Girlfriend
Chapter 9
Chapter 9
เมื่อออกมาจากห้องเรียนฉันรีบวิ่งไปที่ห้องพยาบาลที่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ในห้องเลย
ฉันหมดแรงนั่งพักอยู่บนเตียงพยาบาลในใจนึกอายที่อยู่ๆก็ปล่อยให้ตัวเองน้ำตาซึมต่อหน้าเอื้อยอย่างนั้น
ป่านนี้ไม่รู้ว่าเพื่อนในห้องจะพูดกันว่าอย่างไรบ้าง
แต่ช่างเถอะใครจะพูดอะไรอย่างไรฉันก็ไม่สนใจแล้วตอนนี้
อารมณ์ฉันตอนนี้มันดูแปรปรวนเหลือเกิน
ภายในวันๆเดียวฉันสามารถหัวเราะ
โมโห ร้องไห้
ได้โดยที่ฉันก็ยังไม่เข้าใจในความรู้สึกอย่างนั้นเลยเสียด้วยซ้ำว่ามันเกิดจากอะไร
...นี่หรือเปล่านะที่เค้าเรียกกันว่าความรัก...
แต่ก่อนฉันเคยมองเพื่อนๆที่วันๆเฝ้าแต่พร่ำเพ้อถึงคนรักว่า
“บ้าและไร้สาระ”
แต่ดูเถิดตอนนี้ฉันปล่อยให้ความไร้สาระเหล่านั้นครอบงำฉันเสียแล้ว
และเป็นความไร้สาระที่ไม่สามารถจะพร่ำเพ้อให้ใครๆฟังเสียด้วยสิ
มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถรับรู้และเข้าใจถึงความรู้สึกบ้าๆบอๆเหล่านั้นได้
แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าเค้าจะรู้ตัวหรือเปล่าว่าทำให้ฉันหงุดหงิดหงุ่นหง่าน
ทั้งอ่อนไหวและน้อยใจในเวลาเดียวกันได้ขนาดนี้
ฉันนั่งมองซ้ายมองขวาในห้องตอนนี้ว่างเปล่าไม่มีใครสักคน
ได้ยินเพียงแค่เสียงลากเก้าอี้จากห้องชั้นบนเท่านั้น
ความเงียบทำให้ฉันเริ่มคิดอะไรบางอย่างได้
ในเมื่อตัวฉันยังไม่สามารถจะคบเค้าออกหน้าออกตาอย่างนั้นได้
แล้วฉันจะไปมีสิทธิ์หึงหวงอะไรเค้าได้
เอื้อยก็อาจจะคิดอย่างนั้นก็ได้
ดีไม่ดีเธอคงจะอยากแก้เผ็ดฉัน
แกล้งทำดีกับอันเพื่อให้ฉันรู้สึกเจ็บใจ
ซึ่งมันก็ได้ผลเพราะตอนนี้ฉันก็กำลังคิดมากจนไม่มีสมาธิจะทำอะไรอีกแล้ว
ยิ่งนึกถึงภาพตอนที่เอื้อยจับมือกับอันแล้วยิ่งโมโหยิ่งน้อยใจยิ่งเสียใจ
จนตอนนี้น้ำตาเริ่มซึมออกมาอีกครั้งแล้ว
“เจ้ย..เป็นอะไรทำไมอยู่ๆร้องไห้”
เสียงที่ฟังดูคุ้นหูดังมาจากทางข้างหลังฉัน
ฉันรีบหันไปตามเสียง
เอื้อยนั่นเองเธอคงขออนุญาติอาจารย์ลงมาดูฉันด้วยความเป็นห่วง
ฉันไม่ตอบเพราะไม่รู้ว่าจะตอบเอื้อยอย่างไรดีเหมือนกัน
ได้แต่ก้มหน้าแอบเช็ดน้ำตาที่ซึมออกมาเมื่อกี้
แล้วหันไปมองหน้าของเอื้อยด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความน้อยใจ
ความสงสัยแต่พูดอะไรออกไปไม่ได้
“นอนพักอยู่นี่ก่อนมั้ย
ถ้าโอเคแล้วค่อยขึ้นห้องไปเรียนต่อ
เดี๋ยวเค้าจะบอกอาจารย์ให้”
เอื้อยพูดพลางเดินมาหาฉันมานั่งที่เตียงนอนคนไข้
ฉันจับแขนของเอื้อยไว้เหมือนอยากบอกไม่ให้เอื้อยไปไหน
เอื้อยหันมามองหน้าฉันนิดนึง
ก่อนเธอจะพูดบางอย่างออกมา
“ถ้าเค้าอยู่กับเจ้ยในห้องนี้แค่สองต่อสองตลอดเวลา
คนอื่นจะไม่สงสัยเราเหรอ”
เอื้อยมองหน้าฉันเหมือนเธอพยายามจะทำให้ฉันรู้สึกผิดในเรื่องที่ฉันบอกให้เธอพยายามปิดบังเพื่อนเมื่อตอนเที่ยง
ฉันเจ็บจี๊ดเมื่อได้ยินประโยคที่เอื้อยพูด
ไม่รู้จะทำอย่างไรได้แต่ดึงเอื้อยไว้
แต่เอื้อยพยายามแกะมือของฉันออก
“เดี๋ยวตอนเย็นมารับนะ
กลับบ้านค่อยคุยกันก็ได้
เอาที่เจ้ยสบายใจ
เค้าตามใจเจ้ยทุกอย่างนะ”
“ยังไม่หายโกรธเค้าเหรอ
มันผิดมากเหรอเรื่องที่เค้าไม่อยากให้ใครรู้เรื่องของเรา”
ฉันถามด้วยเสียงที่อ่อนแรง
“มันผิดมากเหรอที่เรารับรู้กันแค่สองคนว่ารักกัน
ทำไมเอื้อยต้องประชดเค้าด้วย”
ฉันดึงตัวเอื้อยเข้ามาใกล้ๆ
เอื้อยคิ้วขมวดพยายามแกะมือฉันออก
“ใครประชด
ถามตัวเองเถอะเจ้ย
จะเอายังไงกันแน่เค้าตามใจขนาดนี้แล้วยังจะเอาอะไรอีก”
ฉันไม่ยอมปล่อยกลับดึงตัวของเอื้อยเข้ามาชิดกับตัวเองมากขึ้น
เอื้อยเซเข้ามาใกล้ฉัน
ตอนนี้ฉันนึกอยากจะจูบคนดื้อขึ้นมาซะจริง
ถ้าไม่ติดว่าฉันได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาใกล้ๆทางเดินของห้องพยาบาลซะก่อน
เอื้อยผลักฉันออกแล้วรีบลุกขึ้นยืนปล่อยให้ฉันนั่งอึ้งอยู่บนเตียงคนไข้
เป็นเสียงของคุณครูนงลักษณ์อาจารย์ที่ทำหน้าที่พยาบาลนักเรียนที่เจ็บป่วย
เอื้อยกับฉันรีบยกมือไหว้คุณครูทันที
คุณครูรีบเดินเข้ามาถามอาการฉัน
เอื้อยรีบออกตัวแทนฉันว่าฉันไม่สบายปวดหัวมาก
อาจจะต้องขอนอนพักอยู่ในห้องพยาบาลไปจนถึงตอนเลิกเรียน
คุณครูนงลักษณ์หันหน้ามาถามฉัน
ฉันได้แต่เออออไปตามที่เอื้อยพูด
คุณครูจัดยาแก้ปวดให้ฉันกินส่วนเอื้อยก็ขอตัวกลับไปที่ห้องเรียนทิ้งให้ฉันนอนน้ำตาซึมในห้องพยาบาลอยู่คนเดียว
..เอื้อยนะเอื้อย..
ฉันได้แต่บ่นพึมพัมนอนไม่หลับอยู่บนเตียงตลอดช่วงบ่าย
เสียงออดเลิกเรียนดังขึ้น
ฉันที่ได้แต่คิดถึงแต่เรื่องที่เอื้อยจับไม้จับมือกับเอื้อยด้วยความหึงแล้วก็อดจะหายโกรธไม่ได้
ใจอยากเรียกร้องความสนใจจากเอื้อยไม่อยากให้เอื้อยสนใจอันเลย
ได้แต่นึกว่าจะทำอย่างไรดี
..ดีล่ะ
จะนอนซมอยู่ในห้องพยาบาลไม่ยอมไปไหนเลยคอยดูจะเป็นห่วงเราบ้างมั้ย..
ฉันดึงผ้าห่มมาคลุมตัวแสร้งทำเป็นหลับเพื่อรอให้เอื้อยมารับตามที่เอื้อยบอก
..ผ่านไปสิบห้านาที...หลังจากที่ออดเลิกเรียนดัง
เอื้อยก็ยังไม่มา
ฉันต้องคอยผลุดลุกผลุดนั่งเฝ้ามองต้นทางตลอด
ทั้งกลัวอาจารย์หรือไม่ก็ภารโรงจะมาปิดห้องก่อน
ใจก็นึกโมโหที่เอื้อยมาช้าดูไม่สนใจไม่เป็นห่วงเราเลย
และแล้วฉันก็ได้ยินเสียงคนกำลังเดินเข้ามาใกล้ที่ห้องพยาบาล
ฟังดูเสียงดังมากเหมือน...
..เหมือนมากันหลายคน..
ฉันเอาผ้าห่มคลุมตัวและหน้าเอาไว้แสร้งทำเป็นหลับแต่แอบลืมตาผ่านทางผ้าห่มเพื่อที่จะมองว่าใครเดินเข้ามาที่ห้อง
แต่เห็นสิ่งที่ทำให้ปวดใจยิ่งกว่าเดิม
เอื้อยเดินถือกระเป๋าของฉันมาโดยที่มีอันถือกระเป๋าของเอื้อยมาส่งให้ที่หน้าห้อง
โอ้ย..ความรู้สึกเจ็บนี้มันเสียดเข้ามาที่ขั้วหัวใจของฉันอีกแล้ว
แม้ฉันจะแสร้งทำเป็นหลับตาแต่น้ำตาก็ซึมออกมาตามล่องตาของฉันเหมือนเดิม
...เจ็บเหลือเกิน..ฉันอยากจะลุกขึ้นแล้วเดินไปดึงเอื้อยเข้ามากอดและหอมให้อันเห็นเหลือเกินว่าผู้หญิงคนนี้เป็น
“ของฉัน”
แต่...ถ้าฉันทำอย่างนั้นแล้วปัญหาหลายๆอย่างต้องตามมาอีกแน่ๆ
ฉันกลัว...กลัวเหลือเกินว่าฉันกับเอื้อยจะไม่ได้อยู่ใกล้ๆกันอีกต่อไป..
ฉันได้แต่กำหมัดเอาไว้ใต้ผ้าห่มและแอบฟังว่าทั้งสองคนจะคุยอะไรกัน
“แน่ใจนะว่าไม่ให้เราไปส่ง
กลับกันเองได้เหรอ”
เสียงอันถามเอื้อย
“ได้สิ..เดี๋ยวเราขับพาเจ้ยกลับบ้านเองแค่นี้ไม่มีปัญหา
ขอบใจอันมากนะพรุ่งนี้เจอกัน”เสียงเอื้อยร่ำลาอัน
จากนั้นก็เป็นเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ๆที่เตียงของฉัน
เอื้อยค่อยๆดึงผ้าห่มที่คลุมฉันออกมาเพื่อปลุกฉัน
แต่เธอต้องประหลาดใจทันทีที่เปิดผ้าห่มออกมาแล้วเห็นฉันหน้านิ่วคิ้วขมวดน้ำตาซึมจ้องมองเอื้อยค้างอยู่
“อ้าว
ไม่ได้หลับเหรอ” เสียงเอื้อยถามแบบงงๆ
ฉันไม่ตอบ
แต่ลุกขึ้นนั่งพับผ้าห่มเก็บไว้ที่ปลายเตียงก่อนจะหยิบเอากระเป๋าของฉันที่อยู่ในมือเอื้อยมาถือเอง
“หน้าบึ้งทำไม
ยังไม่หายปวดหัวเหรอ”
เอื้อยรีบลุกขึ้นยืนเดินตามฉันที่พยายามสาวเท้าเดินออกมาจากห้องพยาบาล
แล้วไปหยุดอยู่ที่หน้าระเบียงที่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่แล้ว
“หยุดก่อนสิ
เป็นอะไรไปนี่”
เอื้อยรีบเดินมาดึงแขนฉันไว้
“รีบเดินจ้ำอ้าวอย่างนี้
ไม่ได้ปวดหัวจริงๆใช่มั้ย
โกหกอาจารย์เหรอ”
ฉันเหล่ตามองหน้าเอื้อยนิดนึง
“ปวดจริง
แต่ตอนนี้หายแล้วอยากกลับบ้าน
จะรีบกลับมันค่ำแล้วไม่มีใครสนใจมาดูแลกลับบ้านไปนอนพักผ่อนเองยังดีกว่า”ฉันตอบด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูแล้วเหมือนตัดพ้อต่อว่าคนที่ยืนต่อหน้าฉันอยู่ตอนนี้
“อ๋อ..นี่งอนว่ามารับช้าเหรอ
เค้าเก็บกระเป๋าทำนั่นทำนี่ให้เจ้ยอยู่นะ
รู้มั้ยว่ากองการบ้านที่เจ้ยต้องอุ้มไปส่งที่ห้องอาจารย์ทุกวันวันนี้ก็เป็นเค้านะที่ต้องอุ้มไปส่งให้”
เอื้อยทำเสียงตัดพ้อต่อว่าบ้าง
ฉันยืนนิ่งฟังเอื้อยพูด
“ไม่ขอบคุณกันแล้วยังงอนอีก
หมายความว่าไงนี่” เอื้อยว่า
ฉันเบ้ปากให้เอื้อยนิดนึงก่อนจะพูดสิ่งที่ทำให้อารมณ์ฉันเสียอยู่ตอนนี้
“แล้วทำไมต้องมีคนมาส่งด้วย
มาคนเดียวไม่ได้หรือไง
จำทางมาห้องพยาบาลไม่ได้ใช่ป่ะ”
“นั่นไง
ทำไมรู้ว่าเค้ามีคนมาส่ง
ว่าแล้วเจ้ยต้องแอบมองจริงๆด้วย
เค้าก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมต้องเอาผ้าห่มมาคลุมตัวไว้ทั้งๆที่ร้อนอบอ้าวอย่างนี้
ที่แท้แอบมองเค้านี่เอง”
เอื้อยพูดเสียงขำๆใบหน้าเธอยิ้มอย่างมีเลศนัยก่อนจะจิ้มนิ้วเล็กๆเรียวๆมาที่หน้าผากของฉัน
เมื่อเห็นท่าทางของเอื้อยตอนนี้
ความน่ารักของเธอก็ทำให้ฉันหลุดยิ้มออกมาทันที
“เออสิ
แล้วไงยังไม่ตอบคำถามเลย
ทำไมต้องมาด้วยกันกับอันด้วย”ฉันแก้เขินแกล้งทำเสียงโมโหฉุนเฉียวใส่เอื้อย
“ก็ตอนส่งการบ้านที่ห้องอาจารย์เดินผ่านห้องเก่า
อันเห็นเค้าหอบของพะรุงพะรังก็เลยมาช่วยถือเฉยๆ
ไม่มีอะไรสักหน่อย”
เอื้อยยิ้มหวานๆคงหวังว่ารอยยิ้มของเธอจะทำให้ฉันหายโกรธได้
“เชอะไม่มีอะไร
ไหนบอกว่าเกลียดกันแล้ว
แล้วไปดีกันตั้งแต่ตอนไหน
มีจับไม้จับมือกันอีก"
ฉันพูดด้วยน้ำเสียงที่แสนงอนเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เห็นเมื่อตอนบ่ายแล้วก็อดที่จะน้อยใจไม่ได้
“หึงใช่ปะล่ะ..”
เอื้อยยิ้มที่มุมปากนิดนึงก่อนจะก้มหน้าลงมามองฉันด้วยสายตาเจ้าเลห์ที่เธอชอบทำเวลาที่จะง้อฉัน
“ไม่ตอบคำถามอีกแล้ว
เค้าถามว่าไปดีกันตอนไหนคุยกันได้ยังไง”
ฉันแกล้งทำหน้าดุเก๊กเสียงโมโหอีกรอบ
“ก็พึ่งดีกันนี่ล่ะ
วันนี้อันเรียกเค้าไปคุยด้วยอันขอโทษเค้าแล้วขอกลับมาเป็นเพื่อนเหมือนเดิม
เค้าก็เลยให้อภัยอันไม่อยากให้เพื่อนคิดอะไรมาก”
“ก็เลยจับมือถือแขนกัน”
ฉันทำเสียงสูงพูดใส่เอื้อย
“โธ่
ผู้หญิงด้วยกันจะเป็นอะไรไปเล่า”
เอื้อยหัวเราะหึๆทำเสียงตลก
ฉันยืนนิ่ง
ลืมนึกไปว่าจริงๆเค้าสองคนก็เป็นผู้หญิงด้วยกัน
คงไม่แปลกหรอกที่เค้าจะคุยกันแล้วจับไม้จับมือ
แต่ถึงกระนั้นฉันก็ยังไม่ชอบอยู่ดี
หางตาขวาของฉันมันกระตุกบอกลางสังหรณ์ว่าไม่ช้าผู้หญิงคนนี้จะทำอะไรสักอย่างให้ฉันไม่สบายใจแน่นอน
ฉันยืนนิ่งทำหน้านิ่วคิ้วขมวดมองดูเอื้อยที่พยายามยิ้มหวานให้ฉัน
แล้วสุดท้ายก็อดใจไม่ไหวยิ้มตอบกลับและหายโกรธเหมือนทุกครั้งที่เป็นมา
ก่อนจะรีบชวนเอื้อยไปที่โรงจอดรถกัน
ฉันถอนหายใจให้กับตัวเองตอนที่เดินตามเอื้อยไปที่โรงจอดรถ...ให้ตายเถอะ..ฉันแพ้รอยยิ้มของเธอจริงๆนะเอื้อย..
*****************************************************
ก่อนที่ฉันจะเดินเข้าโรงจอดรถ
เสียงของใครคนนึงก็ดังขึ้นให้ฉันชะงักและหันมองตาม
“เจ้ย..”
เมื่อฉันหันไปตามเสียงก็พบว่าเป็นเสียงของกรนั่นเอง
เค้าในชุดนักเรียนเทคนิคกำลังดินตรงเข้ามาหาฉันกับเอื้อย
“ว่างมั้ย
ขอคุยอะไรด้วยหน่อยสิ”
ฉันยืนนิ่งกำลังใช้ความคิดว่าจะคุยด้วยดีมั้ย
“แฟนเจ้ยด้วยนะ
คือจริงๆอยากจะมาคุยกับแฟนเจ้ยนั่นล่ะ”
กรพูดพลางยิ้มให้เอื้อย
เอื้อยทำหน้าแหยๆตอนได้ยินกรเรียกเธอว่า
“แฟนเจ้ย”
เธอหันหน้ามาทางฉันเพื่อดูทีท่าของฉันก่อนแต่เหมือนเธอจะนึกอะไรขึ้นได้
“เรียกเอื้อยเฉยๆก็ได้
เราไม่ใช่แฟนเจ้ยหรอกนะ”
เอื้อยพูดด้วยน้ำเสียงงอนๆ
“ครับๆ
เอื้อยครับ ขอโทษนะครับ
เห็นเค้าคอมเมนต์ในคลิปอย่างนั้น”
กรยิ้มออกทันทีที่ได้ยินเอื้อยพูดอย่างนั้น
เค้ารีบหยิบโทรศัพท์มือถือของเค้าขึ้นมาเปิดคลิปที่เอื้อยร้องเพลงวันนั้นให้ฟัง
“คือ..เราอยากบอกว่าเราหามานานแล้ว
นักร้องผู้หญิงที่เสียงเพราะมีพาวเวอร์อย่างนี้..”
“เอ่อ..ยังไงดีล่ะ
คือตอนนี้ที่จังหวัดเราเค้ามีประกวดดนตรี
Teen
Music Talent อะครับแล้วเราก็ไปสมัครไว้พอดี
แล้วบังเอิญว่าวงยังไม่มีนักร้องเลยน่ะครับ
เราเห็นเอื้อยร้องเพลงในคลิปแล้วเพราะมากๆเลยอยากจะชวนเอื้อยมาเป็นนักร้องในวงเราได้มั้ย”
เอื้อยหน้าเหวอ
หันมามองหน้าฉันเหมือนจะบอกว่า
..เอาไงดี...
ฉันเลิ่กคิ้วให้เอื้อย
..อยากทำอะไรก็ทำสิ..
เอื้อยมองหน้าฉันอยู่นานแล้วเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างได้
“ได้สิ
ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”
เอื้อยยิ้มให้กรแล้วเหล่ตาหันมามองหน้าฉันอย่างเจ้าเล่ห์
..ว่าแล้ว..เชอะไหนบอกว่าไม่ชอบผู้ชายดูเจ้าชู้
เค้าเอาอะไรมาหลอกล่อนิดเดียวก็ไปซะแล้ว
ฉันทำหน้าเซ็งๆขอตัวกรไปรออยู่ที่รถ
กรรีบเรียกบอกว่าเค้ายังต้องการมือกีตาร์อยู่
อยากให้ฉันเป็นมือกีตาร์ในวงให้เหมือนเดิม
ฉันคิ้วขมวด
ปฏิเสธกรไป
ใจไม่อยากอยู่ใกล้กรอีกแล้วเพราะกลัวมีปัญหาอย่างนั้นอีก
“คุยเสร็จแล้วก็มาหาแล้วกัน”
ฉันบอกเอื้อยมองด้วยสายตางอนๆ
แล้วก็รีบเดินไปรอที่รถ
ไม่นานเอื้อยก็รีบวิ่งกลับมาหาฉันที่รถ
“รอนานมั้ย”
เอื้อยยิ้มหวาน
ฉันไม่ตอบแต่เลิ่กคิ้วให้เอื้อยนิดนึงแทน
“กรเค้าจะชวนเราไปห้องซ้อมด้วยล่ะวันนี้
แต่เราขอให้เป็นวันอื่นแทน
ยังไม่ได้ขอแม่อะเดี๊ยวแม่ว่าเอา”
เอื้อยยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ทำตาเจ้าเลห์หันมาทางฉัน
“เหรอ
ก็ไปสิ จะให้ไปขอแม่ให้อีกมั้ยล่ะหรือยังไง”
ฉันทำเสียงประชดอยากให้ผู้ฟังได้รู้ว่าฉันแอบไม่พอใจเล็กๆ
“ทำเสียงอย่างนี้อีกแล้ว
ไม่ชอบเลยอะ
ก็จะให้เจ้ยไปขอพ่อกับแม่เจ้ยด้วยนั่นล่ะ
จะได้ไปเป็นเพื่อนเค้าไง”เอื้อยทำตาแป๋วจ้องมาที่หน้าฉันที่กำลังคิ้วขมวดด้วยอารมณ์งอนอยู่
“ไม่เอา
ไม่ไปด้วยหรอก” ฉันบอกปัดเอื้อยไป
“ทำไมล่ะ
ไม่เป็นห่วงเค้าเหรอ
จะปล่อยให้เค้าไปคนเดียวเหรอ”
เอื้อยทำหน้าอ้อนๆส่งสายตาหวานๆมาหาฉัน
ฉันมองหน้าเอื้อยแล้วหันซ้ายหันขวามองดูคนรอบๆตัว
ตอนนี้ยังมีคนอยู่ในโรงรถอยู่ฉันยังไม่อยากจะคุยอะไรกับเอื้อยที่ตรงนี้มากนัก
“กลับไปคุยที่บ้านเอื้อยได้มั้ย”
ฉันบอกเอื้อย เอื้อยพยักหน้าตอบตกลง
แล้วเราสองคนก็รีบขับรถเดินทางกลับไปที่บ้านของเอื้อยทันที
เมื่อถึงบ้านเอื้อย
เราขึ้นไปคุยกันที่ห้องนอนของเอื้อยเพราะกลัวแม่กลับบ้านมาแล้วอาจจะได้ยินบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ดีของฉันกับเอื้อยที่ซ่อนไว้
“ทำไมไม่ไปเป็นเพื่อนเค้าล่ะ
จะปล่อยให้เค้าไปคนเดียวเดี๋ยวก็งอนอีก”
เอื้อยเปิดประเด็นพร้อมๆกับเดินมานั่งข้างๆฉันที่นั่งกอดอกอยู่บนเตียง
“ไม่อยากไป
ไม่อยากเจอกรอ่ะ” ฉันพูดด้วยเสียงเซ็งๆ
“ทำไมล่ะ
ไหนบอกว่าไม่เคยคบกัน
ถ้าเป็นเพื่อนกันเฉยๆก็น่าจะคุยกันได้นะ”
ฉันทำปากยุบๆยิบๆเหมือนคันปากอยากจะพูดอะไรบางอย่าง
ไม่ใช่เพราะฉันหึงกรกับเอื้อยหรอกเพราะฉันรู้ว่าเอื้อยคงไม่ได้ชอบผู้ชาย
แต่เมื่อคิดย้อนกลับไปตอนที่กรมาหอมแก้มฉันตอนนั้นแล้วก็อดที่จะเป็นห่วงเอื้อยไม่ได้
เพราะฉันกลัวเหลือเกินว่าเค้าจะทำอะไรให้คนที่ฉันรักนั้นต้องหม่นหมอง
หรือมีมลทินแปดเปื้อน
“เอื้อยไม่ไปได้มั้ยล่ะ”
ฉันทำเสียงอ้อนวอน
“ทำไมล่ะ
เค้าก็อยากไปประกวดเหมือนกันนะ
มันเป็นความฝันของเค้าเลยเจ้ยรู้มั้ย”
เอื้อยทำหน้าจริงจัง
ยิ่งมองเห็นสีหน้าจริงจังของเอื้อยแล้ว
ฉันยิ่งนึกเป็นห่วงกลัวกรจะใช้ความฝันของเอื้อยมาเป็นเครื่องมือที่จะได้ใกล้ชิดกับเธอ
“คือ..กรไว้ใจไม่ได้นะ”
ฉันตอบเสียงอึกๆอักๆ
“ยังไงคือไว้ใจไม่ได้”
เอื้อยทำหน้าสงสัย
“เค้าอาจจะมือไว
แบบๆที่ผู้ชายเจ้าชู้ชอบทำ”
ฉันพยายามตอบเลี่ยงๆเพราะไม่อยากเล่าเรื่องที่ผ่านมาให้เอื้อยฟัง
“ทำไมรู้ว่ากรมือไวล่ะ
เจ้ยรู้อะไรมีอะไรปิดบังเค้าหรือเปล่า”
เอื้อยยื่นหน้าเข้ามาใกล้ทำหน้าสงสัยในสิ่งที่ฉันพูด
“ก็มีคนบอกว่ากรชอบลักไก่แบบแอบหอมแก้มหรือกอดเพื่อนผู้หญิงในโรงเรียนไง”
ฉันพยายามโกหกแบบเลี่ยงๆ
แต่หน้าของฉันคงบ่งบอกความผิดปกติอะไรบางอย่างเพราะเวลานึกถึงเรื่องนั้นทีไรแล้วฉันจะหน้าแดงด้วยความอายตลอด
“ทำไมเจ้ยเล่าไปด้วยหน้าแดงไปด้วยอะ
หน้าแดงมากๆเลย
อย่าบอกนะที่บอกว่าแอบหอมแก้มเพื่อนผู้หญิงในโรงเรียนคนนั้นก็คือเจ้ย”
เอื้อยยื่นหน้าเข้ามาถามด้วยสายตาจับผิด
ฉันยิ้มแหยๆ
ไม่อยากโกหกเอื้อยเพราะฉันคิดว่าอย่างน้อยถ้าเป็นฉันที่เสียหายเองเอื้อยก็น่าจะเชื่อและไม่ไปกับกร
“เฮ้ย
ได้ไงอะ ไหนบอกว่าไม่เคยคบกันแล้วให้เค้ามากอดมาหอมได้ไง
” เอื้อยโมโหทำเสียงฟึดฟัดใส่ฉัน
“เฮ้ยย..ใจเย็นๆก่อน
เค้าไม่ได้ตั้งใจให้กรหอมนะ
กรถือโอกาสตอนไม่มีคนแล้วมาทำอย่างนั้นกับเค้าเค้าก็เลยไม่ได้ไปไหนมาไหนกับกรอีกเลยตั้งแต่นั้น”
ฉันลุกขึ้นปัดไม้ปัดมืออธิบายให้เอื้อยเข้าใจ
เอื้อยคิ้วขมวด
“เค้าไม่ใช่จูบแรกของเจ้ยเหรอนี่”
เธอพูดด้วยน้ำเสียงต่อว่า
“บ้าแล้ว
ไปกันใหญ่แล้ว กรน่ะมาหอมเค้าเฉยๆนะ
ไม่ได้จูบอย่างที่เอื้อยทำซักหน่อย”
ฉันตอบเอื้อยด้วยน้ำเสียงติดตลก
“ถึงอย่างนั้นก็ยอมไม่ได้
ผู้ชายถือโอกาสอย่างนี้เค้ายิ่งไม่ชอบ
คอยดูนะเค้าจะแก้แค้นคืนให้เจ้ยด้วย”
เอื้อยพูดเสียงเหมือนคนเอาเรื่อง
“จะไปแก้แค้นอะไรเค้าเล่า
แค่ไม่ต้องไปอยู่วงกับเค้าก็พอแล้ว”
ฉันดึงไม้ดึงมือเอื้อยไว้
เอื้อยทำสีหน้าครุ่นคิด
สายตาเหมือนคนมีแผนการร้ายกาจอยู่ในนั้น
“เด๋วเค้าจัดการให้
เจ้ยไม่ต้องห่วงหรอก”
เอื้อยหัวเราะหึๆพร้อมๆกับยิ้มที่มุมปากบางๆของเธอ
นี่เธอคงพยายามทำหน้าให้หน้ากลัวสินะ
แต่ฉันดูแล้วก็อดขำไม่ได้
เพราะนอกจากมันจะไม่น่ากลัวแล้วมันยังดูน่ารักและน่าเอ็นดูมากๆ
จนฉันอดใจไม่ไหว
โน้มหน้าเข้าไปหอมแก้มคนเจ้าคิดเจ้าแค้นแผนการใหญ่เข้าเต็มๆฟอด
เอื้อยอายทำตาแป๋ว
หันหน้ามามองฉันทันที
“อะไร
นี่ก็ถือโอกาสเหมือนกันใช่มั้ยนี่
เด๋วเถอะ”
เอื้อยทำท่าเหมือนจะจูบฉันคืนแต่เหมือนเธอนึกถึงเรื่องวันนั้นได้แล้วคงกลัวว่าฉันจะทำอะไรเธออีก
ก็เลยหยุดยืนยิ้มอยู่กับที่แทน
ฉันคุยกับเอื้อยต่ออีกไม่นานก็กลับบ้าน
อาการปวดหัวจี๊ดๆยังอยู่คงเป็นเพราะความเครียดจากการที่เห็นอันกับเอื้อยคุยกันเลยทำให้ฉันคิดมากจนปวดหัวก็เป็นได้
แต่พอได้คิดถึงภาพที่เอื้อยพยายามทำทุกๆอย่างเพื่อที่จะเอาใจฉันแล้วมันก็ทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง
เอาเป็นว่าวันนี้ฉันควรจะพักผ่อนแต่หัววันดีกว่าอย่างน้อยๆก็จะได้เป็นการรีสตาร์ตร่างกายให้ลืมเรื่องราวแย่ๆที่ทำให้รู้สึกไม่ดีในวันนี้ไป
ฉันอาบน้ำปิดไปและไม่ลืมที่จะราตรีสวัสดิ์กระพรวนคิตตี้ตัวโปรดของฉันก่อนเข้านอน
*********************************************************
วันต่อมาที่โรงเรียนตอนเที่ยงหลังจากที่เราทานอาหารที่โรงอาหารเสร็จแล้วเอื้อยชวนฉันไปที่ห้องสมุดเพื่อหาข้อมูลทำรายงานที่จะส่งภายในอาทิตย์นี่กัน
ฉันเหลือบตาไปเห็นเอื้อยแอบตอบไลน์ใครสักคนด้วยความสงสัยจึงถามเอื้อย
“คุยกับใคร”เสียงฉันถามด้วยความสงสัย
“อันทักมาอ่ะ
เค้าถามว่าอยู่ที่ไหน”
เอื้อยยิ้มน้อยยิ้มใหญ่นั่งกดตอบไลน์ต่อ
“จะไปหาเค้าเหรอ”
ฉันถามพลางยื่นหน้าไปมองที่หน้าจอโทรศัพท์เอื้อย
“เปล่าเค้าบอกว่าเดี๋ยวจะขึ้นห้องแล้วเด๋วค่อยเจอกัน”เอื้อยหันมายิ้มให้ฉันแล้วเก็บโทรศัพท์ของเธอไว้
“ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เชียวนะ”
ฉันทำเสียงงอนๆใส่เอื้อย
“หึงอีกแล้วเหรอ
ดีใจจังเลยทำให้คนหวงได้บ่อยๆนี่”
เอื้อยยิ้มแล้วก้มหน้าลงมามองฉัน
ฉันหัวเราะเบาๆแล้วยิ้มที่มุมปากให้เอื้อยนิดนึง
คนพูดคงพูดไปด้วยอารมณ์ขำแต่ฉันฟังแล้วรู้สึกว่ามันขำไม่ค่อยออกเลย
หลังจากนั้นไม่นานเอื้อยก็ชวนฉันขึ้นไปที่ห้องเรียน
ด้วยความที่เธอคงจะนัดอันไว้เธอเลยรีบเดินนำหน้าฉันไปก่อนปล่อยให้ฉันเดินเฉื่อยๆด้วยอารมณ์เซ็งๆตามหลังเธอไป
แต่ยังไม่ทันที่จะเข้าตัวอาคารฉันก็ต้องหยุดชะงักเพราะรู้สึกว่ามีใครสักคนกำลังจ้องมองฉันอยู่
“นี่เธอ”
เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังมาพร้อมๆกับที่ฉันหยุดยืนมองหาที่มาของเสียง
เป็นอันที่เดินเข้ามาด้วยท่าทางที่คิดว่าตัวเองน่าจะเท่ห์ที่สุดแล้ว
มุ่งตรงมาหาฉัน
ฉันคิ้วขมวดสงสัย
อันเรียกฉันเหรอ
พลางเอานิ้วชี้ที่ตัวเองประมาณว่า
...นี่เธอเรียกฉันใช่มั้ย???...
อันพยักหน้าแล้วก็เดินเก๊กเข้ามาหาฉันต่อ
เอ..ความรู้สึกประหลาดๆกับท่าทีกวนๆอย่างนี้มันคืออะไรนะ
ฉันมองดูหน้าท่าทางของอันแล้วรู้สึกขัดๆตาพิกล
“มีอะไรหรือเปล่า”
ฉันถามด้วยความสงสัย
อันยักคิ้วเดินเข้ามาใกล้ฉัน
“ไม่มีอะไรมาก
แค่มีบางเรื่องที่สงสัยในใจ”
อันทำท่าทางอย่างกับตัวเองเท่ห์ซะเต็มประดา
“สงสัยอะไร..”
ฉันถามด้วยความสงสัยเช่นเดียวกันกับเจ้าของคำถาม
อันมองหน้าฉันนิดนึง
แล้วก็ยิ้มที่มุมปากก็ยื่นหน้าเข้ามากระซิบเบาๆให้ฉันได้ยิน
“เป็นเพื่อนสนิทกันคงจะรู้นะว่ารอยสีม่วงๆที่คอเอื้อยเมื่อวานใครทำไว้”
แล้วอันก็ชำเรืองตาที่บ่งบอกว่าเธอรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องของเรา
ฉันรู้สึกร้อนๆหนาวๆทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้นของอันที่กระซิบถามฉันด้วยสายตาเจ้าเล่ห์
..นี่เธอต้องการจะบอกอะไรกับฉัน
ฉันคิดในใจแต่ไม่ตอบคำถามที่เจ้าของคำถามถามมา
ได้แต่ยืนคิ้วขมวดจ้องมองอันคืนด้วยความสงสัยในตัวคนที่อยู่ต่อหน้าฉันเช่นเดียวกัน
อันก็มองฉันไม่วางตา
เหมือนกำลังจะจับพิรุธอะไรบางอย่างในตัวฉัน
เหมือนเธอจะรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของฉันและเอื้อย
“เจ้ย..อัน
คุยอะไรกันเหรอ” เสียงเอื้อยดังมาแต่ไกล
เธอคงรู้สึกตัวว่าเธอเดินทิ้งห่างฉันเกินไปเลยเดินกลับมาตามฉัน
“เปล่า..ก็ถามข่าวคราวปกติอ่ะ”
อันพูดเสียงเรียบๆ
“อื้ม..เอื้อย
เค้าว่าเอื้อยน่าจะใส่เสื้อกันหนาวที่คอมีปกสูงๆดีกว่านะช่วงนี้”
อันพูดพร้อมกับทำท่าจับที่ต้นคอของตัวเอง
แล้วหันหน้ามาทางเอื้อย
ที่กำลังทำหน้าเหวอ
เพราะนึกขึ้นได้เรื่องรอยช้ำที่คอของเธอพอดี
คงเป็นเพราะเอื้อยทารองพื้นมาไม่ค่อยเสมอมันเลยโชว์ให้เห็นรอยจางๆที่คอของเอื้อยออกมา
เอื้อยรีบดึงปลายผมด้านหลังมาปิดที่คอของเธอไว้
ก่อนจะหันไปขอบใจอัน
แล้วแอบหันมามองค้อนที่ฉัน
อันคงสังเกตุเห็นสายตาที่เอื้อยมองค้อน
เลยหัวเราะเบาๆก่อนจะเอื้อมมือมาจับที่ไหล่ของฉันแล้วยิ้มอย่างมีเลศนัยก่อนจะเดินจากไป
“อันเค้ามาคุยอะไรด้วยเมื่อกี้”
เอื้อยเดินเข้ามากระซิบถามฉันใกล้ๆ
“แล้วเอื้อยไปคุยกับอันไว้ล่ะ”
ฉันถามคืนด้วยเสียงห้วนๆบ่งบอกให้เห็นว่ามีอารมณ์ไม่พอใจ
“หมายความว่ายังไง”
เอื้อยทำเสียงสงสัย
ฉันนึกโมโห
นี่เอื้อยคงเอาเรื่องของเราไปเล่าให้อันฟังหมดแล้ว
ทำไมต้องบอกเค้าด้วย
เมื่อมีคนรู้คนที่หนึ่ง
คนที่สอง สามก็ต้องตามมาอีก
ยิ่งเป็นอันคนที่ฉันไม่ต้องการให้เอื้อยไปยุ่งหรือไปคุยด้วยอยู่แล้ว
มารับรู้ว่าฉันกับเอื้อยคบกันมันยิ่งทำให้ฉันหัวเสีย
นี่แคร์เค้ามากกว่าฉันหรือไง
คอยดูถ้าเค้าเอาเรื่องของเราไปโพนทะนาบอกคนนั้นคนนี้หมดโรงเรียนจะทำยังไง
ยิ่งนึกฉันยิ่งโมโหไม่อยากมองหน้าเอื้อย
รู้ทันทีว่าตอนนี้ฉันคงตาขวางจ้องไปที่หน้าของเอื้อยอย่างมีอารมณ์
เอื้อยก็คิ้วขมวดไม่แพ้กัน
เธอดึงแขนฉันและพยายามถามฉันว่าเป็นอะไร
ฉันอารมณ์หงุดหงิดสะบัดแขนเอื้อยออกและเดินหนีเอื้อยกลับไปที่ห้องเรียน
ทิ้งให้เอื้อยยืนอึ้งหน้าเอ๋ออยู่ตรงนั้น
ฉันกลับมาที่ห้องได้ไม่เท่าไหร่เอื้อยก็รีบตามฉันกลับมาที่ห้องและยังไม่เลิกความพยายามที่จะถามฉัน
ตอนนี้เพื่อนๆยังไม่ทันเข้าห้องกันเพราะยังไม่ถึงเวลา
เอื้อยยืนค้ำโต๊ะฉันพร้อมกับถามฉันว่าเป็นอะไร
ฉันไม่ตอบเอาแต่หันหน้าหนีเอื้อย
“เจ้ย
รู้สึกว่าเดี๋ยวนี้อารมณ์ไม่ค่อยดีเลยนะ
ไม่อยากอยู่ใกล้เค้าแล้วใช่มั้ย”
เอื้อยทำเสียงเหมือนคนน้อยใจ
ฉันหันหน้ามามองเอื้อยนิดนึง
แต่ไม่ตอบ
“ไม่ต้องไปคุยกับอันอีกได้มั้ยล่ะ”
ฉันตอบเสียงห้วนๆ
“ทำไม
หึงเหรอ”
เอื้อยยิ้มทำเสียงเบาๆแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆฉัน
ฉันเลิ่กคิ้วนิดนึง
เอื้อยยิ้มรับ
“หึงทำไมเค้ากับอันเป็นเพื่อนกันนะ
ไม่มีอะไรในกอไผ่”
“แต่เค้ารู้ว่าอันเคยชอบเอื้อย
แล้วเอื้อยก็เคยปฏิเสธไปว่าไม่ได้ชอบผู้หญิงมาแล้ว”
“แล้วถ้าวันนี้อันรู้ว่าเอื้อยชอบผู้หญิงแล้วล่ะจะทำยังไง”
เอื้อยทำหน้างงปนสงสัย
“ใครบอก..อันมาบอกเหรอ”
ฉันไม่ตอบเอาแต่จ้องหน้าเอื้อยคืน
พอดีกับที่เพื่อนๆเริ่มเดินเข้ามาในห้องกันแล้ว
เอื้อยจึงเดินกลับเข้ามานั่งที่โต๊ะของเธอ
“กลับบ้านค่อยคุยกันนะ”
เอื้อยพูดเสียงเบาๆในขณะที่กำลังก้มหน้าลงหยิบหนังสือคาบต่อไปขึ้นมาเรียน