นิยายหญิงรักหญิง Girlfriend Season2
Chapter 1
New beginning
ขอให้มีแฟนหน้าตาดีๆ
นิสัยสวยๆเอ้ย..นิสัยดีๆเหมือนตัวเองนะ
รักเพื่อนคนนี้มากและจะสิงสถิตย์อยู่ข้างๆตลอดไป..
From
เจ้ย
เพื่อนที่สวยที่สุดในห้อง6/1..รักเพื่อนมากๆนะ
2
เม.ย.
2558
“...โฮย..ทำไมไม่เขียนให้มันดีๆกว่านี้หน่อยเล่า
เฟรนด์ชิพนะนี่
เขียนซึ้งๆเป็นมั้ยเนี่ย..”เสียงเอื้อยบ่นมุบมิบเหมือนไม่พอใจ
หลังจากที่เธอนั่งอ่านเฟรนด์ชิพหน้าที่ฉันบรรจงเขียนข้อความจากใจแบบเพื่อนสนิทให้เธอในวันสุดท้ายก่อนปิดภาคเรียน...
วันนี้หลังจากที่เราทำกิจกรรมปัจฉิมนิเทศ
และทำกิจกรรมกับเพื่อนๆเช่น
เซ็นต์เสื้อ ถ่ายรูป
ติดสติกเกอร์หัวใจใส่เสื้อ
รับของขวัญจากบรรดาน้องๆแฟนคลับรวมถึงจากเพื่อนๆคนอื่นๆกันเสร็จแล้ว
เราสองคนก็หอบข้าวของพะรุงพะรังมานั่งเขียนและนั่งอ่านเฟรนด์ชิพของเราต่อที่ลานม้านั่งที่ประจำของเรากัน...
คิ้วขมวดออกดุ
ช่างขัดกับใบหน้าหวานตาโตๆของเด็กสาวในชุดนักเรียนม.ปลายท่าทางเรียบร้อยสวยสง่าอย่างเอื้อยนัก
อารมณ์ขัดใจเมื่อเธอได้อ่านข้อความที่เธอคาดหวังว่ามันจะหวานซึ้งอย่างคนรักทั่วไปทำเธอออกอาการกระฟัดกระเฟียดเล็กๆทันที
ฉันอมยิ้ม นึกขันท่าทางแสนงอนของคนรักของตัวเอง
“..จะให้เขียนอะไรเล่า
ก็เห็นว่าเป็นเฟรนด์ชิพนั่นล่ะก็เลยเขียนอย่างนั้น
จะให้สารภาพรักหรือไงกันเดี๋ยวคนเขามาอ่านเจอก็แซวกันอีก...”
คนใจน้อยหน้ามุ่ยเมื่อได้ยินคำแก้ตัว
เธอมองหน้าฉันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะก้มลงค้นหาอะไรในกระเป๋าตัวเองขึ้นมาส่งให้....
“ว่าแล้วว่าต้องเขียนแบบนี้ก็เลยเตรียมนี่มาให้เขียนโดยเฉพาะ
เอ้านี่..เขียนความในใจลงไปให้ด้วย
เขียนดีๆซึ้งๆด้วยจะเก็บไว้อ่านคนเดียว..”
ฉันหยิบขึ้นมาดูเป็นสมุดไดอารี่สีเขียวปกแข็งๆเล่มหนาๆเล่มหนึ่ง
เปิดดูด้านในได้สองสามแผ่นแต่ยังไม่อ่านอะไรก็โดนเอื้อยแย่งไปจากมือไปเสียก่อน
“ห้ามเปิดอ่านสิ”
เอื้อยหน้าแดงตอนที่แย่งคืนไปได้
เธอพลิกกระดาษหาหน้าที่จะให้ฉันเขียนอยู่ครู่หนึ่งแล้วจิ้มนิ้วจึกๆตอนส่งมา...
“เขียนหน้านี้นะ
เขียนแต่หน้านี้เท่านั้น..ห้ามเปิดอ่านหน้าอื่น..”
ฉันเลิ่กคิ้วรับคำ
ยื่นมือรับไดอารี่มาเขียนยุกยิกอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้ามอง
ตอนนี้คนสวยก็แอบเหล่มองดูว่าฉันจะเขียนอะไรลงไปให้เธอบ้างเหมือนกัน “ห้ามมองสิ
ไม่งั้นจะไม่ซึ้งนะ”
“รู้แล้วน่า..”
เอื้อยว่า
เธอยักคิ้วแล้วทำทีหันหลัง
กระทั่งฉันเขียนเสร็จแล้วแอบเปิดดูอีกครั้ง
เธอจึงรีบหันกลับมาดึงไดอารี่กลับไปกอดไว้ทันทีที่ได้ยินแค่เสียงเปิดกระดาษเบาๆ...
“บอกว่าห้ามอ่านไงเล่า!!
ขี้โกงนี่!!”
“ก็ไม่ได้อ่าน
ยังไม่ทันได้อ่านเลยเอื้อยเห็นซะก่อนไง
หูดีชะมัดเลย”
คนสวยยื่นมือมาตบแป๊ะทันทีที่ได้ยินเสียงทะเล้นแกล้งต่อปากต่อคำ
เธอก้มลงมองดูไดอารี่เล่มนั้นอยู่ครู่นึงก่อนจะพยายามเปิดหน้าที่ฉันเขียนไว้ให้..
“ห้ามอ่าน
กลับไปอ่านคนเดียวอย่างที่บอกสิ”
เอื้อยสะดุ้งทันทีที่ได้ยินฉันว่าคืนบ้าง
“รู้แล้วน่า..”
เธอทำหน้าเซ็งๆรับคำฉันอย่างเสียไม่ได้ก่อนจะพยายามก้มลงเก็บไดอารี่เล่มนั้นไปในกระเป๋าเหมือนเดิม
มองท่าทางทะนุถนอมทำอย่างกับหวงไดอารี่เล่มนั้นหนักหนาก็อดที่จะถามด้วยความสงสัยไม่ได้...
“เขียนอะไรในนั้น
ท่าทางหวงจังเลย”
“ก็ทุกอย่างที่อยากจะเขียน”
ฉันเลิ่กคิ้ว นึกแปลกใจเล็กๆที่ได้ยินเอื้อยว่า
“ไม่ยักกะรู้ว่าชอบเขียนไดอารี่”
“ก็ไม่เชิงชอบเขียนหรอก
แค่เขียนมันตลอดเอาไว้จดบันทึกกิจกรรมที่ทำประจำวันทุกวันต่างหาก
แม่สอนให้เขียนน่ะ เค้าว่ามันก็ดีนะ
เวลาว่างๆเหงาๆก็มานั่งเปิดอ่านบันทึกเก่าๆก็เห็นเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมาในชีวิตแต่ละช่วงเวลานั้น
มันก็ทำให้เรารู้จักเอาประสบการณ์พวกนั้นมาวางแผนการใช้ชีวิตได้นะ
เรื่องบางเรื่องดีก็ทำให้เรามีกำลังใจในการดำเนินชีวิต
เรื่องบางเรื่องไม่ดีพอกลับมาอ่านก็จะรู้สึกเฟลอยากกลับไปแก้ไขเหมือนกัน..”
ฉันพยักหน้าเห็นด้วยกับคำอธิบาย
ทั้งขานรับสั้นๆง่ายๆว่า..
“อืม..ก็ดีนะ..”
“ดีสิ
นี่ยังคิดเวลาที่อ่านไดอารี่เลยนะ
ว่าช่วงเวลาไม่ดีที่ผ่านมาหรือเรื่องแย่ๆที่ผ่านมา
ถ้ากลับไปแก้ไขหรือลบได้แบบไดอารี่นี่คงจะดีมากๆเลย..”
คำบอกเล่าจากจินตนาการชวนฝันทำให้ฉันหัวเราะด้วยความเอ็นดูเล็กๆ
“หัวเราะทำไม
คิดว่าไร้สาระล่ะสิ
เชอะ..ช่างไม่มีจินตนาการเอาเสียเลย
ขนาดจะได้เรียนคณะที่เต็มไปด้วยจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ขนาดนั้น..”
“ก็ไม่ได้ว่า
เค้าแค่คิดว่าเราควรจะจริงจังกับปัจจุบันและอนาคตที่กำลังจะมาถึงดีกว่ามั้ยน่ะ”
“อ้อเหรอ!!
อดีตไม่เคยทำอะไรผิดพลาดเลยสินะ!!”
ข้อความกระแนะกระแหนคำพูดที่เต็มไปด้วยอุดมการณ์ของฉัน
ทำให้ฉันเผลอสะดุงทันที
“ก็..ก็มีอยู่
แต่มันผ่านมาแล้วไง..”
ความรู้สึกผิดในอดีตทำฉันแก้ตัวตะกุกตะกัก
ใช่สิ..เรื่องที่เคยทำไม่ดีกับคนรักยังอยู่ในใจฉันเสมอ
เอื้อยคิ้วขมวด
เธอมองอาการแบ่งรับแบ่งสู้ของฉันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยิงคำถามดราม่าประกอบสายตางอนๆให้ฉันครุ่นคิด....
“ถ้าย้อนเวลาได้จริง
อยากย้อนเวลากลับไปแก้ไขอะไรในชีวิตบ้าง.....”
..ตึ้ง
ตึ้ง ตึ้ง ตึ้ง ตึ้ง ตึ้ง
เสียงรัวๆของแอพพิเคชั่นไลน์ในโทรศัพท์ดังแทรกเข้ามาในห้วงความคิดฉัน
ฉันสะดุ้งรีบละสายตาจากเฟรนด์ชิพหน้าที่เอื้อยเขียนออกมาหยิบโทรศัพท์ดูทันทีที่ตั้งสติได้
เป็นข้อความจากคนในเฟรนด์ชิพนั่นเอง
เธอส่งสติ๊กเกอร์น่ารักๆที่มีความหมายว่าคิดถึงมาให้ฉันรัวๆ
ก่อนจะพิมพ์ข้อความมาถามฉันว่า
“ตื่นหรือยังคะ”
“ตื่นแล้วสิ
ตื่นตั้งแต่หกโมงครึ่งแล้ว”
ฉันพิมพ์ข้อความกลับไปพร้อมๆกับเหลียวมองดูเวลาในโทรศัพท์
ตอนนี้มันแสดงเวลา 8.28
น.
อืม..ใกล้เวลาแล้วนี่
ฉันคิด
ก่อนจะพิมพ์ข้อความบอกลาเอื้อยขอเตรียมตัวไปคณะก่อน...
ฉันเก็บสมุดเฟรนด์ชิพที่หยิบขึ้นมาอ่านรอเวลาลงไปในลิ้นชักโต๊ะทำงาน
ทั้งหยิบจัดของบนโต๊ะให้เรียบร้อย
เสียงเตือนของสมาร์ทโฟนดังขึ้นอีกครั้ง
แต่ตอนนี้เป็นเสียงเตือนบอกปฏิทินนัดหมาย
ฉันอ่านข้อความ..“11
มิถุนายน
2558
เวลา
09.00
น.
ปฐมนิเทศคณะ”
..เตือนก่อนเวลา30นาทีสินะ..
ฉันหยิบโทรศัพท์วางใส่กระเป๋าสะพายข้างหนังสีน้ำตาลแล้วลุกขึ้นเดินไปสำรวจความเรียบร้อยของชุดตัวเองอีกครั้งนึง..
ตอนนี้เงาสะท้อนของกระจกล็อคเกอร์กำลังโชว์ให้เห็นภาพเด็กผู้หญิงตาชั้นครึ่งในชุดนักศึกษาสีขาวใหม่เอี่ยม
มีตราสัญลักษณ์แวววาวของมหาวิทยาลัยติดที่อกเสื้อด้านขวา
มีตุ้งติ้งสีเงินประดับที่รังดุมปกเสื้อซ้าย
ฉันหยิบจับปกเสื้ออีกครั้ง
ทั้งก้มลงยัดเสื้อเข้าไปในกระโปรงพลีตสีดำยาวเสมอเข่าตัวเองแล้วเบี่ยงมันให้เข้าที่เข้าทางด้วย
โอ..หัวเข็มขัดตรามหาวิทยาลัยที่แสดงถึงความภาคภูมิใจเมื่อได้เข้าศึกษาที่นี่อีก
ฉันจัดมันให้หันหน้าตรงทันทีที่คิดได้ถึงความพิเศษของมัน
โอเค..สวย
ดูดีและเรียบร้อยที่สุดแล้วสำหรับนักศึกษาใหม่...
ฉันยิ้ม
เงยหน้าขึ้นมาจัดผมที่ปล่อยยาวลงมาให้เข้าทรงต่อ
ทั้งพยายามยิ้มหวานตาหยีเพื่อดูว่าทำผมทรงนี้แล้วหน้าฉันจะยังสวยและน่ารักเหมือนเดิมมั้ย..แน่นอนล่ะ..ก็ฉันเคยแต่มัดผมรวบตึงไปโรงเรียนนี่นา
ตอนนี้พอเข้าเรียนมหาวิทยาลัยแล้วฉันก็เลยลองเปลี่ยนสไตล์ลองปล่อยผมยาวเหยียดตรงเฉยๆดู
แม้จะรู้สึกแปลกตาอยู่บ้าง
แต่ฉันว่ามันก็เรียบร้อยเหมาะกับชุดนักศึกษาที่ใส่อยู่ตอนนี้ดี
ใช่..ชุดนักศึกษาเครื่องแบบที่มีเกียรติสำหรับชีวิตมหาวิทยาลัย
เพราะวันนี้เป็นวันแรกที่ฉันได้เดินเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยและใช้ชีวิตเป็นนักศึกษาเต็มตัว
หลังจากที่สองวันก่อนฉันหน้านั้น
ฉันได้เข้ามาอยู่แล้วทำกิจกรรมต่างๆที่ทางมหาวิทยาลัยได้มอบหมายให้นักศึกษาได้ทำให้เรียบร้อยในช่วงก่อนที่จะเริ่มเปิดภาคเรียน
เช่น รายงานตัวกับฝ่ายทะเบียน
ลงทะเบียนเรียน ลงชื่อเข้าอยู่หอใน
ย้ายของเข้าหอ สำรวจอาคารเรียน
และอื่นๆที่นักศึกษาปี1อย่างฉันจะต้องทำ
ฉันยังจำวันแรกที่พ่อกับแม่จะมาส่งฉันเข้าหอในได้
วันนั้นฉันแอบเห็นแม่น้ำตาคลอตอนที่เดินมาหยิบกระเป๋าจากในห้องช่วยฉัน
ตอนนั้นฉันยังแอบแซวแม่เล่นๆเลยว่าจะร้องไห้ทำไมกัน
แค่ลูกสาวไปอยู่หอเพื่อเรียนหนังสือเท่านั้นไม่ได้หนีหายตายจากกันไปไหนสักหน่อย
แต่พอแม่บอกเหตุผลมา
กลายเป็นฉันเสียเองที่ร้องไห้โฮเสียงดังด้วยความสงสารแม่...
“..ก็แม่เหงานี่
ทุกวันแม่ก็รอหนูกลับบ้านมาอยู่เป็นเพื่อนแม่ก่อน
แต่ต่อไปนี้แม่ก็ต้องรอแค่พ่อเขาคนเดียวแล้ว...”
เสียงดังก๊อกแก๊กทางฝั่งหน้าต่างห้องดังขึ้นเรียกสติฉันจากภาพน้ำตาซึมของแม่
ฉันละสายตาออกจากกระจกชำเรืองมอง
เป็นเสียงจาก “รูมเมท”
ของฉันนั่นเอง
ตอนนี้เธอที่อยู่ภายใต้ภายห่มคลุมโปรงกำลังพลิกร่างกายหนีแสงแดดยามเช้าที่ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาเพื่อที่จะมานอนหลับต่ออีกฝั่งนึง
โห..นี่ขนาดนอนติดหน้าต่างแล้วแดดก็แยงตาขนาดนั้นยังพยายามฝืนหลับต่อได้อีกน่ะ
เหลือเชื่อเลย..
ฉันทั้งคิดทั้งคิ้วขมวดมองเธอต่อ
นี่เธอไม่มีเรียนหรือปฐมนิเทศคณะของเธอหรือไงกัน
ทำไมสายป่านนี้แล้วยังไม่ตื่นอีกนะ
เอ..หรืออาจจะเป็นเพราะว่าเมื่อคืนเธอกลับมาที่ห้องดึกมาก
ฉันแอบดูนาฬิกาตอนที่เธอกลับเข้ามาน่าจะประมาณตีหนึ่งจะตีสองได้
คงจะแอบไปปาร์ตี้กับเพื่อนๆมาสินะ
ฉันแอบได้กลิ่นแอลกอฮอลล์ของเธอลอยมาเตะจมูกตอนที่เดินผ่านเตียงฉันด้วย
แต่ก็คงไม่เป็นไรหรอก
เธอคงวางแผนสำหรับการเรียนวันแรกไว้แล้ว
ฉันเดาว่าเธออาจจะรู้เวลาเรียนของคณะเธออยู่แล้วเลยไม่กังวล
แต่ฉันนี่สิแม้จะรู้
แต่ความตื่นเต้นมันไม่ได้หายไปไหนจากตัวฉันเลย
เมื่อวานตอนกลับมาจากซื้อของ
ฉันยังแอบขับมอเตอร์ไซค์ไปดูคณะว่าอยู่ตึกไหน
แล้วคาบแรกที่ฉันจะต้องไปปฐมนิเทศคือห้องอะไร
ฉันจดมันหรือแม้กระทั่งถ่ายรูปบริเวณหน้าห้องมันไว้ด้วย..
แหงล่ะ..ก็ฉันกลัวหลงนี่นา
ฉันยังไม่มีเพื่อนที่พอจะถามไถ่อะไรได้ซักหน่อย
เพื่อนๆที่สนิทก็แยกย้ายกันเข้าเรียนมหาวิทยาลัยที่อื่นบ้าง
คณะอื่นบ้าง
ไม่มีใครอยู่ใกล้ๆฉันแล้ว...รวมทั้งเอื้อยด้วย...ฉันยิ้มทันทีเมื่อนึกเห็นภาพคนที่ฉันรัก
ตอนนี้ไม่แน่เอื้อยก็คงกำลังรีบเร่งแต่งตัวเพื่อไปเรียนวันแรกเหมือนกัน
เฮ้อ..นี่คงเป็นวันแรกสินะที่เราต่างคนต่างเดินไปตามทาง
ตามจุดหมายปลายทางตัวเอง
ฉันคง..ไม่ได้ไปรับเขาไปเรียนเหมือนตอน
ม.6แล้ว
อืม..นึกถึงภาพเก่าๆขึ้นมาแล้วก็ให้ความรู้สึกเหงา
แต่มันก็จำเป็นนี่นาทำไงได้
ในเมื่อนี่คือการเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกก้าวหนึ่งของเรา
ฉันและเอื้อยจำเป็นจะต้องทำเพื่ออนาคต
บางทีชีวิตรักของเราอาจจะสดชื่นขึ้นมาอีกนิดก็ได้ถ้าเรามีที่ว่างระหว่างกันและกันอย่างนี้...ฉันยิ้มก้มลงมองสร้อยคอจี้ปลาโลมาเส้นที่ฉันใส่ประจำเพื่อปลอบใจตัวเอง
ก่อนจะหันมาปิดล็อคลอคเกอร์แล้วหยิบกระเป๋าเดินออกจากห้องไป...
//////////////////////////////////////////
ฉันยิ้มทักทายพี่หอผู้หญิงสองคนที่นั่งอยู่ในห้องสำนักงานหอพักชั้นแรกของหอ
ตรงห้องนั้นด้านหน้าจะเป็นเคาน์เตอร์สำหรับติดต่อสอบถามและแจ้งปัญหาต่างๆ
ที่เด็กปีหนึ่งอย่างฉันต้องเคยเดินเข้าไปถามเรื่องใดเรื่องหนึ่งบ้างแล้ว
เลยจากเคาน์เตอร์ไปหน่อยประมาณ2-3เมตรจะเป็นประตูคีย์การ์ดเอาไว้สำหรับรักษาความปลอดภัยและบันทึกข้อมูลเวลาเข้าออกหอพัก
เด็กๆที่อยู่ในหอทุกคนจะต้องเอาบัตรประจำตัวมาสแกนอยู่จุดนี้เพื่อลงบันทึกเวลาการเข้าออกต่างๆไว้
แม้ก่อนที่ฉันจะมาอยู่จะแอบบ่นว่ามันจุกจิกยุ่งยากวุ่นวาย
แต่พอได้เข้ามาอยู่จริงๆในหอในที่มีแต่ผู้หญิงอาศัยอยู่ด้วยกันล้วนๆอย่างนี้แล้ว
แค่การควบคุมคนเข้าออกด้วยการแสกนบัตรหรือแม้แต่ลงชื่อผู้เข้าเยี่ยมหอทุกๆครั้งทุกๆคนที่มา
มันก็ทำให้ฉันรู้สึกอุ่นใจได้มากขึ้นทีเดียว
ทำไงได้..ตอนนี้ฉันมาอยู่ต่างที่ต่างทาง
มันไม่ใช่บ้านที่จะมีพ่อหรือแม่คอยดูแลความปลอดภัยทุกอย่างให้
แม้ที่นี่จะมีพี่หอ มีน้ายาม
แต่อันตรายต่างๆมันย่อมแฝงอยู่รอบๆตัวเราเสมอ
โดยเฉพาะผู้หญิงตัวเล็กๆที่บทจะมีภัยอันตรายอะไรเกิดกับตัวจริงๆแล้วก็ไม่สามารถจะช่วยเหลือตัวเองอะไรได้เลย
การรักษาความปลอดภัยที่ค่อนข้างจะเข้มงวดและจุกจิกของหอในนี้จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่พ่อกับแม่ฉันยอมให้ฉันมาอยู่ทั้งๆที่บ้านกับมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้ไกลกันเท่าไหร่...
ในตอนแรกที่ฉันขอมาอยู่หอ
พ่อกับแม่ตั้งท่าจะไม่ยอม
แต่พอได้ฟังฉันอธิบายว่าคณะที่ฉันเรียนอยู่กิจกรรมค่อนข้างเยอะและมีงานที่ได้ทำส่งตลอด
บางทีก็ดึก บางทีก็ไม่ได้นอน
การเทียวไปเทียวมาจากบ้านมามหาวิทยาลัยอย่างนั้นคงไม่สะดวกแน่
กอรปกับฉันเผลอยกตัวอย่างเรื่องที่ฉันเคยโดนโจรบ้ากามถีบรถด้วย
พ่อกับแม่ก็เลยยอมอนุญาติให้มาอยู่
ฉันยังจำสายตาห่วงหาอาทรที่พ่อมองฉันเมื่อวันที่ท่านอนุญาติมาอยู่ได้...
“ดูแลตัวเองนะเจ้ย
พ่อรู้ว่าวันนึงยังไงหนูก็ต้องออกจากพ่อแม่ไปใช้ชีวิตของตัวเอง
แต่ถ้าเป็นไปได้ในช่วงที่พ่อยังมีโอกาสดูแลหนูอย่างนี้
พ่อกับแม่ก็อยากดูแลหนูให้ดีให้ปลอดภัยที่สุด
แต่ถ้ามันจำเป็นแล้วเจ้ยก็ต้องใช้ความรู้ความสามารถตัวเองในการเอาตัวรอด
รวมถึงดูแลรักษาสุขภาพตัวเองด้วยเข้าใจมั้ย
อย่าทำให้พ่อกับแม่ผิดหวังนะ..”
พ่อหยุดพูดแล้วจ้องมองมาที่ฉัน
แต่ตอนนี้จากแววตาซึ้งๆก่อนหน้านั้น
อยู่ๆก็กลายเป็นตาเขม็ง
ทั้งเก๊กเสียงดุๆวางฟอร์มข่มขู่ฉันเหมือนที่พ่อชอบทำทุกครั้งเวลาที่ฉันจะทำอะไรที่ท่านห่วง...
“..อย่าให้พ่อเห็นนะว่าออกไปอยู่หอนอกกับไอ้หนุ่มคนไหน
นี่เรียนๆไปแล้วคงไม่พาผู้ชายกลับมาไหว้พ่อที่บ้านหรอกนะ..”
ฉันร้องห๊ะคิ้วขมวดอ้าปากหวอ
พอๆกับแม่ที่นั่งหัวเราะรั่วแล้วแอบหันไปตีแขนพ่อทันทีที่ได้ยินมุกหวงลูกสาวของพ่อเข้า
“พ่อนี่ก็..พูดเป็นลาง
เผื่อลูกมันพาจริงๆจะทำยังไง”
พ่อฟังแม่แล้วหันมาเหล่ตายักคิ้วมองฉัน
ท่านเก๊กเสียงเข้มๆข่มขู่ฉันอีกครั้งว่า..
“ก็ลองดู
พ่อก็อยากรู้เหมือนกันว่าเจ้าเจ้ยมันจะหลบสายตาของพ่อได้มั้ย
พ่อจะไปแอบดูลูกมันตลอด
ถ้าแอบทำอะไรที่มันไม่ดีล่ะก็..”พ่อยกนิ้วชี้ขึ้นมาถูเนินปากก่อนจะยกนิ้วข้างเดิมขึ้นมาทำท่ายิงปืนไปข้างหน้าแล้วขยับปากดังโป้ง..
“เจ้ยกับไอ้หนุ่มคนนั้นได้เห็นดีแน่ๆ
หึ..ต้องรีบไว้หนวดซะแล้วได้ข่าวว่าคณะที่เราเรียนส่วนมากมีแต่ผู้ชายด้วยใช่มั้ย”
ใบหน้าดุเอาเรื่อง คิ้วขมวดเสียงเข้ม
ดวงตาชั้นเดียวจ้องเขม็งข่มขู่
แต่ฉันมองหน้าดูท่าทางทุกอย่างของพ่อแล้ว
ทำไมดูมันตลกๆขำๆอย่างไรไม่รู้
“โธ่พ่อ
คณะนี้ผู้หญิงก็มีเยอะ
พ่อนี่ก็พูดเอาฮาใช่มั้ย
เผื่อวันนึงคนที่เจ้ยพาเข้าบ้านจริงๆไม่ใช่ผู้ชายจะทำไง
อุ๊ย...”ฉันชะงักทันทีที่เผลอต่อล้อต่อเถียงพ่อแต่กลายเป็นหลุดปากพูดความจริงบางเรื่อง
ที่ฉันยังไม่กล้าแม้แต่จะบอกใครสักคนออกไป..
พ่อก็ชะงัก
ตอนนี้ทั้งพ่อและแม่ต่างพากันหันมามองฉันแล้วหยุดรอฟังว่าที่ฉันพูดไปเมื่อกี้นั่นคืออะไรยังไง..
“เอ่อ..หมายถึงเจ้ยไม่พาผู้ชายเข้าบ้านแล้วก็ไม่พาใครเข้าบ้านเลยไง
คือเผื่อเจ้ยอยากอยู่เป็นโสดคนเดียวไปจนตายเลยพ่อจะว่ายังไง..”
ทั้งสองขำทันทีที่ได้ยินคำแก้ตัวจากฉัน..
“โฮะ
ให้มันแน่เถอะ
ถ้าแกจะกล้าขึ้นคานได้ขนาดนั้นพ่อก็แล้วแต่แกเลยก็แล้วกัน
เอ..นี่แกคงไม่ได้ทำอะไรผิดแปลกจนถึงขั้นพ่อกับแม่ต้องนอนไม่หลับที่ได้รู้หรอกใช่มั้ย...”
ฉันยิ้มและหัวเราะเบาๆเมื่อนึกถึงภาพใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยของพ่อในวันนั้น
ยังไงซะพ่อก็คือพ่อและแม่ก็คือแม่
สิ่งต่างๆที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของลูกที่เป็นดังแก้วตาดวงใจของท่านทั้งสองแล้ว
ท่านย่อมวางใจง่ายๆไม่ได้
ถ้าท่านทั้งสองไม่ห่วงฉันเลยนี่สิแปลก..ฉันยิ้มก่อนจะหยุดหยิบเอาคีย์การ์ดของตัวเองมาสแกนแล้วรีบเดินออกไปที่โรงจอดรถมอเตอร์ไซค์หน้าหอด้วยความอารมณ์ดี
มีนักศึกษาหญิง4-5คนกำลังเดินนำหน้าฉันเข้าไปในโรงจอดรถด้วยอาการเร่งรีบ
บางคนก็หยุดยืนรอเพื่อนอยู่ด้านหน้า
ฉันมองเข้าไปในโรงจอดรถตอนนี้มีนักศึกษาหญิง2-3คนกำลังไขกุญแจรถเพื่อจะนำเอารถออกไปเรียนเหมือนๆกับฉัน
หนึ่งในนั้นหันมายิ้มให้ฉัน
เดาว่าเขาน่าจะอยู่ปี1เหมือนกันเพราะสีเสื้อนักศึกษาที่เขาใส่นั้นขาวใสและใหม่มาก
ฉันยิ้มตอบเขา
ก่อนจะเดินหารถรถสี่จังหวะสีดำแดงคันเก่งของตัวเอง
แล้วนำมันออกมาเพื่อที่จะออกเดินทางไป...
แต่เมื่อฉันจูงรถมาอยู่เกือบๆกลางถนนหน้าหอเพื่อจะสตาร์ท
กลายเป็นว่ารถเจ้ากรรมดันสตาร์ทไม่ติด
ฉันพยายามสตาร์ทเครื่องอยู่เกือบๆจะสิบนาทีก็ยังสตาร์ทไม่ได้
ตอนนี้ฉันเริ่มเอะใจว่าต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับรถของฉันแน่นอน...
“เฮ้ย
เป็นอะไรอีกแล้วนี่..”
ฉันบ่นมุบมิบๆตอนที่เอาขาตั้งรถลงแล้วยืนท้าวสะเอวจ้องมองไปที่รถ
..ทำไมสตาร์ทไม่ติดเลยอ่ะ
รถก็ไม่เป็นอะไรนี่
ก่อนมาอยู่หอก็เอารถไปเช็คอยู่มันก็โอเคอยู่นี่นา
เอ..หรือว่า..น้ำมันหมด...ฉันรีบเปิดถังน้ำมันรถดูทันทีที่นึกได้...
ภายในถังแสดงให้เห็นเงามืดๆโล่งๆ
แม้พยายามประครองรถให้เอียงซ้ายเอียงขวาเพื่อที่จะดูเงาสะท้อนของน้ำมันในนั้นแต่ก็ไม่เห็นเลยว่าภายในนั้นจะมีของเหลวอยู่เลย..
ฮืม..ทำไมรถไม่มีน้ำมันล่ะ
ก็ฉันพึ่งเติมน้ำมันเต็มถังเมื่อตอนบ่ายเมื่อวานก่อนเข้าหอนี่เอง
ฉันคิ้วขมวดพยายามสำรวจไปทั่วๆรถด้วยความสงสัย
จนมองไปที่พื้นถนนเมื่อเริ่มคิดได้ว่าบางทีน้ำมันอาจจะรั่วลงพื้นก็ได้แต่ก็กลายเป็นไม่มีรอยสกปรกของคราบน้ำมันรถอยู่เลย
ฉันละสายตาจากพื้นถนนขึ้นมามองช่วงล่างของรถตัวเอง
ตอนนี้กลายเป็นมีสิ่งผิดปกติบางอย่างจนฉันต้องรีบนั่งยองๆเพื่อก้มดูมันใกล้ๆทันที
เอ..
สายเล็กๆที่เป็นเหมือนท่ออะไรสักอย่างที่อยู่ตรงเครื่องยนต์ด้านล่างทำไมมันห้อยโตงเตงเหมือนมีคนมาดึงออกอย่างนี้ล่ะ
ก้มลงไปมองใกล้ๆตรงปลายสายเหมือนมีคราบน้ำมันติดอยู่ด้วยแม้จะแห้งไปแล้วก็ตาม
เดี๋ยวนะ..คุ้นๆว่าฉันเคยได้ยินเอกเล่าให้ฟังเรื่องที่ว่ารถมอเตอร์ไซค์ของเค้าเคยโดนขโมยน้ำมันด้วย
จำได้ว่าเจ้าหัวขโมยมันจะมาดึงท่อแถวๆนี้ออกแล้วน้ำมันมันก็จะไหลออกมาโดยที่ไม่ต้องเปิดเบาะรถเลย
ได้ยินว่ามันเรียกว่าคาร์บูหรืออะไรสักอย่างนี่ล่ะ
นี่อย่าบอกนะว่าฉันโดนขโมยน้ำมันเนี่ย
อะไรกันพึ่งมาอยู่แค่วันสองวันเอง
แถมยังจอดรถรวมๆไว้กับคันอื่นๆอีกตั้งเยอะ
ทำไมมันต้องมาเลือกขโมยรถของฉันด้วยล่ะ
โอ้ย...บ้าชะมัดเลยแล้วนี่ฉันจะไปคณะยังไงนี่
วันนี้ปฐมนิเทศคาบแรกเสียด้วย
ฉันทั้งคิดทั้งยื่นมือไปตบรถมอเตอร์ไซค์ตัวเองด้วยความเจ็บใจ
แล้วนี่ฉันจะไปคณะยังไง
ต้องเดินไปเหรอ แล้วรถมอเตอร์ไซค์ฉันล่ะ
ฉันจะเอามันไปเติมน้ำมันยังไง
หรือฉันจะต้องให้ใครพาไปซื้อน้ำมันมาเติมรถก่อน
ฉันทั้งคิดทั้งกังวลด้วยความหัวเสียกระทั่งได้ยินเสียงแตรรถยนต์ดังปี๊บๆเบาๆสองสามครั้งอยู่ใกล้ๆตัวฉัน..
ฉันเอี้ยวตัวหันไปมองข้างหลัง
เป็นรถยนต์ใหม่เอี่ยมสีแดงแต่หลังคาสีขาว
มันเป็นรถคันเล็กๆเตี้ยๆที่มีหลอดไฟกลมๆโตๆ
ฉันแอบชำเรืองมองไปที่ทะเบียนป้ายแดงจนถึงหน้ากระจังรถก็เห็นเป็นโลโก้รูปปีกทรงตรงเล็กๆสองข้างที่ตรงกลางมีคำว่า
MINIสีเงินติดอยู่ในวงกลมโลโก้นั้นด้วย
รถมินินี่นา..ฉันคิดออกทันทีที่เห็นโลโก้มัน
ตอนนี้รถคันนี้ขับมาจ่อข้างหลังรถฉัน
นี่เขาคงจะว่าฉันจอดรถขวางทางเขาหรือไงกันถึงส่งเสียงสัญญาณขอทางให้ฉันหลบรถให้อีก
ฉันลุกขึ้นหันไปมองกระจกรถที่ติดฟิล์มกรองแสงมืดๆทึบๆมองไม่เห็นอะไรในนั้น
ก่อนจะพยายามเคลื่อนรถตัวเองหลบจากทางให้...
ตอนนี้พอฉันเคลื่อนรถมาเกือบจะชิดฟุตบาตแล้วนั่งยองๆเพื่อเอาสายคาร์บูดันเข้าไปในเครื่องยนต์อีกครั้ง
กลายเป็นว่าแทนที่เจ้ารถเตี้ยๆคันนั้นจะเคลื่อนหนีฉันไป
มันดันเคลื่อนตามฉันเข้ามาใกล้ๆแถมยังบีบแตรรถใส่ฉันซ้ำๆอีก
แม้เสียงแตรรถจะไม่ได้ดังอะไรมากมาย
แต่การขับรถมาจ่อก้นแล้วบีบแตรทำท่าเหมือนจะไล่ฉันให้พ้นทางอีกทั้งๆที่ทางเดินรถก็มีเหลือตั้งเยอะแยะ
ก็เริ่มทำให้ฉันหงุดหงิดจนต้องลุกขึ้นหันไปมองหาเจ้าของรถที่ไม่มีมารยาทอย่างนี้
ตอนนี้เมื่อฉันลุกขึ้นยืน
รถคันนั้นก็ค่อยๆเคลื่อนที่มาจอดขนาบข้างฉัน
ฉันคิ้วขมวดมองไปที่กระจกประตูรถมืดๆทึบๆด้านข้างพยายามมองผ่านกระจกที่กำลังเลื่อนลง
ภาพข้างในรถตอนนี้ก็ทำให้ฉันยืนเหวอค้างทันทีที่เห็นว่าใครคือคนขับรถคันนั้น...
“...รถเป็นอะไรคะ..คนสวย”
“..เอื้อย????...”
//////////////////////////////////////////////////
“...อย่างนี้ก็แย่น่ะสิ
อันตรายนะนี่มาอยู่หอไม่กี่วันรถก็โดนขโมยน้ำมันแล้ว”
เสียงที่ฟังดูเป็นห่วงเป็นใยของเอื้อยดังขึ้นตอนที่เธอยื่นผ้าเช็ดหน้าค่อยๆมาซับเหงื่อบนใบหน้าฉัน
ตอนที่เธอได้คำตอบเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับรถฉัน
หลังจากที่ฉันเข้ามานั่งในรถกับเธอแล้ว
ก่อนหน้านั้น
หลังจากที่เอื้อยเห็นฉันยืนอึ้งประหลาดใจที่เห็นว่าเธออยู่ในรถยนต์คันนั้นได้อย่างไร
เอื้อยก็รีบตะโกนเรียกสติให้ฉันรีบจอดรถเอาไว้
แล้วรีบขึ้นรถไปกับเธอเพื่อที่เธอจะได้ไปส่งฉันที่คณะ...
“..แล้วดูสินี่
หน้าเลอะเหงื่อหมดแล้ว
วันนี้ปฐมนิเทศคณะไม่ใช่เหรอ
เข้าคณะสภาพแย่ๆอย่างนี้เดี๋ยวก็โดนอาจารย์แซวแย่หรอก”
คนสวยทั้งพูดทั้งเช็ดหน้าก่อนจะก้มลงหาตลับแป้งพับในกระเป๋าของเธอยื่นมาทำท่าจะโป๊ะแป้งให้ฉันอีก
“อืม..ก็ช่วยไม่ได้นี่นามันก็สตาร์ทไม่ติดนี่
เค้าก็ไม่รู้จะแก้ปัญหายังไง
ดีนะที่เอื้อยผ่านมาเจอก่อน”
ฉันยิ้มหวานส่งสายตาขอบคุณ
ทั้งยื่นมือไปสัมผัสแก้มเนื้อนุ่ม
ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้...
“แล้วนี่..รถใครอะไรยังไง
ทำไมเอื้อยถึงมาขับได้ล่ะ”
“ก็รถเค้าสิ
เค้าขับ มันก็ต้องเป็นรถเค้าสิจะเป็นรถใครไปได้เล่า”
ฉันเหล่ตามองค้อนเจ้าของคำตอบยียวนกวนประสาท
อารมณ์โรแมนติกถูกตัดฉับ
จากที่ลูบแก้มวนเบาๆด้วยความรัก
กลายเป็นหยิกแก้มหยอกเธอด้วยความหมั่นไส้ทันที
คนสวยตาเล็กตาน้อย
ทำเป็นถูแก้มด้วยความเจ็บทั้งร้องอูยเบาๆ...
“กวนอีกแล้ว
พูดดีๆสิ รถเอื้อย
แล้วเอื้อยไปออกมาตอนไหนทำไมเค้าไม่เห็นรู้เรื่องเลย”
“โอ้ย
ก็เค้าอยากเซอร์ไพรส์เจ้ยไงเค้าถึงไม่ได้บอก
แม่ออกให้เค้าตั้งแต่ช่วงปิดเทอมแล้ว..”
“ห๊ะ..จริงเหรอ
ดีจังเลย แม่เอื้อยใจดีจังเลย
ออกรถยนต์ให้ลูกสาวขับแถมยังเป็นรถมินิด้วยอ่ะ
อิจฉาอ่ะ” อารมณ์ตื่นเต้นทำฉันตาโตที่ได้ฟังคำตอบ
ก่อนจะแกล้งทำตาเล็กตาน้อยมองเธอด้วยความอิจฉา
คนสวยเลิ่กคิ้ว
เธอยิ้มกว้างก่อนจะยื่นมือมาจับแก้มฉันด้วยความเอ็นดู..
“อิจฉาทำไมกัน
รถเค้าก็เหมือนรถเจ้ยนั่นแหละ
อยากขับมั้ย ขับเป็นหรือเปล่า
ถ้าอยากขับบอกเค้าได้นะ
เค้าจะพาไปขับ
หรืออยากไปไหนมาไหนยังไงก็บอกเค้า
เค้าจะพาเจ้ยไปเอง...”
ได้ยินคำหวานเอาอกเอาใจจากหญิงสาวคนตรงหน้าแล้วก็ปลื้มใจ
ไม่รู้ว่าจะตอบแทนความหวังดีจากเธอยังไงนอกจากจุมพิตที่ฉันยื่นไปมอบให้เธอหลังจากนี้
คนสวยยิ้มหวานตาเคลิ้ม
เธอมองฉันอย่างอายๆตอนที่ฉันละใบหน้าออกมามองเธอแล้ว..
“ดีจังเลยน่ะ..
ใจป้ำอีกแล้ว
ป๋าเอื้อยจัดให้อีกแล้ว
นี่จะยอมเป็นสารถีให้เค้าขนาดนั้นเลยเหรอคะ..”
“ใช่สิ
เค้าตั้งใจจะมารับเจ้ยทุกวันเลยนะถ้าเป็นไปได้
เค้าอยากดูแลเจ้ยบ้าง
ตอบแทนที่เจ้ยก็เคยไปรับไปส่งเค้าไปเรียนทุกวันนั่นไง....”เอื้อยพูดไปยิ้มไป
รอยยิ้มละมุนมองดูอบอุ่น
ช่วยส่งเสริมประโยคห่วงใยที่เธอเอ่ยมาก่อนหน้านั้นได้เป็นอย่างดี
ตอนนี้จากที่ฉันยิ้มหวานตาหยีเพราะดีใจที่เห็นเอื้อยเอาใจอยู่แล้ว
ยิ่งกลายเป็นฉีกยิ้มปากกว้างจนเกือบจะหุบไม่ได้เข้าไปใหญ่
ฉันดีใจจริงๆที่คนที่ฉันรักเขายังเป็นคนดีสม่ำเสมอไม่เปลี่ยนแปลงเลย..
เอื้อยเป็นคนน่ารัก
เธอเป็นคนที่เหมาะกับคำว่า“คนดี”และ“เพรียบพร้อม”ที่สุด
ฉันมองดูใบหน้าของคนที่ฉันรัก
ดวงตาสีดำขลับกลมโตที่กำลังส่องประกายฉายแววไร้เดียงสาตลอด
มองดูอ่อนโยนอ่อนหวาน
ให้ความรู้สึกชวนยิ้มตามทุกครั้งที่จ้องมอง
รวมถึงคิ้วโค้งสวยเข้มๆที่กำลังขยับขึ้นลงตามตามรอยยิ้มจากปากกระจับสีชมพูสวยนั่นอีก
โอ้..องค์ประกอบทุกอย่างถูกจัดวางบนใบหน้าเรียวสวยได้รูปอย่างไม่มีที่ติเลย
ใช่...คำว่าสวยไม่มีที่ติฟังดูแล้วไม่เกินไปสำหรับเอื้อยเลย..
ยิ่งดูวันนี้
วันที่เธอเริ่มใช้ชีวิตนักศึกษาวันแรก
ฉันมองดูเอื้อยในชุดฟอร์มที่ดูแปลกตา
เธอใส่เสื้อนักศึกษาสีขาวและกระโปรงพลีทสีดำสั้นเสมอเข่า
แม้ฉันจะไม่ได้เห็นเธอเต็มๆตัวเพราะว่าเธอนั่งอยู่บนเบาะรถยนต์
แต่แค่ฉันมองเพียงท่อนบนก็รู้แล้วว่าเอื้อยแต่งตัวสวยเรียบร้อยขนาดไหน
เธอให้เกียรติเครื่องแบบและเหมาะสมกับคำว่านักศึกษาดีเหลือเกิน
ส่วนทรงผมหญิงสาวก็ไม่ได้ทำอะไรมาก
เธอแค่ปล่อยผมยาวหยักศกสีดำสนิทลงมาแล้วปัดผมทั้งหมดไปทางไหล่ซ้ายเผยให้เห็นลำคอขาวๆเนียนๆแค่นั้นเอง
เอ..ทั้งๆที่เอื้อยก็แต่งตัวดูดีดูเรียบร้อย
แต่ทำไมฉันมองแล้วกลับรู้สึกว่าใจมันสั่นๆพิกลนะ
แม้เอื้อยจะไม่ได้แต่งหน้าอะไรมามากมาย
แต่รอยยิ้มจากปากสีชมพูระเรื่อบนใบหน้าขาวๆเนียนๆตอนนี้กลับให้ความรู้สึกสวยเซ็กซี่ทันทีที่เธอเอียงคอแล้วรวบผมทั้งหมดย้ายไปอีกฝั่ง
จนฉันเผลอมองตามลำคอเอื้อยเรื่อยลงมาจนถึงร่องกระดุมเสื้อนักศึกษา
ยิ่งเอื้อยเห็นฉันนั่งจ้องมองเธอเหมือนอยู่ในภวังค์
เธอก็ยิ่งแกล้งโน้มหน้าเข้ามาใกล้ๆให้ฉันได้กลิ่นน้ำหอมกลิ่นจางๆแถวๆซอกคอเธอเข้าไปอีก..โอ้ยยยย..ให้ตายเถอะอย่าพึ่งมาคิดอะไรตอนนี้ได้มั้ยเจ้ย..
แกจะต้องไปเรียนอยู่นะ
ฉันสะบัดหัวแล้วดันเอื้อยออกไปยังตำแหน่งคนขับเหมือนเดิม
“เอ่อๆ..เอื้อยรีบไปส่งเค้าทีนะ
เดี๋ยวสาย เดี๋ยวเค้าเข้าปฐมนิเทศไม่ทัน”
เอื้อยหัวเราะ
เธออมยิ้มมองฉันอย่างขำๆก่อนจะพยักหน้ารับแล้วพาฉันไปส่งคณะทันที...
/////////////////////////////////////////////////////
“ตึกนี่ใช่มั้ยคณะที่เจ้ยเรียน..”
เป็นเสียงของเอื้อยที่ถามฉันหลังจากที่รถเคลื่อนที่มาจอดอยู่ฟุตบาตถนนฝั่งตรงกันข้ามของอาคารๆหนึ่ง...
“ใช่..”
ฉันพยักหน้ารับมองดูเธอยิ้มแล้วชะโงกมองดูส่วนต่างๆของอาคารนั้นต่อ
“โอ้โห
เป็นอาคารที่ออกแบบสวยมากเลยนะ
รูปทรงอาคารก็ดูแปลกตาดูทันสมัยดี
สมแล้วที่เป็นตึกของคณะสถาปัตย์น่ะ”
หญิงสาวหันมายิ้มสวยตอนที่เธอบอกกล่าวลักษณะที่เธอเห็นภายนอกของอาคารคณะฉัน..
ใช่...มันเป็นอาคารที่ถูกออกแบบอย่างสวยงามด้วยพื้นผิววัสดุที่แตกต่างหลากหลาย
ทั้งปูนเปลือย ทั้งอิฐแดง
ทั้งกระจกหลากหลายสี
ทั้งโครงสร้างแปลกๆของหลังคาแฟลตสแลปคอนกรีตขนาดใหญ่ด้านหน้าอาคาร
ที่ยื่นออกมายาวๆได้โดยที่ไม่มีเสาใดๆรองรับน้ำหนักเลย
เแสดงให้เห็นถึงการคิดวิเคราะห์และออกแบบ
ทั้งคำนวณโครงสร้างของอาคารในแบบฉบับที่สถาปนิกควรจะเป็น...
ใช่..ที่นี่คือคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์
คณะที่สร้างสรรค์สถาปนิกนักคิดนักออกแบบออกมาสู่ธุรกิจและอุตสาหกรรมงานก่อสร้าง
รวมทั้งงานออกแบบผลิตภัณฑ์
งานศิลป์สร้างสรรค์อีกหลากหลายประเภทที่สามารถแตกแขนงออกไปได้อีกเมื่อเราจบออกไปทำงานกันแล้ว
ฉันยิ้มด้วยความภูมิใจทันทีที่อ่านป้ายอักษรโลหะสีเงินขนาดใหญ่ที่ตั้งตะหง่านอยู่หน้าคณะ
ฉันยังจำตอนที่นั่งคุยกับเอื้อยเรื่องมหาวิทยาลัยและคณะที่อยากเรียนตอน
ม.6ได้
ตอนนั้นเรานั่งหาข้อมูลของคณะและมหาวิทยาลัยที่เราอยากเรียนจากอินเตอร์เน็ตตรงลานม้านั่งที่เรานั่งประจำ.....
“อืม..ก็ว่าจะลองยื่นคะแนนที่มหาวิทยาลัยจังหวัดเราดูนะ
เค้าอยากเรียนสถาปัตย์น่ะ
คณะสถาปัตย์ที่ ม.จังหวัดเราน่ะดีนะ
ขึ้นชื่อว่าหลักสูตรดีและนักศึกษาก็เก่งติดอันดับต้นๆของประเทศเลย”เป็นฉันที่ตอบคำถามเอื้อยออกไปก่อนตอนที่เธอลองเรียบๆเคียงๆถามถึงที่เรียนของฉัน..
“เจ้ยอยากเรียนถาปัตย์เหรอ”
เอื้อยตาโตทำเสียงตื่นเต้นทันทีที่ได้ยินคำตอบ..
“ใช่สินะ
ก็เจ้ยวาดรูปเก่งนี่นาต้องได้วิชาความถนัดพื้นฐานอยู่แล้ว
แถมพวกวิชาคำนวนต่างๆเจ้ยก็เก่งติดท๊อปของห้องอีกน่ะ
อย่างนี้สอบยังไงๆก็ต้องได้อยู่แล้วล่ะ”
เธอว่าพลางยิ้มเล็กยิ้มน้อยมองฉัน
“เอ..เป็นสาวถาปัตย์
เรียนออกแบบเขียนแบบใช่มั้ย
เค้าเห็นพี่ที่เคยจบม.6ไปแล้วไปเรียนถาปัตย์กลับมาเยี่ยมโรงเรียนแล้วทำตัวเซอร์ๆหัวฟูๆท่าทางเหมือนคนไม่ค่อยอาบน้ำ..หวังว่าเจ้ยคงไม่เป็นอย่างนั้นใช่มั้ย..”
เธอยิ้มหวานหัวเราะคิกๆคักๆตอนที่แซวฉัน
“บ้าสิ
มันแล้วแต่คนมั้ง
เค้าคงไม่ถึงขั้นไม่อาบน้ำหรอก”
“จริ๊งงง..”
เอื้อยยังยิ้มน้อยมองฉันอยู่
เธอลากเสียงสูงถามคำถามนั้นค้างไว้ก่อนจะแซวต่อ
“ไม่ค่อยอาบน้ำก็ไม่เป็นไรนะเค้าไม่ว่าหรอก
แต่อย่าเซอร์ถึงขั้นทำตัวเป็นสาวหล่อนะ
เค้าคงทนไม่ได้ถ้าเห็นคนสวยของเค้าต้องเปลี่ยนไปอย่างนั้นน่ะ..เค้าชอบเจ้ยที่เป็นเจ้ยแบบนี้...”
คนสวยทำตาเล็กตาน้อยออดอ้อนฉัน
ทั้งยื่นมือมาปัดผมม้าด้านของฉันไปมาตอนที่พูด
“..รู้แล้วน่า
พูดประโยคนี้มาเกือบจะร้อยรอบแล้วมั้ง
พูดอยู่ได้ว่าชอบแบบนี้ๆน่ะ
เค้าก็จะเป็นแบบนี้ไปตลอดล่ะไม่เปลี่ยนไปไหนหรอกค่ะ
มันไม่ใช่แนว” ฉันจีบปากจีบคอยืนยัน
ก่อนจะถามคำถามเดียวกันกลับไปบ้าง
“แล้ว..เอื้อยล่ะ
เล็งคณะไหนมหาวิทยาลัยไหนไว้บ้าง”
“อืม..เค้าเหรอ
ให้ทาย..เจ้ยคิดว่าเค้าอยากเรียนอะไร”
“เอื้อยเหรอ
อืม..คนเรียบร้อย
ใจดีท่าทางจริงจังซีเรียสกับสิ่งต่างๆที่ทำเสมออย่างนี้น่ะ
ต้องอยากเรียนครูแน่ๆเลย
ครุศาสตร์ใช่มั้ย”
“โฮยยย..ขอบคุณนะที่มองเค้าเป็นคนดีขนาดนั้นน่ะ
แต่เค้าคงไม่ใช่คนที่จะสอนคนอื่นได้ดีเท่าไหร่หรอก
เป็นครูคงไม่ไหวหรอก”
หญิงสาวผิดหวังเล็กๆเมื่อเห็นว่าฉันทายผิดแถมยังประเมินค่าเธอสูงเกินไปขนาดนั้นอีก
เธอคิ้วขมวดมองฉันที่แปลกใจเล็กๆเมื่อสิ่งที่ทายไปไม่ถูก
ก่อนที่เธอจะเฉลยคำถามออกมาเอง...
“..จริงๆก็ไม่ได้คิดหรอกนะว่าอยากเรียนอะไร
แต่แม่บอกอยากให้เค้าเรียนพวกนิเทศศาสตร์ดูน่ะ
ก็เลยว่าจะเรียนตามใจแม่..”
“ฮ้า..นิเทศเหรอทำไมล่ะ..อย่าบอกนะว่าแม่เอื้อยอยากให้ลูกสาวเป็นดาราอ่ะ”
ฉันอึ้ง เหล่ตามองเอื้อยทันทีที่ได้ยินเอื้อยว่า
เอื้อยยิ้มแหยๆ
เธอหัวเราะกลบเกลื่อนความอายก่อนจะเรียบๆเคียงๆตอบคำถามของเธอไป
“..ก็ไม่เชิงหรอก
มันก็ไม่จำเป็นว่าจบไปแล้วต้องไปเป็นดาราสักหน่อย
มันก็มีหลากหลายสายงานในนั้นอยู่
คือจริงๆแล้วเรื่องมันค่อนข้างลึกลับซับซ้อนสักหน่อยน่ะ
อยากฟังป่ะล่ะจะเล่าให้ฟัง..”
เธอหยุดพูดก่อนจะเหล่ตามองท่าทีของฉัน
ชั้นเชิงในการเล่าเรื่องของเธอนั้น
ทำให้ฉันยิ้มพยักหน้างึกๆตอบรับด้วยความสนอกสนใจทันทีที่ได้ยินเรื่องที่เกริ่นมา..
“..ก็ตอนที่เค้าเป็นเด็กอายุประมาณ2-3ขวบน่ะ..ตอนนั้นชีวิตแม่เค้าลำบากมากเลย
พ่อก็เริ่มป่วยทำงานไม่ได้ต้องนอนรักษาตัวที่บ้านและไปๆมาๆที่โรงพยาบาลตลอด
จริงๆพ่อก็เริ่มป่วยกระเสาะกระแสะมาตั้งแต่เค้าเกิดแล้วล่ะ
แต่ก่อนหน้านั้นอาการป่วยมันไม่ได้หนักขนาดนี้
ตอนนั้นแม่ก็กลายเป็นว่าต้องทำงานหาเงินคนเดียว
ทั้งมีปัญหากับเพี่อนที่ทำงานต้องได้ย้ายที่ทำงานบ่อยอีก
เรียกได้ว่าโชคชะตาไม่เข้าข้างแม่เลย
ต่อมาอาการป่วยพ่อก็หนักขึ้นเรื่อยๆซ้ำร้ายแม่ก็ว่างงานกำลังหาที่ทำงานใหม่
เงินที่เก็บก็เริ่มร่อยหรอลง
แม่กลุ้มใจมากนึกอะไรไม่ออกก็เลยไปหาหมอดูร่างทรง...”
พูดถึงตรงนี้เอื้อยก็หยุดแล้วเหล่ตามองฉันด้วยท่าทางเก้ๆกังๆ
เหมือนเธออายที่จะเล่าเรื่องต่อจากนี้ให้ฟังอีก
ฉันยักคิ้วให้เอื้อย รบเร้า
“แล้วไงต่อ เล่าต่อสิ..”
เนื้อเรื่องน่าติดตาม
ฉันชักอยากรู้เสียแล้ว..
“..ไปหาหมอดูร่างทรง
ร่างทรงก็ทักโน้นทักนี่ไปเรื่อยล่ะ
ก็บอกว่าเป็นกรรมเก่าบ้างก็บอกว่ามันตรงช่วงปีชะตาชีวิตที่ไม่ดีของแม่บ้างให้แม่ทำใจ
แต่ตอนนั้นอยู่ๆร่างทรงก็ทักเรื่องเค้าขึ้นมาว่าลูกสาวคนนี้จะดึงชีวิตของแม่ให้ดีขึ้น
ร่างทรงบอกว่าเค้าเป็นลูกนางฟ้าเป็นเทวดามาเกิดอะไรก็ไม่รู้
ถ้าอยากให้ชีวิตดีต้องเลี้ยงเค้าดีๆเพราะในอนาคตเค้าจะเป็นคนมีชื่อเสียงโด่งดัง
ได้รับการยกย่อง มีคนรู้จักเยอะ
ชีวิตของเค้าจะได้ดีมีชื่อเสียงเพราะได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก
ตอนนี้ที่ชีวิตแม่ไม่ดีส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่ายังดูแลเค้ายังไม่ดีไม่ให้เกียรติเค้า
ถ้าจะให้ดีต้องเปลี่ยนชื่อแก้เคล็ด..”
“ห๊า..”
ฉันเหวอร้องอุทานทันทีที่ฟังมาถึงตอนนี้
“ว่าไปโน้นเลย..”
“ใช่..”เอื้อยยิ้มอายๆตอบรับ
“แล้วไง..แม่ก็เปลี่ยนจริงๆเหรอ”
“ใช่..”
เอื้อยพยักหน้าตอบรับอีกครั้ง
“เดี๋ยวนะ..ชื่อเอื้อยนี่ไม่ใช่ชื่อแรกเหรอ
หรือยังไง” ฉันรีบถามด้วยความงง..
“คือว่าเปลี่ยนแค่ชื่อเล่นน่ะ..ชื่อเล่นเค้าจริงๆน่ะชื่อเนตร
ก็มาจากชื่อจริงว่าเนตรอัปสรนั่นล่ะ
แต่ร่างทรงทักว่าควรจะตั้งชื่อให้เกียรติเค้าเหมือนว่าเค้าเป็นคนโบราณมาเกิดที่มีอายุมากกว่าแม่อะไรประมาณนี้
ให้เรียกเค้าว่าเอื้อยดีกว่า
ร่างทรงบอกว่าเค้าอยากให้เรียกตัวเค้าว่าเอื้อยที่แปลว่าพี่สาวอะไรอย่างนี้มากกว่าน่ะ
แม่ก็เลยเปลี่ยนชื่อเล่นเค้าว่าเอื้อยแก้เคล็ดน่ะ”
“ห๊ะ..อ๋อ..นี่เองที่มาของชื่อเอื้อย”
ฉันตาโตร้องอ๋อทันทีที่ได้ยิน
ก็ว่าอยู่ทำไมชื่อโบราณๆจัง
มองหน้าแม่ก็ดูเป็นสาวทันสมัยทำไมตั้งชื่อลูกสาวโบราณอะไรขนาดนั้น
ตอนที่ฉันได้ยินชื่อเอื้อยตอนแรกฉันยังแอบคิดเลยว่าหรือแม่จะเป็นคนอีสานหรือคนเหนือหรือเปล่า
หรือว่าจะชอบอ่านนิยายสมัยก่อนที่มีตัวละครชื่อเอื้อยกับอ้ายประมาณนี้
โอ้..นี่เรื่องราวมันลึกลับซับซ้อนกว่าที่คิดเยอะเลยนะนี่
ฉันยิ้มน้อยมองหน้าเอื้อยที่แดงขึ้นแดงขึ้นเมื่อเห็นฉันทำท่าเหมือนจะขำเธอย่างนั้น..
“เหมือนจะขำๆใช่เปล่า
แต่มันไม่ขำน่ะสิ
เพราะพอแม่เริ่มเปลี่ยนชื่อเรียกเค้าว่าเอื้อยปั๊บ
แม่ก็ได้ที่ทำงานใหม่แถมยังได้ตำแหน่งที่ดีอีก
ปีนั้นน่ะแม่ถูกลอตเตอรี่ตลอดเลยนะขนาดว่าแม่ไม่ค่อยชอบซื้อแต่ก็ยังถูกน่ะ
แม่ก็เลยเชื่อ
ตอนนั้นชีวิตแม่ก็ดีขึ้นเรื่อยๆนะ
แม่มีเงินเข้าหลายทางรายได้ก็เพิ่ม
หลายๆอย่างเริ่มดีขึ้นแต่ก็..ยกเว้นเรื่องพ่อน่ะ
พ่อเค้าก็มาเสียหลังจากนั้นประมาณ2ปี
ชีวิตแม่ก็เคว้งไปพักหนึ่งแต่ก็ได้เค้านี่ล่ะเป็นที่พึ่งทางใจของแม่
แม่ก็เลยผ่านช่วงชีวิตที่แย่ช่วงนั้นมาได้อีก..”
เอื้อยหยุดพูดแล้วหันหน้าเศร้าๆมามองฉัน
เธอคงจะคิดถึงพ่อเธอนั่นเอง...ฉันยื่นมือไปลูบแก้มเอื้อยเบาๆด้วยอยากปลอบใจเธอให้หายจากอาการเศร้าลง
ได้ผลเธอยิ้มแล้วเล่าเรื่องต่อ..
“..ก็ตั้งแต่นั้นมาชีวิตครอบครัวเค้าก็มีเหลือกันอยู่แค่สองคน
แม่พูดเสมอว่าเค้าน่ะเป็นที่พึ่งทางใจของแม่นะ
เวลาแม่รู้สึกท้อรู้สึกสิ้นหวังหรืออ่อนแอแม่ก็จะมาอยู่ใกล้ๆเค้าเสมอ
แม่บอกว่าเค้าเหมาะกับชื่อเอื้อยที่สุดเพราะแม่รู้สึกว่าเค้าไม่ใช่แค่ลูกแต่เป็นเหมือนพี่สาวของแม่ที่ชี้นำชีวิตของแม่ให้พ้นจากความทุกข์มาได้ตลอด
ซึ่งนั้นก็ทำให้แม่ค่อนข้างจะเชื่อคำที่ร่างทรงทักเค้ามาตั้งแต่เด็กๆนั่นล่ะนะว่าโตขึ้นเค้าจะต้องโด่งดังมีชื่อเสียง
ได้ดีเพราะทำในสิ่งที่ตัวเองรักอ่ะ
เค้าเดาว่าแม่คงคิดว่าโตขึ้นเค้าคงจะต้องเป็นดาราหรือนักร้องอะไรประมาณนี้..”
“ก็เลยอยากให้ลูกเรียนทางนี้ว่างั้น..”
“ใช่..ฟังดูไร้สาระใช่มั้ยล่ะ”
เอื้อยถามฉันเสียงอายๆ ฉันไม่ตอบได้แต่หัวเราะหึๆทันทีที่ได้ยินเอื้อยว่า
“ตอนแรกเค้าก็คิดอย่างนั้นล่ะนะ
แต่พอเค้าโตขึ้นเรื่อยๆ
เค้าก็ชอบได้ทำนั่นทำนี่เรื่อย
ทั้งอาจารย์ก็ชอบให้ถือป้ายบ้างล่ะ
ทำกิจกรรมโรงเรียนประกวดนั่นประกวดนี่ชนะบ้างล่ะ
แถมน้ายังชอบพาเค้าเดินสายไปประกวดมิสนั่นมิสนี่ตั้งแต่เด็กๆแล้วก็ยังได้ตำแหน่งอีกอ่ะ
ยิ่งมาประกวดร้องเพลงกับเจ้ยแล้วได้รองแชมป์อีกก็ยิ่งเพิ่มน้ำหนักความเชื่อเข้าไปใหญ่
แม่บอกว่าถ้าไหนๆจะมาทางนี้แล้วก็เรียนให้มันเก่งให้มันแตกฉานทางนี้ไปเลยดีกว่า”
“อ้ออออ...ก็มีเหตุผลนะ...”
ฉันลากเสียง
พยักหน้าเห็นด้วยกับเอื้อยทันทีแม้จะเหวอแสนเหวอที่ได้ยินเหตุผลนั้นขนาดไหนก็ตาม..
แหม..เห็นแม่เอื้อยสวยๆเฉี่ยวๆเป็นเวิร์คกิ้งวูแมนอย่างนี้
กลายเป็นเชื่อหมอดูร่างทรงซะงั้น
ฉันทั้งคิดทั้งยิ้มแหยๆ
มองเอื้อยที่ก็นั่งยิ้มน้อยมองฉันด้วยความอายไม่หายซักทีที่ตั้งแต่เริ่มเล่ามาจนมาถึงตอนนี้
..อ๋อ
มิน่าล่ะที่เอื้อยเคยเปรยๆว่าแม่ชอบให้เอื้อยดูแลตัวเอง
ชอบให้เอื้อยกินอาหารดีๆคลีนๆก็เพื่อที่จะอยากให้เอื้อยรักษารูปร่างของตัวเองเอาไว้เผื่อว่าจะได้เป็นดาราจริงๆสินะ
โหย...แม่นี่วางแผนชีวิตลูกไว้ดีจัง
ทั้งสอนลูกยังกับกุลสตรี
ลิ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม
นี่คงคิดว่าถ้าวันหนึ่งลูกได้เป็นดาราจริงๆก็ต้องเป็นดาราที่แบบว่าสุดแสนจะเพอร์เฟรคทั้งหน้าตา
รูปร่างและนิสัย
แบบไม่มีข่าวเสียหายใดๆในชีวิตเลยสินะ...
ฉันหัวเราะเบาๆทันทีเมื่อนึกถึงภาพของเอื้อยในอดีตวันนั้น
ตอนนี้ว่าที่ดาราคนสวยในชุดนักศึกษาก็ยังทำท่าทางตื่นเต้นกับที่เรียนของฉันไม่ทันหาย
จนฉันต้องรีบเรียกสติเธอให้เธอรีบเดินทางไปที่คณะของเธอบ้าง...
“เออ..แล้วตึกนิเทศต้องขับออกไปโซนหน้ามอเลยหรือเปล่านะ”
“อืมใช่
เดี๋ยวกลับรถหน้าคณะเจ้ยแล้วขับออกไปตามถนนเส้นนี้จนเกือบจะถึงหน้ามอก็ใช่แล้ว”
“โหย..เกรงใจเอื้อยจังเลยน่ะ
มันอยู่คนละทางขนาดนั้นก็ยังอุตส่าห์อ้อมขับมารับเค้าอีก
เอื้อยไม่ต้องมารับเค้าก็ได้นะเกรงใจ..ไปใครไปมันดีกว่าเค้าไม่อยากรบกวนเอื้อย”
“รบกงรบกวนอะไร
ห้ามพูดคำนี้เลยนะ
ตอนที่เป็นเพื่อนกันเฉยๆเจ้ยก็ยังมารับเค้าไปเรียนได้ทุกวันเลย
ตอนนี้เราเป็นแฟนกันได้คบกันขนาดนี้แล้ว
เรื่องการดูแลกันนิดๆหน่อยๆแค่นี้จะเป็นอะไรไปเล่า..นะ
ให้เค้าดูแลเจ้ยบ้างเถอะ
เดี๋ยวไงเรียนเสร็จแล้วโทรหาเค้าอีกทีแล้วกันนะ
เดี๋ยวเค้าจะมารับเจ้ยอีกที”
เอื้อยยิ้มสายตาหวานละมุน
เธอยกมือขึ้นมาลูบผมฉันเบาๆ
จนฉันหลงเคลิ้มกลายเป็นพยักหน้ายอมรับให้เธอมารับมาส่งฉันจนได้...
////////////////////////////////////////////////////////
เสียงจอกแจกจอแจของนักศึกษาเกือบๆจะเต็มห้องดังขึ้นตอนที่ฉันเปิดประตูห้องออดิทอเรี่ยมเข้าไป
ฉันยืนชะงักอยู่หน้าประตูก่อนจะก้มหน้าลงมองนาฬิกา
..อีกประมาณ5นาทีจะ9โมง..
นี่ฉันคงเสียเวลากับการดูรถมอเตอร์ไซค์ของตัวเองเมื่อเช้าสินะเลยมาเกือบสายขนาดนี้
ฉันทั้งคิดทั้งนึกโมโหก่อนจะพยายามมองหาที่นั่งว่างสำหรับการปฐมนิเทศในวันนี้
..เอ..แม้ออดิทอเรียมจะมีขนาดใหญ่มากเพราะมันกินพื้นที่จากชั้น1มาถึงชั้น2ของอาคารเรียน
แต่ในห้องตอนนี้กลับมีนักศึกษาอยู่เกือบๆจะเต็มไปหมดแล้ว...
ห้องออดิทอเรียม
(Auditorium)
ก็คือห้องประชุมขนาดใหญ่มีลักษณะเป็นห้องครึ่งวงกลมเหมือนเกือกม้า
ภายในมีการจัดพื้นที่นั่งเหมือนขั้นบันไดโดยไล่จากระดับจากพื้นที่สูงที่สุดตรงประตูด้านทางเข้าที่ฉันยืนอยู่ลงไปหาพื้นที่ด้านหน้าเวทีข้างล่างที่ต่ำที่สุด
ที่ตรงนั้นจะทำเป็นเวทีบรรยายมีโต๊ะและอุปกรณ์การฉายสไลด์สำหรับเอาไว้บรรยายนักศึกษาด้วย
จำได้ว่าห้องนี้บรรจุนักศึกษาได้ประมาณห้าร้อยกว่าคนแล้วตอนนี้มันก็เกือบๆจะเต็มห้องแล้ว
แสดงว่าพวกรุ่นพี่ปีอื่นๆก็พากันมาปฐมนิเทศกันวันนี้ด้วยสินะ
ฉันทั้งคิดทั้งแอบหลบสายตาพี่ผู้ชายหนวดเคราเฟิ้มกลุ่มหนึ่งที่หันมาเห็นฉันเข้า
ตอนนี้พอฉันทำท่าก้มหน้าก้มตา
เสียงแว่วๆของพวกพี่ผู้ชายก็ดังเข้ามาในโสตประสาททันที...
“เฮ้ยๆน้องปีหนึ่งๆ
น้องน่ารักจังเลย
มีพี่เทคหรือยังครับ..”
นั้นเป็นแค่เสียงเดียวที่ฉันพอจะจับใจความได้
เพราะหลังจากนั้น
ฉันก็รีบเงยหน้าหันซ้ายหันขวาหาที่นั่งให้ตัวเองทันทีด้วยกลัวว่าจะโดนพี่พวกนี้แซวอะไรเข้าให้อีก
ซึ่งที่นั่งที่ยังพอว่างเหลือให้ฉันได้นั่งแอบพี่ผู้ชายพวกนี้ได้กลับกลายเป็นที่นั่งข้างหน้าสุดที่มันว่างโล่งเตียนไม่มีใครกล้านั่งทั้งแถว
..เอาวะเป็นไงเป็นกัน
ไม่มีใครกล้านั่งใช่มั้ย
เดี๋ยวฉันเปิดคนแรกเลยก็ได้...
ฉันรีบเร่งฝีเท้าเดินไปที่ตรงนั้นทันทีที่คิดได้
ตอนนี้
จากที่เมื่อกี้ได้ยินเสียงแซวแค่แถวๆหน้าประตูที่ฉันยืนมองหาที่นั่ง
พอฉันเดินดุ่มๆไปนั่งด้านหน้าคนเดียวกลายเป็นว่าทุกสายตาตอนนี้จับจ้องมองฉันทันที
ได้ยินเสียงแซวประโยคคล้ายๆกันกับก่อนหน้านั้นดังมา
ทั้งเสียงผิวปากเบาๆลอยมาสองสามทีตอนที่ฉันพยายามเดินเข้าไปนั่งตรงกลางของที่นั่งแถวหน้าสุด
มองดูโดดเด่นเป็นสง่าทันทีที่เดินผ่านทุกสายตาเข้าไป
ฉันเหงื่อตกทั้งอายทั้งประหม่าได้แต่พยายามเดินก้มหน้าแล้วปลอบใจตัวเองไปเบาๆว่า...เอาวะ
ไหนๆก็ไหนๆแล้ว มีอะไรต้องอายอีก
นั่งมันตรงกลางข้างหน้าสุดนี่เลยก็แล้วกัน
..
ฉันคิดก่อนจะนั่งลงกับเก้าอี้เลคเชอร์แล้ววางกระเป๋าไว้เก้าอี้ข้างๆ
ทั้งพยายามเก๊กวางฟอร์มนั่งตัวตรงดิ่ง
นั่งนิ่งๆไม่หันซ้ายหันขวาไปไหนเลย
ครู่ใหญ่ๆที่ฉันนั่งรออาจารย์พร้อมๆทั้งเสียงคุยจอกแจกจอแจของนักศึกษาในห้องที่ดังขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งมีเสียงหนึ่งดังเข้ามาข้างๆฉัน....
“นั่งด้วยได้มั้ย..” ฉันหันขวับไปหาที่มาของเสียงทันทีที่ได้ยิน
เจ้าของเสียงเป็นผู้หญิงตัวสูงผมยาวสีบลอนด์...
ใช่
ทันทีที่หันไปเห็นสิ่งที่แตะตาฉันที่สุดก็คือผมยาวเหยียดตรงสีบลอนด์ของเธอ
มันแตะตาเสียจนฉันยังอึ้งนั่งอ้าปากหวอเพราะพึ่งเคยเห็นคนที่ย้อมผมสีบลอนด์ทั้งหัวขนาดนี้
..มันเป็นสีบลอนด์แบบสว่างๆ..สว่างมากๆ
มากจนดูแล้วให้ความรู้สึกเหมือนสีขาวมากกว่าสีทองเสียอีก
ผู้หญิงคนนั้นยิ้ม
เธอเสยผมหน้าม้าตัดตรงของเธอก่อนจะยักคิ้วทำท่าทวนคำถามเมื่อกี้อีกครั้งนึง
จนฉันได้สติรีบพยักหน้ารับ
“เอ่อ..ได้ๆ
นั่งสิ...”ฉันขยับกระเป๋าออกจากเก้าอี้เลคเชอร์อีกที่ที่ฉันวางกินพื้นที่ไป
ผู้หญิงผมบลอนด์ในชุดนักศึกษากระโปรงทรงเอสั้นๆคนนั้นเดินเข้ามานั่งไขว่ห้าง
เธอหงายโต๊ะเลคเชอร์ของเธอออกแล้วจัดการวางกระเป๋าลงบนพื้นโต๊ะ
ตอนนี้พอเธอจัดแจงวางของของเธอเสร็จเธอก็หันมายิ้มหวานทักทายฉันทันที...
“สวัสดี..เราชื่อณิชานะ
เธอชื่ออะไร”
“อ่อ..ดีค่ะ
เราชื่อเจ้ยยินดีที่รู้จัก”
“เต้ย???..”
ณิชาเลิ่กคิ้วทำเสียงสูง
เหมือนเธอจะทวนถามชื่อของฉันด้วยความไม่แน่ใจ..
“ไม่ใช่เต้ย
เจ้ย จอจานน่ะ”
ฉันหัวเราะก่อนจะออกเสียงชื่อตัวเองให้ณิชาฟังชัดๆอีกครั้งนึง
“เจ้ย..”
“เฮ้ยชื่อแปลกดี
แปลว่าอะไรอ่ะ ภาษาจีนเหรอ”
“ไม่รู้
ไม่มีความหมาย ภาษาต่างดาวมั้ง
เหมือนพ่อจะอยากตั้งให้เฉยๆ
คงคิดว่าเท่..”
ฉันทั้งพูดทั้งแอบแขวะพ่อเล็กๆในสิ่งที่ตัวเองก็สงสัยมาตั้งแต่เด็กๆและเฝ้าถามเอาคำตอบจากพ่อตลอด
แต่ก็ไม่ได้คำอธิบายอะไรกลับมามากมายเลย
นอกจากเหตุผลที่ว่า...อยากตั้งเฉยๆเรียกง่ายดีและคงไม่มีใครกล้าตั้งซ้ำ...
ณิชาหลุดหัวเราะ
เธอรีบก้มหน้าขำ
คงนึกกลัวฉันจะโกรธที่เห็นว่าเธอเสียมารยาทหัวเราะที่มาของชื่อเพื่อนใหม่อย่างนั้นเข้า
หญิงสาวนั่งก้มอยู่นานกว่าจะเงยหน้าแดงๆขึ้นมา...
“เราขอโทษที่หัวเราะนะ
เราไม่ได้ตั้งใจ
เราว่าชื่อเธอน่ารักดียิ่งได้ฟังที่มาก็ยิ่งน่ารักจนอดขำไม่ได้น่ะ”
ณิชายิ้มหวานพยายามขอโทษฉัน
จนฉันบอกไม่เป็นไรแล้วเธอจึงชวนฉันคุยต่อ..
“..เธออยู่เอกไหน
เราเอกAR
ถาปัตย์-ถาปัตย์
เธอล่ะ..”
ฉันตาโตทันทีที่ได้ยินณิชาว่า
ซึ่งARก็คืออักษรย่อของArchitectureที่หมายความถึงเอกสถาปัตยกรรมศาสตร์
พวกเราชอบเรียกชื่อคณะทับชื่อเอกสั้นๆว่า
“ถาปัตย์-ถาปัตย์”
(คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์-เอกสถาปัตยกรรมศาสตร์)
“เราก็เอกARเหมือนกัน
เอกเดียวกันนี่นา..”
“ใช่..”ณิชายิ้มรับ
ก่อนจะก้มลงเปิดกระเป๋าหนังสีดำเงาๆฉันมองดูเหมือนของแบรนด์หรูยี่ห้อหนึ่ง
เธอหยิบเอาโทรศัพท์สมาร์ทโฟนสีทองของเธอยื่นมาให้ฉัน
“งั้นเราขอเบอร์เจ้ยหน่อยสิ
เรายังไม่มีเบอร์ของเพื่อนในคณะเลยน่ะ
เผื่อมีอะไรเราจะได้โทรหากันได้”
“ได้สิ..”
ฉันยิ้ม
รีบรับโทรศัพท์ของณิชามาด้วยความดีใจที่จะได้เบอร์เพื่อนในคณะสักที
หน้าจอสมาร์ทโฟนของณิชาเป็นรูปณิชาทำปากจู๋ๆถ่ายรูปเซลฟ์ฟี่คู่กับผู้หญิงสวยๆคนหนึ่ง
..อืม..จะว่าไปแล้ว..จริงๆณิชาก็สวย..
ฉันมองรูปณิชาพินิจพิเคราะห์อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันขึ้นมายิ้มมองเธอ...
เธอยิ้มตอบรับ
ก่อนจะยกมือขึ้นมาทัดผมสีบลอนด์ของเธอเหน็บเก็บไว้ข้างหู
โชว์ให้เห็นต่างหูห่วงใหญ่ๆสีเงินที่มองแล้วให้ความรู้สึกสวยเก๋รับกับใบหน้าสวยเรียวเฉี่ยวๆเปรี้ยวๆของเธอดีเหลือเกิน
ฉันมององค์ประกอบของณิชาทั้งดวงตาสีดำดูหวานๆดวงโตๆ
ทั้งปากกระจับที่เธอทาลิปสีแดงมาอีก
ทั้งจมูกอีก..เอ..จมูกณิชานี่ก็โด่งมากเลยนะ
โด่งและสวยได้รูปอีก
มันดูโด่งสวยเท่มากๆเลยเวลาที่ดั้งของณิชาโผล่ออกมาจากปลายผมหน้าม้าที่เธอตัดตรงลงมาเสมอชายขอบตานั้น
โอ้..นี่จะเรียกณิชาว่าแฟชั่นนิสต้าได้หรือเปล่า
ทำไมองค์ประกอบภายในตัวเธอทุกอย่างมันช่างดูเก๋
ดูเท่และมีสไตล์จริงๆ
เหมือนทุกๆอย่างมันถูกออกแบบและจัดสรรค์ให้ดูดีและเข้ากับตัวของเธอที่สุดเลย..เอ..หรือมันเป็นส่วนหนึ่งที่เธอเลือกเรียนคณะนี้
คณะที่ต้องใช้อารมณ์ ความรู้สึก
ความเป็นศิลปิน
และความคิดสร้างสรรค์ในการคิดงาน
อืม..การแต่งตัวเก๋ๆแบบนี้มันก็อาจจะทำให้เธอมีแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานเพิ่มขึ้นก็ได้นะ...
สรุปแล้ว..ณิชานี่เป็นผู้หญิงที่สวยและรูปร่างดีคนหนึ่ง
จริงๆแล้วก็เรียกว่าสวยมากๆนั่นล่ะ
เพราะเธอรู้จักแต่งหน้าและทำสีผมให้ตัวเองดูโดดเด่นทันทีที่เหลือบตาไปเห็น
ทั้งๆที่โครงหน้าจริงๆก็ดูจะไท้ไทย
แต่พอเธอทำผมสีบลอนด์ปุ๊บกลับกลายทำให้เธอมีความเป็นอินเตอร์ดูโดดเด่นเชื้อเชิญให้เหลียวมองทันที
ฉันเห็นผู้ชายหลายคนแอบหันมามองตรงโต๊ะที่เรานั่งกันบ่อยๆ
บ้างก็ยิ้มให้
บ้างก็เรียกเพื่อนที่นั่งข้างๆชี้ชวนให้หันมาทางนี้แล้วพากันทำตาหวานเยิ้มส่งสายตาเจ้าชู้ประตูดินแปลกๆมาตลอดเวลาที่นั่ง..
“..รู้สึกเหมือนมีคนมองตลอดเลยน่ะ”
เป็นณิชาที่ถามคำถามที่ฉันกำลังสงสัยอยู่
แต่ฟังคำถามแล้วเหมือนกระทบกระทั่งตัวเองยังไงไม่รู้จนฉันต้องละจากการจ้องใบหน้าเธอแล้วรีบก้มหน้ากดเบอร์โทรศัพท์ให้
“เอ่อ..ขอโทษที่มอง
คือเราว่าเธอสวยเราก็เลยเผลอมอง..”ฉันยิ้มแหยๆสารภาพความผิดตอนที่ยื่นโทรศัพท์คืนให้ณิชา
“หืม..ชมเราเหรอ
ขอบใจนะ เธอก็สวย
สวยมากๆด้วยเราว่าจะบอกเธอหลายรอบแล้ว”
ณิชายิ้มหวานตอนที่บอกว่าฉันสวย
“นี่เธอนึกว่าเราว่าเธอมองใช่มั้ยเมื่อกี้
ไม่ใช่นะ เราหมายถึงคนอื่น
เรารู้สึกว่าคนอื่นมองมาที่พวกเราน่ะ
แต่ถ้าเธอจะมองเราน่ะ
มองเลยนะ..เราอนุญาติ..”
หญิงสาวทั้งพูดทั้งหัวเราะ
เธอยิ้มน้อยมองฉันอยู่นานก่อนจะพูดต่อ..
“เธอว่าผู้ชายพวกนั้นมองใคร”
หญิงสาวเลิ่กคิ้วส่งซิกให้ฉันมองไปที่บรรดานักศึกษาผู้ชายที่พากันหันมามองยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ทางเรา...
“ไม่รู้สิ
ณิชามั้ง”
“เหรอ
แต่เราว่าเขามองเธอมากกว่าน่ะ
จริงๆนะดูมุมปลายสายตาที่เค้ามองมันเฉียดๆออกมาทางเธอมากกว่าเรา
แล้วที่สำคัญ..เธอก็ดูสวยดูใสกว่าเราด้วย
ยังไงๆผู้ชายก็ต้องมองเธออยู่แล้ว”
...นี่ชมหรือนี่..
ฉันยิ้มน้อยเหล่ตามองณิชา
ตอนนี้หญิงสาวผมบอนด์ก็ยิ้มและยักคิ้วให้ฉันเหมือนกำลังยืนยันว่าที่เธอพูดมาเมื่อครู่นี้คือเรื่องจริง..
“ขอบใจนะที่ชม
เหอะๆเราว่าเธอคงจะคิดไปเองมากกว่า..”
ฉันยิ้มขอบใจณิชาก่อนจะจบการสนทนาของเพื่อนใหม่ลง
เนื่องจากว่าบรรดาอาจารย์เดินเข้าออดิทอเรี่ยมมาแล้ว...
การปฐมนิเทศนักศึกษาในวันนี้เป็นการกล่าวแนะนำคณะ
กล่าวแนะนำอาจารย์
กล่าวแนะนำรายวิชาต่างๆซึ่งสำหรับปีหนึ่งอย่างพวกฉันดูจะตื่นเต้นมากๆที่ได้รับรู้ในสิ่งที่พวกตัวเองจะต้องได้เจอหรือต้องได้ทำ
แม้พวกพี่ๆชั้นปีอื่นๆจะนั่งเงียบตั้งใจฟัง
แต่เมื่อกล่าวถึงเรื่องของน้องๆปีหนึ่งขึ้นมาทีไรพวกเขาก็ดูสดใสและตื่นเต้นขึ้นมาด้วยทันที
“..การแต่งกายของปีหนึ่งอาจารย์ก็อยากให้เราให้เกียรติสถาบันกันนะ
อย่าไปดูพวกชั้นปีสูงๆให้มากนัก
พวกนั้นมันซกมกน้ำก็ไม่ค่อยได้อาบ
เสื้อผ้าก็ไม่ค่อยได้ซัก
แค่เวลาจะดูแลตัวเองยังไม่ค่อยมี
ถ้าพวกนี้จะใส่เสื้อเชิ้ตกางเกงยีนส์
ลากอีแตะมาคณะก็เพราะว่ามันจำเป็น
น้องปีหนึ่งอย่าพึ่งไปเลียนแบบพวกนี้ล่ะเข้าใจมั้ย..”
เสียงนักศึกษาปีหนึ่งหัวเราะกันครืนทันทีที่ได้ยินรวมทั้งฉันด้วย
“..อาจารย์อยากให้ปีหนึ่งแต่งชุดนักศึกษาให้เรียบร้อยที่สุด
อย่างน้อยๆก็ให้เกียรติมหาวิทยาลัยนะ
เพราะทางกองกิจฯเขาขอร้องมา
เขาบอกว่ามีคณะเรากับศิลปกรรมนี่ล่ะที่แต่งตัวไม่เหมือนนักศึกษาเท่าไหร่
เอาเป็นว่าถ้าไม่เหนือบ่ากว่าแรง
อย่างน้อยๆภายในหนึ่งปีนี้ก็พยายามแต่งตัวให้ถูกระเรียบที่สุดก็แล้วกันนะ
เอ้า..การแต่งตัวเรียบร้อยถูกระเบียบมหาวิทยาลัยเป็นยังไง
เดี๋ยวอาจารย์หาตัวอย่างคนแต่งตัวเรียบร้อยให้ดู..”
อาจารย์กวักมือเรียกผู้ชายใส่ชุดนักศึกษาท่าทางเรียบร้อยคนหนึ่งออกไป
ส่วนผู้หญิงด้วยความที่ฉันนั่งโดดเด่นเป็นสง่าอยู่ด้านหน้า
อาจารย์ก็เลยหันมากวักเรียกฉันออกไปทันที..
ตอนนี้พอฉันออกไปยืนเก้ๆกังๆอยู่ด้านหน้าเวทีกลายเป็นมีเสียงแซวและเสียงผิวปากมาอีกแล้ว
อาจารย์ผู้ชายอมยิ้มหันไปมองพวกพี่นักศึกษาที่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ก่อนจะแซวออกไมค์ให้ฉันเขินเข้าไปอีก..
“แหม..กระชุ่มกระชวยเชียวนะ
ดี๋ด๋าๆกันใหญ่
อดใจไว้น้องเขายังไม่พร้อมจะอยู่ในโลกมืดมน”
สิ้นเสียงอาจารย์
นักศึกษาที่อยู่ในห้องก็พากันหัวเราะครืนทันที...
อาจารย์พูดอธิบายเกี่ยวกับชุดนักศึกษาอยู่ครู่นึง
ก่อนจะหันไปถามนักศึกษาในห้องที่เหลือว่ามีใครสงสัยอะไรมั้ย
มีพี่นักศึกษาผู้ชายหัวฟูๆสองสามคนยกมืออยู่ด้านหลัง
อาจารย์จึงให้โอกาส1ในพวกเขาถาม
“ว่าไงอยากถามอะไร..”
“ครับ..ผมอยากถามว่า
น้องผู้หญิงเขาชื่ออะไรครับ”
สิ้นเสียงพี่คนนั้นถาม
เสียงโห่แซวหวีดวิ้วของบรรดาผู้ชายในคณะก็ดังขึ้นทันที
..โอ้ย...ตอนนี้หน้าฉันเหลืออยู่แค่สองนิ้วแล้ว
นี่มันคณะอะไรกันนี่ทำไมมีแต่คนประหลาดๆอย่างนี้..
ฉันทั้งคิดทั้งหน้าแดง
ทั้งยืนก้มหน้าหลบสายตาพี่พวกนั้นด้วยความอายแสนอาย
ไม่คิดว่าจะเจอพวกใจกล้าบ้าบอได้ขนาดนี้
ฉันเคยได้ยินว่าคณะสถาปัตย์นี้คนที่เรียนส่วนใหญ่จะเป็นคนกล้าแสดงออก
แต่ไม่คิดว่าจะกล้าแสดงออกจนจนยังเหวอแทนอย่างนี้ได้...
“ไอ้บ้า
น้องเขากลัวแล้วดูสินี่
หนูอย่าพึ่งกลัวนะลูก
พี่เขาพูดเล่น
เอ้า..ว่าแต่ชื่ออะไรล่ะบอกชื่อเขาไปสิ..”เสียงอาจารย์ดุพี่คนนั้นออกไมค์ก่อนจะหันมาถามฉัน..
ฉันเงยหน้าแดงๆทั้งยิ้มแหยๆให้อาจารย์ด้วยความอายแสนอาย
ก่อนจะพยายามสงบสติอารมณ์แล้วตอบชื่อตัวเองออกไป....
“เจ้ยค่ะ..”
////////////////////////////////////////////////
“จอเจ้ยๆ”
….“น้องจอเจ้ย”..
“จอเจ้ยคร้าบบบ”
“น้องจอเจ้ยครับ รับพี่เทคมั้ยครับ..”
“จอเจ้ยยยยย...”
เสียงแซวดังผ่านเข้าหูฉันเป็นประโยคเดิมๆแต่สลับสับเปลี่ยนคนพูดมาเรื่อยๆ
ตอนที่ฉันยืนรอเอื้อยมารับอยู่หน้าคณะ
ฉันต้องพยายามก้มหน้าก้มตาไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองใคร
แม้จะได้ยินใครๆเรียกตัวเองด้วยคำประหลาดๆฟังดูน่าอายอย่างนั้นตลอดก็ตาม..
...ก่อนหน้านั้น
ตอนที่ฉันยืนอยู่บนเวทีออดิทอเรี่ยมแล้วบอกชื่อกับคนที่ถามไป
กลายเป็นว่าพวกที่นั่งอยู่ในที่นั่งพากันงงงวยชื่อฉันกันใหญ่...
“เต้ย..เหรอครับ”
มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาถาม
“เปล่าค่ะ
เจ้ย เจ้ยจอจานค่ะ”
ฉันพยายามออกเสียงชื่อตัวเองออกไมค์ไป
แล้วพอพวกเขาได้ยินดังนั้นก็พากันคุยมุบมิบๆแต่เสียงดังถึงคำว่า
เจ้ยจอจานๆกัน
แต่ไปๆมาๆอยู่ๆมีใครก็ไม่รู้พูดโพล่งคำว่า
“จอเจ้ย” ออกมาท่ามกลางเสียงคุยมุบมิบๆนั่น
แล้วก็ไม่รู้ว่าด้วยความคิดสร้างสรรค์หรือความครีเอทรีพที่พลุกพล่านในสายเลือดของแต่ละคนด้วยหรือเปล่า
กลายเป็นว่าพอพวกเขาได้ยินคำว่า
“จอเจ้ย” แล้ว
พวกเขาก็พากันชอบใจและเห็นด้วยกับชื่อใหม่ที่พวกเขาลงมติว่าน่ารัก
แล้วกลายเป็นเรียกฉันว่าจอเจ้ยไปด้วยเสียอย่างนั้น
แล้วตั้งแต่นั้นมาพวกพี่ๆในคณะ
รวมทั้งเพื่อนๆปีหนึ่งก็กลายเป็นเรียกฉันด้วยชื่อแปลกๆอย่างนั้นทันที..
“กลายเป็นคนดังเลยน่ะ...จอเจ้ย”
ณิชายิ้มน้อย
เธอแซวฉันด้วยฉายาใหม่ทันทีที่ฉันเดินกลับเข้าไปนั่งที่โต๊ะ
ฉันสแยะยิ้มหันไปมองณิชาก่อนจะตอบด้วยอารมณ์เซ็งๆแก้เขินเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นว่า..
“ดังอะไรเล่า
น่าอายจะตาย..”
“แหม..เอาน่า..มีแต่คนอยากเป็นพี่เทคเธออ่ะ
เรานั่งอยู่นี่ได้ยินเสียงคนคุยกันเรื่องเธอตลอด
คนชอบเธอเยอะนะ
เห็นมั้ยเราว่าแล้วว่าผู้ชายต้องมองเธอ
นี่คอยดูนะเราว่าเธอจะโดนโหวตเป็นดาวคณะแหงๆ”
ณิชาทั้งพูดทั้งยิ้มน้อย
เธอขยับตัวเข้ามากระซิบกระซาบกับฉันตอนที่พูด
“ดาวอะไรเล่า
เราไม่เอาด้วยหรอก...”ฉันบ่นมุบมิบแกล้งเก๊กหน้าดุซีเรียสเพราะไม่อยากให้เพื่อนรู้ว่าตัวเองเขินขนาดไหน
ก่อนจะก้มหน้าหมอบลงกับพื้นโต๊ะเลคเชอร์ไปตลอดทั้งคาบที่เหลือ
จนกระทั่งเลิกคลาสแล้วออกมารอเอื้อยอยู่หน้าคณะอย่างนี้ฉันก็ยังต้องแกล้งก้มหน้าก้มตาไม่มองไม่สบตาใครเลยสักคน
ด้วยความอายที่เหลืออยู่
จนกระทั่งเสียงหนึ่งดังขึ้นต่อหน้า...
“เฮ้...จอเจ้ย
กลับยังไงนี่..”
ณิชานั่นเอง
เธอขับรถมอเตอร์ไซค์สกูตเตอร์คลาสสิคสีเหลืองครีมที่มีสติกเกอร์ตัวเลข19แดงๆในกรอบวงกลมตรงฝาข้างล้อเข้ามาจอดหยุดต่อหน้าฉัน...
“รอเพื่อนมารับน่ะ
เดี๋ยวเพื่อนก็คงมาแล้ว”
ฉันสแยะยิ้มให้ณิชาด้วยใบหน้าเซ็งๆที่ได้ยินชื่อแปลกๆของตัวเองอีกแล้ว
ก่อนจะมองไปที่รถมอเตอร์ไซค์ของเธอต่อ..
..รถสกูตเตอร์ของณิชาเป็นรถสีเหลืองครีมอ่อนๆ
ฉันมองดูด้านหน้าบังลมมันมีตัวหนังสือสีเงินสะท้อนแสงแวววาวของคำว่า
Vespaติดอยู่
ตรงเบาะนั่งของคนขับและคนซ้อนเป็นหนังสีขาวสะอาดตา
ด้านหน้ามีแผงอลูมิเนี่ยมสีเงินที่มีหลอดไฟกลมๆอยู่ในนั้นสามดวง
ซึ่งมันคงจะเป็นไฟตกแต่งแยกต่างหากจากไฟแท้หน้ารถกลมๆดวงใหญ่ๆนั่น
ส่วนด้านท้ายก็เป็นโครงอลูมิเนี่ยมชนิดเดียวกันกับด้านหน้าที่ทำเอาไว้สำหรับใส่ล้ออะไหล่สำหรับเปลี่ยน
ฉันมองเรื่อยจนมาถึงคอรถ
ณิชาก็เอาผ้าเช็ดหน้าที่มีลวดลายเหมือนธงชาติอเมริกามาผูกไว้
แถมตรงแฮนด์รถของเธอก็ยังมีแตรมือเก๋ๆอีกอันติดไว้อีกต่างหาก...
น่ารักจัง..ฉันทั้งคิดทั้งเดินลงไปสัมผัสนั่นสัมผัสนี่ในรถณิชาด้วยความตื่นเต้นแล้วก็เผลอคิดถึงรถมอเตอร์ไซค์สี่จังหวะสีดำแดงตัวเก่งของฉันที่ขับมาตั้งแต่ม.4จนกระทั่งปี1ก็ยังเอามาขับที่หออีกด้วย
แม้จะใช้งานได้หลากหลายและสมรรถนภาพก็ดีแถมยังทนแดดทนฝน
แต่มันก็ให้ความรู้สึกคนละอารมณ์กับรถคันนี้เลยน่ะ..
“รถสวยจังเลยณิชา”
ฉันทั้งพูดทั้งจับรถณิชา
ดวงตาก็เปลี่ยนอารมณ์จากเซ็งๆเป็นส่องประกายแวววาวบ่งบอกให้ผู้ฟังได้รู้ว่าฉันประทับใจเพียงใดที่ได้เห็นรถคันนี้
“สวยมั้ย
ลองนั่งได้นะ”
ณิชายิ้มหวานเธอลุกขึ้นจากเบาะรถแล้วเชิญชวนให้ฉันลองนั่งรถเธอดูบ้าง
ฉันยิ้มรับรีบขึ้นไปนั่งบนเบาะรถณิชาแล้วจับแฮนด์ทำท่าลองขับดู
โดยมีณิชายืนยิ้มมองดูฉันอยู่ด้านข้างๆ
“เป็นไงบ้าง..”
ณิชาถามฉัน
“..ก็ดีนะท่าทางจะขับง่ายด้วย
ณิชาแต่งรถเองเหรอ”
ณิชายิ้มพยักหน้ารับ“ใช่..สวยมั้ย
อยากลองนั่งมั้ย เดี๋ยวเราพาขับ
ขับไปส่งหอก็ได้
หอจอเจ้ยอยู่ไหนเดี๋ยวเราไปส่งเอง
จอเจ้ยค่อยโทรบอกเพื่อนก็ได้ว่ากลับกับเราแล้ว..”
ฉันอึ้งคิดตามณิชาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเห็นรถยนต์สีแดงขาวคันเล็กๆขับผ่านมาชะลอต่อหน้าจนนึกขึ้นได้ว่านั้นคือรถเอื้อย..
“เฮ้ย...เพื่อนเรามารับแล้ว..”
ฉันรีบลุกขึ้นจากรถณิชาแล้วหันหน้าไปมองเจ้ารถยนต์คันเล็กหลังคาต่ำที่ติดฟิล์มกรองแสงทึบๆดำๆคันนั้น
ณิชาก็มองตาม
เธอยืนจ้องอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันมาถาม
“นั่นรถเพื่อนเจ้ยเหรอ..”
ฉันพยักหน้ารับ
“ใช่”
“โหย..รถมินิน่ารักกว่ารถเราอีกอ่ะ
นั่งสบายอย่างนี้คงไม่อยากนั่งรถเราแล้วมั้ง...”
ณิชายิ้มเล็กยิ้มน้อยตอนที่แซวฉัน
เธอมองฉันสลับกับมองรถเอื้อยที่จอดนิ่งๆอยู่อีกฝั่งหนึ่งของถนน
ก่อนจะหันมาพยักหน้ารับฉันที่บอกลาขอตัวเธอกลับก่อน....
“..ใครน่ะ
เพื่อนเหรอ...”
เป็นเอื้อยที่ถามฉัน
ตอนที่ฉันเข้าไปนั่งในรถกับเธอแล้ว
เธอคงเห็นตอนที่เธอชะลอรถขับผ่านเมื่อครู่นี้
ฉันยักคิ้วแล้วยิ้มตอบรับเอื้อย....
“อื้ม..ใช่..เพื่อนใหม่น่ะ....”