช้าพวกฉันไม่เรียนอะไรเลย เนื่องจากอาจารย์ติดธุระฉุกเฉินแล้วไม่ได้แจ้งใครไว้ล่วงหน้าว่าจะไม่ได้เข้า กลายเป็นว่าวันนี้ทั้งวันพวกฉันไม่มีเรียนอะไรแล้ว
ฉันยื่นมือไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจากกระเป๋าสะพายพร้อมๆกับชำเรืองมองเอื้อย ตอนนี้หลังจากที่เธอสั่งอาหารเสร็จเธอก็นั่งตอบไลน์เพื่อนเธอไป ได้ยินเสียงเธอหัวเราะคิกๆคักๆ จึงลองถามว่าขำอะไร...
“..อ๋อ เค้าขำอันอ่ะ อันส่งรูปใส่กระโปรงนักศึกษามอเขามาให้เค้าดูน่ะ”เอื้อยว่าเธอทั้งพูดทั้งหัวเราะ เธอยื่นโทรศัพท์ของเธอให้ฉันดูรูปทันทีที่ฉันร้องขอ ซึ่งฉันก็เผลอหัวเราะทันทีที่เห็นรูปยัยอันรูปนั้นเข้า..

...มันเป็นรูปยัยอันแต่งชุดนักศึกษาที่เรียบร้อยถูกระเบียบดี เธอใส่เสื้อนักศึกษาถูกระเบียบดี กระโปรงทรงเอสีดำสั้นเสมอเข่าก็ถูกระเบียบดี รองเท้าคัชชูก็ถูกระเบียบดี แต่ไหงมันมาขัดตากับทรงผมรองทรงสั้นเต่อ ที่เธอแถรอบข้างใบหูซะเกรียนจนเหมือนเด็กนักเรียนชายประถมอย่างนั้น โหย..นี่คงกะจะใส่ชุดนักศึกษาชายเต็มที่ล่ะสินะถึงไปตัดผมทรงนี้มา แม่เจ้าประคุณคงลืมไปว่าปีหนึ่งมหาวิทยาลัยไหนๆเค้าก็ให้แต่งตัวเรียบร้อยให้ตรงเพศสภาพกันก่อนทั้งนั้น สภาพเธอตอนนี้ที่เห็นมันก็เลยดูประหลาดๆ ยิ่งเธอมายืนถ่ายรูปเต็มตัวหน้าตรง ทำหน้าเคร่งๆเหมือนจะถ่ายบัตรประชาชนด้วยแล้วยิ่งไปกันใหญ่ จนฉันแอบคิดด้วยอารมณ์ขันไม่ได้ว่า...นี่ถ้าเธอยกมือขึ้นมาพนมอีกนิดคงจะเหมือนรูปถ่ายในโปสเตอร์หาเสียงเลือกตั้งแน่ๆ หึ..ท่าน สส.อัญชลี...

เอื้อยบอกว่ายัยอันไปเรียนบริหารธุรกิจที่มหาวิทยาลัยเอกชนที่ค่าเทอมแสนแพงที่กรุงเทพ ได้ข่าวว่าเธอเรียนตามคำสั่งของพ่อแม่เธอเหมือนๆกับเอื้อย แต่ของอันพ่อแม่เขาคงตั้งใจให้ลูกมาบริหารธุรกิจของครอบครัวต่อ เพราะเห็นว่าครอบครัวเขากำลังลงทุนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ใจกลางเมืองอยู่ ทั้งได้ยินข่าวว่าจะลงทุนเปิดห้างสรรพสินค้าเกี่ยวกับสินค้าไอทีในจังหวัดเราด้วย ก็เลยอยากให้อันไปเรียนด้านบริหารธุรกิจมาช่วย แม้อันจะไม่ค่อยชอบ แต่พอครอบครัวเขายื่นข้อเสนอว่าถ้าตั้งใจเรียนจนจบมาได้เกรดดีแล้ว พ่อแม่เขาจะยอมให้เขาคบกับใครก็ได้..ซึ่งก็คืออันจะคบกับผู้หญิงด้วยกันก็ได้ จะเป็นสาวหล่อหรือสาวสวยยังไงก็ได้ ไม่มีใครว่าอันอีกแล้ว...
ฉันหัวเราะทันทีที่นึกถึงภาพวันที่น้องนิวหอมแก้มยัยอันบนเวที นี่อันคงอยากจะจริงจังกับน้องนิวจริงๆสินะ ถึงยอมทำในสิ่งที่ไม่ชอบได้ขนาดนั้น ฉันอมยิ้มแอบอิจฉาพวกเขาเล็กๆก่อนจะยื่นโทรศัพท์คืนให้เอื้อย แล้วหยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมาดูการแจ้งเตือนก่อนหน้านั้น ตอนนี้หน้าจอเฟซบุ๊คโชว์การแจ้งเตือนว่ามีคนแท็กฉันในอัลบั้มรูปถ่ายของเพื่อนในคณะ ฉันคลิกเข้าไปดู...

มันเป็นอัลบั้มภาพถ่ายที่มีการบรรยายไว้ว่า “การเรียนที่แสนจะหนักหน่วงของเด็กถาปัตย์ปี1ตั้งใจ(รอ)เรียนอย่างนี้ อาจารย์จะไม่ให้Aหน่อยเหรอครับ ฉันรีบคลิกเข้าไปดูภาพทันทีที่เห็นแคปชั่นแปลกๆ และแทบจะสบถด่าออกมาทันทีที่ได้รู้ว่า มีคนแอบถ่ายรูปหลับของเพื่อนๆเกือบๆจะทั้งห้องอย่างนั้น ใช่..มันเป็นรูปถ่ายตอนที่เราพากันสามัคคีนั่งหลับรออาจารย์กันในคาบเมื่อเช้า ที่บ้างก็นั่งสัปหงกอยู่บนโต๊ะบ้าง นั่งก้มหน้าหลับบ้าง หรือแม้กระทั่งทิ้งตัวแผ่หลานอนเป็นจริงเป็นจังอยู่พื้นหลังห้องเลยก็มี...

..อีบ้า สภาพแต่ละคนดูได้ที่ไหน ใครแกล้งเพื่อนวะ... ฉันคิ้วขมวดพยายามสบถด่าในใจด้วยคำสุภาพที่สุดที่นึกได้ ตอนนี้ฉันทั้งขำทั้งโกรธ ทั้งตลกทั้งอยากจะด่าไอ้คนที่แอบถ่ายรูปเพื่อนที่นั่งหลับน้ำลายยืดบ้าง หัวชนกันบ้าง หมดสิ้นความเป็นเฟรชชี่หน้าใสกันทันทีที่ได้เห็น
ฉันเลื่อนมาดูคอมเม้นท์ใต้ภาพเพื่อหวังจะดูข้อมูลว่า “ใคร” คนไหนที่มันเป็นคนถ่ายเพื่อน บรรดาเพื่อนๆที่โดนแท็กต่างพากันสามัคคีคอมเม้นท์ด้วยข้อความ 55555+ ยาวๆและก็ต่อท้ายด้วยรูปประโยคที่ว่า “ไอ้สัตว์” บ้าง “ไอ้เหี้ย”บ้าง หรือคำพูดแรงๆที่เค้าชอบพูดเล่นกันบ้าง ซึ่งเป็นคำพูดธรรมดาที่พวกเพื่อนผู้ชายหรือแม้แต่ผู้หญิงบางคนในคณะชอบพูดกันอยู่แล้ว...แต่ไม่ใช่ฉัน
ฉันเลื่อนลงไปอ่านคอมเม้นท์เรื่อยๆ มีคนแซวเพื่อนคนนั้นคนนี้เกี่ยวกับท่านอนบ้าง ความตลกและความจริงจังในการนอนของแต่ละคนบ้าง อย่างเช่น ภาพของเพื่อนคนที่ทิ้งตัวนอนลงกับพื้นหลังห้อง ก็จะเจอเพื่อนๆคอมเม้นท์ว่า R.I.P.ไอ้ต้นกูจะคิดถึงมึงตลอดไป” “สัตว์ขึ้นอืดซะแล้วยังไม่ครบ24ชม.เลย” และอีกหลายๆคอมเม้นท์ที่ทำให้ฉันหัวเราะคิกๆคักๆทันทีที่ได้อ่าน จนกระทั่งมาถึงคอมเม้นท์หนึ่ง...

กูขอโหวตคู่นอนที่ฟินที่สุด” เป็นคอมเม้นท์จากเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งในเอกID หรือInterior design เขาตอบกลับข้อความคอมเม้นต์ของเขาด้วยรูปภาพสองภาพ ภาพแรกเป็นภาพนัทหล่อกับนัทแว่นนั่งสัปหงกหัวชนจนชิดกัน มองดูเหมือนนัทหล่อกำลังก้มลงหอมแก้มนัทแว่น เค้าโพสแคปชั่นของภาพนี้ว่า..
คู่A คู่นอนขวัญใจสาววาย นัทหล่อ&นัทแว่น” มีคนมากดถูกใจภาพนี้เป็นร้อย ทั้งกดหัวใจและกดอีโมชั่นตลกร่วมด้วย มีคนคอมเมนต์ตอบกลับหลายข้อความ ผู้ชายก็จะคอมเม้นท์ประมาณว่า “สัส..กูขนลุก” “อีนัทแว่นหน้าฟินจนน้ำลายไหลเชียวนะมึง” “อ้าวกูว่าแล้วเห็นไปด้วยกันบ่อยๆ” ส่วนเพื่อนผู้หญิงก็จะไปคอมเม้นท์ประมาณว่า “อร้าย..ฟินค่าา” “โอ้ย เดือนเกี้ยวเดือนเวอร์ชั่นถาปัตย์ใช่มั้ยนี่” ฉันหัวเราะทันทีที่เห็นภาพและอ่านคอมเม้นท์ประกอบ ก่อนจะเลื่อนลงมาดูภาพต่อมาแล้วกลายเป็นสะดุ้งเหงื่อตกทันทีที่เห็นภาพและอ่านแคปชั่นของมันเข้า....

คู่B คู่นอนขวัญใจหนุ่มๆสาวๆยูริ จอเจ้ย&ณิชา” มันเป็นภาพฉันนั่งสัปหงก ก้มหัวไปซบกับหัวของณิชาที่นั่งซบไหล่ฉันนอนก่อนหน้านั้น แต่ไหงในภาพนี้เธอดันยกแขนทั้งสองข้างของเธอมาคล้องแขนของฉันไว้ด้วย..
..เฮ้ย นี่เธอแอบคล้องแขน กอดแขนฉันนอนตั้งแต่ตอนไหน ทำไมฉันไม่รู้ตัวเลย... ฉันเหงื่อตกมองดูจำนวนที่คนกดถูกใจภาพนี้เกือบๆจะสองร้อยคน ทั้งมีรูปหัวใจ ทั้งรูปเศร้าและรูปโกรธร่วมด้วยเต็มไปหมด ฉันลองเข้าไปอ่านที่คนคอมเม้นท์ตอบกลับภาพนี้ของฉัน มันมีทั้งเพื่อนทั้งรุ่นพี่รวมทั้งรุ่นน้องที่อยู่ในโรงเรียนเก่าฉันด้วย..
อีเหี้ยรูปนี้กูโคตรฟิน..” “หืม..กูขอแทรกตรงกลางได้ป่ะ” “ขอทั้งสองเด้อ” และอีกมากมายแต่ฉันดันมาชะงักกับคอมเม้นท์สุดท้ายที่ว่า “พี่เจ้ยเปลี่ยนคู่จิ้นแล้วเหรอ” ด้วยกลัวว่าจะมีใครบางคนมาอ่านเจอเข้า...

คนนี้น่ะเหรอ..คือณิชา..” อึ๊ยย..เอาแล้วสิ คนที่ฉันกลัวคงเห็นซะแล้ว น้ำเสียงเรียบๆแต่มีพลังงานแอบแฝงของเธอนั้นทำฉันสะดุ้งเงยหน้าทันทีที่ได้ยินคำถาม คนตาหวานค่อยๆเงยหน้าเคร่งขึ้นมา เธอยื่นภาพเจ้าปัญหาที่ว่าในโทรศัพท์มาทางฉัน มันคงโชว์ขึ้นหน้าฟีดเธอว่ามีใครแท๊กฉันในอัลบั้มสาธารณนั่นเอง
เอ่อ..ใช่นั่นล่ะณิชา”เอื้อยเลิ่กคิ้ว ได้ยินเสียงหึเบาๆออกมาตอนที่ยิ้มให้ฉัน รอยยิ้มที่เจือไปด้วยความประชดประชัดของเธอนั้นทำฉันหวาดหวั่นเมื่อนึกขึ้นได้ว่า เธอคงไม่ได้ยินดีเท่าไหร่เลยที่ได้ยิ้มแบบนี้ ภาพห้วงเวลาที่ฉันไปง้อเอื้อยตอนที่เธอคบกับกรลอยกลับมาอีกครั้ง ภาพหญิงสาวสะแหยะยิ้มแล้วบอกจำไม่ได้ว่าเธอเคยบอกไม่ชอบผู้ชายตอนไหนช่างเหมือนกับตอนนี้เสียจริง..
สายตาเคยหวานกลายเป็นเย็นชา เธอจ้องหน้าฉันอยู่ครู่หนึ่งแล้วก้มมองโทรศัพท์ต่อ มองรอยยิ้มพิฆาตและท่าทางที่เปลี่ยนไปโดยฉับพลันของเอื้อยแล้ว ก็อดที่จะเหงื่อตกจนต้องรีบเดินย้ายร่างจากฝั่งตรงข้ามมานั่งอยู่ข้างๆเธอไม่ได้ ฉันมองดูเอื้อย ตอนนี้เธอกำลังพยายามคลิกที่รายชื่อณิชาที่มีคนแท็กไว้ ก่อนจะกดไปตามลิงก์นั้น...
โอไม่นะ..ฉันสะดุ้งตัวเย็นวาบทันทีที่นึกขึ้นได้ว่า...บางทีหน้าเฟซบุ๊คของณิชาอาจจะมีภาพเธอและแฟนสาวถ่ายคู่กันอยู่ หรือแม้แต่สถานะอะไรก็ตามระหว่างเธอกับแฟนสาวโพสโชว์ไว้ ซึ่งนั่นจะทำให้เอื้อยรู้ทันทีว่าณิชาคือเลสเบี้ยน และเอื้อยต้องรู้แน่ๆว่าณิชากำลังคิดอะไรบางอย่างกับฉัน...

เอ่อ..คือเอื้อยไม่ต้อง...” แต่ปากของฉันก็ไม่ไวเท่ามือเอื้อย แค่ฉันจะห้าม ตอนนี้เธอก็คลิกไปที่หน้าเฟซบุ๊คของณิชาเรียบร้อยแล้ว โชคดีที่ภาพในเฟซของณิชาเป็นภาพถ่ายเดี่ยวๆของเธอทั้งภาพโปรไฟล์และภาพหน้าปก ไม่มีภาพแฟนสาวเธออยู่แล้ว แถมเธอยังตั้งค่าหน้าเฟซของเธอแบบไม่โชว์ข้อมูลหรือแม้แต่สถานะอะไรไว้อีก..
อืม...สวยดีนะ” เอื้อยหันมายิ้มให้ฉันทันทีที่เห็นภาพณิชาเต็มๆตัว “เอ่อ..ก็ไม่ค่อยสวยเท่าไหร่หรอก”
เหรอ..แล้วเท่าไหร่ถึงจะสวยสำหรับเจ้ยล่ะ”น้ำเสียงเย็นชาจนฟังดูเหมือนประชดถามฉันหลังจากนั้น
เอ่อ..ก็แบบเอื้อยไง เค้าก็บอกหลายครั้งแล้วนี่ ว่าเค้าชอบคนสวยๆแบบเอื้อยน่ะ” เอื้อยหัวเราะหึ เธอมองฉันด้วยหางตาก่อนจะกดย้อนกลับไปดูภาพฉันนั่งหลับข้างๆณิชาอีกครั้ง..
แปลกๆดีนะ ได้เห็นภาพคล้ายๆภาพตัวเองกับแฟนตัวเองเคยถ่ายด้วยกัน แถมยังโดนแซวด้วยประโยคคล้ายๆกัน แต่คนข้างๆเขาตอนนี้มันดันไม่ใช่เราซะแล้ว..”คนใจน้อยหยุดเว้นวรรค เธอหันใบหน้าเคร่งๆแลดูคิดมากมาถามคำถามที่ฉันแอบกลัวก่อนหน้านั้นจนได้..เปลี่ยนคู่จิ้นแล้วเหรอ..”
ฉันส่ายหัวก่อนจะรีบอธิบาย..“บ้า..คู่จิ้นบ้าอะไร นั่นเพื่อนเค้านะ แล้วพวกนี้มันก็ถ่ายแกล้งกันเฉยๆไม่ได้มีอะไรเลย ไม่ได้จิ้นอะไรกันด้วย เอื้อยอย่าคิดมากดิ”
ก็ไม่ได้คิดมาก ยังไม่ทันได้คิดอะไรเลย” เอื้อยหัวเราะหึ เธอมองท่าทางรนรานฉันด้วยแววตาแปลกๆ หญิงสาวแกล้งแซวฉันด้วยน้ำเสียงประชดประชันเล็กๆต่อจากนั้นว่า..“มิน่าล่ะ ถึงยอมนั่งทำงานช่วยเขาจนตัวเองกลับหอสายตลอด ที่แท้ก็...”เธอหยุดเว้นวรรค อารมณ์กระดากปากกระดากใจไม่อยากพูดคำนั้นต่อ เธอนั่งนิ่งจ้องหน้าฉันก่อนจะสรรหาคำพูดที่ดูดีกว่ามาต่อว่าฉันอีก “...เดี๋ยวนี้เปลี่ยนสเปคแล้วเหรอ ชอบสวยๆเปรี้ยวๆหัวทองๆอย่างนี้แล้วใช่มั้ย”
เอื้อย...อย่าติงต๊องได้มั้ย...” ฉันคิ้วขมวดเก๊กเสียงซีเรียส ด้วยรู้สึกว่าเอื้อยกำลังพยายามจะชวนทะเลาะแล้ว
ก็ไม่ได้ติงต๊อง แค่ถามไว้ จะได้รู้ว่าแฟนเราชอบอะไรแบบไหน เราจะได้ทำให้ถูกใจเขาไง ไม่ดีเหรอ”เอื้อยยิ้มอ่อน เธอหยุดพูดแล้วจ้องตาฉันเขม็ง ฉันก็จ้องตอบไม่วางตาเพราะไม่อยากให้เธอพูดอะไรทำนองนี้อีกแล้ว เอื้อยคงรู้ เธอถอนหายใจใหญ่เหมือนเธอก็ไม่อยากต่อปากต่อคำอะไรกับฉันอีกเหมือนกัน หญิงสาวเบือนหน้าไปสงบสติอยู่นานก่อนจะก้มหน้าพินิจพิเคราะห์รูปณิชาไปเงียบๆคนเดียว...
อาหารเที่ยงคาบนั้นเป็นไปด้วยความอึมครึม แม้อาหารที่เราสั่งมาทานจะมีรสชาติจัดจ้านอร่อยสักเพียงใดแต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้คนทานมีความสุขขึ้นมาเลยโดยเฉพาะเอื้อย ฉันคิ้วขมวด นั่งมองเอื้อยก้มหน้าก้มตาทานข้าวเงียบๆด้วยใบหน้าหม่นๆเหมือนคนวิตกกังวลคิดมากอยู่นาน ก่อนจะตัดสินใจพยายามชวนเธอคุยอีกครั้งหนึ่ง ตอนที่เราสองคนกำลังเตรียมตัวจะไปจ่ายตังค์...
ตอนบ่ายมีเรียนมั้ย ไปขับรถเล่นกันป่ะ” เอื้อยหยุดกึ๊ก เธอหันใบหน้าเรียบๆไม่แสดงออกทางอารมณ์อะไรมามองฉันก่อนจะตอบ..
ถ้าเค้ามีเรียน ก็คงไม่ได้ไปด้วยสินะ หึ..เจ้ยก็ไปกับเพื่อนคณะเดียวกันก็ได้นี่ถ้าอยากจะไปไหน”หญิงสาวก้มลงหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพายเตรียมเดินออกไปจ่ายตังค์ทันทีที่พูดจบ
งั้นก็ไม่เป็นไร ไม่ว่างก็ไม่เป็นไร เค้าแค่ถามเฉยๆอยากพาเอื้อยไปพักผ่อนบ้าง เผื่อมีอะไรไม่สบายใจน่ะ” เอื้อยชำเรืองปลายตามอง เธอยิ้มจืดๆและตอบกลับด้วยถ้อยคำเรียบๆของเธอ...
อืม..ขอบใจนะ ไม่เป็นไรหรอกประเดี๋ยวก็คงหาย มันก็ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก อย่ามาใส่ใจอะไรเค้าเลย..”

บ่ายวันนั้นฉันกลับมาหอด้วยความคิดกังวลเกี่ยวกับเรื่องเอื้อย ฉันกลัวว่าเธอจะรู้สึกยังไงเมื่อเห็นคนอื่นแซวฉันกับณิชาอย่างนั้น ใช่ฉันแคร์ความรู้สึกของเอื้อยมากและเข้าใจความรู้สึกของเธอดีด้วยว่าเธอจะคิดยังไง ฉันคิดว่าถ้าเป็นฉัน ฉันก็อาจจะโวยวายเธอไปมากกว่านี้แล้วก็ได้ ก็ฉันมันจอมคิดมาก จอมโวยวาย ขี้หวงและขี้หึงอยู่แล้วนี่...
เอ..หรือบางทีเธออาจจะกำลังหึงฉันหรือเปล่า อาจจะใช่นะ..เพราะฉันไม่เคยเห็นเอื้อยหึงฉันเสียทีเลยไม่รู้ว่าผู้หญิงเงียบๆเรียบๆอย่างเอื้อยเวลาหึงจะเป็นแบบไหนกัน ใช่..จำได้ว่าตั้งแต่ที่เราคบกันมาเกือบจะเป็นปีฉันยังไม่เคยเห็นเอื้อยหึงฉันเสียที แต่ก็นะ..ฉันมันก็ไม่มีอะไรให้หึงนี่นา แม้ฉันจะมีคนมาชอบเยอะอย่างเอื้อยแต่ฉันกลับไม่ใช่คนที่จะชอบเอาใจหรือเทคแคร์คนทุกคนที่เข้ามาชอบตัวเองอย่างเอื้อยเท่าไหร่ ก็ฉันเป็นคนตรงๆไม่ค่อยอ่อนโยนไม่ค่อยอ่อนหวาน แถมบางทีก็ดูกระโชกโฮกฮากชอบด่าชอบบ่นคนนั้นคนนี้ไปเรื่อย บางทีการที่ดูเหมือนคนดุๆดูหยิ่งๆอย่างฉันมันก็เลยกลายเป็นไม่ค่อยสนใจใครเท่าไหร่ เรื่องชู้สาวหรือมือที่สาม ฉันก็เลยไม่เคยมีให้เอื้อยกลุ้มใจเสียที
หึ..ใช่สิเนอะก็เพราะนิสัยใจคอของฉันเป็นเหมือนไฟที่โดนเชื้อเพลิงนิดๆหน่อยๆก็ลุกก็ไหม้ โมโหโทโสทุกอย่างที่ไม่ชอบนี่ล่ะ เลยอยู่ใกล้คนอื่นๆไม่ค่อยได้ แล้วก็กลายเป็นไม่สนใจใครเลยแม้จะมีคนมาจีบมากมายขนาดไหนก็ตาม ก็จะมีเอื้อยนี่กระมังที่เป็นเหมือนน้ำเย็นคอยช่วยดับคอยชะโลมความร้อนรุ่มไว้ไม่ให้มันลุกกระพรือไปเวลาที่ฉันเกรี้ยวกราด ฉันก็เลยรู้สึกดีและเริ่มหลงรักเธอมาเรื่อยๆตั้งแต่ตอนนั้น
เอ..แล้วเอื้อยล่ะ?? เวลาที่น้ำเย็นอย่างเอื้อยโมโหล่ะจะเป็นอย่างไร..ฉันคิ้วขมวด พยายามคิดถึงตอนที่เธอโมโห เท่าที่จำได้แม้เธอไม่เคยหึงแต่ถ้าทำให้เธอโกรธเธอจะเด็ดขาดและปล่อยทิ้งทุกสิ่ง เธอพร้อมที่จะเดินหนีโดยไม่หันหลังกลับมามองเลยเหมือนตอนที่เธอตัดสินใจคบกับกรตอนนั้น คิดถึงใบหน้านิ่งๆของเอื้อยเวลาที่เธอไม่พอใจขึ้นมาแล้วฉันก็เริ่มกลัว คงไม่ดีแน่ถ้าจะปล่อยให้เธอเข้าใจฉันผิดอย่างนี้ ฉันจับสร้อยคอปลาโลมามาอธิฐานขอให้ความรักฉันที่มีต่อเอื้อยช่วยทำให้เอื้อยไม่คิดมากที ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาลองส่งข้อความไลน์เพื่อง้อเอื้อย แต่ยังไม่ทันทำอะไรอยู่ๆก็มีสายโทรเข้ามาก่อน เอื้อยนั่นเอง ฉันตะกุกตะกักรีบกดรับสายทันทีที่เห็นแค่ชื่อ..

อยู่ไหนนี่” เสียงดุๆของเอื้อยดังมาตามสาย
อยู่หอ..เค้ากำลังจะไลน์ไปหาอยู่เลย” ฉันเสียงอ่อน พยายามจะอ้อนเธอด้วยการเสนอความดีที่ว่ากำลังจะส่งข้อความหาก่อนหน้านั้น
เหรอ..อีกครึ่งชั่วโมงจะไปรับ รีบแต่งตัวออกมารออยู่หน้าหอด้วย..”
อ้าว ไหนว่า..” ยังไม่ทันที่ฉันจะถามต่อ เอื้อยก็พูดตัดบท “เออน่ารีบๆแต่งตัว เดี๋ยวค่อยคุยกัน เค้าจะขับรถไปเปลี่ยนชุดอยู่หอก่อน แค่นี้นะ” ฉันอึ้ง นั่งนึกถึงสิ่งที่เธอพูดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นกระโดดโลดเต้นจับสร้อยปลาโลมาขึ้นมาจูบด้วยความดีใจที่เห็นเอื้อยหายงอนโดยที่ตัวเองยังไม่ทันได้ง้ออะไรเลย...

/////////////////////////////////////////

คาปูชิโน่2 โกโก้ปั่น1 นมสด1 ปังปิ้งนมสด2ค่ะ..” ฉันเงยหน้าจากเมนูขึ้นมายิ้มหวานให้พี่ที่รับออร์เดอร์ ก่อนจะส่งคืนเมนูให้เขา ตอนนี้เมื่อฉันหันกลับมาที่โต๊ะ ภาพหญิงสาวหน้าหวานคนที่อยู่ต่อหน้า นั่งหันซ้ายหันขวา ทั้งตื่นเต้นและชื่นชมความงามในร้านนมที่ฉันพามาอยู่ก็ทำให้ฉันอมยิ้มทันที..
ก่อนหน้านั้น หลังจากที่เอื้อยโทรมา ฉันก็รีบแต่งตัวด้วยชุดกางเกงยีนส์เอวสูงสีฟ้าซีดและเสื้อเชิตลายหมากรุกดำแดงมองดูสวยทะมัดมะแมงแบบที่เอื้อยชอบ ฉันทั้งแต่งทั้งคิดว่าฉันจะพาเธอไปขับรถเล่นที่ไหนดีที่จะทำให้เธออารมณ์ดีขึ้นมาได้บ้าง ในระหว่างนั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นกล้องตัวที่ณิชาให้ยืมมาเลยกลายเป็นมีไอเดียขึ้นมาว่าบางทีเอื้อยอาจจะอารมณ์ดีขึ้นมาได้บ้าง หากฉันพาเธอไปนั่งกินนมร้านที่วิวสวยๆนั่นแล้วถ่ายภาพเธอด้วย ใช่สิ..เอื้อยต้องชอบแน่ๆแม่ดาราคนสวยของฉัน เธอต้องดีใจที่ได้เริ่มงานถ่ายแบบจำเป็นครั้งแรกกับคนที่เธอรักแน่ๆ ฉันทั้งคิดทั้งยิ้มก่อนจะรีบหยิบจับกล้องตัวนั้นแล้วพกมันมานั่งกินในร้านนมที่เอื้อยกำลังตื่นตาตื่นใจนี้ด้วย...

ร้านสวยดีนะ รู้จักร้านนี้ได้ยังไง ” คนสวยในชุดกระโปรงระบายสั้นๆสีขาวสะอาดตาหันมายิ้มให้ตอนที่ถาม ฉันอึ้ง นั่งกระพริบตาปริบๆทันทีที่ได้ยินคำถามแรกที่ฉันลืมคิดไปซะสนิทเลยว่า..แล้วเอื้อยจะไม่สงสัยเหรอ...
เอ่อ..คือ เคยมากับเพื่อนน่ะ”
เพื่อน??? อย่าบอกนะว่าณิชา”เอื้อยเสียงสูง นั่นไง..จากอารมณ์ดีๆตอนนี้เธอกำลังเจอประเด็นใหม่เกี่ยวกับฉันอีกแล้ว
เอ่อ..ก็ใช่..โอ้ย!!เอื้อยอย่าวกเข้าเรื่องนี้อีกได้มั้ย ขอร้องล่ะนั่งคุยกันดีๆก่อนได้มั้ยอุตส่าห์มีเวลาอยู่ด้วยกันอย่างนี้แล้วน่ะ” ฉันคิ้วขมวดทำหน้าอ้อนเอื้อย เธอก็คิ้วขมวด แต่ก็พยายามปรับสีหน้าและน้ำเสียงเปลี่ยนเรื่องคุยกับฉันต่อ “ไม่ได้เรียนเหรอวันนี้..ทำไมได้นอนทั้งห้องกันอย่างนั้น..”
อืม..ใช่อาจารย์ไม่เข้าน่ะ ก็แบบว่านั่งรอตั้งนานแล้วแอร์มันก็เย็น ก็เลยเผลอหลับน่ะ คงเพราะเหนื่อยสะสมมาทั้งสัปดาห์กันทุกคนด้วย..” ฉันอธิบายความเป็นมาของภาพหลับทั้งชั้นก่อนจะถามคนสวยคืนไปบ้าง.. “แล้วเอื้อยล่ะไหนบอกมีเรียนบ่าย..” เธอหัวเราะหึ ทำหน้าเฉยชา ไม่แคร์ไม่สนโลกก่อนจะตอบว่า..
ก็มีเรียน แต่เค้าไม่ได้เรียนเองนี่ล่ะ เค้าเข้าไปเช็คชื่อแล้วก็ออกมาเลย วันนี้ไม่อยากเรียนน่ะ ใจคอไม่ดียังไงไม่รู้” จึ๊ก..ฉันหุบยิ้มทันทีที่ได้ยินประโยคนี้
กำลังจะพูดเข้าเรื่องนั้นอีกแล้วใช่มั้ย..” ฉันถอนหายใจใหญ่ ก่อนจะคิ้วขมวดสั่งสอนเด็กเกเรแอบทำตัวเหลวไหลด้วยความไม่พอใจทันที “ทำไม ใจคอไม่ดียังไง ไม่อยากเรียนก็เลยโดดเรียนอย่างนี้เนี่ยนะ ถ้าแม่รู้เข้าจะทำยังไง ทำอะไรทำไมไม่คิดถึงแม่เลยอ่ะ ไหนว่ามาสิใจคอไม่ดียังไง มันมีอะไรนักหนา”
เอื้อยนั่งนิ่งตีหน้าตาย เธอไม่พูดอะไรตอบจนฉันต้องถามย้ำ “หึ ว่าไงทำไมไม่พูดอะไร นี่อย่าบอกนะว่าจะโดดเรียนมาเพื่อจับผิดเค้าอย่างนั้น”
ถ้ามีความผิดให้จับก็จะจับ..” หญิงสาวว่า ประโยคคำพูดแถๆกวนๆอย่างนั้นทำให้ฉันหัวร้อนทันทีที่ได้ฟัง
อ้อเหรอ มีความผิดให้จับก็จะจับอย่างนั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นชาตินี้ทั้งชาติก็คงไม่ได้จับเค้าหรอกนะ เค้าไม่ใช่คนอย่างนั้นเอื้อยก็รู้ ถ้าเค้าเป็นคนเจ้าชู้หลายใจป่านนี้เค้าคงไม่ได้คบแค่เอื้อยคนเดียวแล้วมั้ง อย่าลืมสิว่าเอื้อยคือแฟนคนแรกของเค้า ตั้งแต่เด็กจนมาถึงม.6นี่เค้าพึ่งจะมีแฟนคนแรกทั้งๆที่คนมาจีบเค้าก็เยอะแยะคิดว่ามันเป็นเพราะอะไรล่ะ ห๊ะ!! ถามหน่อยซิ เค้ามันดูเหมือนคนเจ้าชู้ขนาดนั้นเลยเร๊อะ!!!”
ก็ยังไม่ทันว่าเจ้าชู้อะไรเล้ย ร้อนตัวหรือเปล่า” เอื้อยยิ้ม หน้านิ่งๆของเธอยิ่งดูยิ่งกวนอารมณ์โมโหฉันไปใหญ่
งั้นจับผิดอะไรมิทราบ!!”
ก็เปล่า..ก็ถึงบอกไงถ้ามีให้จับก็จะจับ ถ้าไม่มีให้จับก็แล้วไป”
อ๋อนี่กวนเหรอ..”ฉันยกนิ้วขึ้นชี้หน้าเอื้อย
ก็เปล่า..ก็พูดจริง ถ้าไม่ได้มีความผิดก็ไม่ต้องร้อนตัวสิ อยู่เฉยๆก็จบ รุกรี้รุกรนให้เป็นพิรุธทำไม..”ฉันพยายามควบคุมลมหายใจ พยายามหายใจเข้าลึกๆเพื่อสงบสติอารมณ์ของตัวเองไว้...
...ให้ตายเถอะยามนี้ ทำไมคนที่ช่วยให้อารมณ์ฉันผ่อนคลายได้ กลายเป็นมาเพิ่มความโมโหให้ฉันเสียเองแล้วนะ ฉันกลั้นโมโหก่อนจะยกมือขึ้นมาอย่าศึก
เอื้อยพอเหอะ เราไม่เคยทะเลาะกันด้วยเรื่องอย่างนี้สักที เค้าว่ามันไร้สาระนะ เรา..มาคุยกันดีๆเถอะ เค้ารู้สึกไม่ดีเลยที่เห็นเอื้อยเป็นแบบนี้...” เอื้อยนิ่ง เธอเบือนหน้าหนีไปสงบสติอารมณ์ของเธออยู่ครู่นึง ก่อนจะถอนหายใจแล้วหันมาพยายามยิ้มให้ฉัน..
ขอโทษ.. เค้าอาจจะเครียดเรื่องแม่ค้างน่ะ เค้าก็เลยงี่เง่าไปหน่อย เค้าแค่รู้สึกว่าตอนนี้เค้าต้องการให้เจ้ยอยู่ข้างๆเค้าแค่นั้น เฮ้อ..บางทีเค้าอาจจะแค่หวงเจ้ยก็ได้เพราะเค้าไม่เคยเจอใครที่อยู่ใกล้ชิดเจ้ยในแบบที่เค้าเคยเป็นเสียที มันก็เลยทำให้เค้าแอบกลัวไม่ได้ว่าเพื่อนเจ้ยคนนั้นจะเข้ามาในชีวิตเจ้ยเหมือนอย่างที่เค้าเป็นหรือเปล่า”
ไม่หรอกน่า อย่าคิดมาสิ มันไม่มีอะไรหรอก”ฉันเอื้อมมือไปกุมมือเอื้อยไว้ ได้ผลหญิงสาวยิ้มรับแล้วยกมืออีกข้างขึ้นมากุมมือฉันไว้เหมือนกัน....

ไม่นานหลังจากนั้นบรรดาเครื่องดื่มต่างๆก็ถูกเสริฟวางเรียงรายเต็มอยู่บนโต๊ะ ฉันร้องห้ามเอื้อยตอนที่เธอกำลังจะยกแก้วกาแฟขึ้นดื่ม “เดี๋ยวสิ ถ่ายรูปก่อน..”
อ๋อ...เอาสิ” เอื้อยว่า เธอก้มลงหาโทรศัพท์ของเธอขึ้นมาเตรียมจะถ่ายเหมือนกันแต่ต้องมาชะงักเมื่อเห็นฉันหยิบกล้องตัวใหญ่สีดำทะมึนขึ้นมาเตรียมต่อหน้าเธอก่อน..
เอ๋..เจ้ยมีกล้องอย่างนี้ด้วยเหรอ ทำไมเค้าไม่เห็นรู้เลย” เธอนั่งอึ้งมองกล้องตัวนั้นด้วยความสงสัย
เอ่อ กล้องเพื่อนเค้าน่ะ พอดีเพื่อนให้ยืมมาให้ก่อน คืองานคณะเค้ามันต้องได้ถ่ายรูปงานถ่ายภาพตีฟเอาไว้ดูด้วยน่ะก็เลย..เอ่อ ก็เลยเอาของเพื่อนมาใช้ก่อนน่ะ..”
เหรอ..เพื่อนเจ้ยใจดีจัง กล้องตั้งแพงให้ยืมใช้เฉยๆด้วย..” หญิงสาวนั่งนิ่งเหมือนต้องการจับจ้องหาคำตอบอะไรสักอย่างจากแววตาฉัน “ใครล่ะ..ณิชาเหรอ”
เปล่า เพื่อนคนอื่น เอ่อ..นัทแว่นน่ะ ไม่ใช่ณิชาหรอก..” ฉันหลุดปากพูดโกหกเอื้อยเสียแล้ว ทำไงได้ฉันแค่ไม่อยากให้เธอคิดมากเท่านั้นเอง
เลิกคิดมากเรื่องคนอื่นซักทีเถอะนะ ที่เค้าชวนเอื้อยมาที่นี่ก็เพราะเห็นว่าที่นี่บรรยากาศดีวิวสวยเค้าเลยอยากถ่ายรูปเอื้อย เค้าอยากให้เอื้อยเป็นนางแบบคนแรกของเค้าเข้าใจมั้ย เห็นบอกว่าจบไปแล้วจะไปเป็นดาราไม่ใช่เหรอ ตอนนี้ก็มาฝึกประสบการณ์กับตากล้องมือใหม่อย่างเค้าก่อนดีมั้ย นะ..แล้วก็เลิกพูดเข้าประเด็นนั้นสักทีเถอะน่ะเค้าเบื่อแล้ว แล้วก็ยิ้มด้วย เดี๋ยวภาพไม่สวยเข้าใจมั้ย..”ฉันยิ้ม ก่อนจะยกกล้องในมือขึ้นลองจับโฟกัสคนสวยที่เริ่มยิ้มออกเมื่อเห็นว่าฉันพูดดีเอาใจเธออย่างนั้น แม้รอยยิ้มที่ปรากฏในภาพถ่ายจะแฝงไว้ด้วยความรู้สึกไม่สบายใจของหญิงสาวแววตาหม่นๆตลอดเวลาก็ตาม …

จากเหตุการณ์ในวันนั้นดูเหมือนนางฟ้าผู้มองโลกในแง่ดีเสมอจะเริ่มมุมมองบางอย่างต่อฉันที่เปลี่ยนไป ไม่สิ..ไม่ใช่เฉพาะมุมมองด้วย เธอกำลังเปลี่ยนไปทั้งหมดทั้งความคิด พฤติกรรม หรือแม้แต่การแสดงออกที่มีต่อฉัน..

วันอังคาร ฉันวิ่งกระหืดกระกระหอบ หอบกระดานสเก็ตแบบและกระเป๋าลงมาหาเอื้อยที่มารอรับฉันอยู่หน้าหอตั้งแต่เช้าๆ กลิ่นน้ำหอมกลิ่นแปลกหอมฟุ้งรุนแรงพุ่งเข้าจมูกทันทีที่ฉันเปิดประตูเข้าไปในรถ ฉันทำจมูกฟุดฟิดๆดมหาที่มาของกลิ่นไปเรื่อยๆจนไปเจอต้นตอว่า..มันมาจากหญิงสาวคนขับที่หันหน้าตรงไม่มองฉันอยู่ตอนนี้ ซึ่งทันทีที่เธอหันมา ความประหลาดใจน้อยๆก็เกิดขึ้นกับฉันทันที..
เอ๋???วันนี้รีดผมตรงด้วยนี่..” ฉันอึ้งนั่งมองเอื้อยยักคิ้วยิ้มสวยรับก่อนจะเริ่มคิดได้ว่า เฮ้ย..จริงๆไม่ใช่แค่ทรงผมรีดตรงยาวเหยียดเท่านั้นที่เปลี่ยนแปลง วันนี้เอื้อยยังแต่งหน้าเข้มมาด้วย ฉันมองริมฝีปากกระจับสวยสีแดงกับส่วนประกอบต่างๆของใบหน้าที่เธอบรรจงลงสีให้แลดูเข้มมองดูสวยคมแปลกตากว่าทุกวัน จนรับรู้ได้เลยว่าเธอแต่งหน้ามาเรียนด้วย..
..ไม่สิ ไม่ใช่แค่หน้าตาและทรงผมเท่านั้น ตอนนี้แม้แต่เสื้อผ้าของเธอก็ยังดูแปลกๆ ฉันมองดูเสื้อนักศึกษาที่เธอใส่ มันคับติ้วรัดหน้าอกหน้าใจของเธอนูนสูงขึ้นมา มองเห็นบราสีดำผ่านทางร่องกระดุมเสื้อนักศึกษาชัดเจนขึ้นทันทีที่เธอกำลังพยายามเหยียดตัวตรงอย่างนี้....
อึ๊ก..ฉันยกมือขึ้นปิดจมูกทันทีที่เริ่มรู้สึกว่ามีความร้อนวูบวาบๆผ่านมาตามช่องจมูกของฉัน ก่อนจะพยายามใช้มืออีกข้างควานหาผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าขึ้นมาประคบจมูกไว้ ตอนที่คิดได้ว่าเลือดกำเดาของฉันกำลังจะไหลแล้ว...
เฮ้ย!!เจ้ยเป็นอะไรคะ” เอื้อยตาโต เธอท้วงฉันทันทีที่เห็นฉันแหงนหน้าพิงเบาะรถแล้วเอาผ้าเช็ดหน้าประคบจมูกไว้อย่างนั้น
เดี๋ยวๆไม่เป็นไรไม่เป็นไร แค่รู้สึกวินๆเวียนๆเฉยๆเอื้อยนั่งอยู่เฉยๆตรงนั้นล่ะไม่ต้องก้มด้วย” ฉันพยายามดันเอื้อยให้กลับไปนั่งที่เบาะตัวเอง ก่อนจะพยายามหายใจเข้าลึกๆลึกๆจนเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังเริ่มปรับตัวได้แล้ว
ใส่ดันทรงใหม่มาเหรอ ทำไมวันนี้มันดูแปลกๆ..” ฉันทั้งถามทั้งก้มลงสำรวจผ้าเช็ดหน้า โชคดีที่มันยังขาวสะอาดดี ไม่มีร่องรอยของเลือดแดงใดๆเลย “หืม..” เอื้อยหน้าแดงก้มหน้าลงมองหน้าอกตัวเองก่อนจะพยักหน้ารับอย่างอายๆ
ใช่..มันแปลกเหรอ แปลกยังไง” เอื้อยว่าหน้าเธอก็ยังแดงระเรื่ออยู่ตอนที่ถาม “ก็..ก็..ก็มันพุ่งๆพิกล” ฉันหน้าแดงแจ๋พยายามอธิบายถึง “มัน” ที่ฉันก็เคยเห็นของจริงมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่ไหงครั้งนี้แค่มองผ่านจากเสื้อนักศึกษาแค่นี้ มันกลับให้ความรู้สึกว่ามันพุ่งจนแทบจะทะลักออกมาจากร่องกระดุมเสื้อนักศึกษาที่กำลังจะปริไม่ปริแหล่อยู่แล้วตอนนี้
อื้ม..บราตัวใหม่กับเสื้อนักศึกษาตัวใหม่น่ะ พอดีเมื่อวานลองเข้าไปซื้อมาดู อยากลองเปลี่ยนดูบ้างน่ะ”
รวมถึงทรงผมกับเอ่อ..แต่งหน้าด้วยเหรอ” ฉันรีบถาม มือก็พยายามอธิบายถึงความเปลี่ยนแปลงที่เห็นอยู่บนใบหน้าของเธอไป..
ใช่..เอ่อ..คือลองแต่งดูนะ เห็นเพื่อนๆที่คณะเค้าแต่งสไตล์นี้ไปเรียนกันเยอะ เค้าก็เลยลองบ้าง คือ..ไม่รู้สิเบื่อหน้าตัวเองอ่ะ ก็เลยอยากลองเปลี่ยนดูเฉยๆ” หญิงสาวว่า เธอยักไหล่ส่ายหน้าตอนที่บอกว่าเบื่อ
เบื่อเหรอ หน้าเอื้อยมีอะไรให้เบื่ออ่ะ” ฉันหัวเราะหึๆทันทีที่ได้ยินเอื้อยว่า..

...โหย ให้ตายเถอะอยากมีโมเมนต์ที่ว่าสวยจนเบื่อหน้าตัวเองบ้างจังเลยอ่ะ..

อยากลองมองโลกได้ครึ่งเลนส์บ้างป่ะล่ะจะได้หายเบื่อ” ฉันแซวเอื้อยตอนที่แกล้งแขวะเรื่องตาชั้นครึ่งของตัวเอง แม้ฉันจะว่ามันไม่ค่อยสวยแต่ฉันก็ยังอยู่กับมันมาได้จนอายุเกือบจะยี่สิบโดยที่ไม่มีคำว่าเบื่อเลย
เจ้ยประชดเค้าเหรอ” เอื้อยเม้มปากส่งสายตางอนๆและน้ำเสียงตัดพ้อฉัน.. “..อะไรกันคำแรกที่หวังจะได้ยินจากแฟนตัวเองก็ยังไม่ได้ยินเลย แล้วมิหนำซ้ำยังมาประชดประชันเค้าอีกน่ะ แต่ก่อนไม่เห็นเป็นอย่างนี้เลยนะ นี่จริงๆต้องชมเค้าแล้วนะ แต่นี่ไม่อะไรเลยน่ะ เปลี่ยนไปเลยนะตั้งแต่ได้เจอ....”
เดี๋ยว!!..หยุด!!..”ฉันยกมือขึ้นรีบเบรคเอื้อย “กำลังจะวกไปเรื่องนั้นอีกแล้วใช่มั้ย นี่เค้ายังไม่ทันได้ชม ไม่ใช่ไม่ชมนะ ใจเย็นก่อนดิรีบหัวร้อนไปไหนนี่ ฟังนะ เอื้อยสวยและสวยมาก มากแบบกอไก่ล้านๆตัวเลยรู้ตัวป่ะ”
ประชด!!” เอื้อยมองแรง เธอก็เบรคฉันทันทีที่ได้ยินฉันว่า “เอาดีๆพูดดีๆ..”
ก็สวยจริง”ฉันยิ้มก่อนจะเอื้อมมือไปลูบผมเอื้อย “ต่อให้แต่งสวยกว่านี้หรือขี้เหล่กว่านี้เอื้อยก็ยังสวยในสายตาเค้าเหมือนเดิม เค้าเคยอิจฉาในความสวยเอื้อยวันแรกยังไง ตอนนี้เค้าก็ยังอิจฉาอยู่อย่างนั้นเหมือนเดิมล่ะ อย่าลืมสิว่าเอื้อยเป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้เค้าเริ่มรู้สึกรักผู้หญิงด้วยกันได้นะ” เอื้อยส่งสายตางอนมองค้อนฉันก่อนจะหันไปบังคับพวงมาลัยใบหน้านิ่งๆ...
แล้วถ้าวันนึงมีคนสวยกว่าเค้ามาชอบเจ้ยล่ะ เจ้ยจะทำยังไง”ฉันอมยิ้ม เลื่อนมือลงมาจับแก้มเธอด้วยความเอ็นดูทันทีที่ได้ยินประโยคบอกใบ้เล็กๆว่าเธอกำลังกลัวฉันจะปันใจให้คนอื่น
ไม่มีหรอก และถึงมีเค้าก็ไม่ชอบเหมือนเดิมนั่นล่ะ เชื่อใจเค้าเถอะนะ เค้าไม่ใช่คนอย่างนั้นเอื้อยน่าจะรู้..” น้ำเสียงหนักแน่นของฉันคงจะเรียกกำลังใจจากเธอได้บ้าง หญิงสาวยิ้มออก เธอยื่นมือขึ้นมากุมมือฉันไว้แล้วใช้แก้มคลอเคลียมันเบาๆด้วยความโล่งใจลึกๆของเธอ ก่อนจะออกรถเดินทางไปพาฉันไปส่งที่คณะหลังจากนั้น...

พักเที่ยงวันนั้น ฉันเดินรีบเร่งออกจากคณะด้วยต้องการมาให้ทันเวลานัดทานข้าวเที่ยงกับเอื้อยไว้ แต่ยังไม่ทันเดินพ้นจากหน้าตึกเท่าไหร่ หญิงสาวคนนั้นก็รีบเดินฉับๆเข้ามาขนาบข้างฉันไว้แล้ว
ป่ะ ไปกินข้าวกัน” เอื้อยพูด มือเธอก็ยื่นมาดึงมือฉันไป หน้าเธอก็แดงระเรื่อตอนที่สบตากับฉัน
ห๊าาา..ไหงวันนี้เดินออกจากรถมารับได้ล่ะ” ฉันอึ้งเหลียวมองหน้าเอื้อยด้วยความงงทันทีที่เห็นตัวเธอเป็นๆยืนขนาบฉันบนฟุตบาทหน้าคณะตอนนี้ เอ..ปกติแล้วเอื้อยจะอายคน เธอไม่ค่อยลงมาจากรถเลยเวลาที่เธอมารับมาส่งฉันอย่างนี้ แล้วนี่..เธอเดินมาถึงนี่ได้ยังไง..
เอ่อ..คือเค้าหิวน่ะ รอนานแล้วก็เลยลองเดินจากรถมาดูเฉยๆ ว่าเจ้ยทำอะไรอยู่”
ทำอะไรอยู่อย่างนั้นเหรอ??..”คำตอบมีพิรุธของเอื้อยนั้นทำฉันถามย้อนทันทีที่คิดได้ว่าปกตินานกว่านี้ก็ยังรอได้โดยไม่สงสัยเลย แม้ในหัวจะมีคำตอบอยู่แล้วว่า..เธอคงแค่ต้องการเดินมาเพื่อจับผิดฉันเท่านั้นเอง นี่คงอยากรู้ล่ะสิว่าฉันจะเดินไปไหนมาไหนกับใครยังไงในคณะ หรือเธอคงคิดว่าฉันจะเดินออกมากับณิชาอย่างนั้นใช่มั้ย ฉันเหล่มองเอื้อยก่อนจะหัวเราะหึๆทันทีที่รู้ทันแผนการร้ายของเธอ..
หึ..นับว่าเป็นโชคดีที่ยัยณิชาโดดเรียนคาบเช้าวันนี้ ไม่อย่างนั้นเอื้อยคงจะได้เจอภาพยัยณิชาวิ่งกระหืดกระหอบตามติดแจลงมาจากคณะเหมือนทุกๆวันนั่นอีกแน่ๆ ภาพยัยเจ๊ณิชาแอบย่องเดินถือกระเป๋าออกจากห้องเลคเชอร์ตอนที่เธอขานชื่อตัวเองไปไม่เท่าไหร่ปรากฏอีกครั้ง นึกถึงหน้าตากระล่อนตอนที่เธอทำเป็นมาเรียกฉันว่า “ที่รัก” ตามเรื่องที่เพื่อนโพสภาพแซวเรื่องคู่นอนเมื่อวานแล้วก็อดที่จะหมั่นไส้ไม่ได้ ชิ..สมน้ำหน้า นี่เธอคงเคลียร์ปัญหาชีวิตยังไม่ลงตัวอีกแน่ๆก็เลยโดดเรียนคาบเช้าไปดื้อๆอย่างนั้น...

เสียงผิวปากหวีดวิ้วดังเข้ามาเรียกสติฉันอีกครั้งนึง ฉันหันไปตามเสียงมันเป็นเสียงของรุ่นพี่ผู้ชายในคณะที่นั่งจับกลุ่มคุยอยู่ที่สวนด้านหน้า5-6คน ตอนนี้พวกเขาพากันเหล่มองมาที่ฉันกับเอื้อยด้วยสายตากรุ้มกริ่ม..
น้องจอเจ้ยก็สวย เพื่อนน้องจอเจ้ยก็ยิ่งสวย..”เสียงหนึ่งแว่วดังผ่านมา ซึ่งเอื้อยก็หน้าแดงทันทีที่ได้ยิน ฉันชำเรืองมองสายตาพี่ๆพวกนั้นมันเหมือนจะมองต่ำๆมาแถวๆเนินขาของเอื้อยด้วย โอ้ใช่..พี่พวกนั้นต้องมองขายาวๆขาวเนียนของเอื้อยแน่นอนสิ ฉันคิ้วขมวดหันมามองกระโปรงของเอื้อยทันทีที่นึกขึ้นได้ว่าวันนี้แม่เจ้าประคุณก็ดันใส่กระโปรงทรงAสั้นจู๋เข้าชุดกับเสื้อนักศึกษารัดรูปที่เห็นเนื้อนมพุ่งเมื่อเช้านั่นอีก ให้ตายเถอะ..เพราะมัวแต่นั่งมองแต่ช่วงบนของเธอเลยลืมมองไปเลยว่าวันนี้ช่วงล่างของเธอก็จัดมาเต็มไม่แพ้กันเลย ฉันเอามือกุมขมับทันทีที่นึกได้ นี่ถ้าไม่ลงจากรถมาก็จะไม่เห็นชัดขนาดนี้เลยน่ะนี่ ฉันคิ้วขมวดนึกตำหนิเอื้อยในใจ ก่อนจะได้ยินเสียงแซวแว่วๆดังมาเป็นเพลงอีกครั้งหนึ่ง...
ดูเธอออกจะเซ็กซี่ยามที่..ยามเธอส่ายเอว ส่ายเอว.. ซึ่งทันทีที่เอื้อยได้ยินเสียงฮัมเพลงนี้ เธอก็คงจะคิดเรื่องกระโปรงสั้นจู๋ของเธอได้พอดี ตอนนี้เลยกลายเป็นรีบขยับขาชิดกัน ทั้งยื่นมือทั้งสองข้างลงมาพยายามดึงรั้นชายกระโปรงทรงเอของตัวเองลงมาไว้ โดยหวังว่าผ้าพวกนั้นมันคงจะยืดตามแรงมือที่เธอดึงๆรั้งๆอย่างนี้บ้าง

...หึ..คงจะยืดลงมาอยู่หรอกนะ.. ฉันตาขวางรีบยื่นกระดานสเก๊ตซ์แบบไปให้เอื้อยถือ

เอ้า..เอาไปบังกระโปรงไว้ ทีหลังอย่าใส่มาสั้นขนาดนี้นะ มันโป๊เกินไป เค้าไม่ได้ชอบ” ฉันทำเสียงดุ ตาก็จ้องตำหนิด้วยความหวงเนื้อหวงตัวแฟนสาวของตัวเอง กลัวเธอจะกลายเป็นของหวานอาหารตาให้เสือสิงห์พวกนี้มองอิ่มกันฟรีๆอย่างนั้น เอื้อยหน้าแดงกร่ำ เธอพยักหน้าน้อมรับด้วยความรู้สึกผิด ก่อนจะรับกระดานนั้นไปบังกระโปรงไว้แล้วรีบเดินไปขึ้นรถกับฉันทันที...

//////////////////////////////////////////////

เฮ้อ.. ผมคืนทรงอีกแล้วอ่ะ อุตส่าห์นั่งรีดทั้งเช้า..”เสียงนอยด์ๆของเอื้อยดังขึ้นตอนที่เธอส่องกระจกบานเล็กๆที่เธอหยิบขึ้นมาหลังจากที่นั่งอยู่บนโต๊ะทานข้าวแล้ว ฉันอมยิ้มมองดูเอื้อยคิ้วขมวดพยายามใช้มือดึงผมหยักศกของเธอยืดลงมาตรงๆด้วยความเซ็งแสนเซ็งของเธอไป
ไม่ต้องไปดึงมันหรอกน่า ปล่อยไว้อย่างนั้นล่ะ ผมเอื้อยธรรมชาติน่ะสวยจะตาย” เอื้อยหันมาเม้มปากมองฉัน
ไม่เชื่อหรอก คนผมตรงสิสวย”ฉันหัวเราะรีบต่อล้อต่อเถียงเธอทันที “อ้อเหรอ..แล้วทำไมเค้าถึงนิยมม้วนผมเป็นลอนหยักศกแบบเอื้อยกันล่ะ นี่ขนาดเค้า เค้ายังอยากให้ผมเป็นลอนเหมือนเอื้อยเลยเห็นมั้ย" ฉันจับผมยุ่งๆฟูๆของตัวเองขึ้นมาโชว์เอื้อย
ก็เลยปล่อยไว้ฟูๆอย่างนั้น???” เอื้อยว่า เธอยิ้มออกทันทีที่หันมาพินิจพิเคราะห์ทรงผมของฉันที่ช่วงนี้ฉันไม่ค่อยได้ดูแลมันเท่าไหร่ สระผมเสร็จฉันก็ไม่ได้ไดร์อะไรมีแต่ปล่อยให้แห้งเอง มิหนำซ้ำยังนอนทับผมด้วยความง่วงแสนง่วงทั้งๆที่ผมตัวเองยังเปียก ตื่นเช้ามาก็เลยได้ผมทรงใหม่มองดูคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นทรงเดียวกันกับเอื้อยอย่างนี้
หวีผมบ้างป่ะนั่น” เอื้อยว่าตาก็จ้องเขม็งไปที่ผมของฉันต่อ
หวีสิ หวีตลอดล่ะ แต่เข้าใจป่ะคนนอนทับผมตัวเองตอนไม่ทันแห้งอ่ะ มันก็เลยได้ทรงผมเหนือธรรมชาติอย่างนี้ล่ะ” เอื้อยหัวเราะหึๆที่ได้ยินมุกฝืดๆของฉันก่อนจะหยิบผมเธอขึ้นมามองด้วยความเซ็งของเธอไปต่อ..
อุตส่าห์พยายามแต่งตัวสวย แต่ก็อยู่ได้ไม่เท่าไหร่ก็เป็นเหมือนเดิมซะแล้ว อย่างนี้จะเอาอะไรไปไฟรท์กับเขาได้ล่ะนี่..”
อะไร??? จะไปไฟรท์อะไรกับใคร..”ฉันคิ้วขมวดเหล่ตามองเอื้อยทันทีที่ได้ยินเสียงบ่นลอยๆอย่างนั้น “ณิชาเหรอ..นี่อย่าบอกนะว่าที่แต่งตัวแปลกๆมาวันนี้ก็เพราะอยากจะไฟรท์กับเขาน่ะ โหย..แล้วถามเขาหรือยังว่าเขาอยากจะมาไฟรท์อะไรกับเอื้อยหรือเปล่านี่ เขาไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเล้ย แล้วเค้าเองก็ไม่ได้ดีขนาดจะมีคนมาเปิดศึกไฟรท์แย่งกันอย่างนั้นหรอกน่า เลิกคิดมากเถอะนะ”ฉันทั้งพูดทั้งขำ อารมณ์อยากปลอบใจคนรักของตัวเองให้เลิกคิดมากเสียที ทั้งเอื้อมมือไปยีผมเธอด้วยความเอ็นดูที่ยอมลงทุนแต่งตัวเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นคนละลุคเพื่อฉันซะขนาดนี้
นี่เอื้อยหึงเค้าใช่มั้ย..” ฉันยิ้มก่อนจะก้มหน้ากรุ่มกริ่มแซวหยอกเธอไปด้วยประโยคที่ครั้งนึงเธอก็เคยพูดกับฉันเหมือนๆกัน “ดีจังทำให้คนหึงได้บ่อยๆ...”
มันไม่ดีเท่าไหร่หรอก อย่าพยายามทำให้เค้าหึงเจ้ยบ่อยๆเลย บางทีเจ้ยอาจจะไม่อยากรักเค้าเลยก็ได้ ถ้าเจอแรงหึงของเค้าน่ะ..” หญิงสาวว่า เธอจ้องหน้าฉันด้วยแววตาซีเรียสไป จนฉันต้องยื่นมือทั้งสองข้างไปกุมมือเธอ บรรเทาอาการวิตกกังวลของเธอไว้ก่อนที่มันจะลุกลามมากกว่านี้...
เข้าใจนะว่าหวงเค้า หึงเค้าน่ะ แต่มันยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย มีแต่ตัวเอื้อยเองเท่านั้นล่ะที่ระแวงและคิดมากไปเองน่ะ เป็นตัวของตัวเองเถอะนะไม่มีใครเขาอยากมาไฟรท์อะไรกับเอื้อยหรอก..” เอื้อยหัวเราะหึ เธอถอนหายใจพยักหน้ารับ หญิงสาวนั่งนิ่งเหมือนคิดอะไรอยู่ครู่นึงก่อนจะแอบสารภาพความรู้สึกกังวลใจของเธอออกมาหลังจากนั้น....

ไม่รู้สิ เค้าแค่รู้สึกว่ามันต้องมีอะไรบางอย่างอยู่ในนั้น ไม่รู้ว่าเจ้ยจะเป็นเหมือนเค้ามั้ยนะ เรื่องอย่างนี้มันไวต่อความรู้สึกของผู้หญิงอย่างเรา มันอาจจะเป็นเซนส์ของคนที่รักกันก็ได้ ก็คงจะเหมือนเจ้ยตอนที่หึงและกังวลเรื่องเค้ากับอันตอนนั้นล่ะมั้ง..”
ฉันนั่งนิ่งฟัง แม้ในใจจะคิดตามและเห็นภาพในยามที่ฉันหึงหวงนั้นชัดเจนขนาดไหน แต่ก็ไม่ได้แสดงความเห็นด้วยออกมา ได้แต่พยายามทำตัวสุขุมไว้เพราะอยากให้เธอมั่นใจในท่าทีที่เปลี่ยนไปแล้วของฉันมากกว่า...

ใช่...ถึงฉันจะขี้หึงอย่างไร ฉันก็ไม่อยากให้แฟนฉันหึงฉันตามอย่างนั้นหรอก การหึงไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย อนุภาคของการคิดไปเองทำลายต่อมเอ็นโดฟินส์ในชีวิตรักที่ควรจะเป็นในยามนั้นไปเสียหมด ถ้าเอื้อยหึง เธอก็คงไม่มีความสุขในชีวิต ความเหงาและความว้าเหว่ที่ต้องอยู่คนเดียวในยามที่ไม่มีแม่อย่างนี้ อาจจะทำให้เธอยิ่งคิดและวิตกกังวลจนไม่เป็นอันทำอะไรเลยเช่นเดียวกันกับฉัน ฉันอยากให้เธอมีกำลังใจ อยากให้มีสมาธิ จะได้ตั้งใจเรียนมากกว่านี้ ยิ่งเห็นเอื้อยกระวนกระวายใจอย่างนี้ฉันก็ยิ่งรู้สึกไม่ดีจนต้องพยายามหาวิธีทำให้เธอมีความมั่นใจในตัวฉันเพิ่มขึ้นให้ได้ ฉันทั้งคิดทั้งก้มลงมองกระดานสเก๊ตซ์แบบบนโต๊ะก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้...

เอ้อ..เค้ามีอะไรจะบอก ” ฉันร้องบอกเธอด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เพราะนึกถึงเรื่องบางเรื่องที่คนรักฉันคงจะดีใจมากแน่ๆถ้าฉันได้เอ่ยปากชวนเธอไปแล้ว หญิงสาวเลิ่กคิ้วรอฟังด้วยความสนใจหลังจากที่เห็นท่าทางกระตือรือร้นของฉัน...“ว่า....”
คืนนี้เค้าจะไปเขียนแบบที่สตูนะ เอื้อยจะไปด้วยมั้ย..”