Girlfriend
Chapter 7
วันนี้วันเสาร์เป็นวันเกิดของสา
ฉันตื่นนอนด้วยอารมณ์ดีเป็นพิเศษแม้เมื่อคืนจะนอนดึกมากจากการที่นั่งอ่านเว็บไซต์ต่างๆที่เมื่อคืนหาข้อมูลได้ก็ตาม
ยิ่งได้นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับฉันและเอื้อยเมื่อคืนแล้วมันยิ่งทำให้ฉันนั่งยิ้มคนเดียวเหมือนคนบ้า
เอื้อยโทรมาหาฉันแต่เช้าตรู่
เธอทำเป็นคุยเรื่องงานวันเกิดสา
แต่ไปๆมาๆสุดท้ายเธอก็สารภาพว่าโทรหาฉันเพราะว่าคิดถึงฉันทั้งคืนจนนอนไม่หลับและไม่กล้าโทรหาตอนกลางคืน
พอเช้าจึงรีบโทรมา
พอฉันได้ยินเอื้อยสารภาพดังนั้นหัวใจของฉันมันก็พองโต
ใจนึกอยากเร่งให้ถึงเวลาที่นัดกันกับเอื้อยไว้ไวๆจะได้เจอหน้าเอื้อยสักที
ช่วงเช้าฝนตกลงมา
ฉันนั่งลุ้นให้ฝนหยุดตกในเวลานัดของเรา
แล้วฝนก็หยุดตกจริงๆ
ประมาณบ่ายสามโมงครึ่งเป็นเวลาที่เรานัดกันฉันรีบบึ่งมอเตอร์ไซค์ไปรับเอื้อยที่บ้านทันที
วันนี้เอื้อยแต่งตัวด้วยชุดกระโปรงลายลูกไม้สีชมพู
คอเสื้อของเธอเปิดกว้างออกเผยให้เห็นเนินอกของสาวแรกรุ่นชวนมอง
แม้เว็บแรกที่ฉันเห็นจะรู้สึกว่ามันสวยน่ารัก
แต่ฉันก็อดที่จะตำหนิเอื้อยไม่ได้ว่าชุดที่เธอใส่ค่อนข้างจะโป๊
และถ้าผู้ชายหรือใครคนอื่นเห็นจะว่าอย่างไร
แต่เอื้อยกลับตอบมาให้ฉันอึ้ง
“เค้าไม่ได้ใส่มาให้ผู้ชายดูนี่
เค้าใส่มาให้เจ้ยดู...เห็นว่าเจ้ยชอบชุดแบบนี้”
ฉันพูดไม่ออกไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดี
ได้แต่ปล่อยให้เอื้อยแต่งชุดนี้ไปงานวันเกิดสากับฉัน
เราขับรถเข้าไปในตัวเมืองเพื่อไปเลือกซื้อของขวัญให้กับสาตามแผนที่เราวางไว้
ฉันเลือกที่จะไปซื้อที่ร้านกิ๊ฟช๊อฟแถวๆตลาด
เพราะร้านนั้นค่อนข้างใหญ่และมีของให้เลือกเยอะ
ในร้านฉันเลือกตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลตัวเล็กๆเป็นของขวัญวันเกิดให้กับสา
เอื้อยก็เลือกซื้อตุ๊กตาให้กับสาเช่นเดียวกัน
แต่เป็นตุ๊กตาสุนัขสีขาว
ซึ่งกว่าเอื้อยจะเลือกซื้อมาได้ก็นานมาก
ฉันเห็นเธอเดินเลือกรอบร้านเลยทีเดียว
เราให้ร้านห่อของขวัญให้
ไม่นานก็เสร็จ แต่เมื่อเราเดินออกมาจากร้าน
เอื้อยก็ขอเข้าไปในร้านใหม่เธออ้างว่าเธออยากหาการ์ดสวยๆสักอันมาไว้เขียนอวยพรให้สา
และบอกฉันว่าไม่ต้องตามเข้าไปก็ได้เพราะเธออาจจะเลือกนาน
ซึ่งก็เป็นไปตามที่เอื้อยบอก
เพราะฉันต้องยืนรอเอื้อยอยู่หน้าร้านนานกว่าครึ่งชั่วโมงในการเลือกการ์ดของเธอครั้งนี้
เราไปถึงบ้านของสาประมาณสี่โมงเย็น
มีเพื่อนๆที่มาก่อนหน้าเราประมาณ
3-4
คนกำลังชวนตระเตรียมสถานที่
เนื่องจากฝนที่ตกลงมาช่วงเช้า
พื้นสนามหญ้าหน้าบ้านจึงเจิ่งนองไปด้วยน้ำฝนทีขังเป็นหลุมเป็นบ่อ
โชคดีที่บ้านของสา
มีลานปูนหน้าบ้านที่กว้างและมีหลังคาปกคลุมเราจึงจัดงานวันเกิดของสาตรงบริเวณนั้น
เพื่อนผู้ชายจัดเตรียมพื้นที่สำหรับร้องคาราโอเกะกัน
มีเครื่องเสียงชุดใหญ่และทีวีจอยักษ์อยู่โซนด้านหน้า
ไม่นานประมาณหกโมงเย็นเพื่อนๆก็เริ่มทยอยกันมาจนครบ
ปาร์ตี้ก็เริ่มขึ้นทุกคนสนุกสนานเฮฮาและมีความสุขกัน
วันนี้เพื่อนๆมาในงานวันเกิดของสาค่อนข้างเยอะ
อาหารการกินรวมทั้งเครื่องดื่มจึงหมดไปโดยเร็ว
ยังไม่ทัน1ทุ่มของกินก็เริ่มหมดแล้ว
สาไหว้วานให้ฉันพาไปซื้อของมาเพิ่มเติม
เอื้อยทำท่าเหมือนอยากจะไปด้วยแต่ฉันขอให้เอื้อยรออยู่ที่นี่ดีกว่าเพราะฉันไม่อยากให้นั่งซ้อนกันไปสามคน
เอื้อยรับคำ
เธอนั่งคุยอยู่กับหญิงและเอกอยู่ที่นั่งตรงนั้นเหมือนเดิม
กว่าฉันและสาจะหาซื้อของกินมาเพิ่มเติมได้ก็กินเวลาไปเกือบหนึ่งชั่วโมงแล้ว
ดูนาฬิกาตอนที่มาถึงสองทุ่มกว่าแล้ว
ฉันช่วยสาเตรียมของกินเล็กๆน้อยอยู่ในครัว
ก่อนที่สาจะบอกให้มานั่งพักที่ลานหน้าบ้านที่จัดงานได้แล้ว
ตอนที่ฉันเดินกลับมานั่งที่นั่งเดิมของฉัน
ฉันสังเกตุเห็นเอื้อยคุยกับเอกและหญิงสนุกสนานมาก
เหมือนเธอจะพูดเสียงดังขึ้นด้วย
อาจเป็นเพราะเสียงเพลงคาราโอเกะในงานดังมาก
เอื้อยจึงต้องพยายามตะเบงเสียงคุยกันกับเอกและหญิง
เมื่อฉันนั่งลงด้านข้างเอื้อย
หล่อนรีบหันมายิ้มหวานใส่ทันที
“เจ้ย...มาแล้วหราาาา.....”
เอื้อยลากเสียงยาวพร้อมทั้งดึงแขนฉันเข้าไปหาเธอใกล้ๆ
รอยยิ้มของเอื้อยตอนนี้มันเป็นรอยยิ้มหวานแบบ
“แปลกๆ”
แปลกในที่นี้คือฉันไม่เคยเห็นเอื้อยยิ้มอย่างนี้มาก่อนเลย
ตาเธอหวานเยิ้ม
จนหนังตาของเธอจะเลื่อนลงปิดกันแล้ว
เธอเอียงหัวไปทางซ้ายทีขวาทีเหมือน..คนเมา...
...แอ๊ะ
ฉันเริ่มเอะใจหรือว่า
“เอื้อยเมา”
มองไปที่แก้วน้ำของเอื้อยมันก็เป็นสีดำๆ
จำได้ว่าเอื้อยกินน้ำโค๊กนี่นา
เออมันก็ยังเป็นน้ำโค้กนี่..หรือว่าฉันคิดมากไปเอง
..
“เจ้ยเอาน้ำอะไร”
หญิงถามฉันพลางขอแก้วน้ำที่น้ำแข็งเริ่มละลายของฉันไปเติม
“ขอเป็นสไปร์ทแล้วกันจ๊ะหญิง”
ฉันยื่นแก้วน้ำไปให้หญิงที่นั่งถัดไปจากเอื้อย
เอื้อยยังมองฉันตาเยิ้มอยู่
เธอมองตามมือฉันจนมาหยุดอยู่ที่หน้าของฉัน
“เป็นอะไร
ทำไมมองหน้าอย่างนั้น”ฉันทำหน้างงๆถามเอื้อย
“เปล่า
..มองคนสวยเฉยๆ”
เอื้อยตอบด้วยสายตากรุ้มกริ่ม
“บ้าแล้ว”
ฉันคิ้วขมวดเบ้ปากใส่เอื้อยก่อนจะตอบ
เพราะกลัวเอกกลับหญิงจะแซวเรื่องของฉันกับเอื้อยอีก
เอื้อยหัวเราะชอบใจ
รวมทั้งหญิงและเอกที่อยู่ข้างๆฉันด้วย
ฉันส่ายหน้านิดนึงก่อนจะหยิบน้ำที่เพื่อนยื่นให้เมื่อกี้มาดื่ม
เพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆฉันอีกฝั่งหนึ่งขอให้ฉันถ่ายรูปให้
ฉันจัดแจงถ่ายรูปให้เพื่อนๆพวกนั้น
รวมถึงเรียกสาให้เข้ามาถ่ายด้วยกันด้วย
ระหว่างที่กำลังสาละวนอยู่กับการถ่ายรูปเพื่อนๆอยู่นั้น
ฉันก็ได้ยินเสียงดนตรีเพลงหนึ่งดังขึ้น
มันเป็นเพลงที่คุ้นหูฉันมาก
ฉันหันไปมองที่จอทีวีที่เพื่อนๆร้องคาราโอเกะกันอยู่มันขึ้นชื่อเพลง
“ความลับ”
เพลงประกอบตอนนี้จ้า
เพื่ออรรธรสในการอ่าน
..ใครร้องอ่ะ..
ฉันคิดในขณะที่เพื่อนที่ถือไมค์เรียกหาว่าเพลงของใคร
ฉันก็เหลือบไปเห็นคนทางขวามือของฉันยกมือขึ้น
“เอื้อย”
นั่นเองเธอโบกไม่โบกมือบอกว่าเพลงเธอ
ตาก็ยังเยิ้มอยู่เหมือนเดิมก่อนจะรีบวิ่งออกไปทันก่อนที่เพลงจะขึ้น
ฉันละจากเพื่อนๆที่ให้ฉันถ่ายรูปให้หันมานั่งมองไปที่จอทีวีที่ตอนนี้เอื้อยยืนถือไมค์อยู่ข้างๆแล้ว
...มอง
มองเธอมาแสนนาน
ฉันไม่กล้าต้องคอยหลบตาเธอเสมอ
....กลัวสักวันหนึ่งถ้าเธอรู้ว่าฉัน
ปิดบังความจริงอะไรเอาไว้
...ความลับที่ฉันซ่อนไว้
ไม่เคยบอกใคร จนอดใจไม่ไว้
ฉันอ้าปากค้างทันทีที่ได้ยินเสียงของเอื้อย
ใช่มันเป็นเสียงของเอื้อยที่ขับร้องเพลงนี้
มันเพราะมาก
เพราะจนฉันคิดว่ามันคือเสียงของนักร้องจริงๆ
นี่ฉันไม่รู้มาก่อนเลยว่าเอื้อยจะร้องเพลงเพราะขนาดนี้
เพียงแค่เอื้อยร้องเพลงได้แค่ไม่กี่ท่อนเพื่อนๆพากันปรบมือเกรียวกราว
บ้างส่งเสียง
“โอ้ว..”ที่แสดงให้เห็นถึงความตะลึง
พวกเขาคงประหลาดใจไม่แพ้ฉันที่รู้ว่าเอื้อยเสียงเพราะขนาดนี้
ฉันที่กำลังตะลึงในเสียงร้องของเอื้อยอยู่นั้นนึกขึ้นได้ว่าน่าจะอัดคลิปวีดีโอของเอื้อยเอาไว้ก็ก้มหน้าก้มตาค้นกระเป๋าของฉันเพื่อหาโทรศัพท์มาไว้อัดเสียงของเอื้อย
ในขณะที่ฉันยังหามันไม่เจอนั้นฉันก็รู้สึกเหมือนมีมือใครสักคนมาสะกิดฉันจากด้านขวา
ฉันหันตามแรงสะกิดนั้นเป็นหญิงนั้นเอง
เธอขยับมานั่งใกล้ๆฉัน
แล้วพยักเพยิดหน้าไปทางด้านหน้าจอทีวีบอกให้ฉันหันขึ้นไปมอง
ภาพที่เห็นคือภาพที่ทุกคนหันมามองฉัน
พวกเขาทำสายตากรุ้มกริ่มและยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มายังฉันสร้างความรู้สึกประหลาดใจให้กับฉันเป็นอย่างมาก
แต่เมื่อเลื่อนสายตาไปทีจอทีวีที่มีเอื้อยยืนร้องเพลงอยู่ข้างๆความรู้สึกงงงวยเมื่อสักครู่นี้ก็เปลี่ยนเป็นความรู้สึกร้อนฉ่าแผ่ซ่านไปทั่วตัวของฉัน
ภาพที่ฉันเห็นตอนนี้คือเอื้อยหันหน้าและผายมือมาทางฉัน
เธอกำลังจ้องมาที่ฉัน
ไม่ผิดแน่ตอนนี้เธอหันมาที่ฉันจริงๆ
แม้ฉันหันไปสบตากับเอื้อยเข้าเต็มๆ
เธอก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหลบตาฉันเลย
ใบหน้าสวยๆ ดวงตาหวานเยิ้ม
ยิ้มสวยละมุน
ทุกอย่างมันเต็มไปด้วยความรู้สึกที่บ่งบอกถึงความรัก
ความห่วงหาอาทรที่เป็นพิเศษเหมือนเนื้อเพลงที่ท่อนที่เธอกำลังร้อง
.....ยิ่งฉันใกล้เธอ
เท่าไหร่ยิ่งอยากจะเผยใจ
เมื่อสบสายตาก็ยิ่งหวั่นไหว
มันยากเหลือเกิน
จะเก็บ..ซ่อนความลับเอาไว้
แล้วความลับในใจของเธอมีฉันอยู่บ้างไหม
โปรดบอกความในใจให้ฉันรู้ทีนะเธอ...
ฉันรู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้าของฉัน
รู้ตัวว่าตอนนี้คงหน้าแดงแล้ว
“ไหนแกว่าพวกแกไม่ได้เป็นแฟนกันวะ”
หญิงกระซิบถามฉัน
“แกว่าแกไม่ได้ชอบผู้หญิง
แต่ฉันดูจากตาอีกฝ่ายแล้วท่าจะไม่ใช่แล้วว่ะ”หญิงยังซุบซิบพร้อมยิ้มเล็กยิ้มน้อยให้ฉันทีและเอื้อยที
“แน้...
แกหน้าแดงด้วย”
หญิงร้องแซวเพราะแอบชำเรืองมาเห็นหน้าฉันตอนที่กำลังสบตากับเอื้อยอยู่
ฉันรีบก้มหน้าลง
นั่งม้วนปลายผมตัวเองไปมา
ใจนึงรู้สึกอายเพื่อนๆมาก
แต่อีกใจนึงก็กลัวเอื้อยจะเสียใจที่ฉันไม่สนใจฟังเอื้อยที่เหมือนว่ากำลังบอกเล่าความรู้สึกของเธอให้ฉันฟังอยู่เลย
..มันช่างเป็นความรู้สึกที่แสนจะสับสนขัดแย้งอยู่ในใจ..
เอื้อยนะเอื้อย..ไปเอาความกล้าอย่างนี้มาจากไหนกันเนี่ย
ฉันยังอายแทนเลย ...
ฉันได้แต่บ่นพึมพัมอยู่ในใจตอนที่แกล้งก้มหน้าลงมองแก้วน้ำจานชามที่อยู่ด้านหน้าของฉันแก้เขินไปเรื่อย
ก่อนที่สายตาจะไปหยุดลงที่แก้วน้ำสีดำของเอื้อย
แล้วก็นึกเอะใจในบางอย่างขึ้นมาได้
ฉันหยิบน้ำแก้วนั้นขึ้นมาดูใกล้ๆ
..เฮ้ย
นี่มันสีม่วงเข้มไม่ใช่สีดำนี่นา..
ในใจฉันคิดถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ชนิดหนึ่งขึ้นมาทันที
“..สปายด์”
ฉันคิดก่อนที่จะจิบน้ำในแก้วนั้นของเอื้อย
รสชาดเปรี้ยวๆฝาดๆคออย่างนี้
สปายด์จริงๆด้วย
“นี่มันสปายด์นี่..
ใครเอาให้เอื้อยกิน”
ฉันทำเสียงดุ
มือยื่นแก้วไปทางหญิงกับเอกที่ทำตาโตประหลาดใจในสิ่งที่ฉันถาม
หญิงเบ้ปากไปทางเอก
“คือเอื้อยเห็นฉันเทสปายด์ให้หญิงแล้วถามว่าน้ำอะไร
เธอเห็นว่ามันเป็นสีม่วงๆคงอยากกินด้วยฉันก็เลยให้ลองกิน
เอื้อยก็แบบว่าอึ๊กเดียวหมดแก้ว
แล้วก็กินมาตลอดงานอย่างที่เห็นนี่ละ”
เอกทำหน้าเสียก่อนตอบ
“อ้าว
แล้วเอื้อยก็เมาน่ะสิทีนี้”
ฉันทำเสียงสูงคิ้วขมวดให้เอก
ดุเอกว่าทำไม่ให้เอื้อยกินของแบบนี้
แล้วหันไปมองเอื้อยที่ยืนร้องเพลงตาเยิ้มมองมาที่ฉันเหมือนเดิม
...
ตายแล้ว
ฉันจะบอกแม่เค้ายังไงดีล่ะเนี่ย
พาลูกสาวเค้ามาเมาอย่างนี้..
**************************************
เสียงปรบมือ
เสียงผิวปากแซวของเพื่อนๆดังขึ้นหลังจากเพลงที่เอื้อยร้องจบลง
เอื้อยยิ้มร่าเดินกลับมานั่งที่นั่งเดิม
และเหมือนเดิมเธอยังคงหันมองหน้าฉันด้วยสายตาที่แสนจะหวานเยิ้ม
ฉันมองหน้าเอื้อยด้วยใบหน้าที่แสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจ
ก่อนจะหยิบแก้วน้ำของเอื้อยขึ้นมาให้เธอมอง
“กินนี่เข้าไปใช่มั้ย..รู้มั้ยว่ามันคืออะไร”ฉันทำเสียงดุใส่
เอื้อยยิ้มพยักหน้างึกๆเพื่อบอกให้รู้ว่าเธอรู้ว่าคืออะไร
“แล้วกินทำไมเนี่ย..ไม่เคยกิน..ไม่ใช่เหรอ”
ฉันยังจ้องด้วยสายตาดุๆไปที่เอื้อยไม่วางตา
แต่เอื้อยยังยิ้มหวานเหมือนเดิม
พร้อมทั้งยื่นหน้าหวาน
และรอยยิ้มกวนๆของเธอนั้นเข้ามายียวนเป็นการการบอกว่าเธอไม่กลัวฉันเลยซักนิด
“อยากกินอะ...
กินไม่ได้เหรอ”
“เดี๋ยวแม่ก็ว่าหรอก
จะให้เค้าบอกแม่ยังไงล่ะทีนี้”
พอฉันอ้างถึงแม่
เอื้อยก็หุบยิ้มทำหน้านิ่งเหมือนกำลังคิดอะไรซักอย่างทันที
“งั้นกลับบ้านกัน..ง่วงนอนแล้ว”
เอื้อยทำเสียงงัวเงียใบหน้าขาวๆซีดๆของเธอตอนนี้กลายเป็นสีแดงซะแล้ว
..เชอะ..ง่วงนอนเพราะเมาล่ะสิไม่ว่า....
ฉันแอบบ่นในใจก่อนที่จะก้มดูนาฬิกาในโทรศัพท์มือถือ
..ตายแล้วสี่ทุมครึ่งแล้ว...
คำพูดของแม่ของเอื้อยดังขึ้นมาในความคิดทันที
“อย่ากลับดึกนักนะลูกซักสองสามทุ่มก็พอ...”
..ตายแล้ว...ตอนนี้ก็สี่ทุ่มครึ่งแล้วกว่าจะขับรถไปถึงบ้านเค้าก็ห้าทุ่มกว่า
มิหนำซ้ำยังเอาลูกสาวเค้าไปส่งในสภาพเมาอย่างนี้อีก
โดนด่าแน่ๆฉัน ...
นึกสภาพตอนเอาเอื้อยไปส่งที่บ้านแล้วคงเป็นภาพที่ดูไม่จืดแน่ๆ
ฉันคิดไม่ตกเลยจริงๆ
แต่ยังไงก็ต้องไปส่งเธออยู่ดี
“ปะงั้นกลับบ้านกัน”ฉันดึงมือเอื้อยให้ลุกขึ้น
เราเดินไปบอกลาสาก่อนที่จะเดินผ่านเพื่อนๆที่มองพวกฉันด้วยสายตากรุ้มกริ่ม
“ส่งแฟนเหรอเจ้ย”
เสียงเพื่อนผู้ชายคนนึงดังขึ้นแล้วก็ตามด้วยเสียงผิวปากแซวตามมาอีกเป็นระยะ
ฉันแสนจะอายจูงมือเอื้อยที่ตอนนี้เดินโซเซเต็มทีให้รีบออกมาจากในบ้านสา
เราเดินผ่านสนามหญ้าหน้าบ้านไป
ด้วยความมืดเราจึงมองไม่ค่อยเห็นทางเดินในสนามหญ้าหน้าบ้านสาเท่าไหร่
ฉันนั้นพอจะเห็นลางๆว่ามันมีหลุมและมีน้ำขังอยู่หลายจุดจึงค่อยๆเดินเลี่ยงไปได้
แต่เอื้อยที่ตอนนี้ไม่สามารถควบคุมการเดินให้ตรงได้เท่าไหร่แล้ว
เธอเองคงไม่สามารถแยกได้เลยว่าตรงไหนคือทางเดิน
ตรงไหนคือหลุม
ฉันเดินนำเอื้อยได้ไม่ทันไรก็ได้ยินเสียงร้องโอ้ยของเอื้อยที่เดินตามหลังฉันดังขึ้น
คงเพราะเธอมัวก้มลงหาอะไรซักอย่างในกระเป๋าของเธอ
ฉันรีบวิ่งกลับไปดูเอื้อย
เธอล้มลงคลุกหลุมดินที่มีน้ำขังเข้าเต็มเปา
ฉันรีบประคองเอื้อยให้ลุกขึ้นนั่งและได้ยินเสียงร้องโอดโอยเบาๆออกมาจากปากของเธอ
สภาพเอื้อยตอนนี้เนื้อตัวมอมแมมเต็มไปด้วยโคลน
...ดูเถิดสาวสวยของโรงเรียนที่เวลาเดินแสนจะสง่างามจนเพื่อนชายทั้งโรงเรียนมองตาม
กลับต้องมาเดินโซซัดโซเซล้มหัวคะมำขี้โคลนหมดสภาพดาวโรงเรียนไปเลย...
ฉันมองดูสภาพเอื้อยที่ตอนนี้ที่ทำท่าเหมือนจะร้องไห้
มือสองข้างปัดขี้โคลนออกจากชุดสวยของเธอ
แถมโคลนเจ้ากรรมมันยังกระเด็นลามไปจนถึงใบหน้าแดงๆของเธอเข้าให้ด้วย
ฉันก้มลงหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดที่ใบหน้าของเอื้อยให้
เธอยิ้มและมองมาที่ฉันคงอยากจะขอบคุณที่ฉันพยามยามเช็ดหน้าให้
กลับบ้านสภาพนี้มีหวังโดนด่าทั้งสองคนแน่ๆ
ฉันคิดก่อนที่จะบอกให้เอื้อยโทรไปบอกแม่ว่าให้เธอค้างที่บ้านฉันดีกว่า
เพราะบ้านฉันอยู่ไม่ไกลจากบ้านสา
พรุ่งนี้ฉันจะไปส่งเธอเอง
เอื้อยยิ้มร่าเหมือนเห็นด้วยกับความคิดของฉัน
เธอรีบเก๊กเสียงโทรกลับไปบอกแม่ทันที
...เป็นอันว่าคืนนี้เธอต้องนอนอยู่กับฉันนะยายขี้เมา
....ฉันคิดในใจขณะที่ยังนั่งอยู่ข้างๆเอื้อยที่ยังไม่ลุกขึ้นจากจุดเกิดเหตุเลย
เอื้อยเงยหน้าจากการปัดเสื้อของเธอ
เหมือนคิดอะไรได้ซักอย่าง
ก่อนที่จะหันมายิ้มเยิ้มๆอีกรอบ
“เจ้ย..เค้ามีอะไรจะให้..”
เอื้อยพูดเสียงหวานๆยานๆแล้วก็ก้มลงค้นของให้กระเป๋าของเธอสักครู่
แล้วเธอก็ยื่นถุงผ้ากัมมะหยี่สีน้ำเงินที่มีเชือกรัดไว้ตรงปากถุงใบเล็กๆมาให้ฉัน
….คงเป็นสิ่งนี้สินะที่เธอก้มหาแล้วล้มคะมำคลุกขี้ตมลงไปเมื่อครู่...
“เค้าเห็นอยู่ร้านกิฟท์ช๊อปแล้วรู้สึกว่ามันเหมาะกับเจ้ยเลยซื้อมาให้นะ..”
ฉันรับเอาถุงผ้านั้นมา
“เปิดดูสิ”เอื้อยรบเร้าบอกให้ฉันเปิดถุงดู
ฉันเปิดปากถุงผ้านั้นออกแล้วหยิบของที่อยู่ในนั้นออกมา
มันเป็นสร้อยเงินเส้นเล็กๆที่มีจี้เป็นรูปปลาโลมา
ตรงตาของปลาโลมาเป็นพลอยสีน้ำเงิน
“สวยจัง..”ฉันอุทานออกมาเบาๆเมื่อเห็นมัน
“เค้าอยากให้เจ้ยใส่ไว้ตลอดนะ”
เอื้อยพูดขณะที่ตาของเราเผลอมาประสานกัน
ฉันพยักหน้ารับ
“เค้าใส่ให้มั้ย”เอื้อยเอ่ยถามฉันตอนที่เธอเห็นฉันกำลังทำท่าจะแกะตะขอออก
“จะไหวเหร้อ...”
ฉันถามด้วยน้ำเสียงติดตลกนิดนึง
เพราะดูจากท่าทางเธอแล้วไม่น่ารอด
เอื้อยยิ้มและพยักหน้าหยิบเอาสร้อยมาปลดตะขอออก
เธอคงอยากจะเป็นคนสวมมันให้กับฉันเอง
ฉันรวบผมทั้งหมดมาที่ไหล่ทางซ้ายเพื่อเปิดคอให้เอื้อยได้เห็นชัดเจน
เอื้อยบรรจงสวมสร้อยคอให้ฉันแม้เธอจะเมาแต่ก็ใช้เวลาไม่นานในการสวมสร้อยคอ
...แสดงว่าเธอตั้งใจจริงๆ...
ฉันคิดก่อนที่จะเลื่อนสร้อยคอให้จี้ขยับมาอยู่ตรงกลาง
“ขอบใจนะ”
ฉันพูดพร้อมๆหันหน้ากลับมามองเอื้อย
ใบหน้าสวยของเอื้อยที่หวานอยู่แล้วตอนนี้ยังเพิ่มความหวานไปด้วยรอยยิ้มของเธออีก
มันส่งผลให้สายตาผู้ที่ถูกมองเกือบจะละลายอยู่ตรงนั้น
“เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้มั้ย...”
เอื้อยถามเสียงหวานๆยานๆเช่นเคย
“อะไร..”
ฉันถามด้วยน้ำเสียงงงๆแต่ยังไม่ทันที่ฉันจะถามต่อว่าเธอต้องการอะไร
ริมฝีปากนุ่มๆของเอื้อยจะบรรจงหอมลงมาที่แก้มของฉัน
ก่อนที่เธอจะถอนริมฝีปากของเธอออกมาทำตาแป๋วๆนั่งอยู่ข้างๆฉัน
“โอเคมั้ย”
เสียงใสๆของเอื้อยถามฉันซึ่งตอนนี้มันกำลังร้อนผ่าวไปทั้งหน้า
...จะให้ฉันตอบโอเคหรือไงล่ะยัยบ้า...มาหอมกันซึ่งๆหน้าอย่างนี้
ใครเห็นเข้าจะทำยังไง...ฉันคิดตอนที่เอามือมาจับแก้มตัวเองแล้วทำตาโตเพราะไม่ทันตั้งตัวที่อยู่ๆก็โดนหอมแก้มเข้าเต็มเปาอย่างนี้
“มะ..เมาหนักแล้วนะเนี่ย..รีบกลับบ้านเถอะ”
ฉันแสร้งทำเป็นเปลี่ยนเรื่อง
แล้วพยุงตัวของเอื้อยให้ลุกขึ้นเดินไปที่รถพร้อมๆกัน
เอื้อยนั่งซ้อนท้ายฉัน
เธอโอบกอดเอวของฉันไว้แน่นมาก
แถมหัวของเธอก็ยังซบลงมาที่แผ่นหลังของฉันตลอดเวลาที่ขับรถกลับบ้าน
ใจนึงก็โล่งอกที่เอื้อยกอดไว้เพราะกลัวเธอจะเมามากเสียจนตกรถ
แต่อีกใจก็กลัวว่าจะเป็นเรื่องเป็นราวให้คนที่เห็นภาพนี้คิดเลยเถิดไปอีก
แล้วจู่ๆความคิดของฉันแล่นแปร๊บขึ้นมาเพราะเผลอไปนึกถึงภาพตอนที่ฉันโดนเอื้อยหอมแก้ม
รวมถึงภาพที่เอื้อยบรรจงจูบริมฝีปากฉันที่บ้านเธอเมื่อวันนั้นด้วย
ใบหน้าฉันร้อนผ่าวขึ้นทันที....ตายแล้ว....เอามานอนด้วยแบบนี้จะรอดมั้ยนี่ฉัน
ฉันสะบัดหน้าตัวเองแรงๆเพื่อปลุกให้ตัวเองตื่นจากความคิดบ้าๆ
...บ้าใครเค้าจะมาทำอะไรเธอ
เอื้อยเค้าออกจะเรียบร้อย..
ก่อนที่จะรวบรวมสมาธิขับรถไปให้ถึงปลายทางโดยเร็ว
เมื่อกลับถึงห้องฉันลากเอื้อยที่เดินโซซัดโซเซให้เข้าไปอาบน้ำล้างเนื้อตัวจากคราบโคลนตมที่เธอไปล้มคลุกมา
เอื้อยกระโจมอกผ้าเช็ดตัวออกมาจากห้องน้ำ
เธอยังคงเดินโซซัดโซเซอยู่
แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อเอื้อยเดินเขวไปทางเก้าอี้ของโต๊ะทำการบ้านที่ติดกับห้องน้ำแล้วชายผ้าเช็ดตัวดันไปเกี่ยวกับเหล็กที่ยื่นออกมาของเก้าอี้
ทำให้เหล็กนั้นรั้งชายผ้าเช็ดตัวหลุดออกจากตัวของเอื้อย
“ว้าย..”
เสียงเอื้อยร้องอุทานเพราะตกใจออกมาส่งผลให้ฉันรีบหันไปดูตามเสียง
ภาพที่เห็นคือ
ผ้าเช็ดตัวหลุดลงมาอยู่ท่อนล่างของเอื้อย
เพราะเธอคว้ามันไว้ได้ทัน
แต่ท่อนบนของเธอนั้นเปลือยให้เห็นอกอวบอิ่มของเธอ
ฉันอึ้งในภาพที่เห็นทำอะไรไม่ถูก
ทั้งตะลึงและตกใจ
จนเอื้อยต้องบอกให้ฉันหันหนีเธอไปทางอื่น
เมื่อเอื้อยจัดการกับตัวเองเสร็จฉันให้เอื้อยเปลี่ยนใส่ชุดนอนที่เป็นกางเกงยืด
และเสื้อลายหมีของฉัน
ไม่นานเธอก็ขึ้นไปนอนบนเตียงนอนพร้อมกับเสียงร้องโอดครวญ
“ทำไมนอนลงแล้วมันเวียนหัวจัง...
เมื่อกี้ยังดีๆอยู่เลย”
เธอร้องพลางพลิกตัวไปทางซ้ายทีขวาที
มือของเธอขยำผมของตัวเองคงเพราะเธอเวียนหัวมากๆ
ฉันถอนหายใจยืนดูอาการเอื้อย
ยังไม่กล้าเดินจากไปไหนไกล
ซักพักใหญ่ๆเอื้อยก็เงียบเสียง
เธอคงหลับแล้ว ไปอาบน้ำก่อนดีกว่า
ฉันหยิบเอาผ้าห่มมาคลุมตัวให้เธอก่อนที่จะหยิบเอาชุดสวยที่เปื้อนโคลนของเอื้อยไปซักและตากให้ที่ระเบียงห้อง
อาบน้ำเสร็จฉันก็ไปค้นหาหมอนข้าง
ในตู้เก็บของมากั้นที่นอนระหว่างฉันกับเอื้อยไว้
...ไม่ได้หรอกอย่างน้อยก็ต้องมีอาณาเขต....
ฉันคิดตอนที่ดันหมอนข้างให้ไปติดกับตัวเอื้อย
ตอนนี้คนเมาหลับแล้วใบหน้าเธอแดงระเรื่อด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์
ฉันมองดูใบหน้าของเอื้อยที่ตอนนี้มีผมเผ้าที่แสนจะยุ่งเหยิงของเธอปกคลุมอยู่
คงเป็นเพราะเธอขยุ้มหัวตัวเองตอนเวียนหัว
ฉันใช้มือปัดผมออกจากใบหน้าของเอื้อยเบาๆ
เป็นครั้งแรกที่เห็นเอื้อยตอนหลับ
ขนตางอนๆที่เคยเห็นตอนที่เอื้อยลืมตาตอนนี้มันวางสงบเรียงยาวเป็นแพรสวย
ตัดกับใบหน้าแดงระเรื่อของคนนอน
ฉันมองปากรูปกระจับสีแดงที่เมื่อตอนค่ำมาแอบหอมแก้มฉันแล้วก็อดหมั่นไส้ไม่ได้
...ชอบมาหอมตอนทีเผลอนะ...ฉันคิดก่อนที่จะโน้มตัวลงไปหอมแก้มของเอื้อยบ้าง
“ขอบคุณสำหรับสร้อยนะ”
ฉันกระซิบที่ข้างๆหูเอื้อยเบาๆ
แล้วจู่ๆเอื้อยก็ลืมตางัวเงียขึ้นมาสบตากับฉัน
เธอพูดด้วยท่าทางสลึมสลือของเธอว่า
“เจ้ย..เค้ารักเจ้ยนะ...
เจ้ยรักเค้ามั้ย”
แม้ฉันจะตกใจที่เห็นว่าเอื้อยไม่ได้หลับ
แต่ฉันก็พยักหน้าและตอบเธอไปว่า
“รักสิ..รักมากด้วย”
ฉันก้มลงมองหน้าเอื้อยพลางลูบผมให้เอื้อยเบาๆ
มันเหมือนความฝันที่ฉันได้ใช้คำว่า
“รัก” กับคนที่แสนจะเพรียบพร้อมอย่างนี้
ไม่แน่ใจว่าเจ้าของคำถามถามเพื่อเอาคำตอบหรือว่าถามด้วยความเมากันแน่
ยังไม่ทันได้ถามต่อ
เอื้อยก็หลับตาพริ้มเธอยิ้มที่มุมปากนิดนึงก่อนที่จะนอนนิ่งสงบเหมือนก่อนหน้านี้
ปล่อยให้ฉันยิ้มค้างเติ่งในคำว่า
“รัก”ที่เธอบอกมาเมื่อครู่นี้
ฉันนั่งมองคนหลับนอนยิ้มอย่างมีความสุข
ทุกอย่างกลับเข้าสู่ความเงียบเหมือนเดิม
แม้ฉันจะรู้สึกอายในเวลาที่อยู่ต่อหน้าเพื่อนๆแต่เมื่ออยู่สองต่อสองกับเอื้อยแล้วความรู้สึกกับเปลี่ยนไปคนละอย่าง
ฉันอยากจะถาม ฉันอยากจะมองหน้า
อยากจะรู้ว่าที่เอื้อยทำอย่างนั้นอย่างนี้ตลอดเวลาที่ผ่านมาคืออะไร
อยากปลุกคนหลับให้ลุกขึ้นมาคุยด้วย
แต่ก็ดูเหมือนไม่มีประโยชน์เพราะตอนนี้เธอกำลังหลับและคงไม่ได้หลับธรรมดาแต่กำลัง
“เมา” ฉันก้มลงหอมหน้าผากคนหลับนิดนึง
“ราตรีสวัสดิ์นะ”
ก่อนที่จะเดินไปปิดไฟและทิ้งตัวลงข้างๆเอื้อย
รู้สึกแปลกๆที่มีคนมานอนด้วยข้างๆ
โดยเฉพาะคนที่ชอบทำนั่นทำนี่ให้ฉันใจสั่นด้วยแล้ว
ยิ่งพอนึกถึงภาพตอนที่ผ้าเช็ดตัวของเอื้อยหลุดออกจากส่วนบนแล้วมันยิ่งทำให้ฉันหว้าวุ่นใจ
นึกโกรธให้ตัวเองว่าเป็นโรคจิตที่เฝ้าแต่นึกถึงภาพหน้าอกผู้หญิงด้วยกันอย่างนี้ตลอดอยู่ได้
ตอนนี้หัวใจของฉันตอนนี้ยิ่งเต้นไม่เป็นจังหวะจนฉันดึงผ้าห่มมาปิดหน้าตัวเองไว้ก่อนจะถอนหายใจ
บอกกับตัวเองว่า “นอนได้แล้วเจ้ยๆ...”
ไม่รู้เหมือนกันว่าเผลอหลับไปตอนไหน
แต่สะดุ้งตื่นตอนที่มีเสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น
เป็นนาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้ตอน6โมงทุกวัน
ฉันพยายามยกตัวเองขึ้นแต่ก็เหมือนมีน้ำหนักของอะไรซักอย่างดึงตัวฉันไว้
ฉันก้มมองดูตัวเองเห็นเป็นแขนขาวๆของเอื้อยโอบกอดที่หน้าอกของฉันไว้
เธอกอดฉันแน่นมาก
รู้สึกได้ถึงความปวดเหมื่อยที่ได้จากการกอดรัดของแขนคู่นั้นเลยทีเดียว
ฉันพยายามแกะมือทั้งสองข้างของเอื้อยออกอย่างเบาๆ
ดูเหมือนเธอยังไม่รู้สึกตัว
ลองเขย่าแขนแรงๆก็ยังไม่ตื่น
...ดีแล้วล่ะจะได้ไม่เกิดอาการเขิน
เก้ๆกังๆกันอีก...
ฉันคิดก่อนที่จะลุกจากที่นอนแล้วหยิบเอาผ้าห่มคลุมไว้ที่ตัวของเอื้อยเหมือนเดิม
ฉันลงไปช่วยแม่ทำงานบ้านเล็กๆน้อยๆและเตรียมอาหาร
ฉันบอกเล่าถึงเรื่องราวที่ฉันกับเอื้อยกลับบ้านค่ำแต่ไม่ได้บอกว่าเอื้อยเมาเพราะกลัวโอนแม่เอ็ด
ระหว่างที่ฉันทำงานอยู่นั้นเสียงข้อความเตือนในเฟสบุ๊คดังขึ้นฉันเปิดดูและพบว่ามันเป็นคลิปวีดีโอที่เอื้อยร้องเพลงเมื่อคืน
มีเพื่อนอัพลง
Facebookและแท๊กชื่อฉันลงไปด้วย
ฉันอ่านดูชื่อคลิปแล้วนึกขำเบาๆ
“เปิดตัวคู่จิ้นคู่ใหม่”
ไม่รู้ว่าเอื้อยเห็นหรือยัง
เดี๋ยวตอนขึ้นไปปลุกจะเอาให้ดูอีกที
ประมาณโมงนึงฉันเดินขึ้นไปบนห้องเพราะเห็นว่าสายแล้วเผื่อเอื้อยจะหิวข้าว
ต้องลองไปดูดีกว่าว่าเธอตื่นหรือยัง
เปิดประตูเข้าไปเจอเอื้อยนั่งอยู่ที่ขอบเตียงเธอยิ้มหน้าแดงๆอยู่ตรงนั้น
“ตื่นแล้วเหรอ..อาบน้ำยัง”
ฉันถามเอื้อยที่ยังนั่งหน้าแดงอยู่ตรงนั้นเหมือนเดิม
“อาบแล้ว...”เสียงเบาๆออกมาจากปากคนหน้าแดงที่นั่งอยู่ที่ขอบเตียง
พอฉันมองตาเธอก็ก้มหน้าลงทำหน้าประหม่าเล็กน้อย
..เฮอะๆเอื้อยคนเดิมกลับมาแล้วสินะ..
ฉันยิ้มเดินลงไปนั่งข้างๆ
“นั่งยิ้มคนเดียวเป็นอะไรหรือเปล่า”ฉันยิ้มทำหน้าเจ้าเล่ห์ก่อนจะก้มหน้าลงมองคนที่ก้มหน้าอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว
เอื้อยตกใจนิดนึง
ก่อนจะเงยหน้าขึ้น “ปะ
เปล่าไม่มีอะไรสักหน่อย
แค่นึกถึงความฝันเมื่อคืนแล้วก็อารมณ์ดีเท่านั้นเอง”
เธอทั้งพูดทั้งยิ้ม
“ฝัน??..ฝันเรื่องอะไรเหรอ”
ฉันถามเสียงสูงด้วยความสงสัยว่าเมื่อคืนคนเมานอนหลับปางตายอย่างเอื้อยจะฝันอะไรได้
“ไม่บอก..”เอื้อยยิ้มหน้าแดงแล้วก็เอามือมาจับที่แก้มทั้งสองข้างของตัวเอง
ฉันกระเถิบเข้าไปนั่งใกล้ๆเอื้อย
แล้วยื่นหน้าเข้าไปข้างๆใบหน้าของหล่อน
ก่อนจะส่งยิ้มหวานๆแฝงด้วยความนัยบางอย่าง
“ฝันเหรอ..ฝันเห็นเค้าใช่หรือเปล่า...”
คนโดนจ้องจ้องตาตอบแบบไม่กระพริบหน้าที่แดงอยู่แล้วกลายเป็นแดงยิ่งกว่าเดิม
เธอทำตาโตประหลาดใจในคำถามของฉัน
“ทะ..ทำไมรู้..”เอื้อยถามคืนด้วยเสียงอายๆ
“ไม่บอก..”
ฉันยิ้มยียวนกวนประสาทเอื้อยกลับไปบ้าง
“เมื่อคืนเอื้อยร้องเพลงเพราะมากเลยนะ
ร้องให้ใครเป็นพิเศษหรือเปล่า”
ฉันพูดขณะที่กำลังหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดคลิปที่เพื่อนอัดที่เอื้อยร้องเพลงมาส่งให้เอื้อยดู
“ยังจะถามอีก..”
เอื้อยมองค้อนนิดนึงก่อนจะหยิบเอาโทรศัพท์มาดู
“อ้าว..ก็ไหนบอกว่าไม่ชอบผู้หญิงด้วยกันไง..ตอนนั้น”
“ก็ตอนนั้น..แต่ตอนนี้ชอบแล้ว..”
เอื้อยรีบเถียงคืน
“ชอบผู้หญิงจริงๆเหรอ
เค้าจะเชื่อได้ยังไง”ฉันถามด้วยน้ำเสียงยียวนแกมหยอกเย้า
“แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ
ถึงจะเชื่อ” เอื้อยก็ทำยียวนคืนบ้าง
พูดพลางยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนเกือบจะชนฉัน
ฉันมองหน้าที่แดงกร่ำของเอื้อยแล้วอยู่ๆภาพของเธอตอนเปลือยหน้าอกก็โผล่ขึ้นมาอีก
ฉันสะดุ้งเหมือนสำนึกผิดชอบชั่วดีกำลังต่อกรกับความอยากรู้อยากเห็นของฉัน
จนต้องสะบัดหน้าหนีเพื่อให้ตื่นจากความคิดบ้าๆนั้น
แต่เอื้อยก็ยังยื่นหน้าสวยๆของเธอเข้ามาใกล้ฉันมากขึ้นกว่าเดิมโดยหารู้ไม่ว่าเธอกำลังปลุกบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ในสัญชาตญาณของฉันขึ้นมา
ฉันมองตามดวงตางามๆของเอื้อย
แล้วเหมือนโดนมนต์สะกด
กลิ่นหอมจางๆของผมเอื้อยลอยตามลมมาสะกิดจมูกฉัน
มันทำให้ฉันอยากดมดอมกลิ่นหอมที่หอมกว่าดอกไม้ที่ฉันเคยได้กลิ่นมานักต่อนัก