นิยายหญิงรักหญิง Girlfriend Season2
Chapter 4
Suspect : Ueai
“โทรหาใครเหรอ.....”
เสียงเอื้อยเรียกสติฉันจากการพยายามกดโทรศัพท์โทรออกหาเบอร์ณิชา
เธอคงสงสัยว่าฉันกำลังพยายามโทรหาใครด้วยอาการกังวลใจซ้ำๆอย่างนั้น
“เอ่อ..โทรหาเพื่อนน่ะ”
ฉันยิ้ม
ก้มลงเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกงวอร์มตัวเองแล้วหันมาตั้งใจคุยกับเอื้อย
“เพื่อน??
ใครเหรอ
เห็นพยายามโทรหาหลายรอบแล้ว
มีธุระสำคัญอะไรหรือเปล่า
ให้เค้าพาไปหามั้ยล่ะ..”
คนสวยถามด้วยความเป็นห่วง
เธอตักต้มยำทะเลหม้อไฟในหม้อที่กำลังเดือดปุดๆใส่ถ้วยเล็กส่งให้ฉันก่อนจะหันมาตักของเธอบ้าง
“เอ่อ..ณิชาน่ะ
คือมันก็ไม่มีธุระอะไรมากหรอก
แค่ก่อนจะเลิกคลาสเชียร์ณิชาจะคุยด้วย
แต่พอเลิกแล้วเขาก็หายไปไหนก็ไม่รู้
เค้ารอตั้งนานก็เลยกลับก่อน
ก็ว่าจะมาบอกตอนที่ออกมากินข้าวกับเอื้อยอีกทีนี่ล่ะ..”
ฉันพยายามอธิบายให้เอื้อยฟังเรื่องที่ก่อนหน้านี้ฉันยืนรอณิชาอยู่หน้าคณะแล้วเธอก็ไม่มาสักที
จนฉันหิวทนรอไม่ไหวต้องรีบออกมาทานข้าวกับเอื้อยอย่างนี้...
ก่อนหน้านั้นช่วงค่ำ
ก่อนที่ฉันจะเข้าคลาสเชียร์คณะแล้วเจอณิชา
ฉันก็รีบเข้าไปคุยเรื่องกล้องกับเธอทันที...
“อะไรเล่าก็อย่างที่บอกนั่นไง
เราให้เธอยืมใช้ก่อนไม่ได้ว่าจะให้เลยสักหน่อยจะโวยวายทำไมกันเล่า...”
“เฮ้ย!!จะบ้าเหรอกล้องตั้งแพงเดี๋ยวเราก็ทำพังอีกอ่ะ
เอากลับคืนไปเลย”
ฉันยื่นกระเป๋ากล้องคืนให้ณิชาแต่ก็โดนเธอดันคืนมาอีก
แถมยังอ้างเหตุผลให้ลำบากใจทันทีที่ที่คิดตามได้...
“เฮ้ยจอเจ้ย..ถือว่าเราขอร้องก็ได้นะ
ช่วยดูแลมันไว้ให้เราหน่อย
กล้องตัวนี้เรารักมาก
มันเป็นกล้องตัวแรกของเรา
แล้วตอนนี้คือเรากำลังย้ายหอน่ะ..คือ..ยังไงดีล่ะ
เอาตรงๆนะเราย้ายหนีแฟนเรานี่ล่ะ
แฟนเราเขามาก่อกวนเขาจะทำลายของของเราทุกอย่าง
อะไรก็ตามที่เขาเห็นว่าเรารัก
เขาจะทำมันพัง
นี่เมื่อวานเราออกจากหอก็แบกกล้องตัวใหม่มาด้วยเพราะกลัวเขาโยนทิ้ง
แล้วทีนี้เค้าก็ดันรู้ว่ามีตัวนี้อีกที่เรารักมาก
เขาก็ขู่ว่าจะทำมันพังอีกอ่ะ
เราก็เลยไม่อยากเก็บไว้กับตัวเรา
นะนะ..ถือว่าช่วยเราก็ได้
เธอก็ช่วยดูแลกล้องเรา
อยากใช้ก็ใช้เลยถือว่าเป็นค่าดูแลไง...”
“จริงดิ
ทำไมดุจัง..โกหกเราหรือเปล่านี่”
ฉันคิ้วขมวด
พยายามถามณิชาคืนทันทีที่คิดได้ว่าจะมีผู้หญิงที่ดุและงี่เง่าขนาดนี้อยู่เหรอ
ณิชาสะบัดหัวก่อนจะยกมือสามนิ้วขึ้นมาทำท่าทางสาบานต่อหน้า
“ไม่ได้โกหกสิ!!หน้าตาเราใสซื่อจะตายเธอก็รู้..”
ฉันคิ้วขมวดทันทีที่ได้ยินคำว่า
“ใสซื่อ???”
ของณิชา
ทั้งจ้องมองใบหน้าซีเรียสที่มองดูมีพิรุธอยู่นาน
กระทั่งได้ยินเสียงเพื่อนๆบอกว่าพี่มาแล้วจึงยอมตกลงรับกล้องจากณิชามาเก็บไว้
“เดี๋ยวตอนเลิกคลาสเชียร์แล้ว
รอเราหน้าคณะด้วยนะ
เรามีเรื่องอยากคุยกับเธอ..”
ณิชายิ้มหวาน
เธอยื่นมือมาแอบจับแก้มฉันแล้วรีบวิ่งหนีไปเข้าแถวด้านหลังสุด
จนฉันยังสะดุ้งตกใจ
ที่อยู่ๆโดนลักไก่จับแก้มต่อหน้าคนมากมายอย่างนั้นเข้า
ดีที่ตอนนี้ทุกคนยังไม่รู้ว่าณิชาเป็นอะไร
ไม่อย่างนั้นฉันคงโดนแซวเป็นประเด็นใหม่ของคณะอีกแน่ๆ..
ซึ่งพอเลิกคลาสเชียร์แล้ว
ฉันก็ยืนรอเธออยู่หน้าคณะตามที่เธอขอแต่เธอก็ไม่มา
จนเวลาผ่านไปเกือบ30นาทีและฉันหิวข้าวท้องกิ่ว
ต้องตัดใจกลับก่อนพร้อมๆกับการค่อนแคะกระแนะกระแหนเธอด้วยความโมโหหิวว่า..บางที..เธออาจจะโดนแฟนสาวเธอฆ่าทิ้งแล้วก็ได้....
“อืม..ถ้าไม่ได้รีบร้อนอะไรมากก็กินข้าวก่อนเถอะ
เค้ารู้ว่าเจ้ยหิว..”
เสียงเอื้อยเรียกสติฉันจากความคิดเรื่องณิชาอีกครั้งหนึ่ง
เธอยิ้มแล้วตักทอดมันกุ้งยื่นใส่จานของฉัน
ทั้งหยิบเอาแก้วน้ำดื่มฉันไปรินน้ำเติมให้
ฉันขอบใจเอื้อยก่อนจะชวนเธอคุยบ้าง
“เอื้อยล่ะคะเป็นไงบ้าง
โอเคขึ้นหรือยังคะ”
คำถามมาพร้อมการสังเกตุอาการ
ตอนนี้ตาของเธอก็ยังมีร่องรอยแดงๆโชว์ให้เห็นอยู่เหมือนตอนที่ฉันเจอเธอในรถครั้งแรก
ตอนนั้นฉันทักเธอไปด้วยความเป็นห่วง
ไม่คิดว่าเธอจะยังทำใจไม่ได้แล้วกลายเป็นร้องไห้เรื่องแม่ขึ้นมาทันทีที่โดนจุดไต้ตำตออย่างนั้นเข้า
ฉันต้องโอบกอดนั่งปลอบใจเอื้อยอยู่ในรถตั้งนานกว่าเธอจะดีขึ้นและทำใจไม่ให้ร้องอีกได้..
ตอนนี้เอื้อยชะงักทันทีได้ยินฉันถาม
เธอเม้มปากก้มหน้าเศร้าๆนั่งเขี่ยข้าวในจานอยู่นาน
กว่าจะเงยหน้าแดงๆที่เธอพยามฝืนกลั้นน้ำตาตัวเองเอาไว้ขึ้นมาตอบฉัน
“..ก็พยายามจะโอแล้วล่ะ
แต่มันก็เนอะ..เฮ้อ..”คนสวยถอนหายใจ
เธอยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่ซึมออกมาจากนัยตาหวานทั้งสองข้างอีกครั้ง
“เอื้อย...”เสียงแห่งความรู้สึกผิดมาพร้อมๆกับการยื่นมือไปกุมให้กำลังใจ
“เค้าขอโทษที่ถามอีกนะ..”
“ไม่เป็นไรหรอก
เค้าจะพยายามคิดว่าเดี๋ยวแป๊บเดียวก็ได้เจอแม่แล้ว
ถ้าซัมเมอร์ไม่ได้ลงเรียนอะไรมากเค้าก็จะบินไปอยู่กับแม่ตอนเปิดเทอมแล้วค่อยกับมาใหม่
เค้าคุยกับแม่ไว้ว่าอย่างน้อยๆก็เจอกันปีละครั้งก็ได้
เค้าอาจจะไปอยู่กับแม่ที่โน้นสักเดือนหนึ่งอะไรประมาณนี้น่ะ..”
เอื้อยยิ้ม
น้ำตายังเกาะอยู่ที่ขนตา
เธอมองฉันนั่งกุมมือเธอด้วยความเป็นห่วงอยู่นานก่อนจะพยายามพูดต่อ..
“..แม่บอกให้เค้าอดทนเพราะว่าบริษัทที่แม่ทำงานมีคนไทยน้อยคนนักที่จะมีโอกาสได้ย้ายไปประจำสาขาที่ต่างประเทศอย่างนี้
พวกผู้บริหารเขาเห็นแม่เชี่ยวชาญและมีโอกาสที่จะดำรงตำแหน่งที่สำคัญของสาขาที่เมืองไทย
เขาเลยให้แม่ย้ายไปศึกษาดูงานสาขาใหญ่ที่สุดของภูมิภาคอาเซียนอย่างฮ่องกงก่อนน่ะ
ตอนแรกแม่บอกว่าออฟฟิศใหญ่ที่อเมริกาจะให้แม่ไปตั้งแต่ช่วงที่เค้าเรียนม.5แล้วด้วย
แต่ตอนนั้นแม่บอกว่าแม่ยังไม่พร้อมจะขึ้นตำแหน่ง
ก็เลยรอช่วงที่เค้าเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้วยอมตกลงไปนี่ล่ะ..”
เอื้อยอธิบายเรื่องของงานในบริษัทแม่ให้ฉันฟัง
บริษัทที่แม่เอื้อยทำงานเป็นบริษัทของแบรนด์เครื่องสำอางค์ชื่อดังที่มีสาขากระจายอยู่ประเทศต่างๆทั่วโลก
หลายต่อหลายครั้งที่ฉันจะได้ยินว่าแม่เอื้อยไปดูงานที่ประเทศต่างๆ
แต่ท่านก็ไม่ได้ไปนานขนาดนี้
เช่นเดียวกันกับพ่อฉัน
ท่านก็เคยไปดูงานที่ญี่ปุ่นเหมือนกันเมื่อครั้งที่ฉันยังเรียนประถม
ตอนนั้นท่านไปประมาณ6เดือนแล้วกลับมา
จากนั้นก็ไปๆมาๆต่างประเทศในลักษณะประชุมหรือดูงานระยะสั้นๆมากกว่า
ไม่ได้ไปอยู่นานเท่าแม่เอื้อยขนาดนี้เลย
อาจจะเป็นเพราะว่าแม่เอื้อยท่านเป็นผู้หญิงที่สวย
เก่ง ปราดเปรียว
และมีความสามารถอยู่รอบด้านเหมาะที่จะเป็นผู้นำคนด้วยกระมัง
ทางบอร์ดผู้บริหารใหญ่จึงอยากจะผลักดันให้แม่ได้ใช้ความสามารถมาบริหารบริษัทของพวกเขาด้วย
ฉันยิ้มทันทีที่นึกถึงภาพแม่เอื้อยในวันแรกที่เจอท่าน
แม้แม่จะสวยเหมือนกันกับเอื้อยทุกๆอย่าง
ทั้งใบหน้า ตา ปาก
จมูกหรือแม้แต่ทรวดทรงองค์เอว
เรียกได้ว่าเอื้อยถอดแบบคุณแม่มาแทบจะทุกอย่างแล้ว
แต่ท่านกลับเป็นคนที่กระฉับกระเฉงปราดเปรียวเสียจน...บางทีฉันก็แอบคิดว่าเอื้อยไปได้ท่าทางเนิบนาบๆ
เรียบร้อยกุลสตรีแบบนี้มาจากใครกันแน่...
ตอนดึกหลังจากที่ทานข้าวเสร็จ
เอื้อยชวนฉันแวะร้านสะดวกซื้อแถวๆหน้ามอก่อนกลับหอ
เธอนั้นเดินเข้าไปเลือกซื้อของใช้ในร้าน
ส่วนฉันแวะซื้อมันปิ้งที่กำลังปิ้งร้อนๆหอมกรุ่นจากรถเข็นที่จอดขายอยู่ด้านข้างร้าน
ฉันสั่งมันสองชุดเพื่อแบ่งให้เอื้อยทานด้วย
ระหว่างยืนรอเจ้าของร้านปิ้งมันเพิ่มให้นั้น
อยู่ๆเจ๊แนนที่บังเอิญผ่านมาซื้อของร้านนั้นก็แวะมาทักทายฉันจากด้านหลัง...
“เฮ้ยเจ้ย
อะไรนี่กินมันรอบดึกไม่อ้วนแย่เรอะ”
เสียงเจ๊แนนทักฉัน
ประโยคแรกก็เล่นเอาฉันสะดุ้ง
“ไม่หรอกเจ๊ซื้อไปนั่งกินตอนทำงานน่ะ
เจ้ยอยู่ดึกเผื่อหิว”
ฉันยิ้มแหยๆ
ทั้งหัวเราะแก้เขินที่โดนทักเรื่องกินจุบจิบตอนดึกๆอย่างนี้
เจ๊แนนยิ้มพยักหน้ารับ
เธอสำรวจหน้าตาฉันด้วยความเป็นห่วงก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้
เธอมองซ้ายมองขวา
ทำปากมุบๆมิบๆประหนึ่งคันปากอยากคุยบางเรื่องที่ไม่น่าคุยด้วยเท่าไหร่...
“เฮ้ยแก
แกไปไหนมาไหนกับนังณิชาอย่างนี้ระวังนะเว้ย
ฉันพึ่งรู้ว่ามันชอบผู้หญิงด้วยกันก็ตอนที่เจอมันในผับวันก่อนแล้วเห็นมัน..เอ่อ..จูบกันกับแฟนสาวของมันในผับน่ะ”
พูดถึงตรงนี้เจ๊แนนก็กอดแขนตัวเองทำท่าขนลุก
เธอทำหน้าแหยๆเหมือนไม่อยากจะพูดอะไรทำนองนี้กับน้องสาวตัวเองเท่าไหร่
ก่อนจะถามคำถามที่ฉันสะดุ้งตกใจทันทีที่ได้ยิน..
“เค้าเรียกว่าเลสเบี้ยนหรือเปล่าวะ
อะไรอย่างนี้น่ะ
ผู้หญิงกับผู้หญิงเอากันน่ะ”
คำถามซื่อๆภาษาบ้านๆทำฉันตะกุกตะกักทันทีที่จะตอบ
..จุดใต้ตำตอดีแท้ๆ
“คง...คงใช่เจ๊”
“เออ..แกรู้ป่ะว่านังณิชามันมารบเร้าเซ้าซี้อยากให้ฉันติดต่อแกให้
มันบอกว่ามันชอบแก
มันบอกว่ามีความรู้สึกเหมือนแกจะเป็นเลสเบี้ยนแบบมันด้วย
จริงหรือวะ..”
ห๊ะ!!..ฉันสำลักน้ำลายไอแค่กๆทันทีที่ได้ยินเจ๊แนนบอก..
“บ้าสิ!!
แล้วเจ๊จะไปเชื่อเขาทำไม
เขาก็อาจจะพูดเล่นๆบ้าๆบอๆเหมือนตอนที่เขาพูดกับเจ๊ต่อหน้าเจ้ยก็ได้นิ”
“จริงดิ..”
เธอคิ้วขมวดมองหน้าเหมือนอ่านใจฉัน
“เออ..ไม่เป็นก็แล้วไป
แกอย่าไปเป็นเหมือนมันเลย
มันทำตัวประหลาดๆ
ชอบได้ไงก็ไม่รู้ผู้หญิงด้วยกัน
ฉันล่ะแหยงยังไงไม่รู้ตอนเห็นมันจุ๊บแฟนสาวมัน”พูดเสร็จเจ๊แนนก็ยกไหล่
เธอทำเป็นตัวสั่นออกอาการขนลุกรับไม่ได้เรื่องที่เธอพูดไปเมื่อครู่นี้
“..ไม่รู้ว่าพ่อแม่มันจะว่ายังไงบ้างนะ
ทำอะไรไม่คิดถึงหน้าพ่อหน้าแม่ตัวเองเลย
พ่อแม่มันจะคิดยังไงถ้ารู้ว่ามีลูกสาวทำตัวประหลาดๆผิดปกติมนุษย์อย่างนี้..”
อึ๊ก..ฉันกลืนน้ำลาย
ก้มหน้าหลบตาเจ๊แนนเพราะเผลอคิดตามตั้งแต่ประโยคที่บอกว่าทำอะไรไม่คิดถึงหน้าพ่อแม่แล้ว
ยิ่งได้ยินเธอพูดกระทบกระทั่งว่าพวกเลสเบี้ยนทำตัวประหลาดผิดปกติมนุษย์ทั่วไปอีกก็ยิ่งรู้สึกร้อนในตาจนเกือบจะร้องไห้
ความรู้สึกเจ็บตอนนี้คงเหมือนกำลังโดนตบหน้า
แถมโดนกระแนะกระแหนด่าโดยที่เจ้าของคำพูดไม่รู้ตัวเลยว่า...จริงๆแล้วน้องสาวเธอก็เป็นหนึ่งในผู้หญิงประหลาดที่เธอกำลังแอนตี้อยู่นี้อีก...
ฉันยืนก้มหน้าฟังเจ๊แนนบ่นอยู่ครู่นึงจนรู้สึกเหมือนมีคนเดินมายืนอยู่ข้างๆฉัน
เอื้อยนั่นเอง
ตอนนี้เธอทำหน้าประหลาดใจที่ได้เห็นภาพฉันกำลังก้มหน้าก้มตาฟังใครสักคนที่เธอไม่รู้จักด้วยความเครียดอยู่
ฉันปรับอารมณ์ ตีหน้าซื่อ
พยายามแนะนำทั้งสองให้รู้จักกันด้วยอาการปกติ..
“เอ่อเจ๊..นี่เอื้อยเพื่อนเจ้ย
เพื่อนจากโรงเรียนเก่า
คนที่เจ๊เคยเห็นในเฟซน่ะ..เอื้อยนี่พี่สาว..เรา..เอ่อ..เป็นลูกพี่ลูกน้องกันน่ะ”
คำสรรพนามใหม่จาก“เค้า”เป็น
“เรา”ถูกใช้ทันทีที่ฉันเริ่มรู้ตัวว่าพี่สาวตัวเองกำลังเอนตี้คนอย่างเราสองคนอยู่..
“สวัสดีค่ะ”
เอื้อยรีบยกมือไหว้
เธอยิ้มให้เจ๊แนนก่อนจะก้มหน้าหลบสายตา
บางทีเธอคงจะจับสัญญาณพิเศษจากคำสรรพนามใหม่ที่ฉันเรียกเธอได้
เลยพยายามไม่แสดงพิรุธ
“อ๋อ
ใช่น้องคนที่สวยๆที่ถ่ายรูปกับแกนั่นป่ะ
เออ..ตัวจริงน้องสวยมากเลยนะ
พี่ว่าแล้วว่าตัวจริงน้องต้องสวยเจ้าเจ๊ยมัน..”
เจ๊แนนว่า
เธอคงนึกถึงเรื่องที่เธอเคยแซวว่าเอื้อยสวยกว่าฉันได้
เธอยกมือรับไหว้เอื้อยที่ยกมือไหว้ขอบคุณก่อนจะหันมาจีบปากจีบคอเม้าส์มอยเรื่องณิชาต่อ..
“พูดต่อๆ
เอ้อ..ฉันว่าจริงๆเรื่องนี้มันก็ไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่หรอก
ฉันคงไม่เล่าให้แม่แกฟังดีกว่า
เพราะเดี๋ยวสักพักมันก็คงเลิกเป็นเอง
ถึงตอนนั้นฉันก็คงจะไม่ห่วงแกแล้วล่ะ”
เจ๊แนนยิ้ม เธอยื่นมือมาตบไหล่ฉันอย่างโล่งใจ
ก่อนจะกระแนะกระแหนณิชาไปด้วยความหมั่นไส้ของเธอต่อ..
“ฉันว่านะ
จริงๆผู้หญิงพวกนี้จริงๆมันอาจจะไม่ได้ชอบผู้หญิงด้วยกันจริงๆก็ได้
มันก็คงจะเป็นแค่พวกบ้าเซ็กส์ชอบลองของแปลกเท่านั้น
นี่ถ้ามันมีแฟนเป็นผู้ชายสักทีก็คงจะหายแล้วล่ะมั้งเนอะแกว่ามั้ยเจ้ย...อ้าว..เป็นอะไรวะยืนก้มหน้าก้มตาอยู่ได้
ได้ฟังฉันพูดป่ะเนี่ย..”
เจ๊แนนทักฉันทันทีที่หันมาเห็นฉันก้มหน้ากำหมัด
ยืนตัวสั่นด้วยความโกรธที่ได้ยินประโยคแรงๆฟังดูหยาบๆอย่างนั้น..
“เอ่อ..เจ๊..อย่าไปว่าเขาอย่างนั้นเลย
จริงๆเค้าอาจจะรักกันจริงๆก็ได้
เราไม่รู้อะไรกับเขาหรอก
เอ่อ..เดี๋ยวเจ๊จะไปไหนต่อหรือเปล่า
พอดีเจ้ยต้องรีบกลับหอไปสเก๊ตซ์งานส่งอาจารย์ก่อนน่ะ
เอาไว้วันหลังค่อยคุยกันดีกว่าเนอะ..”
ฉันพยายามฉีกยิ้ม
เปลี่ยนสีหน้า
แกล้งชวนเจ๊แนนให้เลิกพูดเรื่องไม่ดีต่อ
ก่อนที่ฉันจะเริ่มอึดอัดจนทนไม่ได้ไปเสียก่อน
ซึ่งเอื้อยก็คงรู้
ฉันเห็นเธอก้มหน้าหลบสายตา
ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมามองเจ๊แนนเลยแม้จะรู้สึกไม่ดีขนาดไหนก็ตาม..
ดึกวันนั้นหลังจากที่เราแยกย้ายจากเจ๊แนนแล้วเอื้อยขับรถพาฉันมาส่งที่หลังหอ
เธอก็รีบคุยกับฉันด้วยความเป็นห่วงทันที...
“พี่เค้าพูดถึงใครเหรอ
ที่ว่าผู้หญิงชอบผู้หญิงด้วยกันนั่นน่ะ..”
“อืม..เพื่อนแกน่ะ
เพื่อนแกชอบผู้หญิงด้วยกัน
แกคงกลัวเพื่อนแกมายุ่งกับเค้ามั้ง..”
ฉันตอบเลี่ยงๆไม่อยากให้เธอคิดมาก
ถ้ารู้ว่าคนที่ไปไหนมาไหนกับฉันตลอดอย่างณิชาเป็นคนที่เจ๊ว่า
เอื้อยคงไม่สบายใจแน่
“เหรอ..ดูพี่เขาเอนตี้คนอย่างพวกเราจังเลยเนอะ”
เธอทำหน้าแหยๆตอนที่พูดต่อ..
“ก็ธรรมดาล่ะ
นานาจิตตัง หลากหลายความคิด
เราคงไปบังคับความคิดใครไม่ได้หรอก..”
“อืม..แล้ว..เจ้ยกลัวพี่เขารู้เรื่องของเรามั้ยล่ะ..”
ฉันนั่งนิ่ง
ก้มหน้ามองถุงมันปิ้งในมือเงียบๆไม่ตอบอะไร
เอื้อยคงรู้คำตอบจากอาการนั้น
เธอจึงยิ้มแล้วยื่นมือมาลูบหัวฉันเบาๆอย่างปลอบใจ
“ไม่เป็นไรนะ
เค้าเข้าใจเจ้ย ค่อยๆเป็นค่อยๆไปก็ได้
บางทีการอยู่ด้วยกันตลอดทำตัวดีๆอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
คนที่เขาต่อต้านพวกเรา
เขาก็อาจจะใจอ่อนยอมรับเข้าสักวันนั่นล่ะ
ไม่ต้องคิดมาก ถ้ากลัวพี่เจ้ยรู้
เราก็อยู่กันแบบเดิมก็ได้
ไม่ต้องให้ใครรู้สถานะ
ขอแค่เราสองคนเข้าใจกันก็พอ..”
เอื้อยยิ้มละมุน
เธอเลื่อนมือลงมากุมมือฉันไว้
เหมือนอยากจะให้กำลังใจให้ก้าวข้ามอุปสรรคเล็กๆน้อยๆพวกนี้ไปให้ได้ทั้งสองคน..
//////////////////////////////////////
วันจันทร์ก่อนเข้าเรียนคาบเช้า
ในขณะที่ฉันเดินเข้าห้องเลคเชอร์มุ่งตรงไปนั่งที่นั่งด้านหน้า
อยู่ๆก็มีมือของใครไม่รู้เอื้อมมาดึงมือฉันไว้
ณิชานั่นเอง
เธอในชุดนักศึกษากระตุกแขนฉันให้เดินเข้าไปหาเธอที่ที่นั่งด้านหลังสุดของห้อง..
“เฮ้ย...จอเจ้ยมานั่งเป็นเพื่อนเราหน่อยดิ..”ณิชาว่า
เธอทำท่าหาวหวอดๆ
ตอนที่ดึงแขนฉันให้เดินเข้าไปนั่งข้างๆเธอฝั่งด้านใน
หญิงสาวผมบอนด์อมยิ้มนิดๆที่เห็นใบหน้าเหรอหราของฉัน
ส่วนฉันเมื่อเห็นใบหน้าเจ้าเล่ห์ความทรงจำโมโหหิวเมื่อวานปรากฏขึ้นอีกครั้ง
หน็อย..ยังมีหน้ามายิ้มน้อยยิ้มใหญ่อีก
ฉันคิ้วขมวดต่อว่าคนผิดนัดทันที
“เออ..ไหนเมื่อวานบอกให้เรารอ
แล้วเธอหายไปไหน ทำไมเราไม่เห็นเธอเลย..”
ณิชายิ้มแหยๆ
เธอทำตาเล็กตาน้อยบอกเหตุผลกับฉันว่า..
“เมื่อวานน่ะเหรอ
เรารอเธออยู่นะ
พอดีเราเห็นเกดขับรถผ่านมาคณะ
เราก็เลยรีบชิ่งหนีเขาก่อนน่ะ..”
...โฮะ..ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงกับที่นึกล่ะเนอะ...ฉันหัวเราะหึๆทันทีที่ได้ยินณิชาแก้ตัว..ดีนะไม่โดนฆ่าตายเสียก่อน
อารมณ์งอนทำให้ฉันมองค้อนณิชาค้าง
ส่วนเจ้าหล่อนยิ้มน้อยยกแก้วกาแฟจากใต้โต๊ะเลคเชอร์ขึ้นมายื่นให้ฉัน
“อ่ะนี่กาแฟเราซื้อมาฝากเธอด้วย”
หญิงสาวไม่รอให้ฉันตอบรับหรือปฏิเสธ
วางแผละแก้วกาแฟลงโต๊ะ
แล้วหยิบแก้วของตัวเองมาดูดกินบ้าง
“อะไรนี่
ซื้ออะไรมาทุกวัน”
ฉันก้มลงมองแก้วกาแฟทั้งดุณิชา
รู้สึกว่าช่วงนี้เธอจะทำเหมือนฉันเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องเซ่นด้วยกาแฟทุกเช้าเย็นตลอดเลยนะ
“กินไปเหอะน่า
เราง่วงนอน
เมื่อวานเราจัดห้องจนดึกตอนเช้าก็เลยซื้อกาแฟมากิน
ก็เลยนึกถึงเธอก็เลยซื้อมาฝากน่ะ”
ณิชายิ้มอ่อน
เธอทำทีเป็นกัดหลอดกาแฟค้างไว้แล้วบ่นงึมงัมๆของเธอต่อไป
“..ก็เราสัญญาแล้วว่าเราจะเลี้ยงกาแฟเธอตลอดชีวิต
เราก็ต้องทำตามสัญญาสิ
นะนะกินเร็วๆเดี๋ยวน้ำแข็งละลายแล้วไม่อร่อยนะ”
ฉันตาขวางมองหน้าณิชา
ก่อนจะเผลอหยิบแก้วกาแฟขึ้นมาดูดกินตอนที่นั่งรออาจารย์อยู่ในห้องไป
เวลาผ่านไปเกือบๆจะยี่สิบนาที
อาจารย์ยังคงไม่มา
ได้ยินเพื่อนในห้องบางคนนั่งคุยกันเรื่องงานบ้าง
เรื่องเข้าคลาสเชียร์บ้าง
เรื่องหอบ้าง หลายคนนอนหมอบหลับไปกับโต๊ะ
รวมถึงนัทหล่อกับนัทแว่นที่พากันนั่งสัปหงกอยู่ที่นั่งหน้าฉันตอนนี้ด้วย
ฉันอมยิ้มมองสองคนนี้นั่งโงนเงนหัวโขกกันไปมาอยู่ครู่นึง
จนรู้สึกว่าตอนนี้ที่ไหล่ตัวเองกำลังมีอะไรหนักๆตกลงมาทับอยู่
ฉันรีบหันไปมอง...
ณิชานั่นเอง
เธอนั่งเอนตัวเอาหัวมาพิงไหล่ฉันไว้
ฉันก้มลงมอง ตอนนี้เธอหลับตาพริ้ม
ขนตางอนยาวเป็นแพรสีดำวางเรียงนิ่งสงบอยู่
ได้ยินแต่เสียงงัวๆเงียๆลอยออกมาเบาๆว่า..
“ง่วงนอนจังเลย..ขอยืมไหล่หนุนนอนหน่อยได้มั้ย..ถ้าอาจารย์มาแล้วปลุกด้วยนะ..”
..หึ..วันนี้เล่นมุกนี้อย่างนั้นเร๊อะ..
ฉันรู้ทันมุกเตะอั๋งของยัยณิชาเลยแกล้งขยับไหล่ยุกยิกแรงๆเพื่อหวังให้เธอคอตกจากไหล่ฉัน
แต่ไม่ได้ผล
เพราะเธอดันคอแข็งสามารถล็อคคอตัวเองวางไว้บนไหล่ฉันนิ่งๆได้โดยที่หัวไม่ตกไปไหนมาไหนเลย
เมื่อเห็นว่าการเอาคืนของฉันไม่สามารถจะทำอะไรเธอได้
ฉันก็ได้แต่ปล่อยให้เธอนอนหลับไปโดยที่ตัวเองก็นั่งรออาจารย์ไปเรื่อยๆ
พร้อมๆกับความคิดที่มาพร้อมกับความสลึมสลือเมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า...
..อืม..คือดีน่ะ
ตอนนี้ห้องเลคเชอร์ก็เงี๊ยบเงียบ
แถมพวกด้านหน้าก็ยังพากันปิดไฟตั้งใจนอนกันอีก
แอร์ห้องนี่ก็เย็นดีเหลือเกิน
ฉันยิ้มน้อย
ค่อยๆหลับตานั่งถ่อแอร์ในห้องด้วยความรู้สึกเคลิ้มๆเย็นๆสบายๆ
กระทั่งกลายเป็นงัวเงียนั่งสัปหงกหลับไปเหมือนเพื่อนๆคนอื่นๆในที่สุด.....
/////////////////////////
เสียงเตือนโทรศัพท์จากFacebookดังขึ้นตอนที่ฉันนั่งกินข้าวเที่ยงกับเอื้อยที่ร้านอาหารตามสั่งหน้ามอ
หลังจากที่คาบเช้าทั้งเช้าพวกฉันไม่เรียนอะไรเลย
เนื่องจากอาจารย์ติดธุระฉุกเฉินแล้วไม่ได้แจ้งใครไว้ล่วงหน้าว่าจะไม่ได้เข้า
กลายเป็นว่าวันนี้ทั้งวันพวกฉันไม่มีเรียนอะไรแล้ว
ฉันยื่นมือไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจากกระเป๋าสะพายพร้อมๆกับชำเรืองมองเอื้อย
ตอนนี้หลังจากที่เธอสั่งอาหารเสร็จเธอก็นั่งตอบไลน์เพื่อนเธอไป
ได้ยินเสียงเธอหัวเราะคิกๆคักๆ
จึงลองถามว่าขำอะไร...
“..อ๋อ
เค้าขำอันอ่ะ
อันส่งรูปใส่กระโปรงนักศึกษามอเขามาให้เค้าดูน่ะ”เอื้อยว่าเธอทั้งพูดทั้งหัวเราะ
เธอยื่นโทรศัพท์ของเธอให้ฉันดูรูปทันทีที่ฉันร้องขอ
ซึ่งฉันก็เผลอหัวเราะทันทีที่เห็นรูปยัยอันรูปนั้นเข้า..
...มันเป็นรูปยัยอันแต่งชุดนักศึกษาที่เรียบร้อยถูกระเบียบดี
เธอใส่เสื้อนักศึกษาถูกระเบียบดี
กระโปรงทรงเอสีดำสั้นเสมอเข่าก็ถูกระเบียบดี
รองเท้าคัชชูก็ถูกระเบียบดี
แต่ไหงมันมาขัดตากับทรงผมรองทรงสั้นเต่อ
ที่เธอแถรอบข้างใบหูซะเกรียนจนเหมือนเด็กนักเรียนชายประถมอย่างนั้น
โหย..นี่คงกะจะใส่ชุดนักศึกษาชายเต็มที่ล่ะสินะถึงไปตัดผมทรงนี้มา
แม่เจ้าประคุณคงลืมไปว่าปีหนึ่งมหาวิทยาลัยไหนๆเค้าก็ให้แต่งตัวเรียบร้อยให้ตรงเพศสภาพกันก่อนทั้งนั้น
สภาพเธอตอนนี้ที่เห็นมันก็เลยดูประหลาดๆ
ยิ่งเธอมายืนถ่ายรูปเต็มตัวหน้าตรง
ทำหน้าเคร่งๆเหมือนจะถ่ายบัตรประชาชนด้วยแล้วยิ่งไปกันใหญ่
จนฉันแอบคิดด้วยอารมณ์ขันไม่ได้ว่า...นี่ถ้าเธอยกมือขึ้นมาพนมอีกนิดคงจะเหมือนรูปถ่ายในโปสเตอร์หาเสียงเลือกตั้งแน่ๆ
หึ..ท่าน
สส.อัญชลี...
เอื้อยบอกว่ายัยอันไปเรียนบริหารธุรกิจที่มหาวิทยาลัยเอกชนที่ค่าเทอมแสนแพงที่กรุงเทพ
ได้ข่าวว่าเธอเรียนตามคำสั่งของพ่อแม่เธอเหมือนๆกับเอื้อย
แต่ของอันพ่อแม่เขาคงตั้งใจให้ลูกมาบริหารธุรกิจของครอบครัวต่อ
เพราะเห็นว่าครอบครัวเขากำลังลงทุนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ใจกลางเมืองอยู่
ทั้งได้ยินข่าวว่าจะลงทุนเปิดห้างสรรพสินค้าเกี่ยวกับสินค้าไอทีในจังหวัดเราด้วย
ก็เลยอยากให้อันไปเรียนด้านบริหารธุรกิจมาช่วย
แม้อันจะไม่ค่อยชอบ
แต่พอครอบครัวเขายื่นข้อเสนอว่าถ้าตั้งใจเรียนจนจบมาได้เกรดดีแล้ว
พ่อแม่เขาจะยอมให้เขาคบกับใครก็ได้..ซึ่งก็คืออันจะคบกับผู้หญิงด้วยกันก็ได้
จะเป็นสาวหล่อหรือสาวสวยยังไงก็ได้
ไม่มีใครว่าอันอีกแล้ว...
ฉันหัวเราะทันทีที่นึกถึงภาพวันที่น้องนิวหอมแก้มยัยอันบนเวที
นี่อันคงอยากจะจริงจังกับน้องนิวจริงๆสินะ
ถึงยอมทำในสิ่งที่ไม่ชอบได้ขนาดนั้น
ฉันอมยิ้มแอบอิจฉาพวกเขาเล็กๆก่อนจะยื่นโทรศัพท์คืนให้เอื้อย
แล้วหยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมาดูการแจ้งเตือนก่อนหน้านั้น
ตอนนี้หน้าจอเฟซบุ๊คโชว์การแจ้งเตือนว่ามีคนแท็กฉันในอัลบั้มรูปถ่ายของเพื่อนในคณะ
ฉันคลิกเข้าไปดู...
มันเป็นอัลบั้มภาพถ่ายที่มีการบรรยายไว้ว่า
“การเรียนที่แสนจะหนักหน่วงของเด็กถาปัตย์ปี1ตั้งใจ(รอ)เรียนอย่างนี้
อาจารย์จะไม่ให้Aหน่อยเหรอครับ”
ฉันรีบคลิกเข้าไปดูภาพทันทีที่เห็นแคปชั่นแปลกๆ
และแทบจะสบถด่าออกมาทันทีที่ได้รู้ว่า
มีคนแอบถ่ายรูปหลับของเพื่อนๆเกือบๆจะทั้งห้องอย่างนั้น
ใช่..มันเป็นรูปถ่ายตอนที่เราพากันสามัคคีนั่งหลับรออาจารย์กันในคาบเมื่อเช้า
ที่บ้างก็นั่งสัปหงกอยู่บนโต๊ะบ้าง
นั่งก้มหน้าหลับบ้าง
หรือแม้กระทั่งทิ้งตัวแผ่หลานอนเป็นจริงเป็นจังอยู่พื้นหลังห้องเลยก็มี...
..อีบ้า
สภาพแต่ละคนดูได้ที่ไหน
ใครแกล้งเพื่อนวะ...
ฉันคิ้วขมวดพยายามสบถด่าในใจด้วยคำสุภาพที่สุดที่นึกได้
ตอนนี้ฉันทั้งขำทั้งโกรธ
ทั้งตลกทั้งอยากจะด่าไอ้คนที่แอบถ่ายรูปเพื่อนที่นั่งหลับน้ำลายยืดบ้าง
หัวชนกันบ้าง
หมดสิ้นความเป็นเฟรชชี่หน้าใสกันทันทีที่ได้เห็น
ฉันเลื่อนมาดูคอมเม้นท์ใต้ภาพเพื่อหวังจะดูข้อมูลว่า
“ใคร” คนไหนที่มันเป็นคนถ่ายเพื่อน
บรรดาเพื่อนๆที่โดนแท็กต่างพากันสามัคคีคอมเม้นท์ด้วยข้อความ
“55555+”
ยาวๆและก็ต่อท้ายด้วยรูปประโยคที่ว่า
“ไอ้สัตว์” บ้าง “ไอ้เหี้ย”บ้าง
หรือคำพูดแรงๆที่เค้าชอบพูดเล่นกันบ้าง
ซึ่งเป็นคำพูดธรรมดาที่พวกเพื่อนผู้ชายหรือแม้แต่ผู้หญิงบางคนในคณะชอบพูดกันอยู่แล้ว...แต่ไม่ใช่ฉัน
ฉันเลื่อนลงไปอ่านคอมเม้นท์เรื่อยๆ
มีคนแซวเพื่อนคนนั้นคนนี้เกี่ยวกับท่านอนบ้าง
ความตลกและความจริงจังในการนอนของแต่ละคนบ้าง
อย่างเช่น
ภาพของเพื่อนคนที่ทิ้งตัวนอนลงกับพื้นหลังห้อง
ก็จะเจอเพื่อนๆคอมเม้นท์ว่า
“R.I.P.ไอ้ต้นกูจะคิดถึงมึงตลอดไป”
“สัตว์ขึ้นอืดซะแล้วยังไม่ครบ24ชม.เลย”
และอีกหลายๆคอมเม้นท์ที่ทำให้ฉันหัวเราะคิกๆคักๆทันทีที่ได้อ่าน
จนกระทั่งมาถึงคอมเม้นท์หนึ่ง...
“กูขอโหวตคู่นอนที่ฟินที่สุด”
เป็นคอมเม้นท์จากเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งในเอกID
หรือInterior
design เขาตอบกลับข้อความคอมเม้นต์ของเขาด้วยรูปภาพสองภาพ
ภาพแรกเป็นภาพนัทหล่อกับนัทแว่นนั่งสัปหงกหัวชนจนชิดกัน
มองดูเหมือนนัทหล่อกำลังก้มลงหอมแก้มนัทแว่น
เค้าโพสแคปชั่นของภาพนี้ว่า..
“คู่A
คู่นอนขวัญใจสาววาย
นัทหล่อ&นัทแว่น”
มีคนมากดถูกใจภาพนี้เป็นร้อย
ทั้งกดหัวใจและกดอีโมชั่นตลกร่วมด้วย
มีคนคอมเมนต์ตอบกลับหลายข้อความ
ผู้ชายก็จะคอมเม้นท์ประมาณว่า
“สัส..กูขนลุก”
“อีนัทแว่นหน้าฟินจนน้ำลายไหลเชียวนะมึง”
“อ้าวกูว่าแล้วเห็นไปด้วยกันบ่อยๆ”
ส่วนเพื่อนผู้หญิงก็จะไปคอมเม้นท์ประมาณว่า
“อร้าย..ฟินค่าา”
“โอ้ย เดือนเกี้ยวเดือนเวอร์ชั่นถาปัตย์ใช่มั้ยนี่”
ฉันหัวเราะทันทีที่เห็นภาพและอ่านคอมเม้นท์ประกอบ
ก่อนจะเลื่อนลงมาดูภาพต่อมาแล้วกลายเป็นสะดุ้งเหงื่อตกทันทีที่เห็นภาพและอ่านแคปชั่นของมันเข้า....
“คู่B
คู่นอนขวัญใจหนุ่มๆสาวๆยูริ
จอเจ้ย&ณิชา”
มันเป็นภาพฉันนั่งสัปหงก
ก้มหัวไปซบกับหัวของณิชาที่นั่งซบไหล่ฉันนอนก่อนหน้านั้น
แต่ไหงในภาพนี้เธอดันยกแขนทั้งสองข้างของเธอมาคล้องแขนของฉันไว้ด้วย..
..เฮ้ย
นี่เธอแอบคล้องแขน
กอดแขนฉันนอนตั้งแต่ตอนไหน
ทำไมฉันไม่รู้ตัวเลย...
ฉันเหงื่อตกมองดูจำนวนที่คนกดถูกใจภาพนี้เกือบๆจะสองร้อยคน
ทั้งมีรูปหัวใจ
ทั้งรูปเศร้าและรูปโกรธร่วมด้วยเต็มไปหมด
ฉันลองเข้าไปอ่านที่คนคอมเม้นท์ตอบกลับภาพนี้ของฉัน
มันมีทั้งเพื่อนทั้งรุ่นพี่รวมทั้งรุ่นน้องที่อยู่ในโรงเรียนเก่าฉันด้วย..
“อีเหี้ยรูปนี้กูโคตรฟิน..”
“หืม..กูขอแทรกตรงกลางได้ป่ะ”
“ขอทั้งสองเด้อ”
และอีกมากมายแต่ฉันดันมาชะงักกับคอมเม้นท์สุดท้ายที่ว่า
“พี่เจ้ยเปลี่ยนคู่จิ้นแล้วเหรอ”
ด้วยกลัวว่าจะมีใครบางคนมาอ่านเจอเข้า...
“คนนี้น่ะเหรอ..คือณิชา..”
อึ๊ยย..เอาแล้วสิ
คนที่ฉันกลัวคงเห็นซะแล้ว
น้ำเสียงเรียบๆแต่มีพลังงานแอบแฝงของเธอนั้นทำฉันสะดุ้งเงยหน้าทันทีที่ได้ยินคำถาม
คนตาหวานค่อยๆเงยหน้าเคร่งขึ้นมา
เธอยื่นภาพเจ้าปัญหาที่ว่าในโทรศัพท์มาทางฉัน
มันคงโชว์ขึ้นหน้าฟีดเธอว่ามีใครแท๊กฉันในอัลบั้มสาธารณนั่นเอง
“เอ่อ..ใช่นั่นล่ะณิชา”เอื้อยเลิ่กคิ้ว
ได้ยินเสียงหึเบาๆออกมาตอนที่ยิ้มให้ฉัน
รอยยิ้มที่เจือไปด้วยความประชดประชัดของเธอนั้นทำฉันหวาดหวั่นเมื่อนึกขึ้นได้ว่า
เธอคงไม่ได้ยินดีเท่าไหร่เลยที่ได้ยิ้มแบบนี้
ภาพห้วงเวลาที่ฉันไปง้อเอื้อยตอนที่เธอคบกับกรลอยกลับมาอีกครั้ง
ภาพหญิงสาวสะแหยะยิ้มแล้วบอกจำไม่ได้ว่าเธอเคยบอกไม่ชอบผู้ชายตอนไหนช่างเหมือนกับตอนนี้เสียจริง..
สายตาเคยหวานกลายเป็นเย็นชา
เธอจ้องหน้าฉันอยู่ครู่หนึ่งแล้วก้มมองโทรศัพท์ต่อ
มองรอยยิ้มพิฆาตและท่าทางที่เปลี่ยนไปโดยฉับพลันของเอื้อยแล้ว
ก็อดที่จะเหงื่อตกจนต้องรีบเดินย้ายร่างจากฝั่งตรงข้ามมานั่งอยู่ข้างๆเธอไม่ได้
ฉันมองดูเอื้อย
ตอนนี้เธอกำลังพยายามคลิกที่รายชื่อณิชาที่มีคนแท็กไว้
ก่อนจะกดไปตามลิงก์นั้น...
โอไม่นะ..ฉันสะดุ้งตัวเย็นวาบทันทีที่นึกขึ้นได้ว่า...บางทีหน้าเฟซบุ๊คของณิชาอาจจะมีภาพเธอและแฟนสาวถ่ายคู่กันอยู่
หรือแม้แต่สถานะอะไรก็ตามระหว่างเธอกับแฟนสาวโพสโชว์ไว้
ซึ่งนั่นจะทำให้เอื้อยรู้ทันทีว่าณิชาคือเลสเบี้ยน
และเอื้อยต้องรู้แน่ๆว่าณิชากำลังคิดอะไรบางอย่างกับฉัน...
“เอ่อ..คือเอื้อยไม่ต้อง...”
แต่ปากของฉันก็ไม่ไวเท่ามือเอื้อย
แค่ฉันจะห้าม
ตอนนี้เธอก็คลิกไปที่หน้าเฟซบุ๊คของณิชาเรียบร้อยแล้ว
โชคดีที่ภาพในเฟซของณิชาเป็นภาพถ่ายเดี่ยวๆของเธอทั้งภาพโปรไฟล์และภาพหน้าปก
ไม่มีภาพแฟนสาวเธออยู่แล้ว
แถมเธอยังตั้งค่าหน้าเฟซของเธอแบบไม่โชว์ข้อมูลหรือแม้แต่สถานะอะไรไว้อีก..
“อืม...สวยดีนะ”
เอื้อยหันมายิ้มให้ฉันทันทีที่เห็นภาพณิชาเต็มๆตัว
“เอ่อ..ก็ไม่ค่อยสวยเท่าไหร่หรอก”
“เหรอ..แล้วเท่าไหร่ถึงจะสวยสำหรับเจ้ยล่ะ”น้ำเสียงเย็นชาจนฟังดูเหมือนประชดถามฉันหลังจากนั้น
“
เอ่อ..ก็แบบเอื้อยไง
เค้าก็บอกหลายครั้งแล้วนี่
ว่าเค้าชอบคนสวยๆแบบเอื้อยน่ะ”
เอื้อยหัวเราะหึ
เธอมองฉันด้วยหางตาก่อนจะกดย้อนกลับไปดูภาพฉันนั่งหลับข้างๆณิชาอีกครั้ง..
“แปลกๆดีนะ
ได้เห็นภาพคล้ายๆภาพตัวเองกับแฟนตัวเองเคยถ่ายด้วยกัน
แถมยังโดนแซวด้วยประโยคคล้ายๆกัน
แต่คนข้างๆเขาตอนนี้มันดันไม่ใช่เราซะแล้ว..”คนใจน้อยหยุดเว้นวรรค
เธอหันใบหน้าเคร่งๆแลดูคิดมากมาถามคำถามที่ฉันแอบกลัวก่อนหน้านั้นจนได้..“เปลี่ยนคู่จิ้นแล้วเหรอ..”
ฉันส่ายหัวก่อนจะรีบอธิบาย..“บ้า..คู่จิ้นบ้าอะไร
นั่นเพื่อนเค้านะ
แล้วพวกนี้มันก็ถ่ายแกล้งกันเฉยๆไม่ได้มีอะไรเลย
ไม่ได้จิ้นอะไรกันด้วย
เอื้อยอย่าคิดมากดิ”
“ก็ไม่ได้คิดมาก
ยังไม่ทันได้คิดอะไรเลย”
เอื้อยหัวเราะหึ
เธอมองท่าทางรนรานฉันด้วยแววตาแปลกๆ
หญิงสาวแกล้งแซวฉันด้วยน้ำเสียงประชดประชันเล็กๆต่อจากนั้นว่า..“มิน่าล่ะ
ถึงยอมนั่งทำงานช่วยเขาจนตัวเองกลับหอสายตลอด
ที่แท้ก็...”เธอหยุดเว้นวรรค
อารมณ์กระดากปากกระดากใจไม่อยากพูดคำนั้นต่อ
เธอนั่งนิ่งจ้องหน้าฉันก่อนจะสรรหาคำพูดที่ดูดีกว่ามาต่อว่าฉันอีก
“...เดี๋ยวนี้เปลี่ยนสเปคแล้วเหรอ
ชอบสวยๆเปรี้ยวๆหัวทองๆอย่างนี้แล้วใช่มั้ย”
“เอื้อย...อย่าติงต๊องได้มั้ย...”
ฉันคิ้วขมวดเก๊กเสียงซีเรียส
ด้วยรู้สึกว่าเอื้อยกำลังพยายามจะชวนทะเลาะแล้ว
“ก็ไม่ได้ติงต๊อง
แค่ถามไว้ จะได้รู้ว่าแฟนเราชอบอะไรแบบไหน
เราจะได้ทำให้ถูกใจเขาไง
ไม่ดีเหรอ”เอื้อยยิ้มอ่อน
เธอหยุดพูดแล้วจ้องตาฉันเขม็ง
ฉันก็จ้องตอบไม่วางตาเพราะไม่อยากให้เธอพูดอะไรทำนองนี้อีกแล้ว
เอื้อยคงรู้
เธอถอนหายใจใหญ่เหมือนเธอก็ไม่อยากต่อปากต่อคำอะไรกับฉันอีกเหมือนกัน
หญิงสาวเบือนหน้าไปสงบสติอยู่นานก่อนจะก้มหน้าพินิจพิเคราะห์รูปณิชาไปเงียบๆคนเดียว...
อาหารเที่ยงคาบนั้นเป็นไปด้วยความอึมครึม
แม้อาหารที่เราสั่งมาทานจะมีรสชาติจัดจ้านอร่อยสักเพียงใดแต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้คนทานมีความสุขขึ้นมาเลยโดยเฉพาะเอื้อย
ฉันคิ้วขมวด
นั่งมองเอื้อยก้มหน้าก้มตาทานข้าวเงียบๆด้วยใบหน้าหม่นๆเหมือนคนวิตกกังวลคิดมากอยู่นาน
ก่อนจะตัดสินใจพยายามชวนเธอคุยอีกครั้งหนึ่ง
ตอนที่เราสองคนกำลังเตรียมตัวจะไปจ่ายตังค์...
“ตอนบ่ายมีเรียนมั้ย
ไปขับรถเล่นกันป่ะ” เอื้อยหยุดกึ๊ก
เธอหันใบหน้าเรียบๆไม่แสดงออกทางอารมณ์อะไรมามองฉันก่อนจะตอบ..
“ถ้าเค้ามีเรียน
ก็คงไม่ได้ไปด้วยสินะ
หึ..เจ้ยก็ไปกับเพื่อนคณะเดียวกันก็ได้นี่ถ้าอยากจะไปไหน”หญิงสาวก้มลงหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพายเตรียมเดินออกไปจ่ายตังค์ทันทีที่พูดจบ
“งั้นก็ไม่เป็นไร
ไม่ว่างก็ไม่เป็นไร
เค้าแค่ถามเฉยๆอยากพาเอื้อยไปพักผ่อนบ้าง
เผื่อมีอะไรไม่สบายใจน่ะ”
เอื้อยชำเรืองปลายตามอง
เธอยิ้มจืดๆและตอบกลับด้วยถ้อยคำเรียบๆของเธอ...
“อืม..ขอบใจนะ
ไม่เป็นไรหรอกประเดี๋ยวก็คงหาย
มันก็ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก
อย่ามาใส่ใจอะไรเค้าเลย..”
บ่ายวันนั้นฉันกลับมาหอด้วยความคิดกังวลเกี่ยวกับเรื่องเอื้อย
ฉันกลัวว่าเธอจะรู้สึกยังไงเมื่อเห็นคนอื่นแซวฉันกับณิชาอย่างนั้น
ใช่ฉันแคร์ความรู้สึกของเอื้อยมากและเข้าใจความรู้สึกของเธอดีด้วยว่าเธอจะคิดยังไง
ฉันคิดว่าถ้าเป็นฉัน
ฉันก็อาจจะโวยวายเธอไปมากกว่านี้แล้วก็ได้
ก็ฉันมันจอมคิดมาก จอมโวยวาย
ขี้หวงและขี้หึงอยู่แล้วนี่...
เอ..หรือบางทีเธออาจจะกำลังหึงฉันหรือเปล่า
อาจจะใช่นะ..เพราะฉันไม่เคยเห็นเอื้อยหึงฉันเสียทีเลยไม่รู้ว่าผู้หญิงเงียบๆเรียบๆอย่างเอื้อยเวลาหึงจะเป็นแบบไหนกัน
ใช่..จำได้ว่าตั้งแต่ที่เราคบกันมาเกือบจะเป็นปีฉันยังไม่เคยเห็นเอื้อยหึงฉันเสียที
แต่ก็นะ..ฉันมันก็ไม่มีอะไรให้หึงนี่นา
แม้ฉันจะมีคนมาชอบเยอะอย่างเอื้อยแต่ฉันกลับไม่ใช่คนที่จะชอบเอาใจหรือเทคแคร์คนทุกคนที่เข้ามาชอบตัวเองอย่างเอื้อยเท่าไหร่
ก็ฉันเป็นคนตรงๆไม่ค่อยอ่อนโยนไม่ค่อยอ่อนหวาน
แถมบางทีก็ดูกระโชกโฮกฮากชอบด่าชอบบ่นคนนั้นคนนี้ไปเรื่อย
บางทีการที่ดูเหมือนคนดุๆดูหยิ่งๆอย่างฉันมันก็เลยกลายเป็นไม่ค่อยสนใจใครเท่าไหร่
เรื่องชู้สาวหรือมือที่สาม
ฉันก็เลยไม่เคยมีให้เอื้อยกลุ้มใจเสียที
หึ..ใช่สิเนอะก็เพราะนิสัยใจคอของฉันเป็นเหมือนไฟที่โดนเชื้อเพลิงนิดๆหน่อยๆก็ลุกก็ไหม้
โมโหโทโสทุกอย่างที่ไม่ชอบนี่ล่ะ
เลยอยู่ใกล้คนอื่นๆไม่ค่อยได้
แล้วก็กลายเป็นไม่สนใจใครเลยแม้จะมีคนมาจีบมากมายขนาดไหนก็ตาม
ก็จะมีเอื้อยนี่กระมังที่เป็นเหมือนน้ำเย็นคอยช่วยดับคอยชะโลมความร้อนรุ่มไว้ไม่ให้มันลุกกระพรือไปเวลาที่ฉันเกรี้ยวกราด
ฉันก็เลยรู้สึกดีและเริ่มหลงรักเธอมาเรื่อยๆตั้งแต่ตอนนั้น
เอ..แล้วเอื้อยล่ะ??
เวลาที่น้ำเย็นอย่างเอื้อยโมโหล่ะจะเป็นอย่างไร..ฉันคิ้วขมวด
พยายามคิดถึงตอนที่เธอโมโห
เท่าที่จำได้แม้เธอไม่เคยหึงแต่ถ้าทำให้เธอโกรธเธอจะเด็ดขาดและปล่อยทิ้งทุกสิ่ง
เธอพร้อมที่จะเดินหนีโดยไม่หันหลังกลับมามองเลยเหมือนตอนที่เธอตัดสินใจคบกับกรตอนนั้น
คิดถึงใบหน้านิ่งๆของเอื้อยเวลาที่เธอไม่พอใจขึ้นมาแล้วฉันก็เริ่มกลัว
คงไม่ดีแน่ถ้าจะปล่อยให้เธอเข้าใจฉันผิดอย่างนี้
ฉันจับสร้อยคอปลาโลมามาอธิฐานขอให้ความรักฉันที่มีต่อเอื้อยช่วยทำให้เอื้อยไม่คิดมากที
ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาลองส่งข้อความไลน์เพื่อง้อเอื้อย
แต่ยังไม่ทันทำอะไรอยู่ๆก็มีสายโทรเข้ามาก่อน
เอื้อยนั่นเอง
ฉันตะกุกตะกักรีบกดรับสายทันทีที่เห็นแค่ชื่อ..
“อยู่ไหนนี่”
เสียงดุๆของเอื้อยดังมาตามสาย
“อยู่หอ..เค้ากำลังจะไลน์ไปหาอยู่เลย”
ฉันเสียงอ่อน
พยายามจะอ้อนเธอด้วยการเสนอความดีที่ว่ากำลังจะส่งข้อความหาก่อนหน้านั้น
“เหรอ..อีกครึ่งชั่วโมงจะไปรับ
รีบแต่งตัวออกมารออยู่หน้าหอด้วย..”
“อ้าว
ไหนว่า..”
ยังไม่ทันที่ฉันจะถามต่อ
เอื้อยก็พูดตัดบท “เออน่ารีบๆแต่งตัว
เดี๋ยวค่อยคุยกัน
เค้าจะขับรถไปเปลี่ยนชุดอยู่หอก่อน
แค่นี้นะ” ฉันอึ้ง
นั่งนึกถึงสิ่งที่เธอพูดอยู่ครู่หนึ่ง
ก่อนจะลุกขึ้นกระโดดโลดเต้นจับสร้อยปลาโลมาขึ้นมาจูบด้วยความดีใจที่เห็นเอื้อยหายงอนโดยที่ตัวเองยังไม่ทันได้ง้ออะไรเลย...
/////////////////////////////////////////
“คาปูชิโน่2
โกโก้ปั่น1
นมสด1
ปังปิ้งนมสด2ค่ะ..”
ฉันเงยหน้าจากเมนูขึ้นมายิ้มหวานให้พี่ที่รับออร์เดอร์
ก่อนจะส่งคืนเมนูให้เขา
ตอนนี้เมื่อฉันหันกลับมาที่โต๊ะ
ภาพหญิงสาวหน้าหวานคนที่อยู่ต่อหน้า
นั่งหันซ้ายหันขวา
ทั้งตื่นเต้นและชื่นชมความงามในร้านนมที่ฉันพามาอยู่ก็ทำให้ฉันอมยิ้มทันที..
ก่อนหน้านั้น
หลังจากที่เอื้อยโทรมา
ฉันก็รีบแต่งตัวด้วยชุดกางเกงยีนส์เอวสูงสีฟ้าซีดและเสื้อเชิตลายหมากรุกดำแดงมองดูสวยทะมัดมะแมงแบบที่เอื้อยชอบ
ฉันทั้งแต่งทั้งคิดว่าฉันจะพาเธอไปขับรถเล่นที่ไหนดีที่จะทำให้เธออารมณ์ดีขึ้นมาได้บ้าง
ในระหว่างนั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นกล้องตัวที่ณิชาให้ยืมมาเลยกลายเป็นมีไอเดียขึ้นมาว่าบางทีเอื้อยอาจจะอารมณ์ดีขึ้นมาได้บ้าง
หากฉันพาเธอไปนั่งกินนมร้านที่วิวสวยๆนั่นแล้วถ่ายภาพเธอด้วย
ใช่สิ..เอื้อยต้องชอบแน่ๆแม่ดาราคนสวยของฉัน
เธอต้องดีใจที่ได้เริ่มงานถ่ายแบบจำเป็นครั้งแรกกับคนที่เธอรักแน่ๆ
ฉันทั้งคิดทั้งยิ้มก่อนจะรีบหยิบจับกล้องตัวนั้นแล้วพกมันมานั่งกินในร้านนมที่เอื้อยกำลังตื่นตาตื่นใจนี้ด้วย...
“ร้านสวยดีนะ
รู้จักร้านนี้ได้ยังไง ”
คนสวยในชุดกระโปรงระบายสั้นๆสีขาวสะอาดตาหันมายิ้มให้ตอนที่ถาม
ฉันอึ้ง
นั่งกระพริบตาปริบๆทันทีที่ได้ยินคำถามแรกที่ฉันลืมคิดไปซะสนิทเลยว่า..แล้วเอื้อยจะไม่สงสัยเหรอ...
“เอ่อ..คือ
เคยมากับเพื่อนน่ะ”
“เพื่อน???
อย่าบอกนะว่าณิชา”เอื้อยเสียงสูง
นั่นไง..จากอารมณ์ดีๆตอนนี้เธอกำลังเจอประเด็นใหม่เกี่ยวกับฉันอีกแล้ว
“เอ่อ..ก็ใช่..โอ้ย!!เอื้อยอย่าวกเข้าเรื่องนี้อีกได้มั้ย
ขอร้องล่ะนั่งคุยกันดีๆก่อนได้มั้ยอุตส่าห์มีเวลาอยู่ด้วยกันอย่างนี้แล้วน่ะ”
ฉันคิ้วขมวดทำหน้าอ้อนเอื้อย
เธอก็คิ้วขมวด
แต่ก็พยายามปรับสีหน้าและน้ำเสียงเปลี่ยนเรื่องคุยกับฉันต่อ
“ไม่ได้เรียนเหรอวันนี้..ทำไมได้นอนทั้งห้องกันอย่างนั้น..”
“อืม..ใช่อาจารย์ไม่เข้าน่ะ
ก็แบบว่านั่งรอตั้งนานแล้วแอร์มันก็เย็น
ก็เลยเผลอหลับน่ะ
คงเพราะเหนื่อยสะสมมาทั้งสัปดาห์กันทุกคนด้วย..”
ฉันอธิบายความเป็นมาของภาพหลับทั้งชั้นก่อนจะถามคนสวยคืนไปบ้าง..
“แล้วเอื้อยล่ะไหนบอกมีเรียนบ่าย..”
เธอหัวเราะหึ
ทำหน้าเฉยชา ไม่แคร์ไม่สนโลกก่อนจะตอบว่า..
“ก็มีเรียน
แต่เค้าไม่ได้เรียนเองนี่ล่ะ
เค้าเข้าไปเช็คชื่อแล้วก็ออกมาเลย
วันนี้ไม่อยากเรียนน่ะ
ใจคอไม่ดียังไงไม่รู้”
จึ๊ก..ฉันหุบยิ้มทันทีที่ได้ยินประโยคนี้
“กำลังจะพูดเข้าเรื่องนั้นอีกแล้วใช่มั้ย..”
ฉันถอนหายใจใหญ่
ก่อนจะคิ้วขมวดสั่งสอนเด็กเกเรแอบทำตัวเหลวไหลด้วยความไม่พอใจทันที
“ทำไม ใจคอไม่ดียังไง
ไม่อยากเรียนก็เลยโดดเรียนอย่างนี้เนี่ยนะ
ถ้าแม่รู้เข้าจะทำยังไง
ทำอะไรทำไมไม่คิดถึงแม่เลยอ่ะ
ไหนว่ามาสิใจคอไม่ดียังไง
มันมีอะไรนักหนา”
เอื้อยนั่งนิ่งตีหน้าตาย
เธอไม่พูดอะไรตอบจนฉันต้องถามย้ำ
“หึ ว่าไงทำไมไม่พูดอะไร
นี่อย่าบอกนะว่าจะโดดเรียนมาเพื่อจับผิดเค้าอย่างนั้น”
“ถ้ามีความผิดให้จับก็จะจับ..”
หญิงสาวว่า
ประโยคคำพูดแถๆกวนๆอย่างนั้นทำให้ฉันหัวร้อนทันทีที่ได้ฟัง
“อ้อเหรอ
มีความผิดให้จับก็จะจับอย่างนั้นเหรอ
ถ้าอย่างนั้นชาตินี้ทั้งชาติก็คงไม่ได้จับเค้าหรอกนะ
เค้าไม่ใช่คนอย่างนั้นเอื้อยก็รู้
ถ้าเค้าเป็นคนเจ้าชู้หลายใจป่านนี้เค้าคงไม่ได้คบแค่เอื้อยคนเดียวแล้วมั้ง
อย่าลืมสิว่าเอื้อยคือแฟนคนแรกของเค้า
ตั้งแต่เด็กจนมาถึงม.6นี่เค้าพึ่งจะมีแฟนคนแรกทั้งๆที่คนมาจีบเค้าก็เยอะแยะคิดว่ามันเป็นเพราะอะไรล่ะ
ห๊ะ!!
ถามหน่อยซิ
เค้ามันดูเหมือนคนเจ้าชู้ขนาดนั้นเลยเร๊อะ!!!”
“ก็ยังไม่ทันว่าเจ้าชู้อะไรเล้ย
ร้อนตัวหรือเปล่า” เอื้อยยิ้ม
หน้านิ่งๆของเธอยิ่งดูยิ่งกวนอารมณ์โมโหฉันไปใหญ่
“งั้นจับผิดอะไรมิทราบ!!”
“ก็เปล่า..ก็ถึงบอกไงถ้ามีให้จับก็จะจับ
ถ้าไม่มีให้จับก็แล้วไป”
“อ๋อนี่กวนเหรอ..”ฉันยกนิ้วขึ้นชี้หน้าเอื้อย
“ก็เปล่า..ก็พูดจริง
ถ้าไม่ได้มีความผิดก็ไม่ต้องร้อนตัวสิ
อยู่เฉยๆก็จบ
รุกรี้รุกรนให้เป็นพิรุธทำไม..”ฉันพยายามควบคุมลมหายใจ
พยายามหายใจเข้าลึกๆเพื่อสงบสติอารมณ์ของตัวเองไว้...
...ให้ตายเถอะยามนี้
ทำไมคนที่ช่วยให้อารมณ์ฉันผ่อนคลายได้
กลายเป็นมาเพิ่มความโมโหให้ฉันเสียเองแล้วนะ
ฉันกลั้นโมโหก่อนจะยกมือขึ้นมาอย่าศึก
“เอื้อยพอเหอะ
เราไม่เคยทะเลาะกันด้วยเรื่องอย่างนี้สักที
เค้าว่ามันไร้สาระนะ
เรา..มาคุยกันดีๆเถอะ
เค้ารู้สึกไม่ดีเลยที่เห็นเอื้อยเป็นแบบนี้...”
เอื้อยนิ่ง
เธอเบือนหน้าหนีไปสงบสติอารมณ์ของเธออยู่ครู่นึง
ก่อนจะถอนหายใจแล้วหันมาพยายามยิ้มให้ฉัน..
“ขอโทษ..
เค้าอาจจะเครียดเรื่องแม่ค้างน่ะ
เค้าก็เลยงี่เง่าไปหน่อย
เค้าแค่รู้สึกว่าตอนนี้เค้าต้องการให้เจ้ยอยู่ข้างๆเค้าแค่นั้น
เฮ้อ..บางทีเค้าอาจจะแค่หวงเจ้ยก็ได้เพราะเค้าไม่เคยเจอใครที่อยู่ใกล้ชิดเจ้ยในแบบที่เค้าเคยเป็นเสียที
มันก็เลยทำให้เค้าแอบกลัวไม่ได้ว่าเพื่อนเจ้ยคนนั้นจะเข้ามาในชีวิตเจ้ยเหมือนอย่างที่เค้าเป็นหรือเปล่า”
“ไม่หรอกน่า
อย่าคิดมาสิ
มันไม่มีอะไรหรอก”ฉันเอื้อมมือไปกุมมือเอื้อยไว้
ได้ผลหญิงสาวยิ้มรับแล้วยกมืออีกข้างขึ้นมากุมมือฉันไว้เหมือนกัน....
ไม่นานหลังจากนั้นบรรดาเครื่องดื่มต่างๆก็ถูกเสริฟวางเรียงรายเต็มอยู่บนโต๊ะ
ฉันร้องห้ามเอื้อยตอนที่เธอกำลังจะยกแก้วกาแฟขึ้นดื่ม
“เดี๋ยวสิ ถ่ายรูปก่อน..”
“อ๋อ...เอาสิ”
เอื้อยว่า
เธอก้มลงหาโทรศัพท์ของเธอขึ้นมาเตรียมจะถ่ายเหมือนกันแต่ต้องมาชะงักเมื่อเห็นฉันหยิบกล้องตัวใหญ่สีดำทะมึนขึ้นมาเตรียมต่อหน้าเธอก่อน..
“เอ๋..เจ้ยมีกล้องอย่างนี้ด้วยเหรอ
ทำไมเค้าไม่เห็นรู้เลย”
เธอนั่งอึ้งมองกล้องตัวนั้นด้วยความสงสัย
“เอ่อ
กล้องเพื่อนเค้าน่ะ
พอดีเพื่อนให้ยืมมาให้ก่อน
คืองานคณะเค้ามันต้องได้ถ่ายรูปงานถ่ายภาพตีฟเอาไว้ดูด้วยน่ะก็เลย..เอ่อ
ก็เลยเอาของเพื่อนมาใช้ก่อนน่ะ..”
“เหรอ..เพื่อนเจ้ยใจดีจัง
กล้องตั้งแพงให้ยืมใช้เฉยๆด้วย..”
หญิงสาวนั่งนิ่งเหมือนต้องการจับจ้องหาคำตอบอะไรสักอย่างจากแววตาฉัน
“ใครล่ะ..ณิชาเหรอ”
“เปล่า
เพื่อนคนอื่น เอ่อ..นัทแว่นน่ะ
ไม่ใช่ณิชาหรอก..”
ฉันหลุดปากพูดโกหกเอื้อยเสียแล้ว
ทำไงได้ฉันแค่ไม่อยากให้เธอคิดมากเท่านั้นเอง
“เลิกคิดมากเรื่องคนอื่นซักทีเถอะนะ
ที่เค้าชวนเอื้อยมาที่นี่ก็เพราะเห็นว่าที่นี่บรรยากาศดีวิวสวยเค้าเลยอยากถ่ายรูปเอื้อย
เค้าอยากให้เอื้อยเป็นนางแบบคนแรกของเค้าเข้าใจมั้ย
เห็นบอกว่าจบไปแล้วจะไปเป็นดาราไม่ใช่เหรอ
ตอนนี้ก็มาฝึกประสบการณ์กับตากล้องมือใหม่อย่างเค้าก่อนดีมั้ย
นะ..แล้วก็เลิกพูดเข้าประเด็นนั้นสักทีเถอะน่ะเค้าเบื่อแล้ว
แล้วก็ยิ้มด้วย
เดี๋ยวภาพไม่สวยเข้าใจมั้ย..”ฉันยิ้ม
ก่อนจะยกกล้องในมือขึ้นลองจับโฟกัสคนสวยที่เริ่มยิ้มออกเมื่อเห็นว่าฉันพูดดีเอาใจเธออย่างนั้น
แม้รอยยิ้มที่ปรากฏในภาพถ่ายจะแฝงไว้ด้วยความรู้สึกไม่สบายใจของหญิงสาวแววตาหม่นๆตลอดเวลาก็ตาม
…
จากเหตุการณ์ในวันนั้นดูเหมือนนางฟ้าผู้มองโลกในแง่ดีเสมอจะเริ่มมุมมองบางอย่างต่อฉันที่เปลี่ยนไป
ไม่สิ..ไม่ใช่เฉพาะมุมมองด้วย
เธอกำลังเปลี่ยนไปทั้งหมดทั้งความคิด
พฤติกรรม หรือแม้แต่การแสดงออกที่มีต่อฉัน..
วันอังคาร
ฉันวิ่งกระหืดกระกระหอบ
หอบกระดานสเก็ตแบบและกระเป๋าลงมาหาเอื้อยที่มารอรับฉันอยู่หน้าหอตั้งแต่เช้าๆ
กลิ่นน้ำหอมกลิ่นแปลกหอมฟุ้งรุนแรงพุ่งเข้าจมูกทันทีที่ฉันเปิดประตูเข้าไปในรถ
ฉันทำจมูกฟุดฟิดๆดมหาที่มาของกลิ่นไปเรื่อยๆจนไปเจอต้นตอว่า..มันมาจากหญิงสาวคนขับที่หันหน้าตรงไม่มองฉันอยู่ตอนนี้
ซึ่งทันทีที่เธอหันมา
ความประหลาดใจน้อยๆก็เกิดขึ้นกับฉันทันที..
“เอ๋???วันนี้รีดผมตรงด้วยนี่..”
ฉันอึ้งนั่งมองเอื้อยยักคิ้วยิ้มสวยรับก่อนจะเริ่มคิดได้ว่า
เฮ้ย..จริงๆไม่ใช่แค่ทรงผมรีดตรงยาวเหยียดเท่านั้นที่เปลี่ยนแปลง
วันนี้เอื้อยยังแต่งหน้าเข้มมาด้วย
ฉันมองริมฝีปากกระจับสวยสีแดงกับส่วนประกอบต่างๆของใบหน้าที่เธอบรรจงลงสีให้แลดูเข้มมองดูสวยคมแปลกตากว่าทุกวัน
จนรับรู้ได้เลยว่าเธอแต่งหน้ามาเรียนด้วย..
..ไม่สิ
ไม่ใช่แค่หน้าตาและทรงผมเท่านั้น
ตอนนี้แม้แต่เสื้อผ้าของเธอก็ยังดูแปลกๆ
ฉันมองดูเสื้อนักศึกษาที่เธอใส่
มันคับติ้วรัดหน้าอกหน้าใจของเธอนูนสูงขึ้นมา
มองเห็นบราสีดำผ่านทางร่องกระดุมเสื้อนักศึกษาชัดเจนขึ้นทันทีที่เธอกำลังพยายามเหยียดตัวตรงอย่างนี้....
อึ๊ก..ฉันยกมือขึ้นปิดจมูกทันทีที่เริ่มรู้สึกว่ามีความร้อนวูบวาบๆผ่านมาตามช่องจมูกของฉัน
ก่อนจะพยายามใช้มืออีกข้างควานหาผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าขึ้นมาประคบจมูกไว้
ตอนที่คิดได้ว่าเลือดกำเดาของฉันกำลังจะไหลแล้ว...
“เฮ้ย!!เจ้ยเป็นอะไรคะ”
เอื้อยตาโต
เธอท้วงฉันทันทีที่เห็นฉันแหงนหน้าพิงเบาะรถแล้วเอาผ้าเช็ดหน้าประคบจมูกไว้อย่างนั้น
“เดี๋ยวๆไม่เป็นไรไม่เป็นไร
แค่รู้สึกวินๆเวียนๆเฉยๆเอื้อยนั่งอยู่เฉยๆตรงนั้นล่ะไม่ต้องก้มด้วย”
ฉันพยายามดันเอื้อยให้กลับไปนั่งที่เบาะตัวเอง
ก่อนจะพยายามหายใจเข้าลึกๆลึกๆจนเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังเริ่มปรับตัวได้แล้ว
“ใส่ดันทรงใหม่มาเหรอ
ทำไมวันนี้มันดูแปลกๆ..”
ฉันทั้งถามทั้งก้มลงสำรวจผ้าเช็ดหน้า
โชคดีที่มันยังขาวสะอาดดี
ไม่มีร่องรอยของเลือดแดงใดๆเลย
“หืม..”
เอื้อยหน้าแดงก้มหน้าลงมองหน้าอกตัวเองก่อนจะพยักหน้ารับอย่างอายๆ
“ใช่..มันแปลกเหรอ
แปลกยังไง”
เอื้อยว่าหน้าเธอก็ยังแดงระเรื่ออยู่ตอนที่ถาม
“ก็..ก็..ก็มันพุ่งๆพิกล”
ฉันหน้าแดงแจ๋พยายามอธิบายถึง
“มัน” ที่ฉันก็เคยเห็นของจริงมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว
แต่ไหงครั้งนี้แค่มองผ่านจากเสื้อนักศึกษาแค่นี้
มันกลับให้ความรู้สึกว่ามันพุ่งจนแทบจะทะลักออกมาจากร่องกระดุมเสื้อนักศึกษาที่กำลังจะปริไม่ปริแหล่อยู่แล้วตอนนี้
“อื้ม..บราตัวใหม่กับเสื้อนักศึกษาตัวใหม่น่ะ
พอดีเมื่อวานลองเข้าไปซื้อมาดู
อยากลองเปลี่ยนดูบ้างน่ะ”
“รวมถึงทรงผมกับเอ่อ..แต่งหน้าด้วยเหรอ”
ฉันรีบถาม
มือก็พยายามอธิบายถึงความเปลี่ยนแปลงที่เห็นอยู่บนใบหน้าของเธอไป..
“ใช่..เอ่อ..คือลองแต่งดูนะ
เห็นเพื่อนๆที่คณะเค้าแต่งสไตล์นี้ไปเรียนกันเยอะ
เค้าก็เลยลองบ้าง
คือ..ไม่รู้สิเบื่อหน้าตัวเองอ่ะ
ก็เลยอยากลองเปลี่ยนดูเฉยๆ”
หญิงสาวว่า เธอยักไหล่ส่ายหน้าตอนที่บอกว่าเบื่อ
“เบื่อเหรอ
หน้าเอื้อยมีอะไรให้เบื่ออ่ะ”
ฉันหัวเราะหึๆทันทีที่ได้ยินเอื้อยว่า..
...โหย
ให้ตายเถอะอยากมีโมเมนต์ที่ว่าสวยจนเบื่อหน้าตัวเองบ้างจังเลยอ่ะ..
“อยากลองมองโลกได้ครึ่งเลนส์บ้างป่ะล่ะจะได้หายเบื่อ”
ฉันแซวเอื้อยตอนที่แกล้งแขวะเรื่องตาชั้นครึ่งของตัวเอง
แม้ฉันจะว่ามันไม่ค่อยสวยแต่ฉันก็ยังอยู่กับมันมาได้จนอายุเกือบจะยี่สิบโดยที่ไม่มีคำว่าเบื่อเลย
“เจ้ยประชดเค้าเหรอ”
เอื้อยเม้มปากส่งสายตางอนๆและน้ำเสียงตัดพ้อฉัน..
“..อะไรกันคำแรกที่หวังจะได้ยินจากแฟนตัวเองก็ยังไม่ได้ยินเลย
แล้วมิหนำซ้ำยังมาประชดประชันเค้าอีกน่ะ
แต่ก่อนไม่เห็นเป็นอย่างนี้เลยนะ
นี่จริงๆต้องชมเค้าแล้วนะ
แต่นี่ไม่อะไรเลยน่ะ
เปลี่ยนไปเลยนะตั้งแต่ได้เจอ....”
“เดี๋ยว!!..หยุด!!..”ฉันยกมือขึ้นรีบเบรคเอื้อย
“กำลังจะวกไปเรื่องนั้นอีกแล้วใช่มั้ย
นี่เค้ายังไม่ทันได้ชม
ไม่ใช่ไม่ชมนะ
ใจเย็นก่อนดิรีบหัวร้อนไปไหนนี่
ฟังนะ เอื้อยสวยและสวยมาก
มากแบบกอไก่ล้านๆตัวเลยรู้ตัวป่ะ”
“ประชด!!”
เอื้อยมองแรง
เธอก็เบรคฉันทันทีที่ได้ยินฉันว่า
“เอาดีๆพูดดีๆ..”
“ก็สวยจริง”ฉันยิ้มก่อนจะเอื้อมมือไปลูบผมเอื้อย
“ต่อให้แต่งสวยกว่านี้หรือขี้เหล่กว่านี้เอื้อยก็ยังสวยในสายตาเค้าเหมือนเดิม
เค้าเคยอิจฉาในความสวยเอื้อยวันแรกยังไง
ตอนนี้เค้าก็ยังอิจฉาอยู่อย่างนั้นเหมือนเดิมล่ะ
อย่าลืมสิว่าเอื้อยเป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้เค้าเริ่มรู้สึกรักผู้หญิงด้วยกันได้นะ”
เอื้อยส่งสายตางอนมองค้อนฉันก่อนจะหันไปบังคับพวงมาลัยใบหน้านิ่งๆ...
“แล้วถ้าวันนึงมีคนสวยกว่าเค้ามาชอบเจ้ยล่ะ
เจ้ยจะทำยังไง”ฉันอมยิ้ม
เลื่อนมือลงมาจับแก้มเธอด้วยความเอ็นดูทันทีที่ได้ยินประโยคบอกใบ้เล็กๆว่าเธอกำลังกลัวฉันจะปันใจให้คนอื่น
“ไม่มีหรอก
และถึงมีเค้าก็ไม่ชอบเหมือนเดิมนั่นล่ะ
เชื่อใจเค้าเถอะนะ
เค้าไม่ใช่คนอย่างนั้นเอื้อยน่าจะรู้..”
น้ำเสียงหนักแน่นของฉันคงจะเรียกกำลังใจจากเธอได้บ้าง
หญิงสาวยิ้มออก
เธอยื่นมือขึ้นมากุมมือฉันไว้แล้วใช้แก้มคลอเคลียมันเบาๆด้วยความโล่งใจลึกๆของเธอ
ก่อนจะออกรถเดินทางไปพาฉันไปส่งที่คณะหลังจากนั้น...
พักเที่ยงวันนั้น
ฉันเดินรีบเร่งออกจากคณะด้วยต้องการมาให้ทันเวลานัดทานข้าวเที่ยงกับเอื้อยไว้
แต่ยังไม่ทันเดินพ้นจากหน้าตึกเท่าไหร่
หญิงสาวคนนั้นก็รีบเดินฉับๆเข้ามาขนาบข้างฉันไว้แล้ว
“ป่ะ
ไปกินข้าวกัน” เอื้อยพูด
มือเธอก็ยื่นมาดึงมือฉันไป
หน้าเธอก็แดงระเรื่อตอนที่สบตากับฉัน
“ห๊าาา..ไหงวันนี้เดินออกจากรถมารับได้ล่ะ”
ฉันอึ้งเหลียวมองหน้าเอื้อยด้วยความงงทันทีที่เห็นตัวเธอเป็นๆยืนขนาบฉันบนฟุตบาทหน้าคณะตอนนี้
เอ..ปกติแล้วเอื้อยจะอายคน
เธอไม่ค่อยลงมาจากรถเลยเวลาที่เธอมารับมาส่งฉันอย่างนี้
แล้วนี่..เธอเดินมาถึงนี่ได้ยังไง..
“เอ่อ..คือเค้าหิวน่ะ
รอนานแล้วก็เลยลองเดินจากรถมาดูเฉยๆ
ว่าเจ้ยทำอะไรอยู่”
“ทำอะไรอยู่อย่างนั้นเหรอ??..”คำตอบมีพิรุธของเอื้อยนั้นทำฉันถามย้อนทันทีที่คิดได้ว่าปกตินานกว่านี้ก็ยังรอได้โดยไม่สงสัยเลย
แม้ในหัวจะมีคำตอบอยู่แล้วว่า..เธอคงแค่ต้องการเดินมาเพื่อจับผิดฉันเท่านั้นเอง
นี่คงอยากรู้ล่ะสิว่าฉันจะเดินไปไหนมาไหนกับใครยังไงในคณะ
หรือเธอคงคิดว่าฉันจะเดินออกมากับณิชาอย่างนั้นใช่มั้ย
ฉันเหล่มองเอื้อยก่อนจะหัวเราะหึๆทันทีที่รู้ทันแผนการร้ายของเธอ..
หึ..นับว่าเป็นโชคดีที่ยัยณิชาโดดเรียนคาบเช้าวันนี้
ไม่อย่างนั้นเอื้อยคงจะได้เจอภาพยัยณิชาวิ่งกระหืดกระหอบตามติดแจลงมาจากคณะเหมือนทุกๆวันนั่นอีกแน่ๆ
ภาพยัยเจ๊ณิชาแอบย่องเดินถือกระเป๋าออกจากห้องเลคเชอร์ตอนที่เธอขานชื่อตัวเองไปไม่เท่าไหร่ปรากฏอีกครั้ง
นึกถึงหน้าตากระล่อนตอนที่เธอทำเป็นมาเรียกฉันว่า
“ที่รัก”
ตามเรื่องที่เพื่อนโพสภาพแซวเรื่องคู่นอนเมื่อวานแล้วก็อดที่จะหมั่นไส้ไม่ได้
ชิ..สมน้ำหน้า
นี่เธอคงเคลียร์ปัญหาชีวิตยังไม่ลงตัวอีกแน่ๆก็เลยโดดเรียนคาบเช้าไปดื้อๆอย่างนั้น...
เสียงผิวปากหวีดวิ้วดังเข้ามาเรียกสติฉันอีกครั้งนึง
ฉันหันไปตามเสียงมันเป็นเสียงของรุ่นพี่ผู้ชายในคณะที่นั่งจับกลุ่มคุยอยู่ที่สวนด้านหน้า5-6คน
ตอนนี้พวกเขาพากันเหล่มองมาที่ฉันกับเอื้อยด้วยสายตากรุ้มกริ่ม..
“น้องจอเจ้ยก็สวย
เพื่อนน้องจอเจ้ยก็ยิ่งสวย..”เสียงหนึ่งแว่วดังผ่านมา
ซึ่งเอื้อยก็หน้าแดงทันทีที่ได้ยิน
ฉันชำเรืองมองสายตาพี่ๆพวกนั้นมันเหมือนจะมองต่ำๆมาแถวๆเนินขาของเอื้อยด้วย
โอ้ใช่..พี่พวกนั้นต้องมองขายาวๆขาวเนียนของเอื้อยแน่นอนสิ
ฉันคิ้วขมวดหันมามองกระโปรงของเอื้อยทันทีที่นึกขึ้นได้ว่าวันนี้แม่เจ้าประคุณก็ดันใส่กระโปรงทรงAสั้นจู๋เข้าชุดกับเสื้อนักศึกษารัดรูปที่เห็นเนื้อนมพุ่งเมื่อเช้านั่นอีก
ให้ตายเถอะ..เพราะมัวแต่นั่งมองแต่ช่วงบนของเธอเลยลืมมองไปเลยว่าวันนี้ช่วงล่างของเธอก็จัดมาเต็มไม่แพ้กันเลย
ฉันเอามือกุมขมับทันทีที่นึกได้
นี่ถ้าไม่ลงจากรถมาก็จะไม่เห็นชัดขนาดนี้เลยน่ะนี่
ฉันคิ้วขมวดนึกตำหนิเอื้อยในใจ
ก่อนจะได้ยินเสียงแซวแว่วๆดังมาเป็นเพลงอีกครั้งหนึ่ง...
“ดูเธอออกจะเซ็กซี่ยามที่..ยามเธอส่ายเอว
ส่ายเอว..”
ซึ่งทันทีที่เอื้อยได้ยินเสียงฮัมเพลงนี้
เธอก็คงจะคิดเรื่องกระโปรงสั้นจู๋ของเธอได้พอดี
ตอนนี้เลยกลายเป็นรีบขยับขาชิดกัน
ทั้งยื่นมือทั้งสองข้างลงมาพยายามดึงรั้นชายกระโปรงทรงเอของตัวเองลงมาไว้
โดยหวังว่าผ้าพวกนั้นมันคงจะยืดตามแรงมือที่เธอดึงๆรั้งๆอย่างนี้บ้าง
...หึ..คงจะยืดลงมาอยู่หรอกนะ..
ฉันตาขวางรีบยื่นกระดานสเก๊ตซ์แบบไปให้เอื้อยถือ
“เอ้า..เอาไปบังกระโปรงไว้
ทีหลังอย่าใส่มาสั้นขนาดนี้นะ
มันโป๊เกินไป เค้าไม่ได้ชอบ”
ฉันทำเสียงดุ
ตาก็จ้องตำหนิด้วยความหวงเนื้อหวงตัวแฟนสาวของตัวเอง
กลัวเธอจะกลายเป็นของหวานอาหารตาให้เสือสิงห์พวกนี้มองอิ่มกันฟรีๆอย่างนั้น
เอื้อยหน้าแดงกร่ำ
เธอพยักหน้าน้อมรับด้วยความรู้สึกผิด
ก่อนจะรับกระดานนั้นไปบังกระโปรงไว้แล้วรีบเดินไปขึ้นรถกับฉันทันที...
//////////////////////////////////////////////
“เฮ้อ..
ผมคืนทรงอีกแล้วอ่ะ
อุตส่าห์นั่งรีดทั้งเช้า..”เสียงนอยด์ๆของเอื้อยดังขึ้นตอนที่เธอส่องกระจกบานเล็กๆที่เธอหยิบขึ้นมาหลังจากที่นั่งอยู่บนโต๊ะทานข้าวแล้ว
ฉันอมยิ้มมองดูเอื้อยคิ้วขมวดพยายามใช้มือดึงผมหยักศกของเธอยืดลงมาตรงๆด้วยความเซ็งแสนเซ็งของเธอไป
“
ไม่ต้องไปดึงมันหรอกน่า
ปล่อยไว้อย่างนั้นล่ะ
ผมเอื้อยธรรมชาติน่ะสวยจะตาย”
เอื้อยหันมาเม้มปากมองฉัน
“ไม่เชื่อหรอก
คนผมตรงสิสวย”ฉันหัวเราะรีบต่อล้อต่อเถียงเธอทันที
“อ้อเหรอ..แล้วทำไมเค้าถึงนิยมม้วนผมเป็นลอนหยักศกแบบเอื้อยกันล่ะ
นี่ขนาดเค้า
เค้ายังอยากให้ผมเป็นลอนเหมือนเอื้อยเลยเห็นมั้ย"
ฉันจับผมยุ่งๆฟูๆของตัวเองขึ้นมาโชว์เอื้อย
“ก็เลยปล่อยไว้ฟูๆอย่างนั้น???”
เอื้อยว่า
เธอยิ้มออกทันทีที่หันมาพินิจพิเคราะห์ทรงผมของฉันที่ช่วงนี้ฉันไม่ค่อยได้ดูแลมันเท่าไหร่
สระผมเสร็จฉันก็ไม่ได้ไดร์อะไรมีแต่ปล่อยให้แห้งเอง
มิหนำซ้ำยังนอนทับผมด้วยความง่วงแสนง่วงทั้งๆที่ผมตัวเองยังเปียก
ตื่นเช้ามาก็เลยได้ผมทรงใหม่มองดูคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นทรงเดียวกันกับเอื้อยอย่างนี้
“หวีผมบ้างป่ะนั่น”
เอื้อยว่าตาก็จ้องเขม็งไปที่ผมของฉันต่อ
“หวีสิ
หวีตลอดล่ะ
แต่เข้าใจป่ะคนนอนทับผมตัวเองตอนไม่ทันแห้งอ่ะ
มันก็เลยได้ทรงผมเหนือธรรมชาติอย่างนี้ล่ะ”
เอื้อยหัวเราะหึๆที่ได้ยินมุกฝืดๆของฉันก่อนจะหยิบผมเธอขึ้นมามองด้วยความเซ็งของเธอไปต่อ..
“อุตส่าห์พยายามแต่งตัวสวย
แต่ก็อยู่ได้ไม่เท่าไหร่ก็เป็นเหมือนเดิมซะแล้ว
อย่างนี้จะเอาอะไรไปไฟรท์กับเขาได้ล่ะนี่..”
“อะไร???
จะไปไฟรท์อะไรกับใคร..”ฉันคิ้วขมวดเหล่ตามองเอื้อยทันทีที่ได้ยินเสียงบ่นลอยๆอย่างนั้น
“ณิชาเหรอ..นี่อย่าบอกนะว่าที่แต่งตัวแปลกๆมาวันนี้ก็เพราะอยากจะไฟรท์กับเขาน่ะ
โหย..แล้วถามเขาหรือยังว่าเขาอยากจะมาไฟรท์อะไรกับเอื้อยหรือเปล่านี่
เขาไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเล้ย
แล้วเค้าเองก็ไม่ได้ดีขนาดจะมีคนมาเปิดศึกไฟรท์แย่งกันอย่างนั้นหรอกน่า
เลิกคิดมากเถอะนะ”ฉันทั้งพูดทั้งขำ
อารมณ์อยากปลอบใจคนรักของตัวเองให้เลิกคิดมากเสียที
ทั้งเอื้อมมือไปยีผมเธอด้วยความเอ็นดูที่ยอมลงทุนแต่งตัวเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นคนละลุคเพื่อฉันซะขนาดนี้
“นี่เอื้อยหึงเค้าใช่มั้ย..”
ฉันยิ้มก่อนจะก้มหน้ากรุ่มกริ่มแซวหยอกเธอไปด้วยประโยคที่ครั้งนึงเธอก็เคยพูดกับฉันเหมือนๆกัน
“ดีจังทำให้คนหึงได้บ่อยๆ...”
“มันไม่ดีเท่าไหร่หรอก
อย่าพยายามทำให้เค้าหึงเจ้ยบ่อยๆเลย
บางทีเจ้ยอาจจะไม่อยากรักเค้าเลยก็ได้
ถ้าเจอแรงหึงของเค้าน่ะ..”
หญิงสาวว่า
เธอจ้องหน้าฉันด้วยแววตาซีเรียสไป
จนฉันต้องยื่นมือทั้งสองข้างไปกุมมือเธอ
บรรเทาอาการวิตกกังวลของเธอไว้ก่อนที่มันจะลุกลามมากกว่านี้...
“เข้าใจนะว่าหวงเค้า
หึงเค้าน่ะ แต่มันยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
มีแต่ตัวเอื้อยเองเท่านั้นล่ะที่ระแวงและคิดมากไปเองน่ะ
เป็นตัวของตัวเองเถอะนะไม่มีใครเขาอยากมาไฟรท์อะไรกับเอื้อยหรอก..”
เอื้อยหัวเราะหึ
เธอถอนหายใจพยักหน้ารับ
หญิงสาวนั่งนิ่งเหมือนคิดอะไรอยู่ครู่นึงก่อนจะแอบสารภาพความรู้สึกกังวลใจของเธอออกมาหลังจากนั้น....
“ไม่รู้สิ
เค้าแค่รู้สึกว่ามันต้องมีอะไรบางอย่างอยู่ในนั้น
ไม่รู้ว่าเจ้ยจะเป็นเหมือนเค้ามั้ยนะ
เรื่องอย่างนี้มันไวต่อความรู้สึกของผู้หญิงอย่างเรา
มันอาจจะเป็นเซนส์ของคนที่รักกันก็ได้
ก็คงจะเหมือนเจ้ยตอนที่หึงและกังวลเรื่องเค้ากับอันตอนนั้นล่ะมั้ง..”
ฉันนั่งนิ่งฟัง
แม้ในใจจะคิดตามและเห็นภาพในยามที่ฉันหึงหวงนั้นชัดเจนขนาดไหน
แต่ก็ไม่ได้แสดงความเห็นด้วยออกมา
ได้แต่พยายามทำตัวสุขุมไว้เพราะอยากให้เธอมั่นใจในท่าทีที่เปลี่ยนไปแล้วของฉันมากกว่า...
ใช่...ถึงฉันจะขี้หึงอย่างไร
ฉันก็ไม่อยากให้แฟนฉันหึงฉันตามอย่างนั้นหรอก
การหึงไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย
อนุภาคของการคิดไปเองทำลายต่อมเอ็นโดฟินส์ในชีวิตรักที่ควรจะเป็นในยามนั้นไปเสียหมด
ถ้าเอื้อยหึง เธอก็คงไม่มีความสุขในชีวิต
ความเหงาและความว้าเหว่ที่ต้องอยู่คนเดียวในยามที่ไม่มีแม่อย่างนี้
อาจจะทำให้เธอยิ่งคิดและวิตกกังวลจนไม่เป็นอันทำอะไรเลยเช่นเดียวกันกับฉัน
ฉันอยากให้เธอมีกำลังใจ
อยากให้มีสมาธิ จะได้ตั้งใจเรียนมากกว่านี้
ยิ่งเห็นเอื้อยกระวนกระวายใจอย่างนี้ฉันก็ยิ่งรู้สึกไม่ดีจนต้องพยายามหาวิธีทำให้เธอมีความมั่นใจในตัวฉันเพิ่มขึ้นให้ได้
ฉันทั้งคิดทั้งก้มลงมองกระดานสเก๊ตซ์แบบบนโต๊ะก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้...
“เอ้อ..เค้ามีอะไรจะบอก
” ฉันร้องบอกเธอด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
เพราะนึกถึงเรื่องบางเรื่องที่คนรักฉันคงจะดีใจมากแน่ๆถ้าฉันได้เอ่ยปากชวนเธอไปแล้ว
หญิงสาวเลิ่กคิ้วรอฟังด้วยความสนใจหลังจากที่เห็นท่าทางกระตือรือร้นของฉัน...“ว่า....”
“คืนนี้เค้าจะไปเขียนแบบที่สตูนะ
เอื้อยจะไปด้วยมั้ย..”