วันศุกร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2560


นิยายหญิงรักหญิง Girlfriend Season2

Chapter 2

Campus life

ในช่วงเดือนแรกๆของการเรียนมหาวิทยาลัยปีหนึ่ง นอกจากฉันจะได้เรียนรู้ทักษะวิชาต่างๆตามหลักสูตรคณะของตัวเองและหลักสูตรภาคบังคับของมหาวิทยาลัยแล้ว ฉันยังต้องแบ่งเวลามาทำกิจกรรมต่างๆของทั้งทางมหาวิทยาลัยและทางคณะด้วย
ซึ่งกิจกรรมที่ต้องทำประจำในแต่ละวันของชีวิตน้องใหม่อย่างฉัน สามารถแบ่งออกเป็นสองส่วนของช่วงเวลาแต่ละวันดังนี้คือ ...
ช่วงเช้าฉันจะไปเรียนที่คณะ ใช่..เด็กปีหนึ่งที่ใฝ่เรียนทุกคนต้องไปเรียนที่คณะกันหมด ไม่มีใครกล้าหนีหายไปไหน เพราะพวกเราแต่ละคนต้องรับผิดชอบในการเก็บหน่วยกิตหรือเรียนให้ครบตามหลักสูตรวิชานั้นๆให้ได้ ที่นี่ไม่มีการตาม ไม่มีการเรียกหา หากนักศึกษาไม่มา อาจารย์ก็จะปล่อย การเรียนให้จบมหาวิทยาลัยนั้นนอกจากจะใช้ความรู้และความสามารถของตัวเองแล้ว เรายังต้องอาศัยความรับผิดชอบที่มากขึ้นกว่าระดับมัธยมอีกด้วย หากเราไม่เข้าเรียนขาดเช็คชื่อตามที่อาจารย์กำหนดจำนวนครั้งไว้แล้ว อาจารย์ก็จะตัดสิทธิ์การสอบทันที ถ้าเราไม่ผ่านเราก็ต้องมาเสียเวลานั่งเรียนใหม่ อาจจะทำให้จบช้ากว่าเพื่อนปีหนึ่ง หรือมากกว่านั้นก็ได้ถ้าจำนวนรายวิชาที่ไม่ผ่านนั้นเกินกว่าทางมหาวิทยาลัยกำหนด นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเราเกือบๆจะทุกคนต้องมีความกระตือรือร้น และมีความใส่ใจในการเรียนของคณะตัวเองค่อนข้างสูง ซึ่งการเรียนของแต่ละคนแต่ละคณะก็คงจะมีรายละเอียดที่แตกต่างกันออกไป
สำหรับคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ที่ฉันเรียน วิชาส่วนมากจะแบ่งการเรียนการสอนออกเป็นสองพาร์ทต่อรายวิชาพื้นฐานของคณะ วิชาพื้นฐานพวกนี้ก็ได้แก่วิชาจำพวกออกแบบ เขียนแบบ และความรู้เกี่ยวกับสถาปัตยกรรมศาสตร์ทั่วไป ซึ่งเราจะใช้เวลาเรียนมันทั้งวันเช้าถึงเย็น โดยจะแบ่งออกเป็น คาบเช้าเรียนทฤษฎีและคาบบ่ายจะเป็นปฏิบัติ...
ในส่วนภาคความรู้ในช่วงเช้า อาจารย์จะสอนทฤษฏีเกี่ยวกับงานดีไซน์ต่างๆ เป็นการออกแบบเบื้องต้นบ้าง การวาดหรือที่เราเรียกว่าดรออิ้ง (Drawing) บ้าง การเขียนแบบบ้าง หรือประวัติความเป็นมาของสถาปัตยกรรมศาสตร์จากประวัติศาสตร์ของไทยและต่างประเทศที่นักศึกษาชั้นปีที่1อย่างเราจะเข้าใจง่ายๆบ้าง สรุปง่ายๆก็คือเป็นองค์ความรู้เบื้องต้นที่พวกเราต้องทำความเข้าใจให้ได้ เราต้องพยายามแตกฉานในสิ่งที่อาจารย์สอนแต่ละคาบให้ได้ แต่อาจารย์อาจจะอธิบายไม่หมด อาจจะมีเพียงประเด็นใหญ่ๆให้เราได้พอรู้เป็นแนวทาง เรามีหน้าที่ที่ต้องศึกษาเพิ่มเติมหลังจากนั้นด้วย...

ใช่...ในการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยจะแตกต่างจากมัธยมตรงที่อาจารย์จะบอกหัวข้อในการศึกษาแต่ละข้อ บางทีก็มีพรีเซนต์เตชั่นให้เราได้ดูประกอบการเรียน แต่เราจะไม่ได้มานั่งจดทุกๆรายละเอียดแบบที่เราต้องจดส่งงานในชั้นมัธยม การจดเลคเชอร์ของเรานั้นเป็นเพียงการจดหัวข้อต่างๆหรือโน๊ตในรายละเอียดที่สำคัญๆที่เราทำความเข้าใจแล้วย่อไว้เพื่อที่จะไปหาความรู้จากแหล่งอื่นเพิ่มเติมให้สมกับชื่อ “นักศึกษา”

เมื่อคาบเช้าเราเรียนภาคทฤษฎีเสร็จ คาบบ่ายก็จะเป็นภาคปฏิบัติ ซึ่งในแต่ละวิชาก็จะมีภาคปฏิบัติแตกต่างกันออกไป ยกตัวอย่างเช่น ภาควิชาการออกแบบเบื้องต้น ถ้าตอนเช้าเราเรียนเกี่ยวกับทฤษฎีการออกแบบ เช่นความแตกต่างระหว่างพื้นที่สีขาวและสีดำ แสงและเงา มิติของภาพหรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวกับพื้นฐานในการออกแบบ ช่วงบ่ายเราก็จะมีงานหรือที่อาจารย์เรียกมันว่า “สเก๊ตช์ดีไซน์”(Sketch Design) ให้เราทำกัน อาจารย์มักจะออกแบบโจทย์งานแปลกๆแหวกแนวเพื่อให้เราได้ใช้สมอง ได้ใช้ไอเดียในการคิดสร้างสรรค์ ภายใต้โจทย์ที่มีข้อจำกัดแปลกๆและระยะเวลาคิดงานที่สุดแสนจะจำกัดสำหรับงานที่ต้องคิด ต้องเขียน รวมทั้งระบายสีด้วย ใช่...ฉันกำลังอธิบายว่าภายในเวลาคาบบ่ายจากบ่ายโมงไปจนถึงห้าโมงเย็น นอกจากฉันจะต้องรีบวิ่งกระหืดกระหอบ หอบกระดาษและอุปกรณ์วาดเขียนพะรุงพะรังขึ้นไปสตูดิโอปีหนึ่งเพื่อที่จะนั่งคิดงานจากโจทย์ รวมทั้งสเก๊ตช์แนวความคิดหรือภาพงานจากหัวของฉันลงไปในกระดาษวาดเขียนขนาดA1บ้างA0บ้างแล้ว ฉันยังต้องระบายสีลงไปในงานของฉันเพื่อนำเสนอภาพแนวความคิดต่างๆให้เหมือนภาพจริงมากที่สุด เพื่อให้อาจารย์มองออกว่างานที่ฉันวาดออกมานั้นมันคือภาพของอะไรด้วย...

โอ..มิน่า..ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมตอนปฐมนิเทศอาจารย์ถึงได้แซวพวกพี่ๆชั้นปีสูงๆกันว่าไม่มีเวลาดูแลตัวเองกันถึงได้ทำตัวซกมกอย่างนี้ และนี่ฉันก็กำลังจะเดินตามรอยรุ่นพี่พวกนั้นอยู่ใช่มั้ย ทำไมช่วงเวลาชีวิตที่ควรจะสดใสสมกับคำว่าเฟรชชี่น้องใหม่ถึงได้ลดลงเหลือน้อยจังเลยนะ แค่คาบวิชาที่ฉันเรียนจากคณะในแต่ละวันก็แทบทำให้ฉันไม่มีเวลาว่างจะทำอะไรได้อีกแล้ว แต่นี่ฉันก็ยังต้องเจียดเวลาพักผ่อนที่มีอันน้อยนิดในแต่ละวันของฉันไปร่วมกิจกรรมกับทางมหาวิทยาลัยหรือจากคณะในช่วงตอนเย็นหลังจากที่เลิกเรียนหรือส่งงานเสร็จแล้วด้วยอีก...

ใช่...พอช่วงเช้าฉันเข้าเรียนที่คณะเสร็จ ช่วงเย็นฉันก็ทำกิจกรรมของมหาวิทยาลัยทีเรียกว่า“ประชุมเชียร์” หรือ“คลาสเชียร์”หรือ“รับน้อง”ที่คนทั่วๆไปเข้าใจกันอีก

กิจกรรมประชุมเชียร์เป็นกิจกรรมที่ปีหนึ่งทุกๆคนจะต้องทำ เป็นกิจกรรมต่างๆที่ทางมหาวิทยาลัยสร้างสรรค์ขึ้นมาให้เราได้มีความรู้สึกผูกพันธ์ทั้งมหาวิทยาลัยก็ดี เพื่อนก็ดี หรือพวกรุ่นพี่ที่เป็นพี่สต๊าฟก็ดี เราปีหนึ่งทุกๆคนจากทุกๆคณะจะต้องมาอยู่รวมๆกัน ไม่แบ่งแยกกัน ไม่แบ่งพวก ทุกคนจะอยู่ภายใต้แนวความคิดที่ว่า “แตกต่างเป็นหนึ่งเดียว” ใช่..มันคือกิจกรรมที่หลอมรวมคนหมู่มากจากหลากหลายโรงเรียน หลากหลายครอบครัวให้กลายมาเป็นองค์กรเดียวกัน เราทุกคนคือUnity เราทุกคนคือส่วนหนึ่งของสังคมที่ช่วยกันผลักดันกิจกรรมต่างๆให้ดำเนินไปด้วยความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เราทุกๆคนต้องพยายามทำความรู้จักกัน เพราะฉะนั้นฉันอาจจะต้องเจอเพื่อนจากคณะวิทยาศาสต์บ้าง อาจจะต้องเจอเพื่อนจากสังคมศาสตร์บ้าง เพื่อนจากศิลปกรรมศาสตร์บ้าง เราทุกๆคนมีโอกาสได้เจอและได้ใกล้ชิดกันในทุกๆคาบที่เข้าประชุมเชียร์ รวมทั้งฉันกับเอื้อยด้วย...

สำหรับเอื้อย ฉันได้เจอเธอสองถึงสามครั้งจากการร่วมกิจกรรมร้องเพลงเชียร์ที่ฉันบังเอิญได้มานั่งอยู่แถวหลังสุดใกล้ๆเอื้อย กับกิจกรรมที่รุ่นพี่ให้วิ่งหาชื่อเพื่อนคณะอื่น แล้วให้เซ็นชื่อมอบเป็นหลักฐานให้กัน ซึ่งแค่การพบกันแค่นั้นก็ทำให้เรารู้สึกมีความสุขและรู้สึกอบอุ่นใจว่าภายในหมู่คนมากฉันยังมีเขาอยู่ข้างๆเสมอ..

เลิกแล้วรอด้วยนะ..” เป็นเอื้อยที่พูดขึ้น ตอนที่เธอยื่นสมุดที่เธอเซ็นชื่อให้กับฉันในกิจกรรมหาเพื่อนคณะอื่น แต่แทนที่เธอจะยื่นสมุดให้ฉันเฉยๆ แม่เจ้าประคุณยังแอบใจกล้าเอื้อมมือมากุมมือฉันไว้อีกด้วย ฉันต้องเม้มปากส่งสายตางอนๆมองหญิงสาวในชุดวอร์มมหาวิทยาลัยที่เห็นเธอแอบลักไก่จับไม้จับมือฉันท่ามกลางฝูงชนอย่างนี้ แต่เมื่อมองสายตาเหงาๆที่เธอจ้องมองฉันอยู่ ฉันก็กลายเป็นสงสารงอนไม่ลง ต้องเอื้อมมือไปกุมมือเธอไว้เช่นเดียวกัน...
อื้ม..เดี๋ยวจะรอ..” ฉันยิ้มบอกเธอ ก่อนจะพยายามปล่อยมือเธอออก แต่เธอก็ยังไม่ยอมปล่อย เอาแต่ส่งสายตาเหงาๆมองฉันอย่างนั้นต่อ มองดวงตาหมองๆคู่นั้นก็พอจะเข้าใจความหมายได้ดีว่าช่วงนี้เธอนั้นอ้างว้างขนาดไหน อาจจะเป็นเพราะว่าช่วงนี้ฉันมีงานที่ต้องทำส่งเยอะบางทีก็เลิกค่ำ บางทีติดกิจกรรมก็กลับดึก จนฉันไม่อยากให้เอื้อยต้องลำบากมารับ หรือแม้แต่ตอนเช้า ฉันก็ยังแอบตื่นสายไปเรียนช้าทำให้เอื้อยที่มีเรียนเช้ากว่ารอไปส่งฉันไม่ได้ เราสองคนก็เลยกลายเป็นไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไหร่ ทำได้แค่การโทรหาหรือไม่ก็วีดีโอคอลหากันเท่านั้นเอง..
ตอนนี้เมื่อเอื้อยมีโอกาสได้เจอตัวฉันเป็นๆอย่างนี้ เธอก็คงอยากแสดงให้ฉันเห็นว่าเธอคิดถึงฉันสักเพียงไหน มองสายตาเว้าวอนที่เรียกร้องความอาทรจากฉันแล้ว ฉันก็ได้แต่ยิ้มแล้วกุมมือเธอไว้แน่นๆด้วยอยากให้เธอสบายใจขึ้นมาบ้าง
เดี๋ยวเค้าจะรอนะ..สัญญา.. ค่ำนี้เดี๋ยวเราไปทานข้าวด้วยกัน...” เอื้อยยิ้ม ดวงตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง เธอพยักหน้ารับและยอมปล่อยมือฉันทันทีที่ได้ยินคำสัญญา...

//////////////////////////////////////////
เส้นเล็กน้ำใสกับเส้นหมี่น้ำใสพิเศษทั้งสองค่ะ..”
ฉันยืนยิ้มบอกรายการก๋วยเตี๋ยวให้กับน้าเจ้าของร้านที่หน้าเคาน์เตอร์ ก่อนจะเดินไปตักน้ำดื่มที่ตั้งอยู่ด้านข้าง ตอนนี้เมื่อฉันหันกลับไปมองที่นั่งของตัวเอง จากที่ตอนแรกมีคนนั่งอยู่โต๊ะสองโต๊ะ ตอนนี้เริ่มมีบรรดานักศึกษาปีหนึ่งเข้ามานั่งเพิ่มขึ้นจนเกือบจะเต็มทุกโต๊ะแล้ว...
ก่อนหน้านั้น หลังจากที่เราเลิกคลาสเชียร์กัน ฉันกับเอื้อยก็พากันขับรถหาร้านทานมื้อค่ำ แต่กลายเป็นว่า ณ ช่วงเวลาประมาณสองทุ่มเกือบสามทุ่มที่เราเลิกคลาสกันนั้น ร้านอาหารตามสั่งส่วนใหญ่ปิดกันหมดแล้ว ส่วนร้านไหนที่เราคิดว่าน่าจะเปิดก็กลายเป็นโต๊ะเต็มเพราะเด็กปีหนึ่งที่พึ่งเลิกคลาสก็พากันมาทานข้าวเหมือนกัน พวกเราสองคนก็เลยต้องขับรถตะเวนหาร้านอาหารไปเรื่อยๆ จนได้มติว่าเราน่าจะทานอะไรง่ายๆแบบร้านข้างทางดีกว่าจะได้สะดวกและไม่ต้องแย่งกับผู้คน จนมาเจอร้านก๋วยเตี๋ยวร้านนี้เข้า...

ขอบตาดำจังเลยนะ..” เสียงทักของเอื้อยดังขึ้น หลังจากฉันเดินเอาน้ำดื่มมาเสิร์ฟให้เธอที่โต๊ะแล้วกลับมานั่งลงอยู่ต่อหน้าเธอ
ฉันยักคิ้วตอบรับเอื้อย ก่อนจะยกมือขึ้นมาถูๆขอบตาทั้งสองข้างของตัวเอง จนเอื้อยร้องเอ็ดฉัน
ไม่ใช่ดำอย่างนั้น ตลกแล้ว แกล้งทำเป็นไม่รู้ตัวหรือเปล่านี่” เธอยื่นมือมาตบแผละแขนฉัน ทำตาเล็กตาน้อยหาว่าฉันเล่นมุกมีอะไรติดขอบตาดำแกล้งเธอ
โอ้ย..ก็รู้อยู่ว่าเอื้อยหมายความว่ายังไง จะว่าเค้าขอบตาดำไม่ค่อยได้พักผ่อนใช่มั้ย ที่ถูนี่ก็คือแสบตาเพราะว่าไม่ได้พักผ่อนนี่ไงล่ะ ไม่ได้กวนสักหน่อย..”ฉันต่อว่าเอื้อยด้วยน้ำเสียงแสนงอน ก่อนจะหันไปมองซ้ายมองขวาในร้านก๋วยเตี๋ยวสำรวจอะไรต่อ
ไง..ช่วงนี้ไม่ค่อยได้พักผ่อนขนาดนั้นเลยเหรอ” เอื้อยพยายามชวนคุย ฉันละสายตาหันมาพยักหน้ารับเอื้อยทันทีที่ได้ยินเธอถาม
อืม..ก็นิดหน่อยก็ทั้งเรียนทั้งทำงานส่ง วันไหนมีงาน เค้าก็ต้องไปทำงานในสตูดิโอปีหนึ่งน่ะ บางทีก็นั่งทำยันเช้าไม่ได้นอน..”ฉันอธิบายเอื้อย โดยเล่าให้ฟังถึงการทำงานในสตูดิโอที่ช่วงนี้ฉันได้ไปบ่อยๆด้วย..
สตูดิโอ (Studio) ก็คือห้องเรียนภาคปฏิบัติของพวกเรา เป็นห้องโถงโล่งกว้างขนาดใหญ่ ภายในมีโต๊ะเขียนแบบจัดวางเรียงรายให้นักศึกษาได้ใช้ทำงานประเภทงานวาดต่างๆไม่ว่าจะเป็นงานเขียนแบบ งานสเก๊ตซ์ดีไซน์ งานโปรเจคดีไซน์ต่างๆ โดยปกติแล้วพวกเราจะใช้ห้องนี้กันเมื่อช่วงคาบเรียนบ่ายหลังจากเข้าเรียนภาคทฤษฎีในห้องเลคเชอร์แล้ว แต่ด้วยความที่เรามีงานที่ต้องทำส่งตลอด หรือเข้าใจง่ายๆว่ามีการบ้าน การทำงานในสตูนั้นอาจารย์เลยอนุญาติให้พวกเราสามารถมาใช้กันได้ตลอดเวลาไม่ว่าจะดึกดื่นขนาดไหน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องขออนุญาติทางคณะและอาจารย์ประจำวิชาก่อนด้วย
อ้าว..ไหนบอกว่าพ่อซื้อโต๊ะเขียนแบบให้แล้วไง ทำไมต้องไปทำงานในสตูอีกล่ะ..” คนตาโตร้องทักขึ้น เธอคงจำเรื่องที่ฉันเคยเล่าให้เธอฟังทางโทรศัพท์ว่าพ่อเอาโต๊ะดราฟหรือโต๊ะเขียนแบบมาส่งให้ฉันที่หอแล้ว ทำไมฉันจึงยังต้องไปทำงานที่สตูดิโอคณะอย่างนั้นอีก ฉันยิ้มตาหยีรีบอธิบายเด็กน้อยขี้สงสัยทันที..
ก็นั่งทำงานคนเดียวมันคิดไม่ออกอ่ะ ได้นั่งทำกับเพื่อนดูงานเพื่อนหลายๆคน บางทีมันก็เกิดไอเดียขึ้นมาบ้าง แล้วที่สำคัญเพื่อนเยอะมันก็สนุกดีไม่เหงาด้วย..”
เหรอ..” เอื้อยยิ้มรับ แต่เป็นรอยยิ้มแปลกๆที่มองแล้วให้ความรู้สึกเหงาๆอย่างไรไม่รู้ “..ดีจังเลยนะ มีเพื่อนเยอะไม่ต้องมานั่งเหงาในห้องคนเดียว..” เอื้อยว่า คำพูดคำจาช่างหมือนคนน้อยใจ หญิงสาวหลบตาฉันแล้วก้มหน้าเขี่ยนั่นเขี่ยนี้บนโต๊ะไปเงียบๆคนเดียว ฉันอมยิ้มนึกขัน มองดูท่าทางแสดงออกเพื่อเรียกร้องความสนใจอย่างนั้นแล้ว ก็อดที่จะรีบชวนเธอคุยปลอบใจบ้างไม่ได้...
แล้วเอื้อยล่ะคะ เป็นไงบ้างช่วงนี้ เรียนเยอะมั้ย แล้วเพื่อนที่คณะเป็นไงบ้าง..”
อื้ม..ก็เรียนเยอะอยู่ แต่มันก็เป็นเวลา ไม่ได้ยุ่งเท่าเจ้ยหรอก..” นั่น..คนใจน้อยแอบแขวะฉันอีกแล้ว
แล้วเพื่อนล่ะ..” ฉันยังไม่ลดความพยายามชวนเธอคุยต่อ
ก็ไม่ค่อยเยอะหรอก เค้าไม่ค่อยสนิทกับใคร ไม่รู้สิยังไม่ชินมั้ง รู้สึกว่าเพื่อนที่นี่ไม่เหมือนเพื่อนที่โรงเรียนมัธยมเลย”เสียงเศร้าๆจากคำตอบทำฉันชะงักทันที ตอนนี้นางฟ้าคงกำลังหว้าเหว่อยู่แน่ๆ ไม่ได้การ..คงต้องทำอะไรสักอย่างให้เธอรู้สึกดีขึ้นบ้าง ฉันยิ้มหวาน รีบเอื้อมมือไปกุมมือเธอไว้ทันที...
ทำไมทำเสียงอย่างนั้นล่ะคะ เหงาเหรอ ไม่เศร้าสิคะ เอื้อยยังมีเค้าอยู่นะ เอาอย่างนี้ดีกว่า วันไหนเราว่างๆพร้อมกันเราค่อยไปดูหนังด้วยกันมั้ย เอาเป็นเสาร์อาทิตย์นี้ก็ได้”
เสาร์อาทิตย์นี้เค้าไม่ว่างหรอก ต้องกลับไปอยู่กับแม่..แล้วก็..รอไปส่งแม่ขึ้นเครื่องด้วย..” เอื้อยลากเสียงตอบ เธอชำเรืองมองดูท่าทางฉันด้วยความสงสัยบางอย่าง เช่นเดียวกันกับฉัน ที่ก็สงสัยข้อความก่อนหน้านั้นจนต้องรีบท้วงถามเธอไป..
ไปส่งแม่ขึ้นเครื่อง??? แม่จะไปไหน???”
นั่น..เค้าว่าแล้ว ว่าเจ้ยต้องถามเค้าอย่างนี้..” เอื้อยหน้าบึ้ง เธอเม้มปากมองค้อนฉันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดพ้อต่อว่าด้วยน้ำเสียงน้อยอกน้อยใจเป็นที่สุด..
นี่แสดงว่าที่เค้าเล่าให้เจ้ยฟังในโทรศัพท์นี่เจ้ยไม่ได้ฟังเค้าเลยใช่มั้ย ที่เค้าบอกว่าแม่เค้าจะไม่ได้อยู่ที่ไทยแล้วแม่จะไปประจำสาขาที่ฮ่องกงน่ะ เจ้ยไม่ได้ฟังเลยใช่มั้ย....”
ห๊ะ!!!..” ฉันคิ้วขมวดมองเอื้อยด้วยความงงแสนงง ทั้งอึ้งทั้งเหวอแต่ก็พยายามทบทวน...เดี๋ยวนะ..เหมือนๆจะได้ยินว่าแม่เอื้อยจะไม่อยู่ เหมือนเอื้อยจะเคยโทรมาเล่าให้ฟังว่าที่แม่ออกรถยนต์ให้ เพราะแม่อยากปลอบใจเอื้อยเรื่องที่แม่จะไม่ได้อยู่กับเอื้อยแล้ว ตอนนั้นจำได้ว่าเอื้อยโทรมาตอนที่ฉันกำลังทำแบบและฉันก็กำลังใช้สมองคิดงานอยู่ ก็เลยฟังบ้างไม่ได้ฟังบ้าง ตอนนั้นก็ยังเข้าใจว่าแม่คงจะไปทำงานที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนเพราะได้ยินแต่คำว่า “ฮ่อง???” เดี๋ยวนะ..คลับคล้ายคลับคลาว่าฉันได้ยินอีกประโยคหนึ่งก็คือ...แม่อาจจะไปสี่ห้าปีหรือมากกว่านั้น นี่อย่าบอกนะว่าแม่จะไปอยู่ที่ฮ่องกงโดยให้เอื้อยรออยู่ที่เมืองไทยคนเดียว อ๋อมิน่า...ช่วงนี้เธอถึงชอบโทรมาบอกว่าเธอรู้สึกเศร้าและเหงาเหลือเกิน ไอ้ฉันก็ดันคิดว่าเธอแค่งอแงเรื่องที่ฉันไม่ค่อยมีเวลาให้เธอเท่านั้น แต่ที่ไหนได้มันกลายเป็นเรื่องของแม่เธอนี่เองเธอก็เลยยิ่งเศร้าไปกันใหญ่
ให้ตายเถอะ ฉันนี่เป็นแฟนที่ไม่ได้เรื่องเอาซะเลย นี่ขนาดเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิตแฟนตัวเองแท้ๆยังไม่รู้เรื่องอีก ฉันหลับตานึกภาพพวกนั้นด้วยความหัวเสีย ทั้งยกมือขึ้นตบหัวตัวเองไปแรงๆสองสามที จนน้าคนขายที่เดินเข้ามาเสิร์ฟก๋วยเตี๊ยวผงะทันทีที่เห็นท่าทางประหลาดๆอย่างนั้น
ฉันสะดุ้ง ยิ้มแหยๆ รีบรับชามก๋วยเตี๋ยวพวกนั้นมาส่งต่อให้เอื้อย
เอ่อ..เค้าขอโทษนะ ตอนนั้นเค้าได้ยินไม่ถนัดน่ะเค้าทำแบบส่งอยู่ ไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องที่ทำให้เอื้อยรู้สึกแย่อย่างนี้ เค้าขอโทษจริงๆนะ..”
เอื้อยไม่ตอบรับ ใบหน้าเฉยชา เธอยื่นมือมารับชามก๋วยเตี๋ยว ก่อนจะก้มหน้าก้มตาปรุงมันเงียบๆ
เฮ้ย..ขอโทษนะคะ เค้าผิดไปแล้ว ตัวเองอย่าโกรธเค้าเลยนะ..” ฉันทั้งง้อ ทั้งทำเสียงออดอ้อนพยายามขอโทษทูลหัว แต่เธอก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหายโกรธฉันเลย หญิงสาวยังคงนั่งหน้าบึ้ง ก้มหน้าก้มตากินก๋วยเตี๋ยวเงียบๆคนเดียวเช่นเดิม มองอาการไร้ตัวตนเป็นอากาศธาตุที่เธอทำต่อฉันแล้ว ก็ยิ่งเหงื่อตก กลัวความผิด กลายเป็นลุกลี้ลุกลน รีบเปลี่ยนไปนั่งที่นั่งข้างๆเธอแล้วกุมมือเธอกล่าวคำขอโทษด้วยควารู้สึกผิดจากใจจริงๆ
เฮ้อ..เค้าผิดไปแล้ว เค้าสำนึกผิดแล้ว เค้ารู้ตัวแล้วว่าเค้านี่มันโง่จริงๆ ไม่สมกับที่เอื้อยไว้ใจเค้าอยากให้เค้าดูแลเลยน่ะ เรื่องใหญ่ขนาดนี่เค้ายังมองข้ามไปได้ยังไงก็ไม่รู้โง่จริงๆเลย เค้าขอโทษนะที่ทำตัวไม่สมกับเอื้อย ไม่สมกับที่เป็นแฟนของ.....”
น้องจอเจ้ยนี่นา!!!..” จึ๊ก...ฉันสะดุ้งโหยงทันทีที่ได้ยินเสียงผู้ชายดังแทรกเข้ามาตอนที่ฉันกำลังง้องอนเอื้อยด้วยน้ำเสียงเว้าวอนอย่างนั้น ตอนนี้ฉันหันซ้ายหันขวามองหาที่มาของเสียงแล้วกลายเป็นสะดุ้งตกใจเข้าไปใหญ่ เมื่อพบว่ากลุ่มเจ้าของเสียงกำลังยืนยิ้มอยู่ด้านหน้าในระยะประชั้นชิดนี่เอง....
เป็นเสียงจากรุ่นพี่ผู้ชายปี4สถาปัตย์ฯที่เดินมากับเพื่อนผู้ชายปีเดียวกันอีก4-5คน พวกเขาพากันหยุดยืนยิ้มมองดูฉันกำลังจับมือกับเอื้อย อุ้ย!!..ฉันรีบปล่อยมือเอื้อยทันทีที่นึกขึ้นได้..
เอื้อยสะดุ้งเล็กๆที่เห็นฉันลุกขึ้นยืนพรวดพราดหันไปทางพี่กลุ่มนั้น เธอนั่งอึ้งมองฉันยืนตัวตรงดิ่ง ตะเบ๊ะแขนฉับ แถมยังตะเบ็งเสียงดังด้วยข้อความที่พี่ว๊ากสั่งให้เด็กปีหนึ่งคณะสถาปัตย์ฯทุกคนต้องพูดเมื่อเจอรุ่นพี่ปีอื่นอยู่นอกคณะอย่างนี้..
จอเจ้ย!! ทิพานัน เฮงธนากุล AR584556636ค่ะ”
อุ๊บส์...”เอื้อยหลุดหัวเราะทันที จากที่เธอนั่งเก๊กหน้าบึ้งขมึงทึงก่อนหน้านั้น กลายเป็นนั่งก้มหน้าเอามือปิดปากหัวเราะรั่วอยู่คนเดียวด้วยกลัวว่าฉันจะอาย หรือรุ่นพี่พวกนั้นจะโกรธที่เห็นว่าเธอขำในคำสั่งศักดิ์สิทธิ์ของพี่คณะอย่างนั้นเข้า...

ใช่..คำสั่งอันศักดิ์สิทธิ์ของบรรดาพี่ว๊ากในคลาสเชียร์คณะ ที่เด็กๆปีหนึ่งอย่างฉันกลัวกันทุกคน มันเป็นคำสั่งที่เราปีหนึ่งทุกคนต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพราะหากมีใครคนใดคนหนึ่งไม่เคารพไม่ทำตามแล้ว เราปีหนึ่งทุกคนก็จะโดนทำโทษด้วยกันทั้งหมด ซึ่งโทษที่บรรดาพี่ว๊ากในคณะสรรหามาลงโทษพวกเรานั้นก็จะมีหลากหลายรูปแบบ ยกตัวอย่างเช่น การสก๊อตจัมพ์หมู่ที่เราทุกคนต้องเข้าแถวเป็นแนวยาวแล้วกอดคอกัน จากนั้นก็ให้สก๊อตจัมพ์ตามจำนวนที่พี่ว๊ากกำหนด บางทีก็สิบครั้งบางที่ก็ยี่สิบครั้ง แต่พวกเราต้องทำพร้อมๆกันทั้งแถว หากไม่พร้อมแล้วเราจะได้เริ่มนับหนึ่งใหม่ทันที ฉันยังจำได้ว่าครั้งที่เคยโดยหนักที่สุดก็ทำไปเกือบๆจะหกสิบครั้งได้ แต่นั่นยังเบาไปถ้าเทียบกับการคลานเข่าขึ้นบันไดคณะจากชั้นหนึ่งไปถึงดาดฟ้าชั้น6 ตอนนั้นฉันจำได้ว่าหัวเข่าของฉันถลอกและเป็นแผลจนเลือดออกด้วย แต่ฉันก็ไม่กล้าบ่นอะไรให้พวกพี่ว๊ากได้ยิน ด้วยเห็นว่าเพื่อนทุกคนก็คงจะเจ็บเหมือนกันแต่พวกเขาก็ยังอดทนได้และไม่ปริปากบ่นอะไรออกไปเลย
ส่วนตัวอย่างคำสั่งศักดิ์สิทธิ์ที่บรรดาพวกพี่ว๊ากสรรหามาแกล้ง..เอ้ย มาฝึกให้ปีหนึ่งอย่างเราปฏิบัตินั้นก็มีหลายอย่าง ยกตัวอย่างเช่น พวกเราต้องแต่งชุดเครื่องแบบนักศึกษาที่ต้องมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของคณะเวลาไปเรียนที่ตึกคณะอื่นเพื่อให้คณะอื่นจำได้ พวกเขาจะให้พวกเราแต่งกายด้วยชุดนักศึกษาที่เรียบร้อยแต่ให้ใส่ถุงเท้าสีสันแสบๆตา เช่น สีเขียว สีส้ม หรือสีชมพูที่มันออกโทนแป๊ดๆเหมือนสีสะท้อนแสงแบบถุงเท้านักฟุตบอลใส่กัน แต่นั่นยังไม่พอ..เรายังต้องสลับถุงเท้ากับเพื่อน เราต้องหาเพื่อนที่มีสีถุงเท้าแตกต่างจากเราเพื่อมาสลับใส่คนละข้างแล้วยังต้องดึงมันยาวๆขึ้นมาถึงหน้าแข้ง เสมือนว่ามันเป็นสนับเข่าเรายังไงยังงั้น นอกจากนั้นเรายังต้องแขนป้ายชื่อบอกชื่อเล่น เอกที่เราเรียน และรหัสของเราไว้เพื่อให้พี่ในคณะจำได้ว่าเราเป็นใคร ชื่ออะไร อยู่เอกไหน และเป็นสายรหัสกับพี่คนไหนบ้าง
สำหรับฉันในวันแรกที่ฉันแต่งตัวอย่างนั้นไป แล้วเขียนชื่อไว้ว่า “เจ้ย” ใช่...ฉันเขียนชื่อตัวเองไปว่าเจ้ยตั้งแต่วันแรกแล้ว แต่พวกพี่ๆในคณะดันจำฉันได้และไม่ยอมให้ฉันเขียนว่าเจ้ยเฉยๆต้องเขียนว่า “จอเจ้ย”เท่านั้น พวกเขาบอกว่าตอนนี้คนทั้งคณะจำชื่อฉันได้อย่างนี้แล้ว และมันเป็นชื่อที่ทุกคนช่วยกันสร้างสรรค์และสามัคคีพร้อมใจกันลงมติเห็นด้วยกับชื่อนี้ตั้งแต่วันแรกที่เจอกันแล้ว หากฉันไม่ยอมเปลี่ยนไปเขียนชื่อนี้ ก็เท่ากับว่าฉันไม่ให้เกียรติพวกเขาเช่นเดียวกัน..ฉันหน้าถอดสีทันทีที่ได้ยินประโยคข่มขู่แกมบังคับที่พวกพี่ว๊ากพากันแก๊กฟอร์มทำเป็นดราม่าใหญ่ใส่ฉัน แม้จะมาคิดได้ภายหลังว่า...พี่ว๊ากพวกนี้ต้องการแค่จะแกล้งฉันเท่านั้นเอง...
แล้วตั้งแต่นั้นมาฉันก็เลยกลายเป็นต้องแขวนป้ายชื่อว่า “จอเจ้ย” เวลาออกไปเรียนที่คณะอื่นแล้วต้องรีบเก็บป้ายไว้ทันทีที่เรียนเสร็จ และไม่ยอมให้เพื่อนๆที่อยู่โรงเรียนเดิมแต่ไม่ได้อยู่ในคณะตัวเองเห็น หรือแม้แต่เอื้อยเองฉันก็ยังไม่เคยบอกเธอเรื่องที่ฉันโดนแกล้งตั้งชื่อให้ใหม่อย่างนี้เลย
ซึ่งนั่นก็กลายเป็นว่าฉันมีชื่อใหม่ที่ทุกคนในคณะรู้จัก แต่คนข้างกายที่ฉันรักนักรักหนาอย่างเอื้อยกลับไม่รู้นั่นเอง..
ตอนนี้เอื้อยก็ยังก้มหน้าแอบขำคิกๆคักๆด้วยความเซอร์ไพรส์ที่ได้ยินชื่อใหม่ของแฟนตัวเองอย่างนั้นเข้า...
พี่พวกนั้นก็ขำ พวกเขาพยายามกลั้นหัวเราะไว้ ก่อนจะอมยิ้มแล้วพยายามชวนฉันคุยเพื่อกันไม่ให้ฉันเก้อเขินมากไปกว่านี้..
“..ครับผม จอเจ้ยทานข้าวกับ...เพื่อน..เหรอครับ..” พี่คนนั้นทั้งพูดทั้งเหล่ตามองเอื้อย เขาคงนึกสงสัยที่เห็นภาพฉันกับเอื้อยจับมือกันก่อนหน้านั้น เลยถามประโยคคำถามที่หมายความว่าสาวสวยอีกคนที่เห็นนั้นคือเพื่อนของฉันใช่หรือไม่..
เอ่อ..ใช่ค่ะ..เพื่อนหนูเอง คือ..เอ่อ..เพื่อนที่มาจากโรงเรียนเดียวกันน่ะค่ะ..” ฉันหน้าแดงพยายามอธิบายสถานะของเอื้อยด้วยความอายแสนอาย ด้วยไม่อยากจะให้พี่พวกนี้แซวอะไรมากไปกว่านี้ แม้จะลำบากใจที่เห็นว่าเอื้อยได้ยินฉันโกหกสถานะของเราทั้งสองกับคนอื่นอีกแล้ว...
โอ้โห..โรงเรียนอยู่จังหวัดนครสวรรค์เหรอครับ ทำไมมีแต่นางฟ้าไปเรียน..” พี่อีกคนแซวผ่าวงมา ก่อนจะโดนเพื่อนที่เหลือหันไปโห่ให้กับมุกแป๊กๆและข้อความเลี่ยนๆที่เขาแซวพวกเราอย่างนั้น ตอนนี้เมื่อพวกพี่ๆเห็นฉันกับเอื้อยทำท่าเหมือนจะอายพวกเขาจนไม่กล้าจะกินอะไรต่อแล้ว พวกเขาก็เลยขอตัวปล่อยให้พวกเรานั่งทานกันตามสบาย
เมื่อกี้พี่พวกนั้นเรียกเจ้ยว่าอะไรนะ จอเจ้ยใช่มั้ย จอเจ้ยๆ จอเจ้ยแปลว่าอะไรอ่ะ มาจากไหนทำไมเค้าไม่เห็นได้เรียกกับคนอื่นบ้างเลย” เสียงเอื้อยโยกโย้ท่าทางกวนอารมณ์ฉันตอนที่เธอแซว ตอนนี้จากที่เธออารมณ์เศร้าๆตั้งท่าว่าจะโกรธให้ฉันไม่หาย ก็กลายเป็นตื่นเต้นครื้นเครงที่ได้ยินชื่อใหม่ของฉันไปซะนั่น
จอเจ้ย เอ..ชื่อน่ารักดีอ่ะ เหมือนจอจี้ จอเจียอะไรประมาณนี้หรือเปล่า..” เอื้อยยังไม่หยุด เธอยังขุดมุกอะไรของเธอไม่รู้ขึ้นมาแซวฉันไปใหญ่
บ้าสิ เค้าไม่ได้เรียกสักหน่อยหูฝาดไปเองแล้วย่ะ” ฉันตาขวางมองเอื้อยด้วยอาการงอนๆทันทีที่ได้ยินเธอทักท้วงอย่างนั้น
อ๊ะจริงดิ” เอื้อยตาเล็กตาน้อยแอ๊บเสียงโยกโย้ล้อเลียนฉันต่อ ซึ่งฉันก็รีบต่อล้อต่อเถียงเธอคืนทันทีที่ได้เห็นอาการไม่ลดลาวาศอกของเธอเข้า “ก็จริงไง หูฝาดไปเองใครเค้าจะมาเรียก..”
น้องจอเจ้ยครับ..”
อะจึ้ย...ฉันสะดุ้งโหยงทันทีที่ได้ยินหลักฐานที่เอื้อยกำลังสงสัยดังแทรกเข้ามาในขณะที่กำลังเถียงกับเธออยู่
คะ..” ฉันยิ้มแหยๆให้เอื้อยก่อนจะหันหน้าไปหาพี่คนนั้นอีก “มีอะไรเหรอคะพี่..” เสียงหัวเราะคิกๆคักๆพอใจของเอื้อยลอยเข้าหูฉันทันทีที่ฉันนั่งนิงตั้งใจฟังที่พี่คนนั้นจะพูด เธอคงจะรู้คำตอบแล้วว่าชื่อเรียกที่เธอสงสัยก่อนหน้านั้นคือเรื่องจริง...
พี่ขอเบอร์น้องจอเจ้ยกับเพื่อนน้องจอเจ้ยหน่อยได้มั้ยครับ”
ห๊ะ..” ฉันหน้าเหวอทันทีที่ได้ยิน ตอนนี้เมื่อฉันมองไปที่โต๊ะพี่พวกนั้น ก็เห็นพากันเหลือบมองมาที่โต๊ะพวกเราเหมือนพวกเขากำลังลุ้นอะไรอยู่สักอย่าง..
แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะตอบรับอะไรพี่เขาเลย เอื้อยก็รีบพูดแทรกขึ้นเสียก่อน...
เอ่อ..พี่คะหนูไม่ให้ได้มั้ยคะ..คือหนูมีแฟนแล้ว แฟนหนูหวงมาก หนูไม่อยากมีปัญหากับแฟน..”ประโยคปฏิเสธจากเอื้อยทำฉันเหรอหราทันทีที่ได้ยิน ใบหน้าหวานกลายเป็นซีเรียส ดวงตาไร้เดียงสาเปลี่ยนเป็นแน่วแน่ หญิงสาวนั่งนิ่งยิ้มสุขุมบ่งบอกให้ผู้ฟังรู้ทันทีว่าเธอจริงจังในคำตอบสักเพียงใด
ห๊ะ..มีแฟนแล้วเหรอครับ..เอ่อๆครับๆไม่เป็นไรครับ..”พี่คนนั้นตกใจเล็กๆ เขาตอบรับเอื้อยด้วยความเกรงใจก่อนรีบจะเก๊กหน้าแล้วเปลี่ยนมาถามฉันอีกครั้ง.. “แล้วน้องจอเจ้ยล่ะครับ..”

เอ่อ..คือ..แฟนหนูก็คงไม่ชอบเหมือนกันค่ะพี่ เอาไว้แอดเฟซบุ๊คเป็นเพื่อนกันเฉยๆได้มั้ยคะ” เอื้อยยิ้มทันทีที่ได้ยินฉันเลี่ยงๆตอบคำถามพี่คนนั้นด้วยความเกรงใจ เธอคงดีใจที่ได้ยินฉันยอมรับว่ามีแฟนแล้วเสียที
คือว่า แอดเฟซหรือคุยกันในเฟซได้ค่ะพี่ แต่เรื่องเบอร์โทรศัพท์หนูให้ไม่ได้จริงๆเดี๋ยวแฟนหนูจะโกรธเอา พี่เข้าใจหนูใช่มั้ยคะ” ฉันเสียงอ่อนเสียงหวานพยายามใช้มารยาหญิงปฏิเสธพี่คนนั้นด้วยท่าทางนุ่มนวลที่สุด จนเขายิ้มรับแล้วบอกว่าไม่เป็นไร แต่กระนั้นชายหนุ่มก็ยังเหนียมอายแปลกๆตอนที่เขาสังเกตุท่าทางพวกเราทั้งสองต่อจากนั้น..
นี่..คงไม่ใช่ว่าเราสองคนเป็นแฟนกันหรอกใช่ม้าาา..”เขาพูดทีเล่นทีจริง อารมณ์ไม่ได้คิดมากอะไร แต่ฉันฟังแล้วอายจนต้องก้มหน้าแดงๆหลบตาเขา ชายหนุ่มขอตัวกลับโต๊ะหลังจากนั้นแต่ก็แอบทิ้งท้ายด้วยประโยคคำถามที่ทำเอาเราอมยิ้มส่งสายตาเหล่มองกันทันที......
เอ..พวกเราได้เป็นเน็ตไอดอลหรือเป็นใครสักคนหรือเปล่า..ทำไมพี่คุ้นๆหน้าเราสองคนจังเลยหว่า เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนนะ....”

///////////////////////////////////

“..อืม..ก็ที่ห้องพักอาจารย์ไง..ใช่..พรุ่งนี้มีส่งพรีเทสดรออิ้งแสงและเงาที่โต๊ะอาจารย์ก่อนเรียนไง แต่มันไม่ยากหรอก ณิชาก็แค่สเก๊ตช์รูปอะไรก็ได้แล้วลงแสงลงเงาให้อาจารย์ดูเฉยๆแค่นั้น อืม..ใช่ อาจารย์จะดูความเข้าใจของเราก่อนไง ใช่ๆ อืมๆ จ้า..แค่นี้ก่อนนะ บาย..” เสียงสนทนาของปลายสายจบลงไปเป็นเวลาพอดีกับที่ฉันเดินขึ้นมาถึงหน้าห้องพักตัวเอง หลังจากที่ฉันคุยสายกับเธอตั้งแต่ตอนที่ฉันนั่งอยู่ในรถเอื้อยแล้ว..
ก่อนหน้านั้น หลังจากที่เราทานข้าวเสร็จแล้วเอื้อยก็ขับรถมาส่งฉันที่หอ ณิชาก็โทรเข้ามาคุยกับฉันเรื่องงานในคณะตลอด จนฉันไม่มีโอกาสบอกลาเอื้อยตอนที่เดินลงจากรถ เพราะกลัวเสียงจะดังแทรกเข้าไปในโทรศัพท์ ทำได้แค่ส่งซิกสัญญาณบอกให้เธอโทรหาฉันอีกทีเท่านั้น
ตอนนี้ฉันหยุดยืนอยู่หน้าประตูก่อนจะเคาะให้สัญญาณเบาๆสองสามครั้ง โดยหวังว่าหากรูมเมทอยู่เธออาจจะเดินมาเปิดประตูให้ แต่ก็เปล่าเลย เวลาผ่านไปเกือบๆจะนาทีภายในห้องยังเงียบอยู่ ฉันถือวิสาสะไขประตูห้องเข้าไปหลังจากนั้นเพราะคิดว่าบางทีเธออาจจะยังไม่กลับก็ได้....
เป็นดังคาด..ห้องมืดสนิทไม่มีใครอยู่ ฉันต้องรีบเปิดไฟแล้วปิดลอคประตูห้องเข้ามาด้วยกลัวว่าในช่วงจังหวะที่ยังไม่ทันระวังตัวนั้น อาจจะมีใครพุ่งพรวดเข้ามาทำอันตรายฉันด้านหลังได้ ซึ่งความเป็นจริงมันก็ไม่มีอะไร ฉันแค่ระวังตัวไว้ด้วยความเคยชินเหมือนเช่นทุกครั้งเท่านั้น....
ข้าวของถูกวางไว้หน้าโต๊ะอย่างเร่งรีบ อาการง่วงชักนำให้ฉันเดินถือโทรศัพท์มาทิ้งตัวแผ่หลาที่เตียงอย่างรวดเร็ว ความเหนื่อยและความง่วงมักจะเป็นยานอนหลับที่ดีเสมอ ฉันเผลอคิดภาพก๋วยเตี๋ยวชามโตครู่นี้ที่ฉันกินจนอิ่มหนำ โอ..ให้ตายเถอะทำไมหนังท้องตึงแล้วหนังตาต้องหย่อนด้วยนะ นี่ฉันยังต้องสเก๊ตช์งานส่งอาจารย์พรุ่งนี้ด้วยนะนี่ ฮือ..แต่ไม่ไหวอ่ะ ขอนอนพักก่อนแป๊บเดียวได้มั้ย ฉันรู้สึกว่าฉันเหนื่อยสายตัวแทบขาดแล้วตอนนี้ สักครึ่งชั่วโมงก็ได้อ่ะ.. ฉันบอกตัวเองก่อนจะพยายามหยีตามองดูนาฬิกาในโทรศัพท์ อืม...ตอนนี้ห้าทุ่มครึ่งแล้วตั้งปลุกไว้เที่ยงคืนก็ได้.. ฉันกดตั้งเวลา ก่อนจะหลับตานอนพร้อมๆกลับความคิดในหัวที่ว่า...
...ดีไม่ดีฉันอาจจะตื่นเพราะเอื้อยโทรมาก่อนหน้านั้นก็ได้..

แป๊นๆๆๆ....
เสียงแหลมแสบแก้วหูดังเสียดแทงเข้ามาในห้วงความฝัน ฉันสะดุ้งลุกขึ้นงัวเงียฟังเจ้าเสียงแป๋นๆก่อนหน้านั้นค่อยๆเบาลงเหมือนมันเคลื่อนที่ออกจากหอไปเรื่อยๆแล้ว คงเป็นเสียงมอเตอร์ไซค์ ใครสักคนคงตั้งใจขับมาแว้นป่วนเด็กหอ ฉันสบถด่าในใจเล็กๆก่อนจะลุกขึ้นสลัดกระดูกกระเดี้ยวไปมาให้ตื่นนอน ใช่..ฉันคงต้องตื่นนอนแล้วแม้จะนอนได้ไม่เท่าไหร่ก็ตาม โถ..ความสุขอันน้อยนิดของฉันโดนเจ้าเด็กแว้นบ้านั่นทำลายไปเสียแล้ว ฉันแอบบ่นด้วยความหัวเสียต่อก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา...

ตาย!!! ตีสามครึ่ง นี่มันตีสามครึ่งแล้วนี่!!!...ฉันหูตาเหลือกทันทีที่เวลาหน้าจอปรากฏให้ฉันเห็น ตอนนี้การแจ้งเตือนต่างๆก็ค้างอยู่หน้าจอโทรศัพท์มากมาย มันมีทั้งข้อความไลน์ ข้อความเฟซบุ๊ค รวมทั้งสายที่ไม่ได้รับจากเอื้อยอีกยี่สิบสองสาย เฮ้ย..ทำไมฉันไม่รู้ตัวขนาดนั้นเลยล่ะ ฉันคลิกเข้าไปดูรายละเอียดการโทรของเอื้อย เอื้อยโทรมาตั้งแต่ห้าทุ่มสี่สิบห้า ในระหว่างช่วงเวลานั้นเธอโทรมาประมาณ5ครั้ง แล้วหลังจากนั้นเธอก็เว้นช่วงการโทรอีกครั้งละสิบกว่านาที แล้วนั่น...สายสุดท้ายที่เธอโทรมาคือตีหนึ่งครึ่ง โอ..ให้ตายเถอะตอนนี้เธอคงหลับแล้วสินะ เอื้อยจะว่าอะไรฉันมั้ยนี่ที่ฉันไม่รับโทรศัพท์เธอเลย ฉันทั้งคิดทั้งกังวลก่อนจะเปิดโปรแกรมไลน์แล้วส่งข้อความขอโทษเธอ หลังจากที่เธอก็ส่งสติกเกอร์รูปกระต่ายกำกำปั้นที่มีตาเป็นดวงไฟลุกโชนมาเกือบๆจะห้าสิบตัวแล้วก่อนหน้านั้น....

...อึ้ย..กองทัพกระต่ายผีมาเป็นฝูงเลยวันนี้ โดนมันรุมแทะตายแน่ฉัน....ฉันขนลุกด้วยความสยองก่อนจะรีบวางโทรศัพท์แล้วลุกขึ้นไปนั่งวาดภาพที่โต๊ะดราฟต่อทันที...

เสียงวีดีโอคอลดังขึ้นหลังจากนั้นไม่เกินห้านาที เอื้อยแน่ๆ สัญชาตญาณสั่งให้ฉันวิ่งรนรานไปรับสายเธอทันทีถ้าไม่อยากมีปัญหา..
ปลายสายเป็นภาพเงาสลัวของหญิงสาวผมหยักศก ทั่วห้องนั้นมืด มีเพียงไฟจากหัวเตียงที่พอส่องใบหน้าขาวนวลที่คิ้วขมวดออกอาการงอนทันทีที่ภาพฉาย หญิงสาวจ้องเขม็งมองฉันผ่านจอ แสงไฟสะท้อนเจ้าของชุดนอนลายคิตตี้นั่งนิ่งเหมือนกำลังอดกลั้นความโมโหทั้งหมดไว้อยู่...

“...ทำอะไรอยู่..ทำไมไม่รับโทรศัพท์ เดี๋ยวนะ..นั่นทรงผมเหรอนั่น..” หญิงสาวโน้มหน้าติดจอ เธอเพ่งมองฉันผ่านจอมือถือก่อนจะหลุดยิ้ม จากที่เก๊กเสียงดุๆตั้งท่าว่าจะต่อว่าฉันก็กลายเป็นหัวเราะลั่นทันที
ฉันต้องรีบยกมือขึ้นมาจับผมเผ้าตัวเองด้วยใบหน้าเหรอหรา แล้วยิ่งฉันทำอย่างนั้นเอื้อยก็ยิ่งหัวเราะรั่วไปใหญ่
นี่อย่าบอกนะว่านอนหลับพึ่งตื่นน่ะ หัวฟูซะจนคิดว่าเป็นรังนกแล้วนะนี่ ไม่ส่องกระจกดูสภาพตัวเองก่อนหรือไง”
โอ้ย..อย่าว่าเค้าสิ เค้าพึ่งตื่นเมื่อกี้เอง เค้ารีบตื่นขึ้นมาทำงานไม่ทันได้ดูอะไรหรอก อยากทำงานให้เสร็จน่ะ กลัวไม่ทัน” ฉันมองค้อนเม้มปาก อารมณ์ตัดพ้อต่อว่าหญิงสาวด้วยความงอนแทนเธอเองแล้ว
อะไร..นี่มันตีสามแล้วนี่ นั่งทำงานในห้องตอนนี้นี่นะ แล้วรูมเมทเค้าไม่แสบตาแย่เหรอ” เอื้อยรีบถาม เธอคงนึกขึ้นได้เรื่องที่ฉันยังมีรูมเมทอยู่ในห้องอีกคน
เอ่อ..” ฉันชำเรืองไปที่เตียงนอนของเขา ตอนนี้มันก็ยังว่างเปล่าไม่มีแม้ร่องรอยยับขยับเขยื้อนของผ้าปูเขาเลย “ปลายังไม่กลับห้องอ่ะ...”
ปลา”เป็นชื่อของรูมเมทฉัน เป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆท่าทางกระฉับกระเฉงและตื่นตัวตลอด เขาเป็นคนร่าเริงชอบชวนคุยบ่อยๆ ซึ่งฉันก็คิดว่าบุคลิกนั่นก็เหมาะกับคณะสังคมศาสตร์เอกอังกฤษที่เขาเรียนดี แต่ตั้งแต่เปิดเทอมมาฉันไม่ค่อยได้คุยกับเขาเท่าไหร่เลย อาจจะเป็นเพราะว่าฉันเลิกค่ำแถมยังไปทำงานที่สตูดิโอบ่อยอีกด้วย
แต่เอ..นี่มันก็ตีสามแล้วทำไมเธอยังไม่กลับ หรือว่า..รูมเมทของฉันจะแอบไปเที่ยวที่ไหน ภาพคืนก่อนวันเปิดเรียนที่เธอเมาเหล้าแล้วเดินเข้ามาในห้องประมาณตีสองกว่าๆสว่างขึ้นในหัวฉันอีกครั้ง อืม..ก็อาจจะเป็นไปได้ เพื่อนๆฉันในคณะบางคนก็แอบไปเทียวผับกันแม้อายุจะยังไม่ถึง ได้ยินว่ามีผับบางที่แอบเปิดรับเด็กอายุที่ต่ำกว่า20ปีเข้าไปด้วย เอ..หรือบางทีเขาก็อาจจะนั่งดื่มเหล้าที่ร้านเหล้าแถวๆหน้ามอก็ได้ เพราะร้านเหล้าแถวนั้นเด็กที่อายุต่ำกว่า20ปีก็พากันนั่งดื่มนั่งกินกันอย่างอิสระเสรีไม่มีใครว่าอะไรอยู่แล้ว เว้นเสียจากบางวันที่เจ้าของร้านได้ข่าวจากสายข่าวว่าจะมีตำรวจมาตรวจร้าน พวกเขาก็จะกันไม่ให้เด็กที่อายุไม่ถึงเข้าไปในร้านเขากัน....
“..อ้าวเหรอ ตีสามแล้วนี่นะ ทำไมกลับหอช้าจัง เขาไม่หลับไม่นอนหรือไง” เสียงเอื้อยดังแทรกความคิดฉัน เธอทำหน้าสงสัยผ่านจอวีดีโอคอลมา เห็นหน้านิ่วคิ้วขมวดของคนงงแล้วก็อดที่จะเย้าเธอคืนบ้างไม่ได้
ใช่สิ..นี่มันตีสามแล้วทำไมท่านหญิงถึงยังไม่หลับไม่นอนอีกเจ้าคะ เลยเวลานอนมามากโขแล้วประเดี๋ยวก็ป่วยเป็นโรคกะเพาะพอดี”
กะเพาะเจ้ยน่ะสิ!!!..บ้า!! เฮ้อ..ก็เค้านอนไม่หลับนี่นา คิดถึงแต่เรื่องแม่ ยิ่งใกล้เวลาแม่จะไปเท่าไหร่เค้าก็ยิ่งเครียดน่ะ” เสียงเศร้าของคนเหงาพยายามอธิบาย จนฉันสะดุ้งกึกทันทีที่นึกขึ้นได้ว่าที่เธอพยายามโทรหาฉันก่อนหน้านั้นก็คงเป็นเพราะอยากให้ฉันช่วยปลอบใจเธอนี่เอง
เหงาใช่มั้ยล่ะ คิดถึงเค้าล่ะสิ ไม่เอานะคะไม่เศร้าเค้าจะอยู่ข้างๆเอื้อยตลอดไปเองนะ” ฉันยิ้มยกโทรศัพท์ขึ้นมาจ่อใกล้ๆหน้า ด้วยหวังให้รอยยิ้มของฉันนั้นช่วยคลายความเศร้าของนางฟ้าไปได้บ้าง ได้ผล เอื้อยยิ้มออก เธอทำสายตาเว้าวอนมองฉันผ่านวีดีโอคอลครู่หนึ่ง ก่อนจะกระซิบกระซาบข้อความที่ทำให้ฉันรู้สึกร้อนวูบๆวาบๆทันทีที่ได้ฟัง
อยากไปหาจังเลย....”
มาสิ...”
ดะ..ได้เหรอ..” เอื้อยตาโต เธอดีใจตอนที่ได้ยินฉันบอก คนสวยถึงกับถามย้ำ ซึ่งนั่นก็ทำให้ฉันหลุดเก๊กแล้วหัวเราะคิกคักๆทันทีที่ได้เห็นอาการดี๊ด๊าของคนเคยเรียบร้อย
บ้าสิ มาได้ไงเล่าดึกขนาดนี้แล้ว หอในเขาไม่ให้คนนอกเข้าแล้ว..อยากโดนน้ายามจับลอคกุญแจมือหรือไงกัน..”
โฮยย..อะไรอ่ะ..พูดให้อยากแล้วก็จากไป..” ฉันเหล่ตามองแรงทันทีที่ได้ยินประโยคแปลกๆ ฟังดูหื่นๆอย่างนั้น... “มาหย่งมาอยากอะไรเล่า ไปจำใครมานี่ ทะลึ่ง...นอนไปเลยไปดึกแล้วนี่”
นอนไม่หลับอ่ะ ทั้งคิดถึงแม่ทั้งคิดถึงเจ้ย คุยเป็นเพื่อนเค้าไปเรื่อยๆได้มั้ย..” คนใจน้อยว่า เธอกลับมาทำเสียงเศร้าๆตอนที่ขอร้องฉันอีกครั้ง คนใจอ่อนขี้สงสารอย่างฉันก็เลยยอมจนได้ ฉันนั่งคุยกับเธอไปพร้อมๆกับสเก๊ตช์งานส่งหลังจากนั้น..
รู้มั้ยเวลานี้เค้าอยากให้เจ้ยอยู่ข้างๆเค้าที่สุดเลยนะ..” เสียงอ้อนๆของหญิงสาวดังขึ้นตอนที่ฉันพยายามจัดวางโทรศัพท์ ฉันหยิบจับมันใส่หูฟังแล้วยึดมันติดไว้กับโต๊ะดราฟ ตอนนี้หน้าจอโทรศัพท์พร้อมฉายหน้าฉันให้คนสวยเห็นตลอดเวลาแล้ว
รู้สิคะ เค้าก็อยากอยู่ข้างๆเอื้อยตลอดเวลาเหมือนกันนะรู้มั้ย..” ฉันยิ้มตอบรับ ทั้งนั่งสเก๊ตซ์ภาพไปทั้งนั่งมองเธอไป แต่สายตาเหงาๆมองหากำลังใจของคนปลายสายก็ทำให้ฉันหยุดกึ๊กอีกทันที น่าสงสารจัง แม้แต่ตอนนี้สายตาเธอก็ยังบ่งบอกถึงความหว้าเหว่อยู่ตลอด เธอยังจ้องมองหาสิ่งแสดงความผูกพันธ์จากคนที่เธอรักอยู่เสมอแม้ว่าภาพฉันจะอยู่ต่อหน้าเธอในโทรศัพท์ขนาดไหน จริงสินะ..ฉันยิ้ม ยื่นหน้าไปจ่อโทรศัพท์ทันทีที่นึกอะไรขึ้นได้ บางทีนี่อาจจะเป็นยาใจบรรเทาความเหงาของเธอได้ดี เอื้อยเลิ่กคิ้ว เธออมยิ้มนิดๆที่เห็นฉันโน้มหน้าเข้ามาเกือบๆติดจอ คนสวยตั้งใจฟังประโยคหวั่นๆหวามๆด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบที่ดังไปตามสายหลังจากนั้น...
อยากจูบมั้ย..จูบได้นะ ตอนนี้ไม่มีใครเห็นแล้ว..” เอื้อยไม่ตอบ เธออมยิ้มแล้วหลับตาพริ้มค่อยๆโน้มหน้าเข้ามาประกบจูบไว้ที่หน้าจอมือถือ เช่นเดียวกันกับฉันที่ก็หลับตานึกมโนภาพถึงรอยจูบจากริมฝีปากนุ่มลื่น เสมือนว่าตอนนี้ฉันมีเอื้อยอยู่ต่อหน้า ก่อนจะประกบริมฝีปากตอบรับเธอไปด้วยความรู้สึกวาบหวามหวั่นไหว เสมือนมันส่งผ่านทะลุจอมือถือออกมาหากันและกันได้อย่างนั้นจริงๆ.....
/////////////////////////////////
เฮ้..จอเจ้ย นั่งด้วยสิ..” เสียงตะโกนเรียกชื่อเสียงเรียงนามใหม่ของฉันดังก้องมาจากข้างหลัง ฉันหันขวับไปมอง นึกเอะใจในเสียงคุ้นๆ ณิชานั่นเองใช่อย่างที่นึกจริงๆด้วย ตอนนี้เธอเดินยิ้มหวานถือกระดานสเก๊ตช์แบบและแก้วกาแฟเข้ามานั่งขัดสมาธิข้างๆฉันบนพื้นหญ้าที่สนามหน้าคณะแล้ว...
คาบเรียนวันนี้ หลังจากที่ฉันส่งแบบดรออิ้งที่พึ่งว่างมันเสร็จสดๆร้อนๆตอนประมาณสองโมงเช้า อาจารย์ก็เข้ามาสั่งงานให้พวกเราไปสเก๊ตช์ภาพทัศนียภาพจากดินสอของอาคารอะไรก็ได้ในมหาวิทยาลัยเรามาหนึ่งภาพ โดยภาพทัศนียภาพนั้นจะต้องแสดงให้เห็นมุมมองแบบสามมิติของอาคาร ที่มีความกว้างความยาวตามมาตราส่วนของสัดส่วนจริง หรือที่เราเรียกกันว่า “Perspective” กำหนดเวลาส่งก่อนบ่ายโมง ซึ่งอาคารที่ฉันเลือกที่จะวาดนั้นก็คืออาคารคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ของฉัน ที่ฉันคิดว่ามันสวยที่สุดในมอแล้วนั่นเอง....
อ้าว นึกว่าไปวาดอาคารอื่น เห็นขับรถออกไปแล้ว..” ฉันถามณิชาทันทีที่นึกขึ้นได้ว่าตอนเช้าฉันเห็นเธอขับรถสกูตเตอร์ออกจากหน้าคณะเราไปแล้ว
ที่ขับไปเมื่อเช้าน่ะเหรอ เราไปซื้อกาแฟ เราง่วง เมื่อคืนนั่งวาดจนถึงเช้าแหนะ เราน่ะไม่กล้าไปไหนไกลจากจอเจ้ยหรอก..”ณิชาหยุดพูด เธอยิ้มหวานแล้วพูดจาฉอเลาะเอาใจฉันเหมือนที่เธอชอบทำตลอดเวลาที่อยู่ใกล้ๆ “ไปวาดที่อื่นใครเขาจะสอนเราเหมือนเธอเล่า อยู่กับจอเจ้ยนี่ล่ะ วาดไม่ได้ก็ลอกแม่งเลย...”
ฉันเหล่ตามองณิชา “พูดไม่เพราะอีกแล้ว..”
โอ้ย..ก็เราติดน่ะ แหมแค่นี่เอง อย่าทำตัวเป็นเด็กเนิร์ดนักได้มั้ย เรียนมหา'ลัยกันแล้วพูดแค่นี้จะเป็นไรไปเล่า..”สาวผมบอนด์ทำทีเป็นยิ้มหวาน ทั้งตาเล็กตาน้อยตอนเถียงฉัน เธอมองหน้าฉันที่พยักเพยิดส่งๆด้วยขี้เกียจเถียงกับเธอแล้วก่อนจะยื่นแก้วกาแฟส่งมาให้..
“..ดื่มมั้ย..กาแฟหน้าหอเราเอง อร่อยนะ เข้มมาก.. ดื่มแล้วนั่งทำแบบได้ยันเช้าเลย”
ขนาดนั้นเลย ไหนลองชิมสิถ้างั้น..” ฉันเลิ่กคิ้วรับแก้วกาแฟนั้นมายกดื่ม ไหนดูสิจะสมราคาคุยแค่ไหน..ก่อนจะดวงตาเป็นประกายเพราะปลายลิ้นสัมผัสกับฟองนุ่มๆของมันเข้า“เอ้อ..อร่อยจริงด้วยอ่ะ รสชาดเข้มๆแต่ก็หอมละมุนลิ้นดีนะ แก้วเท่าไหร่อ่ะ เดี๋ยววันหลังเราจะไปซื้อบ้าง”
แก้วละ40 เอง จอเจ้ยชอบหรือเปล่า ถ้าชอบเดี๋ยวเราซื้อมาฝากจอเจ้ยก็ได้นะ” ณิชาว่าพลางรับแก้วกาแฟแก้วนั้นกลับคืนไป
เฮ้ย ไม่เป็นไรเราไม่อยากรบกวน เดี๋ยวเราไปซื้อเองก็ได้ ว่าแต่หอณิชานี่อยู่แถวไหนเหรอ”
เราอยู่หอหญิงหอนอก แถวๆด้านหน้ามอน่ะ บอกไปจอเจ้ยจะรู้จักหรือเปล่า เดี๋ยวเราพาไปดูดีกว่า ไปมั้ย ป่ะเดี๋ยวพาไป..”ณิชายิ้มน้อยเอื้อมมือมาดึงมือฉัน ทีท่าเหมือนจะชวนให้ลุกขึ้นไปหอกับเธอตอนนี้เดี๋ยวนี้ให้ได้
หืม..จะบ้าเหรอทำงานอยู่นี่เห็นมั้ย ณิชาก็รีบวาดเลยยิ่งวาดช้าด้วย เราวาดจะเสร็จแล้วนี่ ถ้าเสร็จแล้วเราจะรีบไปส่งเลยนะ ไม่รอแล้วนะวันนี้เรามีนัดกับเพื่อนเรา..”
ห๊ะ นัดกับเพื่อนเหรอ จอเจ้ยจะไปไหน แล้วเราจะดูงานใครแล้วใครจะสอนเราล่ะ...” สาวผมบอนด์งอแงตอนที่ได้ยินฉันว่า เห็นท่าทางโยเยอย่างนั้นแล้วฉันก็อดที่จะแอบส่งซิกให้ณิชาหันไปมองเพื่อนผู้ชายอีกสองคนที่นั่งแอบอยู่ในพุ่มต้นไม้นั่นไม่ได้...
นั่นไงสองคนนั่นไง ไปดูกับสองคนนั่นก็ได้ วันนี้เรามีนัดทานข้าวกับเพื่อนที่โรงเรียนเก่าเรา”
นัทหล่อกับนัทแว่นเหรอ..” ณิชาหน้าแหยง เธอคิ้วขมวดทันทีที่หันไปเห็นชายหนุ่มทั้งสองคน “...สองคนนี้อีกแล้วอ่ะ นี่กะจะเป็นองครักษ์พิทักษ์จอเจ้ยไปตลอดเลยใช่มั้ย”
คำพูดประชดประชันทำฉันหัวเราะ อืม..จะว่าไปแล้วเพื่อนที่คณะก็แซวอย่างนี้กันตลอดนะเวลาที่เห็นฉันกับเพื่อนชายทั้งสองนั่งเรียนหรือนั่งทำกิจกรรมอะไรอยู่ด้วยกันอย่างนั้น
นัทหล่อกับนัทแว่นเป็นเพื่อนชายเอกเดียวกันกับฉัน สองคนนี้มีชื่อเล่นเหมือนกัน เวลาคนอื่นจะเรียกก็เลยพยายามหาจุดเด่นมาเรียกต่อท้ายเพื่อให้จำได้ สำหรับนัทหล่อเขาเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงหน้าตาคมเข้มเหมือนลูกครึ่งผิวพรรณก็ดีจนผู้หญิงในเอกหลายๆคนมีมติเห็นพ้องต้องกันว่าเขาหล่อที่สุดในชั้นปี มีคนเคยบอกว่าในการโหวตดาวเดือนคณะที่จะมาถึงนี้ ถ้าโหวตให้ฉันเป็นดาวคณะแล้วก็ต้องเลือกนัทหล่อให้เป็นเดือนคณะด้วย ซึ่งนั่นก็บ่งบอกเป็นนัยๆว่ามีคนแอบจับคู่ให้ฉันกับนัทหล่อไปแล้ว ซึ่งก็ไม่รู้ว่านัทหล่อคิดอะไรหรือเปล่า รู้แต่ว่าพักหลังๆมานี้เขาชอบมานั่งเรียน มานั่งทำแบบอยู่ใกล้ๆฉันเสมอ
สำหรับนัทแว่น เขาเป็นชายหนุ่มที่ใส่แว่นหน้าตาดีคนหนึ่ง อาจจะไม่ได้หล่อเท่านัทหล่อ แต่ด้วยบุคลิกเนี๊ยบๆมองดูสะอาดสะอ้าน บวกกับหน้าตาตาตี๋ๆแบบเกาหลีและใส่แว่นตาแบบคุณชายของเขาก็เลยมักจะทำให้เขามีผู้หญิงมาแอบปลื้มเสมอ เขาเป็นคนเรียนเก่งทำงานเก่ง มีบุคลิกเหมือนวิศวกรกับสถาปนิกรวมกัน ซึ่งด้วยความเก่งของเขา ฉันก็เลยมักจะคุยและปรึกษางานด้วยบ่อยๆ กระทั่งรู้สึกตัวอีกที เขาก็มาเรียนและนั่งทำแบบข้างๆฉันเหมือนนัทหล่อไปแล้ว...
แต่นั่นก็ถือว่ายังไม่ครบองค์เท่าไหร่สำหรับแก๊งค์องครักษ์รักษาฉันที่เพื่อนๆปีหนึ่งพากันแซว ดูเหมือนว่ายังมีอีกคนหนึ่งที่ตามฉันติดแจตลอด แต่เขายังไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองหลงเข้ามาอยู่ในแก๊งค์นี้ด้วยแล้ว...
โหย..พวกนี้เราถามอะไรแล้วไม่ค่อยชอบตอบเราอ่ะ ถ้าไม่มีจอเจ้ยแล้วเขาก็ไม่คุยกับเราหรอก” ณิชาบ่นพึมพัมๆ เธอคงคิดว่าเพื่อนร่วมแกงค์โดยบังเอิญของเธอนั้นจะไม่ยอมช่วยเธอแน่ๆถ้าฉันไม่ได้อยู่ข้างๆเธอตลอดอย่างนี้ ...ใช่..ณิชาก็เป็นหนึ่งในคนที่อยู่ข้างๆฉันตลอด เธอนี่ยิ่งตามติดตัวฉันแจเลยเพราะได้เปรียบกว่านัททั้งสองตรงที่เธอเป็นผู้หญิงเหมือนกันกับฉัน
ณิชาชอบนั่งข้างฉัน หญิงสาวมักอ้างเหตุผลเสมอว่าเธอไม่สันทัดเรื่องวาดเรื่องลงสีเท่าไหร่ การที่มีฉันอยู่ใกล้ๆไม่เข้าใจอะไรก็ยังจะถามได้บ้าง จริงอย่างเธอบอก เพราะเธอก็ถามฉันตลอดหรือแม้กระทั่งขอให้ฉันสอนวาดหรือวาดให้เธอเลยก็มี ซึ่งนั่นก็เลยทำให้ฉันต้องแอบดูงานณิชาเมื่อเริ่มรู้สึกว่าคนอะไรจะวาดไม่เป็นขนาดนั้น ความประหลาดใจน้อยๆเกิดขึ้นกับฉันเมื่อพบว่าจริงๆณิชาก็ลายเส้นสวย แถมงานที่เธอทำส่งก็สวยไอเดียก็ดีด้วยไม่เห็นจะเป็นอย่างที่เธอบอกเลย...
หืม..ไม่รู้สิ ไม่รู้เหมือนกันว่าวาดไปได้ยังไง” เป็นคำปฏิเสธหน้าตายเวลาที่ฉันทักเธอเรื่องลายเส้น หญิงสาวชักแม่น้ำทั้งห้า เธอยกเหตุผลต่างๆมาสมทบ แต่พอทำท่าเหมือนจะเถียงฉันไม่ได้สุดท้ายก็ใช้ประโยคไม้ตายที่ว่า.. งานเธอสวยกว่าเรา..เธอสอนเราเหมือนเดิมเถอะนะ” มาอ้อนฉันทันที แม้จะนึกแปลกใจท่าทางชวนสงสัยของณิชาอยู่บ้าง แต่ฉันก็ชอบที่จะนั่งข้างๆเธอตลอด เพราะฉันรู้สึกชอบเส้นสายและสไตล์การวาดจริงๆของณิชานั่นเอง
//////////////////////////////////////
เสียงแตรรถยนต์สีแดงขาวคันเล็กดังขึ้นให้สัญญาณ ฉันเตรียมตัวหยิบกระดานสเก๊ตช์แบบและกระเป๋าออกมายืนรอหน้าอาคารทันที ตอนนี้เลยเวลาพักเที่ยงมามากโขแล้ว งานสเก๊ตซ์อาคารถูกส่งวางโต๊ะครูเรียบร้อยแล้ว และมันถูกส่งก่อนบ่ายตั้ง15นาที งานเสร็จเร็ว แต่ไม่ได้แปลว่าเร็วเลยสำหรับอาหารมื้อพิเศษ อาหารเที่ยงที่ค่อนไปทางบ่าย เฮ้อ..แล้วกลายเป็นสายจนได้สำหรับนัดทานข้าวมื้อสำคัญกับคนรักอย่างนี้...
ใช่...วันนี้ฉันนัดทานข้าวเที่ยงกับเอื้อย ด้วยอยากจะชดเชยเรื่องที่ฉันไม่ค่อยมีเวลาให้ ทั้งการทำหน้าที่แฟนขาดตกบกพร่อง ทำให้ฉันต้องรับผิดชอบฐานละเลยความรู้สึกคนรัก เมื่อคืนตอนที่คุยวีดีโอคอลกันเกือบๆโต้รุ่ง ด้วยความเป็นห่วงว่าเอื้อยจะไม่ได้พักผ่อนและอยากขอโทษความผิดก่อนหน้านี้ ฉันก็เลยยื่นข้อเสนอแลกกับที่เธอต้องนอนว่าพรุ่งนี้มื้อเที่ยงฉันจะไปทานข้าวด้วย ซึ่งนั้นก็เป็นที่มาว่าทำไมฉันถึงรีบทำงานให้เสร็จก่อนเวลา แล้วขอตัวลาเพื่อนไปก่อนอย่างนั้น ตอนนั้นด้วยความเป็นห่วงเอื้อยกลัวจะน้อยใจที่ฉันไปสาย ก็เลยโทรไปบอกว่าอาจจะได้ทานมื้อเที่ยงช้าสักหน่อยขอให้เธอรอฉันได้มั้ย ซึ่งก็ได้ผลเพราะเธอก็ไม่ว่าอะไร บอกแต่เพียงว่าจะคุยกับเพื่อนรอเวลาก่อนก็ได้หากเสร็จแล้วค่อยโทรหาอีกที...
ตอนนี้เมื่อรถมาจอดเทียบฟุตบาตแล้วฉันก็รีบวิ่งไปฝั่งที่นั่งด้านข้างคนขับ เสียงหวีดวี๊ดว้ายจากเบาะหลังดังขึ้นจนฉันสะดุ้งตกใจทันทีที่ฉันเปิดประตูเข้าไป...
โอ้ย..แก..ฉันก็ว่าอยู่ว่าเอื้อยให้พวกฉันเว้นเบาะหน้าให้ใคร..”
ฉันหันไปมอง เป็นเสียงสาเพื่อนสมัยมัธยมนั่นเอง เธอนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างเแนนและทิพย์เพื่อนม.6ห้องเดียวกัน ตอนนี้สาก็ยังจีบปากจีบคอหยอกล้อ ทำหน้าตากระแหนะกระแหนฉันต่อด้วยความหมั่นไส้ต่อว่า...
ที่นั่งสำคัญสำหรับคนสำคัญสิโน๊ะ..” ฉันยิ้ม หันไปยักไหล่เบ้ปากต่อปากต่อคำกับสาด้วยอารมณ์ครื้นเครงทันทีที่ปิดประตูแล้วหันมานั่งคุยกับพวกเขาได้...
แหงละย่ะ เค้าก็ต้องคัดคนสวยที่สุดเอามาไว้นั่งข้างหน้ากับเค้าสิยะ”
อ้อหรา....ไม่ยักกะรู้ว่าเอื้อยอยากได้คนสวยแบบแกเป็นตุ๊กตาหน้ารถ ตกลงเป็นแม่ย่านางประจำรถเอื้อยแล้วใช่มั้ยแก..” เพื่อนที่เหลือหัวเราะครืนทันทีที่ได้ยินสาแซวฉันอย่างนั้น
ไม่รู้สิ ถามเจ้าของรถดูสิ ถ้าเขาอยากให้ฉันเป็น..พวกแกก็คงจะได้เห็นฉันนั่งรถเค้าบ่อยๆล่ะมั้ง”
แหม..พวกแกนี่ก็ยังไม่ทิ้งลายคู่จิ้นนะ พูดอะไรสองแง่สองง่ามให้พวกฉันมโนเองตลอด นี่ถ้าไม่ได้เป็นเพื่อนพวกแกมาตลอดนี่ฉันคิดกันแล้วนะว่าพวกแกเป็นแฟนกันจริงๆ” ฉันหันไปยิ้มเหล่ตามองเอื้อยทันทีที่ได้ยินสาแซว เอื้อยก็ยิ้ม เธอจุ๊ปากและหรี่ตาให้ฉันนิดนึงก่อนจะหันไปบังคับพวงลัยด้านหน้าต่อ หญิงสาวยิ้มมองเพื่อนทั้งสามผ่านกระจกมองหลัง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงสดใสน่าฟังเหมือนทุกๆครั้งที่อยู่กับบรรดาเพื่อนๆว่า....
ว่าไงสาวๆ..ตกลงบ่ายนี้เราทานอะไรกันดี”
/////////////////////////////////////////
ห๊ะ!!! เอกกับหญิงนี่นะจะคบกัน..”
เสียงตื่นเต้นของฉันดังขึ้นทันทีที่ได้ยินข่าวคราวของเพื่อนๆ หลังจากที่เราเริ่มนั่งทานส้มตำกันในร้านหน้ามอ จากการลงมติของสมาชิกทั้ง5ว่าอาหารมื้อนี้พวกเขาอยากทานส้มตำกัน..
ตอนนี้พอเราเริ่มนั่งทาน การสนทนาในวงอาหารก็เลยหนีไม่พ้นเรื่องของความเป็นไปเป็นมาของเรา การเรียนของเรา รวมทั้งการถามข่าวคราวของเพื่อนๆคนอื่นๆที่ไม่ได้เรียนที่นี่ว่าพวกเขาเป็นอะไรยังไงบ้าง...

อืม..เห็นเขาว่ากันนะ อันนี้ฉันยังไม่ชัวร์เท่าไหร่ แต่สองคนนี้ก็ไปเรียนที่ม.เดียวกันน่ะแก แล้วยังเลือกเรียนคณะเดียวกันด้วยนะ จริงๆมีหลายคนซุบซิบว่าสองคนนี้แอบอยู่หอนอกด้วยกันแล้วด้วย..” สากระซิบกระซาบทำท่าทางอย่างกับกลัวคนโต๊ะอื่นๆจะได้ยินเรื่องของสองคนนี้ ทั้งที่จริงเขาก็ไม่ได้รู้จักอะไรด้วยเลย..
อืม..ตอนที่ฉันเรียนม.4.5ด้วย ฉันก็ไปไหนมาไหนกับสองคนนี้ตลอดนะ ก็ไม่มีวี่แววว่าจะชอบกันเลย เห็นชอบกัดกันตลอดอ่ะ สงสัยตอนย้ายไปเรียนห้อง2ตอนม.6ด้วยกัน เกิดเห็นใจกันหรือเปล่าไม่รู้นะ อืม..คิดๆแล้วก็อาจจะเป็นไปได้..” ฉันคิ้วขมวด นึกถึงภาพเพื่อนทั้งสองคนเมื่อยามกัดจิกกันในเรื่องเล็กๆน้อยๆ แล้วก็อดที่จะแปลกใจเล็กๆไม่ได้
นั่นละฮะท่านผู้ชม ตอนแรกฉันก็ไม่เชื่อหรอก ยิ่งมาบอกว่าอยู่หอด้วยกันแล้วด้วยนี่ฉันยิ่งอึ้ง..” สาทั้งพูดทั้งกลืนน้ำลายเหมือนกระดากปากกระดากใจจะเล่าต่อ “..แต่ก็อย่างว่าล่ะนะ พอเข้ามหาวิทยาลัยคนที่เป็นแฟนกัน คนที่คบกันเขาก็อยากอยู่หอด้วยกันทั้งนั้นล่ะ..”
ฉันตักตำไทยรสจัดใส่ปากพลางพยักหน้างึกๆเห็นด้วยกับสา ก่อนจะกลายเป็นสะดุ้งกึ๊กทันทีที่เห็นสาแอบหันมายิ้มกรุ้มกริ่มแล้วเหล่มองฉันกับเอื้อยแววตามีพิรุธ
แล้วแกกับเอื้อย...ไม่อยู่หอด้วยกันเหรอว้าาา....” เธอลากเสียงยิ้มน้อย ทำท่าทางเหนียมอายตอนที่แซว ทั้งทำทีเป็นยื่นนิ้วชี้มาจี้ไหล่ฉันจึกๆ ให้ฉันรู้ความหมายจากท่าทางและสายตาหื่นๆทันทีว่าแปลว่าอะไร ซึ่งฉันก็สำลักตำไทยทันทีที่แปลออก...
บ้าสิจะอยู่ด้วยกันทำไม ต่างคนก็ต่างมีหอของตัวเองอยู่แล้ว ฉันก็อยู่หอใน เอื้อยก็อยู่หอนอก”
อะจริงดิ..” สายังไม่หยุดแซวด้วยเสียงทะลึ่งตึงตังของเธอ จนเอื้อยหน้าแดงแล้วกลายเป็นไอสำลักส้มตำเหมือนๆกับฉันซะงั้น ฉันต้องรีบยื่นน้ำให้เอื้อยดื่ม ทั้งรีบลูบหลังให้ด้วยกลัวว่าเอื้อยจะสำลักจนเส้นส้มตำขึ้นจมูกไปกันใหญ่..
เฮ้ย เอื้อยฉันล้อเล่น นี่แกคิดตามจนหื่นขึ้นจมูกเลยเหรอ” สายื่นไม้ยื่นมือมาลูบเอื้อยด้วยความเป็นห่วงบ้าง แต่ก็ยังไม่วายหยอดมุก18+บวกมาให้เอื้อยสำลักเพิ่มเข้าไปอีก..
เพื่อนๆที่เหลือนั่งขำมองสาแซวเอื้อยด้วยความอารมณ์ดี บรรยากาศการทานข้าวเที่ยงวันนี้จึงเต็มไปด้วยความคึกคักและสนุกสนาน พวกเราคุยกันเรื่องสัพเพเหระเหระอื่นๆ ถามสารทุกข์สุขดิบกันเพิ่มเติม รวมถึงรายละเอียดการเรียนของแต่ละคนแต่ละคณะด้วย ฉันนั่งฟังสากับเพื่อนเล่าเรื่องที่คณะตัวเองให้เพื่อนฟังด้วยความสนใจ...
สาและทิพย์นั้นเรียนคณะวิทยาศาสตร์แต่อยู่กันคนละเอก ส่วนแนนนั้นเรียนพยาบาล ซึ่งตึกคณะที่สามคนเรียนอยู่นี้อยู่ใกล้ๆกับตึกคณะที่เอื้อยเรียน จึงเป็นที่มาว่าทำไมช่วงนี้สี่คนนี้สนิทกันขึ้น ติดต่อกันมากขึ้น หรือไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยขึ้นนั่นเอง..

ก็มีแต่แกล่ะอยู่ไกลเพื่อน..คณะอยู่ในป่าในดง” สาหันมาแขวะฉันทันทีที่พูดมาถึงเรื่องตึกเรียน...
ป่าดงที่ไหน..นั่นมันต้นไม้ที่เขาจัดสวนตกแต่งกันย่ะ ไม่รู้เหรอตึกเค้ามีภูมิสภาปัตย์เอาไว้ตกแต่งสวนคณะโดยเฉพาะนะแก..ไฮโซป่ะล่ะ..”ฉันก็จีบปากจีบคอต่อล้อต่อเถียงเพื่อนคืนบ้าง
อ่ะจริงดิฉันนึกว่าแต่สวนmaze runnerอ่ะแก ดูมันแบบ..ลึกลับซ้อนเกิ้น..”
เค้าเรียกสเปซย่ะ เขาแค่จัดสเปซให้มีโวลลูมมีลูกเล่นให้สมกับส่วนพักผ่อนน่ะแก มันอาจจะดูลึกลับซับซ้อนหน่อย แต่ถ้าแกเดินเข้าไปดีๆมันก็ให้ความรู้สึกมีชีวิตชีวาไม่จืดชืดเหมาะกับการนั่งพักนะแก”
สาเบ้ปาก เธอเหล่ตาไปมองเพื่อนๆที่เหลือก่อนจะหันมาจีบปากจีบคอแซวฉันต่อ
นี่แกพึ่งเข้าไปเรียนไม่เท่าไหร่แกได้ศัพท์มาแล้วเรอะ อะไรวะสเปซฉันรู้จักแต่น้ำส้มสแปซ”
เออน่า..ศัพท์ในการออกแบบนี่ล่ะ ฉันก็จำเค้ามาเหมือนกัน” ฉันยักคิ้วแล้วหันไปฟังเพื่อนๆคุยเรื่องถัดไป ซึ่งคนในหัวข้อสนทนาต่อไปก็คือเอื้อยนั่นเอง...
ได้ข่าวว่าอยู่หอนอก หอหญิงไฮโซนั่นเหรอเอื้อย เป็นไงบ้างหอดีมั้ยแล้วใครเป็นรูมเมท”
เค้าอยู่คนเดียวไม่มีรูมเมท หอก็ดีอยู่ สะอาดปลอดภัยดีไม่มีอะไรน่ากลัว..”
แหม..สาแกนี่บ้านนอก หอหญิงไฮโซหอนั้นนะเค้ามีแต่คนรวยๆไปอยู่กัน เค้าไม่ต้องมีรูมเมทมาหารค่าห้องเหมือนหอในอย่างพวกเราหรอกจ๊ะ” แนนหันไปอธิบายสา
อ้าวเหรอ..เออฉันก็ลืมไป จริงๆแล้วถ้าเอื้อยเลือกยื่นคะแนนที่ ม.เราเป็นอันดับหนึ่งเอื้อยก็อาจจะได้อยู่หอในก็ได้นะ แต่นี่เลือกม.เราเป็นอันดับสอง พอเข้ามาก็กลายเป็นว่าหอในเต็มแล้วต้องไปอยู่หอนอกแทน แต่ก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้งเนอะบ้านเอื้อยรวยอยู่ ค่าหอจิ๊บๆแค่นี้คงสบาย ได้ข่าวว่าแม่เอื้อยมาเลือกหอให้เองเลยใช่ป่ะ..”สาหันไปถามเอื้อยเรื่องที่เธอรู้มาเกี่ยวกับการตัดสินใจมาเรียนที่นี่ของเอื้อย ซึ่งคนสวยก็พยักหน้ารับทันทีที่ได้ยินเพื่อนถาม..
“..แล้วเอื้อยไม่เหงาเหรอ สาวสวยอยู่หอคนเดียวอย่างนี้ ทำไมไม่ชวนแฟนไปอยู่ด้วยเล่า....” สายิ้มกรุ่มกริ้มตั้งใจแซวเอื้อยโดยพูดวกเข้าประเด็นคู่จิ้นอีกครั้งจนได้ ซึ่งถึงแม้ในประโยคไม่ได้ระบุว่าเป็นใคร แต่สายตาสามสหายก็เหล่มองฉันเป็นนัยๆว่าพวกเขารู้ว่าฉันคือคนที่อยู่ในคำถามเมื่อครู่นั่นเอง
ฉันหน้าแดงตั้งท่าจะแขวะเพื่อนคืน แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะต่อปากต่อคำอะไร อยู่ๆเอื้อยก็พูดแทรกกลางวงเข้ามาก่อน....
“..ก็อยากให้เขามาอยู่ด้วยอยู่..แต่ไม่รู้ว่าเขาจะอยากมามั้ย..หญิงสาวก้มหน้าก้มตาเขี่ยโต๊ะไปตอนที่พูด..
ห๊ะ!! เพื่อนๆหันขวับมามองเอื้อย อารมณ์ทั้งอึ้งทั้งเหวอ ไม่คิดว่าคนขี้อายอย่างเอื้อยจะกล้าตอบรับมุกหยอด เรื่องอยากให้คู่จิ้นอย่างฉันมาอยู่ห้องด้วยกันได้ต่อหน้าต่อตาอย่างนี้ เธอทั้งสามตาค้าง มองเอื้อยนั่งก้มหน้าก้มตาไม่รู้ตัวว่ากำลังสร้างความตกตะลึงให้พวกเขาเข้าแล้ว
เฮ้ยๆ....ขอกันออกสื่อเลยหรือวะ” สาตั้งสติได้รีบแซวเอื้อยก่อน ส่วนคนโดนทักสะดุ้งโหยงเงยหน้า อารมณ์ประมาณพึ่งนึกขึ้นได้ เธอทำตัวเลิ่กลั่กมองคนนั้นทีคนโน้นทีก่อนจะยกมือขึ้นโบกปัดปฏิเสธไปมา..
เฮ้ย..ปะ..เปล่าๆ คือเค้าหมายถึงอยากให้เจ้ยมาอยู่เป็นเพื่อนกันน่ะ หมายถึงเป็นเพื่อนน่ะ..พะ..เพื่อนกันธรรมดาๆทั่วไปไง”คนสวยทั้งเขินทั้งอาย เธออธิบายด้วยอาการประหม่า พอๆกับฉันที่นั่งอายหน้าแดงก้มหน้า หลบตาเพื่อนทันทีที่โดนเอื้อยจู่โจมเปิดประเด็นชวนฉันไปอยู่หอต่อหน้าเพื่อนๆขนาดนั้นเข้า...นี่อย่าบอกนะว่าเอื้อยอยากให้เพื่อนๆพวกนี้ช่วยชวนฉันไปอยู่กับเธออีกแรง...
เออ..เพื่อนกันนอนด้วยกันได้ พวกฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่หว่า ร้อนตัวกันจัง” สาทำหน้ากรุ้มกริ่มก่อนจะหันมาถามจี้เอาคำตอบจากฉันฉับ!!
แล้วแกว่าไงวะ เอื้อยเขาสู่ขอแล้วเมื่อไหร่แกจะยกตัวเองให้เอื้อยสักที”
โอ้ย!!! อีพวกบ้า!!! สู่ขออะไรเล่า” อารมณ์เขินทำฉันสบถด่าออกมาทันทีที่ได้ยินสาแซวเสียงดังอย่างนั้น ทั้งพยายามจะตั้งท่าเถียงตอนที่หันไปมองท่าทีคนนั้นคนนี้จนกระทั่งมาสบสายตาเอื้อยเข้า อึ๊ก...ตอนนี้หญิงสาวยิ้มหน้าแดงรอฟังคำตอบอย่างมีความหวังก่อนหน้านั้นแล้ว
ก็..ก็..ก็..ดูก่อนแล้วกัน..” แม้ตอนแรกฉันทำทีเป็นโวยวายเสียงดัง แต่พอเจอสายตาเว้าวอนของเอื้อยที่มองฉันแล้วก็กลายเป็นเสียงอ่อนลง ซ้ำยังตอบคำถามตะกุกตะกักด้วยนึกกลัวเอื้อยจะเสียใจที่ได้ยินข้อความที่ฉันเผลอพูดเหมือนไม่อยากอยู่ใกล้เธอเข้าให้..
ได้ยินฉันตอบคำถามเสียงสั่นๆ บรรดาเพื่อนๆทั้งสามก็ยิ้มกรุ้มกริ่มทำหน้ามีเลสนัยมองฉันกับเอื้อยทันที แม้พวกเขาจะไม่พูดอะไรต่อจากนั้น แต่ฉันก็พอจะเดาได้ว่าพวกเขาน่าจะรู้ว่ามีอะไรพิเศษบางอย่างระหว่างฉันกับเอื้อยที่พวกเขาไม่ควรแซวให้พวกเรารู้สึกไม่ดีบ่อยๆแล้ว....

เย็นวันนั้นหลังจากที่พวกเราทานข้าว นั่งคุยนั่งเล่นและไปส่งบรรดาเพื่อนๆกลับหอกันเสร็จ เอื้อยก็ไปส่งฉันที่ด้านหลังหอ ที่ตรงนั้นจะมีต้นไม้ต้นใหญ่ๆทำหน้าที่ให้ร่มเงาพอที่จะให้รถยนต์จอดหลบแดดหลบฝนได้...
เดี๋ยวเค้าโทรหาอีกทีนะ” เป็นฉันที่บอกลาเอื้อยตอนที่หยิบของเตรียมที่จะเปิดประตูออกจากรถไป
เอื้อยยิ้ม เธอยื่นมือมาดึงฉันไว้ “เดี๋ยวสิ..กลับห้องไปทำอะไรบ้างอ่ะ”
ก็..พักผ่อนเตรียมตัวไปเข้าคลาสเชียร์คณะตอนเย็นน่ะ เอื้อยถามทำไมเหรอ”
ก็เปล่า..ไม่มีอะไรหรอก นึกว่าว่าง..ถ้าว่างจะชวนไปเล่นห้อง...”

จึ๊ก..ฉันยิ้มค้างทันทีที่ได้ยินเอื้อยว่า..

เอิ่ม..ไอ้ว่างก็ว่างอยู่หรอก..แต่มันแค่แป๊บเดียวเองอ่ะ เดี๋ยวอีกไม่ถึงชั่วโมงก็ต้องไปเข้าคลาสเชียร์แล้วน่ะ เอื้อยก็ต้องเข้าเหมือนกันไม่ใช่เหรอ ถ้าเค้าไปถึงหอเอื้อยมันก็จะคงถึงเวลาเข้าคลาสเชียร์เราพอดีมั้ง..” ฉันยิ้มน้อยอธิบายเอื้อยด้วยความอายแสนอายเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเธอจะชวนฉันไปเล่นห้องทำไม...
เอื้อยก็อาย เธอหน้าแดงตอนที่พยักหน้าเห็นด้วย มือก็เกาหัวแก๊กๆแก้เขินของเธอไป “จริงสินะ..ลืมคิดไปเลย..”หญิงสาวหัวเราะแก้เขินหึหึหลังจากนั้น ก่อนจะดึงมือของฉันเข้ามากุมใกล้ๆ สีหน้าแดงๆแหยๆครู่นี้เคร่งขึ้น เธอปรับอารมณ์เข้าโหมดซีเรียสแล้วตะกุกตะกักคุยกับฉัน ความแปลกใจเล็กๆเมื่อได้ยินเรื่องบางเรื่องที่เธอไม่น่าจะกล้าพูดกับฉันได้ทำให้ฉันเลิ่กคิ้วรับฟังด้วยใบหน้าเหรอหราหลังจากนั้น..
เอิ่มคือ..เรื่องที่สาแซวเราวันนี้น่ะ..เอ่อ..หมายถึงเรื่องที่เค้าจะชวนเจ้ยมาอยู่หอกับเค้าน่ะ เค้าพูดจริงๆนะไม่ได้พูดเล่น เค้าอยากให้เจ้ยมาอยู่หอกับเค้านะ เจ้ยมาอยู่กับเค้าได้มั้ย..” เอื้อยหน้าแดงกร่ำตอนที่พูด มือเธอที่กุมก็มีเหงื่อซึมออกมาจนแฉะ ใบหน้า ท่าทาง ดวงตา ทุกสิ่งแสดงให้เห็นว่าเธอต้องพยายามรวบรวมความกล้าขนาดไหนที่จะพูดเรื่องนี้กับฉันได้

ฉันอึ้ง รู้สึกแปลกๆทันทีที่ได้ยินเอื้อยสารภาพความต้องการในใจต่อหน้าตัวเองในยามที่อยู่กันสองคนอย่างนี้
แม้ตอนแรกที่ได้ยินฉันจะดีใจจนเกือบจะโผกอดเอื้อย แต่พอหลังจากเสี้ยววินาทีนั้นแล้วฉันกลับมีความกลัวแปลกๆโผล่ขึ้นมาในความคิดทันที..เอาไงดีล่ะ นี่ไม่ใช่สิ่งที่เหนือความคาดหมายของฉันเลย ฉันคิดและหวังไว้เสมอว่าวันหนึ่งฉันกับเอื้อยจะต้องอยู่ใกล้ชิดและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน ฉันโหยหาอยากอยู่ข้างๆคนที่ฉันรักเสมอและรู้ว่าเอื้อยก็คงเป็นเช่นเดียวกัน ..แต่เอาเข้าจริงๆ พอเรามีโอกาสจะได้อยู่ด้วยกันสองคนจริงๆจังๆ ฉันกลับกลัวว่าสิ่งที่ฉันหวังไว้เกี่ยวกับฉันและเอื้อยก่อนหน้านั้นจะมีอะไรทำให้ฉันผิดไปจากที่หวังหรือเปล่า หรือแม้แต่เอื้อยเอง ถ้าเอื้อยได้เจอสิ่งที่ไม่เคยคิดฝันว่าจะมาเจอจากฉันแล้ว เธอจะยังอยากอยู่ด้วยมั้ย อยู่ๆฉันกลับกลัวว่าการที่เราจะได้อยู่ด้วยกันจริงๆจังๆมันจะทำให้เราสองคนได้เจอในสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมาย จนกระทั่งเรารับไม่ได้แล้วเลิกลากันไปอย่างนั้นหรือเปล่า ให้ตายเถอะ...ฉันยังไม่พร้อมจะเร่งช่วงเวลาสีเทาเหล่านั้นให้เข้ามาในความรักสีชมพูของฉันกับเอื้อยยามนี้เลย ฉันยังไม่พร้อมจะเจอ..ความรักแบบผู้ใหญ่...กับเอื้อยในยามนี้เลย...

...ฉันคิ้วขมวดมองเอื้อยที่ก็คิ้วขมวดไม่แพ้ฉันเลย เธอคงรู้สึกแปลกใจตั้งแต่วินาทีแรกที่ฉันอึ้งแล้วไม่แสดงท่าทางดีใจตอบรับเธอแล้ว...

เอ่อ..คือว่า..รอปี2ก่อนได้มั้ย ตอนนี้เราพึ่งอยู่ปี1หลายๆอย่างมันยังไม่ลงตัวน่ะ" เอื้อยอึ้งเธอยิ้มค้างทันทีที่ได้ยินฉันอธิบาย เห็นใบหน้าถอดสีซีดๆเซียวๆเหมือนคนผิดหวังของเอื้อยแล้วก็นึกสงสาร ต้องรีบหาเหตุผลมาอธิบายให้เธอคลายความเสียใจตอนนี้ให้ได้..
คือ..อย่าพึ่งคิดเป็นอย่างอื่นนะ..ไม่ใช่ว่าเค้าไม่อยากไปอยู่กับเอื้อยนะ เค้ารู้ว่าเอื้อยเหงาและเค้าเองก็เหงาเหมือนกัน แต่คือเค้าอยู่หอในไง...แล้วทีนี้กฏระเบียบของหอในมันค่อนข้างจะจุกจิกน่ะ การเข้าออกหอก็ค่อนข้างเข้มงวด เค้าได้ยินรุ่นพี่บอกว่าอยู่หอในน่ะเค้าเช็คเวลาเข้าออกหอของเราตลอดนะ ถึงเวลาปลายปีพี่หอก็จะส่งรายงานการเข้าออกหอของเราให้ผู้ปกครองดูอ่ะ แล้วที่นี้คือ..ถ้าเค้าออกมาอยู่หอนอกกับเอื้อยเลยมันก็จะ..เอ่อ..คือ..”
คือ..เจ้ย...กลัวพ่อกับแม่ว่าใช่มั้ย..” เอื้อยลองถามฉันทันทีที่ได้ยินฉันพยายามอธิบายด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก
ฉันพยักหน้ารับ “ใช่..เค้าไม่อยากให้พ่อแม่มองเค้าไม่ดีอ่ะ..”เหตุผลของฉันได้ผล หญิงสาวยิ้มออก เธอเลื่อนมือขึ้นมาลูบแก้มฉันเบาๆด้วยความเอ็นดูทันทีที่ได้ยินฉันสารภาพความคิดที่เหมือนเด็กน้อยอย่างนั้นเข้า....
งั้นไม่เป็นไร เค้าเข้าใจเจ้ยนะ เดี๋ยวรอปี2เจ้ยย้ายออกจากหอในแล้ว ค่อยมาอยู่ด้วยกันก็ได้..”