วันพฤหัสบดีที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2560


นิยายหญิงรักหญิง Girlfriend Season2

Chapter 1

New beginning

ขอให้มีแฟนหน้าตาดีๆ นิสัยสวยๆเอ้ย..นิสัยดีๆเหมือนตัวเองนะ รักเพื่อนคนนี้มากและจะสิงสถิตย์อยู่ข้างๆตลอดไป..
From เจ้ย เพื่อนที่สวยที่สุดในห้อง6/1..รักเพื่อนมากๆนะ
2 เม.. 2558

“...โฮย..ทำไมไม่เขียนให้มันดีๆกว่านี้หน่อยเล่า เฟรนด์ชิพนะนี่ เขียนซึ้งๆเป็นมั้ยเนี่ย..”เสียงเอื้อยบ่นมุบมิบเหมือนไม่พอใจ หลังจากที่เธอนั่งอ่านเฟรนด์ชิพหน้าที่ฉันบรรจงเขียนข้อความจากใจแบบเพื่อนสนิทให้เธอในวันสุดท้ายก่อนปิดภาคเรียน...

วันนี้หลังจากที่เราทำกิจกรรมปัจฉิมนิเทศ และทำกิจกรรมกับเพื่อนๆเช่น เซ็นต์เสื้อ ถ่ายรูป ติดสติกเกอร์หัวใจใส่เสื้อ รับของขวัญจากบรรดาน้องๆแฟนคลับรวมถึงจากเพื่อนๆคนอื่นๆกันเสร็จแล้ว เราสองคนก็หอบข้าวของพะรุงพะรังมานั่งเขียนและนั่งอ่านเฟรนด์ชิพของเราต่อที่ลานม้านั่งที่ประจำของเรากัน...

คิ้วขมวดออกดุ ช่างขัดกับใบหน้าหวานตาโตๆของเด็กสาวในชุดนักเรียนม.ปลายท่าทางเรียบร้อยสวยสง่าอย่างเอื้อยนัก อารมณ์ขัดใจเมื่อเธอได้อ่านข้อความที่เธอคาดหวังว่ามันจะหวานซึ้งอย่างคนรักทั่วไปทำเธอออกอาการกระฟัดกระเฟียดเล็กๆทันที ฉันอมยิ้ม นึกขันท่าทางแสนงอนของคนรักของตัวเอง
“..จะให้เขียนอะไรเล่า ก็เห็นว่าเป็นเฟรนด์ชิพนั่นล่ะก็เลยเขียนอย่างนั้น จะให้สารภาพรักหรือไงกันเดี๋ยวคนเขามาอ่านเจอก็แซวกันอีก...”
คนใจน้อยหน้ามุ่ยเมื่อได้ยินคำแก้ตัว เธอมองหน้าฉันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะก้มลงค้นหาอะไรในกระเป๋าตัวเองขึ้นมาส่งให้....
ว่าแล้วว่าต้องเขียนแบบนี้ก็เลยเตรียมนี่มาให้เขียนโดยเฉพาะ เอ้านี่..เขียนความในใจลงไปให้ด้วย เขียนดีๆซึ้งๆด้วยจะเก็บไว้อ่านคนเดียว..”
ฉันหยิบขึ้นมาดูเป็นสมุดไดอารี่สีเขียวปกแข็งๆเล่มหนาๆเล่มหนึ่ง เปิดดูด้านในได้สองสามแผ่นแต่ยังไม่อ่านอะไรก็โดนเอื้อยแย่งไปจากมือไปเสียก่อน
ห้ามเปิดอ่านสิ” เอื้อยหน้าแดงตอนที่แย่งคืนไปได้ เธอพลิกกระดาษหาหน้าที่จะให้ฉันเขียนอยู่ครู่หนึ่งแล้วจิ้มนิ้วจึกๆตอนส่งมา... “เขียนหน้านี้นะ เขียนแต่หน้านี้เท่านั้น..ห้ามเปิดอ่านหน้าอื่น..”
ฉันเลิ่กคิ้วรับคำ ยื่นมือรับไดอารี่มาเขียนยุกยิกอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้ามอง ตอนนี้คนสวยก็แอบเหล่มองดูว่าฉันจะเขียนอะไรลงไปให้เธอบ้างเหมือนกันห้ามมองสิ ไม่งั้นจะไม่ซึ้งนะ”
รู้แล้วน่า..” เอื้อยว่า เธอยักคิ้วแล้วทำทีหันหลัง กระทั่งฉันเขียนเสร็จแล้วแอบเปิดดูอีกครั้ง เธอจึงรีบหันกลับมาดึงไดอารี่กลับไปกอดไว้ทันทีที่ได้ยินแค่เสียงเปิดกระดาษเบาๆ...
บอกว่าห้ามอ่านไงเล่า!! ขี้โกงนี่!!”
ก็ไม่ได้อ่าน ยังไม่ทันได้อ่านเลยเอื้อยเห็นซะก่อนไง หูดีชะมัดเลย” คนสวยยื่นมือมาตบแป๊ะทันทีที่ได้ยินเสียงทะเล้นแกล้งต่อปากต่อคำ เธอก้มลงมองดูไดอารี่เล่มนั้นอยู่ครู่นึงก่อนจะพยายามเปิดหน้าที่ฉันเขียนไว้ให้..
ห้ามอ่าน กลับไปอ่านคนเดียวอย่างที่บอกสิ” เอื้อยสะดุ้งทันทีที่ได้ยินฉันว่าคืนบ้าง “รู้แล้วน่า..” เธอทำหน้าเซ็งๆรับคำฉันอย่างเสียไม่ได้ก่อนจะพยายามก้มลงเก็บไดอารี่เล่มนั้นไปในกระเป๋าเหมือนเดิม มองท่าทางทะนุถนอมทำอย่างกับหวงไดอารี่เล่มนั้นหนักหนาก็อดที่จะถามด้วยความสงสัยไม่ได้...
เขียนอะไรในนั้น ท่าทางหวงจังเลย”
ก็ทุกอย่างที่อยากจะเขียน” ฉันเลิ่กคิ้ว นึกแปลกใจเล็กๆที่ได้ยินเอื้อยว่า “ไม่ยักกะรู้ว่าชอบเขียนไดอารี่”
ก็ไม่เชิงชอบเขียนหรอก แค่เขียนมันตลอดเอาไว้จดบันทึกกิจกรรมที่ทำประจำวันทุกวันต่างหาก แม่สอนให้เขียนน่ะ เค้าว่ามันก็ดีนะ เวลาว่างๆเหงาๆก็มานั่งเปิดอ่านบันทึกเก่าๆก็เห็นเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมาในชีวิตแต่ละช่วงเวลานั้น มันก็ทำให้เรารู้จักเอาประสบการณ์พวกนั้นมาวางแผนการใช้ชีวิตได้นะ เรื่องบางเรื่องดีก็ทำให้เรามีกำลังใจในการดำเนินชีวิต เรื่องบางเรื่องไม่ดีพอกลับมาอ่านก็จะรู้สึกเฟลอยากกลับไปแก้ไขเหมือนกัน..”
ฉันพยักหน้าเห็นด้วยกับคำอธิบาย ทั้งขานรับสั้นๆง่ายๆว่า.. “อืม..ก็ดีนะ..”
ดีสิ นี่ยังคิดเวลาที่อ่านไดอารี่เลยนะ ว่าช่วงเวลาไม่ดีที่ผ่านมาหรือเรื่องแย่ๆที่ผ่านมา ถ้ากลับไปแก้ไขหรือลบได้แบบไดอารี่นี่คงจะดีมากๆเลย..”
คำบอกเล่าจากจินตนาการชวนฝันทำให้ฉันหัวเราะด้วยความเอ็นดูเล็กๆ
หัวเราะทำไม คิดว่าไร้สาระล่ะสิ เชอะ..ช่างไม่มีจินตนาการเอาเสียเลย ขนาดจะได้เรียนคณะที่เต็มไปด้วยจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ขนาดนั้น..”
ก็ไม่ได้ว่า เค้าแค่คิดว่าเราควรจะจริงจังกับปัจจุบันและอนาคตที่กำลังจะมาถึงดีกว่ามั้ยน่ะ”
อ้อเหรอ!! อดีตไม่เคยทำอะไรผิดพลาดเลยสินะ!!” ข้อความกระแนะกระแหนคำพูดที่เต็มไปด้วยอุดมการณ์ของฉัน ทำให้ฉันเผลอสะดุงทันที
ก็..ก็มีอยู่ แต่มันผ่านมาแล้วไง..” ความรู้สึกผิดในอดีตทำฉันแก้ตัวตะกุกตะกัก ใช่สิ..เรื่องที่เคยทำไม่ดีกับคนรักยังอยู่ในใจฉันเสมอ เอื้อยคิ้วขมวด เธอมองอาการแบ่งรับแบ่งสู้ของฉันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยิงคำถามดราม่าประกอบสายตางอนๆให้ฉันครุ่นคิด....
ถ้าย้อนเวลาได้จริง อยากย้อนเวลากลับไปแก้ไขอะไรในชีวิตบ้าง.....”

..ตึ้ง ตึ้ง ตึ้ง ตึ้ง ตึ้ง ตึ้ง

เสียงรัวๆของแอพพิเคชั่นไลน์ในโทรศัพท์ดังแทรกเข้ามาในห้วงความคิดฉัน ฉันสะดุ้งรีบละสายตาจากเฟรนด์ชิพหน้าที่เอื้อยเขียนออกมาหยิบโทรศัพท์ดูทันทีที่ตั้งสติได้
เป็นข้อความจากคนในเฟรนด์ชิพนั่นเอง เธอส่งสติ๊กเกอร์น่ารักๆที่มีความหมายว่าคิดถึงมาให้ฉันรัวๆ ก่อนจะพิมพ์ข้อความมาถามฉันว่า “ตื่นหรือยังคะ
ตื่นแล้วสิ ตื่นตั้งแต่หกโมงครึ่งแล้ว” ฉันพิมพ์ข้อความกลับไปพร้อมๆกับเหลียวมองดูเวลาในโทรศัพท์ ตอนนี้มันแสดงเวลา 8.28 . อืม..ใกล้เวลาแล้วนี่ ฉันคิด ก่อนจะพิมพ์ข้อความบอกลาเอื้อยขอเตรียมตัวไปคณะก่อน...
ฉันเก็บสมุดเฟรนด์ชิพที่หยิบขึ้นมาอ่านรอเวลาลงไปในลิ้นชักโต๊ะทำงาน ทั้งหยิบจัดของบนโต๊ะให้เรียบร้อย เสียงเตือนของสมาร์ทโฟนดังขึ้นอีกครั้ง แต่ตอนนี้เป็นเสียงเตือนบอกปฏิทินนัดหมาย ฉันอ่านข้อความ..“11 มิถุนายน 2558 เวลา 09.00 . ปฐมนิเทศคณะ” ..เตือนก่อนเวลา30นาทีสินะ.. ฉันหยิบโทรศัพท์วางใส่กระเป๋าสะพายข้างหนังสีน้ำตาลแล้วลุกขึ้นเดินไปสำรวจความเรียบร้อยของชุดตัวเองอีกครั้งนึง..
ตอนนี้เงาสะท้อนของกระจกล็อคเกอร์กำลังโชว์ให้เห็นภาพเด็กผู้หญิงตาชั้นครึ่งในชุดนักศึกษาสีขาวใหม่เอี่ยม มีตราสัญลักษณ์แวววาวของมหาวิทยาลัยติดที่อกเสื้อด้านขวา มีตุ้งติ้งสีเงินประดับที่รังดุมปกเสื้อซ้าย ฉันหยิบจับปกเสื้ออีกครั้ง ทั้งก้มลงยัดเสื้อเข้าไปในกระโปรงพลีตสีดำยาวเสมอเข่าตัวเองแล้วเบี่ยงมันให้เข้าที่เข้าทางด้วย โอ..หัวเข็มขัดตรามหาวิทยาลัยที่แสดงถึงความภาคภูมิใจเมื่อได้เข้าศึกษาที่นี่อีก ฉันจัดมันให้หันหน้าตรงทันทีที่คิดได้ถึงความพิเศษของมัน โอเค..สวย ดูดีและเรียบร้อยที่สุดแล้วสำหรับนักศึกษาใหม่... ฉันยิ้ม เงยหน้าขึ้นมาจัดผมที่ปล่อยยาวลงมาให้เข้าทรงต่อ ทั้งพยายามยิ้มหวานตาหยีเพื่อดูว่าทำผมทรงนี้แล้วหน้าฉันจะยังสวยและน่ารักเหมือนเดิมมั้ย..แน่นอนล่ะ..ก็ฉันเคยแต่มัดผมรวบตึงไปโรงเรียนนี่นา ตอนนี้พอเข้าเรียนมหาวิทยาลัยแล้วฉันก็เลยลองเปลี่ยนสไตล์ลองปล่อยผมยาวเหยียดตรงเฉยๆดู แม้จะรู้สึกแปลกตาอยู่บ้าง แต่ฉันว่ามันก็เรียบร้อยเหมาะกับชุดนักศึกษาที่ใส่อยู่ตอนนี้ดี
ใช่..ชุดนักศึกษาเครื่องแบบที่มีเกียรติสำหรับชีวิตมหาวิทยาลัย เพราะวันนี้เป็นวันแรกที่ฉันได้เดินเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยและใช้ชีวิตเป็นนักศึกษาเต็มตัว หลังจากที่สองวันก่อนฉันหน้านั้น ฉันได้เข้ามาอยู่แล้วทำกิจกรรมต่างๆที่ทางมหาวิทยาลัยได้มอบหมายให้นักศึกษาได้ทำให้เรียบร้อยในช่วงก่อนที่จะเริ่มเปิดภาคเรียน เช่น รายงานตัวกับฝ่ายทะเบียน ลงทะเบียนเรียน ลงชื่อเข้าอยู่หอใน ย้ายของเข้าหอ สำรวจอาคารเรียน และอื่นๆที่นักศึกษาปี1อย่างฉันจะต้องทำ ฉันยังจำวันแรกที่พ่อกับแม่จะมาส่งฉันเข้าหอในได้ วันนั้นฉันแอบเห็นแม่น้ำตาคลอตอนที่เดินมาหยิบกระเป๋าจากในห้องช่วยฉัน ตอนนั้นฉันยังแอบแซวแม่เล่นๆเลยว่าจะร้องไห้ทำไมกัน แค่ลูกสาวไปอยู่หอเพื่อเรียนหนังสือเท่านั้นไม่ได้หนีหายตายจากกันไปไหนสักหน่อย แต่พอแม่บอกเหตุผลมา กลายเป็นฉันเสียเองที่ร้องไห้โฮเสียงดังด้วยความสงสารแม่...

“..ก็แม่เหงานี่ ทุกวันแม่ก็รอหนูกลับบ้านมาอยู่เป็นเพื่อนแม่ก่อน แต่ต่อไปนี้แม่ก็ต้องรอแค่พ่อเขาคนเดียวแล้ว...”

เสียงดังก๊อกแก๊กทางฝั่งหน้าต่างห้องดังขึ้นเรียกสติฉันจากภาพน้ำตาซึมของแม่ ฉันละสายตาออกจากกระจกชำเรืองมอง เป็นเสียงจาก “รูมเมท” ของฉันนั่นเอง ตอนนี้เธอที่อยู่ภายใต้ภายห่มคลุมโปรงกำลังพลิกร่างกายหนีแสงแดดยามเช้าที่ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาเพื่อที่จะมานอนหลับต่ออีกฝั่งนึง
โห..นี่ขนาดนอนติดหน้าต่างแล้วแดดก็แยงตาขนาดนั้นยังพยายามฝืนหลับต่อได้อีกน่ะ เหลือเชื่อเลย.. ฉันทั้งคิดทั้งคิ้วขมวดมองเธอต่อ นี่เธอไม่มีเรียนหรือปฐมนิเทศคณะของเธอหรือไงกัน ทำไมสายป่านนี้แล้วยังไม่ตื่นอีกนะ เอ..หรืออาจจะเป็นเพราะว่าเมื่อคืนเธอกลับมาที่ห้องดึกมาก ฉันแอบดูนาฬิกาตอนที่เธอกลับเข้ามาน่าจะประมาณตีหนึ่งจะตีสองได้
คงจะแอบไปปาร์ตี้กับเพื่อนๆมาสินะ ฉันแอบได้กลิ่นแอลกอฮอลล์ของเธอลอยมาเตะจมูกตอนที่เดินผ่านเตียงฉันด้วย แต่ก็คงไม่เป็นไรหรอก เธอคงวางแผนสำหรับการเรียนวันแรกไว้แล้ว ฉันเดาว่าเธออาจจะรู้เวลาเรียนของคณะเธออยู่แล้วเลยไม่กังวล
แต่ฉันนี่สิแม้จะรู้ แต่ความตื่นเต้นมันไม่ได้หายไปไหนจากตัวฉันเลย เมื่อวานตอนกลับมาจากซื้อของ ฉันยังแอบขับมอเตอร์ไซค์ไปดูคณะว่าอยู่ตึกไหน แล้วคาบแรกที่ฉันจะต้องไปปฐมนิเทศคือห้องอะไร ฉันจดมันหรือแม้กระทั่งถ่ายรูปบริเวณหน้าห้องมันไว้ด้วย..
แหงล่ะ..ก็ฉันกลัวหลงนี่นา ฉันยังไม่มีเพื่อนที่พอจะถามไถ่อะไรได้ซักหน่อย
เพื่อนๆที่สนิทก็แยกย้ายกันเข้าเรียนมหาวิทยาลัยที่อื่นบ้าง คณะอื่นบ้าง ไม่มีใครอยู่ใกล้ๆฉันแล้ว...รวมทั้งเอื้อยด้วย...ฉันยิ้มทันทีเมื่อนึกเห็นภาพคนที่ฉันรัก ตอนนี้ไม่แน่เอื้อยก็คงกำลังรีบเร่งแต่งตัวเพื่อไปเรียนวันแรกเหมือนกัน
เฮ้อ..นี่คงเป็นวันแรกสินะที่เราต่างคนต่างเดินไปตามทาง ตามจุดหมายปลายทางตัวเอง ฉันคง..ไม่ได้ไปรับเขาไปเรียนเหมือนตอน ม.6แล้ว อืม..นึกถึงภาพเก่าๆขึ้นมาแล้วก็ให้ความรู้สึกเหงา แต่มันก็จำเป็นนี่นาทำไงได้ ในเมื่อนี่คือการเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกก้าวหนึ่งของเรา ฉันและเอื้อยจำเป็นจะต้องทำเพื่ออนาคต บางทีชีวิตรักของเราอาจจะสดชื่นขึ้นมาอีกนิดก็ได้ถ้าเรามีที่ว่างระหว่างกันและกันอย่างนี้...ฉันยิ้มก้มลงมองสร้อยคอจี้ปลาโลมาเส้นที่ฉันใส่ประจำเพื่อปลอบใจตัวเอง ก่อนจะหันมาปิดล็อคลอคเกอร์แล้วหยิบกระเป๋าเดินออกจากห้องไป...
//////////////////////////////////////////
ฉันยิ้มทักทายพี่หอผู้หญิงสองคนที่นั่งอยู่ในห้องสำนักงานหอพักชั้นแรกของหอ ตรงห้องนั้นด้านหน้าจะเป็นเคาน์เตอร์สำหรับติดต่อสอบถามและแจ้งปัญหาต่างๆ ที่เด็กปีหนึ่งอย่างฉันต้องเคยเดินเข้าไปถามเรื่องใดเรื่องหนึ่งบ้างแล้ว เลยจากเคาน์เตอร์ไปหน่อยประมาณ2-3เมตรจะเป็นประตูคีย์การ์ดเอาไว้สำหรับรักษาความปลอดภัยและบันทึกข้อมูลเวลาเข้าออกหอพัก เด็กๆที่อยู่ในหอทุกคนจะต้องเอาบัตรประจำตัวมาสแกนอยู่จุดนี้เพื่อลงบันทึกเวลาการเข้าออกต่างๆไว้ แม้ก่อนที่ฉันจะมาอยู่จะแอบบ่นว่ามันจุกจิกยุ่งยากวุ่นวาย แต่พอได้เข้ามาอยู่จริงๆในหอในที่มีแต่ผู้หญิงอาศัยอยู่ด้วยกันล้วนๆอย่างนี้แล้ว แค่การควบคุมคนเข้าออกด้วยการแสกนบัตรหรือแม้แต่ลงชื่อผู้เข้าเยี่ยมหอทุกๆครั้งทุกๆคนที่มา มันก็ทำให้ฉันรู้สึกอุ่นใจได้มากขึ้นทีเดียว ทำไงได้..ตอนนี้ฉันมาอยู่ต่างที่ต่างทาง มันไม่ใช่บ้านที่จะมีพ่อหรือแม่คอยดูแลความปลอดภัยทุกอย่างให้ แม้ที่นี่จะมีพี่หอ มีน้ายาม แต่อันตรายต่างๆมันย่อมแฝงอยู่รอบๆตัวเราเสมอ โดยเฉพาะผู้หญิงตัวเล็กๆที่บทจะมีภัยอันตรายอะไรเกิดกับตัวจริงๆแล้วก็ไม่สามารถจะช่วยเหลือตัวเองอะไรได้เลย การรักษาความปลอดภัยที่ค่อนข้างจะเข้มงวดและจุกจิกของหอในนี้จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่พ่อกับแม่ฉันยอมให้ฉันมาอยู่ทั้งๆที่บ้านกับมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้ไกลกันเท่าไหร่...
ในตอนแรกที่ฉันขอมาอยู่หอ พ่อกับแม่ตั้งท่าจะไม่ยอม แต่พอได้ฟังฉันอธิบายว่าคณะที่ฉันเรียนอยู่กิจกรรมค่อนข้างเยอะและมีงานที่ได้ทำส่งตลอด บางทีก็ดึก บางทีก็ไม่ได้นอน การเทียวไปเทียวมาจากบ้านมามหาวิทยาลัยอย่างนั้นคงไม่สะดวกแน่ กอรปกับฉันเผลอยกตัวอย่างเรื่องที่ฉันเคยโดนโจรบ้ากามถีบรถด้วย พ่อกับแม่ก็เลยยอมอนุญาติให้มาอยู่ ฉันยังจำสายตาห่วงหาอาทรที่พ่อมองฉันเมื่อวันที่ท่านอนุญาติมาอยู่ได้...
ดูแลตัวเองนะเจ้ย พ่อรู้ว่าวันนึงยังไงหนูก็ต้องออกจากพ่อแม่ไปใช้ชีวิตของตัวเอง แต่ถ้าเป็นไปได้ในช่วงที่พ่อยังมีโอกาสดูแลหนูอย่างนี้ พ่อกับแม่ก็อยากดูแลหนูให้ดีให้ปลอดภัยที่สุด แต่ถ้ามันจำเป็นแล้วเจ้ยก็ต้องใช้ความรู้ความสามารถตัวเองในการเอาตัวรอด รวมถึงดูแลรักษาสุขภาพตัวเองด้วยเข้าใจมั้ย อย่าทำให้พ่อกับแม่ผิดหวังนะ..” พ่อหยุดพูดแล้วจ้องมองมาที่ฉัน แต่ตอนนี้จากแววตาซึ้งๆก่อนหน้านั้น อยู่ๆก็กลายเป็นตาเขม็ง ทั้งเก๊กเสียงดุๆวางฟอร์มข่มขู่ฉันเหมือนที่พ่อชอบทำทุกครั้งเวลาที่ฉันจะทำอะไรที่ท่านห่วง...
“..อย่าให้พ่อเห็นนะว่าออกไปอยู่หอนอกกับไอ้หนุ่มคนไหน นี่เรียนๆไปแล้วคงไม่พาผู้ชายกลับมาไหว้พ่อที่บ้านหรอกนะ..” ฉันร้องห๊ะคิ้วขมวดอ้าปากหวอ พอๆกับแม่ที่นั่งหัวเราะรั่วแล้วแอบหันไปตีแขนพ่อทันทีที่ได้ยินมุกหวงลูกสาวของพ่อเข้า
พ่อนี่ก็..พูดเป็นลาง เผื่อลูกมันพาจริงๆจะทำยังไง” พ่อฟังแม่แล้วหันมาเหล่ตายักคิ้วมองฉัน ท่านเก๊กเสียงเข้มๆข่มขู่ฉันอีกครั้งว่า.. “ก็ลองดู พ่อก็อยากรู้เหมือนกันว่าเจ้าเจ้ยมันจะหลบสายตาของพ่อได้มั้ย พ่อจะไปแอบดูลูกมันตลอด ถ้าแอบทำอะไรที่มันไม่ดีล่ะก็..”พ่อยกนิ้วชี้ขึ้นมาถูเนินปากก่อนจะยกนิ้วข้างเดิมขึ้นมาทำท่ายิงปืนไปข้างหน้าแล้วขยับปากดังโป้ง..
เจ้ยกับไอ้หนุ่มคนนั้นได้เห็นดีแน่ๆ หึ..ต้องรีบไว้หนวดซะแล้วได้ข่าวว่าคณะที่เราเรียนส่วนมากมีแต่ผู้ชายด้วยใช่มั้ย” ใบหน้าดุเอาเรื่อง คิ้วขมวดเสียงเข้ม ดวงตาชั้นเดียวจ้องเขม็งข่มขู่ แต่ฉันมองหน้าดูท่าทางทุกอย่างของพ่อแล้ว ทำไมดูมันตลกๆขำๆอย่างไรไม่รู้
โธ่พ่อ คณะนี้ผู้หญิงก็มีเยอะ พ่อนี่ก็พูดเอาฮาใช่มั้ย เผื่อวันนึงคนที่เจ้ยพาเข้าบ้านจริงๆไม่ใช่ผู้ชายจะทำไง อุ๊ย...”ฉันชะงักทันทีที่เผลอต่อล้อต่อเถียงพ่อแต่กลายเป็นหลุดปากพูดความจริงบางเรื่อง ที่ฉันยังไม่กล้าแม้แต่จะบอกใครสักคนออกไป..
พ่อก็ชะงัก ตอนนี้ทั้งพ่อและแม่ต่างพากันหันมามองฉันแล้วหยุดรอฟังว่าที่ฉันพูดไปเมื่อกี้นั่นคืออะไรยังไง..
เอ่อ..หมายถึงเจ้ยไม่พาผู้ชายเข้าบ้านแล้วก็ไม่พาใครเข้าบ้านเลยไง คือเผื่อเจ้ยอยากอยู่เป็นโสดคนเดียวไปจนตายเลยพ่อจะว่ายังไง..” ทั้งสองขำทันทีที่ได้ยินคำแก้ตัวจากฉัน..
โฮะ ให้มันแน่เถอะ ถ้าแกจะกล้าขึ้นคานได้ขนาดนั้นพ่อก็แล้วแต่แกเลยก็แล้วกัน เอ..นี่แกคงไม่ได้ทำอะไรผิดแปลกจนถึงขั้นพ่อกับแม่ต้องนอนไม่หลับที่ได้รู้หรอกใช่มั้ย...”

ฉันยิ้มและหัวเราะเบาๆเมื่อนึกถึงภาพใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยของพ่อในวันนั้น ยังไงซะพ่อก็คือพ่อและแม่ก็คือแม่ สิ่งต่างๆที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของลูกที่เป็นดังแก้วตาดวงใจของท่านทั้งสองแล้ว ท่านย่อมวางใจง่ายๆไม่ได้
ถ้าท่านทั้งสองไม่ห่วงฉันเลยนี่สิแปลก..ฉันยิ้มก่อนจะหยุดหยิบเอาคีย์การ์ดของตัวเองมาสแกนแล้วรีบเดินออกไปที่โรงจอดรถมอเตอร์ไซค์หน้าหอด้วยความอารมณ์ดี

มีนักศึกษาหญิง4-5คนกำลังเดินนำหน้าฉันเข้าไปในโรงจอดรถด้วยอาการเร่งรีบ บางคนก็หยุดยืนรอเพื่อนอยู่ด้านหน้า ฉันมองเข้าไปในโรงจอดรถตอนนี้มีนักศึกษาหญิง2-3คนกำลังไขกุญแจรถเพื่อจะนำเอารถออกไปเรียนเหมือนๆกับฉัน หนึ่งในนั้นหันมายิ้มให้ฉัน เดาว่าเขาน่าจะอยู่ปี1เหมือนกันเพราะสีเสื้อนักศึกษาที่เขาใส่นั้นขาวใสและใหม่มาก ฉันยิ้มตอบเขา ก่อนจะเดินหารถรถสี่จังหวะสีดำแดงคันเก่งของตัวเอง แล้วนำมันออกมาเพื่อที่จะออกเดินทางไป...

แต่เมื่อฉันจูงรถมาอยู่เกือบๆกลางถนนหน้าหอเพื่อจะสตาร์ท กลายเป็นว่ารถเจ้ากรรมดันสตาร์ทไม่ติด ฉันพยายามสตาร์ทเครื่องอยู่เกือบๆจะสิบนาทีก็ยังสตาร์ทไม่ได้ ตอนนี้ฉันเริ่มเอะใจว่าต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับรถของฉันแน่นอน...

เฮ้ย เป็นอะไรอีกแล้วนี่..” ฉันบ่นมุบมิบๆตอนที่เอาขาตั้งรถลงแล้วยืนท้าวสะเอวจ้องมองไปที่รถ
..ทำไมสตาร์ทไม่ติดเลยอ่ะ รถก็ไม่เป็นอะไรนี่ ก่อนมาอยู่หอก็เอารถไปเช็คอยู่มันก็โอเคอยู่นี่นา เอ..หรือว่า..น้ำมันหมด...ฉันรีบเปิดถังน้ำมันรถดูทันทีที่นึกได้...
ภายในถังแสดงให้เห็นเงามืดๆโล่งๆ แม้พยายามประครองรถให้เอียงซ้ายเอียงขวาเพื่อที่จะดูเงาสะท้อนของน้ำมันในนั้นแต่ก็ไม่เห็นเลยว่าภายในนั้นจะมีของเหลวอยู่เลย..
ฮืม..ทำไมรถไม่มีน้ำมันล่ะ ก็ฉันพึ่งเติมน้ำมันเต็มถังเมื่อตอนบ่ายเมื่อวานก่อนเข้าหอนี่เอง ฉันคิ้วขมวดพยายามสำรวจไปทั่วๆรถด้วยความสงสัย จนมองไปที่พื้นถนนเมื่อเริ่มคิดได้ว่าบางทีน้ำมันอาจจะรั่วลงพื้นก็ได้แต่ก็กลายเป็นไม่มีรอยสกปรกของคราบน้ำมันรถอยู่เลย ฉันละสายตาจากพื้นถนนขึ้นมามองช่วงล่างของรถตัวเอง ตอนนี้กลายเป็นมีสิ่งผิดปกติบางอย่างจนฉันต้องรีบนั่งยองๆเพื่อก้มดูมันใกล้ๆทันที
เอ.. สายเล็กๆที่เป็นเหมือนท่ออะไรสักอย่างที่อยู่ตรงเครื่องยนต์ด้านล่างทำไมมันห้อยโตงเตงเหมือนมีคนมาดึงออกอย่างนี้ล่ะ ก้มลงไปมองใกล้ๆตรงปลายสายเหมือนมีคราบน้ำมันติดอยู่ด้วยแม้จะแห้งไปแล้วก็ตาม
เดี๋ยวนะ..คุ้นๆว่าฉันเคยได้ยินเอกเล่าให้ฟังเรื่องที่ว่ารถมอเตอร์ไซค์ของเค้าเคยโดนขโมยน้ำมันด้วย จำได้ว่าเจ้าหัวขโมยมันจะมาดึงท่อแถวๆนี้ออกแล้วน้ำมันมันก็จะไหลออกมาโดยที่ไม่ต้องเปิดเบาะรถเลย ได้ยินว่ามันเรียกว่าคาร์บูหรืออะไรสักอย่างนี่ล่ะ
นี่อย่าบอกนะว่าฉันโดนขโมยน้ำมันเนี่ย อะไรกันพึ่งมาอยู่แค่วันสองวันเอง แถมยังจอดรถรวมๆไว้กับคันอื่นๆอีกตั้งเยอะ ทำไมมันต้องมาเลือกขโมยรถของฉันด้วยล่ะ โอ้ย...บ้าชะมัดเลยแล้วนี่ฉันจะไปคณะยังไงนี่ วันนี้ปฐมนิเทศคาบแรกเสียด้วย ฉันทั้งคิดทั้งยื่นมือไปตบรถมอเตอร์ไซค์ตัวเองด้วยความเจ็บใจ
แล้วนี่ฉันจะไปคณะยังไง ต้องเดินไปเหรอ แล้วรถมอเตอร์ไซค์ฉันล่ะ ฉันจะเอามันไปเติมน้ำมันยังไง หรือฉันจะต้องให้ใครพาไปซื้อน้ำมันมาเติมรถก่อน ฉันทั้งคิดทั้งกังวลด้วยความหัวเสียกระทั่งได้ยินเสียงแตรรถยนต์ดังปี๊บๆเบาๆสองสามครั้งอยู่ใกล้ๆตัวฉัน..
ฉันเอี้ยวตัวหันไปมองข้างหลัง เป็นรถยนต์ใหม่เอี่ยมสีแดงแต่หลังคาสีขาว มันเป็นรถคันเล็กๆเตี้ยๆที่มีหลอดไฟกลมๆโตๆ ฉันแอบชำเรืองมองไปที่ทะเบียนป้ายแดงจนถึงหน้ากระจังรถก็เห็นเป็นโลโก้รูปปีกทรงตรงเล็กๆสองข้างที่ตรงกลางมีคำว่า MINIสีเงินติดอยู่ในวงกลมโลโก้นั้นด้วย รถมินินี่นา..ฉันคิดออกทันทีที่เห็นโลโก้มัน ตอนนี้รถคันนี้ขับมาจ่อข้างหลังรถฉัน นี่เขาคงจะว่าฉันจอดรถขวางทางเขาหรือไงกันถึงส่งเสียงสัญญาณขอทางให้ฉันหลบรถให้อีก ฉันลุกขึ้นหันไปมองกระจกรถที่ติดฟิล์มกรองแสงมืดๆทึบๆมองไม่เห็นอะไรในนั้น ก่อนจะพยายามเคลื่อนรถตัวเองหลบจากทางให้...
ตอนนี้พอฉันเคลื่อนรถมาเกือบจะชิดฟุตบาตแล้วนั่งยองๆเพื่อเอาสายคาร์บูดันเข้าไปในเครื่องยนต์อีกครั้ง กลายเป็นว่าแทนที่เจ้ารถเตี้ยๆคันนั้นจะเคลื่อนหนีฉันไป มันดันเคลื่อนตามฉันเข้ามาใกล้ๆแถมยังบีบแตรรถใส่ฉันซ้ำๆอีก
แม้เสียงแตรรถจะไม่ได้ดังอะไรมากมาย แต่การขับรถมาจ่อก้นแล้วบีบแตรทำท่าเหมือนจะไล่ฉันให้พ้นทางอีกทั้งๆที่ทางเดินรถก็มีเหลือตั้งเยอะแยะ ก็เริ่มทำให้ฉันหงุดหงิดจนต้องลุกขึ้นหันไปมองหาเจ้าของรถที่ไม่มีมารยาทอย่างนี้
ตอนนี้เมื่อฉันลุกขึ้นยืน รถคันนั้นก็ค่อยๆเคลื่อนที่มาจอดขนาบข้างฉัน ฉันคิ้วขมวดมองไปที่กระจกประตูรถมืดๆทึบๆด้านข้างพยายามมองผ่านกระจกที่กำลังเลื่อนลง ภาพข้างในรถตอนนี้ก็ทำให้ฉันยืนเหวอค้างทันทีที่เห็นว่าใครคือคนขับรถคันนั้น...
“...รถเป็นอะไรคะ..คนสวย”
“..เอื้อย????...”

//////////////////////////////////////////////////

“...อย่างนี้ก็แย่น่ะสิ อันตรายนะนี่มาอยู่หอไม่กี่วันรถก็โดนขโมยน้ำมันแล้ว”
เสียงที่ฟังดูเป็นห่วงเป็นใยของเอื้อยดังขึ้นตอนที่เธอยื่นผ้าเช็ดหน้าค่อยๆมาซับเหงื่อบนใบหน้าฉัน ตอนที่เธอได้คำตอบเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับรถฉัน หลังจากที่ฉันเข้ามานั่งในรถกับเธอแล้ว
ก่อนหน้านั้น หลังจากที่เอื้อยเห็นฉันยืนอึ้งประหลาดใจที่เห็นว่าเธออยู่ในรถยนต์คันนั้นได้อย่างไร เอื้อยก็รีบตะโกนเรียกสติให้ฉันรีบจอดรถเอาไว้ แล้วรีบขึ้นรถไปกับเธอเพื่อที่เธอจะได้ไปส่งฉันที่คณะ...
“..แล้วดูสินี่ หน้าเลอะเหงื่อหมดแล้ว วันนี้ปฐมนิเทศคณะไม่ใช่เหรอ เข้าคณะสภาพแย่ๆอย่างนี้เดี๋ยวก็โดนอาจารย์แซวแย่หรอก” คนสวยทั้งพูดทั้งเช็ดหน้าก่อนจะก้มลงหาตลับแป้งพับในกระเป๋าของเธอยื่นมาทำท่าจะโป๊ะแป้งให้ฉันอีก
อืม..ก็ช่วยไม่ได้นี่นามันก็สตาร์ทไม่ติดนี่ เค้าก็ไม่รู้จะแก้ปัญหายังไง ดีนะที่เอื้อยผ่านมาเจอก่อน” ฉันยิ้มหวานส่งสายตาขอบคุณ ทั้งยื่นมือไปสัมผัสแก้มเนื้อนุ่ม ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้...
แล้วนี่..รถใครอะไรยังไง ทำไมเอื้อยถึงมาขับได้ล่ะ”
ก็รถเค้าสิ เค้าขับ มันก็ต้องเป็นรถเค้าสิจะเป็นรถใครไปได้เล่า” ฉันเหล่ตามองค้อนเจ้าของคำตอบยียวนกวนประสาท อารมณ์โรแมนติกถูกตัดฉับ จากที่ลูบแก้มวนเบาๆด้วยความรัก กลายเป็นหยิกแก้มหยอกเธอด้วยความหมั่นไส้ทันที คนสวยตาเล็กตาน้อย ทำเป็นถูแก้มด้วยความเจ็บทั้งร้องอูยเบาๆ...
กวนอีกแล้ว พูดดีๆสิ รถเอื้อย แล้วเอื้อยไปออกมาตอนไหนทำไมเค้าไม่เห็นรู้เรื่องเลย”
โอ้ย ก็เค้าอยากเซอร์ไพรส์เจ้ยไงเค้าถึงไม่ได้บอก แม่ออกให้เค้าตั้งแต่ช่วงปิดเทอมแล้ว..”
ห๊ะ..จริงเหรอ ดีจังเลย แม่เอื้อยใจดีจังเลย ออกรถยนต์ให้ลูกสาวขับแถมยังเป็นรถมินิด้วยอ่ะ อิจฉาอ่ะ” อารมณ์ตื่นเต้นทำฉันตาโตที่ได้ฟังคำตอบ ก่อนจะแกล้งทำตาเล็กตาน้อยมองเธอด้วยความอิจฉา คนสวยเลิ่กคิ้ว เธอยิ้มกว้างก่อนจะยื่นมือมาจับแก้มฉันด้วยความเอ็นดู..
อิจฉาทำไมกัน รถเค้าก็เหมือนรถเจ้ยนั่นแหละ อยากขับมั้ย ขับเป็นหรือเปล่า ถ้าอยากขับบอกเค้าได้นะ เค้าจะพาไปขับ หรืออยากไปไหนมาไหนยังไงก็บอกเค้า เค้าจะพาเจ้ยไปเอง...” ได้ยินคำหวานเอาอกเอาใจจากหญิงสาวคนตรงหน้าแล้วก็ปลื้มใจ ไม่รู้ว่าจะตอบแทนความหวังดีจากเธอยังไงนอกจากจุมพิตที่ฉันยื่นไปมอบให้เธอหลังจากนี้ คนสวยยิ้มหวานตาเคลิ้ม เธอมองฉันอย่างอายๆตอนที่ฉันละใบหน้าออกมามองเธอแล้ว..
ดีจังเลยน่ะ.. ใจป้ำอีกแล้ว ป๋าเอื้อยจัดให้อีกแล้ว นี่จะยอมเป็นสารถีให้เค้าขนาดนั้นเลยเหรอคะ..”
ใช่สิ เค้าตั้งใจจะมารับเจ้ยทุกวันเลยนะถ้าเป็นไปได้ เค้าอยากดูแลเจ้ยบ้าง ตอบแทนที่เจ้ยก็เคยไปรับไปส่งเค้าไปเรียนทุกวันนั่นไง....”เอื้อยพูดไปยิ้มไป รอยยิ้มละมุนมองดูอบอุ่น ช่วยส่งเสริมประโยคห่วงใยที่เธอเอ่ยมาก่อนหน้านั้นได้เป็นอย่างดี ตอนนี้จากที่ฉันยิ้มหวานตาหยีเพราะดีใจที่เห็นเอื้อยเอาใจอยู่แล้ว ยิ่งกลายเป็นฉีกยิ้มปากกว้างจนเกือบจะหุบไม่ได้เข้าไปใหญ่ ฉันดีใจจริงๆที่คนที่ฉันรักเขายังเป็นคนดีสม่ำเสมอไม่เปลี่ยนแปลงเลย..

เอื้อยเป็นคนน่ารัก เธอเป็นคนที่เหมาะกับคำว่า“คนดี”และ“เพรียบพร้อม”ที่สุด ฉันมองดูใบหน้าของคนที่ฉันรัก ดวงตาสีดำขลับกลมโตที่กำลังส่องประกายฉายแววไร้เดียงสาตลอด มองดูอ่อนโยนอ่อนหวาน ให้ความรู้สึกชวนยิ้มตามทุกครั้งที่จ้องมอง รวมถึงคิ้วโค้งสวยเข้มๆที่กำลังขยับขึ้นลงตามตามรอยยิ้มจากปากกระจับสีชมพูสวยนั่นอีก โอ้..องค์ประกอบทุกอย่างถูกจัดวางบนใบหน้าเรียวสวยได้รูปอย่างไม่มีที่ติเลย ใช่...คำว่าสวยไม่มีที่ติฟังดูแล้วไม่เกินไปสำหรับเอื้อยเลย..

ยิ่งดูวันนี้ วันที่เธอเริ่มใช้ชีวิตนักศึกษาวันแรก ฉันมองดูเอื้อยในชุดฟอร์มที่ดูแปลกตา เธอใส่เสื้อนักศึกษาสีขาวและกระโปรงพลีทสีดำสั้นเสมอเข่า แม้ฉันจะไม่ได้เห็นเธอเต็มๆตัวเพราะว่าเธอนั่งอยู่บนเบาะรถยนต์ แต่แค่ฉันมองเพียงท่อนบนก็รู้แล้วว่าเอื้อยแต่งตัวสวยเรียบร้อยขนาดไหน เธอให้เกียรติเครื่องแบบและเหมาะสมกับคำว่านักศึกษาดีเหลือเกิน ส่วนทรงผมหญิงสาวก็ไม่ได้ทำอะไรมาก เธอแค่ปล่อยผมยาวหยักศกสีดำสนิทลงมาแล้วปัดผมทั้งหมดไปทางไหล่ซ้ายเผยให้เห็นลำคอขาวๆเนียนๆแค่นั้นเอง เอ..ทั้งๆที่เอื้อยก็แต่งตัวดูดีดูเรียบร้อย แต่ทำไมฉันมองแล้วกลับรู้สึกว่าใจมันสั่นๆพิกลนะ
แม้เอื้อยจะไม่ได้แต่งหน้าอะไรมามากมาย แต่รอยยิ้มจากปากสีชมพูระเรื่อบนใบหน้าขาวๆเนียนๆตอนนี้กลับให้ความรู้สึกสวยเซ็กซี่ทันทีที่เธอเอียงคอแล้วรวบผมทั้งหมดย้ายไปอีกฝั่ง จนฉันเผลอมองตามลำคอเอื้อยเรื่อยลงมาจนถึงร่องกระดุมเสื้อนักศึกษา ยิ่งเอื้อยเห็นฉันนั่งจ้องมองเธอเหมือนอยู่ในภวังค์ เธอก็ยิ่งแกล้งโน้มหน้าเข้ามาใกล้ๆให้ฉันได้กลิ่นน้ำหอมกลิ่นจางๆแถวๆซอกคอเธอเข้าไปอีก..โอ้ยยยย..ให้ตายเถอะอย่าพึ่งมาคิดอะไรตอนนี้ได้มั้ยเจ้ย.. แกจะต้องไปเรียนอยู่นะ ฉันสะบัดหัวแล้วดันเอื้อยออกไปยังตำแหน่งคนขับเหมือนเดิม

เอ่อๆ..เอื้อยรีบไปส่งเค้าทีนะ เดี๋ยวสาย เดี๋ยวเค้าเข้าปฐมนิเทศไม่ทัน” เอื้อยหัวเราะ เธออมยิ้มมองฉันอย่างขำๆก่อนจะพยักหน้ารับแล้วพาฉันไปส่งคณะทันที...

/////////////////////////////////////////////////////

ตึกนี่ใช่มั้ยคณะที่เจ้ยเรียน..” เป็นเสียงของเอื้อยที่ถามฉันหลังจากที่รถเคลื่อนที่มาจอดอยู่ฟุตบาตถนนฝั่งตรงกันข้ามของอาคารๆหนึ่ง...
ใช่..” ฉันพยักหน้ารับมองดูเธอยิ้มแล้วชะโงกมองดูส่วนต่างๆของอาคารนั้นต่อ
โอ้โห เป็นอาคารที่ออกแบบสวยมากเลยนะ รูปทรงอาคารก็ดูแปลกตาดูทันสมัยดี สมแล้วที่เป็นตึกของคณะสถาปัตย์น่ะ” หญิงสาวหันมายิ้มสวยตอนที่เธอบอกกล่าวลักษณะที่เธอเห็นภายนอกของอาคารคณะฉัน..
ใช่...มันเป็นอาคารที่ถูกออกแบบอย่างสวยงามด้วยพื้นผิววัสดุที่แตกต่างหลากหลาย ทั้งปูนเปลือย ทั้งอิฐแดง ทั้งกระจกหลากหลายสี ทั้งโครงสร้างแปลกๆของหลังคาแฟลตสแลปคอนกรีตขนาดใหญ่ด้านหน้าอาคาร ที่ยื่นออกมายาวๆได้โดยที่ไม่มีเสาใดๆรองรับน้ำหนักเลย เแสดงให้เห็นถึงการคิดวิเคราะห์และออกแบบ ทั้งคำนวณโครงสร้างของอาคารในแบบฉบับที่สถาปนิกควรจะเป็น...
ใช่..ที่นี่คือคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ คณะที่สร้างสรรค์สถาปนิกนักคิดนักออกแบบออกมาสู่ธุรกิจและอุตสาหกรรมงานก่อสร้าง รวมทั้งงานออกแบบผลิตภัณฑ์ งานศิลป์สร้างสรรค์อีกหลากหลายประเภทที่สามารถแตกแขนงออกไปได้อีกเมื่อเราจบออกไปทำงานกันแล้ว ฉันยิ้มด้วยความภูมิใจทันทีที่อ่านป้ายอักษรโลหะสีเงินขนาดใหญ่ที่ตั้งตะหง่านอยู่หน้าคณะ

ฉันยังจำตอนที่นั่งคุยกับเอื้อยเรื่องมหาวิทยาลัยและคณะที่อยากเรียนตอน ม.6ได้ ตอนนั้นเรานั่งหาข้อมูลของคณะและมหาวิทยาลัยที่เราอยากเรียนจากอินเตอร์เน็ตตรงลานม้านั่งที่เรานั่งประจำ.....

อืม..ก็ว่าจะลองยื่นคะแนนที่มหาวิทยาลัยจังหวัดเราดูนะ เค้าอยากเรียนสถาปัตย์น่ะ คณะสถาปัตย์ที่ ม.จังหวัดเราน่ะดีนะ ขึ้นชื่อว่าหลักสูตรดีและนักศึกษาก็เก่งติดอันดับต้นๆของประเทศเลย”เป็นฉันที่ตอบคำถามเอื้อยออกไปก่อนตอนที่เธอลองเรียบๆเคียงๆถามถึงที่เรียนของฉัน..
เจ้ยอยากเรียนถาปัตย์เหรอ” เอื้อยตาโตทำเสียงตื่นเต้นทันทีที่ได้ยินคำตอบ.. “ใช่สินะ ก็เจ้ยวาดรูปเก่งนี่นาต้องได้วิชาความถนัดพื้นฐานอยู่แล้ว แถมพวกวิชาคำนวนต่างๆเจ้ยก็เก่งติดท๊อปของห้องอีกน่ะ อย่างนี้สอบยังไงๆก็ต้องได้อยู่แล้วล่ะ” เธอว่าพลางยิ้มเล็กยิ้มน้อยมองฉัน “เอ..เป็นสาวถาปัตย์ เรียนออกแบบเขียนแบบใช่มั้ย เค้าเห็นพี่ที่เคยจบม.6ไปแล้วไปเรียนถาปัตย์กลับมาเยี่ยมโรงเรียนแล้วทำตัวเซอร์ๆหัวฟูๆท่าทางเหมือนคนไม่ค่อยอาบน้ำ..หวังว่าเจ้ยคงไม่เป็นอย่างนั้นใช่มั้ย..” เธอยิ้มหวานหัวเราะคิกๆคักๆตอนที่แซวฉัน
บ้าสิ มันแล้วแต่คนมั้ง เค้าคงไม่ถึงขั้นไม่อาบน้ำหรอก”
จริ๊งงง..” เอื้อยยังยิ้มน้อยมองฉันอยู่ เธอลากเสียงสูงถามคำถามนั้นค้างไว้ก่อนจะแซวต่อ “ไม่ค่อยอาบน้ำก็ไม่เป็นไรนะเค้าไม่ว่าหรอก แต่อย่าเซอร์ถึงขั้นทำตัวเป็นสาวหล่อนะ เค้าคงทนไม่ได้ถ้าเห็นคนสวยของเค้าต้องเปลี่ยนไปอย่างนั้นน่ะ..เค้าชอบเจ้ยที่เป็นเจ้ยแบบนี้...” คนสวยทำตาเล็กตาน้อยออดอ้อนฉัน ทั้งยื่นมือมาปัดผมม้าด้านของฉันไปมาตอนที่พูด
“..รู้แล้วน่า พูดประโยคนี้มาเกือบจะร้อยรอบแล้วมั้ง พูดอยู่ได้ว่าชอบแบบนี้ๆน่ะ เค้าก็จะเป็นแบบนี้ไปตลอดล่ะไม่เปลี่ยนไปไหนหรอกค่ะ มันไม่ใช่แนว” ฉันจีบปากจีบคอยืนยัน ก่อนจะถามคำถามเดียวกันกลับไปบ้าง
แล้ว..เอื้อยล่ะ เล็งคณะไหนมหาวิทยาลัยไหนไว้บ้าง”
อืม..เค้าเหรอ ให้ทาย..เจ้ยคิดว่าเค้าอยากเรียนอะไร”
เอื้อยเหรอ อืม..คนเรียบร้อย ใจดีท่าทางจริงจังซีเรียสกับสิ่งต่างๆที่ทำเสมออย่างนี้น่ะ ต้องอยากเรียนครูแน่ๆเลย ครุศาสตร์ใช่มั้ย”
โฮยยย..ขอบคุณนะที่มองเค้าเป็นคนดีขนาดนั้นน่ะ แต่เค้าคงไม่ใช่คนที่จะสอนคนอื่นได้ดีเท่าไหร่หรอก เป็นครูคงไม่ไหวหรอก” หญิงสาวผิดหวังเล็กๆเมื่อเห็นว่าฉันทายผิดแถมยังประเมินค่าเธอสูงเกินไปขนาดนั้นอีก เธอคิ้วขมวดมองฉันที่แปลกใจเล็กๆเมื่อสิ่งที่ทายไปไม่ถูก ก่อนที่เธอจะเฉลยคำถามออกมาเอง...
“..จริงๆก็ไม่ได้คิดหรอกนะว่าอยากเรียนอะไร แต่แม่บอกอยากให้เค้าเรียนพวกนิเทศศาสตร์ดูน่ะ ก็เลยว่าจะเรียนตามใจแม่..”
ฮ้า..นิเทศเหรอทำไมล่ะ..อย่าบอกนะว่าแม่เอื้อยอยากให้ลูกสาวเป็นดาราอ่ะ” ฉันอึ้ง เหล่ตามองเอื้อยทันทีที่ได้ยินเอื้อยว่า
เอื้อยยิ้มแหยๆ เธอหัวเราะกลบเกลื่อนความอายก่อนจะเรียบๆเคียงๆตอบคำถามของเธอไป “..ก็ไม่เชิงหรอก มันก็ไม่จำเป็นว่าจบไปแล้วต้องไปเป็นดาราสักหน่อย มันก็มีหลากหลายสายงานในนั้นอยู่ คือจริงๆแล้วเรื่องมันค่อนข้างลึกลับซับซ้อนสักหน่อยน่ะ อยากฟังป่ะล่ะจะเล่าให้ฟัง..” เธอหยุดพูดก่อนจะเหล่ตามองท่าทีของฉัน ชั้นเชิงในการเล่าเรื่องของเธอนั้น ทำให้ฉันยิ้มพยักหน้างึกๆตอบรับด้วยความสนอกสนใจทันทีที่ได้ยินเรื่องที่เกริ่นมา..
“..ก็ตอนที่เค้าเป็นเด็กอายุประมาณ2-3ขวบน่ะ..ตอนนั้นชีวิตแม่เค้าลำบากมากเลย พ่อก็เริ่มป่วยทำงานไม่ได้ต้องนอนรักษาตัวที่บ้านและไปๆมาๆที่โรงพยาบาลตลอด จริงๆพ่อก็เริ่มป่วยกระเสาะกระแสะมาตั้งแต่เค้าเกิดแล้วล่ะ แต่ก่อนหน้านั้นอาการป่วยมันไม่ได้หนักขนาดนี้ ตอนนั้นแม่ก็กลายเป็นว่าต้องทำงานหาเงินคนเดียว ทั้งมีปัญหากับเพี่อนที่ทำงานต้องได้ย้ายที่ทำงานบ่อยอีก เรียกได้ว่าโชคชะตาไม่เข้าข้างแม่เลย ต่อมาอาการป่วยพ่อก็หนักขึ้นเรื่อยๆซ้ำร้ายแม่ก็ว่างงานกำลังหาที่ทำงานใหม่ เงินที่เก็บก็เริ่มร่อยหรอลง แม่กลุ้มใจมากนึกอะไรไม่ออกก็เลยไปหาหมอดูร่างทรง...” พูดถึงตรงนี้เอื้อยก็หยุดแล้วเหล่ตามองฉันด้วยท่าทางเก้ๆกังๆ เหมือนเธออายที่จะเล่าเรื่องต่อจากนี้ให้ฟังอีก ฉันยักคิ้วให้เอื้อย รบเร้า “แล้วไงต่อ เล่าต่อสิ..” เนื้อเรื่องน่าติดตาม ฉันชักอยากรู้เสียแล้ว..
“..ไปหาหมอดูร่างทรง ร่างทรงก็ทักโน้นทักนี่ไปเรื่อยล่ะ ก็บอกว่าเป็นกรรมเก่าบ้างก็บอกว่ามันตรงช่วงปีชะตาชีวิตที่ไม่ดีของแม่บ้างให้แม่ทำใจ แต่ตอนนั้นอยู่ๆร่างทรงก็ทักเรื่องเค้าขึ้นมาว่าลูกสาวคนนี้จะดึงชีวิตของแม่ให้ดีขึ้น ร่างทรงบอกว่าเค้าเป็นลูกนางฟ้าเป็นเทวดามาเกิดอะไรก็ไม่รู้ ถ้าอยากให้ชีวิตดีต้องเลี้ยงเค้าดีๆเพราะในอนาคตเค้าจะเป็นคนมีชื่อเสียงโด่งดัง ได้รับการยกย่อง มีคนรู้จักเยอะ ชีวิตของเค้าจะได้ดีมีชื่อเสียงเพราะได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก ตอนนี้ที่ชีวิตแม่ไม่ดีส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่ายังดูแลเค้ายังไม่ดีไม่ให้เกียรติเค้า ถ้าจะให้ดีต้องเปลี่ยนชื่อแก้เคล็ด..”
ห๊า..” ฉันเหวอร้องอุทานทันทีที่ฟังมาถึงตอนนี้ “ว่าไปโน้นเลย..”
ใช่..”เอื้อยยิ้มอายๆตอบรับ “แล้วไง..แม่ก็เปลี่ยนจริงๆเหรอ”
ใช่..” เอื้อยพยักหน้าตอบรับอีกครั้ง “เดี๋ยวนะ..ชื่อเอื้อยนี่ไม่ใช่ชื่อแรกเหรอ หรือยังไง” ฉันรีบถามด้วยความงง..
คือว่าเปลี่ยนแค่ชื่อเล่นน่ะ..ชื่อเล่นเค้าจริงๆน่ะชื่อเนตร ก็มาจากชื่อจริงว่าเนตรอัปสรนั่นล่ะ แต่ร่างทรงทักว่าควรจะตั้งชื่อให้เกียรติเค้าเหมือนว่าเค้าเป็นคนโบราณมาเกิดที่มีอายุมากกว่าแม่อะไรประมาณนี้ ให้เรียกเค้าว่าเอื้อยดีกว่า ร่างทรงบอกว่าเค้าอยากให้เรียกตัวเค้าว่าเอื้อยที่แปลว่าพี่สาวอะไรอย่างนี้มากกว่าน่ะ แม่ก็เลยเปลี่ยนชื่อเล่นเค้าว่าเอื้อยแก้เคล็ดน่ะ”
ห๊ะ..อ๋อ..นี่เองที่มาของชื่อเอื้อย” ฉันตาโตร้องอ๋อทันทีที่ได้ยิน ก็ว่าอยู่ทำไมชื่อโบราณๆจัง มองหน้าแม่ก็ดูเป็นสาวทันสมัยทำไมตั้งชื่อลูกสาวโบราณอะไรขนาดนั้น ตอนที่ฉันได้ยินชื่อเอื้อยตอนแรกฉันยังแอบคิดเลยว่าหรือแม่จะเป็นคนอีสานหรือคนเหนือหรือเปล่า หรือว่าจะชอบอ่านนิยายสมัยก่อนที่มีตัวละครชื่อเอื้อยกับอ้ายประมาณนี้ โอ้..นี่เรื่องราวมันลึกลับซับซ้อนกว่าที่คิดเยอะเลยนะนี่ ฉันยิ้มน้อยมองหน้าเอื้อยที่แดงขึ้นแดงขึ้นเมื่อเห็นฉันทำท่าเหมือนจะขำเธอย่างนั้น..
เหมือนจะขำๆใช่เปล่า แต่มันไม่ขำน่ะสิ เพราะพอแม่เริ่มเปลี่ยนชื่อเรียกเค้าว่าเอื้อยปั๊บ แม่ก็ได้ที่ทำงานใหม่แถมยังได้ตำแหน่งที่ดีอีก ปีนั้นน่ะแม่ถูกลอตเตอรี่ตลอดเลยนะขนาดว่าแม่ไม่ค่อยชอบซื้อแต่ก็ยังถูกน่ะ แม่ก็เลยเชื่อ ตอนนั้นชีวิตแม่ก็ดีขึ้นเรื่อยๆนะ แม่มีเงินเข้าหลายทางรายได้ก็เพิ่ม หลายๆอย่างเริ่มดีขึ้นแต่ก็..ยกเว้นเรื่องพ่อน่ะ พ่อเค้าก็มาเสียหลังจากนั้นประมาณ2ปี ชีวิตแม่ก็เคว้งไปพักหนึ่งแต่ก็ได้เค้านี่ล่ะเป็นที่พึ่งทางใจของแม่ แม่ก็เลยผ่านช่วงชีวิตที่แย่ช่วงนั้นมาได้อีก..” เอื้อยหยุดพูดแล้วหันหน้าเศร้าๆมามองฉัน เธอคงจะคิดถึงพ่อเธอนั่นเอง...ฉันยื่นมือไปลูบแก้มเอื้อยเบาๆด้วยอยากปลอบใจเธอให้หายจากอาการเศร้าลง ได้ผลเธอยิ้มแล้วเล่าเรื่องต่อ..
“..ก็ตั้งแต่นั้นมาชีวิตครอบครัวเค้าก็มีเหลือกันอยู่แค่สองคน แม่พูดเสมอว่าเค้าน่ะเป็นที่พึ่งทางใจของแม่นะ เวลาแม่รู้สึกท้อรู้สึกสิ้นหวังหรืออ่อนแอแม่ก็จะมาอยู่ใกล้ๆเค้าเสมอ แม่บอกว่าเค้าเหมาะกับชื่อเอื้อยที่สุดเพราะแม่รู้สึกว่าเค้าไม่ใช่แค่ลูกแต่เป็นเหมือนพี่สาวของแม่ที่ชี้นำชีวิตของแม่ให้พ้นจากความทุกข์มาได้ตลอด ซึ่งนั้นก็ทำให้แม่ค่อนข้างจะเชื่อคำที่ร่างทรงทักเค้ามาตั้งแต่เด็กๆนั่นล่ะนะว่าโตขึ้นเค้าจะต้องโด่งดังมีชื่อเสียง ได้ดีเพราะทำในสิ่งที่ตัวเองรักอ่ะ เค้าเดาว่าแม่คงคิดว่าโตขึ้นเค้าคงจะต้องเป็นดาราหรือนักร้องอะไรประมาณนี้..”
ก็เลยอยากให้ลูกเรียนทางนี้ว่างั้น..”
ใช่..ฟังดูไร้สาระใช่มั้ยล่ะ” เอื้อยถามฉันเสียงอายๆ ฉันไม่ตอบได้แต่หัวเราะหึๆทันทีที่ได้ยินเอื้อยว่า
ตอนแรกเค้าก็คิดอย่างนั้นล่ะนะ แต่พอเค้าโตขึ้นเรื่อยๆ เค้าก็ชอบได้ทำนั่นทำนี่เรื่อย ทั้งอาจารย์ก็ชอบให้ถือป้ายบ้างล่ะ ทำกิจกรรมโรงเรียนประกวดนั่นประกวดนี่ชนะบ้างล่ะ แถมน้ายังชอบพาเค้าเดินสายไปประกวดมิสนั่นมิสนี่ตั้งแต่เด็กๆแล้วก็ยังได้ตำแหน่งอีกอ่ะ ยิ่งมาประกวดร้องเพลงกับเจ้ยแล้วได้รองแชมป์อีกก็ยิ่งเพิ่มน้ำหนักความเชื่อเข้าไปใหญ่ แม่บอกว่าถ้าไหนๆจะมาทางนี้แล้วก็เรียนให้มันเก่งให้มันแตกฉานทางนี้ไปเลยดีกว่า”
อ้ออออ...ก็มีเหตุผลนะ...” ฉันลากเสียง พยักหน้าเห็นด้วยกับเอื้อยทันทีแม้จะเหวอแสนเหวอที่ได้ยินเหตุผลนั้นขนาดไหนก็ตาม.. แหม..เห็นแม่เอื้อยสวยๆเฉี่ยวๆเป็นเวิร์คกิ้งวูแมนอย่างนี้ กลายเป็นเชื่อหมอดูร่างทรงซะงั้น ฉันทั้งคิดทั้งยิ้มแหยๆ มองเอื้อยที่ก็นั่งยิ้มน้อยมองฉันด้วยความอายไม่หายซักทีที่ตั้งแต่เริ่มเล่ามาจนมาถึงตอนนี้

..อ๋อ มิน่าล่ะที่เอื้อยเคยเปรยๆว่าแม่ชอบให้เอื้อยดูแลตัวเอง ชอบให้เอื้อยกินอาหารดีๆคลีนๆก็เพื่อที่จะอยากให้เอื้อยรักษารูปร่างของตัวเองเอาไว้เผื่อว่าจะได้เป็นดาราจริงๆสินะ โหย...แม่นี่วางแผนชีวิตลูกไว้ดีจัง ทั้งสอนลูกยังกับกุลสตรี ลิ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม นี่คงคิดว่าถ้าวันหนึ่งลูกได้เป็นดาราจริงๆก็ต้องเป็นดาราที่แบบว่าสุดแสนจะเพอร์เฟรคทั้งหน้าตา รูปร่างและนิสัย แบบไม่มีข่าวเสียหายใดๆในชีวิตเลยสินะ...

ฉันหัวเราะเบาๆทันทีเมื่อนึกถึงภาพของเอื้อยในอดีตวันนั้น ตอนนี้ว่าที่ดาราคนสวยในชุดนักศึกษาก็ยังทำท่าทางตื่นเต้นกับที่เรียนของฉันไม่ทันหาย จนฉันต้องรีบเรียกสติเธอให้เธอรีบเดินทางไปที่คณะของเธอบ้าง...
เออ..แล้วตึกนิเทศต้องขับออกไปโซนหน้ามอเลยหรือเปล่านะ”
อืมใช่ เดี๋ยวกลับรถหน้าคณะเจ้ยแล้วขับออกไปตามถนนเส้นนี้จนเกือบจะถึงหน้ามอก็ใช่แล้ว”
โหย..เกรงใจเอื้อยจังเลยน่ะ มันอยู่คนละทางขนาดนั้นก็ยังอุตส่าห์อ้อมขับมารับเค้าอีก เอื้อยไม่ต้องมารับเค้าก็ได้นะเกรงใจ..ไปใครไปมันดีกว่าเค้าไม่อยากรบกวนเอื้อย”
รบกงรบกวนอะไร ห้ามพูดคำนี้เลยนะ ตอนที่เป็นเพื่อนกันเฉยๆเจ้ยก็ยังมารับเค้าไปเรียนได้ทุกวันเลย ตอนนี้เราเป็นแฟนกันได้คบกันขนาดนี้แล้ว เรื่องการดูแลกันนิดๆหน่อยๆแค่นี้จะเป็นอะไรไปเล่า..นะ ให้เค้าดูแลเจ้ยบ้างเถอะ เดี๋ยวไงเรียนเสร็จแล้วโทรหาเค้าอีกทีแล้วกันนะ เดี๋ยวเค้าจะมารับเจ้ยอีกที” เอื้อยยิ้มสายตาหวานละมุน เธอยกมือขึ้นมาลูบผมฉันเบาๆ จนฉันหลงเคลิ้มกลายเป็นพยักหน้ายอมรับให้เธอมารับมาส่งฉันจนได้...

////////////////////////////////////////////////////////

เสียงจอกแจกจอแจของนักศึกษาเกือบๆจะเต็มห้องดังขึ้นตอนที่ฉันเปิดประตูห้องออดิทอเรี่ยมเข้าไป ฉันยืนชะงักอยู่หน้าประตูก่อนจะก้มหน้าลงมองนาฬิกา ..อีกประมาณ5นาทีจะ9โมง.. นี่ฉันคงเสียเวลากับการดูรถมอเตอร์ไซค์ของตัวเองเมื่อเช้าสินะเลยมาเกือบสายขนาดนี้ ฉันทั้งคิดทั้งนึกโมโหก่อนจะพยายามมองหาที่นั่งว่างสำหรับการปฐมนิเทศในวันนี้ ..เอ..แม้ออดิทอเรียมจะมีขนาดใหญ่มากเพราะมันกินพื้นที่จากชั้น1มาถึงชั้น2ของอาคารเรียน แต่ในห้องตอนนี้กลับมีนักศึกษาอยู่เกือบๆจะเต็มไปหมดแล้ว...
ห้องออดิทอเรียม (Auditorium) ก็คือห้องประชุมขนาดใหญ่มีลักษณะเป็นห้องครึ่งวงกลมเหมือนเกือกม้า ภายในมีการจัดพื้นที่นั่งเหมือนขั้นบันไดโดยไล่จากระดับจากพื้นที่สูงที่สุดตรงประตูด้านทางเข้าที่ฉันยืนอยู่ลงไปหาพื้นที่ด้านหน้าเวทีข้างล่างที่ต่ำที่สุด ที่ตรงนั้นจะทำเป็นเวทีบรรยายมีโต๊ะและอุปกรณ์การฉายสไลด์สำหรับเอาไว้บรรยายนักศึกษาด้วย จำได้ว่าห้องนี้บรรจุนักศึกษาได้ประมาณห้าร้อยกว่าคนแล้วตอนนี้มันก็เกือบๆจะเต็มห้องแล้ว แสดงว่าพวกรุ่นพี่ปีอื่นๆก็พากันมาปฐมนิเทศกันวันนี้ด้วยสินะ ฉันทั้งคิดทั้งแอบหลบสายตาพี่ผู้ชายหนวดเคราเฟิ้มกลุ่มหนึ่งที่หันมาเห็นฉันเข้า ตอนนี้พอฉันทำท่าก้มหน้าก้มตา เสียงแว่วๆของพวกพี่ผู้ชายก็ดังเข้ามาในโสตประสาททันที...
เฮ้ยๆน้องปีหนึ่งๆ น้องน่ารักจังเลย มีพี่เทคหรือยังครับ..” นั้นเป็นแค่เสียงเดียวที่ฉันพอจะจับใจความได้ เพราะหลังจากนั้น ฉันก็รีบเงยหน้าหันซ้ายหันขวาหาที่นั่งให้ตัวเองทันทีด้วยกลัวว่าจะโดนพี่พวกนี้แซวอะไรเข้าให้อีก ซึ่งที่นั่งที่ยังพอว่างเหลือให้ฉันได้นั่งแอบพี่ผู้ชายพวกนี้ได้กลับกลายเป็นที่นั่งข้างหน้าสุดที่มันว่างโล่งเตียนไม่มีใครกล้านั่งทั้งแถว ..เอาวะเป็นไงเป็นกัน ไม่มีใครกล้านั่งใช่มั้ย เดี๋ยวฉันเปิดคนแรกเลยก็ได้... ฉันรีบเร่งฝีเท้าเดินไปที่ตรงนั้นทันทีที่คิดได้
ตอนนี้ จากที่เมื่อกี้ได้ยินเสียงแซวแค่แถวๆหน้าประตูที่ฉันยืนมองหาที่นั่ง พอฉันเดินดุ่มๆไปนั่งด้านหน้าคนเดียวกลายเป็นว่าทุกสายตาตอนนี้จับจ้องมองฉันทันที ได้ยินเสียงแซวประโยคคล้ายๆกันกับก่อนหน้านั้นดังมา ทั้งเสียงผิวปากเบาๆลอยมาสองสามทีตอนที่ฉันพยายามเดินเข้าไปนั่งตรงกลางของที่นั่งแถวหน้าสุด มองดูโดดเด่นเป็นสง่าทันทีที่เดินผ่านทุกสายตาเข้าไป ฉันเหงื่อตกทั้งอายทั้งประหม่าได้แต่พยายามเดินก้มหน้าแล้วปลอบใจตัวเองไปเบาๆว่า...เอาวะ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว มีอะไรต้องอายอีก นั่งมันตรงกลางข้างหน้าสุดนี่เลยก็แล้วกัน .. ฉันคิดก่อนจะนั่งลงกับเก้าอี้เลคเชอร์แล้ววางกระเป๋าไว้เก้าอี้ข้างๆ ทั้งพยายามเก๊กวางฟอร์มนั่งตัวตรงดิ่ง นั่งนิ่งๆไม่หันซ้ายหันขวาไปไหนเลย
ครู่ใหญ่ๆที่ฉันนั่งรออาจารย์พร้อมๆทั้งเสียงคุยจอกแจกจอแจของนักศึกษาในห้องที่ดังขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งมีเสียงหนึ่งดังเข้ามาข้างๆฉัน....
นั่งด้วยได้มั้ย..” ฉันหันขวับไปหาที่มาของเสียงทันทีที่ได้ยิน
เจ้าของเสียงเป็นผู้หญิงตัวสูงผมยาวสีบลอนด์... ใช่ ทันทีที่หันไปเห็นสิ่งที่แตะตาฉันที่สุดก็คือผมยาวเหยียดตรงสีบลอนด์ของเธอ มันแตะตาเสียจนฉันยังอึ้งนั่งอ้าปากหวอเพราะพึ่งเคยเห็นคนที่ย้อมผมสีบลอนด์ทั้งหัวขนาดนี้ ..มันเป็นสีบลอนด์แบบสว่างๆ..สว่างมากๆ มากจนดูแล้วให้ความรู้สึกเหมือนสีขาวมากกว่าสีทองเสียอีก
ผู้หญิงคนนั้นยิ้ม เธอเสยผมหน้าม้าตัดตรงของเธอก่อนจะยักคิ้วทำท่าทวนคำถามเมื่อกี้อีกครั้งนึง จนฉันได้สติรีบพยักหน้ารับ
เอ่อ..ได้ๆ นั่งสิ...”ฉันขยับกระเป๋าออกจากเก้าอี้เลคเชอร์อีกที่ที่ฉันวางกินพื้นที่ไป ผู้หญิงผมบลอนด์ในชุดนักศึกษากระโปรงทรงเอสั้นๆคนนั้นเดินเข้ามานั่งไขว่ห้าง เธอหงายโต๊ะเลคเชอร์ของเธอออกแล้วจัดการวางกระเป๋าลงบนพื้นโต๊ะ ตอนนี้พอเธอจัดแจงวางของของเธอเสร็จเธอก็หันมายิ้มหวานทักทายฉันทันที...
สวัสดี..เราชื่อณิชานะ เธอชื่ออะไร”
อ่อ..ดีค่ะ เราชื่อเจ้ยยินดีที่รู้จัก”
เต้ย???..” ณิชาเลิ่กคิ้วทำเสียงสูง เหมือนเธอจะทวนถามชื่อของฉันด้วยความไม่แน่ใจ..
ไม่ใช่เต้ย เจ้ย จอจานน่ะ” ฉันหัวเราะก่อนจะออกเสียงชื่อตัวเองให้ณิชาฟังชัดๆอีกครั้งนึง “เจ้ย..”
เฮ้ยชื่อแปลกดี แปลว่าอะไรอ่ะ ภาษาจีนเหรอ”
ไม่รู้ ไม่มีความหมาย ภาษาต่างดาวมั้ง เหมือนพ่อจะอยากตั้งให้เฉยๆ คงคิดว่าเท่..” ฉันทั้งพูดทั้งแอบแขวะพ่อเล็กๆในสิ่งที่ตัวเองก็สงสัยมาตั้งแต่เด็กๆและเฝ้าถามเอาคำตอบจากพ่อตลอด แต่ก็ไม่ได้คำอธิบายอะไรกลับมามากมายเลย นอกจากเหตุผลที่ว่า...อยากตั้งเฉยๆเรียกง่ายดีและคงไม่มีใครกล้าตั้งซ้ำ...
ณิชาหลุดหัวเราะ เธอรีบก้มหน้าขำ คงนึกกลัวฉันจะโกรธที่เห็นว่าเธอเสียมารยาทหัวเราะที่มาของชื่อเพื่อนใหม่อย่างนั้นเข้า หญิงสาวนั่งก้มอยู่นานกว่าจะเงยหน้าแดงๆขึ้นมา...
เราขอโทษที่หัวเราะนะ เราไม่ได้ตั้งใจ เราว่าชื่อเธอน่ารักดียิ่งได้ฟังที่มาก็ยิ่งน่ารักจนอดขำไม่ได้น่ะ” ณิชายิ้มหวานพยายามขอโทษฉัน จนฉันบอกไม่เป็นไรแล้วเธอจึงชวนฉันคุยต่อ..
“..เธออยู่เอกไหน เราเอกAR ถาปัตย์-ถาปัตย์ เธอล่ะ..” ฉันตาโตทันทีที่ได้ยินณิชาว่า ซึ่งARก็คืออักษรย่อของArchitectureที่หมายความถึงเอกสถาปัตยกรรมศาสตร์ พวกเราชอบเรียกชื่อคณะทับชื่อเอกสั้นๆว่า “ถาปัตย์-ถาปัตย์” (คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์-เอกสถาปัตยกรรมศาสตร์)
เราก็เอกARเหมือนกัน เอกเดียวกันนี่นา..”
ใช่..”ณิชายิ้มรับ ก่อนจะก้มลงเปิดกระเป๋าหนังสีดำเงาๆฉันมองดูเหมือนของแบรนด์หรูยี่ห้อหนึ่ง เธอหยิบเอาโทรศัพท์สมาร์ทโฟนสีทองของเธอยื่นมาให้ฉัน
งั้นเราขอเบอร์เจ้ยหน่อยสิ เรายังไม่มีเบอร์ของเพื่อนในคณะเลยน่ะ เผื่อมีอะไรเราจะได้โทรหากันได้”
ได้สิ..” ฉันยิ้ม รีบรับโทรศัพท์ของณิชามาด้วยความดีใจที่จะได้เบอร์เพื่อนในคณะสักที หน้าจอสมาร์ทโฟนของณิชาเป็นรูปณิชาทำปากจู๋ๆถ่ายรูปเซลฟ์ฟี่คู่กับผู้หญิงสวยๆคนหนึ่ง ..อืม..จะว่าไปแล้ว..จริงๆณิชาก็สวย.. ฉันมองรูปณิชาพินิจพิเคราะห์อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันขึ้นมายิ้มมองเธอ...
เธอยิ้มตอบรับ ก่อนจะยกมือขึ้นมาทัดผมสีบลอนด์ของเธอเหน็บเก็บไว้ข้างหู โชว์ให้เห็นต่างหูห่วงใหญ่ๆสีเงินที่มองแล้วให้ความรู้สึกสวยเก๋รับกับใบหน้าสวยเรียวเฉี่ยวๆเปรี้ยวๆของเธอดีเหลือเกิน ฉันมององค์ประกอบของณิชาทั้งดวงตาสีดำดูหวานๆดวงโตๆ ทั้งปากกระจับที่เธอทาลิปสีแดงมาอีก ทั้งจมูกอีก..เอ..จมูกณิชานี่ก็โด่งมากเลยนะ โด่งและสวยได้รูปอีก มันดูโด่งสวยเท่มากๆเลยเวลาที่ดั้งของณิชาโผล่ออกมาจากปลายผมหน้าม้าที่เธอตัดตรงลงมาเสมอชายขอบตานั้น โอ้..นี่จะเรียกณิชาว่าแฟชั่นนิสต้าได้หรือเปล่า ทำไมองค์ประกอบภายในตัวเธอทุกอย่างมันช่างดูเก๋ ดูเท่และมีสไตล์จริงๆ เหมือนทุกๆอย่างมันถูกออกแบบและจัดสรรค์ให้ดูดีและเข้ากับตัวของเธอที่สุดเลย..เอ..หรือมันเป็นส่วนหนึ่งที่เธอเลือกเรียนคณะนี้ คณะที่ต้องใช้อารมณ์ ความรู้สึก ความเป็นศิลปิน และความคิดสร้างสรรค์ในการคิดงาน อืม..การแต่งตัวเก๋ๆแบบนี้มันก็อาจจะทำให้เธอมีแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานเพิ่มขึ้นก็ได้นะ...

สรุปแล้ว..ณิชานี่เป็นผู้หญิงที่สวยและรูปร่างดีคนหนึ่ง จริงๆแล้วก็เรียกว่าสวยมากๆนั่นล่ะ เพราะเธอรู้จักแต่งหน้าและทำสีผมให้ตัวเองดูโดดเด่นทันทีที่เหลือบตาไปเห็น ทั้งๆที่โครงหน้าจริงๆก็ดูจะไท้ไทย แต่พอเธอทำผมสีบลอนด์ปุ๊บกลับกลายทำให้เธอมีความเป็นอินเตอร์ดูโดดเด่นเชื้อเชิญให้เหลียวมองทันที ฉันเห็นผู้ชายหลายคนแอบหันมามองตรงโต๊ะที่เรานั่งกันบ่อยๆ บ้างก็ยิ้มให้ บ้างก็เรียกเพื่อนที่นั่งข้างๆชี้ชวนให้หันมาทางนี้แล้วพากันทำตาหวานเยิ้มส่งสายตาเจ้าชู้ประตูดินแปลกๆมาตลอดเวลาที่นั่ง..

“..รู้สึกเหมือนมีคนมองตลอดเลยน่ะ” เป็นณิชาที่ถามคำถามที่ฉันกำลังสงสัยอยู่ แต่ฟังคำถามแล้วเหมือนกระทบกระทั่งตัวเองยังไงไม่รู้จนฉันต้องละจากการจ้องใบหน้าเธอแล้วรีบก้มหน้ากดเบอร์โทรศัพท์ให้
เอ่อ..ขอโทษที่มอง คือเราว่าเธอสวยเราก็เลยเผลอมอง..”ฉันยิ้มแหยๆสารภาพความผิดตอนที่ยื่นโทรศัพท์คืนให้ณิชา
หืม..ชมเราเหรอ ขอบใจนะ เธอก็สวย สวยมากๆด้วยเราว่าจะบอกเธอหลายรอบแล้ว” ณิชายิ้มหวานตอนที่บอกว่าฉันสวย “นี่เธอนึกว่าเราว่าเธอมองใช่มั้ยเมื่อกี้ ไม่ใช่นะ เราหมายถึงคนอื่น เรารู้สึกว่าคนอื่นมองมาที่พวกเราน่ะ แต่ถ้าเธอจะมองเราน่ะ มองเลยนะ..เราอนุญาติ..” หญิงสาวทั้งพูดทั้งหัวเราะ เธอยิ้มน้อยมองฉันอยู่นานก่อนจะพูดต่อ..
เธอว่าผู้ชายพวกนั้นมองใคร” หญิงสาวเลิ่กคิ้วส่งซิกให้ฉันมองไปที่บรรดานักศึกษาผู้ชายที่พากันหันมามองยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ทางเรา...
ไม่รู้สิ ณิชามั้ง”
เหรอ แต่เราว่าเขามองเธอมากกว่าน่ะ จริงๆนะดูมุมปลายสายตาที่เค้ามองมันเฉียดๆออกมาทางเธอมากกว่าเรา แล้วที่สำคัญ..เธอก็ดูสวยดูใสกว่าเราด้วย ยังไงๆผู้ชายก็ต้องมองเธออยู่แล้ว”

...นี่ชมหรือนี่.. ฉันยิ้มน้อยเหล่ตามองณิชา ตอนนี้หญิงสาวผมบอนด์ก็ยิ้มและยักคิ้วให้ฉันเหมือนกำลังยืนยันว่าที่เธอพูดมาเมื่อครู่นี้คือเรื่องจริง..

ขอบใจนะที่ชม เหอะๆเราว่าเธอคงจะคิดไปเองมากกว่า..” ฉันยิ้มขอบใจณิชาก่อนจะจบการสนทนาของเพื่อนใหม่ลง เนื่องจากว่าบรรดาอาจารย์เดินเข้าออดิทอเรี่ยมมาแล้ว...

การปฐมนิเทศนักศึกษาในวันนี้เป็นการกล่าวแนะนำคณะ กล่าวแนะนำอาจารย์ กล่าวแนะนำรายวิชาต่างๆซึ่งสำหรับปีหนึ่งอย่างพวกฉันดูจะตื่นเต้นมากๆที่ได้รับรู้ในสิ่งที่พวกตัวเองจะต้องได้เจอหรือต้องได้ทำ แม้พวกพี่ๆชั้นปีอื่นๆจะนั่งเงียบตั้งใจฟัง แต่เมื่อกล่าวถึงเรื่องของน้องๆปีหนึ่งขึ้นมาทีไรพวกเขาก็ดูสดใสและตื่นเต้นขึ้นมาด้วยทันที
“..การแต่งกายของปีหนึ่งอาจารย์ก็อยากให้เราให้เกียรติสถาบันกันนะ อย่าไปดูพวกชั้นปีสูงๆให้มากนัก พวกนั้นมันซกมกน้ำก็ไม่ค่อยได้อาบ เสื้อผ้าก็ไม่ค่อยได้ซัก แค่เวลาจะดูแลตัวเองยังไม่ค่อยมี ถ้าพวกนี้จะใส่เสื้อเชิ้ตกางเกงยีนส์ ลากอีแตะมาคณะก็เพราะว่ามันจำเป็น น้องปีหนึ่งอย่าพึ่งไปเลียนแบบพวกนี้ล่ะเข้าใจมั้ย..” เสียงนักศึกษาปีหนึ่งหัวเราะกันครืนทันทีที่ได้ยินรวมทั้งฉันด้วย
“..อาจารย์อยากให้ปีหนึ่งแต่งชุดนักศึกษาให้เรียบร้อยที่สุด อย่างน้อยๆก็ให้เกียรติมหาวิทยาลัยนะ เพราะทางกองกิจฯเขาขอร้องมา เขาบอกว่ามีคณะเรากับศิลปกรรมนี่ล่ะที่แต่งตัวไม่เหมือนนักศึกษาเท่าไหร่ เอาเป็นว่าถ้าไม่เหนือบ่ากว่าแรง อย่างน้อยๆภายในหนึ่งปีนี้ก็พยายามแต่งตัวให้ถูกระเรียบที่สุดก็แล้วกันนะ เอ้า..การแต่งตัวเรียบร้อยถูกระเบียบมหาวิทยาลัยเป็นยังไง เดี๋ยวอาจารย์หาตัวอย่างคนแต่งตัวเรียบร้อยให้ดู..” อาจารย์กวักมือเรียกผู้ชายใส่ชุดนักศึกษาท่าทางเรียบร้อยคนหนึ่งออกไป ส่วนผู้หญิงด้วยความที่ฉันนั่งโดดเด่นเป็นสง่าอยู่ด้านหน้า อาจารย์ก็เลยหันมากวักเรียกฉันออกไปทันที..
ตอนนี้พอฉันออกไปยืนเก้ๆกังๆอยู่ด้านหน้าเวทีกลายเป็นมีเสียงแซวและเสียงผิวปากมาอีกแล้ว อาจารย์ผู้ชายอมยิ้มหันไปมองพวกพี่นักศึกษาที่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ก่อนจะแซวออกไมค์ให้ฉันเขินเข้าไปอีก..
แหม..กระชุ่มกระชวยเชียวนะ ดี๋ด๋าๆกันใหญ่ อดใจไว้น้องเขายังไม่พร้อมจะอยู่ในโลกมืดมน” สิ้นเสียงอาจารย์ นักศึกษาที่อยู่ในห้องก็พากันหัวเราะครืนทันที...
อาจารย์พูดอธิบายเกี่ยวกับชุดนักศึกษาอยู่ครู่นึง ก่อนจะหันไปถามนักศึกษาในห้องที่เหลือว่ามีใครสงสัยอะไรมั้ย มีพี่นักศึกษาผู้ชายหัวฟูๆสองสามคนยกมืออยู่ด้านหลัง อาจารย์จึงให้โอกาส1ในพวกเขาถาม
ว่าไงอยากถามอะไร..”
ครับ..ผมอยากถามว่า น้องผู้หญิงเขาชื่ออะไรครับ” สิ้นเสียงพี่คนนั้นถาม เสียงโห่แซวหวีดวิ้วของบรรดาผู้ชายในคณะก็ดังขึ้นทันที ..โอ้ย...ตอนนี้หน้าฉันเหลืออยู่แค่สองนิ้วแล้ว นี่มันคณะอะไรกันนี่ทำไมมีแต่คนประหลาดๆอย่างนี้.. ฉันทั้งคิดทั้งหน้าแดง ทั้งยืนก้มหน้าหลบสายตาพี่พวกนั้นด้วยความอายแสนอาย ไม่คิดว่าจะเจอพวกใจกล้าบ้าบอได้ขนาดนี้ ฉันเคยได้ยินว่าคณะสถาปัตย์นี้คนที่เรียนส่วนใหญ่จะเป็นคนกล้าแสดงออก แต่ไม่คิดว่าจะกล้าแสดงออกจนจนยังเหวอแทนอย่างนี้ได้...
ไอ้บ้า น้องเขากลัวแล้วดูสินี่ หนูอย่าพึ่งกลัวนะลูก พี่เขาพูดเล่น เอ้า..ว่าแต่ชื่ออะไรล่ะบอกชื่อเขาไปสิ..”เสียงอาจารย์ดุพี่คนนั้นออกไมค์ก่อนจะหันมาถามฉัน..
ฉันเงยหน้าแดงๆทั้งยิ้มแหยๆให้อาจารย์ด้วยความอายแสนอาย ก่อนจะพยายามสงบสติอารมณ์แล้วตอบชื่อตัวเองออกไป....
เจ้ยค่ะ..”
////////////////////////////////////////////////

จอเจ้ยๆ” ….“น้องจอเจ้ย”.. “จอเจ้ยคร้าบบบ” “น้องจอเจ้ยครับ รับพี่เทคมั้ยครับ..” “จอเจ้ยยยยย...”
เสียงแซวดังผ่านเข้าหูฉันเป็นประโยคเดิมๆแต่สลับสับเปลี่ยนคนพูดมาเรื่อยๆ ตอนที่ฉันยืนรอเอื้อยมารับอยู่หน้าคณะ ฉันต้องพยายามก้มหน้าก้มตาไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองใคร แม้จะได้ยินใครๆเรียกตัวเองด้วยคำประหลาดๆฟังดูน่าอายอย่างนั้นตลอดก็ตาม..
...ก่อนหน้านั้น ตอนที่ฉันยืนอยู่บนเวทีออดิทอเรี่ยมแล้วบอกชื่อกับคนที่ถามไป กลายเป็นว่าพวกที่นั่งอยู่ในที่นั่งพากันงงงวยชื่อฉันกันใหญ่...
เต้ย..เหรอครับ” มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาถาม
เปล่าค่ะ เจ้ย เจ้ยจอจานค่ะ” ฉันพยายามออกเสียงชื่อตัวเองออกไมค์ไป แล้วพอพวกเขาได้ยินดังนั้นก็พากันคุยมุบมิบๆแต่เสียงดังถึงคำว่า เจ้ยจอจานๆกัน แต่ไปๆมาๆอยู่ๆมีใครก็ไม่รู้พูดโพล่งคำว่า “จอเจ้ย” ออกมาท่ามกลางเสียงคุยมุบมิบๆนั่น แล้วก็ไม่รู้ว่าด้วยความคิดสร้างสรรค์หรือความครีเอทรีพที่พลุกพล่านในสายเลือดของแต่ละคนด้วยหรือเปล่า กลายเป็นว่าพอพวกเขาได้ยินคำว่า “จอเจ้ย” แล้ว พวกเขาก็พากันชอบใจและเห็นด้วยกับชื่อใหม่ที่พวกเขาลงมติว่าน่ารัก แล้วกลายเป็นเรียกฉันว่าจอเจ้ยไปด้วยเสียอย่างนั้น แล้วตั้งแต่นั้นมาพวกพี่ๆในคณะ รวมทั้งเพื่อนๆปีหนึ่งก็กลายเป็นเรียกฉันด้วยชื่อแปลกๆอย่างนั้นทันที..

กลายเป็นคนดังเลยน่ะ...จอเจ้ย” ณิชายิ้มน้อย เธอแซวฉันด้วยฉายาใหม่ทันทีที่ฉันเดินกลับเข้าไปนั่งที่โต๊ะ ฉันสแยะยิ้มหันไปมองณิชาก่อนจะตอบด้วยอารมณ์เซ็งๆแก้เขินเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นว่า.. “ดังอะไรเล่า น่าอายจะตาย..”
แหม..เอาน่า..มีแต่คนอยากเป็นพี่เทคเธออ่ะ เรานั่งอยู่นี่ได้ยินเสียงคนคุยกันเรื่องเธอตลอด คนชอบเธอเยอะนะ เห็นมั้ยเราว่าแล้วว่าผู้ชายต้องมองเธอ นี่คอยดูนะเราว่าเธอจะโดนโหวตเป็นดาวคณะแหงๆ” ณิชาทั้งพูดทั้งยิ้มน้อย เธอขยับตัวเข้ามากระซิบกระซาบกับฉันตอนที่พูด
ดาวอะไรเล่า เราไม่เอาด้วยหรอก...”ฉันบ่นมุบมิบแกล้งเก๊กหน้าดุซีเรียสเพราะไม่อยากให้เพื่อนรู้ว่าตัวเองเขินขนาดไหน ก่อนจะก้มหน้าหมอบลงกับพื้นโต๊ะเลคเชอร์ไปตลอดทั้งคาบที่เหลือ จนกระทั่งเลิกคลาสแล้วออกมารอเอื้อยอยู่หน้าคณะอย่างนี้ฉันก็ยังต้องแกล้งก้มหน้าก้มตาไม่มองไม่สบตาใครเลยสักคน ด้วยความอายที่เหลืออยู่ จนกระทั่งเสียงหนึ่งดังขึ้นต่อหน้า...
เฮ้...จอเจ้ย กลับยังไงนี่..”
ณิชานั่นเอง เธอขับรถมอเตอร์ไซค์สกูตเตอร์คลาสสิคสีเหลืองครีมที่มีสติกเกอร์ตัวเลข19แดงๆในกรอบวงกลมตรงฝาข้างล้อเข้ามาจอดหยุดต่อหน้าฉัน...
รอเพื่อนมารับน่ะ เดี๋ยวเพื่อนก็คงมาแล้ว” ฉันสแยะยิ้มให้ณิชาด้วยใบหน้าเซ็งๆที่ได้ยินชื่อแปลกๆของตัวเองอีกแล้ว ก่อนจะมองไปที่รถมอเตอร์ไซค์ของเธอต่อ..

..รถสกูตเตอร์ของณิชาเป็นรถสีเหลืองครีมอ่อนๆ ฉันมองดูด้านหน้าบังลมมันมีตัวหนังสือสีเงินสะท้อนแสงแวววาวของคำว่า Vespaติดอยู่ ตรงเบาะนั่งของคนขับและคนซ้อนเป็นหนังสีขาวสะอาดตา ด้านหน้ามีแผงอลูมิเนี่ยมสีเงินที่มีหลอดไฟกลมๆอยู่ในนั้นสามดวง ซึ่งมันคงจะเป็นไฟตกแต่งแยกต่างหากจากไฟแท้หน้ารถกลมๆดวงใหญ่ๆนั่น ส่วนด้านท้ายก็เป็นโครงอลูมิเนี่ยมชนิดเดียวกันกับด้านหน้าที่ทำเอาไว้สำหรับใส่ล้ออะไหล่สำหรับเปลี่ยน ฉันมองเรื่อยจนมาถึงคอรถ ณิชาก็เอาผ้าเช็ดหน้าที่มีลวดลายเหมือนธงชาติอเมริกามาผูกไว้ แถมตรงแฮนด์รถของเธอก็ยังมีแตรมือเก๋ๆอีกอันติดไว้อีกต่างหาก...
น่ารักจัง..ฉันทั้งคิดทั้งเดินลงไปสัมผัสนั่นสัมผัสนี่ในรถณิชาด้วยความตื่นเต้นแล้วก็เผลอคิดถึงรถมอเตอร์ไซค์สี่จังหวะสีดำแดงตัวเก่งของฉันที่ขับมาตั้งแต่ม.4จนกระทั่งปี1ก็ยังเอามาขับที่หออีกด้วย แม้จะใช้งานได้หลากหลายและสมรรถนภาพก็ดีแถมยังทนแดดทนฝน แต่มันก็ให้ความรู้สึกคนละอารมณ์กับรถคันนี้เลยน่ะ..
รถสวยจังเลยณิชา” ฉันทั้งพูดทั้งจับรถณิชา ดวงตาก็เปลี่ยนอารมณ์จากเซ็งๆเป็นส่องประกายแวววาวบ่งบอกให้ผู้ฟังได้รู้ว่าฉันประทับใจเพียงใดที่ได้เห็นรถคันนี้
สวยมั้ย ลองนั่งได้นะ” ณิชายิ้มหวานเธอลุกขึ้นจากเบาะรถแล้วเชิญชวนให้ฉันลองนั่งรถเธอดูบ้าง
ฉันยิ้มรับรีบขึ้นไปนั่งบนเบาะรถณิชาแล้วจับแฮนด์ทำท่าลองขับดู โดยมีณิชายืนยิ้มมองดูฉันอยู่ด้านข้างๆ
เป็นไงบ้าง..” ณิชาถามฉัน “..ก็ดีนะท่าทางจะขับง่ายด้วย ณิชาแต่งรถเองเหรอ”
ณิชายิ้มพยักหน้ารับ“ใช่..สวยมั้ย อยากลองนั่งมั้ย เดี๋ยวเราพาขับ ขับไปส่งหอก็ได้ หอจอเจ้ยอยู่ไหนเดี๋ยวเราไปส่งเอง จอเจ้ยค่อยโทรบอกเพื่อนก็ได้ว่ากลับกับเราแล้ว..”
ฉันอึ้งคิดตามณิชาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเห็นรถยนต์สีแดงขาวคันเล็กๆขับผ่านมาชะลอต่อหน้าจนนึกขึ้นได้ว่านั้นคือรถเอื้อย..
เฮ้ย...เพื่อนเรามารับแล้ว..” ฉันรีบลุกขึ้นจากรถณิชาแล้วหันหน้าไปมองเจ้ารถยนต์คันเล็กหลังคาต่ำที่ติดฟิล์มกรองแสงทึบๆดำๆคันนั้น ณิชาก็มองตาม เธอยืนจ้องอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันมาถาม
นั่นรถเพื่อนเจ้ยเหรอ..” ฉันพยักหน้ารับ “ใช่”
โหย..รถมินิน่ารักกว่ารถเราอีกอ่ะ นั่งสบายอย่างนี้คงไม่อยากนั่งรถเราแล้วมั้ง...” ณิชายิ้มเล็กยิ้มน้อยตอนที่แซวฉัน เธอมองฉันสลับกับมองรถเอื้อยที่จอดนิ่งๆอยู่อีกฝั่งหนึ่งของถนน ก่อนจะหันมาพยักหน้ารับฉันที่บอกลาขอตัวเธอกลับก่อน....

“..ใครน่ะ เพื่อนเหรอ...” เป็นเอื้อยที่ถามฉัน ตอนที่ฉันเข้าไปนั่งในรถกับเธอแล้ว เธอคงเห็นตอนที่เธอชะลอรถขับผ่านเมื่อครู่นี้ ฉันยักคิ้วแล้วยิ้มตอบรับเอื้อย....
อื้ม..ใช่..เพื่อนใหม่น่ะ....”