นิยายหญิงรักหญิง Girlfriend Season2
Chapter 2
Campus life
ในช่วงเดือนแรกๆของการเรียนมหาวิทยาลัยปีหนึ่ง
นอกจากฉันจะได้เรียนรู้ทักษะวิชาต่างๆตามหลักสูตรคณะของตัวเองและหลักสูตรภาคบังคับของมหาวิทยาลัยแล้ว
ฉันยังต้องแบ่งเวลามาทำกิจกรรมต่างๆของทั้งทางมหาวิทยาลัยและทางคณะด้วย
ซึ่งกิจกรรมที่ต้องทำประจำในแต่ละวันของชีวิตน้องใหม่อย่างฉัน
สามารถแบ่งออกเป็นสองส่วนของช่วงเวลาแต่ละวันดังนี้คือ
...
ช่วงเช้าฉันจะไปเรียนที่คณะ
ใช่..เด็กปีหนึ่งที่ใฝ่เรียนทุกคนต้องไปเรียนที่คณะกันหมด
ไม่มีใครกล้าหนีหายไปไหน
เพราะพวกเราแต่ละคนต้องรับผิดชอบในการเก็บหน่วยกิตหรือเรียนให้ครบตามหลักสูตรวิชานั้นๆให้ได้
ที่นี่ไม่มีการตาม ไม่มีการเรียกหา
หากนักศึกษาไม่มา อาจารย์ก็จะปล่อย
การเรียนให้จบมหาวิทยาลัยนั้นนอกจากจะใช้ความรู้และความสามารถของตัวเองแล้ว
เรายังต้องอาศัยความรับผิดชอบที่มากขึ้นกว่าระดับมัธยมอีกด้วย
หากเราไม่เข้าเรียนขาดเช็คชื่อตามที่อาจารย์กำหนดจำนวนครั้งไว้แล้ว
อาจารย์ก็จะตัดสิทธิ์การสอบทันที
ถ้าเราไม่ผ่านเราก็ต้องมาเสียเวลานั่งเรียนใหม่
อาจจะทำให้จบช้ากว่าเพื่อนปีหนึ่ง
หรือมากกว่านั้นก็ได้ถ้าจำนวนรายวิชาที่ไม่ผ่านนั้นเกินกว่าทางมหาวิทยาลัยกำหนด
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเราเกือบๆจะทุกคนต้องมีความกระตือรือร้น
และมีความใส่ใจในการเรียนของคณะตัวเองค่อนข้างสูง
ซึ่งการเรียนของแต่ละคนแต่ละคณะก็คงจะมีรายละเอียดที่แตกต่างกันออกไป
สำหรับคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ที่ฉันเรียน
วิชาส่วนมากจะแบ่งการเรียนการสอนออกเป็นสองพาร์ทต่อรายวิชาพื้นฐานของคณะ
วิชาพื้นฐานพวกนี้ก็ได้แก่วิชาจำพวกออกแบบ
เขียนแบบ และความรู้เกี่ยวกับสถาปัตยกรรมศาสตร์ทั่วไป
ซึ่งเราจะใช้เวลาเรียนมันทั้งวันเช้าถึงเย็น
โดยจะแบ่งออกเป็น
คาบเช้าเรียนทฤษฎีและคาบบ่ายจะเป็นปฏิบัติ...
ในส่วนภาคความรู้ในช่วงเช้า
อาจารย์จะสอนทฤษฏีเกี่ยวกับงานดีไซน์ต่างๆ
เป็นการออกแบบเบื้องต้นบ้าง
การวาดหรือที่เราเรียกว่าดรออิ้ง
(Drawing)
บ้าง
การเขียนแบบบ้าง
หรือประวัติความเป็นมาของสถาปัตยกรรมศาสตร์จากประวัติศาสตร์ของไทยและต่างประเทศที่นักศึกษาชั้นปีที่1อย่างเราจะเข้าใจง่ายๆบ้าง
สรุปง่ายๆก็คือเป็นองค์ความรู้เบื้องต้นที่พวกเราต้องทำความเข้าใจให้ได้
เราต้องพยายามแตกฉานในสิ่งที่อาจารย์สอนแต่ละคาบให้ได้
แต่อาจารย์อาจจะอธิบายไม่หมด
อาจจะมีเพียงประเด็นใหญ่ๆให้เราได้พอรู้เป็นแนวทาง
เรามีหน้าที่ที่ต้องศึกษาเพิ่มเติมหลังจากนั้นด้วย...
ใช่...ในการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยจะแตกต่างจากมัธยมตรงที่อาจารย์จะบอกหัวข้อในการศึกษาแต่ละข้อ
บางทีก็มีพรีเซนต์เตชั่นให้เราได้ดูประกอบการเรียน
แต่เราจะไม่ได้มานั่งจดทุกๆรายละเอียดแบบที่เราต้องจดส่งงานในชั้นมัธยม
การจดเลคเชอร์ของเรานั้นเป็นเพียงการจดหัวข้อต่างๆหรือโน๊ตในรายละเอียดที่สำคัญๆที่เราทำความเข้าใจแล้วย่อไว้เพื่อที่จะไปหาความรู้จากแหล่งอื่นเพิ่มเติมให้สมกับชื่อ
“นักศึกษา”
เมื่อคาบเช้าเราเรียนภาคทฤษฎีเสร็จ
คาบบ่ายก็จะเป็นภาคปฏิบัติ
ซึ่งในแต่ละวิชาก็จะมีภาคปฏิบัติแตกต่างกันออกไป
ยกตัวอย่างเช่น ภาควิชาการออกแบบเบื้องต้น
ถ้าตอนเช้าเราเรียนเกี่ยวกับทฤษฎีการออกแบบ
เช่นความแตกต่างระหว่างพื้นที่สีขาวและสีดำ
แสงและเงา
มิติของภาพหรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวกับพื้นฐานในการออกแบบ
ช่วงบ่ายเราก็จะมีงานหรือที่อาจารย์เรียกมันว่า
“สเก๊ตช์ดีไซน์”(Sketch
Design)
ให้เราทำกัน
อาจารย์มักจะออกแบบโจทย์งานแปลกๆแหวกแนวเพื่อให้เราได้ใช้สมอง
ได้ใช้ไอเดียในการคิดสร้างสรรค์
ภายใต้โจทย์ที่มีข้อจำกัดแปลกๆและระยะเวลาคิดงานที่สุดแสนจะจำกัดสำหรับงานที่ต้องคิด
ต้องเขียน รวมทั้งระบายสีด้วย
ใช่...ฉันกำลังอธิบายว่าภายในเวลาคาบบ่ายจากบ่ายโมงไปจนถึงห้าโมงเย็น
นอกจากฉันจะต้องรีบวิ่งกระหืดกระหอบ
หอบกระดาษและอุปกรณ์วาดเขียนพะรุงพะรังขึ้นไปสตูดิโอปีหนึ่งเพื่อที่จะนั่งคิดงานจากโจทย์
รวมทั้งสเก๊ตช์แนวความคิดหรือภาพงานจากหัวของฉันลงไปในกระดาษวาดเขียนขนาดA1บ้างA0บ้างแล้ว
ฉันยังต้องระบายสีลงไปในงานของฉันเพื่อนำเสนอภาพแนวความคิดต่างๆให้เหมือนภาพจริงมากที่สุด
เพื่อให้อาจารย์มองออกว่างานที่ฉันวาดออกมานั้นมันคือภาพของอะไรด้วย...
โอ..มิน่า..ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมตอนปฐมนิเทศอาจารย์ถึงได้แซวพวกพี่ๆชั้นปีสูงๆกันว่าไม่มีเวลาดูแลตัวเองกันถึงได้ทำตัวซกมกอย่างนี้
และนี่ฉันก็กำลังจะเดินตามรอยรุ่นพี่พวกนั้นอยู่ใช่มั้ย
ทำไมช่วงเวลาชีวิตที่ควรจะสดใสสมกับคำว่าเฟรชชี่น้องใหม่ถึงได้ลดลงเหลือน้อยจังเลยนะ
แค่คาบวิชาที่ฉันเรียนจากคณะในแต่ละวันก็แทบทำให้ฉันไม่มีเวลาว่างจะทำอะไรได้อีกแล้ว
แต่นี่ฉันก็ยังต้องเจียดเวลาพักผ่อนที่มีอันน้อยนิดในแต่ละวันของฉันไปร่วมกิจกรรมกับทางมหาวิทยาลัยหรือจากคณะในช่วงตอนเย็นหลังจากที่เลิกเรียนหรือส่งงานเสร็จแล้วด้วยอีก...
ใช่...พอช่วงเช้าฉันเข้าเรียนที่คณะเสร็จ
ช่วงเย็นฉันก็ทำกิจกรรมของมหาวิทยาลัยทีเรียกว่า“ประชุมเชียร์”
หรือ“คลาสเชียร์”หรือ“รับน้อง”ที่คนทั่วๆไปเข้าใจกันอีก
กิจกรรมประชุมเชียร์เป็นกิจกรรมที่ปีหนึ่งทุกๆคนจะต้องทำ
เป็นกิจกรรมต่างๆที่ทางมหาวิทยาลัยสร้างสรรค์ขึ้นมาให้เราได้มีความรู้สึกผูกพันธ์ทั้งมหาวิทยาลัยก็ดี
เพื่อนก็ดี หรือพวกรุ่นพี่ที่เป็นพี่สต๊าฟก็ดี
เราปีหนึ่งทุกๆคนจากทุกๆคณะจะต้องมาอยู่รวมๆกัน
ไม่แบ่งแยกกัน ไม่แบ่งพวก
ทุกคนจะอยู่ภายใต้แนวความคิดที่ว่า
“แตกต่างเป็นหนึ่งเดียว”
ใช่..มันคือกิจกรรมที่หลอมรวมคนหมู่มากจากหลากหลายโรงเรียน
หลากหลายครอบครัวให้กลายมาเป็นองค์กรเดียวกัน
เราทุกคนคือUnity
เราทุกคนคือส่วนหนึ่งของสังคมที่ช่วยกันผลักดันกิจกรรมต่างๆให้ดำเนินไปด้วยความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
เราทุกๆคนต้องพยายามทำความรู้จักกัน
เพราะฉะนั้นฉันอาจจะต้องเจอเพื่อนจากคณะวิทยาศาสต์บ้าง
อาจจะต้องเจอเพื่อนจากสังคมศาสตร์บ้าง
เพื่อนจากศิลปกรรมศาสตร์บ้าง
เราทุกๆคนมีโอกาสได้เจอและได้ใกล้ชิดกันในทุกๆคาบที่เข้าประชุมเชียร์
รวมทั้งฉันกับเอื้อยด้วย...
สำหรับเอื้อย
ฉันได้เจอเธอสองถึงสามครั้งจากการร่วมกิจกรรมร้องเพลงเชียร์ที่ฉันบังเอิญได้มานั่งอยู่แถวหลังสุดใกล้ๆเอื้อย
กับกิจกรรมที่รุ่นพี่ให้วิ่งหาชื่อเพื่อนคณะอื่น
แล้วให้เซ็นชื่อมอบเป็นหลักฐานให้กัน
ซึ่งแค่การพบกันแค่นั้นก็ทำให้เรารู้สึกมีความสุขและรู้สึกอบอุ่นใจว่าภายในหมู่คนมากฉันยังมีเขาอยู่ข้างๆเสมอ..
“เลิกแล้วรอด้วยนะ..”
เป็นเอื้อยที่พูดขึ้น
ตอนที่เธอยื่นสมุดที่เธอเซ็นชื่อให้กับฉันในกิจกรรมหาเพื่อนคณะอื่น
แต่แทนที่เธอจะยื่นสมุดให้ฉันเฉยๆ
แม่เจ้าประคุณยังแอบใจกล้าเอื้อมมือมากุมมือฉันไว้อีกด้วย
ฉันต้องเม้มปากส่งสายตางอนๆมองหญิงสาวในชุดวอร์มมหาวิทยาลัยที่เห็นเธอแอบลักไก่จับไม้จับมือฉันท่ามกลางฝูงชนอย่างนี้
แต่เมื่อมองสายตาเหงาๆที่เธอจ้องมองฉันอยู่
ฉันก็กลายเป็นสงสารงอนไม่ลง
ต้องเอื้อมมือไปกุมมือเธอไว้เช่นเดียวกัน...
“อื้ม..เดี๋ยวจะรอ..”
ฉันยิ้มบอกเธอ
ก่อนจะพยายามปล่อยมือเธอออก
แต่เธอก็ยังไม่ยอมปล่อย
เอาแต่ส่งสายตาเหงาๆมองฉันอย่างนั้นต่อ
มองดวงตาหมองๆคู่นั้นก็พอจะเข้าใจความหมายได้ดีว่าช่วงนี้เธอนั้นอ้างว้างขนาดไหน
อาจจะเป็นเพราะว่าช่วงนี้ฉันมีงานที่ต้องทำส่งเยอะบางทีก็เลิกค่ำ
บางทีติดกิจกรรมก็กลับดึก
จนฉันไม่อยากให้เอื้อยต้องลำบากมารับ
หรือแม้แต่ตอนเช้า
ฉันก็ยังแอบตื่นสายไปเรียนช้าทำให้เอื้อยที่มีเรียนเช้ากว่ารอไปส่งฉันไม่ได้
เราสองคนก็เลยกลายเป็นไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไหร่
ทำได้แค่การโทรหาหรือไม่ก็วีดีโอคอลหากันเท่านั้นเอง..
ตอนนี้เมื่อเอื้อยมีโอกาสได้เจอตัวฉันเป็นๆอย่างนี้
เธอก็คงอยากแสดงให้ฉันเห็นว่าเธอคิดถึงฉันสักเพียงไหน
มองสายตาเว้าวอนที่เรียกร้องความอาทรจากฉันแล้ว
ฉันก็ได้แต่ยิ้มแล้วกุมมือเธอไว้แน่นๆด้วยอยากให้เธอสบายใจขึ้นมาบ้าง
“เดี๋ยวเค้าจะรอนะ..สัญญา..
ค่ำนี้เดี๋ยวเราไปทานข้าวด้วยกัน...”
เอื้อยยิ้ม
ดวงตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง
เธอพยักหน้ารับและยอมปล่อยมือฉันทันทีที่ได้ยินคำสัญญา...
//////////////////////////////////////////
“เส้นเล็กน้ำใสกับเส้นหมี่น้ำใสพิเศษทั้งสองค่ะ..”
ฉันยืนยิ้มบอกรายการก๋วยเตี๋ยวให้กับน้าเจ้าของร้านที่หน้าเคาน์เตอร์
ก่อนจะเดินไปตักน้ำดื่มที่ตั้งอยู่ด้านข้าง
ตอนนี้เมื่อฉันหันกลับไปมองที่นั่งของตัวเอง
จากที่ตอนแรกมีคนนั่งอยู่โต๊ะสองโต๊ะ
ตอนนี้เริ่มมีบรรดานักศึกษาปีหนึ่งเข้ามานั่งเพิ่มขึ้นจนเกือบจะเต็มทุกโต๊ะแล้ว...
ก่อนหน้านั้น
หลังจากที่เราเลิกคลาสเชียร์กัน
ฉันกับเอื้อยก็พากันขับรถหาร้านทานมื้อค่ำ
แต่กลายเป็นว่า ณ
ช่วงเวลาประมาณสองทุ่มเกือบสามทุ่มที่เราเลิกคลาสกันนั้น
ร้านอาหารตามสั่งส่วนใหญ่ปิดกันหมดแล้ว
ส่วนร้านไหนที่เราคิดว่าน่าจะเปิดก็กลายเป็นโต๊ะเต็มเพราะเด็กปีหนึ่งที่พึ่งเลิกคลาสก็พากันมาทานข้าวเหมือนกัน
พวกเราสองคนก็เลยต้องขับรถตะเวนหาร้านอาหารไปเรื่อยๆ
จนได้มติว่าเราน่าจะทานอะไรง่ายๆแบบร้านข้างทางดีกว่าจะได้สะดวกและไม่ต้องแย่งกับผู้คน
จนมาเจอร้านก๋วยเตี๋ยวร้านนี้เข้า...
“ขอบตาดำจังเลยนะ..”
เสียงทักของเอื้อยดังขึ้น
หลังจากฉันเดินเอาน้ำดื่มมาเสิร์ฟให้เธอที่โต๊ะแล้วกลับมานั่งลงอยู่ต่อหน้าเธอ
ฉันยักคิ้วตอบรับเอื้อย
ก่อนจะยกมือขึ้นมาถูๆขอบตาทั้งสองข้างของตัวเอง
จนเอื้อยร้องเอ็ดฉัน
“ไม่ใช่ดำอย่างนั้น
ตลกแล้ว แกล้งทำเป็นไม่รู้ตัวหรือเปล่านี่”
เธอยื่นมือมาตบแผละแขนฉัน
ทำตาเล็กตาน้อยหาว่าฉันเล่นมุกมีอะไรติดขอบตาดำแกล้งเธอ
“โอ้ย..ก็รู้อยู่ว่าเอื้อยหมายความว่ายังไง
จะว่าเค้าขอบตาดำไม่ค่อยได้พักผ่อนใช่มั้ย
ที่ถูนี่ก็คือแสบตาเพราะว่าไม่ได้พักผ่อนนี่ไงล่ะ
ไม่ได้กวนสักหน่อย..”ฉันต่อว่าเอื้อยด้วยน้ำเสียงแสนงอน
ก่อนจะหันไปมองซ้ายมองขวาในร้านก๋วยเตี๋ยวสำรวจอะไรต่อ
“ไง..ช่วงนี้ไม่ค่อยได้พักผ่อนขนาดนั้นเลยเหรอ”
เอื้อยพยายามชวนคุย
ฉันละสายตาหันมาพยักหน้ารับเอื้อยทันทีที่ได้ยินเธอถาม
“อืม..ก็นิดหน่อยก็ทั้งเรียนทั้งทำงานส่ง
วันไหนมีงาน
เค้าก็ต้องไปทำงานในสตูดิโอปีหนึ่งน่ะ
บางทีก็นั่งทำยันเช้าไม่ได้นอน..”ฉันอธิบายเอื้อย
โดยเล่าให้ฟังถึงการทำงานในสตูดิโอที่ช่วงนี้ฉันได้ไปบ่อยๆด้วย..
สตูดิโอ
(Studio)
ก็คือห้องเรียนภาคปฏิบัติของพวกเรา
เป็นห้องโถงโล่งกว้างขนาดใหญ่
ภายในมีโต๊ะเขียนแบบจัดวางเรียงรายให้นักศึกษาได้ใช้ทำงานประเภทงานวาดต่างๆไม่ว่าจะเป็นงานเขียนแบบ
งานสเก๊ตซ์ดีไซน์ งานโปรเจคดีไซน์ต่างๆ
โดยปกติแล้วพวกเราจะใช้ห้องนี้กันเมื่อช่วงคาบเรียนบ่ายหลังจากเข้าเรียนภาคทฤษฎีในห้องเลคเชอร์แล้ว
แต่ด้วยความที่เรามีงานที่ต้องทำส่งตลอด
หรือเข้าใจง่ายๆว่ามีการบ้าน
การทำงานในสตูนั้นอาจารย์เลยอนุญาติให้พวกเราสามารถมาใช้กันได้ตลอดเวลาไม่ว่าจะดึกดื่นขนาดไหน
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องขออนุญาติทางคณะและอาจารย์ประจำวิชาก่อนด้วย
“อ้าว..ไหนบอกว่าพ่อซื้อโต๊ะเขียนแบบให้แล้วไง
ทำไมต้องไปทำงานในสตูอีกล่ะ..”
คนตาโตร้องทักขึ้น
เธอคงจำเรื่องที่ฉันเคยเล่าให้เธอฟังทางโทรศัพท์ว่าพ่อเอาโต๊ะดราฟหรือโต๊ะเขียนแบบมาส่งให้ฉันที่หอแล้ว
ทำไมฉันจึงยังต้องไปทำงานที่สตูดิโอคณะอย่างนั้นอีก
ฉันยิ้มตาหยีรีบอธิบายเด็กน้อยขี้สงสัยทันที..
“ก็นั่งทำงานคนเดียวมันคิดไม่ออกอ่ะ
ได้นั่งทำกับเพื่อนดูงานเพื่อนหลายๆคน
บางทีมันก็เกิดไอเดียขึ้นมาบ้าง
แล้วที่สำคัญเพื่อนเยอะมันก็สนุกดีไม่เหงาด้วย..”
“เหรอ..”
เอื้อยยิ้มรับ
แต่เป็นรอยยิ้มแปลกๆที่มองแล้วให้ความรู้สึกเหงาๆอย่างไรไม่รู้
“..ดีจังเลยนะ
มีเพื่อนเยอะไม่ต้องมานั่งเหงาในห้องคนเดียว..”
เอื้อยว่า
คำพูดคำจาช่างหมือนคนน้อยใจ
หญิงสาวหลบตาฉันแล้วก้มหน้าเขี่ยนั่นเขี่ยนี้บนโต๊ะไปเงียบๆคนเดียว
ฉันอมยิ้มนึกขัน
มองดูท่าทางแสดงออกเพื่อเรียกร้องความสนใจอย่างนั้นแล้ว
ก็อดที่จะรีบชวนเธอคุยปลอบใจบ้างไม่ได้...
“แล้วเอื้อยล่ะคะ
เป็นไงบ้างช่วงนี้ เรียนเยอะมั้ย
แล้วเพื่อนที่คณะเป็นไงบ้าง..”
“อื้ม..ก็เรียนเยอะอยู่
แต่มันก็เป็นเวลา
ไม่ได้ยุ่งเท่าเจ้ยหรอก..”
นั่น..คนใจน้อยแอบแขวะฉันอีกแล้ว
“แล้วเพื่อนล่ะ..”
ฉันยังไม่ลดความพยายามชวนเธอคุยต่อ
“ก็ไม่ค่อยเยอะหรอก
เค้าไม่ค่อยสนิทกับใคร
ไม่รู้สิยังไม่ชินมั้ง
รู้สึกว่าเพื่อนที่นี่ไม่เหมือนเพื่อนที่โรงเรียนมัธยมเลย”เสียงเศร้าๆจากคำตอบทำฉันชะงักทันที
ตอนนี้นางฟ้าคงกำลังหว้าเหว่อยู่แน่ๆ
ไม่ได้การ..คงต้องทำอะไรสักอย่างให้เธอรู้สึกดีขึ้นบ้าง
ฉันยิ้มหวาน รีบเอื้อมมือไปกุมมือเธอไว้ทันที...
“ทำไมทำเสียงอย่างนั้นล่ะคะ
เหงาเหรอ ไม่เศร้าสิคะ
เอื้อยยังมีเค้าอยู่นะ
เอาอย่างนี้ดีกว่า
วันไหนเราว่างๆพร้อมกันเราค่อยไปดูหนังด้วยกันมั้ย
เอาเป็นเสาร์อาทิตย์นี้ก็ได้”
“เสาร์อาทิตย์นี้เค้าไม่ว่างหรอก
ต้องกลับไปอยู่กับแม่..แล้วก็..รอไปส่งแม่ขึ้นเครื่องด้วย..”
เอื้อยลากเสียงตอบ
เธอชำเรืองมองดูท่าทางฉันด้วยความสงสัยบางอย่าง
เช่นเดียวกันกับฉัน
ที่ก็สงสัยข้อความก่อนหน้านั้นจนต้องรีบท้วงถามเธอไป..
“ไปส่งแม่ขึ้นเครื่อง???
แม่จะไปไหน???”
“นั่น..เค้าว่าแล้ว
ว่าเจ้ยต้องถามเค้าอย่างนี้..”
เอื้อยหน้าบึ้ง
เธอเม้มปากมองค้อนฉันอยู่ครู่หนึ่ง
ก่อนจะตัดพ้อต่อว่าด้วยน้ำเสียงน้อยอกน้อยใจเป็นที่สุด..
“นี่แสดงว่าที่เค้าเล่าให้เจ้ยฟังในโทรศัพท์นี่เจ้ยไม่ได้ฟังเค้าเลยใช่มั้ย
ที่เค้าบอกว่าแม่เค้าจะไม่ได้อยู่ที่ไทยแล้วแม่จะไปประจำสาขาที่ฮ่องกงน่ะ
เจ้ยไม่ได้ฟังเลยใช่มั้ย....”
“ห๊ะ!!!..”
ฉันคิ้วขมวดมองเอื้อยด้วยความงงแสนงง
ทั้งอึ้งทั้งเหวอแต่ก็พยายามทบทวน...เดี๋ยวนะ..เหมือนๆจะได้ยินว่าแม่เอื้อยจะไม่อยู่
เหมือนเอื้อยจะเคยโทรมาเล่าให้ฟังว่าที่แม่ออกรถยนต์ให้
เพราะแม่อยากปลอบใจเอื้อยเรื่องที่แม่จะไม่ได้อยู่กับเอื้อยแล้ว
ตอนนั้นจำได้ว่าเอื้อยโทรมาตอนที่ฉันกำลังทำแบบและฉันก็กำลังใช้สมองคิดงานอยู่
ก็เลยฟังบ้างไม่ได้ฟังบ้าง
ตอนนั้นก็ยังเข้าใจว่าแม่คงจะไปทำงานที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนเพราะได้ยินแต่คำว่า
“ฮ่อง???”
เดี๋ยวนะ..คลับคล้ายคลับคลาว่าฉันได้ยินอีกประโยคหนึ่งก็คือ...แม่อาจจะไปสี่ห้าปีหรือมากกว่านั้น
นี่อย่าบอกนะว่าแม่จะไปอยู่ที่ฮ่องกงโดยให้เอื้อยรออยู่ที่เมืองไทยคนเดียว
อ๋อมิน่า...ช่วงนี้เธอถึงชอบโทรมาบอกว่าเธอรู้สึกเศร้าและเหงาเหลือเกิน
ไอ้ฉันก็ดันคิดว่าเธอแค่งอแงเรื่องที่ฉันไม่ค่อยมีเวลาให้เธอเท่านั้น
แต่ที่ไหนได้มันกลายเป็นเรื่องของแม่เธอนี่เองเธอก็เลยยิ่งเศร้าไปกันใหญ่
ให้ตายเถอะ
ฉันนี่เป็นแฟนที่ไม่ได้เรื่องเอาซะเลย
นี่ขนาดเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิตแฟนตัวเองแท้ๆยังไม่รู้เรื่องอีก
ฉันหลับตานึกภาพพวกนั้นด้วยความหัวเสีย
ทั้งยกมือขึ้นตบหัวตัวเองไปแรงๆสองสามที
จนน้าคนขายที่เดินเข้ามาเสิร์ฟก๋วยเตี๊ยวผงะทันทีที่เห็นท่าทางประหลาดๆอย่างนั้น
ฉันสะดุ้ง
ยิ้มแหยๆ รีบรับชามก๋วยเตี๋ยวพวกนั้นมาส่งต่อให้เอื้อย
“เอ่อ..เค้าขอโทษนะ
ตอนนั้นเค้าได้ยินไม่ถนัดน่ะเค้าทำแบบส่งอยู่
ไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องที่ทำให้เอื้อยรู้สึกแย่อย่างนี้
เค้าขอโทษจริงๆนะ..”
เอื้อยไม่ตอบรับ
ใบหน้าเฉยชา เธอยื่นมือมารับชามก๋วยเตี๋ยว
ก่อนจะก้มหน้าก้มตาปรุงมันเงียบๆ
“เฮ้ย..ขอโทษนะคะ
เค้าผิดไปแล้ว ตัวเองอย่าโกรธเค้าเลยนะ..”
ฉันทั้งง้อ
ทั้งทำเสียงออดอ้อนพยายามขอโทษทูลหัว
แต่เธอก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหายโกรธฉันเลย
หญิงสาวยังคงนั่งหน้าบึ้ง
ก้มหน้าก้มตากินก๋วยเตี๋ยวเงียบๆคนเดียวเช่นเดิม
มองอาการไร้ตัวตนเป็นอากาศธาตุที่เธอทำต่อฉันแล้ว
ก็ยิ่งเหงื่อตก กลัวความผิด
กลายเป็นลุกลี้ลุกลน
รีบเปลี่ยนไปนั่งที่นั่งข้างๆเธอแล้วกุมมือเธอกล่าวคำขอโทษด้วยความรู้สึกผิดจากใจจริงๆ
“เฮ้อ..เค้าผิดไปแล้ว
เค้าสำนึกผิดแล้ว
เค้ารู้ตัวแล้วว่าเค้านี่มันโง่จริงๆ
ไม่สมกับที่เอื้อยไว้ใจเค้าอยากให้เค้าดูแลเลยน่ะ
เรื่องใหญ่ขนาดนี่เค้ายังมองข้ามไปได้ยังไงก็ไม่รู้โง่จริงๆเลย
เค้าขอโทษนะที่ทำตัวไม่สมกับเอื้อย
ไม่สมกับที่เป็นแฟนของ.....”
“น้องจอเจ้ยนี่นา!!!..”
จึ๊ก...ฉันสะดุ้งโหยงทันทีที่ได้ยินเสียงผู้ชายดังแทรกเข้ามาตอนที่ฉันกำลังง้องอนเอื้อยด้วยน้ำเสียงเว้าวอนอย่างนั้น
ตอนนี้ฉันหันซ้ายหันขวามองหาที่มาของเสียงแล้วกลายเป็นสะดุ้งตกใจเข้าไปใหญ่
เมื่อพบว่ากลุ่มเจ้าของเสียงกำลังยืนยิ้มอยู่ด้านหน้าในระยะประชั้นชิดนี่เอง....
เป็นเสียงจากรุ่นพี่ผู้ชายปี4สถาปัตย์ฯที่เดินมากับเพื่อนผู้ชายปีเดียวกันอีก4-5คน
พวกเขาพากันหยุดยืนยิ้มมองดูฉันกำลังจับมือกับเอื้อย
อุ้ย!!..ฉันรีบปล่อยมือเอื้อยทันทีที่นึกขึ้นได้..
เอื้อยสะดุ้งเล็กๆที่เห็นฉันลุกขึ้นยืนพรวดพราดหันไปทางพี่กลุ่มนั้น
เธอนั่งอึ้งมองฉันยืนตัวตรงดิ่ง
ตะเบ๊ะแขนฉับ
แถมยังตะเบ็งเสียงดังด้วยข้อความที่พี่ว๊ากสั่งให้เด็กปีหนึ่งคณะสถาปัตย์ฯทุกคนต้องพูดเมื่อเจอรุ่นพี่ปีอื่นอยู่นอกคณะอย่างนี้..
“จอเจ้ย!!
ทิพานัน
เฮงธนากุล AR584556636ค่ะ”
“อุ๊บส์...”เอื้อยหลุดหัวเราะทันที
จากที่เธอนั่งเก๊กหน้าบึ้งขมึงทึงก่อนหน้านั้น
กลายเป็นนั่งก้มหน้าเอามือปิดปากหัวเราะรั่วอยู่คนเดียวด้วยกลัวว่าฉันจะอาย
หรือรุ่นพี่พวกนั้นจะโกรธที่เห็นว่าเธอขำในคำสั่งศักดิ์สิทธิ์ของพี่คณะอย่างนั้นเข้า...
ใช่..คำสั่งอันศักดิ์สิทธิ์ของบรรดาพี่ว๊ากในคลาสเชียร์คณะ
ที่เด็กๆปีหนึ่งอย่างฉันกลัวกันทุกคน
มันเป็นคำสั่งที่เราปีหนึ่งทุกคนต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
เพราะหากมีใครคนใดคนหนึ่งไม่เคารพไม่ทำตามแล้ว
เราปีหนึ่งทุกคนก็จะโดนทำโทษด้วยกันทั้งหมด
ซึ่งโทษที่บรรดาพี่ว๊ากในคณะสรรหามาลงโทษพวกเรานั้นก็จะมีหลากหลายรูปแบบ
ยกตัวอย่างเช่น
การสก๊อตจัมพ์หมู่ที่เราทุกคนต้องเข้าแถวเป็นแนวยาวแล้วกอดคอกัน
จากนั้นก็ให้สก๊อตจัมพ์ตามจำนวนที่พี่ว๊ากกำหนด
บางทีก็สิบครั้งบางที่ก็ยี่สิบครั้ง
แต่พวกเราต้องทำพร้อมๆกันทั้งแถว
หากไม่พร้อมแล้วเราจะได้เริ่มนับหนึ่งใหม่ทันที
ฉันยังจำได้ว่าครั้งที่เคยโดยหนักที่สุดก็ทำไปเกือบๆจะหกสิบครั้งได้
แต่นั่นยังเบาไปถ้าเทียบกับการคลานเข่าขึ้นบันไดคณะจากชั้นหนึ่งไปถึงดาดฟ้าชั้น6
ตอนนั้นฉันจำได้ว่าหัวเข่าของฉันถลอกและเป็นแผลจนเลือดออกด้วย
แต่ฉันก็ไม่กล้าบ่นอะไรให้พวกพี่ว๊ากได้ยิน
ด้วยเห็นว่าเพื่อนทุกคนก็คงจะเจ็บเหมือนกันแต่พวกเขาก็ยังอดทนได้และไม่ปริปากบ่นอะไรออกไปเลย
ส่วนตัวอย่างคำสั่งศักดิ์สิทธิ์ที่บรรดาพวกพี่ว๊ากสรรหามาแกล้ง..เอ้ย
มาฝึกให้ปีหนึ่งอย่างเราปฏิบัตินั้นก็มีหลายอย่าง
ยกตัวอย่างเช่น
พวกเราต้องแต่งชุดเครื่องแบบนักศึกษาที่ต้องมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของคณะเวลาไปเรียนที่ตึกคณะอื่นเพื่อให้คณะอื่นจำได้
พวกเขาจะให้พวกเราแต่งกายด้วยชุดนักศึกษาที่เรียบร้อยแต่ให้ใส่ถุงเท้าสีสันแสบๆตา
เช่น สีเขียว สีส้ม
หรือสีชมพูที่มันออกโทนแป๊ดๆเหมือนสีสะท้อนแสงแบบถุงเท้านักฟุตบอลใส่กัน
แต่นั่นยังไม่พอ..เรายังต้องสลับถุงเท้ากับเพื่อน
เราต้องหาเพื่อนที่มีสีถุงเท้าแตกต่างจากเราเพื่อมาสลับใส่คนละข้างแล้วยังต้องดึงมันยาวๆขึ้นมาถึงหน้าแข้ง
เสมือนว่ามันเป็นสนับเข่าเรายังไงยังงั้น
นอกจากนั้นเรายังต้องแขนป้ายชื่อบอกชื่อเล่น
เอกที่เราเรียน
และรหัสของเราไว้เพื่อให้พี่ในคณะจำได้ว่าเราเป็นใคร
ชื่ออะไร อยู่เอกไหน
และเป็นสายรหัสกับพี่คนไหนบ้าง
สำหรับฉันในวันแรกที่ฉันแต่งตัวอย่างนั้นไป
แล้วเขียนชื่อไว้ว่า “เจ้ย”
ใช่...ฉันเขียนชื่อตัวเองไปว่าเจ้ยตั้งแต่วันแรกแล้ว
แต่พวกพี่ๆในคณะดันจำฉันได้และไม่ยอมให้ฉันเขียนว่าเจ้ยเฉยๆต้องเขียนว่า
“จอเจ้ย”เท่านั้น
พวกเขาบอกว่าตอนนี้คนทั้งคณะจำชื่อฉันได้อย่างนี้แล้ว
และมันเป็นชื่อที่ทุกคนช่วยกันสร้างสรรค์และสามัคคีพร้อมใจกันลงมติเห็นด้วยกับชื่อนี้ตั้งแต่วันแรกที่เจอกันแล้ว
หากฉันไม่ยอมเปลี่ยนไปเขียนชื่อนี้
ก็เท่ากับว่าฉันไม่ให้เกียรติพวกเขาเช่นเดียวกัน..ฉันหน้าถอดสีทันทีที่ได้ยินประโยคข่มขู่แกมบังคับที่พวกพี่ว๊ากพากันแก๊กฟอร์มทำเป็นดราม่าใหญ่ใส่ฉัน
แม้จะมาคิดได้ภายหลังว่า...พี่ว๊ากพวกนี้ต้องการแค่จะแกล้งฉันเท่านั้นเอง...
แล้วตั้งแต่นั้นมาฉันก็เลยกลายเป็นต้องแขวนป้ายชื่อว่า
“จอเจ้ย”
เวลาออกไปเรียนที่คณะอื่นแล้วต้องรีบเก็บป้ายไว้ทันทีที่เรียนเสร็จ
และไม่ยอมให้เพื่อนๆที่อยู่โรงเรียนเดิมแต่ไม่ได้อยู่ในคณะตัวเองเห็น
หรือแม้แต่เอื้อยเองฉันก็ยังไม่เคยบอกเธอเรื่องที่ฉันโดนแกล้งตั้งชื่อให้ใหม่อย่างนี้เลย
ซึ่งนั่นก็กลายเป็นว่าฉันมีชื่อใหม่ที่ทุกคนในคณะรู้จัก
แต่คนข้างกายที่ฉันรักนักรักหนาอย่างเอื้อยกลับไม่รู้นั่นเอง..
ตอนนี้เอื้อยก็ยังก้มหน้าแอบขำคิกๆคักๆด้วยความเซอร์ไพรส์ที่ได้ยินชื่อใหม่ของแฟนตัวเองอย่างนั้นเข้า...
พี่พวกนั้นก็ขำ
พวกเขาพยายามกลั้นหัวเราะไว้
ก่อนจะอมยิ้มแล้วพยายามชวนฉันคุยเพื่อกันไม่ให้ฉันเก้อเขินมากไปกว่านี้..
“..ครับผม
จอเจ้ยทานข้าวกับ...เพื่อน..เหรอครับ..”
พี่คนนั้นทั้งพูดทั้งเหล่ตามองเอื้อย
เขาคงนึกสงสัยที่เห็นภาพฉันกับเอื้อยจับมือกันก่อนหน้านั้น
เลยถามประโยคคำถามที่หมายความว่าสาวสวยอีกคนที่เห็นนั้นคือเพื่อนของฉันใช่หรือไม่..
“เอ่อ..ใช่ค่ะ..เพื่อนหนูเอง
คือ..เอ่อ..เพื่อนที่มาจากโรงเรียนเดียวกันน่ะค่ะ..”
ฉันหน้าแดงพยายามอธิบายสถานะของเอื้อยด้วยความอายแสนอาย
ด้วยไม่อยากจะให้พี่พวกนี้แซวอะไรมากไปกว่านี้
แม้จะลำบากใจที่เห็นว่าเอื้อยได้ยินฉันโกหกสถานะของเราทั้งสองกับคนอื่นอีกแล้ว...
“โอ้โห..โรงเรียนอยู่จังหวัดนครสวรรค์เหรอครับ
ทำไมมีแต่นางฟ้าไปเรียน..”
พี่อีกคนแซวผ่าวงมา
ก่อนจะโดนเพื่อนที่เหลือหันไปโห่ให้กับมุกแป๊กๆและข้อความเลี่ยนๆที่เขาแซวพวกเราอย่างนั้น
ตอนนี้เมื่อพวกพี่ๆเห็นฉันกับเอื้อยทำท่าเหมือนจะอายพวกเขาจนไม่กล้าจะกินอะไรต่อแล้ว
พวกเขาก็เลยขอตัวปล่อยให้พวกเรานั่งทานกันตามสบาย
“เมื่อกี้พี่พวกนั้นเรียกเจ้ยว่าอะไรนะ
จอเจ้ยใช่มั้ย จอเจ้ยๆ
จอเจ้ยแปลว่าอะไรอ่ะ
มาจากไหนทำไมเค้าไม่เห็นได้เรียกกับคนอื่นบ้างเลย”
เสียงเอื้อยโยกโย้ท่าทางกวนอารมณ์ฉันตอนที่เธอแซว
ตอนนี้จากที่เธออารมณ์เศร้าๆตั้งท่าว่าจะโกรธให้ฉันไม่หาย
ก็กลายเป็นตื่นเต้นครื้นเครงที่ได้ยินชื่อใหม่ของฉันไปซะนั่น
“จอเจ้ย
เอ..ชื่อน่ารักดีอ่ะ
เหมือนจอจี้ จอเจียอะไรประมาณนี้หรือเปล่า..”
เอื้อยยังไม่หยุด
เธอยังขุดมุกอะไรของเธอไม่รู้ขึ้นมาแซวฉันไปใหญ่
“บ้าสิ
เค้าไม่ได้เรียกสักหน่อยหูฝาดไปเองแล้วย่ะ”
ฉันตาขวางมองเอื้อยด้วยอาการงอนๆทันทีที่ได้ยินเธอทักท้วงอย่างนั้น
“อ๊ะจริงดิ”
เอื้อยตาเล็กตาน้อยแอ๊บเสียงโยกโย้ล้อเลียนฉันต่อ
ซึ่งฉันก็รีบต่อล้อต่อเถียงเธอคืนทันทีที่ได้เห็นอาการไม่ลดลาวาศอกของเธอเข้า
“ก็จริงไง หูฝาดไปเองใครเค้าจะมาเรียก..”
“น้องจอเจ้ยครับ..”
อะจึ้ย...ฉันสะดุ้งโหยงทันทีที่ได้ยินหลักฐานที่เอื้อยกำลังสงสัยดังแทรกเข้ามาในขณะที่กำลังเถียงกับเธออยู่
“คะ..”
ฉันยิ้มแหยๆให้เอื้อยก่อนจะหันหน้าไปหาพี่คนนั้นอีก
“มีอะไรเหรอคะพี่..”
เสียงหัวเราะคิกๆคักๆพอใจของเอื้อยลอยเข้าหูฉันทันทีที่ฉันนั่งนิงตั้งใจฟังที่พี่คนนั้นจะพูด
เธอคงจะรู้คำตอบแล้วว่าชื่อเรียกที่เธอสงสัยก่อนหน้านั้นคือเรื่องจริง...
“พี่ขอเบอร์น้องจอเจ้ยกับเพื่อนน้องจอเจ้ยหน่อยได้มั้ยครับ”
“ห๊ะ..”
ฉันหน้าเหวอทันทีที่ได้ยิน
ตอนนี้เมื่อฉันมองไปที่โต๊ะพี่พวกนั้น
ก็เห็นพากันเหลือบมองมาที่โต๊ะพวกเราเหมือนพวกเขากำลังลุ้นอะไรอยู่สักอย่าง..
แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะตอบรับอะไรพี่เขาเลย
เอื้อยก็รีบพูดแทรกขึ้นเสียก่อน...
“เอ่อ..พี่คะหนูไม่ให้ได้มั้ยคะ..คือหนูมีแฟนแล้ว
แฟนหนูหวงมาก
หนูไม่อยากมีปัญหากับแฟน..”ประโยคปฏิเสธจากเอื้อยทำฉันเหรอหราทันทีที่ได้ยิน
ใบหน้าหวานกลายเป็นซีเรียส
ดวงตาไร้เดียงสาเปลี่ยนเป็นแน่วแน่
หญิงสาวนั่งนิ่งยิ้มสุขุมบ่งบอกให้ผู้ฟังรู้ทันทีว่าเธอจริงจังในคำตอบสักเพียงใด
“ห๊ะ..มีแฟนแล้วเหรอครับ..เอ่อๆครับๆไม่เป็นไรครับ..”พี่คนนั้นตกใจเล็กๆ
เขาตอบรับเอื้อยด้วยความเกรงใจก่อนรีบจะเก๊กหน้าแล้วเปลี่ยนมาถามฉันอีกครั้ง..
“แล้วน้องจอเจ้ยล่ะครับ..”
“เอ่อ..คือ..แฟนหนูก็คงไม่ชอบเหมือนกันค่ะพี่
เอาไว้แอดเฟซบุ๊คเป็นเพื่อนกันเฉยๆได้มั้ยคะ”
เอื้อยยิ้มทันทีที่ได้ยินฉันเลี่ยงๆตอบคำถามพี่คนนั้นด้วยความเกรงใจ
เธอคงดีใจที่ได้ยินฉันยอมรับว่ามีแฟนแล้วเสียที
“คือว่า
แอดเฟซหรือคุยกันในเฟซได้ค่ะพี่
แต่เรื่องเบอร์โทรศัพท์หนูให้ไม่ได้จริงๆเดี๋ยวแฟนหนูจะโกรธเอา
พี่เข้าใจหนูใช่มั้ยคะ”
ฉันเสียงอ่อนเสียงหวานพยายามใช้มารยาหญิงปฏิเสธพี่คนนั้นด้วยท่าทางนุ่มนวลที่สุด
จนเขายิ้มรับแล้วบอกว่าไม่เป็นไร
แต่กระนั้นชายหนุ่มก็ยังเหนียมอายแปลกๆตอนที่เขาสังเกตุท่าทางพวกเราทั้งสองต่อจากนั้น..
“นี่..คงไม่ใช่ว่าเราสองคนเป็นแฟนกันหรอกใช่ม้าาา..”เขาพูดทีเล่นทีจริง
อารมณ์ไม่ได้คิดมากอะไร
แต่ฉันฟังแล้วอายจนต้องก้มหน้าแดงๆหลบตาเขา
ชายหนุ่มขอตัวกลับโต๊ะหลังจากนั้นแต่ก็แอบทิ้งท้ายด้วยประโยคคำถามที่ทำเอาเราอมยิ้มส่งสายตาเหล่มองกันทันที......
“เอ..พวกเราได้เป็นเน็ตไอดอลหรือเป็นใครสักคนหรือเปล่า..ทำไมพี่คุ้นๆหน้าเราสองคนจังเลยหว่า
เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนนะ....”
///////////////////////////////////
“..อืม..ก็ที่ห้องพักอาจารย์ไง..ใช่..พรุ่งนี้มีส่งพรีเทสดรออิ้งแสงและเงาที่โต๊ะอาจารย์ก่อนเรียนไง
แต่มันไม่ยากหรอก
ณิชาก็แค่สเก๊ตช์รูปอะไรก็ได้แล้วลงแสงลงเงาให้อาจารย์ดูเฉยๆแค่นั้น
อืม..ใช่
อาจารย์จะดูความเข้าใจของเราก่อนไง
ใช่ๆ อืมๆ จ้า..แค่นี้ก่อนนะ
บาย..”
เสียงสนทนาของปลายสายจบลงไปเป็นเวลาพอดีกับที่ฉันเดินขึ้นมาถึงหน้าห้องพักตัวเอง
หลังจากที่ฉันคุยสายกับเธอตั้งแต่ตอนที่ฉันนั่งอยู่ในรถเอื้อยแล้ว..
ก่อนหน้านั้น
หลังจากที่เราทานข้าวเสร็จแล้วเอื้อยก็ขับรถมาส่งฉันที่หอ
ณิชาก็โทรเข้ามาคุยกับฉันเรื่องงานในคณะตลอด
จนฉันไม่มีโอกาสบอกลาเอื้อยตอนที่เดินลงจากรถ
เพราะกลัวเสียงจะดังแทรกเข้าไปในโทรศัพท์
ทำได้แค่ส่งซิกสัญญาณบอกให้เธอโทรหาฉันอีกทีเท่านั้น
ตอนนี้ฉันหยุดยืนอยู่หน้าประตูก่อนจะเคาะให้สัญญาณเบาๆสองสามครั้ง
โดยหวังว่าหากรูมเมทอยู่เธออาจจะเดินมาเปิดประตูให้
แต่ก็เปล่าเลย
เวลาผ่านไปเกือบๆจะนาทีภายในห้องยังเงียบอยู่
ฉันถือวิสาสะไขประตูห้องเข้าไปหลังจากนั้นเพราะคิดว่าบางทีเธออาจจะยังไม่กลับก็ได้....
เป็นดังคาด..ห้องมืดสนิทไม่มีใครอยู่
ฉันต้องรีบเปิดไฟแล้วปิดลอคประตูห้องเข้ามาด้วยกลัวว่าในช่วงจังหวะที่ยังไม่ทันระวังตัวนั้น
อาจจะมีใครพุ่งพรวดเข้ามาทำอันตรายฉันด้านหลังได้
ซึ่งความเป็นจริงมันก็ไม่มีอะไร
ฉันแค่ระวังตัวไว้ด้วยความเคยชินเหมือนเช่นทุกครั้งเท่านั้น....
ข้าวของถูกวางไว้หน้าโต๊ะอย่างเร่งรีบ
อาการง่วงชักนำให้ฉันเดินถือโทรศัพท์มาทิ้งตัวแผ่หลาที่เตียงอย่างรวดเร็ว
ความเหนื่อยและความง่วงมักจะเป็นยานอนหลับที่ดีเสมอ
ฉันเผลอคิดภาพก๋วยเตี๋ยวชามโตครู่นี้ที่ฉันกินจนอิ่มหนำ
โอ..ให้ตายเถอะทำไมหนังท้องตึงแล้วหนังตาต้องหย่อนด้วยนะ
นี่ฉันยังต้องสเก๊ตช์งานส่งอาจารย์พรุ่งนี้ด้วยนะนี่
ฮือ..แต่ไม่ไหวอ่ะ
ขอนอนพักก่อนแป๊บเดียวได้มั้ย
ฉันรู้สึกว่าฉันเหนื่อยสายตัวแทบขาดแล้วตอนนี้
สักครึ่งชั่วโมงก็ได้อ่ะ..
ฉันบอกตัวเองก่อนจะพยายามหยีตามองดูนาฬิกาในโทรศัพท์
อืม...ตอนนี้ห้าทุ่มครึ่งแล้วตั้งปลุกไว้เที่ยงคืนก็ได้..
ฉันกดตั้งเวลา
ก่อนจะหลับตานอนพร้อมๆกลับความคิดในหัวที่ว่า...
...ดีไม่ดีฉันอาจจะตื่นเพราะเอื้อยโทรมาก่อนหน้านั้นก็ได้..
แป๊นๆๆๆ....
เสียงแหลมแสบแก้วหูดังเสียดแทงเข้ามาในห้วงความฝัน
ฉันสะดุ้งลุกขึ้นงัวเงียฟังเจ้าเสียงแป๋นๆก่อนหน้านั้นค่อยๆเบาลงเหมือนมันเคลื่อนที่ออกจากหอไปเรื่อยๆแล้ว
คงเป็นเสียงมอเตอร์ไซค์
ใครสักคนคงตั้งใจขับมาแว้นป่วนเด็กหอ
ฉันสบถด่าในใจเล็กๆก่อนจะลุกขึ้นสลัดกระดูกกระเดี้ยวไปมาให้ตื่นนอน
ใช่..ฉันคงต้องตื่นนอนแล้วแม้จะนอนได้ไม่เท่าไหร่ก็ตาม
โถ..ความสุขอันน้อยนิดของฉันโดนเจ้าเด็กแว้นบ้านั่นทำลายไปเสียแล้ว
ฉันแอบบ่นด้วยความหัวเสียต่อก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา...
ตาย!!!
ตีสามครึ่ง
นี่มันตีสามครึ่งแล้วนี่!!!...ฉันหูตาเหลือกทันทีที่เวลาหน้าจอปรากฏให้ฉันเห็น
ตอนนี้การแจ้งเตือนต่างๆก็ค้างอยู่หน้าจอโทรศัพท์มากมาย
มันมีทั้งข้อความไลน์
ข้อความเฟซบุ๊ค
รวมทั้งสายที่ไม่ได้รับจากเอื้อยอีกยี่สิบสองสาย
เฮ้ย..ทำไมฉันไม่รู้ตัวขนาดนั้นเลยล่ะ
ฉันคลิกเข้าไปดูรายละเอียดการโทรของเอื้อย
เอื้อยโทรมาตั้งแต่ห้าทุ่มสี่สิบห้า
ในระหว่างช่วงเวลานั้นเธอโทรมาประมาณ5ครั้ง
แล้วหลังจากนั้นเธอก็เว้นช่วงการโทรอีกครั้งละสิบกว่านาที
แล้วนั่น...สายสุดท้ายที่เธอโทรมาคือตีหนึ่งครึ่ง
โอ..ให้ตายเถอะตอนนี้เธอคงหลับแล้วสินะ
เอื้อยจะว่าอะไรฉันมั้ยนี่ที่ฉันไม่รับโทรศัพท์เธอเลย
ฉันทั้งคิดทั้งกังวลก่อนจะเปิดโปรแกรมไลน์แล้วส่งข้อความขอโทษเธอ
หลังจากที่เธอก็ส่งสติกเกอร์รูปกระต่ายกำกำปั้นที่มีตาเป็นดวงไฟลุกโชนมาเกือบๆจะห้าสิบตัวแล้วก่อนหน้านั้น....
...อึ้ย..กองทัพกระต่ายผีมาเป็นฝูงเลยวันนี้
โดนมันรุมแทะตายแน่ฉัน....ฉันขนลุกด้วยความสยองก่อนจะรีบวางโทรศัพท์แล้วลุกขึ้นไปนั่งวาดภาพที่โต๊ะดราฟต่อทันที...
เสียงวีดีโอคอลดังขึ้นหลังจากนั้นไม่เกินห้านาที
เอื้อยแน่ๆ
สัญชาตญาณสั่งให้ฉันวิ่งรนรานไปรับสายเธอทันทีถ้าไม่อยากมีปัญหา..
ปลายสายเป็นภาพเงาสลัวของหญิงสาวผมหยักศก
ทั่วห้องนั้นมืด
มีเพียงไฟจากหัวเตียงที่พอส่องใบหน้าขาวนวลที่คิ้วขมวดออกอาการงอนทันทีที่ภาพฉาย
หญิงสาวจ้องเขม็งมองฉันผ่านจอ
แสงไฟสะท้อนเจ้าของชุดนอนลายคิตตี้นั่งนิ่งเหมือนกำลังอดกลั้นความโมโหทั้งหมดไว้อยู่...
“...ทำอะไรอยู่..ทำไมไม่รับโทรศัพท์
เดี๋ยวนะ..นั่นทรงผมเหรอนั่น..”
หญิงสาวโน้มหน้าติดจอ
เธอเพ่งมองฉันผ่านจอมือถือก่อนจะหลุดยิ้ม
จากที่เก๊กเสียงดุๆตั้งท่าว่าจะต่อว่าฉันก็กลายเป็นหัวเราะลั่นทันที
ฉันต้องรีบยกมือขึ้นมาจับผมเผ้าตัวเองด้วยใบหน้าเหรอหรา
แล้วยิ่งฉันทำอย่างนั้นเอื้อยก็ยิ่งหัวเราะรั่วไปใหญ่
“นี่อย่าบอกนะว่านอนหลับพึ่งตื่นน่ะ
หัวฟูซะจนคิดว่าเป็นรังนกแล้วนะนี่
ไม่ส่องกระจกดูสภาพตัวเองก่อนหรือไง”
“โอ้ย..อย่าว่าเค้าสิ
เค้าพึ่งตื่นเมื่อกี้เอง
เค้ารีบตื่นขึ้นมาทำงานไม่ทันได้ดูอะไรหรอก
อยากทำงานให้เสร็จน่ะ
กลัวไม่ทัน”
ฉันมองค้อนเม้มปาก
อารมณ์ตัดพ้อต่อว่าหญิงสาวด้วยความงอนแทนเธอเองแล้ว
“อะไร..นี่มันตีสามแล้วนี่
นั่งทำงานในห้องตอนนี้นี่นะ
แล้วรูมเมทเค้าไม่แสบตาแย่เหรอ”
เอื้อยรีบถาม
เธอคงนึกขึ้นได้เรื่องที่ฉันยังมีรูมเมทอยู่ในห้องอีกคน
“เอ่อ..”
ฉันชำเรืองไปที่เตียงนอนของเขา
ตอนนี้มันก็ยังว่างเปล่าไม่มีแม้ร่องรอยยับขยับเขยื้อนของผ้าปูเขาเลย
“ปลายังไม่กลับห้องอ่ะ...”
“ปลา”เป็นชื่อของรูมเมทฉัน
เป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆท่าทางกระฉับกระเฉงและตื่นตัวตลอด
เขาเป็นคนร่าเริงชอบชวนคุยบ่อยๆ
ซึ่งฉันก็คิดว่าบุคลิกนั่นก็เหมาะกับคณะสังคมศาสตร์เอกอังกฤษที่เขาเรียนดี
แต่ตั้งแต่เปิดเทอมมาฉันไม่ค่อยได้คุยกับเขาเท่าไหร่เลย
อาจจะเป็นเพราะว่าฉันเลิกค่ำแถมยังไปทำงานที่สตูดิโอบ่อยอีกด้วย
แต่เอ..นี่มันก็ตีสามแล้วทำไมเธอยังไม่กลับ
หรือว่า..รูมเมทของฉันจะแอบไปเที่ยวที่ไหน
ภาพคืนก่อนวันเปิดเรียนที่เธอเมาเหล้าแล้วเดินเข้ามาในห้องประมาณตีสองกว่าๆสว่างขึ้นในหัวฉันอีกครั้ง
อืม..ก็อาจจะเป็นไปได้
เพื่อนๆฉันในคณะบางคนก็แอบไปเทียวผับกันแม้อายุจะยังไม่ถึง
ได้ยินว่ามีผับบางที่แอบเปิดรับเด็กอายุที่ต่ำกว่า20ปีเข้าไปด้วย
เอ..หรือบางทีเขาก็อาจจะนั่งดื่มเหล้าที่ร้านเหล้าแถวๆหน้ามอก็ได้
เพราะร้านเหล้าแถวนั้นเด็กที่อายุต่ำกว่า20ปีก็พากันนั่งดื่มนั่งกินกันอย่างอิสระเสรีไม่มีใครว่าอะไรอยู่แล้ว
เว้นเสียจากบางวันที่เจ้าของร้านได้ข่าวจากสายข่าวว่าจะมีตำรวจมาตรวจร้าน
พวกเขาก็จะกันไม่ให้เด็กที่อายุไม่ถึงเข้าไปในร้านเขากัน....
“..อ้าวเหรอ
ตีสามแล้วนี่นะ ทำไมกลับหอช้าจัง
เขาไม่หลับไม่นอนหรือไง”
เสียงเอื้อยดังแทรกความคิดฉัน
เธอทำหน้าสงสัยผ่านจอวีดีโอคอลมา
เห็นหน้านิ่วคิ้วขมวดของคนงงแล้วก็อดที่จะเย้าเธอคืนบ้างไม่ได้
“ใช่สิ..นี่มันตีสามแล้วทำไมท่านหญิงถึงยังไม่หลับไม่นอนอีกเจ้าคะ
เลยเวลานอนมามากโขแล้วประเดี๋ยวก็ป่วยเป็นโรคกะเพาะพอดี”
“กะเพาะเจ้ยน่ะสิ!!!..บ้า!!
เฮ้อ..ก็เค้านอนไม่หลับนี่นา
คิดถึงแต่เรื่องแม่
ยิ่งใกล้เวลาแม่จะไปเท่าไหร่เค้าก็ยิ่งเครียดน่ะ”
เสียงเศร้าของคนเหงาพยายามอธิบาย
จนฉันสะดุ้งกึกทันทีที่นึกขึ้นได้ว่าที่เธอพยายามโทรหาฉันก่อนหน้านั้นก็คงเป็นเพราะอยากให้ฉันช่วยปลอบใจเธอนี่เอง
“เหงาใช่มั้ยล่ะ
คิดถึงเค้าล่ะสิ
ไม่เอานะคะไม่เศร้าเค้าจะอยู่ข้างๆเอื้อยตลอดไปเองนะ”
ฉันยิ้มยกโทรศัพท์ขึ้นมาจ่อใกล้ๆหน้า
ด้วยหวังให้รอยยิ้มของฉันนั้นช่วยคลายความเศร้าของนางฟ้าไปได้บ้าง
ได้ผล เอื้อยยิ้มออก
เธอทำสายตาเว้าวอนมองฉันผ่านวีดีโอคอลครู่หนึ่ง
ก่อนจะกระซิบกระซาบข้อความที่ทำให้ฉันรู้สึกร้อนวูบๆวาบๆทันทีที่ได้ฟัง
“อยากไปหาจังเลย....”
“มาสิ...”
“ดะ..ได้เหรอ..”
เอื้อยตาโต
เธอดีใจตอนที่ได้ยินฉันบอก
คนสวยถึงกับถามย้ำ
ซึ่งนั่นก็ทำให้ฉันหลุดเก๊กแล้วหัวเราะคิกคักๆทันทีที่ได้เห็นอาการดี๊ด๊าของคนเคยเรียบร้อย
“บ้าสิ
มาได้ไงเล่าดึกขนาดนี้แล้ว
หอในเขาไม่ให้คนนอกเข้าแล้ว..อยากโดนน้ายามจับลอคกุญแจมือหรือไงกัน..”
“โฮยย..อะไรอ่ะ..พูดให้อยากแล้วก็จากไป..”
ฉันเหล่ตามองแรงทันทีที่ได้ยินประโยคแปลกๆ
ฟังดูหื่นๆอย่างนั้น...
“มาหย่งมาอยากอะไรเล่า
ไปจำใครมานี่ ทะลึ่ง...นอนไปเลยไปดึกแล้วนี่”
“นอนไม่หลับอ่ะ
ทั้งคิดถึงแม่ทั้งคิดถึงเจ้ย
คุยเป็นเพื่อนเค้าไปเรื่อยๆได้มั้ย..”
คนใจน้อยว่า
เธอกลับมาทำเสียงเศร้าๆตอนที่ขอร้องฉันอีกครั้ง
คนใจอ่อนขี้สงสารอย่างฉันก็เลยยอมจนได้
ฉันนั่งคุยกับเธอไปพร้อมๆกับสเก๊ตช์งานส่งหลังจากนั้น..
“รู้มั้ยเวลานี้เค้าอยากให้เจ้ยอยู่ข้างๆเค้าที่สุดเลยนะ..”
เสียงอ้อนๆของหญิงสาวดังขึ้นตอนที่ฉันพยายามจัดวางโทรศัพท์
ฉันหยิบจับมันใส่หูฟังแล้วยึดมันติดไว้กับโต๊ะดราฟ
ตอนนี้หน้าจอโทรศัพท์พร้อมฉายหน้าฉันให้คนสวยเห็นตลอดเวลาแล้ว
“รู้สิคะ
เค้าก็อยากอยู่ข้างๆเอื้อยตลอดเวลาเหมือนกันนะรู้มั้ย..”
ฉันยิ้มตอบรับ
ทั้งนั่งสเก๊ตซ์ภาพไปทั้งนั่งมองเธอไป
แต่สายตาเหงาๆมองหากำลังใจของคนปลายสายก็ทำให้ฉันหยุดกึ๊กอีกทันที
น่าสงสารจัง
แม้แต่ตอนนี้สายตาเธอก็ยังบ่งบอกถึงความหว้าเหว่อยู่ตลอด
เธอยังจ้องมองหาสิ่งแสดงความผูกพันธ์จากคนที่เธอรักอยู่เสมอแม้ว่าภาพฉันจะอยู่ต่อหน้าเธอในโทรศัพท์ขนาดไหน
จริงสินะ..ฉันยิ้ม
ยื่นหน้าไปจ่อโทรศัพท์ทันทีที่นึกอะไรขึ้นได้
บางทีนี่อาจจะเป็นยาใจบรรเทาความเหงาของเธอได้ดี
เอื้อยเลิ่กคิ้ว
เธออมยิ้มนิดๆที่เห็นฉันโน้มหน้าเข้ามาเกือบๆติดจอ
คนสวยตั้งใจฟังประโยคหวั่นๆหวามๆด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบที่ดังไปตามสายหลังจากนั้น...
“อยากจูบมั้ย..จูบได้นะ
ตอนนี้ไม่มีใครเห็นแล้ว..”
เอื้อยไม่ตอบ
เธออมยิ้มแล้วหลับตาพริ้มค่อยๆโน้มหน้าเข้ามาประกบจูบไว้ที่หน้าจอมือถือ
เช่นเดียวกันกับฉันที่ก็หลับตานึกมโนภาพถึงรอยจูบจากริมฝีปากนุ่มลื่น
เสมือนว่าตอนนี้ฉันมีเอื้อยอยู่ต่อหน้า
ก่อนจะประกบริมฝีปากตอบรับเธอไปด้วยความรู้สึกวาบหวามหวั่นไหว
เสมือนมันส่งผ่านทะลุจอมือถือออกมาหากันและกันได้อย่างนั้นจริงๆ.....
/////////////////////////////////
“เฮ้..จอเจ้ย
นั่งด้วยสิ..”
เสียงตะโกนเรียกชื่อเสียงเรียงนามใหม่ของฉันดังก้องมาจากข้างหลัง
ฉันหันขวับไปมอง
นึกเอะใจในเสียงคุ้นๆ
ณิชานั่นเองใช่อย่างที่นึกจริงๆด้วย
ตอนนี้เธอเดินยิ้มหวานถือกระดานสเก๊ตช์แบบและแก้วกาแฟเข้ามานั่งขัดสมาธิข้างๆฉันบนพื้นหญ้าที่สนามหน้าคณะแล้ว...
คาบเรียนวันนี้
หลังจากที่ฉันส่งแบบดรออิ้งที่พึ่งว่างมันเสร็จสดๆร้อนๆตอนประมาณสองโมงเช้า
อาจารย์ก็เข้ามาสั่งงานให้พวกเราไปสเก๊ตช์ภาพทัศนียภาพจากดินสอของอาคารอะไรก็ได้ในมหาวิทยาลัยเรามาหนึ่งภาพ
โดยภาพทัศนียภาพนั้นจะต้องแสดงให้เห็นมุมมองแบบสามมิติของอาคาร
ที่มีความกว้างความยาวตามมาตราส่วนของสัดส่วนจริง
หรือที่เราเรียกกันว่า
“Perspective”
กำหนดเวลาส่งก่อนบ่ายโมง
ซึ่งอาคารที่ฉันเลือกที่จะวาดนั้นก็คืออาคารคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ของฉัน
ที่ฉันคิดว่ามันสวยที่สุดในมอแล้วนั่นเอง....
“อ้าว
นึกว่าไปวาดอาคารอื่น
เห็นขับรถออกไปแล้ว..”
ฉันถามณิชาทันทีที่นึกขึ้นได้ว่าตอนเช้าฉันเห็นเธอขับรถสกูตเตอร์ออกจากหน้าคณะเราไปแล้ว
“ที่ขับไปเมื่อเช้าน่ะเหรอ เราไปซื้อกาแฟ เราง่วง เมื่อคืนนั่งวาดจนถึงเช้าแหนะ เราน่ะไม่กล้าไปไหนไกลจากจอเจ้ยหรอก..”ณิชาหยุดพูด เธอยิ้มหวานแล้วพูดจาฉอเลาะเอาใจฉันเหมือนที่เธอชอบทำตลอดเวลาที่อยู่ใกล้ๆ “ไปวาดที่อื่นใครเขาจะสอนเราเหมือนเธอเล่า อยู่กับจอเจ้ยนี่ล่ะ วาดไม่ได้ก็ลอกแม่งเลย...”
“ที่ขับไปเมื่อเช้าน่ะเหรอ เราไปซื้อกาแฟ เราง่วง เมื่อคืนนั่งวาดจนถึงเช้าแหนะ เราน่ะไม่กล้าไปไหนไกลจากจอเจ้ยหรอก..”ณิชาหยุดพูด เธอยิ้มหวานแล้วพูดจาฉอเลาะเอาใจฉันเหมือนที่เธอชอบทำตลอดเวลาที่อยู่ใกล้ๆ “ไปวาดที่อื่นใครเขาจะสอนเราเหมือนเธอเล่า อยู่กับจอเจ้ยนี่ล่ะ วาดไม่ได้ก็ลอกแม่งเลย...”
ฉันเหล่ตามองณิชา
“พูดไม่เพราะอีกแล้ว..”
“โอ้ย..ก็เราติดน่ะ
แหมแค่นี่เอง
อย่าทำตัวเป็นเด็กเนิร์ดนักได้มั้ย
เรียนมหา'ลัยกันแล้วพูดแค่นี้จะเป็นไรไปเล่า..”สาวผมบอนด์ทำทีเป็นยิ้มหวาน
ทั้งตาเล็กตาน้อยตอนเถียงฉัน
เธอมองหน้าฉันที่พยักเพยิดส่งๆด้วยขี้เกียจเถียงกับเธอแล้วก่อนจะยื่นแก้วกาแฟส่งมาให้..
“..ดื่มมั้ย..กาแฟหน้าหอเราเอง
อร่อยนะ เข้มมาก..
ดื่มแล้วนั่งทำแบบได้ยันเช้าเลย”
“ขนาดนั้นเลย
ไหนลองชิมสิถ้างั้น..”
ฉันเลิ่กคิ้วรับแก้วกาแฟนั้นมายกดื่ม
ไหนดูสิจะสมราคาคุยแค่ไหน..ก่อนจะดวงตาเป็นประกายเพราะปลายลิ้นสัมผัสกับฟองนุ่มๆของมันเข้า“เอ้อ..อร่อยจริงด้วยอ่ะ
รสชาดเข้มๆแต่ก็หอมละมุนลิ้นดีนะ
แก้วเท่าไหร่อ่ะ
เดี๋ยววันหลังเราจะไปซื้อบ้าง”
“แก้วละ40
เอง
จอเจ้ยชอบหรือเปล่า
ถ้าชอบเดี๋ยวเราซื้อมาฝากจอเจ้ยก็ได้นะ”
ณิชาว่าพลางรับแก้วกาแฟแก้วนั้นกลับคืนไป
“เฮ้ย
ไม่เป็นไรเราไม่อยากรบกวน
เดี๋ยวเราไปซื้อเองก็ได้
ว่าแต่หอณิชานี่อยู่แถวไหนเหรอ”
“เราอยู่หอหญิงหอนอก
แถวๆด้านหน้ามอน่ะ
บอกไปจอเจ้ยจะรู้จักหรือเปล่า
เดี๋ยวเราพาไปดูดีกว่า
ไปมั้ย ป่ะเดี๋ยวพาไป..”ณิชายิ้มน้อยเอื้อมมือมาดึงมือฉัน
ทีท่าเหมือนจะชวนให้ลุกขึ้นไปหอกับเธอตอนนี้เดี๋ยวนี้ให้ได้
“หืม..จะบ้าเหรอทำงานอยู่นี่เห็นมั้ย
ณิชาก็รีบวาดเลยยิ่งวาดช้าด้วย
เราวาดจะเสร็จแล้วนี่
ถ้าเสร็จแล้วเราจะรีบไปส่งเลยนะ
ไม่รอแล้วนะวันนี้เรามีนัดกับเพื่อนเรา..”
“ห๊ะ
นัดกับเพื่อนเหรอ จอเจ้ยจะไปไหน
แล้วเราจะดูงานใครแล้วใครจะสอนเราล่ะ...”
สาวผมบอนด์งอแงตอนที่ได้ยินฉันว่า
เห็นท่าทางโยเยอย่างนั้นแล้วฉันก็อดที่จะแอบส่งซิกให้ณิชาหันไปมองเพื่อนผู้ชายอีกสองคนที่นั่งแอบอยู่ในพุ่มต้นไม้นั่นไม่ได้...
“นั่นไงสองคนนั่นไง
ไปดูกับสองคนนั่นก็ได้
วันนี้เรามีนัดทานข้าวกับเพื่อนที่โรงเรียนเก่าเรา”
“นัทหล่อกับนัทแว่นเหรอ..”
ณิชาหน้าแหยง
เธอคิ้วขมวดทันทีที่หันไปเห็นชายหนุ่มทั้งสองคน
“...สองคนนี้อีกแล้วอ่ะ
นี่กะจะเป็นองครักษ์พิทักษ์จอเจ้ยไปตลอดเลยใช่มั้ย”
คำพูดประชดประชันทำฉันหัวเราะ
อืม..จะว่าไปแล้วเพื่อนที่คณะก็แซวอย่างนี้กันตลอดนะเวลาที่เห็นฉันกับเพื่อนชายทั้งสองนั่งเรียนหรือนั่งทำกิจกรรมอะไรอยู่ด้วยกันอย่างนั้น
นัทหล่อกับนัทแว่นเป็นเพื่อนชายเอกเดียวกันกับฉัน
สองคนนี้มีชื่อเล่นเหมือนกัน
เวลาคนอื่นจะเรียกก็เลยพยายามหาจุดเด่นมาเรียกต่อท้ายเพื่อให้จำได้
สำหรับนัทหล่อเขาเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงหน้าตาคมเข้มเหมือนลูกครึ่งผิวพรรณก็ดีจนผู้หญิงในเอกหลายๆคนมีมติเห็นพ้องต้องกันว่าเขาหล่อที่สุดในชั้นปี
มีคนเคยบอกว่าในการโหวตดาวเดือนคณะที่จะมาถึงนี้
ถ้าโหวตให้ฉันเป็นดาวคณะแล้วก็ต้องเลือกนัทหล่อให้เป็นเดือนคณะด้วย
ซึ่งนั่นก็บ่งบอกเป็นนัยๆว่ามีคนแอบจับคู่ให้ฉันกับนัทหล่อไปแล้ว
ซึ่งก็ไม่รู้ว่านัทหล่อคิดอะไรหรือเปล่า
รู้แต่ว่าพักหลังๆมานี้เขาชอบมานั่งเรียน
มานั่งทำแบบอยู่ใกล้ๆฉันเสมอ
สำหรับนัทแว่น
เขาเป็นชายหนุ่มที่ใส่แว่นหน้าตาดีคนหนึ่ง
อาจจะไม่ได้หล่อเท่านัทหล่อ
แต่ด้วยบุคลิกเนี๊ยบๆมองดูสะอาดสะอ้าน
บวกกับหน้าตาตาตี๋ๆแบบเกาหลีและใส่แว่นตาแบบคุณชายของเขาก็เลยมักจะทำให้เขามีผู้หญิงมาแอบปลื้มเสมอ
เขาเป็นคนเรียนเก่งทำงานเก่ง
มีบุคลิกเหมือนวิศวกรกับสถาปนิกรวมกัน
ซึ่งด้วยความเก่งของเขา
ฉันก็เลยมักจะคุยและปรึกษางานด้วยบ่อยๆ
กระทั่งรู้สึกตัวอีกที
เขาก็มาเรียนและนั่งทำแบบข้างๆฉันเหมือนนัทหล่อไปแล้ว...
แต่นั่นก็ถือว่ายังไม่ครบองค์เท่าไหร่สำหรับแก๊งค์องครักษ์รักษาฉันที่เพื่อนๆปีหนึ่งพากันแซว
ดูเหมือนว่ายังมีอีกคนหนึ่งที่ตามฉันติดแจตลอด
แต่เขายังไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองหลงเข้ามาอยู่ในแก๊งค์นี้ด้วยแล้ว...
“โหย..พวกนี้เราถามอะไรแล้วไม่ค่อยชอบตอบเราอ่ะ
ถ้าไม่มีจอเจ้ยแล้วเขาก็ไม่คุยกับเราหรอก”
ณิชาบ่นพึมพัมๆ
เธอคงคิดว่าเพื่อนร่วมแกงค์โดยบังเอิญของเธอนั้นจะไม่ยอมช่วยเธอแน่ๆถ้าฉันไม่ได้อยู่ข้างๆเธอตลอดอย่างนี้
...ใช่..ณิชาก็เป็นหนึ่งในคนที่อยู่ข้างๆฉันตลอด
เธอนี่ยิ่งตามติดตัวฉันแจเลยเพราะได้เปรียบกว่านัททั้งสองตรงที่เธอเป็นผู้หญิงเหมือนกันกับฉัน
ณิชาชอบนั่งข้างฉัน
หญิงสาวมักอ้างเหตุผลเสมอว่าเธอไม่สันทัดเรื่องวาดเรื่องลงสีเท่าไหร่
การที่มีฉันอยู่ใกล้ๆไม่เข้าใจอะไรก็ยังจะถามได้บ้าง
จริงอย่างเธอบอก
เพราะเธอก็ถามฉันตลอดหรือแม้กระทั่งขอให้ฉันสอนวาดหรือวาดให้เธอเลยก็มี
ซึ่งนั่นก็เลยทำให้ฉันต้องแอบดูงานณิชาเมื่อเริ่มรู้สึกว่าคนอะไรจะวาดไม่เป็นขนาดนั้น
ความประหลาดใจน้อยๆเกิดขึ้นกับฉันเมื่อพบว่าจริงๆณิชาก็ลายเส้นสวย
แถมงานที่เธอทำส่งก็สวยไอเดียก็ดีด้วยไม่เห็นจะเป็นอย่างที่เธอบอกเลย...
“หืม..ไม่รู้สิ
ไม่รู้เหมือนกันว่าวาดไปได้ยังไง”
เป็นคำปฏิเสธหน้าตายเวลาที่ฉันทักเธอเรื่องลายเส้น
หญิงสาวชักแม่น้ำทั้งห้า
เธอยกเหตุผลต่างๆมาสมทบ
แต่พอทำท่าเหมือนจะเถียงฉันไม่ได้สุดท้ายก็ใช้ประโยคไม้ตายที่ว่า..
“งานเธอสวยกว่าเรา..เธอสอนเราเหมือนเดิมเถอะนะ”
มาอ้อนฉันทันที
แม้จะนึกแปลกใจท่าทางชวนสงสัยของณิชาอยู่บ้าง
แต่ฉันก็ชอบที่จะนั่งข้างๆเธอตลอด
เพราะฉันรู้สึกชอบเส้นสายและสไตล์การวาดจริงๆของณิชานั่นเอง
//////////////////////////////////////
เสียงแตรรถยนต์สีแดงขาวคันเล็กดังขึ้นให้สัญญาณ
ฉันเตรียมตัวหยิบกระดานสเก๊ตช์แบบและกระเป๋าออกมายืนรอหน้าอาคารทันที
ตอนนี้เลยเวลาพักเที่ยงมามากโขแล้ว
งานสเก๊ตซ์อาคารถูกส่งวางโต๊ะครูเรียบร้อยแล้ว
และมันถูกส่งก่อนบ่ายตั้ง15นาที
งานเสร็จเร็ว
แต่ไม่ได้แปลว่าเร็วเลยสำหรับอาหารมื้อพิเศษ
อาหารเที่ยงที่ค่อนไปทางบ่าย
เฮ้อ..แล้วกลายเป็นสายจนได้สำหรับนัดทานข้าวมื้อสำคัญกับคนรักอย่างนี้...
ใช่...วันนี้ฉันนัดทานข้าวเที่ยงกับเอื้อย
ด้วยอยากจะชดเชยเรื่องที่ฉันไม่ค่อยมีเวลาให้
ทั้งการทำหน้าที่แฟนขาดตกบกพร่อง
ทำให้ฉันต้องรับผิดชอบฐานละเลยความรู้สึกคนรัก
เมื่อคืนตอนที่คุยวีดีโอคอลกันเกือบๆโต้รุ่ง
ด้วยความเป็นห่วงว่าเอื้อยจะไม่ได้พักผ่อนและอยากขอโทษความผิดก่อนหน้านี้
ฉันก็เลยยื่นข้อเสนอแลกกับที่เธอต้องนอนว่าพรุ่งนี้มื้อเที่ยงฉันจะไปทานข้าวด้วย
ซึ่งนั้นก็เป็นที่มาว่าทำไมฉันถึงรีบทำงานให้เสร็จก่อนเวลา
แล้วขอตัวลาเพื่อนไปก่อนอย่างนั้น
ตอนนั้นด้วยความเป็นห่วงเอื้อยกลัวจะน้อยใจที่ฉันไปสาย
ก็เลยโทรไปบอกว่าอาจจะได้ทานมื้อเที่ยงช้าสักหน่อยขอให้เธอรอฉันได้มั้ย
ซึ่งก็ได้ผลเพราะเธอก็ไม่ว่าอะไร
บอกแต่เพียงว่าจะคุยกับเพื่อนรอเวลาก่อนก็ได้หากเสร็จแล้วค่อยโทรหาอีกที...
ตอนนี้เมื่อรถมาจอดเทียบฟุตบาตแล้วฉันก็รีบวิ่งไปฝั่งที่นั่งด้านข้างคนขับ
เสียงหวีดวี๊ดว้ายจากเบาะหลังดังขึ้นจนฉันสะดุ้งตกใจทันทีที่ฉันเปิดประตูเข้าไป...
“โอ้ย..แก..ฉันก็ว่าอยู่ว่าเอื้อยให้พวกฉันเว้นเบาะหน้าให้ใคร..”
ฉันหันไปมอง
เป็นเสียงสาเพื่อนสมัยมัธยมนั่นเอง
เธอนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างเแนนและทิพย์เพื่อนม.6ห้องเดียวกัน
ตอนนี้สาก็ยังจีบปากจีบคอหยอกล้อ
ทำหน้าตากระแหนะกระแหนฉันต่อด้วยความหมั่นไส้ต่อว่า...
“ที่นั่งสำคัญสำหรับคนสำคัญสิโน๊ะ..”
ฉันยิ้ม
หันไปยักไหล่เบ้ปากต่อปากต่อคำกับสาด้วยอารมณ์ครื้นเครงทันทีที่ปิดประตูแล้วหันมานั่งคุยกับพวกเขาได้...
“แหงละย่ะ
เค้าก็ต้องคัดคนสวยที่สุดเอามาไว้นั่งข้างหน้ากับเค้าสิยะ”
“อ้อหรา....ไม่ยักกะรู้ว่าเอื้อยอยากได้คนสวยแบบแกเป็นตุ๊กตาหน้ารถ
ตกลงเป็นแม่ย่านางประจำรถเอื้อยแล้วใช่มั้ยแก..”
เพื่อนที่เหลือหัวเราะครืนทันทีที่ได้ยินสาแซวฉันอย่างนั้น
“ไม่รู้สิ
ถามเจ้าของรถดูสิ
ถ้าเขาอยากให้ฉันเป็น..พวกแกก็คงจะได้เห็นฉันนั่งรถเค้าบ่อยๆล่ะมั้ง”
“แหม..พวกแกนี่ก็ยังไม่ทิ้งลายคู่จิ้นนะ
พูดอะไรสองแง่สองง่ามให้พวกฉันมโนเองตลอด
นี่ถ้าไม่ได้เป็นเพื่อนพวกแกมาตลอดนี่ฉันคิดกันแล้วนะว่าพวกแกเป็นแฟนกันจริงๆ”
ฉันหันไปยิ้มเหล่ตามองเอื้อยทันทีที่ได้ยินสาแซว
เอื้อยก็ยิ้ม
เธอจุ๊ปากและหรี่ตาให้ฉันนิดนึงก่อนจะหันไปบังคับพวงลัยด้านหน้าต่อ
หญิงสาวยิ้มมองเพื่อนทั้งสามผ่านกระจกมองหลัง
ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงสดใสน่าฟังเหมือนทุกๆครั้งที่อยู่กับบรรดาเพื่อนๆว่า....
“ว่าไงสาวๆ..ตกลงบ่ายนี้เราทานอะไรกันดี”
/////////////////////////////////////////
“ห๊ะ!!!
เอกกับหญิงนี่นะจะคบกัน..”
เสียงตื่นเต้นของฉันดังขึ้นทันทีที่ได้ยินข่าวคราวของเพื่อนๆ
หลังจากที่เราเริ่มนั่งทานส้มตำกันในร้านหน้ามอ
จากการลงมติของสมาชิกทั้ง5ว่าอาหารมื้อนี้พวกเขาอยากทานส้มตำกัน..
ตอนนี้พอเราเริ่มนั่งทาน
การสนทนาในวงอาหารก็เลยหนีไม่พ้นเรื่องของความเป็นไปเป็นมาของเรา
การเรียนของเรา
รวมทั้งการถามข่าวคราวของเพื่อนๆคนอื่นๆที่ไม่ได้เรียนที่นี่ว่าพวกเขาเป็นอะไรยังไงบ้าง...
“อืม..เห็นเขาว่ากันนะ
อันนี้ฉันยังไม่ชัวร์เท่าไหร่
แต่สองคนนี้ก็ไปเรียนที่ม.เดียวกันน่ะแก
แล้วยังเลือกเรียนคณะเดียวกันด้วยนะ
จริงๆมีหลายคนซุบซิบว่าสองคนนี้แอบอยู่หอนอกด้วยกันแล้วด้วย..”
สากระซิบกระซาบทำท่าทางอย่างกับกลัวคนโต๊ะอื่นๆจะได้ยินเรื่องของสองคนนี้
ทั้งที่จริงเขาก็ไม่ได้รู้จักอะไรด้วยเลย..
“อืม..ตอนที่ฉันเรียนม.4ม.5ด้วย
ฉันก็ไปไหนมาไหนกับสองคนนี้ตลอดนะ
ก็ไม่มีวี่แววว่าจะชอบกันเลย
เห็นชอบกัดกันตลอดอ่ะ
สงสัยตอนย้ายไปเรียนห้อง2ตอนม.6ด้วยกัน
เกิดเห็นใจกันหรือเปล่าไม่รู้นะ
อืม..คิดๆแล้วก็อาจจะเป็นไปได้..”
ฉันคิ้วขมวด
นึกถึงภาพเพื่อนทั้งสองคนเมื่อยามกัดจิกกันในเรื่องเล็กๆน้อยๆ
แล้วก็อดที่จะแปลกใจเล็กๆไม่ได้
“นั่นละฮะท่านผู้ชม
ตอนแรกฉันก็ไม่เชื่อหรอก
ยิ่งมาบอกว่าอยู่หอด้วยกันแล้วด้วยนี่ฉันยิ่งอึ้ง..”
สาทั้งพูดทั้งกลืนน้ำลายเหมือนกระดากปากกระดากใจจะเล่าต่อ
“..แต่ก็อย่างว่าล่ะนะ
พอเข้ามหาวิทยาลัยคนที่เป็นแฟนกัน
คนที่คบกันเขาก็อยากอยู่หอด้วยกันทั้งนั้นล่ะ..”
ฉันตักตำไทยรสจัดใส่ปากพลางพยักหน้างึกๆเห็นด้วยกับสา
ก่อนจะกลายเป็นสะดุ้งกึ๊กทันทีที่เห็นสาแอบหันมายิ้มกรุ้มกริ่มแล้วเหล่มองฉันกับเอื้อยแววตามีพิรุธ
“แล้วแกกับเอื้อย...ไม่อยู่หอด้วยกันเหรอว้าาา....”
เธอลากเสียงยิ้มน้อย
ทำท่าทางเหนียมอายตอนที่แซว
ทั้งทำทีเป็นยื่นนิ้วชี้มาจี้ไหล่ฉันจึกๆ
ให้ฉันรู้ความหมายจากท่าทางและสายตาหื่นๆทันทีว่าแปลว่าอะไร
ซึ่งฉันก็สำลักตำไทยทันทีที่แปลออก...
“บ้าสิจะอยู่ด้วยกันทำไม
ต่างคนก็ต่างมีหอของตัวเองอยู่แล้ว
ฉันก็อยู่หอใน เอื้อยก็อยู่หอนอก”
“อะจริงดิ..”
สายังไม่หยุดแซวด้วยเสียงทะลึ่งตึงตังของเธอ
จนเอื้อยหน้าแดงแล้วกลายเป็นไอสำลักส้มตำเหมือนๆกับฉันซะงั้น
ฉันต้องรีบยื่นน้ำให้เอื้อยดื่ม
ทั้งรีบลูบหลังให้ด้วยกลัวว่าเอื้อยจะสำลักจนเส้นส้มตำขึ้นจมูกไปกันใหญ่..
“เฮ้ย
เอื้อยฉันล้อเล่น
นี่แกคิดตามจนหื่นขึ้นจมูกเลยเหรอ”
สายื่นไม้ยื่นมือมาลูบเอื้อยด้วยความเป็นห่วงบ้าง
แต่ก็ยังไม่วายหยอดมุก18+บวกมาให้เอื้อยสำลักเพิ่มเข้าไปอีก..
เพื่อนๆที่เหลือนั่งขำมองสาแซวเอื้อยด้วยความอารมณ์ดี
บรรยากาศการทานข้าวเที่ยงวันนี้จึงเต็มไปด้วยความคึกคักและสนุกสนาน
พวกเราคุยกันเรื่องสัพเพเหระเหระอื่นๆ
ถามสารทุกข์สุขดิบกันเพิ่มเติม
รวมถึงรายละเอียดการเรียนของแต่ละคนแต่ละคณะด้วย
ฉันนั่งฟังสากับเพื่อนเล่าเรื่องที่คณะตัวเองให้เพื่อนฟังด้วยความสนใจ...
สาและทิพย์นั้นเรียนคณะวิทยาศาสตร์แต่อยู่กันคนละเอก
ส่วนแนนนั้นเรียนพยาบาล
ซึ่งตึกคณะที่สามคนเรียนอยู่นี้อยู่ใกล้ๆกับตึกคณะที่เอื้อยเรียน
จึงเป็นที่มาว่าทำไมช่วงนี้สี่คนนี้สนิทกันขึ้น
ติดต่อกันมากขึ้น
หรือไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยขึ้นนั่นเอง..
“ก็มีแต่แกล่ะอยู่ไกลเพื่อน..คณะอยู่ในป่าในดง”
สาหันมาแขวะฉันทันทีที่พูดมาถึงเรื่องตึกเรียน...
“ป่าดงที่ไหน..นั่นมันต้นไม้ที่เขาจัดสวนตกแต่งกันย่ะ
ไม่รู้เหรอตึกเค้ามีภูมิสภาปัตย์เอาไว้ตกแต่งสวนคณะโดยเฉพาะนะแก..ไฮโซป่ะล่ะ..”ฉันก็จีบปากจีบคอต่อล้อต่อเถียงเพื่อนคืนบ้าง
“อ่ะจริงดิฉันนึกว่าแต่สวนmaze
runnerอ่ะแก
ดูมันแบบ..ลึกลับซ้อนเกิ้น..”
“เค้าเรียกสเปซย่ะ
เขาแค่จัดสเปซให้มีโวลลูมมีลูกเล่นให้สมกับส่วนพักผ่อนน่ะแก
มันอาจจะดูลึกลับซับซ้อนหน่อย
แต่ถ้าแกเดินเข้าไปดีๆมันก็ให้ความรู้สึกมีชีวิตชีวาไม่จืดชืดเหมาะกับการนั่งพักนะแก”
สาเบ้ปาก
เธอเหล่ตาไปมองเพื่อนๆที่เหลือก่อนจะหันมาจีบปากจีบคอแซวฉันต่อ
“นี่แกพึ่งเข้าไปเรียนไม่เท่าไหร่แกได้ศัพท์มาแล้วเรอะ
อะไรวะสเปซฉันรู้จักแต่น้ำส้มสแปซ”
“เออน่า..ศัพท์ในการออกแบบนี่ล่ะ
ฉันก็จำเค้ามาเหมือนกัน”
ฉันยักคิ้วแล้วหันไปฟังเพื่อนๆคุยเรื่องถัดไป
ซึ่งคนในหัวข้อสนทนาต่อไปก็คือเอื้อยนั่นเอง...
“ได้ข่าวว่าอยู่หอนอก
หอหญิงไฮโซนั่นเหรอเอื้อย
เป็นไงบ้างหอดีมั้ยแล้วใครเป็นรูมเมท”
“เค้าอยู่คนเดียวไม่มีรูมเมท
หอก็ดีอยู่ สะอาดปลอดภัยดีไม่มีอะไรน่ากลัว..”
“แหม..สาแกนี่บ้านนอก
หอหญิงไฮโซหอนั้นนะเค้ามีแต่คนรวยๆไปอยู่กัน
เค้าไม่ต้องมีรูมเมทมาหารค่าห้องเหมือนหอในอย่างพวกเราหรอกจ๊ะ”
แนนหันไปอธิบายสา
“อ้าวเหรอ..เออฉันก็ลืมไป
จริงๆแล้วถ้าเอื้อยเลือกยื่นคะแนนที่
ม.เราเป็นอันดับหนึ่งเอื้อยก็อาจจะได้อยู่หอในก็ได้นะ
แต่นี่เลือกม.เราเป็นอันดับสอง
พอเข้ามาก็กลายเป็นว่าหอในเต็มแล้วต้องไปอยู่หอนอกแทน
แต่ก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้งเนอะบ้านเอื้อยรวยอยู่
ค่าหอจิ๊บๆแค่นี้คงสบาย
ได้ข่าวว่าแม่เอื้อยมาเลือกหอให้เองเลยใช่ป่ะ..”สาหันไปถามเอื้อยเรื่องที่เธอรู้มาเกี่ยวกับการตัดสินใจมาเรียนที่นี่ของเอื้อย
ซึ่งคนสวยก็พยักหน้ารับทันทีที่ได้ยินเพื่อนถาม..
“..แล้วเอื้อยไม่เหงาเหรอ
สาวสวยอยู่หอคนเดียวอย่างนี้
ทำไมไม่ชวนแฟนไปอยู่ด้วยเล่า....”
สายิ้มกรุ่มกริ้มตั้งใจแซวเอื้อยโดยพูดวกเข้าประเด็นคู่จิ้นอีกครั้งจนได้
ซึ่งถึงแม้ในประโยคไม่ได้ระบุว่าเป็นใคร
แต่สายตาสามสหายก็เหล่มองฉันเป็นนัยๆว่าพวกเขารู้ว่าฉันคือคนที่อยู่ในคำถามเมื่อครู่นั่นเอง
ฉันหน้าแดงตั้งท่าจะแขวะเพื่อนคืน
แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะต่อปากต่อคำอะไร
อยู่ๆเอื้อยก็พูดแทรกกลางวงเข้ามาก่อน....
“..ก็อยากให้เขามาอยู่ด้วยอยู่..แต่ไม่รู้ว่าเขาจะอยากมามั้ย..”
หญิงสาวก้มหน้าก้มตาเขี่ยโต๊ะไปตอนที่พูด..
ห๊ะ!!
เพื่อนๆหันขวับมามองเอื้อย
อารมณ์ทั้งอึ้งทั้งเหวอ
ไม่คิดว่าคนขี้อายอย่างเอื้อยจะกล้าตอบรับมุกหยอด
เรื่องอยากให้คู่จิ้นอย่างฉันมาอยู่ห้องด้วยกันได้ต่อหน้าต่อตาอย่างนี้
เธอทั้งสามตาค้าง
มองเอื้อยนั่งก้มหน้าก้มตาไม่รู้ตัวว่ากำลังสร้างความตกตะลึงให้พวกเขาเข้าแล้ว
“เฮ้ยๆ....ขอกันออกสื่อเลยหรือวะ”
สาตั้งสติได้รีบแซวเอื้อยก่อน
ส่วนคนโดนทักสะดุ้งโหยงเงยหน้า
อารมณ์ประมาณพึ่งนึกขึ้นได้
เธอทำตัวเลิ่กลั่กมองคนนั้นทีคนโน้นทีก่อนจะยกมือขึ้นโบกปัดปฏิเสธไปมา..
“เฮ้ย..ปะ..เปล่าๆ
คือเค้าหมายถึงอยากให้เจ้ยมาอยู่เป็นเพื่อนกันน่ะ
หมายถึงเป็นเพื่อนน่ะ..พะ..เพื่อนกันธรรมดาๆทั่วไปไง”คนสวยทั้งเขินทั้งอาย
เธออธิบายด้วยอาการประหม่า
พอๆกับฉันที่นั่งอายหน้าแดงก้มหน้า
หลบตาเพื่อนทันทีที่โดนเอื้อยจู่โจมเปิดประเด็นชวนฉันไปอยู่หอต่อหน้าเพื่อนๆขนาดนั้นเข้า...นี่อย่าบอกนะว่าเอื้อยอยากให้เพื่อนๆพวกนี้ช่วยชวนฉันไปอยู่กับเธออีกแรง...
“เออ..เพื่อนกันนอนด้วยกันได้
พวกฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่หว่า
ร้อนตัวกันจัง”
สาทำหน้ากรุ้มกริ่มก่อนจะหันมาถามจี้เอาคำตอบจากฉันฉับ!!
“แล้วแกว่าไงวะ
เอื้อยเขาสู่ขอแล้วเมื่อไหร่แกจะยกตัวเองให้เอื้อยสักที”
“โอ้ย!!!
อีพวกบ้า!!!
สู่ขออะไรเล่า”
อารมณ์เขินทำฉันสบถด่าออกมาทันทีที่ได้ยินสาแซวเสียงดังอย่างนั้น
ทั้งพยายามจะตั้งท่าเถียงตอนที่หันไปมองท่าทีคนนั้นคนนี้จนกระทั่งมาสบสายตาเอื้อยเข้า
อึ๊ก...ตอนนี้หญิงสาวยิ้มหน้าแดงรอฟังคำตอบอย่างมีความหวังก่อนหน้านั้นแล้ว
“ก็..ก็..ก็..ดูก่อนแล้วกัน..”
แม้ตอนแรกฉันทำทีเป็นโวยวายเสียงดัง
แต่พอเจอสายตาเว้าวอนของเอื้อยที่มองฉันแล้วก็กลายเป็นเสียงอ่อนลง
ซ้ำยังตอบคำถามตะกุกตะกักด้วยนึกกลัวเอื้อยจะเสียใจที่ได้ยินข้อความที่ฉันเผลอพูดเหมือนไม่อยากอยู่ใกล้เธอเข้าให้..
ได้ยินฉันตอบคำถามเสียงสั่นๆ
บรรดาเพื่อนๆทั้งสามก็ยิ้มกรุ้มกริ่มทำหน้ามีเลสนัยมองฉันกับเอื้อยทันที
แม้พวกเขาจะไม่พูดอะไรต่อจากนั้น
แต่ฉันก็พอจะเดาได้ว่าพวกเขาน่าจะรู้ว่ามีอะไรพิเศษบางอย่างระหว่างฉันกับเอื้อยที่พวกเขาไม่ควรแซวให้พวกเรารู้สึกไม่ดีบ่อยๆแล้ว....
เย็นวันนั้นหลังจากที่พวกเราทานข้าว
นั่งคุยนั่งเล่นและไปส่งบรรดาเพื่อนๆกลับหอกันเสร็จ
เอื้อยก็ไปส่งฉันที่ด้านหลังหอ
ที่ตรงนั้นจะมีต้นไม้ต้นใหญ่ๆทำหน้าที่ให้ร่มเงาพอที่จะให้รถยนต์จอดหลบแดดหลบฝนได้...
“เดี๋ยวเค้าโทรหาอีกทีนะ”
เป็นฉันที่บอกลาเอื้อยตอนที่หยิบของเตรียมที่จะเปิดประตูออกจากรถไป
เอื้อยยิ้ม
เธอยื่นมือมาดึงฉันไว้
“เดี๋ยวสิ..กลับห้องไปทำอะไรบ้างอ่ะ”
“ก็..พักผ่อนเตรียมตัวไปเข้าคลาสเชียร์คณะตอนเย็นน่ะ
เอื้อยถามทำไมเหรอ”
“ก็เปล่า..ไม่มีอะไรหรอก
นึกว่าว่าง..ถ้าว่างจะชวนไปเล่นห้อง...”
จึ๊ก..ฉันยิ้มค้างทันทีที่ได้ยินเอื้อยว่า..
“เอิ่ม..ไอ้ว่างก็ว่างอยู่หรอก..แต่มันแค่แป๊บเดียวเองอ่ะ
เดี๋ยวอีกไม่ถึงชั่วโมงก็ต้องไปเข้าคลาสเชียร์แล้วน่ะ
เอื้อยก็ต้องเข้าเหมือนกันไม่ใช่เหรอ
ถ้าเค้าไปถึงหอเอื้อยมันก็จะคงถึงเวลาเข้าคลาสเชียร์เราพอดีมั้ง..”
ฉันยิ้มน้อยอธิบายเอื้อยด้วยความอายแสนอายเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเธอจะชวนฉันไปเล่นห้องทำไม...
เอื้อยก็อาย
เธอหน้าแดงตอนที่พยักหน้าเห็นด้วย
มือก็เกาหัวแก๊กๆแก้เขินของเธอไป
“จริงสินะ..ลืมคิดไปเลย..”หญิงสาวหัวเราะแก้เขินหึหึหลังจากนั้น
ก่อนจะดึงมือของฉันเข้ามากุมใกล้ๆ
สีหน้าแดงๆแหยๆครู่นี้เคร่งขึ้น
เธอปรับอารมณ์เข้าโหมดซีเรียสแล้วตะกุกตะกักคุยกับฉัน
ความแปลกใจเล็กๆเมื่อได้ยินเรื่องบางเรื่องที่เธอไม่น่าจะกล้าพูดกับฉันได้ทำให้ฉันเลิ่กคิ้วรับฟังด้วยใบหน้าเหรอหราหลังจากนั้น..
“เอิ่มคือ..เรื่องที่สาแซวเราวันนี้น่ะ..เอ่อ..หมายถึงเรื่องที่เค้าจะชวนเจ้ยมาอยู่หอกับเค้าน่ะ
เค้าพูดจริงๆนะไม่ได้พูดเล่น
เค้าอยากให้เจ้ยมาอยู่หอกับเค้านะ
เจ้ยมาอยู่กับเค้าได้มั้ย..”
เอื้อยหน้าแดงกร่ำตอนที่พูด
มือเธอที่กุมก็มีเหงื่อซึมออกมาจนแฉะ
ใบหน้า ท่าทาง ดวงตา
ทุกสิ่งแสดงให้เห็นว่าเธอต้องพยายามรวบรวมความกล้าขนาดไหนที่จะพูดเรื่องนี้กับฉันได้
ฉันอึ้ง
รู้สึกแปลกๆทันทีที่ได้ยินเอื้อยสารภาพความต้องการในใจต่อหน้าตัวเองในยามที่อยู่กันสองคนอย่างนี้
แม้ตอนแรกที่ได้ยินฉันจะดีใจจนเกือบจะโผกอดเอื้อย
แต่พอหลังจากเสี้ยววินาทีนั้นแล้วฉันกลับมีความกลัวแปลกๆโผล่ขึ้นมาในความคิดทันที..เอาไงดีล่ะ
นี่ไม่ใช่สิ่งที่เหนือความคาดหมายของฉันเลย
ฉันคิดและหวังไว้เสมอว่าวันหนึ่งฉันกับเอื้อยจะต้องอยู่ใกล้ชิดและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน
ฉันโหยหาอยากอยู่ข้างๆคนที่ฉันรักเสมอและรู้ว่าเอื้อยก็คงเป็นเช่นเดียวกัน
..แต่เอาเข้าจริงๆ
พอเรามีโอกาสจะได้อยู่ด้วยกันสองคนจริงๆจังๆ
ฉันกลับกลัวว่าสิ่งที่ฉันหวังไว้เกี่ยวกับฉันและเอื้อยก่อนหน้านั้นจะมีอะไรทำให้ฉันผิดไปจากที่หวังหรือเปล่า
หรือแม้แต่เอื้อยเอง
ถ้าเอื้อยได้เจอสิ่งที่ไม่เคยคิดฝันว่าจะมาเจอจากฉันแล้ว
เธอจะยังอยากอยู่ด้วยมั้ย
อยู่ๆฉันกลับกลัวว่าการที่เราจะได้อยู่ด้วยกันจริงๆจังๆมันจะทำให้เราสองคนได้เจอในสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมาย
จนกระทั่งเรารับไม่ได้แล้วเลิกลากันไปอย่างนั้นหรือเปล่า
ให้ตายเถอะ...ฉันยังไม่พร้อมจะเร่งช่วงเวลาสีเทาเหล่านั้นให้เข้ามาในความรักสีชมพูของฉันกับเอื้อยยามนี้เลย
ฉันยังไม่พร้อมจะเจอ..ความรักแบบผู้ใหญ่...กับเอื้อยในยามนี้เลย...
...ฉันคิ้วขมวดมองเอื้อยที่ก็คิ้วขมวดไม่แพ้ฉันเลย
เธอคงรู้สึกแปลกใจตั้งแต่วินาทีแรกที่ฉันอึ้งแล้วไม่แสดงท่าทางดีใจตอบรับเธอแล้ว...
“เอ่อ..คือว่า..รอปี2ก่อนได้มั้ย
ตอนนี้เราพึ่งอยู่ปี1หลายๆอย่างมันยังไม่ลงตัวน่ะ"
เอื้อยอึ้งเธอยิ้มค้างทันทีที่ได้ยินฉันอธิบาย
เห็นใบหน้าถอดสีซีดๆเซียวๆเหมือนคนผิดหวังของเอื้อยแล้วก็นึกสงสาร
ต้องรีบหาเหตุผลมาอธิบายให้เธอคลายความเสียใจตอนนี้ให้ได้..
“คือ..อย่าพึ่งคิดเป็นอย่างอื่นนะ..ไม่ใช่ว่าเค้าไม่อยากไปอยู่กับเอื้อยนะ
เค้ารู้ว่าเอื้อยเหงาและเค้าเองก็เหงาเหมือนกัน
แต่คือเค้าอยู่หอในไง...แล้วทีนี้กฏระเบียบของหอในมันค่อนข้างจะจุกจิกน่ะ
การเข้าออกหอก็ค่อนข้างเข้มงวด
เค้าได้ยินรุ่นพี่บอกว่าอยู่หอในน่ะเค้าเช็คเวลาเข้าออกหอของเราตลอดนะ
ถึงเวลาปลายปีพี่หอก็จะส่งรายงานการเข้าออกหอของเราให้ผู้ปกครองดูอ่ะ
แล้วที่นี้คือ..ถ้าเค้าออกมาอยู่หอนอกกับเอื้อยเลยมันก็จะ..เอ่อ..คือ..”
“คือ..เจ้ย...กลัวพ่อกับแม่ว่าใช่มั้ย..”
เอื้อยลองถามฉันทันทีที่ได้ยินฉันพยายามอธิบายด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก
ฉันพยักหน้ารับ
“ใช่..เค้าไม่อยากให้พ่อแม่มองเค้าไม่ดีอ่ะ..”เหตุผลของฉันได้ผล
หญิงสาวยิ้มออก
เธอเลื่อนมือขึ้นมาลูบแก้มฉันเบาๆด้วยความเอ็นดูทันทีที่ได้ยินฉันสารภาพความคิดที่เหมือนเด็กน้อยอย่างนั้นเข้า....
“งั้นไม่เป็นไร
เค้าเข้าใจเจ้ยนะ
เดี๋ยวรอปี2เจ้ยย้ายออกจากหอในแล้ว
ค่อยมาอยู่ด้วยกันก็ได้..”