Girlfriend
Chapter 6
Chapter 6
….เกินเพื่อน....
วันนี้เป็นวันศุกร์ก่อนวันเกิดของสา
เอื้อยไม่ลืมที่จะรบเร้าฉันให้ไปที่บ้านเพื่อขออนุญาติแม่ของเธอให้
ฉันสัญญาว่าตอนไปส่งเธอที่บ้านจะแวะเข้าไปหาแม่ของเธอเพื่ออนุญาติให้อีกทีนึง
ได้ยินดังนั้นเธอก็นั่งยิ้มหัวเราะร่าตลอดทั้งวัน
จนฉันแอบแซวว่าดีใจที่ได้มาวันเกิดเพื่อนหรือดีใจที่ได้ออกบ้านตอนกลางคืนกันแน่
เอื้อยหุบยิ้ม
แล้วทำหน้างอนฉันหันหน้าไปทางอื่น
ฉันอดขำในอากัปกริยาของเอื้อยไม่ได้
นี่คือการแกล้งหรือหยอกกันที่เรามักจะทำบ่อยขึ้นกว่าเดิม
จากที่แต่ก่อนฉันยังแอบเกรงใจเอื้อยอยู่
แต่เหมือนพอเรารู้ว่าอีกฝ่ายนั้นมีใจให้เราเราก็อยากแสดงให้เห็นว่าเราก็แอบสนใจเขาเช่นเดียวกัน
อยากใกล้ อยากคุย อยากหยอก
อาการเหล่านี้มันจะเกิดขึ้นมาเองโดยไม่ได้ไปบังคับฝืนใจให้ต้องแสดงออกเลย
นับตั้งแต่คืนที่เอื้อยโทรมาหาฉันกลางดึกนั้นเป็นต้นมา
ฉันกับเอื้อยจะแอบมองตากัน
หยอกล้อกันแบบที่เพื่อนทั่วๆไปไม่หยอกกันอยู่บ่อยๆอยู่สองคน
เรามักจะอยู่ด้วยกันบ่อยและนานขึ้น
นั่นเริ่มทำให้ฉันกับเอื้อยเริ่มรู้สึกถึงบางอย่างที่กำลังเปลี่ยนไปในคำว่า
“เพื่อน” ของเราทั้งสองแล้ว
แม้เวลาอยู่ด้วยกันสองคน
เราจะทำสิ่งที่เพื่อนๆทั่วไปไม่ทำกัน
แต่ฉันกลับไม่กล้าที่จะแสดงออกอะไรต่อหน้าคนอื่นๆมากนัก
คงเป็นเพราะฉันยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจในความสัมพันธ์ระหว่าง
“ผู้หญิงกับผู้หญิง”
อยู่ก็เป็นได้
แต่ฉันสังเกตว่าเอื้อยไม่ได้กลัวคนเห็นอย่างฉัน
เธอมักจะแสดงออกทุกครั้งที่อยากแสดงแม้จะมีคนอยู่ด้วยหรือไม่ก็ตาม
เอื้อยจะแสดงอาการดีใจทุกๆครั้งที่มีคนแซวว่าเราสองคนเป็น
“แฟน”กัน
แม้เราจะไม่เคยถามถึงสิ่งที่อยู่ในใจของเราทั้งสองคน
และลึกๆฉันก็ยังแอบสงสัยอยู่ว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่นี้มันยังอยู่ในคำจำกัดความของคำว่า
“เพื่อน” อยู่หรือเปล่า
แต่ฉันก็รับรู้ได้ว่าทั้งฉันและก็เอื้อยกำลังค่อยๆข้ามก้าวผ่านคำว่า
“เพื่อนรัก”
ไปเป็นบางสิ่งที่พิเศษกว่านั้นแล้วในตอนนี้
เที่ยงวันนี้
เอื้อยไปประชุมชมรมเธอฝากโทรศัพท์ไว้ที่ฉัน
เธออ้างว่าขี้เกียจรับสายหรือแชทกับคนที่ไลน์มาหาเธอ
ฉันรับปากจะดูแลโทรศัพท์ให้อย่างดี
“อย่าแอบดูโทรศัพท์เค้านะ”
เอื้อยทำหน้าเจ้าเล่ห์ก่อนที่จะยกมือบ้ายบาย
เดินไปที่ประชุม
ฉันหยิบโทรศัพท์มาดู
สายคล้องคิตตี้สีชมพูยังดังกรุ้งกริ้งๆอยู่เหมือนเดิม
มันทำให้ฉันยิ้มเพราะนึกถึงที่มาของมันได้
เสียงจอแจในท้ายห้องเรียนเป็นเสียงของเพื่อนๆที่กำลังคิดธีมงานปาร์ตี้ของวันเกิดสาพรุ่งนี้
ฉันปลีกตัวออกมาหลังจากที่แสดงความเห็นไปบ้างบางเรื่อง
เนื่องจากรู้สึกว่าโทรศัพท์ของเอื้อยสั่นอยู่ตลอด
ฉันกลับมานั่งที่โต๊ะของตัวเองหน้าห้อง
ก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์ของเอื้อยขึ้นมากดเปิดดูว่ามีข้อความอะไรเข้า
ภาพที่ฉันเห็นก็คือข้อความของบรรดาเพื่อนๆของเอื้อยทักมาในไลน์
แต่นั่นไม่น่าสนใจเท่ากับภาพวอลเปเปอร์โทรศัพท์ของเอื้อย
เพราะภาพที่ฉันเห็นคือรูปของ
“ฉัน”
เป็นภาพที่ฉันใส่ชุดนักเรียนกำลังนั่งฟังเพลงที่ลานม้านั่งไม่แน่ใจว่าเอื้อยแอบถ่ายรูปนี้ไว้แต่ตอนไหน
มันก็ดูสวยดีนะ
แต่รู้สึกว่าภาพนี้ฉันไม่รู้ตัวเลยว่าโดนถ่ายรูป
ช่างน่าสงสัยเหลือเกิน....
ฉันอยากรู้ซะแล้วสิว่าเอื้อยไปเอารูปของฉันรูปนี้มากจากไหน
แม้ในใจจะได้ยินเสียงที่เอื้อยพูดก่อนไป
“อย่าแอบดูโทรศัพท์เค้านะ”
ซ้ำไปซ้ำมา
แต่ความอยากรู้อยากเห็นมันช่างยั่วยวนจิตใจให้ฉันทำผิดสัญญาที่ให้ไว้กับเอื้อยเหลือเกิน
ฉันเลยถือวิสาสะแอบเปิดดูอัลบั้มภาพถ่ายของเอื้อย
แทนที่ฉันจะเห็นภาพของเอื้อยในกล้องของตัวเอื้อยเองแล้ว
กลายเป็นว่ามีแต่ภาพของฉันซะเป็นส่วนใหญ่ในอัลบั้มภาพล่าสุด
ฉันนั่งเลื่อนดูภาพ
ภาพบางภาพฉันก็รู้ตัวว่าเอื้อยถ่ายฉัน
บางภาพฉันก็ไม่รู้ตัว
สร้างความสงสัยให้กับฉันว่าเอื้อยไปแอบถ่ายภาพฉันไว้ตั้งแต่ตอนไหนเยอะแยะ
“ดูอะไรอ่ะ”
อยู่ๆเสียงใครคนหนึ่งที่ดูคุ้นหูดังมาที่ข้างหลังของฉัน
เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเป็นเสียงใคร
สันหลังฉันก็เย็นวาบขึ้นทันที
พลันฉันก็รีบหันกลับไปมองเจ้าของเสียง
“เอื้อย..”ตอนนี้ฉันรู้ตัวว่าคงหน้าถอดสีมากๆ
“ทำไมไม่รักษาสัญญาเลยล่ะ”
เสียงเอื้อยดัดเป็นเสียงเข้มๆดุๆไม่เหมือนก่อน
“ขอโทษ..”ฉันพูดเสียงอ่อยๆก่อนจะยื่นโทรศัพท์คืนให้กับเอื้อย
เอื้อยรีบหยิบโทรศัพท์คืน
เธอไม่พูดอะไรแต่หน้าบึ้งรีบนั่งลงที่เก้าอี้ตัวเองก่อนจะทำเป็นเก็บโทรศัพท์กับเข้ากระเป๋ากระโปรงตัวเองไว้
“ไว้ใจไม่ได้เลยนะ”
เสียงดัดเข้มๆดุๆลอยลมมาโดยที่เจ้าของเสียงไม่หันหน้ามาทางผู้ฟังแม้แต่น้อย
ฉันกลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อนที่จะโน้มตัวเองแล้วฟุบหน้าแนบไปกับโต๊ะแล้วหงายหน้าไปทางที่เอื้อยนั่งอยู่
“ขอโทษนะคะ...คนสวย..”
ฉันลากเสียงยาวๆและพยายามทำเสียงให้หวานที่สุดเท่าที่จะทำได้
เอื้อยหันมาชำเรืองมองฉันนิดนึง
ในจังหวะนั้นฉันพยายามทำตากระพริบขึ้นลงไปมาอย่างที่เอื้อยชอบทำกับฉันให้เธอเห็นบ้าง
และเหมือนจะได้ผล
เอื้อยยิ้มที่มุมปากนิดนึงก่อนที่จะหลุดหัวเราะออกมา
“ทำแบบนี้เป็นด้วยเหรอ..ไหนว่าไม่ชอบให้ใครมาอ้อนไง”เอื้อยทั้งหัวเราะทั้งพูด
ฉันไม่พูด
แต่เหมือนนึกอะไรขึ้นได้บางอย่างรีบลุกขึ้นมานั่งแล้วหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาถ่ายภาพตอนหัวเราะไว้
เอื้อยหยุดหัวเราะแล้วหันมาจ้องที่โทรศัพท์แทน
“อ้า..ทำไมถ่ายตอนนี้ล่ะ
มันไม่สวยนะ” เสียงเอื้อยที่ทำหน้าเหวอๆถาม
ตอนนี้เธอคงกำลังอยากรู้อยากเห็นว่าภาพที่ออกมานั้นจะเป็นอย่างไร
“ก็เหมือนเอื้อยไง
ถ่ายรูปเค้าไว้ทำไม
บางรูปขี้เหล่จะตายยังเอาไว้อยู่”
ฉันพูดพลางก้มมองที่โทรศัพท์แล้วแอบมองชำเรืองที่ใบหน้าเหวอๆของเอื้อย
ดูแล้วช่างตลกนัก
“มันไม่เหมือนกันนะ...เค้าไม่ได้แกล้งเจ้ยนะ”
เอื้อยพูดแทรกขึ้น
“ไม่เหมือนยังไง”ฉันถามคืนบ้าง
เอื้อยไม่ตอบ
แต่เธอกลับจ้องหน้าของฉันแทน
มันแปลกตรงที่เมื่อฉันเห็นแววตาของเอื้อยแล้วฉันกลับหัวเราะไม่ออก
กลายเป็นนั่งอึ้งก้มลงมองรูปของเอื้อยที่ถ่ายในโทรศัพท์เมื่อกี้แทน
โดยที่ไม่ทันได้คิดอะไรมากฉันก็กดตั้งค่าให้รูปของเอื้อยเมื่อกี้ให้เป็นวอลล์เปเปอร์ในโทรศัพท์ของฉันเอง
แล้วฉันก็ส่งโทรศัพท์ของฉันให้เอื้อยดู
“ขอตั้งเป็นวอล์เปเปอร์นะถ้าอย่างนั้น”
ฉันขอเอื้อย
เอื้อยมองหน้าฉันนิดนึงก่อนจะพูดขึ้น
“ตั้งทำไม..มันไม่ได้มีความหมายอะไรนี่นา”
“ใครว่าล่ะ..ความหมายของเค้าก็เหมือนเอื้อยนั่นล่ะ”
ฉันชำเรืองตาไปมองที่เอื้อยแล้วยิ้มอย่างจริงใจ
มันไม่ได้เสแสร้งแต่มันคือความรู้สึกจริงๆที่ฉันอยากแสดงให้เอื้อยรู้
“แลกกันนะ”
ฉันยิ้มนิดนึงก่อนที่จะดึงโทรศัพท์ของฉันคืนมาเก็บไว้
โดยที่มีเอื้อยมองตามด้วยใบหน้าแดงๆของเธอ
ตอนเลิกเรียน
ตอนฉันจะกลับบ้านฝนเจ้ากรรมก็ดันตกลงมา
ซึ่งก็เป็นปกติของช่วงปลายเดือนกรฏาคมที่เป็นฤดูฝน
ฉันมักจะตั้งข้อสังเกตว่าฝนมักจะตกตอนเลิกเรียนทุกวัน
ตอนเช้าแดดจะออกจะร้อนยังไง
แต่ตกเย็นเวลาเลิกเรียนทีไร
ฝนมักจะตกทุกที
เด็กนักเรียนหลายคนให้ผู้ปกครองมารับ
บางคนต้องรอให้ฝนหยุดก่อนถึงจะกลับบ้านได้
ฉันที่ขับมอเตอร์ไซค์มาเอง
ปกติก็จะพกเสื้อกันฝนมาด้วย
ยกเว้นวันนี้
ใช่..วันนี้ฉันลืมเอาเสื้อกันฝนที่ฉันตากลมเอาไว้หลังจากที่กลับบ้านเมื่อวานมาด้วย
ฉันนึกโมโหในความสะเพร่าของตัวเองในใจ
...นึกถึงภาพตอนที่ไปรับเอื้อยมาโรงเรียนด้วยกัน
ฉันเห็นเอื้อยสวมเสื้อกันหนาวสีดำมาด้วย
เธอบอกว่าเอาไว้ใส่กันเผื่อฝนตก
มันจะบังเสื้อนักเรียนเราได้
..อืม
เป็นความคิดที่ดี
ไว้วันหน้าฉันจะใส่มาบ้างแล้วกัน
ฉันคิดในขณะที่ก้มมองดูเสื้อนักเรียนสีขาวบางๆของตัวเอง
...นี่ฉันคงต้องรอให้ฝนหยุดตกซะก่อน
แต่ดูจากเวลาแล้วตอนนี้สี่โมงเย็นกว่าแล้ว
ฝนยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก
ฟ้าก็มืดลงมาเรื่อยๆ
ฉันมองหน้าเอื้อยที่รอฝนหยุดอยู่ข้างๆฉัน
นึกเป็นห่วงว่าพ่อแม่เราจะเป็นกังวลหากเรากลับบ้านค่ำกว่านี้
“คงต้องฝ่าฝนไป
ไม่งั้นคงค่ำขับรถลำบากกว่านี้”ฉันพูดพลางหยิบหมวกกันน็อคขึ้นสวม
“เจ้ยจะดีเหรอเดี๋ยวตัวเปียกเป็นไข้นะ”เอื้อยพูดค้านขึ้น
แต่ฉันก็ยังยืนยันว่าต้องรีบกลับตั้งแต่ตอนนี้
ไม่งั้นทัศนวิสัยจะแย่ลงกว่าเดิม
“งั้นเจ้ยใส่เสื้อเค้านะ
เพราะเจ้ยเป็นคนขับอยู่ด้านหน้าจะได้ช่วยบังฝนได้ไง”เอื้อยเสนอความคิด
“ไม่เอาหรอก..เดี๋ยวเอื้อยก็เปียกแทนนะสิ
อุตสาห์เอาเสื้อมา..ใส่ไปเหอะ
เค้ามีหมวกกันน็อคบังฝนที่หัวได้ก็โอแล้ว”
ฉันปฏิเสธเอื้อยไป
เอื้อยยังคงทำหน้าเป็นห่วงแต่ก็ยอมทำตามที่ฉันขอไว้
ขึ้นซ้อนรถมอเตอร์ไซค์ไปกับฉันแต่โดยดี
ตอนนี้ฝนตกแรงขึ้น
ยังไม่ทันที่ฉันจะขับรถออกไป
ตัวฉันก็เปียกปอนหมดแล้ว
ฉันมองเห็นเสื้อนักเรียนของฉันที่ตอนนี้มันเปียกน้ำฝน
ทำให้เสื้อสีขาวบางๆของฉันแนบเนื้อ
มองเห็นทั้งเสื้อซับและเสื้อชั้นในแลดูโป้ไม่เรียบร้อยมากๆ
ในขณะที่ฉันกำลังคิดกังวลเรื่องเสื้ออยู่นั้น
แขนยาวๆของเอื้อยก็อ้อมมากอดที่หน้าอกของฉันไว้
ตัวของเอื้อยแนบมาที่หลังของฉัน
ฉันได้ยินเสียงของเอื้อยดังมาข้างๆหูฉัน...
“เดี๋ยวเค้าจะกอดเจ้ยไว้ให้นะ
จะได้บังเสื้อไว้ให้ด้วย
แล้วเจ้ยจะได้ไม่หนาว”เอื้อยพูด
ตึ๊ก!!!
เสียงหัวใจของฉันอยู่ๆก็ดังแรงขึ้น
“..ขอบใจนะ”
ฉันพูดก่อนจะเอื้อมมือมาจับที่มือของเอื้อยนิดนึงเพื่อเป็นการขอบใจ
แม้ตอนนี้ความเย็นของฝนที่ตกลงมาจะทำให้ฉันหนาว
แต่ฉันกลับรู้สึกถึงร้อนที่มาจากข้างในตัวฉัน
มันเป็นความรู้สึกร้อนๆ
วูบๆวาบๆ แผ่ไปทั้งตัว
รวมไปถึงใบหน้าของฉันด้วย
...ตอนนี้ฉันรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก...ไม่รู้ว่าเอื้อยรู้สึกยังไง
ฉันค่อยๆขับรถฝ่าฝนมาโดยมีเอื้อยที่นั่งซ้อนท้ายและกอดฉันไว้ตลอดทางที่ขับมา
จนมาถึงบ้านของเอื้อย
ฝนก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
ฉันที่ต้องมาขออนุญาตแม่ของเอื้อยเพื่อที่จะไปงานวันเกิดของสาแม้จะตัวเปียกปอนแต่ก็ต้องอยู่รอแม่ของเอื้อยที่บ้านก่อน
เอื้อยบอกว่าถ้าฝนยังไม่หยุดยังไงเดี๋ยวจะให้แม่ไปส่งที่บ้าน
ในตอนแรกนั้นฉันปฏิเสธเอื้อยเอื้อย
แต่เมื่อเมื่อเอื้อยเล่าเรื่องที่ผู้หญิงใส่เสื้อสีขาวขับรถมอเตอร์ไซค์ตากฝนจนเสื้อแนบเนื้อ
โดนโจรโรคจิตตามมาถีบรถข่มขืนที่เป็นข่าวเมื่อปีก่อนนั้น
ฉันก็เลยเสียงอ่อนยอมว่าตามในเรื่องที่เอื้อยบอกมา
เอื้อยบอกว่าถ้าฝนหยุดแล้วค่อยเอาเสื้อผ้าเธอเปลี่ยนใส่กลับบ้านไปก็ได้
ฉันเดินตัวเปียกเดินเข้าไปยืนรอเอื้อยเปิดประตูบ้าน
เอื้อยค่อยๆเดินเข้าไปในบ้านที่มืดของตัวเอง
เธอต้องระวังเป็นอย่างมากเพราะน้ำที่หยดลงจากชุดนักเรียนของเธออาจจะทำให้เธอลื่นล้มได้
ฉันยืนอยู่ตรงระเบียงบ้าน
บ้านของเอื้อยเป็นทาวน์เฮาส์
ด้านหน้าบ้านจะมีสวนเล็กๆและมีเปลชิงช้าสำหรับนั่งพักผ่อน
ฉันมองดูต้นไม้พุ่มเล็กๆที่อยู่ตรงสวนหน้าบ้านเธอ
มันถูกตัดตกแต่งให้ดูเรียบร้อยและสวยงาม
ไฟที่สวนและในบ้านถูกเปิดขึ้นหลังจากที่เอื้อยเดินเข้าไปไม่นาน
ฉันมองผ่านประตูกระจกเข้าไปเห็นเอื้อยรีบเดินมาเรียกฉันให้ตามเข้าไปในบ้านเธอ
“แม่ยังไม่กลับมาเลย”
เอื้อยบอก พลางหยิบกระเป๋าของฉันมาถือให้
เธอเดินนำฉันขึ้นไปบนห้องนอนของเธอ
โดยบอกว่าเดี๋ยวเปลี่ยนเสื้อเสร็จเธอจะลงมาทำความสะอาดรอยน้ำหยดข้างล่างเอง
บ้านของเอื้อยดูสะอาดสะอ้านเรียบร้อยมาก
ภายในบ้านถูกตกแต่งไว้อย่างสวยงาม
ฉันค่อยๆเดินขึ้นห้องนอนของเอื้อยที่อยู่ชั้นสอง
ตรงหน้าประตูห้องเอื้อยมีสติ๊กเกอร์รูปคิตตี้สีชมพูรูปใหญ่ยักษ์ติดอยู่ด้วย
ฉันหยุดมองดูและอมยิ้ม
ก่อนที่เอื้อยจะหันมายิ้มให้อย่างเขินๆ
เมื่อฉันเข้าไปในห้องนอนของเอื้อย
ในตอนแรกฉันต้องยืนเก้ๆกังๆอยู่ตรงพรมเช็ดเท้าหน้าห้องเพราะกลัวพื้นห้องเปียก
เอื้อยรีบไปหาเสื้อผ้าของเธอมาให้ฉันเปลี่ยนเเป็นชุดกางเกงขาสามส่วนพร้อมด้วยเสื้อแขนยาวสีขมพูที่มีรูปหมีอยู่ด้านหน้าเสื้อ
และผ้าเช็ดตัวสองผืน
เธอบอกว่าให้ฉันอาบน้ำและสระผมเลยก็ได้จะได้ไม่เป็นหวัด
“เจ้ยอาบน้ำห้องนี้เลยนะ
เด๋วเค้าจะเข้าไปอาบที่ห้องแม่เอง”เอื้อยนำทางฉันมาที่ห้องน้ำ
ก่อนที่เธอจะรีบเดินออกจากห้องไป
เมื่อฉันอาบและเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็มานั่งรอเอื้อยที่ห้องนอน
ตอนนี้เป็นเวลา6โมงกว่า
แต่ฝนก็ยังตกหนักและแรงอย่างสม่ำเสมอ
ฉันนั่งมองไปรอบๆห้องของเอื้อย
ภายในห้องนอกจากจะมีตุ๊กตารูปคิตตี้แบบต่างๆอยู่เยอะมากแล้ว
ยังมีตุ๊กตาหมี
ตุ๊กตารูปสัตว์ชนิดต่างๆอยู่อีกเยอะ
แต่ละตัวจะมีโบว์และการ์ดเล็กๆติดอยู่ข้างๆ
จริงๆแล้วไม่ใช่จะมีแต่ตุ๊กตา
ถ้ามองไปรอบๆก็จะเห็นพวกกล่องดนตรี
กรอบรูปภาพวาดหรือของขวัญของที่ระลึกต่างๆ
ที่มีคนเอามาให้เอื้อย
...นี่คงจะมีแฟนคลับอยู่เยอะเหมือนกันสินะ..ฉันคิด
พลางนึกถึงกล่องเก็บของของตัวเอง
ของขวัญต่างๆที่เคยได้มาจากคนอื่น
..จริงๆฉันก็มีคนส่งของขวัญต่างๆให้ฉันเช่นเดียวกัน
ซึ่งมันก็เยอะพอสมควรแต่ฉันไม่ชอบเอาขึ้นมาตั้งโชว์ไว้ในห้อง
ฉันจะมีกล่องเก็บของใบใหญ่ๆสองสามใบสำหรับเก็บของชิ้นเล็กๆ
ส่วนพวกตุ๊กตาตัวใหญ่ๆฉันจะเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้า
ฉันมองไปรอบๆห้องของเอื้อยจนไปถึงเตียงนอน
ตรงหัวเตียงนอนมีกรอบรูปสี่เหลี่ยมอันหนึ่ง
จริงๆมันก็คล้ายๆกล่องแต่ด้านหน้ามันเป็นกระจกที่ส่องมองเห็นของด้านในกล่องนั้น
ฉันเพ่งตามอง
มันเป็นดอกกุหลาบดอกแห้งๆดอกนึงอยู่ในนั้น
ท่าทางจะเป็นของคนพิเศษ
เพราะที่หัวเตียงที่วางไว้ไม่มีของอย่างอื่นวางไว้เลยนอกจากกล่องกรอบกุหลาบดอกนี้
ด้วยความสงสัยฉันจึงเดินไปที่หัวเตียงและถือวิสาสะหยิบมันขึ้นมาดู
ด้านหน้ามันเป็นกรอบกระจกที่มองทะลุลงไปเห็นดอกกุหลาบแห้งๆดอกนั้น
แต่ไม่มีการ์ดหรือข้อความใดๆของผู้ให้
ฉันพลิกกรอบหงายด้านหลังขึ้นมาดูมันมีข้อความที่ถูกเขียนด้วยเมจิกสีชมพูเรืองแสงว่า
“เจ้ยให้..20
พค.2557
วันไหว้ครู”
และก็มีรูปหัวใจเล็กๆเขียนไว้ทั้งข้างหน้าและข้างหลังข้อความ...
...ในขณะที่ฉันกำลังคิดเรียบเรียงอะไรได้อยู่นั้น
เอื้อยก็เดินเข้ามาในห้อง
สีหน้าเธอตกใจที่เห็นฉันถือกรอบกุหลาบอันนั้นเอาไว้
ฉันรีบวางลงแล้วแกล้งพูดเสียงตลกๆ
ให้เอื้อยหายจากอาการนั้น
“เก็บไว้จริงๆด้วย
น่ารักจริงๆเลย”
ฉันยิ้มแล้วรีบเดินออกมาจากหัวเตียงนั้น
แล้วมานั่งที่พื้นห้องข้างล่างแทน
ในใจเริ่มรู้สึกอะไรบางอย่าง
เป็นความรู้สึกที่แปลกๆยากที่จะหาเหตุผลมาอธิบาย
เอื้อยกัดมุมปากนิดนึงก่อนที่จะบอกว่า
“อื้อ..เก็บไว้
เค้าเป็นคนชอบเก็บของที่คนให้มาน่ะ
คิดว่ามันมีคุณค่าทางจิตใจ
เวลาเหงาก็หยิบของพวกนี้ขึ้นมานั่งมองและคิดถึงเรื่องราวที่เคยได้มันมา”
เอื้อยพูดก่อนที่เธอจะนั่งลงต่อหน้าฉัน
“มันเป็นตัวแทนของคนที่เรารู้สึกคิดถึงได้อ่ะ..
เจ้ยรู้มั้ย”
เอื้อยยิ้มแล้วก็มองตาฉัน
ฉันมองตาตอบแต่พูดอะไรไม่ออก
ไม่รู้ว่าทำไม...
“ทำไมไม่เช็ดผมให้แห้งล่ะ
ทิ้งให้ผมเปียกในวันที่หนาวๆแบบนี้เดี๋ยวก็เป็นหวัดกันพอดี”เอื้อยรีบเปลี่ยนเรื่อง
แล้วก็หยิบผ้าขนหนูของฉันมาเช็ดผมฉันให้
“เดี๋ยวเค้าเช็ดให้มั้ย”แล้วเอื้อยก็หันหน้ามาที่ฉันหยิบเอาผ้าขนหนูผืนนั้นมาคลุมหัวฉันและก็ขยี้มันลงไปที่ผมเบาๆ
หน้าของเอื้อยตอนที่เช็ดผมให้นั้นน่ารักมาก
เธอยิ้มและหัวเราะเหมือนกำลังเช็ดผมให้เด็กตัวเล็กๆคนนึง
พอฉันมองท่าทางเหล่านั้นของเอื้อยแล้วมันทำให้ฉันก็รู้สึกเขินเอื้อยขึ้นมาเฉยๆซะอย่างนั้น
จริงๆเอื้อยก็พึ่งสระผมมาเหมือนกัน
ผ้าขนหนูผืนเล็กที่เธอเช็ดผมก็ยังคล้องคอเธอค้างไว้อยู่
ฉันเอื้อมมือไปหยิบผ้าขนหนูนั้นขึ้นมาเช็ดผมให้กับเอื้อยแก้เขินบ้าง
ต่างฝ่ายต่างเช็ดผมให้กัน
ฉันออกแรงเช็ดผมให้เอื้อยมากไปหน้าเลยโน้มเข้าไปใกล้กับใบหน้าของเอื้อยจนเกือบจะชิด
เหมือนเอื้อยตกใจที่เห็นใบหน้าฉันเข้าใกล้เธอในระยะประชิดขนาดนั้น
เธออึ้งสบตาฉัน
เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ฉันก็หยุดนิ่งสบตากับเอื้อย
ทุกอย่างเหมือนหยุดนิ่งอยู่ตรงนั้น
เอื้อยหยุดเช็ดผม
เธอเลื่อนมือจากผ้าเช็ดผมลงมาที่แก้มของฉัน
แล้วค่อยๆโน้มวงหน้าของเธอลงมาที่ใบหน้าของฉัน
ตึ๊ก!!!
อยู่ๆเสียงหัวใจของฉันก็เต้นดังและเร็วขึ้น
ฉันตัวแข็ง
ตามองตามตาของเอื้อยที่ตอนนี้มองต่ำลงมาที่ริมฝีปากของฉัน
ยิ่งเอื้อยใกล้เข้ามาที่ใบหน้าฉันเท่าไหร่
ใจฉันยิ่งเต้นสั่นระรัวไม่เป็นจังหวะ
..แล้วฉันก็หลับตา..
ปล่อยให้ริมฝีปากที่นุ่มนวลของเอื้อยประกบลงมาที่ริมฝีปากของฉัน
...มันเป็นจูบแรกของฉัน...
เป็นจูบแรกที่ฉันไม่เคยคิดว่าจะเป็นผู้หญิงด้วยกันที่มาจูบ
โดยเฉพาะผู้หญิงที่ฉันแอบอิจฉาในความสวย
และเพอร์เฟคของเค้ามาตลอด
...
ไม่เคยคิดจริงๆ..
...ความร้อนจากริมฝีปากของเอื้อยและฝ่ามือที่บรรจงจับที่แก้มฉันนั้นกำลังซึมผิวของฉันลงมา
ตอนนี้ฉันรู้สึกร้อนไปทั่วทั้งตัว..รวมถึงใบหน้าของฉันด้วย
ไม่รู้ว่าเอื้อยเป็นอย่างนั้นบ้างหรือเปล่า
เอื้อยค่อยๆละรีมฝีปากออกจากฉัน
เธอเงยหน้าขึ้นมองฉัน
สายตาของเอื้อยตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว
....ฉันเคยเห็นเอื้อยมองตาฉันแบบนี้บ่อยๆ
แต่ตอนนั้นพอเอื้อยรู้สึกตัวว่าฉันมองเธอก็จะหลบตา..
มันเป็นสายตาหวานซึ้งที่แฝงไว้ด้วยความห่วงหาอาทร
ที่ไม่ได้มาจากความรู้สึกของคำว่า
“เพื่อน”
“ทำอย่างนี้...ทำไม”
เป็นฉันที่ถามเอื้อยด้วยเสียงเบาๆ
และจ้องมองเอื้อยด้วยสายตาที่ไม่ค่อยอยากจะเชื่อในสิ่งที่เจอเมื่อสักครู่
เอื้อยไม่ตอบแต่ค่อยๆยื่นมือมาจับที่แก้มของฉัน
ดวงตาเธอยังจ้องอยู่ที่ตาของฉันเช่นเดิม
“ถ้าเป็นเจ้ย
เจ้ยจะทำอย่างนี้กับเค้ามั้ย”
กลายเป็นเอื้อยที่ถามคำถามใหม่กลับมาซะเอง
ฉันอึ้งเมื่อได้ยินคำถามจากเอื้อยอย่างนั้น
ถ้าเป็นฉันเหรอ.....
ฉันที่ยังจ้องมองเอื้อยเพราะยังไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ค่อยๆเอื้อมมือมาจับมือของเอื้อยที่ยังคงจับอยู่ที่แก้มของฉัน
แล้วโน้มตัวเข้าไปหาเอื้อย
ค่อยๆประกบริมฝีปากของฉันลงบนริมฝีปากของเอื้อยอีกครั้งนึง
..ใช่...
ฉันก็อยากรู้ว่าถ้าฉันทำอย่างนี้กับเอื้อยบ้างเอื้อยจะรู้สึกอย่างไร
แต่ครั้งนี้อ้อมแขนของฉันนั้นโอบกอดตัวของเอื้อยเพื่อดึงตัวของเธอเข้ามาแนบชิดกับกายฉัน
เอื้อยก็ตอบสนองกอดนั้น
เธอค่อยๆลูบแผ่นหลังของฉันเบาๆ
จูบครั้งนี้ดูดูดดื่มและเนิ่นนานกว่าครั้งแรกมาก
แต่ก่อนที่จะมีอะไรเลยเถิดไปกว่านี้เสียงออดประตูบ้านก็ดังขึ้น
เอื้อยค่อยๆผละออกจากฉัน
เธอมองฉันอย่างเสียดาย
ฉันเองก็เช่นกัน
“แม่คงมาแล้ว
เด๋วเค้าไปเปิดประตูให้แม่ก่อนนะ”
เอื้อยยื่นมือมาจับที่แก้มฉันนิดนึง
“อือ..”
ฉันก้มหน้าลงเพราะใจนึกอายในสิ่งที่ทำไปเมื่อกี้อยู่
เอื้อยรีบวิ่งลงไปเปิดประตูให้แม่
ทิ้งให้ฉันนั่งอึ้งคิดในสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อกี้อยู่
...นี่แสดงว่า
เอื้อยชอบเราจริงๆ ไม่สิ..
เธอรักเรา
แล้วเราก็...รัก..เอื้อยเหมือนกัน...
ฉันเผลอยิ้มนิดนึงตอนคิด
มือก็เผลอมาจับที่ริมฝีปากของตัวเองเมื่อกี้นี้
ก่อนจะนึกขึ้นได้เรื่องที่ต้องมาขอแม่เอื้อยเรื่องไปงานวันเกิดเพื่อนให้
ฉันจึงรีบเดินลงไปข้างล่างเพื่อหาแม่ของเอื้อย
พอลงไปถึงบันได
เอื้อยมองเห็นฉัน
เหมือนเธอประหม่านิดนึงก่อนจะบอกให้แม่มองมาที่ฉันแล้วแนะนำฉันให้แม่รู้จัก
ฉันรีบเดินลงไปไหว้แม่ของเอื้อยและแนะนำตัวเอง
คุณแม่ของเอื้อยนั้นท่านดูสวยสง่าและดูปราดเปรียวมากๆ
ไม่เหมือนเอื้อยที่เธอจะดูหวานๆนิ่งๆ
เคลื่อนไหวช้าๆเนิบๆ
เธอจะไม่ค่อยพูดกับใครเลยถ้าเธอไม่สนิทด้วย
แต่ถ้าเป็นเรื่องความสวยแล้วเอื้อยคงได้คุณแม่มาเต็มๆ
“แหม
ไม่น่าล่ะ
เอื้อยชมหนูว่าหนูสวยอย่างนั้นสวยอย่างนี้ให้แม่ฟังทุกๆวัน
ที่แท้ก็สวยสมคำร่ำลือจริงๆนี่เอง”
“ขอบคุณค่ะคุณแม่
หนูสวยไม่สู้เอื้อยหรอกค่ะคุณแม่
...”
ฉันยกมือไหว้และยิ้มให้แม่ก่อนที่จะหันไปมองตาหวานๆของเอื้อยที่ได้ยินคำชมของฉันเมื่อครู่นี้
“เอื้อยเค้าทั้งสวยและใจดี”
ฉันพูดตอนที่หันไปทางเอื้อย
เอื้อยหน้าแดงขึ้นทันที
แม่ของเอื้อยชวนฉันทานมื้อค่ำด้วยแต่ฉันปฏิเสธเพราะกลัวแม่ของฉันจะเป็นห่วงแม้ในใจจะยังอยากอยู่ใกล้ๆกันกับเอื้อยอีกก็ตาม
ฉันเล่าเรื่องที่ฉันกับเพื่อนจะจัดวันเกิดสากันในวันเสาร์ที่จะถึงนี้เพื่อที่จะขออนุญาติแม่
แม่ก็ยอมให้ไปเพราะไว้ใจในตัวฉัน
“รู้มั้ยว่าเอื้อยเค้าปลื้มหนูมากเลยนะ
มาเล่าเรื่องหนูให้แม่ฟังตั้งแต่วันแรกที่ย้ายห้องไปอยู่ห้องเดียวกันโน้นแน่ะ
ทำยังกับว่าหนูเป็นไอดอลของเค้าอย่างนั้น”
เอื้อยเอื้อมมือไปดึงแขนแม่เบาๆเพื่อเป็นการบอกแม่ไม่ให้เผยเรื่องราวของเธอไปมากกว่านี้
“แม่ฝากดูแลลูกสาวแม่คนนี้ด้วยนะ
ยังไงก็อย่าทิ้งกันมีอะไรก็ช่วยๆกันนะลูก”
แม่เอื้อมมือมาจับที่ไหล่ของฉันเหมือนเป็นการฝากฝังลูกสาวของแม่เอาไว้
“ค่ะ
แม่ หนูสัญญาว่าจะดูแลลูกสาวของแม่คนนี้ตลอดไป”
ฉันตอบรับแม่แต่สายตาแอบชำเรืองไปมองเอื้อยด้วยความห่วงหาอาทรที่ตอนนี้มันกลายเป็นเกินคำว่า
“เพื่อน” ไปแล้ว
ฝนหยุดตกแล้ว
ตอนนี้เป็นเวลา1ทุ่มกว่า
แม่เอื้อยบอกว่าแม่จะขับรถไปส่งฉันที่บ้านเอง
แต่ฉันปฏิเสธเพราะไม่อยากทิ้งรถไว้ที่บ้านเอื้อย
แล้วพรุ่งนี้จะไม่มีใครมารับ
แต่เอื้อยขอให้แม่ขับรถตามฉันมาส่งที่บ้านเพราะเป็นห่วง
เมื่อถึงบ้านฉันรีบอาบน้ำเพื่อที่จะได้นอนพักผ่อน
แต่ก่อนนอนสายเข้าของเอื้อยก็ดังมา
และนี่เป็นครั้งแรกที่เราคุยกันเรื่องไร้สาระอะไรก็ไม่รู้ตั้งแต่
3ทุ่มยาวไปจนถึงเทียงคืนก่อนที่ฉันจะบอกให้เอื้อยวางสายซะ
เพราะพรุ่งนี้ต้องไปซื้อของไปงานวันเกิดของสากัน
เอื้อยจึงยอม
“คิดถึงนะ..ฝันดี”
เอื้อยบอกก่อนจะวางสาย
“คิดถึงอะไร
พึ่งออกจากบ้านมาเมื่อกี้”
ฉันหัวเราะขำๆ
“ก็คิดถึงนั่นล่ะ..เจ้ยรู้มั้ยว่าเค้าไม่เคยมีแฟนซักคนเลยนะ..เจ้ยเป็นคนแรกนะ..ที่เค้า...”เอื้อยพูดเสียงหวานๆ
“เค้าอะไร..”ฉันถามทั้งๆที่รู้คำตอบ
“เค้ารัก...
แม้เจ้ยจะเป็นผู้หญิงด้วยกันก็ตาม”เอื้อยพูดอย่างเขินอาย
“อื้ม
รักเหมือนกัน” ฉันตอบแบบเขินๆบ้าง
“จริงๆนะ”เอื้อยถามย้ำ
“อื้อ..รัก..นอนซะเถอะพรุ่งนี้จะได้เจอกันนะ”
“จ้า
ฝันดีนะ” เอื้อยพูดก่อนจะวางสายไป
ส่วนฉันนั่งยิ้มมองโทรศัพท์
แล้วตาก็ชำเรืองมองมาเห็นเจ้ากระพรวนคิตตี้ตัวเก่า
ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วจุ๊บลงไปที่ตัวกระพรวนคิตตี้นั้นอย่างมีความสุขลุกขึ้นจะปิดไฟนอนแต่ก็นึกอะไรบางอย่างได้
..เฮ้..ผู้หญิงกับผู้หญิงคบกัน
แล้วอะไรยังไง...
ฉันไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้มาก่อน
ไม่รู้แม้กระทั่งผู้หญิงกับผู้ชายคบกันแล้วเรื่องอย่างว่าจะเป็นอย่างไร
มันช่างน่าสงสัยยิ่งนัก
เมื่อเอื้อยได้ first
kiss ของเราไปแล้ว
เแล้วสิ่งต่อไปคืออะไร..????
ฉันเปิดโทรศัพท์ค้นข้อมูลในGoogle
ใจนึกลังเลเหมือนจะละอายในสิ่งที่คิด
แต่เมื่อคิดๆดูแล้วมันก็เป็นเรื่องจริง
ในเมื่อเราไม่รู้เราจะอายทำไม
เอาน่ะลองดูไม่มีใครรู้กับเราหรอก
ฉันคิดก่อนที่จะพิมพ์ข้อความ
“เลสเบี้ยน” ลงไปในช่องคำค้นหา
แล้วGoogle
ก็แสดงผลลัพธ์การค้นหาเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่ฉันค้นออกมาเต็มหน้าจอ
ฉันอ่านดูข้อความที่เป็นไตเติลของหน้าเว็บต่างๆแล้วก็อึ้ง
“ประสบการณ์เลสเบี้ยน”
“ชุมชนเลสเบี้ยน”
“เผยเรื่องบนเตียงเลสเบี้ยน”
“หนังโป้เลสเบี้ยน” ฉันอ้าปากค้าง
นึกในใจนี่มันมีเรื่องอย่างนี้เยอะแล้วใช่มั้ย
ใจนึกลังเลว่าควรจะคลิ๊กเข้าไปอ่านในหน้าเว็บเหล่านั้นดีมั้ยเพราะยังรู้สึกละอายและเขินในเรื่องราวอย่างว่าอยู่
...แม้แต่ในห้องเรียนครูยังสอนเพศศึกษาระหว่างชายหญิงเลย
ในเมื่อมันไม่มีในตำรามันก็จำเป็นที่จะต้องหาข้อมูลนี่นา
ไม่มีใครเค้าสอนสักหน่อยว่าผู้หญิงกับผู้หญิงมีอะไรกันจะเป็นยังไง
ศึกษาไว้สักหน่อยก็คงไม่เสียหายมั้ง
...หึๆ..เผื่อเอื้อยจะทำอะไรอย่างนั้นเราก็จะได้ป้องกันตัวเองได้
…
ในที่สุดฉันก็หาเหตุผลที่จะทำการเปิดดูเว็บไซต์เหล่านั้นได้
โอย..นี่ฉันคงไม่ถึงขั้นโรคจิตหรอกใช่มั้ย..แม่จ๋าพ่อจ๋าอย่าว่าหนูเลยนะ
ฉันนั่งคิดขณะที่นั่งเปิดดูเว็บไซต์เหล่านั้นตลอดทั้งคืน
จนกระทั่งง่วงหลับไป