Girlfriend
Chapter 5
สองเดือนต่อมา
เราสองคนสนิทกันมากขึ้น
มากขึ้นเรื่อยๆ
แม้จะไม่ได้ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดแต่ก็ไม่เคยห่างจากกันนาน
เรื่องที่เพื่อนๆแซวฉันกับเอื้อยว่าเป็นแฟนกัน
ตอนนี้ฉันเองก็เริ่มที่จะชินและเริ่มเฉยๆไม่ค่อยจะโกรธเพื่อนแล้ว
ฉันสังเกตุเห็นที่เพื่อนๆแซวเรื่องของเราสองคน
เอื้อยไม่เคยโกรธให้เพื่อนเลย
เธอกลับยิ้มและเลือกที่อยู่เงียบๆไม่เหมือนฉันที่บางครั้งก็โกรธบางครั้งก็ทำหน้าบึ้งใส่เพื่อนที่แซว
หลังๆพอฉันทำใจได้ไม่โกรธไม่หงุดหงิด
เอื้อยก็จะหันมายิ้มทำตาหวานๆใส่ฉันแทน
แม้จะดูเป็นท่าทางที่ประหลาดๆแต่ฉันก็รู้สึกชอบในท่าทางของเอื้อยที่ทำตลอด
ขนาดเอื้อยยังไม่โกรธเลย
ทำไมฉันต้องโกรธด้วย
สรุปตอนนี้เพื่อนๆในห้องเรียกแทนเราคนใดคนหนึ่งในเราสองคนเวลาที่ขี้เกียจเรียกว่า
“แฟนเจ้ย”หรือ “แฟนเอื้อย”ตลอด
“นี่..เจ้ยกับเอื้อยวันเสาร์นี้เป็นวันเกิดสา
สาเค้าจัดงานวันเกิดเค้าที่บ้านอ่ะ
..พวกเราว่าจะไปรวมตัวกันแฮปปี้เบิร์ดเดย์ให้สาซักหน่อย
เพราะเป็นปีสุดท้ายที่เราจะได้ฉลองวันเกิดสาด้วยด้วยกัน
พวกเธอสองคนอยากร่วมแจมมั้ยจ๊ะ”เสียงของแนนเพื่อนผู้หญิงในห้องเดินเข้ามาชวนให้ไปงานวันเกิดของเพื่อนที่ชื่อสาด้วย
ฉันหันหน้าไปมองเอื้อยซึ่งหันมารอความคิดเห็นของฉันอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว
เพราะจากการที่ฉันไปรับไปส่งเอื้อยที่บ้านเป็นประจำทำให้แม่ของเอื้อยไว้ใจฉัน
เอื้อยบอกว่าเธอมักจะเล่าให้แม่เธอฟังตลอดว่าฉันเรียนเก่งยังไง
นิสัยดียังไง
จนแม่เธอยอมให้ฉันไปไหนมาไหนกับเอื้อยตลอด
ตอนนี้ก็คงเหมือนกัน
เอื้อยคงคิดว่าถ้าให้ฉันเป็นคนพาเธอไปแม่เธอคงให้ไปแน่ๆ
เอื้อยหันหน้ามาหาฉันเธอยิ้มตาเยิ้ม
และหรี่ตาขึ้นลงช้าๆ
ทำให้เห็นขนตาเธอกระพริบขึ้นลงเป็นจังหวะ
....นี่กำลังอ้อนฉันสิท่า
อยากได้อะไรล่ะทำท่านี้ตลอด..
ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เธอชวนฉันกินไอติมกระทิ
แต่ฉันไม่อยากกินเพราะฉันกลัวอ้วนก็ดี
หรือจะเป็นตอนที่อยากให้ฉันเดินไปเป็นเพื่อนเวลามีนักเรียนผู้ชายอยากคุยกับเธอด้วยก็ดี
เธอก็จะมักจะมาทำท่าทางอย่างนี้ใส่ฉันเป็นประจำ
เวลามองขนตายาวๆ
ที่งอนเป็นแผลงของเธอกระพริบขึ้นลงถี่ๆตามจังหวะของเปลือกตาเธอ
ดูมันน่ารักชวนมองมาก
ฉันมองท่าทางแบบนี้ทีไรนอกจากฉันจะกลั้นยิ้มไว้ไม่ได้แล้ว
ยังต้องแอบหันหน้าหนีหลบตาเธอเป็นประจำโดยที่ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน
ตอนนี้ก็เช่นเดียวกัน
“อะไร
อยากไปเหรอ...แต่มันดึกนะ”ฉันทำตาเหล่ถาม
เอื้อยพยักหน้าหงึกๆ
เธอไม่พูดแต่สายตาของเธอมันบ่งบอกว่า
...อยากไปมาก....
แล้วฉันก็ตามใจ
สัญญาว่าวันศุกร์จะไปขอแม่ของเธอให้
ดูเอื้อยดีใจมากโน้มตัวเข้ามาใกล้ฉัน
ยื่นหน้ามาจนจะติดหน้าฉันและจับแก้มฉันไว้
ทำท่าเหมือนจะหอมแก้มฉัน
แต่ฉันก็ปัดมือของเอื้อยออกแสดงอาการให้รู้ว่าไม่อยากเล่นอย่างนี้กับเธอ
เอื้อยดูหน้าเสียนิดๆ
เธอขยับตัวออกห่างจากตัวฉันนิดนึง
ท่าทางเหมือนเด็กโดนดุ
จริงๆแล้วฉันไม่อยากให้เธอทำท่าทางอย่างนี้กับฉันบ่อยๆมากกว่า....เพราะนอกจากเพื่อนในห้องจะชอบแซวแล้วฉันยังจำคำพูดของอันที่ทะเลาะกับเอื้อยเมื่อตอนนั้นได้เสมอ
....ทำไมเอื้อยทำอย่างนี้กับเรา
เอื้อยให้ความหวังเราทำไม
ที่ทำดีกับเราทุกวันนี่ไม่มีความหมายอื่นเลยเหรอ....
คงจะทำตัวอย่างนี้กับเค้าล่ะสินะ
คนอื่นเค้าเลยคิดไปไกลอย่างนั้น
ก็คงจะหยอกเล่นกันถึงเนื้อถึงตัวอย่างนี้ตลอด
...มิน่า...ฉันคิดพร้อมกับกัดมุมปากตัวเองเบาๆ
เอื้อยก้มหน้าหยิบโทรศัพท์ของเธอขึ้นมาดู
ฉันแอบชำเรืองมองไปเห็นที่แขวนโทรศัพท์ของเธอเป็นสายคล้องสีชมพูยาว
มีตัวการ์ตูนคิตตี้ตัวใหญ่และกระดิ่งแขวนอยู่ด้วย
มองเห็นดังนั้นฉันก็หยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาดูบ้าง
เป็นโทรศัพท์เคสสีฟ้าไม่มีลวดลายอะไร
ไม่มีแม้ที่คล้องโทรศัพท์
ฉันไม่ชอบอะไรที่ตกแต่งเยอะเกิน
ฉันคิดว่าโทรศัพท์ควรจะได้รับการป้องกันที่ดี
การซื้อเคสที่มีมาตรฐานดีๆซักอันมาใส่จะดีกว่าการใส่ของประดับตกแต่งที่อาจจะทำให้โทรศัพท์เป็นรอย
...แต่ดูจากที่เอื้อยแขวนแล้ว
มันก็น่ารักดีนะ..ฉันคิด...ขณะที่ก้มลงมองโทรศัพท์ของตัวเองพลิกซ้ายทีขวาที
แล้วจู่ๆโทรศัพท์ก็สั่น
ฉันสะดุ้งรีบหงายโทรศัพท์ขึ้นมาดู
เป็นการแจ้งเตือนของข้อความไลน์โดยคนที่ส่งคือ
..เอื้อย...
ฉันหันหน้าไปมองเอื้อยทันทีโดยที่ยังไม่ทันได้เปิดอ่านข้อความ
เอื้อยไม่หันหน้ามาเอาแต่ก้มหน้ามองในโทรศัพท์ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
ฉันกดเปิดอ่านข้อความดู
“เค้าทำอะไรให้เจ้ยโกรธหรือเปล่า”
“ขอโทษนะ”
แล้วเอื้อยก็ส่งสติ๊กเกอร์รูปหมีถือดอกไม้ยื่นมาให้
“มันจั๊กกะดี๋อ่ะ
ไม่ชอบ”ฉันส่งข้อความกลับไปบอก
“เล่นอย่างนี้บ่อยๆระวังคนอื่นจะคิดไปไกลนะ”ฉันพิมพ์ต่อ
เอื้อยหันมามองหน้าฉันทันทีที่ได้อ่านข้อความนี้
....คงสะกิดใจในข้อความนี้ละสิ
ก็มีคนเคยพูดไว้นี่นา....
“ขอโทษนะ”เอื้อยเลิกพิมพ์แล้วหันมาพูดเสียงเบาๆ
ก่อนมองหน้าฉันตาละห้อย
“อืม..”
ฉันเลิ่กคิ้วให้นิดนึงแล้วแสร้งทำเป็นหน้าบึ้งไม่สนใจเอื้อยต่อ
ก่อนจะเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋า
...Yes!!!...ให้มันได้อย่างนี้สิฉัน...เธอจะได้รู้ซะบ้างว่าไม่ควรทำอย่างนี้กับคนอื่นๆบ่อยนัก
....ถึงเธอจะสวยยังไง..ฉันก็ไม่หลงเสน่ห์เธอง่ายๆเหมือนอันหรอก...
ฉันคิดก่อนจะหันหน้ามายิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียวเหมือนคนบ้า
เลิกเรียนหลังจากที่ฉันไปส่งเอื้อยที่บ้านแล้ว
ระหว่างทางฉันแวะที่ตลาดนัดตรงถนนใหญ่ใกล้ปากซอยเข้าบ้านฉัน
เพื่อที่จะหาซื้อตระกร้าใบเล็กๆ
สำหรับใส่ของสองสามใบตามที่แม่โทรมาสั่งไว้ตั้งแต่ก่อนเลิกเรียน
ในขณะที่ฉันกำลังเดินหาร้านขายตะกร้าอยู่นั้น
สายตามฉันก็เหลือบไปเห็น
...สายคล้องโทรศัพท์ลายคิตตี้
ที่อยู่ร้านขายเคสมือถือตรงหน้าฉัน
ฉันไม่ลังเลที่จะเดินเข้าไปหยิบมันขึ้นมาดู
เป็นสายคล้องเส้นยาวๆและมีตุ๊กตาคิตตี้ที่มีเฉพาะหัวที่ทำเป็นกระพรวนเสียงดังกรุ้งกริ้งๆเวลาสั่น
“น่ารักดี”
ฉันคิดแววตาเปล่งประกายตอนที่มองเห็นมัน
..อืม..มันมีทั้งสายสีชมพูและสายสีฟ้าจะเอาสีไหนดีนะ..ฉันหยิบมันมาดูพลิกซ้ายพลิกขวาอยู่หลายตลบ
คิดว่าคงเป็นเวลานานโข
จนฉันรู้สึกตัวว่าคุณป้าเจ้าของร้านกำลังมองฉันแล้ว
ฉันเงยหน้าขึ้นจากสายคล้องโทรศัพท์แล้วยิ้มแห้งๆ
โดยมีคุณป้ายืนมองมาที่ฉันยิ้มที่มุมปากเล็กๆเช่นเดียวกัน..
....แล้วฉันก็กลับบ้าน..
พร้อมกับตะกร้าของแม่
และสายคล้องโทรศัพท์คิตตี้สีชมพูและสีฟ้าสองอันนั้น....
ค่ำวันนั้นก่อนนอนฉันหยิบสายคล้องโทรศัพท์ขึ้นมาเทียบกับโทรศัพท์ของฉัน
พลางคิดหาเหตุผลที่จะเลือกเอาระหว่างสายใดสายหนึ่ง
..อืมโทรศัพท์สีฟ้าก็น่าจะเอาสายคล้องสีฟ้านะ
เอ๊ะแต่สีชมพูก็ตัดกันกับสีฟ้าของเคสสวยดี
...เอ..หรือจะลองใส่สีชมพูไปก่อนแล้วค่อยสลับเปลี่ยนก็ได้นี่
ซื้อมาสองอันอยู่แล้วนี่....
ในที่สุดฉันก็เลือกแขวนสายคล้องสีชมพูให้กับโทรศัพท์ของฉัน
แปลกๆดี...ฉันคิด
เอาไปอวดเอื้อยดีกว่าเอื้อยเห็นต้องชอบแน่ๆ
ชอบอะไรที่คล้ายๆกันจะได้ดูเป็นเพื่อนที่สนิทกันมากขึ้น
ฉันคิดพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ก่อนที่จะปิดไฟนอน
เช้าวันต่อมา
ในคาบว่างของห้อง
ฉันที่ไม่มีอะไรทำก็หยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาดู
ทำท่าทางพยายามยกโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นสูงๆเพื่อให้เพื่อนที่นั่งข้างๆเห็น
ได้ผล...เสียงของเอื้อยดังมา
“อ้าย คิตตี้สีชมพู น่ารักจังเลย”
ฉันหันไปยิ้มให้เอื้อยนิดนึง
แล้วยกโทรศัพท์ขึ้นโชว์
สายคล้องโทรศัพท์ห้อยลงมา
โชว์ให้เห็นกระพรวนรูปหัวคิตตี้
มันแกว่งไปมาพร้อมเสียงดัง
กรุ้งกริ้งๆ
ฉันมองลอดผ่านสายโทรศัพท์ออกไป
เห็นแววตาของเอื้อยเปล่งประกายสดใสมันบ่งบอกว่า
..อยากได้จัง..
“น่ารักมั้ย”ฉันถาม
“มากๆเลย”เอื้อยตอบ
“ซื้อมาจากไหนเหรอ
เค้าอยากได้คิตตี้ที่หัวมันเป็นกระพรวนอย่างนี้ล่ะน่ารักดี”เอื้อยพูดพลางเอานิ้วมาจิ้มมาที่หัวกระพรวนคิตตี้
“อยากได้เหรอ”ฉันถาม
แล้วทำคิ้วเลิกสูงขึ้น
เอื้อยพยักหน้าหงึกๆ
และยิ้มรับ ดูตาเธอกลมใสเป็นประกายมาก
คำว่า “ไร้เดียงสา”
คงจะใกล้เคียงสุดกับอากัปกิริยาตอนนี้ของเธอที่สุด
“ให้เอามั้ย”ฉันถาม
“พอดีเลือกไม่ถูกว่าจะเอาสีชมพูหรือสีฟ้าดีเลยซื้อมาสองอัน”
“จริงเหรอ”เอื้อยยิ้มทำตาโต
“ไม่เอาดีกว่าเค้าซื้อต่อก็ได้นะ
เกรงใจเจ้ย”
“เห้ย
ถ้าจะเอา..เอาไปเลยนะเค้าไม่ขายต่อหรอก”ฉันพูด
“
ไว้มีของอะไรน่ารักๆแล้วเอื้อยนึกถึงเค้าก็ค่อยซื้อมาฝากบ้างแล้วกัน”
ฉันเผลอยิ้มออกมาให้เอื้อยเห็น
แล้วก็ต้องชะงักกับพูดของตัวเองที่พูดไปเมื่อกี้
....ไว้มีของอะไรน่ารักๆแล้วเอื้อยนึกถึงเราก็ค่อยซื้อมาฝากบ้างแล้วกัน...
...นี่ฉันนึกถึงเอื้อยใช่มั้ยถึงได้ซื้อสายคล้องมาให้เอื้อย...
เอื้อยละสายตาจากกระพรวนคิตตี้ขึ้นมามองหน้าฉัน
เธอจ้องที่ตาฉันเหมือนอยากจะถามอะไรซักอย่าง
“เจ้ยตั้งใจซื้อมาให้เค้าเหรอ..”เสียงเอื้อยนิ่งๆและทำหน้าจริงจัง
แววตาเธอจ้องมาที่ตาของฉันไม่ยอมกระพริบ
ตึ๊ก!!
เสียงหัวใจของฉันอยู่ๆก็เต้นดังขึ้น
แทนที่ฉันจะปฏิเสธไปว่า
..เปล่า..
ฉันกลับเงียบและแกล้งก้มลงแกะสายคล้องออกจากโทรศัพท์ออกเพื่อหลบตาเอื้อย
เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นเอื้อยทำหน้านิ่งๆ
ไม่ได้พูดเล่น หรือพูดหยอกกับฉัน
แต่เธอกำลังถามเพื่อให้รู้ถึงความรู้สึกของฉันว่าฉันไม่ได้บังเอิญซื้อมาแต่ฉันตั้งใจซื้อของชิ้นนี้มาให้เธอใช่มั้ย....
นั่นสินะ...ฉันนึกย้อนกลับไปถึงตอนที่เลือกซื้อ
ปกติแล้วฉันไม่ใช่คนเรื่องมาก
เลือกซื้อของนานอย่างนี้
คงไม่ใช่เพราะฉันตัดสินใจไม่ถูก
แต่เป็นเพราะว่าฉันกำลังหาเหตุผลที่ฉันต้องซื้อมันมาทั้งคู่นี่เอง..เพิ่งรู้นะนี่
ซักพักฉันก็เงยหน้าขึ้นมาถามเอื้อย
“แล้วจะเอาหรือเปล่าล่ะคะ”ฉันถามพลางแกะสายคล้องออก
แต่มันก็ไม่ออก ดูเก้ๆกังๆมาก
เอื้อยนั่งมองฉันถอดสายคล้องออกจากโทรศัพท์อยู่นาน
เธอคงนึกขำในท่าทางของฉันจึงเอื้อมมือมาหยิบโทรศัพท์ไปจากมือ
แต่แทนที่มือของเอื้อยจะจับโดนโทรศัพท์ก็กลับกลายเป็นจับมาที่มือฉันแทน
ฉันหยุดแกะสายคล้องออกแล้วหันไปมองหน้าเอื้อยทันที
ในความคิดแว๊บแรกคือเดี๋ยวเอื้อยก็ปล่อยมือเองล่ะ...แต่แล้วก็ไม่เป็นไปตามสิ่งที่คิดเพราะรู้สึกว่าคนจับนั้นหยุดนิ่งไม่ยอมปล่อยมือออก
เอื้อยนิ่ง
ทุกอย่างเหมือนหยุดที่เวลานี้
ตาของเราสองคนประสานกัน
ปากแดงๆของเอื้อยพยายามจะขยับพูดอะไรซักอย่าง
แต่ก็ไม่มีเสียง
กลายเป็นว่ามือของเอื้อยยิ่งบีบมือของฉันแรงขึ้นกว่าเดิม
แม้แรงบีบจะหนักขึ้นแต่ฉันกลับไม่ได้รู้สึกเจ็บ
มีเพียงความรู้สึกอุ่นๆและความนุ่มของมือเอื้อยเท่านั้นที่นั้นที่ฉันสัมผัสได้
“แหน้ๆๆ...มานั่งจับมือทำตาหวานซึ้งอะไรกันนี่คู่นี้”
เสียงของเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินผ่านมาที่โต๊ะพูดแซวฉันกับเอื้อยเสียงดัง
ทำให้ฉันและเอื้อยสะดุ้งและรีบปล่อยมือออก
แล้วส่ายหน้าให้เพื่อนคนนั้นแทนคำตอบว่าไม่มีอะไร
เมื่อเพื่อนคนนั้นเดินผ่านไป
ฉันยื่นโทรศัพท์ให้เอื้อยแกะสายคล้องออกให้
เอื้อยรับไปแกะออกให้ใช้เวลาไม่นาน
เธอหยิบโทรศัพท์ของเธอถอดสายคล้องอันเก่าของเธอออก
เปลี่ยนเป็นสายคล้องที่ฉันซื้อให้แทน
“ขอบใจมากเลยนะ
เค้าจะใส่มันไว้ตลอดเลย”เสียงใสๆหวานๆของเอื้อยดังมา
“ดีใจนะที่เจ้ยนึกถึงเค้า...”
เอื้อยพูดเสียงเบาๆในขณะที่ก้มหน้ามองที่สายคล้องโทรศัพท์อันนั้น
“อืม..”ฉันตอบก่อนที่จะนั่งอมยิ้มก้มหน้ามองมาที่มือของตัวเอง....
************************************
คาบสุดท้ายของวันนี้พวกเราสายชั้นม.6ไม่ได้เรียนเพราะคุณครูติดประชุมกันทั้งสายชั้น
เอื้อยชวนฉันไปเล่นที่ห้องเดิมของเธอ
ตอนแรกฉันปฏิเสธแต่ก็ทนที่เอื้อยรบเร้าไม่ได้
ต้องจำใจพาเธอเดินไปที่ห้องเดิมของเธอ
เอื้อยยืนคุยกับเพื่อนๆสองสามคนในห้องเก่าของเธอดูพวกเค้าดูดีใจมากที่เจอกัน
เพราะต่างคนต่างเรียนคนละรายวิชานานๆจะมีเวลาว่างมาเจอกัน
ฉันขอนั่งรออยู่ที่ระเบียงหน้าห้องแก้เก้อเพราะไม่ค่อยสนิทกับเพื่อนเอื้อยเลยไม่รู้ว่าจะคุยอะไรด้วยดี
ขณะที่ฉันนั่งรออยู่นั้น
อันที่เดินมาจากไหนไม่รู้อยู่ๆก็เดินเข้าไปในกลุ่มของเอื้อยที่คุยกันอยู่
เอื้อยหน้าถอดสีอาจจะเป็นเพราะเธอตกใจที่เจออันเข้าจังๆ
เพราะหลังจากวันนั้นที่สองคนมีเรื่องกันฉันก็ไม่เห็นพวกเค้าคุยกันอีกเลย
เอื้อยยิ้มให้อันนิดนึงก่อนจะทักทายอันตามปกติ
แต่อันไม่ยิ้มกลับมองหน้าเอื้อยแล้วหันมามองที่หน้าฉัน
ชิ้งงงง...สายตาของอันที่มองฉันนั้นให้ความรู้สึกเย็นวาบไปถึงสันหลัง
รับรู้ได้ถึงพลังงานบางอย่าง
อันเดินตรงเข้ามาหาฉันทิ้งให้เอื้อยยืนอึ้ง
และฉันก็นั่งอึ้งพวกเราตะลึงไม่รู้ว่าอันจะเข้ามาทำอะไร
“นั่งด้วยได้มั้ย”เสียงเรียบๆของอันเอ่ยถาม
สายตาเย็นชายังจ้องมองมาที่ฉัน
“อะ..เอาสิ”
ฉันพูดตะกุกตะกักเพราะกำลังตั้งหลักว่าเธอคนนี้จะมาไม่ไหน
อะไร ยังไง กับฉัน
“มาด้วยกันกับเอื้อยเหรอ”เสียงอันที่กำลังนั่งอยู่ข้างๆฉันพูดขึ้น
“อืม..ใช่”ฉันตอบพยายามทำเสียงเรียบๆเหมือนกัน
“มาทำไม
เอื้อยใช้ให้มาเป็นเพื่อนหรืออยากมาด้วยเอง”อีกฝ่ายพูดเสียงเย็นชาฟังจากน้ำเสียงเหมือนกำลังจับผิดฉัน
“ก็ทั้งสอง..ทำไมเหรอ”ฉันพยายามควบคุมน้ำเสียง
“..เธอชอบเอื้อยเหรอ..”อยู่ๆอันก็ยิงคำถามที่ฉันแทบจะสะอึก
ฉันนั่งอึ้งนิ่ง
ด้วยความรู้สึกที่ทั้งตะลึงและตกใจปนกัน
ไม่นึกว่าคนที่ฉันเคยแอบรู้ว่าชอบเอื้อย
จะถามฉันต่อหน้าในเรื่องอย่างนี้
ยังไม่ทันที่ฉันจะตอบคำถามของอัน
เอื้อยก็รีบปริตัวออกจากกลุ่มเพื่อนก็เดินเข้ามายืนอยู่ข้างๆฉัน
เธอดึงมือฉันให้ลุกขึ้นจากระเบียงหน้าห้อง
“ปะเจ้ยกลับห้องกันเถอะ”
เอื้อยหันมามองหน้าอันนิดนึงสายตาของเอื้อยนั้นบ่งบอกให้รู้ว่าไม่ต้องการให้อันมายุ่งกับฉัน
“จะเตือนด้วยความหวังดีนะ..
อย่าคิดว่าเค้าทำดีด้วยแล้วเค้าจะชอบเธอ...”อันพูดกับฉันด้วยเสียงเรียบๆฟังดูเย็นชาแต่สายตากลับจ้องไปที่เอื้อย
เอื้อยปล่อยมือฉัน
เธอส่ายหน้าให้อันก่อนจะหันมามองฉันและพยักหน้าเรียกให้ฉันตามเธอกลับห้องไป
ฉันหันมายิ้มให้อันนิดนึงพอเป็นมารยาทก่อนที่จะรีบวิ่งตามเอื้อยที่ตอนนี้เดินกลับห้องไปแล้ว
ฉันวิ่งกลับมาที่ห้องเรียนเห็นเอื้อยนั่งคิ้วขมวดอยู่ที่โต๊ะ
“เป็นไร..หน้าบึ้งเชียว”ฉันเลื่อนโต๊ะนั่งลงข้างๆเอื้อย
เอื้อยไม่ตอบ
แต่หันมามองหน้าฉันนิดนึงและก็หันไปทางอื่น
“เอ้า
อะไร..กลายเป็นโกรธให้เค้าซะนี่
เค้าทำอะไรผิดอ่ะ”
เอื้อยก็ยังนั่งหน้าบึ้งไม่ยอมคุยด้วยเหมือนเดิม
“ตกลงโกรธเค้าเหรอ
เรื่องอะไรนี่”
ฉันพูดพลางดึงแขนของเอื้อยแล้วเขย่าเบาๆเพราะอยากรู้ว่าทำไมเอื้อยไม่ ยอมคุยด้วย
เอื้อยทนที่ฉันทำเสียงเซ้าซี้ไม่ได้เธอจึงตอบ
“ไม่รู้อะ
เค้าไม่ชอบให้เจ้ยคุยกับ...คุยกับอันเลยอ่ะ”
“อันเค้าเกลียดเค้าแล้ว
ต้องพูดให้เจ้ยเกลียดเค้าด้วยแน่ๆ”เอื้อยตอบด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูกังวลใจ
“แล้วทำไมอันต้องเกลียดเอื้อยด้วยล่ะ”
ฉันแกล้งถามเอื้อยแม้จะรู้อยู่แล้วว่าจริงๆคำตอบจริงๆของเรื่องคืออะไร
เอื้อยคิ้วขมวด
จ้องมาที่หน้าของฉันทำปากมุบๆมิบๆเหมือนเธออยากพูดอะไรซักอย่างแต่พูดไม่ได้
“ไม่มีอะไรหรอก
ช่างมันเถอะ”
เอื้อยถอนหายใจแล้วก็หันหน้าไปทางอื่น
“จริงๆแล้วเค้าเห็นอันจ้องหน้าเค้าตั้งนานแล้วล่ะ
เหมือนเค้าอยากจะคุยด้วยหรือไม่ก็ไม่พอใจอะไรเราซักอย่างแล้วล่ะ”
ฉันลองเล่าเรื่องที่อันยืนมองหน้าฉันเมื่อสองอาทิตย์ก่อนให้กับเอื้อยฟัง
เอื้อยหันหน้ามามองฉัน
“จริงเหรอ”
“เค้าว่าอันหึงเค้ากับเอื้อยหรือเปล่า”ฉันถามเอื้อยด้วยเสียงเบาๆเพราะกลัวเพื่อนๆจะได้ยิน
“หึงทำไม...เจ้ยชอบเค้าเหรอ”
เอื้อยถามจ้องหน้าฉันตาเขม็ง
ใบหน้าดูจริงจังมาก
ตึ๊ก..อยู่ๆหัวใจของฉันก็เต้นเสียงดังขึ้นกว่าเดิม
ไม่มีเสียง
ไม่มีคำตอบใดๆออกจากปากฉัน
รวมทั้งเอื้อยที่ยังจ้องหน้าฉันด้วยดวงตาที่ยังสงสัยคู่นั้นอยู่
“คงเป็นไปไม่ได้หรอกใช่มั้ย....บ้าสิใครจะมาชอบผู้หญิงด้วยกันเล่า..”พูดแล้วเอื้อยก็ฟุบหมอบหน้าลงกับโต๊ะเรียนทำท่าเหมือนจะร้องไห้อยู่ตรงนั้น..
ตอนนี้ฉันก็รู้สึกอยากจะร้องไห้เหมือนกัน
....เฮ้ออะไรนักหนาวะ
ไม่เข้าใจทั้งเพื่อนและความรู้สึกของตัวเองมันช่างเป็นช่วงเวลาที่สับสนยิ่งนัก..
“อยากกลับบ้านแล้วอ่ะ
เมื่อไหร่โรงเรียนจะเลิก”
ฉันบ่นคนเดียวเบาๆก่อนจะทิ้งตัวลงนอนหมอบไปกับโต๊ะเหมือนๆกับเอื้อย
******************************************
ตอนเลิกเรียนพวกเราเดินไปที่โรงรถโดยที่ไม่ได้คุยเรื่องใดๆกันล่วงเลยยาวจนฉันขับไปส่งเอื้อยถึงบ้านแล้ว
เอื้อยก็ยังไม่คุยอะไรกับฉันอีก
ช่างเป็นความรู้สึกที่แสนจะอึดอัดนัก
นี่ใจคอเธอจะไม่คุยอะไรกับฉันเลยเหรอ
ใจร้ายจัง...
ฉันกลับถึงบ้านด้วยอาการเซ็งจนแม่ต้องถามฉันว่าไปทำอะไร
ฉันได้แต่ตอบเลี่ยงๆว่าเบื่อเพื่อนๆที่โรงเรียน
เมื่อทำงานบ้านช่วยแม่เสร็จฉันรีบตรงขึ้นห้องนอนของตัวเองและทิ้งตัวนอนแผ่หลาอยู่บนเตียงของตัวเอง
ไอ้อาการอึดอัดๆ
หดหู่ๆที่อยู่ในใจของฉันนี่มันคืออะไรกันนะ
ฉันใคร่จะอยากรู้ซะจริง
เมื่อจัดการสงบสติอารมณ์ของตัวเองแบบเงียบๆไม่ได้แล้ว
ฉันก็หยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาจะเปิดดูFacebook
แก้เซ็ง
แต่เสียงกระพรวนกรุ๊งกริ๊ง
ก็ทำให้ฉันหยุดมองที่มาของเสียง
...ไอ้คิตตี้บ้า
มีความสุขเชียวนะยิ้มคนเดียว
กรุ๊งกริ๊งๆอยู่ได้...
ฉันเอานิ้วจิ้มหัวกระพรวนคิตตี้พร้อมๆกับบ่นไปคนเดียวด้วยความหมั่นไส้
ตอนนี้ไม่ว่ามองอะไรสิ่งไหนฉันก็รู้สึกขวางหูขวางตาวุ่นวายใจไปซะหมด
...เฮ้อ...นี่ฉันเป็นอะไรไปนี่....
แล้วฉันก็ก้มหน้านอนฟุบลงไปกับเตียงหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้
รู้สึกตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ดังขึ้น
ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเป็นเอื้อยที่โทรเข้ามา
มองดูเวลาในนาฬิกาก็เกือบห้าทุ่มแล้ว
คงเพราะฉันเหนื่อยและเครียดมากจึงทำให้ฉันเผลอหลับยาวไปอย่างนี้
เมื่อตั้งสติหายงัวเงียแล้วฉันก็กดรับสายโทรศัพท์จากเอื้อย
“ฮัลโหล..เอื้อย..”ฉันลากเสียงยาวเพราะกำลังงัวเงียจากการตื่น
“..อืม
เจ้ยนอนหรือยัง”
“ยัง..หรอก
กำลังจะไปอาบน้ำ มีอะไรหรือเปล่า”
“เอ่อ..การบ้านภาษาไทย...อย่าลืมทำนะ”เสียงพูดห้วนๆของเอื้อยลอยมาตามสาย
“หา...การบ้านภาษาไทย??
เรามีเรียนวันศุกร์นี่นา
ต้องทำเลยเหรอ”
“อืม..เค้ากลัวเจ้ยลืมอ่ะ..เลยโทรมาเตือน”
“อ่อ..ใครจะไปลืมเล่า
อีกตั้งสองสามวันกว่าจะถึง
...ทำไมมีเรื่องจะพูดแค่นี้เหรอ”เสียงงงๆของฉันถามเอื้อยกลับ
“อืม..”เสียงเอื้อยตอบรับเบาๆ
“จริงๆน่ะ
โทรมาตั้งดึก”
ฉันถามย้ำเพราะฉันไม่ค่อยอยากจะเชื่อในสิ่งที่เอื้อยกำลังตอบคำถามมาเลย
“แค่นี้ล่ะ
ไม่มีอะไรมากหรอก..”เอื้อยลากเสียงยาว
แต่ก็เหมือนกำลังคิดว่าจะพูดหรือจะไม่พูดอะไรบางอย่างดี
แต่แล้วเอื้อยก็พูดบางอย่างที่ทำให้ฉันอึ้งออกมา
“..เค้าแค่อยากได้ยินเสียง...เจ้ย..แค่นั้น...”
ฉันนิ่งกับสิ่งที่ได้ยินและยังไม่ทันทีฉันจะตอบอะไรกลับไปเอื้อยก็รีบพูดต่อทันที
“เค้ากลัวเจ้ยโกรธให้เค้า
แล้วเราจะไม่คุยกันอีก”
“เจ้ยอย่าโกรธเค้านะ
ขอโทษที่เค้างี่เง่า
เค้าไม่ชอบให้เจ้ยอยู่กับคนอื่นน่ะ
ไม่รู้ทำไม”
“อืม...”เสียงฉันขานรับเบาๆเพราะไม่รู้ว่าจะตอบอะไรดีหลังจากที่ได้ยินสิ่งที่เอื้อยพูดออกมา
“เค้านอนไม่หลับ..ไม่รู้ทำไม..แค่นี้ล่ะนะ
พรุ่งนี้มารับเค้าแต่เช้านะ”
พูดเสร็จเอื้อยก็รีบวางสายไปทิ้งให้ฉันนิ่งเงียบอยู่กับโทรศัพท์
นี่ก็เป็นอีกครั้งที่ฉันรู้สึกแปลกๆกับคำพูดของเอื้อย
ฉันไม่ค่อยประสีประสากับความรู้สึกอย่างนี้เท่าไหร่
รู้สึกเพียงแต่ว่าบางครั้งฉันก็จะเผลอยิ้มกับบางสิ่งที่เอื้อยทำหรือพูด
เช่นเดียวกันกับครั้งนี้ที่ฉันรู้สึกว่าฉันกำลังเผลอยิ้มออกมาตั้งแต่ตอนที่ได้ยินเสียงของเอื้อยพูด
“..เค้าแค่อยากได้ยินเสียง...เจ้ย..แค่นั้น”
ตอนเช้าวันรุ่งขึ้น
วันนี้ฉันตื่นเช้าเป็นพิเศษ
โดยที่ไม่มีอาการงัวเงียด้วย
แม้ว่าเมื่อคืนนี้กว่าที่ฉันจะนอนหลับได้ดึกโขคงเพราะว่ามัวแต่นอนคิดเรื่องของเอื้อยทั้งคืน
มาคิดๆดูแล้วตัวฉันเองก็เริ่มรู้สึกว่าฉันก็เหมือนเป็นคนบ้าเพราะฉันทั้งนอนไปยิ้มไปทั้งคืน
กว่าจะหลับก็ปาไปเกือบตีสอง
ฉันขับรถไปถึงบ้านเอื้อยไวกว่าทุกวัน
ไม่แน่ใจว่าต้องการทำตามคำขอร้องของเอื้อยที่บอกว่าให้มารับแต่เช้าหรือว่าอยากมาเจอหน้าเอื้อยกันแน่
เอื้อยก็ออกมารออยู่หน้าประตูตั้งแต่เช้าเหมือนกัน
ทันทีที่ฉันจอดรถเอื้อยก็รีบวิ่งกุลีกุจอตรงมาหาฉัน
วันนี้เธอยื่นชอคโกแลครูปหัวใจสีแดงให้อีกแล้ว
ฉันรับไว้แล้วหันไปมองหน้าเอื้อยที่ยิ้มหวานๆหน้าแดงตอนที่ยื่นให้
รู้สึกตอนนี้หน้าตัวเองร้อนๆยังไงไม่รู้
ฉันเผลอยิ้มและสบตาเข้ากับเอื้อย
ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ซ่อนในสายตาของเราสองคนนั้นมันคือสิ่งๆเดียวๆกันหรือเปล่า
เรายืนประสานสายตากันอยู่นานกว่าฉันจะละจากสายตาของเอื้อยแล้วรีบชวนเอื้อยขึ้นรถมุ่งหน้าไปโรงเรียน
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาฉันกับเอื้อยก็เริ่มรู้สึกถึงบางสิ่งที่เปลี่ยนไปในใจของเราสองคน
แม้เราจะไม่พูดแต่เราก็สามารถรับรู้ได้ในความรู้สึกดีที่ซ่อนอยู่ในใจลึกๆของเราทั้งสองคนได้