วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2558


Girlfriend
Chapter 6


           
.เกินเพื่อน....

วันนี้เป็นวันศุกร์ก่อนวันเกิดของสา เอื้อยไม่ลืมที่จะรบเร้าฉันให้ไปที่บ้านเพื่อขออนุญาติแม่ของเธอให้ ฉันสัญญาว่าตอนไปส่งเธอที่บ้านจะแวะเข้าไปหาแม่ของเธอเพื่ออนุญาติให้อีกทีนึง ได้ยินดังนั้นเธอก็นั่งยิ้มหัวเราะร่าตลอดทั้งวัน จนฉันแอบแซวว่าดีใจที่ได้มาวันเกิดเพื่อนหรือดีใจที่ได้ออกบ้านตอนกลางคืนกันแน่
เอื้อยหุบยิ้ม แล้วทำหน้างอนฉันหันหน้าไปทางอื่น ฉันอดขำในอากัปกริยาของเอื้อยไม่ได้ นี่คือการแกล้งหรือหยอกกันที่เรามักจะทำบ่อยขึ้นกว่าเดิม จากที่แต่ก่อนฉันยังแอบเกรงใจเอื้อยอยู่ แต่เหมือนพอเรารู้ว่าอีกฝ่ายนั้นมีใจให้เราเราก็อยากแสดงให้เห็นว่าเราก็แอบสนใจเขาเช่นเดียวกัน อยากใกล้ อยากคุย อยากหยอก อาการเหล่านี้มันจะเกิดขึ้นมาเองโดยไม่ได้ไปบังคับฝืนใจให้ต้องแสดงออกเลย
นับตั้งแต่คืนที่เอื้อยโทรมาหาฉันกลางดึกนั้นเป็นต้นมา ฉันกับเอื้อยจะแอบมองตากัน หยอกล้อกันแบบที่เพื่อนทั่วๆไปไม่หยอกกันอยู่บ่อยๆอยู่สองคน เรามักจะอยู่ด้วยกันบ่อยและนานขึ้น นั่นเริ่มทำให้ฉันกับเอื้อยเริ่มรู้สึกถึงบางอย่างที่กำลังเปลี่ยนไปในคำว่า “เพื่อน” ของเราทั้งสองแล้ว แม้เวลาอยู่ด้วยกันสองคน เราจะทำสิ่งที่เพื่อนๆทั่วไปไม่ทำกัน แต่ฉันกลับไม่กล้าที่จะแสดงออกอะไรต่อหน้าคนอื่นๆมากนัก คงเป็นเพราะฉันยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจในความสัมพันธ์ระหว่าง “ผู้หญิงกับผู้หญิง” อยู่ก็เป็นได้ แต่ฉันสังเกตว่าเอื้อยไม่ได้กลัวคนเห็นอย่างฉัน เธอมักจะแสดงออกทุกครั้งที่อยากแสดงแม้จะมีคนอยู่ด้วยหรือไม่ก็ตาม เอื้อยจะแสดงอาการดีใจทุกๆครั้งที่มีคนแซวว่าเราสองคนเป็น “แฟน”กัน
แม้เราจะไม่เคยถามถึงสิ่งที่อยู่ในใจของเราทั้งสองคน และลึกๆฉันก็ยังแอบสงสัยอยู่ว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่นี้มันยังอยู่ในคำจำกัดความของคำว่า “เพื่อน” อยู่หรือเปล่า
แต่ฉันก็รับรู้ได้ว่าทั้งฉันและก็เอื้อยกำลังค่อยๆข้ามก้าวผ่านคำว่า “เพื่อนรัก” ไปเป็นบางสิ่งที่พิเศษกว่านั้นแล้วในตอนนี้
เที่ยงวันนี้ เอื้อยไปประชุมชมรมเธอฝากโทรศัพท์ไว้ที่ฉัน เธออ้างว่าขี้เกียจรับสายหรือแชทกับคนที่ไลน์มาหาเธอ ฉันรับปากจะดูแลโทรศัพท์ให้อย่างดี
อย่าแอบดูโทรศัพท์เค้านะ” เอื้อยทำหน้าเจ้าเล่ห์ก่อนที่จะยกมือบ้ายบาย เดินไปที่ประชุม
ฉันหยิบโทรศัพท์มาดู สายคล้องคิตตี้สีชมพูยังดังกรุ้งกริ้งๆอยู่เหมือนเดิม มันทำให้ฉันยิ้มเพราะนึกถึงที่มาของมันได้
เสียงจอแจในท้ายห้องเรียนเป็นเสียงของเพื่อนๆที่กำลังคิดธีมงานปาร์ตี้ของวันเกิดสาพรุ่งนี้ ฉันปลีกตัวออกมาหลังจากที่แสดงความเห็นไปบ้างบางเรื่อง เนื่องจากรู้สึกว่าโทรศัพท์ของเอื้อยสั่นอยู่ตลอด
ฉันกลับมานั่งที่โต๊ะของตัวเองหน้าห้อง ก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์ของเอื้อยขึ้นมากดเปิดดูว่ามีข้อความอะไรเข้า ภาพที่ฉันเห็นก็คือข้อความของบรรดาเพื่อนๆของเอื้อยทักมาในไลน์ แต่นั่นไม่น่าสนใจเท่ากับภาพวอลเปเปอร์โทรศัพท์ของเอื้อย เพราะภาพที่ฉันเห็นคือรูปของ “ฉัน” เป็นภาพที่ฉันใส่ชุดนักเรียนกำลังนั่งฟังเพลงที่ลานม้านั่งไม่แน่ใจว่าเอื้อยแอบถ่ายรูปนี้ไว้แต่ตอนไหน มันก็ดูสวยดีนะ แต่รู้สึกว่าภาพนี้ฉันไม่รู้ตัวเลยว่าโดนถ่ายรูป
ช่างน่าสงสัยเหลือเกิน.... ฉันอยากรู้ซะแล้วสิว่าเอื้อยไปเอารูปของฉันรูปนี้มากจากไหน
แม้ในใจจะได้ยินเสียงที่เอื้อยพูดก่อนไป “อย่าแอบดูโทรศัพท์เค้านะ” ซ้ำไปซ้ำมา แต่ความอยากรู้อยากเห็นมันช่างยั่วยวนจิตใจให้ฉันทำผิดสัญญาที่ให้ไว้กับเอื้อยเหลือเกิน ฉันเลยถือวิสาสะแอบเปิดดูอัลบั้มภาพถ่ายของเอื้อย
แทนที่ฉันจะเห็นภาพของเอื้อยในกล้องของตัวเอื้อยเองแล้ว กลายเป็นว่ามีแต่ภาพของฉันซะเป็นส่วนใหญ่ในอัลบั้มภาพล่าสุด ฉันนั่งเลื่อนดูภาพ ภาพบางภาพฉันก็รู้ตัวว่าเอื้อยถ่ายฉัน บางภาพฉันก็ไม่รู้ตัว สร้างความสงสัยให้กับฉันว่าเอื้อยไปแอบถ่ายภาพฉันไว้ตั้งแต่ตอนไหนเยอะแยะ
ดูอะไรอ่ะ” อยู่ๆเสียงใครคนหนึ่งที่ดูคุ้นหูดังมาที่ข้างหลังของฉัน เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเป็นเสียงใคร สันหลังฉันก็เย็นวาบขึ้นทันที พลันฉันก็รีบหันกลับไปมองเจ้าของเสียง
เอื้อย..”ตอนนี้ฉันรู้ตัวว่าคงหน้าถอดสีมากๆ
ทำไมไม่รักษาสัญญาเลยล่ะ” เสียงเอื้อยดัดเป็นเสียงเข้มๆดุๆไม่เหมือนก่อน
ขอโทษ..”ฉันพูดเสียงอ่อยๆก่อนจะยื่นโทรศัพท์คืนให้กับเอื้อย เอื้อยรีบหยิบโทรศัพท์คืน เธอไม่พูดอะไรแต่หน้าบึ้งรีบนั่งลงที่เก้าอี้ตัวเองก่อนจะทำเป็นเก็บโทรศัพท์กับเข้ากระเป๋ากระโปรงตัวเองไว้
ไว้ใจไม่ได้เลยนะ” เสียงดัดเข้มๆดุๆลอยลมมาโดยที่เจ้าของเสียงไม่หันหน้ามาทางผู้ฟังแม้แต่น้อย
ฉันกลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อนที่จะโน้มตัวเองแล้วฟุบหน้าแนบไปกับโต๊ะแล้วหงายหน้าไปทางที่เอื้อยนั่งอยู่
ขอโทษนะคะ...คนสวย..” ฉันลากเสียงยาวๆและพยายามทำเสียงให้หวานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เอื้อยหันมาชำเรืองมองฉันนิดนึง ในจังหวะนั้นฉันพยายามทำตากระพริบขึ้นลงไปมาอย่างที่เอื้อยชอบทำกับฉันให้เธอเห็นบ้าง และเหมือนจะได้ผล เอื้อยยิ้มที่มุมปากนิดนึงก่อนที่จะหลุดหัวเราะออกมา
ทำแบบนี้เป็นด้วยเหรอ..ไหนว่าไม่ชอบให้ใครมาอ้อนไง”เอื้อยทั้งหัวเราะทั้งพูด
ฉันไม่พูด แต่เหมือนนึกอะไรขึ้นได้บางอย่างรีบลุกขึ้นมานั่งแล้วหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาถ่ายภาพตอนหัวเราะไว้ เอื้อยหยุดหัวเราะแล้วหันมาจ้องที่โทรศัพท์แทน
อ้า..ทำไมถ่ายตอนนี้ล่ะ มันไม่สวยนะ” เสียงเอื้อยที่ทำหน้าเหวอๆถาม ตอนนี้เธอคงกำลังอยากรู้อยากเห็นว่าภาพที่ออกมานั้นจะเป็นอย่างไร
ก็เหมือนเอื้อยไง ถ่ายรูปเค้าไว้ทำไม บางรูปขี้เหล่จะตายยังเอาไว้อยู่” ฉันพูดพลางก้มมองที่โทรศัพท์แล้วแอบมองชำเรืองที่ใบหน้าเหวอๆของเอื้อย ดูแล้วช่างตลกนัก
มันไม่เหมือนกันนะ...เค้าไม่ได้แกล้งเจ้ยนะ” เอื้อยพูดแทรกขึ้น
ไม่เหมือนยังไง”ฉันถามคืนบ้าง
เอื้อยไม่ตอบ แต่เธอกลับจ้องหน้าของฉันแทน มันแปลกตรงที่เมื่อฉันเห็นแววตาของเอื้อยแล้วฉันกลับหัวเราะไม่ออก กลายเป็นนั่งอึ้งก้มลงมองรูปของเอื้อยที่ถ่ายในโทรศัพท์เมื่อกี้แทน โดยที่ไม่ทันได้คิดอะไรมากฉันก็กดตั้งค่าให้รูปของเอื้อยเมื่อกี้ให้เป็นวอลล์เปเปอร์ในโทรศัพท์ของฉันเอง แล้วฉันก็ส่งโทรศัพท์ของฉันให้เอื้อยดู
ขอตั้งเป็นวอล์เปเปอร์นะถ้าอย่างนั้น” ฉันขอเอื้อย
เอื้อยมองหน้าฉันนิดนึงก่อนจะพูดขึ้น “ตั้งทำไม..มันไม่ได้มีความหมายอะไรนี่นา”
ใครว่าล่ะ..ความหมายของเค้าก็เหมือนเอื้อยนั่นล่ะ” ฉันชำเรืองตาไปมองที่เอื้อยแล้วยิ้มอย่างจริงใจ มันไม่ได้เสแสร้งแต่มันคือความรู้สึกจริงๆที่ฉันอยากแสดงให้เอื้อยรู้
แลกกันนะ” ฉันยิ้มนิดนึงก่อนที่จะดึงโทรศัพท์ของฉันคืนมาเก็บไว้ โดยที่มีเอื้อยมองตามด้วยใบหน้าแดงๆของเธอ
ตอนเลิกเรียน ตอนฉันจะกลับบ้านฝนเจ้ากรรมก็ดันตกลงมา ซึ่งก็เป็นปกติของช่วงปลายเดือนกรฏาคมที่เป็นฤดูฝน
ฉันมักจะตั้งข้อสังเกตว่าฝนมักจะตกตอนเลิกเรียนทุกวัน ตอนเช้าแดดจะออกจะร้อนยังไง แต่ตกเย็นเวลาเลิกเรียนทีไร ฝนมักจะตกทุกที
เด็กนักเรียนหลายคนให้ผู้ปกครองมารับ บางคนต้องรอให้ฝนหยุดก่อนถึงจะกลับบ้านได้
ฉันที่ขับมอเตอร์ไซค์มาเอง ปกติก็จะพกเสื้อกันฝนมาด้วย ยกเว้นวันนี้
ใช่..วันนี้ฉันลืมเอาเสื้อกันฝนที่ฉันตากลมเอาไว้หลังจากที่กลับบ้านเมื่อวานมาด้วย
ฉันนึกโมโหในความสะเพร่าของตัวเองในใจ
...นึกถึงภาพตอนที่ไปรับเอื้อยมาโรงเรียนด้วยกัน ฉันเห็นเอื้อยสวมเสื้อกันหนาวสีดำมาด้วย
เธอบอกว่าเอาไว้ใส่กันเผื่อฝนตก มันจะบังเสื้อนักเรียนเราได้
..อืม เป็นความคิดที่ดี ไว้วันหน้าฉันจะใส่มาบ้างแล้วกัน ฉันคิดในขณะที่ก้มมองดูเสื้อนักเรียนสีขาวบางๆของตัวเอง
...นี่ฉันคงต้องรอให้ฝนหยุดตกซะก่อน
แต่ดูจากเวลาแล้วตอนนี้สี่โมงเย็นกว่าแล้ว ฝนยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก ฟ้าก็มืดลงมาเรื่อยๆ ฉันมองหน้าเอื้อยที่รอฝนหยุดอยู่ข้างๆฉัน
นึกเป็นห่วงว่าพ่อแม่เราจะเป็นกังวลหากเรากลับบ้านค่ำกว่านี้
คงต้องฝ่าฝนไป ไม่งั้นคงค่ำขับรถลำบากกว่านี้”ฉันพูดพลางหยิบหมวกกันน็อคขึ้นสวม
เจ้ยจะดีเหรอเดี๋ยวตัวเปียกเป็นไข้นะ”เอื้อยพูดค้านขึ้น
แต่ฉันก็ยังยืนยันว่าต้องรีบกลับตั้งแต่ตอนนี้ ไม่งั้นทัศนวิสัยจะแย่ลงกว่าเดิม
งั้นเจ้ยใส่เสื้อเค้านะ เพราะเจ้ยเป็นคนขับอยู่ด้านหน้าจะได้ช่วยบังฝนได้ไง”เอื้อยเสนอความคิด
ไม่เอาหรอก..เดี๋ยวเอื้อยก็เปียกแทนนะสิ อุตสาห์เอาเสื้อมา..ใส่ไปเหอะ เค้ามีหมวกกันน็อคบังฝนที่หัวได้ก็โอแล้ว” ฉันปฏิเสธเอื้อยไป เอื้อยยังคงทำหน้าเป็นห่วงแต่ก็ยอมทำตามที่ฉันขอไว้ ขึ้นซ้อนรถมอเตอร์ไซค์ไปกับฉันแต่โดยดี
ตอนนี้ฝนตกแรงขึ้น ยังไม่ทันที่ฉันจะขับรถออกไป ตัวฉันก็เปียกปอนหมดแล้ว
ฉันมองเห็นเสื้อนักเรียนของฉันที่ตอนนี้มันเปียกน้ำฝน ทำให้เสื้อสีขาวบางๆของฉันแนบเนื้อ มองเห็นทั้งเสื้อซับและเสื้อชั้นในแลดูโป้ไม่เรียบร้อยมากๆ
ในขณะที่ฉันกำลังคิดกังวลเรื่องเสื้ออยู่นั้น
แขนยาวๆของเอื้อยก็อ้อมมากอดที่หน้าอกของฉันไว้ ตัวของเอื้อยแนบมาที่หลังของฉัน ฉันได้ยินเสียงของเอื้อยดังมาข้างๆหูฉัน...
เดี๋ยวเค้าจะกอดเจ้ยไว้ให้นะ จะได้บังเสื้อไว้ให้ด้วย แล้วเจ้ยจะได้ไม่หนาว”เอื้อยพูด
ตึ๊ก!!! เสียงหัวใจของฉันอยู่ๆก็ดังแรงขึ้น
“..ขอบใจนะ” ฉันพูดก่อนจะเอื้อมมือมาจับที่มือของเอื้อยนิดนึงเพื่อเป็นการขอบใจ
แม้ตอนนี้ความเย็นของฝนที่ตกลงมาจะทำให้ฉันหนาว แต่ฉันกลับรู้สึกถึงร้อนที่มาจากข้างในตัวฉัน มันเป็นความรู้สึกร้อนๆ วูบๆวาบๆ แผ่ไปทั้งตัว รวมไปถึงใบหน้าของฉันด้วย
...ตอนนี้ฉันรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก...ไม่รู้ว่าเอื้อยรู้สึกยังไง
ฉันค่อยๆขับรถฝ่าฝนมาโดยมีเอื้อยที่นั่งซ้อนท้ายและกอดฉันไว้ตลอดทางที่ขับมา
จนมาถึงบ้านของเอื้อย ฝนก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ฉันที่ต้องมาขออนุญาตแม่ของเอื้อยเพื่อที่จะไปงานวันเกิดของสาแม้จะตัวเปียกปอนแต่ก็ต้องอยู่รอแม่ของเอื้อยที่บ้านก่อน เอื้อยบอกว่าถ้าฝนยังไม่หยุดยังไงเดี๋ยวจะให้แม่ไปส่งที่บ้าน ในตอนแรกนั้นฉันปฏิเสธเอื้อยเอื้อย แต่เมื่อเมื่อเอื้อยเล่าเรื่องที่ผู้หญิงใส่เสื้อสีขาวขับรถมอเตอร์ไซค์ตากฝนจนเสื้อแนบเนื้อ โดนโจรโรคจิตตามมาถีบรถข่มขืนที่เป็นข่าวเมื่อปีก่อนนั้น ฉันก็เลยเสียงอ่อนยอมว่าตามในเรื่องที่เอื้อยบอกมา
เอื้อยบอกว่าถ้าฝนหยุดแล้วค่อยเอาเสื้อผ้าเธอเปลี่ยนใส่กลับบ้านไปก็ได้
ฉันเดินตัวเปียกเดินเข้าไปยืนรอเอื้อยเปิดประตูบ้าน
เอื้อยค่อยๆเดินเข้าไปในบ้านที่มืดของตัวเอง เธอต้องระวังเป็นอย่างมากเพราะน้ำที่หยดลงจากชุดนักเรียนของเธออาจจะทำให้เธอลื่นล้มได้
ฉันยืนอยู่ตรงระเบียงบ้าน บ้านของเอื้อยเป็นทาวน์เฮาส์ ด้านหน้าบ้านจะมีสวนเล็กๆและมีเปลชิงช้าสำหรับนั่งพักผ่อน ฉันมองดูต้นไม้พุ่มเล็กๆที่อยู่ตรงสวนหน้าบ้านเธอ มันถูกตัดตกแต่งให้ดูเรียบร้อยและสวยงาม
ไฟที่สวนและในบ้านถูกเปิดขึ้นหลังจากที่เอื้อยเดินเข้าไปไม่นาน ฉันมองผ่านประตูกระจกเข้าไปเห็นเอื้อยรีบเดินมาเรียกฉันให้ตามเข้าไปในบ้านเธอ
แม่ยังไม่กลับมาเลย” เอื้อยบอก พลางหยิบกระเป๋าของฉันมาถือให้
เธอเดินนำฉันขึ้นไปบนห้องนอนของเธอ โดยบอกว่าเดี๋ยวเปลี่ยนเสื้อเสร็จเธอจะลงมาทำความสะอาดรอยน้ำหยดข้างล่างเอง
บ้านของเอื้อยดูสะอาดสะอ้านเรียบร้อยมาก ภายในบ้านถูกตกแต่งไว้อย่างสวยงาม
ฉันค่อยๆเดินขึ้นห้องนอนของเอื้อยที่อยู่ชั้นสอง
ตรงหน้าประตูห้องเอื้อยมีสติ๊กเกอร์รูปคิตตี้สีชมพูรูปใหญ่ยักษ์ติดอยู่ด้วย
ฉันหยุดมองดูและอมยิ้ม ก่อนที่เอื้อยจะหันมายิ้มให้อย่างเขินๆ
เมื่อฉันเข้าไปในห้องนอนของเอื้อย ในตอนแรกฉันต้องยืนเก้ๆกังๆอยู่ตรงพรมเช็ดเท้าหน้าห้องเพราะกลัวพื้นห้องเปียก เอื้อยรีบไปหาเสื้อผ้าของเธอมาให้ฉันเปลี่ยนเเป็นชุดกางเกงขาสามส่วนพร้อมด้วยเสื้อแขนยาวสีขมพูที่มีรูปหมีอยู่ด้านหน้าเสื้อ และผ้าเช็ดตัวสองผืน เธอบอกว่าให้ฉันอาบน้ำและสระผมเลยก็ได้จะได้ไม่เป็นหวัด
เจ้ยอาบน้ำห้องนี้เลยนะ เด๋วเค้าจะเข้าไปอาบที่ห้องแม่เอง”เอื้อยนำทางฉันมาที่ห้องน้ำ ก่อนที่เธอจะรีบเดินออกจากห้องไป
เมื่อฉันอาบและเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็มานั่งรอเอื้อยที่ห้องนอน
ตอนนี้เป็นเวลา6โมงกว่า แต่ฝนก็ยังตกหนักและแรงอย่างสม่ำเสมอ
ฉันนั่งมองไปรอบๆห้องของเอื้อย ภายในห้องนอกจากจะมีตุ๊กตารูปคิตตี้แบบต่างๆอยู่เยอะมากแล้ว ยังมีตุ๊กตาหมี ตุ๊กตารูปสัตว์ชนิดต่างๆอยู่อีกเยอะ แต่ละตัวจะมีโบว์และการ์ดเล็กๆติดอยู่ข้างๆ
จริงๆแล้วไม่ใช่จะมีแต่ตุ๊กตา ถ้ามองไปรอบๆก็จะเห็นพวกกล่องดนตรี กรอบรูปภาพวาดหรือของขวัญของที่ระลึกต่างๆ ที่มีคนเอามาให้เอื้อย
...นี่คงจะมีแฟนคลับอยู่เยอะเหมือนกันสินะ..ฉันคิด พลางนึกถึงกล่องเก็บของของตัวเอง ของขวัญต่างๆที่เคยได้มาจากคนอื่น
..จริงๆฉันก็มีคนส่งของขวัญต่างๆให้ฉันเช่นเดียวกัน ซึ่งมันก็เยอะพอสมควรแต่ฉันไม่ชอบเอาขึ้นมาตั้งโชว์ไว้ในห้อง ฉันจะมีกล่องเก็บของใบใหญ่ๆสองสามใบสำหรับเก็บของชิ้นเล็กๆ ส่วนพวกตุ๊กตาตัวใหญ่ๆฉันจะเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้า
ฉันมองไปรอบๆห้องของเอื้อยจนไปถึงเตียงนอน
ตรงหัวเตียงนอนมีกรอบรูปสี่เหลี่ยมอันหนึ่ง จริงๆมันก็คล้ายๆกล่องแต่ด้านหน้ามันเป็นกระจกที่ส่องมองเห็นของด้านในกล่องนั้น ฉันเพ่งตามอง มันเป็นดอกกุหลาบดอกแห้งๆดอกนึงอยู่ในนั้น ท่าทางจะเป็นของคนพิเศษ เพราะที่หัวเตียงที่วางไว้ไม่มีของอย่างอื่นวางไว้เลยนอกจากกล่องกรอบกุหลาบดอกนี้
ด้วยความสงสัยฉันจึงเดินไปที่หัวเตียงและถือวิสาสะหยิบมันขึ้นมาดู
ด้านหน้ามันเป็นกรอบกระจกที่มองทะลุลงไปเห็นดอกกุหลาบแห้งๆดอกนั้น แต่ไม่มีการ์ดหรือข้อความใดๆของผู้ให้ ฉันพลิกกรอบหงายด้านหลังขึ้นมาดูมันมีข้อความที่ถูกเขียนด้วยเมจิกสีชมพูเรืองแสงว่า

เจ้ยให้..20 พค.2557 วันไหว้ครู”

และก็มีรูปหัวใจเล็กๆเขียนไว้ทั้งข้างหน้าและข้างหลังข้อความ...
...ในขณะที่ฉันกำลังคิดเรียบเรียงอะไรได้อยู่นั้น เอื้อยก็เดินเข้ามาในห้อง
สีหน้าเธอตกใจที่เห็นฉันถือกรอบกุหลาบอันนั้นเอาไว้
ฉันรีบวางลงแล้วแกล้งพูดเสียงตลกๆ ให้เอื้อยหายจากอาการนั้น
เก็บไว้จริงๆด้วย น่ารักจริงๆเลย” ฉันยิ้มแล้วรีบเดินออกมาจากหัวเตียงนั้น แล้วมานั่งที่พื้นห้องข้างล่างแทน ในใจเริ่มรู้สึกอะไรบางอย่าง เป็นความรู้สึกที่แปลกๆยากที่จะหาเหตุผลมาอธิบาย
เอื้อยกัดมุมปากนิดนึงก่อนที่จะบอกว่า
อื้อ..เก็บไว้ เค้าเป็นคนชอบเก็บของที่คนให้มาน่ะ คิดว่ามันมีคุณค่าทางจิตใจ เวลาเหงาก็หยิบของพวกนี้ขึ้นมานั่งมองและคิดถึงเรื่องราวที่เคยได้มันมา” เอื้อยพูดก่อนที่เธอจะนั่งลงต่อหน้าฉัน
มันเป็นตัวแทนของคนที่เรารู้สึกคิดถึงได้อ่ะ.. เจ้ยรู้มั้ย” เอื้อยยิ้มแล้วก็มองตาฉัน ฉันมองตาตอบแต่พูดอะไรไม่ออก ไม่รู้ว่าทำไม...
ทำไมไม่เช็ดผมให้แห้งล่ะ ทิ้งให้ผมเปียกในวันที่หนาวๆแบบนี้เดี๋ยวก็เป็นหวัดกันพอดี”เอื้อยรีบเปลี่ยนเรื่อง แล้วก็หยิบผ้าขนหนูของฉันมาเช็ดผมฉันให้
เดี๋ยวเค้าเช็ดให้มั้ย”แล้วเอื้อยก็หันหน้ามาที่ฉันหยิบเอาผ้าขนหนูผืนนั้นมาคลุมหัวฉันและก็ขยี้มันลงไปที่ผมเบาๆ หน้าของเอื้อยตอนที่เช็ดผมให้นั้นน่ารักมาก เธอยิ้มและหัวเราะเหมือนกำลังเช็ดผมให้เด็กตัวเล็กๆคนนึง พอฉันมองท่าทางเหล่านั้นของเอื้อยแล้วมันทำให้ฉันก็รู้สึกเขินเอื้อยขึ้นมาเฉยๆซะอย่างนั้น
จริงๆเอื้อยก็พึ่งสระผมมาเหมือนกัน ผ้าขนหนูผืนเล็กที่เธอเช็ดผมก็ยังคล้องคอเธอค้างไว้อยู่ ฉันเอื้อมมือไปหยิบผ้าขนหนูนั้นขึ้นมาเช็ดผมให้กับเอื้อยแก้เขินบ้าง ต่างฝ่ายต่างเช็ดผมให้กัน ฉันออกแรงเช็ดผมให้เอื้อยมากไปหน้าเลยโน้มเข้าไปใกล้กับใบหน้าของเอื้อยจนเกือบจะชิด
เหมือนเอื้อยตกใจที่เห็นใบหน้าฉันเข้าใกล้เธอในระยะประชิดขนาดนั้น เธออึ้งสบตาฉัน เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ฉันก็หยุดนิ่งสบตากับเอื้อย
ทุกอย่างเหมือนหยุดนิ่งอยู่ตรงนั้น
เอื้อยหยุดเช็ดผม เธอเลื่อนมือจากผ้าเช็ดผมลงมาที่แก้มของฉัน แล้วค่อยๆโน้มวงหน้าของเธอลงมาที่ใบหน้าของฉัน
ตึ๊ก!!! อยู่ๆเสียงหัวใจของฉันก็เต้นดังและเร็วขึ้น
ฉันตัวแข็ง ตามองตามตาของเอื้อยที่ตอนนี้มองต่ำลงมาที่ริมฝีปากของฉัน ยิ่งเอื้อยใกล้เข้ามาที่ใบหน้าฉันเท่าไหร่ ใจฉันยิ่งเต้นสั่นระรัวไม่เป็นจังหวะ
..แล้วฉันก็หลับตา..
ปล่อยให้ริมฝีปากที่นุ่มนวลของเอื้อยประกบลงมาที่ริมฝีปากของฉัน
...มันเป็นจูบแรกของฉัน...
เป็นจูบแรกที่ฉันไม่เคยคิดว่าจะเป็นผู้หญิงด้วยกันที่มาจูบ โดยเฉพาะผู้หญิงที่ฉันแอบอิจฉาในความสวย และเพอร์เฟคของเค้ามาตลอด
... ไม่เคยคิดจริงๆ..
...ความร้อนจากริมฝีปากของเอื้อยและฝ่ามือที่บรรจงจับที่แก้มฉันนั้นกำลังซึมผิวของฉันลงมา
ตอนนี้ฉันรู้สึกร้อนไปทั่วทั้งตัว..รวมถึงใบหน้าของฉันด้วย ไม่รู้ว่าเอื้อยเป็นอย่างนั้นบ้างหรือเปล่า
เอื้อยค่อยๆละรีมฝีปากออกจากฉัน
เธอเงยหน้าขึ้นมองฉัน สายตาของเอื้อยตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว
....ฉันเคยเห็นเอื้อยมองตาฉันแบบนี้บ่อยๆ แต่ตอนนั้นพอเอื้อยรู้สึกตัวว่าฉันมองเธอก็จะหลบตา..
มันเป็นสายตาหวานซึ้งที่แฝงไว้ด้วยความห่วงหาอาทร ที่ไม่ได้มาจากความรู้สึกของคำว่า “เพื่อน”

ทำอย่างนี้...ทำไม”
เป็นฉันที่ถามเอื้อยด้วยเสียงเบาๆ และจ้องมองเอื้อยด้วยสายตาที่ไม่ค่อยอยากจะเชื่อในสิ่งที่เจอเมื่อสักครู่
เอื้อยไม่ตอบแต่ค่อยๆยื่นมือมาจับที่แก้มของฉัน ดวงตาเธอยังจ้องอยู่ที่ตาของฉันเช่นเดิม
ถ้าเป็นเจ้ย เจ้ยจะทำอย่างนี้กับเค้ามั้ย” กลายเป็นเอื้อยที่ถามคำถามใหม่กลับมาซะเอง ฉันอึ้งเมื่อได้ยินคำถามจากเอื้อยอย่างนั้น
ถ้าเป็นฉันเหรอ.....
ฉันที่ยังจ้องมองเอื้อยเพราะยังไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ค่อยๆเอื้อมมือมาจับมือของเอื้อยที่ยังคงจับอยู่ที่แก้มของฉัน แล้วโน้มตัวเข้าไปหาเอื้อย ค่อยๆประกบริมฝีปากของฉันลงบนริมฝีปากของเอื้อยอีกครั้งนึง
..ใช่...
ฉันก็อยากรู้ว่าถ้าฉันทำอย่างนี้กับเอื้อยบ้างเอื้อยจะรู้สึกอย่างไร แต่ครั้งนี้อ้อมแขนของฉันนั้นโอบกอดตัวของเอื้อยเพื่อดึงตัวของเธอเข้ามาแนบชิดกับกายฉัน เอื้อยก็ตอบสนองกอดนั้น เธอค่อยๆลูบแผ่นหลังของฉันเบาๆ จูบครั้งนี้ดูดูดดื่มและเนิ่นนานกว่าครั้งแรกมาก แต่ก่อนที่จะมีอะไรเลยเถิดไปกว่านี้เสียงออดประตูบ้านก็ดังขึ้น เอื้อยค่อยๆผละออกจากฉัน เธอมองฉันอย่างเสียดาย ฉันเองก็เช่นกัน
แม่คงมาแล้ว เด๋วเค้าไปเปิดประตูให้แม่ก่อนนะ” เอื้อยยื่นมือมาจับที่แก้มฉันนิดนึง
อือ..” ฉันก้มหน้าลงเพราะใจนึกอายในสิ่งที่ทำไปเมื่อกี้อยู่
เอื้อยรีบวิ่งลงไปเปิดประตูให้แม่ ทิ้งให้ฉันนั่งอึ้งคิดในสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อกี้อยู่
...นี่แสดงว่า เอื้อยชอบเราจริงๆ ไม่สิ.. เธอรักเรา แล้วเราก็...รัก..เอื้อยเหมือนกัน...
ฉันเผลอยิ้มนิดนึงตอนคิด มือก็เผลอมาจับที่ริมฝีปากของตัวเองเมื่อกี้นี้ ก่อนจะนึกขึ้นได้เรื่องที่ต้องมาขอแม่เอื้อยเรื่องไปงานวันเกิดเพื่อนให้ ฉันจึงรีบเดินลงไปข้างล่างเพื่อหาแม่ของเอื้อย
พอลงไปถึงบันได เอื้อยมองเห็นฉัน เหมือนเธอประหม่านิดนึงก่อนจะบอกให้แม่มองมาที่ฉันแล้วแนะนำฉันให้แม่รู้จัก ฉันรีบเดินลงไปไหว้แม่ของเอื้อยและแนะนำตัวเอง
คุณแม่ของเอื้อยนั้นท่านดูสวยสง่าและดูปราดเปรียวมากๆ ไม่เหมือนเอื้อยที่เธอจะดูหวานๆนิ่งๆ เคลื่อนไหวช้าๆเนิบๆ เธอจะไม่ค่อยพูดกับใครเลยถ้าเธอไม่สนิทด้วย แต่ถ้าเป็นเรื่องความสวยแล้วเอื้อยคงได้คุณแม่มาเต็มๆ
แหม ไม่น่าล่ะ เอื้อยชมหนูว่าหนูสวยอย่างนั้นสวยอย่างนี้ให้แม่ฟังทุกๆวัน ที่แท้ก็สวยสมคำร่ำลือจริงๆนี่เอง”
ขอบคุณค่ะคุณแม่ หนูสวยไม่สู้เอื้อยหรอกค่ะคุณแม่ ...” ฉันยกมือไหว้และยิ้มให้แม่ก่อนที่จะหันไปมองตาหวานๆของเอื้อยที่ได้ยินคำชมของฉันเมื่อครู่นี้
เอื้อยเค้าทั้งสวยและใจดี” ฉันพูดตอนที่หันไปทางเอื้อย เอื้อยหน้าแดงขึ้นทันที
แม่ของเอื้อยชวนฉันทานมื้อค่ำด้วยแต่ฉันปฏิเสธเพราะกลัวแม่ของฉันจะเป็นห่วงแม้ในใจจะยังอยากอยู่ใกล้ๆกันกับเอื้อยอีกก็ตาม ฉันเล่าเรื่องที่ฉันกับเพื่อนจะจัดวันเกิดสากันในวันเสาร์ที่จะถึงนี้เพื่อที่จะขออนุญาติแม่ แม่ก็ยอมให้ไปเพราะไว้ใจในตัวฉัน
รู้มั้ยว่าเอื้อยเค้าปลื้มหนูมากเลยนะ มาเล่าเรื่องหนูให้แม่ฟังตั้งแต่วันแรกที่ย้ายห้องไปอยู่ห้องเดียวกันโน้นแน่ะ ทำยังกับว่าหนูเป็นไอดอลของเค้าอย่างนั้น” เอื้อยเอื้อมมือไปดึงแขนแม่เบาๆเพื่อเป็นการบอกแม่ไม่ให้เผยเรื่องราวของเธอไปมากกว่านี้
แม่ฝากดูแลลูกสาวแม่คนนี้ด้วยนะ ยังไงก็อย่าทิ้งกันมีอะไรก็ช่วยๆกันนะลูก” แม่เอื้อมมือมาจับที่ไหล่ของฉันเหมือนเป็นการฝากฝังลูกสาวของแม่เอาไว้
ค่ะ แม่ หนูสัญญาว่าจะดูแลลูกสาวของแม่คนนี้ตลอดไป” ฉันตอบรับแม่แต่สายตาแอบชำเรืองไปมองเอื้อยด้วยความห่วงหาอาทรที่ตอนนี้มันกลายเป็นเกินคำว่า “เพื่อน” ไปแล้ว

ฝนหยุดตกแล้ว ตอนนี้เป็นเวลา1ทุ่มกว่า แม่เอื้อยบอกว่าแม่จะขับรถไปส่งฉันที่บ้านเอง แต่ฉันปฏิเสธเพราะไม่อยากทิ้งรถไว้ที่บ้านเอื้อย แล้วพรุ่งนี้จะไม่มีใครมารับ แต่เอื้อยขอให้แม่ขับรถตามฉันมาส่งที่บ้านเพราะเป็นห่วง
เมื่อถึงบ้านฉันรีบอาบน้ำเพื่อที่จะได้นอนพักผ่อน แต่ก่อนนอนสายเข้าของเอื้อยก็ดังมา และนี่เป็นครั้งแรกที่เราคุยกันเรื่องไร้สาระอะไรก็ไม่รู้ตั้งแต่ 3ทุ่มยาวไปจนถึงเทียงคืนก่อนที่ฉันจะบอกให้เอื้อยวางสายซะ เพราะพรุ่งนี้ต้องไปซื้อของไปงานวันเกิดของสากัน เอื้อยจึงยอม
คิดถึงนะ..ฝันดี” เอื้อยบอกก่อนจะวางสาย
คิดถึงอะไร พึ่งออกจากบ้านมาเมื่อกี้” ฉันหัวเราะขำๆ
ก็คิดถึงนั่นล่ะ..เจ้ยรู้มั้ยว่าเค้าไม่เคยมีแฟนซักคนเลยนะ..เจ้ยเป็นคนแรกนะ..ที่เค้า...”เอื้อยพูดเสียงหวานๆ
เค้าอะไร..”ฉันถามทั้งๆที่รู้คำตอบ
เค้ารัก... แม้เจ้ยจะเป็นผู้หญิงด้วยกันก็ตาม”เอื้อยพูดอย่างเขินอาย
อื้ม รักเหมือนกัน” ฉันตอบแบบเขินๆบ้าง
จริงๆนะ”เอื้อยถามย้ำ
อื้อ..รัก..นอนซะเถอะพรุ่งนี้จะได้เจอกันนะ”
จ้า ฝันดีนะ” เอื้อยพูดก่อนจะวางสายไป ส่วนฉันนั่งยิ้มมองโทรศัพท์ แล้วตาก็ชำเรืองมองมาเห็นเจ้ากระพรวนคิตตี้ตัวเก่า ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วจุ๊บลงไปที่ตัวกระพรวนคิตตี้นั้นอย่างมีความสุขลุกขึ้นจะปิดไฟนอนแต่ก็นึกอะไรบางอย่างได้
..เฮ้..ผู้หญิงกับผู้หญิงคบกัน แล้วอะไรยังไง... ฉันไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้มาก่อน ไม่รู้แม้กระทั่งผู้หญิงกับผู้ชายคบกันแล้วเรื่องอย่างว่าจะเป็นอย่างไร มันช่างน่าสงสัยยิ่งนัก เมื่อเอื้อยได้ first kiss ของเราไปแล้ว เแล้วสิ่งต่อไปคืออะไร..????
ฉันเปิดโทรศัพท์ค้นข้อมูลในGoogle ใจนึกลังเลเหมือนจะละอายในสิ่งที่คิด แต่เมื่อคิดๆดูแล้วมันก็เป็นเรื่องจริง ในเมื่อเราไม่รู้เราจะอายทำไม เอาน่ะลองดูไม่มีใครรู้กับเราหรอก ฉันคิดก่อนที่จะพิมพ์ข้อความ “เลสเบี้ยน” ลงไปในช่องคำค้นหา แล้วGoogle ก็แสดงผลลัพธ์การค้นหาเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่ฉันค้นออกมาเต็มหน้าจอ ฉันอ่านดูข้อความที่เป็นไตเติลของหน้าเว็บต่างๆแล้วก็อึ้ง “ประสบการณ์เลสเบี้ยน” “ชุมชนเลสเบี้ยน” “เผยเรื่องบนเตียงเลสเบี้ยน” “หนังโป้เลสเบี้ยน” ฉันอ้าปากค้าง นึกในใจนี่มันมีเรื่องอย่างนี้เยอะแล้วใช่มั้ย ใจนึกลังเลว่าควรจะคลิ๊กเข้าไปอ่านในหน้าเว็บเหล่านั้นดีมั้ยเพราะยังรู้สึกละอายและเขินในเรื่องราวอย่างว่าอยู่
...แม้แต่ในห้องเรียนครูยังสอนเพศศึกษาระหว่างชายหญิงเลย ในเมื่อมันไม่มีในตำรามันก็จำเป็นที่จะต้องหาข้อมูลนี่นา ไม่มีใครเค้าสอนสักหน่อยว่าผู้หญิงกับผู้หญิงมีอะไรกันจะเป็นยังไง ศึกษาไว้สักหน่อยก็คงไม่เสียหายมั้ง ...หึๆ..เผื่อเอื้อยจะทำอะไรอย่างนั้นเราก็จะได้ป้องกันตัวเองได้ …
ในที่สุดฉันก็หาเหตุผลที่จะทำการเปิดดูเว็บไซต์เหล่านั้นได้
โอย..นี่ฉันคงไม่ถึงขั้นโรคจิตหรอกใช่มั้ย..แม่จ๋าพ่อจ๋าอย่าว่าหนูเลยนะ ฉันนั่งคิดขณะที่นั่งเปิดดูเว็บไซต์เหล่านั้นตลอดทั้งคืน จนกระทั่งง่วงหลับไป