Girlfriend
Chapter 8
...คลุ้มคลั่ง....
ฉันมองตามตาเอื้อยเลื่อนต่ำมาที่ริมฝีปากรูปกระจับสีแดงที่ซ่อนความเสน่หาประหลาดๆเอาไว้
ก่อนที่จะห้ามใจไว้ไม่ไหวยื่นหน้าตัวเองเข้าไปใกล้วงหน้าของเอื้อยและประกบริมฝีปากของฉันลงไปสัมผัสรสชาดของริมฝีปากอวบอิ่มนั้น
เอื้อยตอบรับทันทีเธอยื่นแขนมาโอบกอดตัวฉันไว้
เหมือนไม่อยากให้ไกลห่างไปจากกัน
กลิ่นหอมละมุนของผิวกายเอื้อยช่างแสนจะยั่วยวนจิตใจของฉันเหลือเกิน
ยิ่งฉันได้กลิ่นหอมเบาๆที่ซอกคอของเอื้อยมันยิ่งทำให้ฉันรู้สึกลุ่มหลงและคลุ้มคลั่งมากขึ้น
จนฉันต้องเคลื่อนใบหน้าเลื่อนต่ำลงมาเพื่อสูดดมและบรรจงหอมที่ซอกคอ
กลิ่นหอมๆของเอื้อยเริ่มชัดเจนขึ้น
และความรู้สึกอยากสัมผัสความหอมของฉันก็ยิ่งมากขึ้นจนทำให้ฉันอยากสูดและดูดดื่มตัวของเอื้อยเข้าไป
จนกระทั่งฉันอดใจไม่ไหวเผลอดูดเข้าไปที่ต้นคองามๆของเอื้อย
“..เจ้ย..ทำอะไรน่ะ..พอเถอะ”
เอื้อยคงเริ่มรู้สึกเจ็บที่ฉันออกแรงดูดคอเธอมากเกินไป
จึงพยายามเตือนสติฉัน
แต่
ตอนนี้ภาพเปลือยท่อนบนของเอื้อยเมื่อคืนชัดขึ้นมาในหัวของฉันอีกครั้ง
ทำให้ความรู้อยากเห็นในภาพที่ติดตาตรึงใจของฉันนั้นมากขึ้นกว่าเดิมพร้อมๆ
กับสติของฉันก็หลุดลอยไปคิดไปถึงเรื่องราวที่ได้อ่านในเน็ตเมื่อคืนที่แล้ว
ยิ่งเพิ่มความอยากรู้อยากเห็นและอยากสัมผัสมากขึ้นกว่าเดิมอีก
รู้สึกตัวอีกทีกลายเป็นว่าตัวเองก็กำลังดันตัวเอื้อยให้นอนลงไปบนที่นอนโดย
มีตัวฉันนั่งทับบนตัวเอื้อยอยู่แล้ว
มือของเอื้อยก็สะแปะสะปะปัดป่ายไปทั่วร่างกายของฉัน
ทั้งเหมือนเธอต้องการจะดันตัวฉันออก
และก็เหมือนเธอกำลังดึงตัวของฉันเอาไว้ไม่ให้ไปไหน
มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าตอนนี้ตัวฉันเป็นอะไรไป
เพียงแค่กลิ่นกายหอมๆของเอื้อยกลับทำให้ฉันควบคุมอะไรไม่ได้เลย
จากที่ต้องการแค่ “จูบ”
แต่ตอนนี้มือที่ซุกซนของฉันกำลังลูบไล้ไปทั่วร่างกายของเอื้อย
จากที่อยู่ด้านนอกก็กลายเป็นเข้าไปในชายเสื้อของเอื้อยและค่อยๆคืบคลานขึ้นไปที่เสื้อชั้นในเพื่อปลดที่ตะขอด้านหลัง
เอื้อยสะดุ้ง
เธอคงตกใจรีบจับมือของฉันไว้เพื่อเป็นการปรามฉันไม่ให้ทำอะไรเกินไปกว่านี้
“จ..เจ้ย..จะทำอะไรน่ะ..พอแค่นี้เถอะ..”เสียงเบาๆของเอื้อยดังออกมาในขณะที่กำลังพยายามคว้าแขนของฉันไว้
ฉัน
ไม่ตอบแต่กลับรุกร้ำมากขึ้นกว่าเดิม
เมื่อตะขอเสื้อชั้นในหลุด
มือฉันก็เลื่อนมาจับที่หน้าอกที่เต่งตรึงของเอื้อยต่อ
มันค่อยๆเค้นมันสลับไปมาจากเบาแล้วค่อยๆแรงขึ้นจนเอื้อยต้องครางเสียงหลงออก
มา
ตอนนี้ฉันอยากเห็นมันเสียแล้วว่ามันจะสวยงามและน่าทะนุถนอมเช่นเดียวกันกับ
เจ้าของมันหรือไม่จึงค่อยๆเลิกชายเสื้อของเอื้อยขึ้นไปไว้เหนือเนินหน้าอก
ของเธอแล้วเงยหน้าขึ้นมอง
หน้าอกของเอื้อยสวยมาก
ยอดถันของเธอขาวชมพูรับกับผิวกายขาวนวล
ดูจากตรงนี้ก็รู้แล้วว่าเอื้อยเป็นสาวที่โตเต็มตัวเธอไม่ใช่เด็กๆอีกต่อไปแล้ว
ฉันเงยหน้าขึ้นไปมองใบหน้าที่แดงกร่ำของเอื้อย
เธอคงอายมากที่โดนฉันจ้องอย่างนี้
สองมือของเธอยังพยายามจะรั้งชายเสื้อลงมาไว้เหมือนเดิม
แต่ฉันไม่ยอมง่ายๆก้มลงไปจุมพิตกับปลายหน้าอกสีชมพูคู่นั้น
ก่อนจะดูดมันสลับไปมาทั้งสองข้าง
ไม่ต่างจากเด็กน้อยที่กำลังดูดขอน้ำนมแม่
เอื้อยร้องเสียงหลงเธอคงไม่คิดว่าฉันจะทำอะไรกับเธอแบบนี้แน่ๆ
เสียงร้องครางครวญของเอื้อยช่างยั่วยวนฉันใจยิ่งนักมันทำให้ฉันยิ่งเพิ่มความแรงในการดูดปลายหน้าอกทั้งสองข้างขึ้นอีก
เอื้อยหายใจระรัวไม่เป็นจังหวะ
ท่าทางที่เคลื่อนไหวไร้ทิศทางตอนนี้ช่างเข้ากันได้ดีกับเสียงร้องของเธอเสียจริง
เอื้อยทั้งแอ่นตัวขึ้นและบิดตัวไปมา
มือของเธอพยายามปัดป้องใบหน้าของฉันออกจากหน้าอกของเธอ
เหมือนเธอจะพยายามจิกที่แขนของฉัน
แต่มันก็เป็นการจิกที่ดูแล้วไม่มีแม้เรี่ยวแรงที่จะต่อต้านฉันได้เลย
แม้ฉันจะได้ยินเสียงเรียกชื่อฉันเบาๆอยู่ตลอดเวลาแต่นั้นก็ไม่ทำให้ฉันได้
สติขึ้นมาเลย
กลับยิ่งทำให้ฉันเตลิดหลงเข้าไปในดินแดนหอมหวลแห่งนี้เข้าไปใหญ่
ฉันค่อยๆปล่อยมือจากเนินหน้าอกของเอื้อย
เรื้อยลงมาที่ขอบกางเกงด้านบน
กางเกงเอื้อยเป็นกางเกงผ้ายืดซึ่งฉันสามารถล้วงมือผ่านชั้นในของเอื้อยเข้าไปหาเนินเนื้อต้องห้ามอย่างง่ายๆ
“เจ้ย..อย่า..”
เสียงร้องเบาๆของเอื้อยดังมาพร้อมกับมือของเธอที่พยายามดึงแขนฉันให้ขึ้นมาจากในกางเกงของเธอ
แต่ไม่มีประโยชน์ปลายนิ้วซุกชนของฉันค่อยๆควานหาร่องเนื้อต้องห้ามอันนั้นของเอื้อย
มันค่อยๆเคลื่อนที่ไปๆมาๆระหว่างแนวร่อง
แต่ก็เป็นไปด้วยความลำบากเพราะชั้นในตัวจิ๋วของเอื้อยนั้นยังเป็นเกาะกำบังเอาไว้ไม่ให้มือของฉันเคลื่อนที่ไปมาอย่างสะดวก
ฉันจึงตัดสินใจดึงทั้งกางเกงและชั้นในของเอื้อยออกจากขาของเอื้อย
เอื้อยก็พยายามดิ้นรนไม่ให้ฉันดึงออกไปง่ายๆเธอหนีบขาทั้งสองเอาไว้
แต่แรงดึงของฉันมากกว่าทำให้กางเกงทั้งสองนั้นหลุดออกไปกองที่ปลายเตียงอย่างง่ายดาย
“เจ้ย..ไม่ทำอย่างนี้นะ..หยุดเถอะ..”
เสียงครางปนกับเสียงร้องเบาๆของเอื้อยที่พยายามห้าม
เธอคงไม่อยากให้ใครได้ยินเสียงของเธอแล้วจะกลายเป็นเรื่องใหญ่
ฉันค่อยๆละริมฝีปากออกมาจากหน้าอกของเอื้อยที่ตอนนี้ทั้งแดงและช้ำไปหมด
แล้วเลื่อนตัวลงมามองที่ลำตัวส่วนล่างของเอื้อยที่ตอนนี้เปลือยเปล่าอยู่
เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นสัดส่วนของเอื้อย
เพียงแค่เแว๊บเดียวฉันก็รู้สึกถึงความงดงามของเรือนร่างของเอื้อย
เธองามทั้งภายนอกและภายใน
ฉันช่างเป็นคนที่โชคดีนักที่ได้เป็นคนครอบครองมัน
เมื่อคิดว่าได้ครอบครองมันฉันก็ไม่รอช้าที่ช้าที่จะเอื้อมมือลงไปจับและลูบไล้เนินนุ่มเนียนที่เอื้อยแสนจะห่วงหวงนั้น
นิ้วของฉันพยายามควานหาที่ที่มันควรจะเข้าไปอยู่ซึ่งตอนนี้มันดูชุ่มชื้น
เหลือเกิน
ฉันพยายามเลื่อนมือไปมาเพื่อที่จะทำให้เอื้อยได้รู้สึกดี
ก่อนที่จะเลื่อนตัวลงมาจุมพิตเข้าที่เนินนุ่มๆเนินนั้นเบาพร้อมๆเสียงร้องครางครวญของเอื้อยที่ดังมาไม่เป็นภาษา
กลิ่นหอมละมุนละไมที่ฉันไม่เคยได้กลิ่นมาก่อนทำให้ฉันแทบคลั่งจนฉันอยากจะดูดกลืนน้ำหวานจากเกสรดอกไม้ที่อยู่ต่อหน้าฉันตอนนี้เสียแล้ว
ในขณะที่ฉันกำลังจะก้มลงจูบเพื่อสัมผัสยอดเกสรกลางกลีบดอกไม้ทั้งสองนั้นเสียงเคาะประตูหน้าห้องก็ดังขึ้น
ก๊อก
ก๊อก ก๊อก!!!
ฉันสะดุ้งตัวสุดแรงผุดลุกขึ้นมาจากตัวเอื้อยออกมานั่งอยู่ที่ปลายเตียง
ส่วนเอื้อยก็รีบลุกขึ้นและรีบเคลื่อนตัวหนีออกจากตัวฉันไปที่หัวเตียง
เธอนั่งชันเข่าขึ้นเพื่อบังร่างกายที่เปลือยเปล่าของเธอตอนนี้ไว้
มือเธอพยายามดึงเอาปลายผ้าห่มมาคลุมตัวของเธอเพื่อกันไม่ให้ฉันเห็น
“เจ้ย..พาเพื่อนมาทานข้าวได้แล้วนะลูก
กับข้าวเย็นหมดแล้ว”
เสียงแม่พูดพร้อมๆกับที่เคาะประตู
“ค่ะ..
แม่
เด๋วหนูลงไปนะคะขอเก็บห้องก่อนแป๊บนึงค่ะ”
ฉันทำหน้าเลิ่กลั่กเมื่อหันมามองหน้าเอื้อย
เพราะเริ่มรู้สึกตัวในสิ่งที่ทำลงไปกับเอื้อยแล้ว
ตอนนี้เอื้อยมองฉันด้วยความกลัวและอายระคนกัน
..บ้าเอ้ย
เป็นอะไรไปนี่ฉัน ผู้หญิงด้วยกันแท้ๆ
..
ฉันคิดพลางนั่งกุมขมับตัวเองรู้สึกปวดหัวจี๊ดๆขึ้นมาทันที
ใจนึกสงสารเอื้อย
อีกใจก็รู้สึกละอายใจตัวเองเหลือเกินไม่คิดว่าตัวเองจะกล้าทำเรื่องบ้าๆบอๆได้ขนาดนี้
เอื้อยพยายามดึงตะขอเสื้อชั้นในของเธอมาเกี่ยวไว้ที่เดิมและดึงชายเสื้อลงมา
หน้าของเธอตอนนี้แดงกร่ำไม่แน่ใจว่าจะเพราะรู้สึกโกรธหรือรู้สึกอายหรืออะไรกันแน่
แต่ที่แน่ๆฉันรู้สึกแย่มากๆเลยตอนนี้และคิดว่าเอื้อยก็คงจะแย่เหมือนกัน
เอื้อยไม่กล้าเข้าใกล้ฉัน
เธอยังนั่งติดหัวเตียงโดยมีผ้าห่มคลุมตัวส่วนล่างของเธอเอาไว้อยู่
ฉันหันไปเห็นกางเกงและชั้นในของเธออยู่ปลายเตียงคิดในใจว่าเธอคงต้องการมันแน่แต่คงไม่กล้ามาหยิบเอา
ฉันเลยหยิบมันส่งไปให้เอื้อย
“ขอโทษนะ..”
ฉันพูดด้วยความรู้สึกผิดจริงๆ
หน้าตาของฉันก็คงบ่งบอกว่าตอนนี้ฉันไม่ได้รู้สึกดีเลย
เอื้อยรีบหยิบมา
เธอไล่ให้ฉันไปอยู่ในห้องน้ำเพื่อที่จะสวมกางเกงของเธอไว้เหมือนเดิม
ไม่นานเอื้อยก็แต่งตัวเสร็จฉันจึงออกมาจากห้องน้ำ
ฉันไม่กล้าเข้าใกล้เอื้อยได้แต่ยืนมองดูเอื้อยที่ยืนส่องกระจกอยู่ห่างๆ
พลันสายตาของฉันก็ไปสะดุดอยู่ที่คอของเอื้อยที่มีรอยสีม่วงๆช้ำๆวงใหญ่ๆอยู่
คงเป็นรอยที่ฉันคงเผลอไปดูดเข้า
เอื้อยที่กำลังยืนส่องกระจกเพื่อจัดการกับผมเพ้าที่รุ่ยร่ายของเธอตอนนี้ก็เหลือบมาเห็นรอยนี้เข้าพอดี
มันค่อนข้างจะเป็นจุดเด่นเพราะมันอยู่ตรงลำคอด้านหน้า
เธอทำหน้านิ่วคิ้วขมวดก่อนที่จะหันมาทำหน้าค้อนควับใส่ฉัน
แต่ก็ยังไม่พูดอะไรด้วยอยู่ดี
ฉันนึกเป็นห่วงเอื้อยกลัวใครเห็นรอยที่คอแล้วจะกลายเป็นเรื่องเป็นราว
ก่อนจะนึกได้ว่าตัวเองมีรองพื้นอยู่
ถ้าเอารองพื้นทาทับรอยไว้คงจะพอพรางรอยช้ำๆไปได้
ตอนที่ทาคอให้เอื้อยเธอหันมามองด้วยตาดุคิ้วขมวดให้ฉันตลอด
แต่ก็ยังไม่พูดด้วยอยู่ดี
เมื่อจัดการตัวเองเสร็จฉันก็ชวนเอื้อยให้ลงไปทานข้าว
เอื้อยพยายามปรับสีหน้าตอนที่เห็นแม่ของฉันอยู่ที่ชั้นล่าง
เมื่อแม่ฉันเห็นเอื้อย
แม่ก็เอ่ยปากชมเอื้อยใหญ่ว่า
“หนูเอื้อยสวยมากๆ
สวยเหมือนดาราเลย
ถ้าหากแม่มีลูกชายอีกคนจะขอให้เอื้อยมาเป็นลูกสะใภ้ของแม่เลย”
ซึ่งคำพูดของแม่ก็พอจะทำให้เอื้อยอารมณ์ดีขึ้นมาได้บ้าง
เธอหลุดหัวเราะตรงที่แม่บอกว่าอยากให้เอื้อยมาเป็นลูกสะใภ้
แล้วก็เผลอหันหน้ามามองและยิ้มให้ฉัน
ซึ่งฉันก็พอจะเข้าใจว่าเธอคงคิดว่าตอนนี้เธอก็เป็นลูกสะใภ้โดยที่แม่ไม่รู้ตัวแล้วละ
แต่สักพักเหมือนเอื้อยจะคิดได้ว่าโกรธให้ฉันอยู่เธอก็กลับไปทำหน้าบึ้งแล้วหันหน้าหนีฉันเหมือนเดิม
ที่โต๊ะอาหารแม่ชวนเอื้อยคุยเรื่องสัพเพเหระ
เอื้อยก็เล่าเรื่องต่างๆให้แม่ฉันฟัง
ฉันพึ่งจะรู้ว่าคุณพ่อของเอื้อยเสียตั้งแต่เอื้อยยังไม่ทันเข้าเรียนประถม
เธอจึงรักและสนิทกับแม่ของเธอมาก
เธอบอกว่าเธออยาก สวย
เก่งปราดเปรียว
และเป็นผู้นำให้ได้เหมือนอย่างแม่ของเธอ
แต่เธอกลับไม่ได้แม่ของเธอมาเลย
พูดถึงตรงนี้เอื้อยก็หลุดพูดออกมาว่า
“หนูว่ากลายเป็นเจ้ยเสียอีกที่ทั้งสวย
ทั้งเก่ง ปราดเปรียว
เป็นผู้นำคนอื่นได้ใครๆเห็นก็ต้องหลงรัก
รวมทั้งหนูด้วย”
เอื้อยสะดุดในคำพูดของตัวเองนิดนึง
“หมายถึงหลงรักในความน่ารักของเอื้อยจนอยากเป็นเพื่อนด้วยน่ะค่ะ”
เธอยิ้มให้คุณแม่นิดนึงก่อนจะหันมายิ้มให้กับฉันเพื่อบอกให้รู้ว่าเรื่องที่พูดนั้นคือเรื่องจริง
ฉันยิ้มตอบเอื้อย
...นี่ใช่มั้ยสาเหตุที่เธอรักฉัน
คิดว่าฉันเหมือนแม่เธอเหรอ
ไม่เคยได้ใกล้ชิดผู้ชาย
อยู่แต่กับผู้หญิงด้วยกัน
ก็เลยกลายเป็นมีปฏิกิริยาแต่เฉพาะผู้หญิงด้วยกัน..
ฉันนั่งคิดในขณะที่กำลังนั่งฟังเอื้อยคุยกับแม่ต่อ
...ตกลงเป็นเลสเบี้ยนใช่มั้ยนี่..ฉันยังนั่งสงสัยในตัวเอื้อยต่อ
..แต่..เราก็เหมือนจะเป็น..เหมือนกัน..แล้วฉันก็หยุดความคิดมั่วๆนั้นไว้
ตั้งใจกินข้าวและนั่งฟังเอื้อยกับแม่คุยกันจนจบ
เมื่อทานข้าวเสร็จหลังจากที่ช่วยแม่ล้างจานเก็บครัวเรียบร้อย
เอื้อยก็ขอตัวแม่ฉันไปเก็บของข้างบนเพื่อจะกลับบ้าน
ฉันวิ่งตามเอื้อยขึ้นไป
เอื้อยคงอยากหลบหน้าฉันแต่เรื่องเมื่อเช้ายังค้างคาใจฉันอยู่
ฉันอยากจะคุยกับเอื้อยให้เคลียร์กว่านี้
“เอื้อย..เค้าขอโทษนะ..จริงๆเค้าไม่ได้ตั้งใจจะ...จะทำอย่างนั้นกับเอื้อยนะ”
ฉันวิ่งเอาตัวเข้าขวางไม่อยากให้เอื้อยเดินหนี
“ไม่ตั้งใจ...แล้วทำทำไมเจ้ย
โตๆกันแล้วนะ”เอื้อยทำเสียงดุใส่ฉัน
ฉันไม่ตอบเอาแต่ยืนก้มหน้า
เพราะฉันก็เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องทำอย่างนั้นกับเอื้อยเหมือนกัน
เอื้อยจ้องมองฉันเพื่อรอฟังคำตอบอยู่นานจนอ่อนใจ
เธอถอนหายใจ
“เจ้ย
รู้ใช่มั้ยว่าเค้าไม่เคยมีใครมาก่อน
ไม่เคยแม้กระทั่งคบกับผู้ชาย
เจ้ยเป็นคนแรกที่เค้ารู้สึกพิเศษและอยากอยู่ใกล้นะ
เค้ารักเจ้ยนะ
แต่ใช่ว่าเค้าจะต้องยอมเจ้ยทุกอย่าง”
เอื้อยพูดพลางยื่นมือมาเชยคางฉันขึ้นเพื่อให้ฉันได้มองตากับเธอ
“เจ้ยหอมเค้าได้นะ
จูบเค้าได้นะ แต่ขออย่าทำอย่างเมื่อเช้าได้มั้ย
มันทำให้เค้ารู้สึกว่าเค้าไม่น่าทะนุทะนอม
เจ้ยไม่อยากปกป้องเค้าเลย”
เอื้อยเอื้อมมือมาจับที่แก้มของฉันเบาๆ
ฉันพยักหน้านิดนึงให้รู้ว่าฉันพร้อมที่จะทำตามที่เอื้อยขอ
“สัญญานะ”
เอื้อยถามย้ำ
“สัญญา”
ฉันพูดและยิ้มออกมาอย่างเต็มใจ
เอื้อยยื่นมือมาขยุ้มที่ผมของฉันเบาๆเหมือนจะบอกให้รู้ว่าเธอไม่เป็นไรแล้วนะ
ก่อนที่จะยื่นหน้ามาหอมที่แก้มของฉัน
“จะกลับบ้านแล้วนะ
มันจะสายเด๋วแม่จะเป็นห่วง
ไปส่งเค้าหน่อยนะ”
เอื้อยยิ้มและจ้องมองมาที่หน้าของฉัน
ใบหน้าสวยๆของเอื้อยตอนนี้ยิ้มออกและร่าเริงเหมือนเดิมแล้ว
ฉันรับคำพร้อมๆกับเดินไปเอาชุดสวยของเอื้อยที่ฉันซักตากไว้ให้เมื่อคืนมาให้เอื้อยใส่และพาเอื้อยไปส่งที่บ้าน
**************************************************************
คืนวันนั้นก่อนที่จะเข้านอนเอื้อยโทรมาหาเหมือนประจำที่เธอทำทุกคืนแต่คืนนี้
ความรู้สึกเว้าวอนและคิดถึงดูจะเพิ่มมากกว่าทุกๆวันคงเป็นเพราะว่าเราใกล้
ชิดกันมากขึ้นกว่าเดิม
ฉันนอนคุยโทรศัพท์กับเอื้อยอยู่ที่ห้องของตัวเองแต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงกลิ่น
หอมจากตัวเอื้อย
ซึ่งเป็นกลิ่นหอมที่ฉันชอบและหลงรัก
มันลอยอยู่ใกล้ๆตัวฉัน อ๋อ
มันคงจะอยู่ที่หมอนใบนี้นี่เอง
ฉันหันไปคว้ามันมากอดหอม
ทำเสียงฟุดฟิดๆ จนเอื้อยต้องถาม
“ทำอะไรอ่ะ..เสียงฟุดฟิดๆ”
“ไม่มีอะไรได้กลิ่นหอมของคนสวยอยู่แถวๆหมอนก็เลยเอามาหอมแก้คิดถึง”
“บ้าแล้ว
เพราะอย่างนี้ใช่มั้ยก็เลยทำอย่างนั้นกับเค้า..ไอ้หื่น”
เสียงเอื้อยค้อน
“ก็มันหอมนี่นา
อยู่ใกล้ๆแล้วมันยังไงไม่รู้..”
ฉันทำเสียงอ้อนๆพร้อมทั้งหัวเราะ
“แล้วทำไม..ทำแบบนั้นเป็น
เคยไปทำกับใครมา..”
เอื้อยถามเสียงอายๆค้อนๆ
“เปล่า..เคยเห็นในหนังอ่ะแล้วก็จำได้..”ฉันตอบเสียงอายๆ
“จริงเหร้อ..”เอื้อยลากเสียงยาว
“จริงสิ..แล้วเอื้อยคิดว่าเค้าเป็นคนอย่างนั้นหรือไง..”
“ก็พึ่งรู้นี่ล่ะว่าเป็นคนอย่างนั้น
โชคดีที่แม่มาทันเวลานะนี่
ไม่งั้น..”เอื้อยทำเสียงงอนๆ
“ไม่งั้น..ก็คงจะยอมใช่มั้ย”
ฉันพูดขำๆ
“บ้า..
ใครจะลามกเหมือนเจ้ยเล่า
นอนได้แล้วพรุ่งนี้วันจันทร์มารับแต่เช้าด้วยนะ”
“จ้า...
รักเอื้อยนะ”
“รักก็อย่าทำให้เค้าเสียใจนะ..ฝันดี”
แล้วเอื้อยก็วางสายไป
ปล่อยให้ฉันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่กับโทรศัพท์และกระพรวนคิตตี้อันเดิมก่อนที่จะปิดไฟเข้านอนด้วยความอารมณ์ดี
วันจันทร์ในคาบเรียนตอนเช้าฉันสังเกตุเห็นเอื้อยทำตัวรุกริกๆอยู่ไม่เป็นสุข
เธอมักจะเอามือมาทาบที่หน้าอกเธอแล้วก็ทำหน้าเหมือนเธอเจ็บหรือไม่ก็หายใจไม่ออก
ทำอาการอย่างนี้อยู่ตลอดช่วงเช้า
แต่ฉันก็ไม่ได้ถามเอื้อยจนกระทั่งพักเที่ยงทานข้าวเสร็จแล้วไปนั่งเล่นที่ลานม้านั่งประจำกัน
เอื้อยก็ยังเอามือมาทาบที่หน้าอกตัวเองแล้วทำหน้าเหมือนกหายใจไม่ออกอีก
“เป็นอะไรหายใจไม่ออกเหรอ”ฉันถามเอื้อยด้วยความเป็นห่วง
“เปล่า
เจ็บหน้าอก” เอื้อยทำหน้าเซ็งๆหันมาหาฉัน
“เจ็บหน้าอกประมาณหอบหืดอะไรอย่างนี้เหรอ”ฉันถามซ้ำเพราะอย่างน้อยๆก็จะได้หาทางช่วยเหลือเธอได้
เอื้อยมองค้อนมาที่ฉันนิดนึง
ก่อนจะตอบ
“เปล่า..คงเป็นเพราะมีใครสักคนมากัดมันมั้ง”
เอื้อยทำทำตาขวางแล้วเหล่ตามามองที่ฉันอย่างค้อนๆ
ทำให้ฉันสะดุ้งเฮือกเพราะนึกขึ้นได้ว่าทำไมเอื้อยถึงเจ็บหน้าอก
“มันเจ็บขนาดนั้นเลยเหรอ..”ฉันถามเสียงอ่อยๆ
“ลองดูมั้ยล่ะ”เอื้อยทำหน้าเอาเรื่อง
“ช้ำไปหมดเลย..อย่างกับเจอพวกบ้ากามที่ไหนไม่รู้ไล่ปล้ำเอา”
ฉันเผลอหัวเราะออกมาในคำพูดประชดประชันของเอื้อย
ในใจก็นึกสงสารเอื้อยแต่เมื่อนึกถึงเรื่องราววันนั้นแล้ว
ก็ทำให้ฉันได้รู้ว่าทำไม่ฉันถึงคุมสติไม่อยู่
ก็คนที่อยู่ตรงหน้าฉันทั้งสวย
ทั้งใจดี
เพอร์เฟคทุกอย่างใครเลยจะอดใจไหวถ้ามีโอกาสได้ใกล้ชิดถึงเนื้อถึงตัวขนาดนั้น
ฉันเผลอทำตาหวานสบตากับเอื้อยอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้ไม่มีทีท่าว่าใครจะยอมหลบตาใครง่ายๆ
ฉันรู้สึกมีความสุขมากๆเวลาที่อยู่ใกล้ๆได้นั่งคุยนั่งมองตากับเอื้อย
นี่ถ้าอยู่กันสองต่อสองฉันอาจจะหอมแก้มหรือไม่ก็จูบเอื้อยไปแล้ว
“เอื้อยสวยนะ
ใครได้ไปเป็นแฟนคงโชคดี”
ฉันพูดคำหวานพร้อมๆกับสายตาอ้อนๆ
“แล้วรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมั้ยล่ะ”
เอื้อยยิ้มอายๆ
ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆฉันก่อนจะพูดต่อ
“เจ้ยเองก็สวยเหมือนกัน
สวยกว่าเค้าอีกรู้มั้ย
เค้ายังไม่เชื่อเลยว่า...เจ้ยจะชอบ..เค้าจริงๆ”
เอื้อยมองตาตอบและเอ่ยคำพูดหวานๆซึ้งชวนให้ดีใจกลับมา
เราสองคนนั่งมองตาหวานๆให้กันอยู่นานจนกระทั่งมีกลุ่มเพื่อนผู้หญิงเดินผ่านเข้ามาแซว
“เฮ้ย..ดูสินั่งมองตากันใหญ่เลย
สรุปเป็นแฟนกันจริงๆใช่เปล่านี่
เค้าส่งคลิปเอื้อยร้องเพลงให้เจ้ยแชร์กันทั้งโรงเรียนแล้วรู้มัย
ตกลงเป็นเลสกันจริงๆเหรอสองคนนี้”
เพื่อนคนนั้นพูดด้วยเสียงคลื้นเคลงอารมณ์ประมาณคงอยากแซวเราทั้งสองคน
ฉันชักสีหน้าทันที
เหมือนมันเป็นปฏิกิริยาที่ฉันต้องตอบสนองโดยไม่ต้องใช้ความคิดอะไรให้มากมาย
ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงมีอารมณ์นิดนึง
“เลสบ้าอะไร
ก็ผู้หญิงด้วยกันทั้งสองคนฉันก็มีแฟนแล้ว
เอื้อยก็มีแฟนแล้ว
ใครเค้าจะมาคิดอุตริเหมือนพวกแก
ใช่มั้ยเอื้อย..”
ฉันรีบหันไปทางเอื้อย
เพราะอยากให้เอื้อยช่วยตอบว่ามีแฟนแล้ว
เอื้อยดูหน้าเสียมากๆเหมือนเธอปรับอารมณ์ไม่ได้
หันมามองหน้าฉันเหมือนไม่รู้จะเชื่อในสิ่งที่ฉันพูดเมื่อกี้หรือก่อนหน้านี้ดี
ก่อนจะพยักหน้างึกๆเหมือนเป็นการตอบรับแบบไม่เต็มใจว่า
“ใช่มีแฟนแล้ว”
“มีแฟนแล้ว
ก็เอื้อยก็มีเจ้ยเป็นแฟนใช่มั้ย
เจ้ยก็มีเอื้อยเป็นแฟนใช่แบบนั้นหรือเปล่า”
พูดเสร็จเพื่อนคนนั้นก็หัวเราะชอบใจ
จนฉันต้องขึ้นเสียงสูงห้ามเพื่อนกลุ่มนี้
“นี่
ขอร้องอย่าแซว อย่าพูดเล่นๆได้มั้ย
เรื่องนี้ถ้าพ่อแม่ได้ยินเค้าจะว่ายังไงฉันกับเอื้อยยังต้องไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดอยู่
ไม่อยากมองหน้ากันไม่ติด”
ฉันทำเสียงจริงจัง
จนเพื่อนพวกนั้นเลิกหัวเราะแล้วก็ขอโทษ
ก่อนที่จะเดินแยกไปทางอื่น
เมื่อพ้นจากคนอื่นฉันรีบหันมาทางเอื้อยเพราะไม่อยากให้เอื้อยรู้สึกไม่ดีในสิ่งที่ได้ยินไปเมื่อกี้
“ไม่โกรธใช่มั้ย
ที่เค้าพูดอย่างนั้น...”
ฉันหันมามองเอื้อยที่ทำหน้าหงอยๆ
เหมือนปรับอารมณ์ไม่ถูก
“คือ..เค้ายังอยากไปไหนมาไหนกับเอื้อยอยู่นะ
เข้าใจอยู่ใช่มั้ย”
ฉันพยายามอธิบายให้เอื้อยเข้าใจ
เอื้อยยังนิ่งเงียบ
“กลัวคนอื่นรับไม่ได้เหรอ..”
เสียงเอื้อยถามฉันเบาๆ
ฉันไม่ตอบ
แต่จ้องตาของเอื้อยนิดนึงเพราะอยากให้เธอเข้าใจมันด้วยตัวเอง
“ไม่เป็นไร..อย่างน้อยก็รู้ว่าเจ้ยรักเราก็ดีแล้วล่ะ”
เอื้อยถอนหายใจก่อนจะเก็บของแล้วลุกขึ้นจากโต๊ะที่นั่งอยู่ออกเดินไปโดยที่ไม่รอฉันเลย
….เอื้อยคงงอน
แต่จะทำยังไงล่ะ
ฉันไม่ใช่คนประเภททำตัวแรงๆรักใครชอบใครก็ต้องเปิดตัว
อย่างน้อยๆฉันก็ยังมีพ่อแม่
ครูหรือเพื่อนๆที่ฉันยังต้องแคร์อยู่
ฉันนั่งถอนหายใจมองตามเอื้อย
ก่อนที่จะลุกขึ้นเดินตามไป
ฉันกลับไปถึงห้องเรียนด้วยอาการประหลาดใจเพราะไม่เห็นเอื้อยอยู่ที่โต๊ะ
พยายามมองหาในห้องก็ไม่มีทั้งๆที่เธอน่าจะเตรียมตัวเพื่อเข้าเรียนในคาบบ่ายได้แล้ว
ฉันเลี่ยงที่จะเดินไปถามหาเอื้อยกับเพื่อนๆเพราะไม่อยากโดนแซวเรื่องฉันกับเอื้อยอีก
ได้แต่เดินมองหาเงียบๆจนออกไปนอกระเบียงจนกระทั่งมองไปทางฝั่งทางห้องเก่าเอื้อย
ตรงระเบียงหน้าห้อง
6/3
ฉันมองเห็นเอื้อยนั่งคุยกับอันอยู่
น่าแปลกทั้งๆที่เอื้อยและอันต่างทะเลาะกันและเอื้อยเองก็ไม่อยากให้ฉันคุยกับอันด้วยแล้วแต่ตอนนี้เอื้อยกลับนั่งคุยอยู่กับอันสองคน
ฉันอึ้งยืนคิดอยู่ในใจว่าจะเดินเข้าไปหาดีมั้ย
จนกระทั่งเอื้อยหันมาเห็นฉันเข้า
แล้วจู่ๆจากที่นั่งแยกๆกันเหมือนไม่สนิทอะไรกัน
เอื้อยก็เอื้อมมือมาขยี้ที่ผมของอันทำท่าเหมือนเอ็นดู
ทั้งสองยิ้มและหัวเราะให้กันก่อนที่เอื้อยจะลุกขึ้นจากระเบียงโดยที่มือของเอื้อยจับอยู่ที่มือของอันก่อนจะปล่อยมือและเดินจากมาทางฉัน
แล้วฉันก็หน้าชาเมือเห็นภาพนั้น....
ตึ๊ก!!
อยู่ๆเสียงหัวใจของฉันก็เต้นแรงขึ้น
รู้สึกชาไปที่ใบหน้าเหมือนเลือดมาเลี้ยงที่หัวไม่พอ
ปากชาพูดอะไรไม่ออก
รู้สึกเจ็บแปร๊บๆที่หน้าอกตัวเอง
เอื้อยเดินผ่านฉันที่ยืนอึ้งหลังจากที่เห็นภาพเอื้อยกับอันจับมือกัน
เธอกำลังจะเดินผ่านไปแต่ก็หยุดนิดนึง
“ยืนอึ้งอะไรอยู่ตรงนี้
เข้าห้องสิ...จะบ่ายแล้ว”
เสียงเรียบๆของเอื้อยพูดก่อนจะสาวเท้าเดินหนีฉันเข้าห้องไป
ฉันมองไปที่อันที่นั่งยิ้มมองตามเอื้อยเข้าไปในห้องแล้วก็หันมายิ้มให้ฉันนิดนึงก่อนที่จะลุกขึ้นฮัมเพลงเดินเข้าห้องไป
อะไรเนี่ย..ความรู้สึกจุกๆหายใจไม่ออกอย่างนี้มันคืออะไร
….ฉันสูดลมหายใจเฮือกใหญ่เข้าปอดก่อนที่จะรีบเดินเข้าห้องเรียน
ในห้องเอื้อยนั่งหน้านิ่งอยู่ที่โต๊ะไม่หันมาทางฉันเลยแม้ฉันจะนั่งลงข้างๆเธอแล้วก็ตาม
แสดงให้เห็นว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติ
ฉันเองก็พูดอะไรไม่ออกเหมือนกัน
ได้แต่นั่งอึ้งๆในหัวมีความคิดวุ่นวายต่างๆมากมายมันตีกันไปหมด
...ไปจับมือเขาทำไม...ดีกันแล้วเหรอ..ไหนบอกว่ารักฉัน...นี่ประชดฉันหรือว่าทำจริงๆ...
แล้วทำไมฉันต้องเจ็บที่หัวใจด้วย
มันเจ็บแปร๊บๆ
แปร๊บๆอยู่ตลอดเวลาที่นึกถึงภาพนั้น...
ฉันนั่งคิดคำถามต่างๆซ้ำไปซ้ำมาในหัวโดยที่ไม่รู้เลยว่าตอนนี้อาจารย์เข้ามาในห้องแล้ว
จนเอื้อยต้องสะกิดฉันให้ฉันบอกทำความเคารพอาจารย์
ฉันหันไปตามแรงสะกิดของเอื้อย
ไม่ทันที่จะได้บอกทำความเคารพจู่ๆฉันก็รู้สึกเหมือนแสบตาขึ้นมา
มันร้อนๆมาจากข้างในดวงตาของฉันทันทีที่ฉันหันไปเห็นหน้าเอื้อยที่สะกิดเรียกฉันค้างอยู่
แล้วน้ำตาของฉันก็หยดออกมาต่อหน้าเอื้อยโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ
...เอื้อยตะลึง...
ฉันรีบปาดน้ำตาออกแล้วรีบลุกขึ้นขออนุญาติอาจารย์ไปห้องพยาบาลโดยที่ไม่ทันได้บอกทำความเคารพอาจารย์เลย
ทิ้งให้ทั้งอาจารย์
ทั้งเพื่อนๆรวมทั้งเอื้อยเหวอค้างอยู่อย่างนั้น