Lovely Mafia Girl
ลูกสาวเจ้าพ่อ ขอเป็นแฟนหนู
Special part : First date night
Chapter
2
คำสัญญาเมื่อครั้งก่อน
เฮ้ย!!!???
ฉันสะดุ้งตกใจรีบผละออกจากพี่เนยทันทีที่นึกขึ้นได้...
แล้วก็เหมือนพี่เนยจะนึกอะไรของเธอขึ้นได้เหมือนๆกัน
เพราะแค่ช่วงเวลาที่ฉันเริ่มหยุดแล้วทำตาโตมองไปเห็นโทรศัพท์เครื่องนั้น
พี่เนยก็รีบผละออกจากตัวของฉันแล้วพุ่งพรวดไปถึงโทรศัพท์เครื่องนั้นก่อนฉันจนได้
เธอรีบหยิบโทรศัพท์ของเธอขึ้นมากอดแนบหน้าอกเพื่อจะหนีฉันที่กำลังพยายามแย่งมันมาจากเธอในตอนนี้..
“เฮ้ย
อะไรนี่พี่เนย พี่เนยบันทึกเสียงอะไรไว้นี่
พี่เนยทำอะไรนี่..เอาโทรศัพท์มานี่เลย”
“ไม่มีอะไรๆ”
“ไม่มียังไง
กี้เห็นอยู่ ทำอะไรอ่ะ
หน้าเกลียดอ่ะ กี้ไม่ชอบ
ลบออกเลย ลบออกเดี๋ยวนี้...”
ฉันออกคำสั่งทั้งพยายามยื่นไม้ยื่นมือเข้าไปแย่งโทรศัพท์จากพี่เนยให้ได้
เพราะเริ่มคิดได้ในสิ่งที่มันบันทึกไปก่อนหน้านั้นก็คือเกมส์รักรสจัดที่ฉันทั้งและพี่เนยต่างร้องครวญครางแข่งกัน
แม้ไม่มีภาพแต่ฉันก็รับไม่ได้หากจะมีใครบันทึกไว้แล้วมีคนมาได้ยินทีหลัง
พี่เนยพยายามหลบตัวเบี่ยงหนีฉัน
ฉันได้ยินเสียงเธอกดข้อความก๊อกๆแก๊กๆทำอะไรของเธออยู่ครู่นึงก่อนที่เธอจะเสียหลักโดนฉันแย่งโทรศัพท์จากมือมาจนได้...
ฉันรีบยกโทรศัพท์ขึ้นมาดูตอนนี้หน้าจอโทรศัพท์กำลังค้างอยู่ที่หน้าส่งอีเมลล์
ซึ่งอีเมลล์นั่นก็คือไฟล์คลิปเสียงเมื่อครู่นี้
และตอนนี้มันถูกส่งไปแล้ว....
ฉันคิ้วขมวดรีบอ่านดูชื่ออีเมลล์ที่ถูกส่งไป...
“Chairat8899...”
...ชัยรัตน์...อย่าบอกนะว่าน้าชัย...โอ้ยให้ตายเถอะนี่มันเรื่องอะไรกันนี่อีพี่เนย...
ฉันหันขวับไปจ้องพี่เนยที่สะดุ้งโหยงเข้าทันทีที่เห็นสายตาจ้องจิกกัดอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อเธออย่างนั้น
“นี่มันเรื่องอะไรกันพี่เนย
พี่เนยทำอะไรเนี่ย..บ้าที่สุดเลย
ทุเรศที่สุดเลยอ่ะ..”
ฉันโวยวายทั้งโน้มตัวเข้าไปรัวตีพี่เนยด้วยความโมโห
พี่เนยรีบหลบซ้ายหลบขวาแต่ก็ยังโดนฝ่ามือของฉันตามไปรัวตีตุ๊บตั๊บตามเนื้อตามตัวเข้าให้เหมือนเดิม
จนเธอเริ่มเจ็บและร้องโวยวายสลับกลับมาบ้าง
“โอ้ย
ไม่มีอะไรกี้ ไม่มีอะไรจริงๆ”
“ไม่มียังไง
พี่เนยมาบันทึกเสียงที่เรามีอะไรกันอย่างนี้แล้วบอกว่าไม่มีอะไรนี่นะ
บ้าไปแล้วอ่ะพี่เนย
กี้ไม่คิดเลยว่าพี่เนยจะเป็นคนแบบนี้”
ฉันยังตีตามเนื้อตามตัวของเธออยู่เหมือนเดิมจนกระทั่งมือเผลอไปโดนเข้าแถวๆท้องน้อยเธอ
แล้วเธอร้องโอดโอยเสียงดังขึ้นเหมือนก่อนหน้านั้นอีกแล้ว..
“พะ..พี่เนย..”ฉันหยุดตี
ตอนนี้เธอตัวงอทำหน้าเหยเกอีกแล้ว...
“โอ้ย..กี้....กี้ตีพี่อีกแล้วอ่ะ..ไหนกี้ว่าจะไม่ใช้กำลังกับพี่อีกแล้วไง..”พี่เนยทั้งพูดทั้งร้องโอดโอย
เธอก้มหน้างอตัวกุมท้องต่อว่าฉันด้วยน้ำเสียงสั่นเครือของเธอไป...จนฉันหน้าเสียรู้สึกผิดได้แต่ยื่นมือไปลูบๆคลำๆท้องน้อยเธออีกครั้ง
“โอ้ย...พี่เนยกี้ขอโทษกี้ไม่ได้ตั้งใจ
โธ่เว้ย..ก็พี่เนยทำอย่างนั้นทำไมเล่า
กี้ก็โมโหสิ..พี่เนยบันทึกเสียงพวกเราทำไมเล่า
บ้าไปแล้วอ่ะ ทำไมทำอะไรทุเรศๆแบบนั้น
รู้มั้ยว่ากี้ไม่ชอบคนที่ทำแบบนี้ที่สุดเลย...”
ฉันต่อว่าพี่เนยตอนที่พยายามลูบๆคลำๆท้องเธอไป
ตอนนี้แม้ฉันจะเป็นห่วงอาการปวดท้องของพี่เนย
แต่ฉันก็กังวลใจเรื่องคลิปเสียงที่พี่เนยกดส่งเมลล์ไปก่อนหน้านั้นไม่แพ้กัน..
“กี้..พี่ไม่ได้บันทึกเสียงที่เรามีอะไรกันนะ..ฟังพี่ก่อนสิ”
พี่เนยรีบเงยหน้าขึ้นมาเถียงฉันทันที
ตอนนี้เธอก็หน้านิ่วคิ้วขมวดไม่แพ้ฉันแถมแถวๆขอบตาเธอก็ยังมีคราบน้ำตาของความเจ็บที่ฉันเผลอตีเธอเข้าไปที่ท้องก่อนหน้านั้นหลงเหลือให้เห็นอีก...
“ไม่ได้บันทึก
แล้วบันทึกอะไรก็เห็นอยู่ว่ามันกำลังบันทึกอ่ะ..”
ฉันก็ยังคงโมโหพี่เนยค้าง
แม้จะได้ยินพี่เนยพยายามพูดอธิบายยังไงก็ยังไม่ช่วยให้น้ำเสียงของฉันหายขุ่นเคืองเหมือนที่กำลังพูดกับเธอตอนนี้เลย
“ปัดโธ่เว้ย..พี่ก็บันทึกเรื่องที่กี้พูดสัญญากับพี่ก่อนหน้านั้นยังไงเล่า
ก็เรื่องที่กี้สัญญาว่าจะยอมให้พี่สร้างบ้านให้กี้นั่นไง
ก็เพราะว่าพี่คิดว่ากี้จะผลิกลิ้นแค่พูดเอาใจพี่เฉยๆว่าจะยอมให้พี่สร้างบ้านให้
เพราะพี่รู้ว่ากี้เกรงใจพี่มากและกี้คงไม่ยอมให้พี่ช่วยง่ายๆแน่
พี่ก็เลยจำเป็นต้องบันทึกเสียงเอาไว้
ตั้งแต่ตอนที่พี่แกล้งหยิบโทรศัพท์จะโทรหาน้าชัยให้มารับตอนนั้นแล้วไง...”
ฉันอึ้ง..นึกถึงภาพที่พี่เนยหยิบโทรศัพท์แนบค้างหูไว้แล้วตะคอกบอกให้ฉันรีบๆยอมรับสัญญาของเธอในตอนนั้น..
...อ๋อ..นี่วางแผนอีกแล้วเหรอนี่
เฮ้ย..นี่เธอเอาเวลาไหนไปวางแผนเร็วขนาดนั้นวะนี่..เหลือเชื่อเลย..
“แล้วไงที่นี้..”
ฉันจ้องเขม็งนั่งรอฟังเจ้าหล่อนสารภาพแผนการร้ายกาจของเธอออกมาให้หมด
“ก็แล้วไงล่ะ
ก็อย่างที่เห็นล่ะสิ..ใครจะไปคิดล่ะว่า...กี้จะมาทำอะไรกับพี่โดยที่พี่ยังไม่ทันตั้งตัวอย่างนั้นเล่า
ก็พี่ก็ห้ามกี้แล้วแท้ๆว่าอย่าทำๆ
กี้ก็ยัง....”
พี่เนยเงียบเสียงตรงประโยคสุดท้ายไว้เหมือนเธอก็กระดากปากกระดากใจที่จะต่อว่าฉันเรื่องนั้นแล้ว
เลยได้แต่ยื่นหน้าเข้ามาเหล่มองฉันด้วยสายตาค้อนๆของเธอมาอีกวงใหญ่ๆแทน
“..ไม่รู้ว่าจะwantอะไรกันนักกันหนา
เห็นมั้ยล่ะทีนี้..”
พี่เนยคิ้วขมวดยื่นนิ้วชี้มาจิ้มที่หน้าผากฉันจึกๆด้วยความหมั่นไส้สุดๆของเธอต่อ...
“โอ้ยพี่เนย...ใครจะไปรู้เล่า..”ฉันหน้าหงอย
เสียงอ่อนทันทีที่ได้ยินบทสรุปของเรื่องราวทั้งหมดทั้งมวล..
“เห็นมั้ยล่ะ
ว่ากี้ไม่รักษาสัญญาขนาดไหน
นี่ขนาดก่อนหน้านั้นสัญญากับพี่เป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะไม่ใช้กำลังกับพี่อีกกี้ก็ยังใช้อีกอ่ะ
แล้วกี้จะให้พี่ยอมเชื่อใจกี้โดยที่ไม่มีอะไรเป็นหลักฐานอย่างนั้นได้อยู่อีกเหรอ
อยู่ๆคิดจะเอาใจพี่ก็พูดดีด้วย
พอเอาเข้าจริงๆกลับปฏิเสธอย่างนั้นอย่างนี้อีก..พี่จะทำยังไง..”
เมื่อได้ยินเสียงดุๆห้วนๆอย่างนั้นก็ทำฉันไม่กล้าโต้ตอบอะไร
ได้แต่ก้มหน้าก้มตาน้อมรับฟังพี่เนยอธิบายเหตุผลด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวของเธอต่อไป..
“ดูสินี่
โดนตีแรงๆเข้าที่เดิมตั้งสองครั้งนี่พี่ก็เจ็บจะตายอยู่แล้ว
แต่ยังต้องมาแคร์อารมณ์ของกี้อีก
กี้ไม่สงสารพี่เหรอ
นี่พี่ยอมให้กี้ขนาดนี้ก็เพราะว่าพี่รักกี้นะ
ถ้าพี่ไม่รักกี้พี่จะรบเร้าเซ้าซี้จู้จี้กับกี้
ให้กี้รับความหวังดีจากพี่ขนาดนี้มั้ยนี่
ฮึย..ทั้งเจ็บตัว
ทั้งเสียความรู้สึก
ทำดีกับเขาเท่าไหร่เขาก็ยังไม่เห็นความหวังดีของเราอีก
นี่กี้อยากให้พี่เลิกกับกี้จริงๆใช่มั้ยนี่...”
“โอ้ยพี่เนย
มันไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอกน่าไม่ต้องดราม่าขนาดนั้นก็ได้
กี้ก็แค่ตกใจที่เห็นพี่เนยบันทึกเสียงไว้
แถมยังส่งเมลล์ไปให้น้าชัยอีก
ถ้าน้าชัยเปิดฟังกี้จะเอาหน้าไปไว้ไหนอ่ะ
พี่เนยไม่อายเหรอ
จะส่งเมลล์ไปให้น้าชัยทำไมอี้กกก.....”
ฉันเสียงสูงรีบเถียงแทรกพี่เนยกลับไปทันที
ด้วยเห็นว่าเธอกำลังจะวกกลับไปยังเรื่องที่เราเคยเถียงกันก่อนหน้านั้นอีกแล้ว...
“ถึงส่งไปน้าชัยก็เปิดไม่ได้เหมือนเดิมล่ะน่ะ
อีเมลล์นี่ชื่อน้าชัยก็จริงแต่มันเป็นอีเมลล์สำรองที่พี่สร้างไว้โดยใช้ชื่อน้าชัยเฉยๆ
น้าชัยแกไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วยหรอกน่า
พี่ก็แค่สร้างไว้ตอนสมัครเฟซบุ๊คปลอมๆเอาไว้ส่องกี้สมัยมัธยมเฉยๆ
เวลามีไฟล์งานอะไรที่พี่อยากส่งสำรองไว้พี่ก็ส่งเข้าเมลล์นี้ตลอด
พี่น่ะไม่กล้าอัพขึ้นicloud
เพราะกลัวโดนแฮกข้อมูล
พี่ก็เลยส่งเข้าทางอีเมลล์สำรองตัวนี้ไว้แทนแค่นั้น
พี่ก็แค่กลัวว่ากี้จะลบคลิปเสียงของพี่ออกพี่ก็เลยรีบส่งเมลล์ไปเฉยๆ
กี้ก็บ้าหรือเปล่าคิดไปได้
ใครเค้าจะกล้าส่งคลิปเรื่องอย่างว่าของตัวเองให้คนอื่นเล่า..ประสาทแล้ว..”ฉันสะดุ้งโหยงทันทีที่ได้ยินพี่เนยว่าฉันว่า
“ประสาท” อย่างนั้น
ได้แต่ยิ้มแหยๆมองพี่เนยที่เถลือกถลนตามองฉันอยากกับจะกินเลือดกินเนื้อฉันให้ได้
ก่อนจะโวยวายของเธอต่อ...
“แล้วคลิปเสียงนั่น
ก็มีแต่เสียงพี่ด้วยนะ
ที่ร้อง....”พี่เนยทั้งคิ้วขมวดทั้งเม้มปากมองฉัน
ก่อนจะส่ายหัวแรงๆด้วยความหงุดหงิดที่เห็นฉันคิดอะไรตื้นๆอย่างนั้นออกมาได้
ตอนนี้เธอเลยได้แต่จิ้มนิ้วชี้ซ้ำๆเข้าที่หน้าผากฉันด้วยหงุดหงิดของเธอไปอีก..
“ฮึ้ยยย..ที่ร้องอย่างว่าเสียงดังขนาดนั้น
นี่กี้คิดว่าใครจะน่าอายกว่ากันนี่
กล้าคิดอะไรโง่ๆเนอะ”
“โอ้ย
พี่เน้ยย..พอได้แล้ว”
ฉันหัวสั่นหัวคลอนไปตามแรงจิ้มนิ้วจึกๆของพี่เนยทำอะไรก็ไม่ได้ไม่กล้าแม้จะตอบโต้เธอ
ได้แต่ทำหน้าละห้อยร้องเรียกพี่เนยให้หยุดโมโหฉันเสียที...
“โธ่..ใครจะไปรู้เล่า
โอเคๆกี้เข้าใจแล้ว
กี้โอเคกับทุกเรื่องทุกอย่างแล้วกี้เข้าใจแล้ว
เอาอย่างนี้ก็ได้เพื่อความสบายใจของทุกคน
ถ้าพี่เนยไม่เชื่อว่ากี้จะยอมให้พี่เนยสร้างบ้านให้กี้จริงๆกี้ก็จะเขียนหนังสือทำสัญญากับพี่เนยเป็นลายลักษณ์อักษรเลยดีมั้ย
พี่เนยจะได้สบายใจ
กี้ขอโทษพี่เนยจริงๆที่ทำให้พี่เนยคิดมากขนาดนั้นน่ะ
ดีกันได้แล้วนะ
กี้เหนื่อยแล้ว..พี่เนยไม่เหนื่อยหรือไง..”
ฉันทำเสียงอ่อนเสียงหวานโน้มหน้าไปหอมแก้มพี่เนย
แล้วยื่นนิ้วก้อยไปเกี่ยวก้อยขอคืนดีต่อ
แม้พี่เนยยังคงทำหน้ามุ้ยด้วยความหัวร้อนของเธอเหมือนเดิมอยู่
แต่ฉันก็ยังไม่เลิกล้มความพยายามที่จะง้องอนให้เจ้าหล่อนเห็นใจยอมใจอ่อนกับฉันให้ได้...
“..ดีกันเถอะนะคะ
พ่อกับแม่รอคำตอบเรื่องของเราสองคนอยู่นะ
ชักช้าเสียการเสียงานหมดนะคะคุณเนย
เอาเป็นว่าเดี๋ยวกี้จะจัดการเขียนสัญญาให้คุณเนยตอนนี้เลยดีมั้ยคะ
คุณเนยจะได้สบายใจสักทีไงคะ
นะคะ สบายตัวแล้วนี่
จะคิดมากทำไมอีกกัน..”
ฉันยิ้มกรุ้มกริ่มทำเสียงทะเล้นแกล้งล้อเลียนพี่เนย
ก่อนจะโดนเธอหันมาหน้ามาตีหน้าตักด้วยความเหวอที่โดนฉันแซวอย่างนั้นเข้า
ตอนนี้สายตาค้อนๆของเธอค่อยๆคลายกลายเป็นสายตาอ่อนหวานที่มองฉันด้วยความรักและความหวังดีเหมือนอย่างก่อนหน้านั้นแล้ว
ซึ่งก็คงจะพอๆกับฉันที่ก็มองพี่เนยคืนกลับไปด้วยสายตาอ่อนโยนหวานละมุน
แสดงให้เห็นเธอว่าฉันซาบซึ้งในน้ำใจและความหวังดีของเธอขนาดไหน...
..ซึ่งนับตั้งแต่นั้นมา
ฉันกับพี่เนยก็ไม่เคยทะเลาะกันเรื่องบ้านอีกเลย
พี่เนยพยายามทำตามที่เธอตกลงกับฉันไว้
คือเธอจะบอกกับทุกๆคนที่เธอคุยด้วยว่าเงินที่ใช้ซื้อที่และสร้างบ้านเป็นเงินที่ฉันเก็บเอง
ซึ่งเธอก็พูดมันด้วยความภูมิใจทุกครั้ง
เหมือนอย่างที่พี่เนยกำลังยิ้มแล้วยิ้มอีกที่เธอได้พรรณาว่าเธอปลาบปลื้มใจเพียงใดที่เห็นฉันเก่งสามารถเก็บเงินสร้างบ้านได้เองขนาดนี้...
...ตอนนี้พี่ฝ้ายและคุณแฮร์รี่นั่งมองเราหยอกเอินกระหนุงกระหนิงกันอยู่ครู่หนึ่ง
ก่อนที่เธอจะก้มหน้าลงมองนาฬิกาในข้อมือของเธอแล้วเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้....
“..เฮ้ยเนย4ทุ่มกว่าแล้ว
ได้เวลาแล้วว่ะ
เดี๋ยวฉันกับแฮร์รี่ต้องรีบไปจัดแจงต้อนรับเพื่อนในผับต่อ
แกจะไม่แวะไปทักทายเพื่อนๆหน่อยเหรอวะแกเนย
ไปแป๊บๆก็ได้แล้วก็ค่อยรีบกลับกัน...”
พี่ฝ้ายเงยหน้าขึ้นมาจากนาฬิกาก่อนจะรีบเอ่ยปากชวนพี่เนยที่ตอนนี้ก็ทำสีหน้าครุ่นคิด
เธอหันมามองหน้าฉันครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับไปตอบเพื่อนของเธอ..
“อืม..เอาไงดีอ่ะแก
เอางี้ดีกว่าเดี๋ยวฉันขับรถตามไปส่งแกที่หน้าผับ
แล้วฉันจะทักทายเพื่อนๆจากหน้าผับตรงนั้นก็ได้เนอะ
จะได้ไม่น่าเกลียด
ฉันก็จะได้รีบไปรีบกลับด้วย
จะได้ไม่เสียงานฉัน..”
“เออ
ก็ดีนะแก ฉันน่ะเข้าใจแกอยู่นะ
แต่แค่อยากให้เพื่อนๆได้เจอหน้าค่าตากันบ้างเฉยๆ..”
พี่ฝ้ายยิ้มรับพี่เนย
ก่อนจะรีบหันไปเรียกพนักงานในร้านมาเช็คบิลแล้วพากันเดินทางออกจากร้านไป...
...เราขับรถตามพี่ฝ้ายไปหยุดอยู่ที่หน้าผับใจกลางเมือง
ที่เป็นผับประจำที่พี่เนยชอบเที่ยวกับเพื่อนๆของเธอสมัยเรียน
ม.ปลาย
ตอนนี้แม้อาคารสถานที่จะถูกรีโนเวทให้ผนังผิวนอกของอาคารเป็นกระจกและวัสดุสีฉูดฉาดตาแลดูทันสมัยเป็นผับสไตล์โมเดิร์นแตกต่างจากเมื่อ10กว่าปีก่อนแล้ว
แต่ด้วยบรรยากาศที่มีนักท่องเที่ยวราตรียืนจับกลุ่มคุยกันอยู่ด้านหน้าและแสงสว่างวับๆแวบๆของหลอดไฟหลากสีที่เป็นโฆษณาเครื่องดื่มต่างๆ
ก็ทำให้ภาพคืนวันเก่าๆของสถานที่ที่ครั้งนึงฉันเคยมานี้
หวนขึ้นมาให้คิดถึงบรรยากาศอีกครั้ง...
พี่เนยหยุดรถตรงที่จอดพักรถด้านหน้าผับแล้วเปิดประตูรถลงไปหาเพื่อนๆของเธอที่พากันยืนออคุยกันอยู่ด้านหน้าผับ
ในตอนแรกเธอชวนฉันให้ลงไปทักทายบรรดาเพื่อนๆของเธอด้วย
แต่ฉันกลัวว่าหากเราสองคนลงจากรถลงไปทักทายเพื่อนๆของเธอทั้งหมดแล้ว
จะกลายเป็นว่าอาจจะโดนเพื่อนๆเธอรบเร้าให้เข้าไปในผับต่อ
สู้ให้ฉันนั่งคอยอยู่ในรถแล้วให้พี่เนยทำทีว่าต้องรีบกลับเข้ามาหาฉันในรถคงจะดีกว่า
ซึ่งพี่เนยก็เห็นด้วยกับเหตุผลข้อนั้นของฉัน
แม้ความเป็นจริงที่ฉันไม่อยากลงไปทักทายบรรดาเพื่อนๆพี่เนยนั้น
จะมีสาเหตุนอกเหนือจากเรื่องที่ฉันอ้างพี่เนยอยู่นี้ก็ตาม....
พี่เนยลงไปทักทายบรรดาเพื่อนๆของเธอท่ามกลางเสียงกรี๊ดวี๊ดว้ายที่ดังมาเป็นระยะๆ
คงเพราะบรรดาเพื่อนๆของเธอดีใจที่เห็นว่าเธอนั้นมีน้ำใจแวะเข้ามาหาพวกเขาที่ผับด้วย
ฉันนั่งมองสำรวจเพื่อนๆพี่เนยผ่านกระจกประตูรถไปก็เห็นเป็นเพื่อนขาเที่ยวที่ฉันเคยเห็นตั้งแต่สมัยเธอยังเรียนอยู่มัธยม
ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือพี่เก๋...
ตอนนี้พอฉันเห็นพี่เก๋ภาพความหลังเก่าๆชวนขายหน้าบางเรื่องก็โผล่แว็บๆขึ้นมาในสมองฉันทันที
จนฉันคิ้วขมวดรีบเอามือขึ้นมาตบหน้าผากด้วยความเหวออายที่เผลอนึกย้อนกลับไปยังภาพเก่าๆพวกนั้นได้...
เมื่อได้สติรีบหันกลับไปดูพี่เนยยืนคุยกับเพื่อนอีกครั้งหนึ่ง
ตอนนี้เธอทั้งคุยกับเพื่อนทั้งหันหน้าชำเรืองกลับมามองที่รถ
ดูคล้ายเธอพะว้าพะวงกังวลอะไรซักอย่าง
ซึ่งไม่นานหลังจากนั้นเธอก็หันหลังจะเดินกลับมาที่รถโดยมีพี่เก๋ทำท่าเหมือนจะเดินตามมาด้วย
แต่พี่เนยก็หันไปโบกไม้โบกมือบอกอะไรพี่เก๋อยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งกลับมาหาฉันที่รถคนเดียว
ตอนนี้เมื่อพี่เนยเปิดประตูเข้ามานั่งอยู่ในรถ
เธอก็รีบกุลีกุจอดึงมือฉันขึ้นไปกุมไว้ก่อนจะค่อยๆส่งยิ้มหวานๆ
เหมือนต้องการจะขอร้องฉันอะไรสักอย่างต่อจากนี้...
“เอ่อ...กี้คะ
เดี๋ยวเราแวะเข้าไปข้างในผับกันก่อนแป๊บนึงป่ะ...”
เธอทั้งพูดทั้งยิ้มแหยๆมองหน้าฉัน
เหมือนเธอจะแอบเกรงใจฉันเรื่องที่เธอทำทีเป็นบอกให้ฉันรีบลงไปในผับกับเธอด้วยอาการรีบร้อนอย่างนี้...
“ห๊ะ
อะไรนะคะ ไหนเราตกลงกันแล้วไง
พี่เนยก็บอกพี่ฝ้ายแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะแค่แวะมาอ่ะ”
ฉันคิ้วขมวดรีบย้อนถามพี่เนยคืนทันทีที่ได้ยินเจ้าหล่อนพูดอย่างนั้น
ตอนนี้สายตาฉันคงกำลังออกอาการจ้องเขม็งด้วยความสงสัยจนกระทั่งพี่เนยก็เผลอสะดุ้งทันทีที่ได้ยินฉันทำเสียง
ห๊ะ ตั้งแต่ตอนแรก..
“ค่ะใช่ค่ะ
แต่ว่า..คือเอ่อ..พอดีเพื่อนๆมาหลายคนเลยค่ะกี้...”เธอทำทีเป็นตีเนียนพูดเสียงอ่อนเสียงหวานค่ะๆคะๆกับฉัน
แต่ก็ยังพูดไม่ทันไรก็โดนฉันรีบพูดแทรกดักคอจนเธอกลายเป็นสะดุ้งอีกรอบ..
“แล้วไงคะ
เพื่อนพี่เนยก็เพื่อนพี่เนยสิ
กี้ไม่ไปหรอก
พี่เนยก็น่าจะรู้ว่ากี้...ไม่กล้าเข้าไปเที่ยวในนั้นอีกแล้ว”
“หืม..ทำไมล่ะคะ..”
พี่เนยคิ้วขมวดด้วยความสงสัย
เธอนั่งมองหน้าฉันอยู่นานกว่าจะร้องอ๋อ
แล้วกลายเป็นทั้งพูดทั้งขำกับฉันทันทีที่เธอนึกถึงเรื่องอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“อ๋อ..เรื่องนั้นน่ะเหรอ
เฮ้ยมันนานมาแล้วนะกี้
เพื่อนๆเค้าลืมไปหมดแล้ว..”
“แต่กี้ยังไม่ลืมและเชื่อเหอะถ้าพวกพี่เก๋เจอกี้มาเที่ยวที่นี้อีก
แกก็ต้องนึกเรื่องนั้นขึ้นมาได้อีกแน่ๆล่ะ..”ฉันโบกไม้โบกมือปฏิเสธพี่เนยเข้าไปใหญ่
ยิ่งฉันคิดถึงหน้าพี่เก๋ภาพความหลังน่าอายพวกนั้นก็ยิ่งชัดเจนขึ้น
จนฉันไม่กล้าแม้แต่จะคิดว่าขนาดฉัน.....ยังจำภาพได้ละเอียดขนาดนี้
แล้วคนอื่นที่เค้า..เอิ่ม...ก็คงไม่ลืมภาพเหตุการณ์วันนั้นเหมือนกันนั่นล่ะน่ะ...
“..เฮ้ย
อะไรอ่ะกี้เรื่องเด็กๆแค่นั้นไม่มีใครเค้ามาจำหรอกน่า
น่านะ เข้าไปแป๊บเดียวเอง
รีบไปรีบกลับกันก็ได้...นะคะกี้...กี้ก็เห็นนี่ว่า...เดี๋ยวนี้พี่ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวกับเพื่อนเลยอ่ะ.....”
..ฉันจ้องเขม็งไปที่ริมฝีปากพี่เนยตอนที่เธอกำลังพยายามอธิบายหาเหตุผลต่างๆมาโน้มน้าวฉัน
จนกระทั่งมาถึงประโยคสุดท้ายที่เธอพูด
ภาพเหตุการณ์เก่าๆก็โผล่ขึ้นมาแว๊บๆให้ฉันได้นึกขึ้นได้อีกครั้งหนึ่งว่า...ชีวิตของฉันและพี่เนยก็เปลี่ยนแปลงไปเพราะประโยคๆนี้เมื่อ10ปีก่อนนั่นเอง....
“......เดี๋ยวนี้พี่ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวกับเพื่อนเลยอ่ะ..”
...ภาพพี่เนยในชุดนักเรียนมัธยมปลายนั่งขัดสมาธิถือหนังสืออยู่ข้างๆเตียงในห้องนอนฉัน
สว่างชัดแจ้งขึ้นมาอีกครั้งนึง...
ตอนนั้นเป็นช่วงเดือนธันวาคมในปีแรกที่เราคบกันและพี่เนยเริ่มมาอยู่ที่บ้านฉันเป็นจริงเป็นจังแล้ว
เราจะใช้เวลาที่ว่างหลังจากที่ช่วยงานร้านข้าวมันไก่พ่อกับแม่ข้างล่างเสร็จแล้วขึ้นมานั่งทบทวนอ่านหนังสือและทำการบ้านด้วยกัน
ซึ่งช่วงนี้ก็เป็นช่วงสอบเก็บคะแนนพี่เนยและฉันก็เลยขยันอ่านหนังสือสอบและทำการบ้านด้วยกันเป็นพิเศษ
ยกตัวอย่างเช่นวันนี้ที่พี่เนยหอบกองหนังสือขึ้นมาวางไว้บนเตียงแล้วนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆเตียง
เธอนั่งอ่านหนังสือข้างๆฉันที่ก็นั่งทำการบ้านโดยใช้เตียงนอนเป็นเหมือนโต๊ะทำการบ้านเช่นเดียวกัน...
“แล้วไง..”
ฉันละตาจากสมุดจดการบ้านเงยหน้าขึ้นมามองพี่เนยที่ยิ้มแหยๆให้ฉัน
“..อยากไปเหรอ
ไหนพี่เนยบอกว่าจะไม่พยายามเที่ยวแล้วไง..”
ตอนนี้พอฉันพูดจบประโยคพี่เนยก็ทำเป็นยิ้มหวานค่อยๆกระเถิบเข้ามานั่งใกล้ๆ
แล้วทำทีเป็นยื่นมือมาจับไหล่ทำเป็นนวดซ้ายนวดขวาเอาใจฉันต่อ..
“ก็...จริงๆก็ไม่ค่อยอยากไปเท่าไหร่หรอก..แต่แบบว่ามันใกล้ปีใหม่แล้วไง
กี้คงไม่รู้ใช่มั้ยว่าวันที่31น่ะผับเค้าเปิดถึงเช้าเลยนะ
คือเคาน์ดาวน์กันไง
แล้วทีนี้พวกเพื่อนๆที่เคยไปเที่ยวด้วยกันเค้าอยากไป
พวกเค้าก็เลยชวนพี่ไปด้วยไง
...”
พี่เนยเหล่ตาแอบมองท่าทีฉัน
แล้วกลายเป็นหลบตาทันทีที่ฉันเห็นฉันคิ้วขมวดรีบพูดตอบโต้เธอ
“แล้วไง
เพื่อนไปก็ให้เพื่อนเค้าไปสิ
พี่เนยเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ”
“ก็..ก็
เพื่อนพวกนี้เค้าเคยไปเที่ยวได้เพราะว่าพี่พาพวกเค้าไปกันไง
ทีนี้..ถ้าพี่ไม่พาเค้าเข้าไปแล้วใครจะพาพวกเค้าเข้าไปกันล่ะ..”
พี่เนยค่อยๆเงยหน้าแอบชำเรืองตามองฉัน
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นบ่งบอกอาการหวาดหวั่นให้เห็นอย่างชัดเจน...
“พูดเป็นเล่นไป
ถ้าเพื่อนไม่อยากไปก็ต้องบังคับให้เพื่อนพาไปเพื่อที่พวกตัวเองจะได้เที่ยวมีความสุขอย่างนั้นเหรอ
ใช้ได้ที่ไหนกัน..”
พี่เนยคงฟังออกว่าฉันไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่
เธอถึงกับสะดุ้งโหยงทันทีที่ได้ยินเสียงดุๆห้วนๆของฉันอย่างนั้น
“ก็..ก็..ไม่ใช่อย่างนั้น..คือ..คือ
เอ่อ..”
“คือ
อะไร..”
ฉันลากเสียงเหล่มองพี่เนยที่แอบหลบตาฉัน
“..ทำเสียงอึกอักๆแบ่งรับแบ่งสู้อย่างนี้
กี้ว่าพี่เนยอยากไปเองมากกว่าม้างงง...”
เธอสะดุ้งทันทีที่ได้ยินฉันทักท้วงอย่างนั้น
ตอนนี้นอกจากสายตาล่อกๆแล่กๆมองดูมีพิรุธแล้ว
พี่เนยก็ยังมีอาการยกไม้ยกมือโบกปัดไปมาแสดงท่าทางอีหลักอีเหล่แบ่งรับแบ่งสู้ให้ฉันเพิ่มความสงสัยเข้าไปอีก...
“ไม่ใช่ๆคือกี้กำลังเข้าใจพี่ผิดนะ
คือพี่แค่อยากพาเพื่อนๆไปเที่ยวบ้างแค่นั้นเอง
กี้คงไม่รู้หรอกว่าตอนที่พี่โดดเรียนไม่ค่อยเข้าเรียนหนังสือพี่ก็ได้เพื่อนพวกนี้สลับกันเช็คชื่อหรือไม่ก็ทำงานทำการบ้านส่งให้..”
“เบ๊..ว่างั้น..”
ฉันรีบพูดแทรกพี่เนยทันทีที่ได้ยินเรื่องราวที่เธออธิบายเกี่ยวกับความดีความชอบของเพื่อนเธอ
ซึ่งนั่นก็พอจะทำให้ฉันสรุปความหมายของมันเป็นนัยๆตามที่ฉันถามเธอไปก่อนหน้านั้นนั่นเอง
“นี่พี่เนยใช้เพื่อนทุกๆคนเลยเหรอ
แล้วเพื่อนพี่เนยที่คบๆกันอยู่นี่ก็หวังผลประโยชน์อะไรประมาณนี้ทั้งนั้นเลยใช่มั้ย..นี่พี่เนยต้องเลี้ยงเหล้าเค้าอย่างนี้ตลอดเหรอเวลาที่พี่เนยใช้อะไรเค้าอย่างนี้..พี่เนยนี่ก็แย่อยู่นะ
ใช้ไม่ได้เลย
เห็นมั้ยว่าการทำตัวเกรกมะเหรกเกเรของพี่เนยมันส่งผลเสียยังไงบ้าง..”
พี่เนยเม้มปากทำตาละห้อยหน้าหงอยทันทีที่โดนดุ
ตอนนี้พอฉันหยุดบ่นแล้วทำทีเป็นคิ้วขมวดหันไปมองหน้าพี่เนย
เจ้าหล่อนก็รีบหลบตาก้มหน้านั่งมองพื้นห้อง
แล้วทำทีเป็นใช้นิ้วเขี่ยนั้นเขี่ยนี่ด้วยท่าทีซึมๆเศร้าๆของเธอไป...
“..ไม่ต้องมาทำเป็นเศร้าหรอกน่า
ในเมื่อสิ่งที่กี้พูดมันเป็นความจริง..พี่เนยก็ต้องรับให้ได้สิ”
ฉันทั้งพูดทั้งชำเรืองตามองพี่เนยด้วยความเป็นห่วง
เธอนั่งก้มหน้าก้มตาไม่พูดตอบโต้อะไรกับฉันอยู่สักครู่นึงก่อนจะเงยหน้าขรึมๆขึ้นมาตอบรับฉันด้วยเสียงเรียบๆฟังดูเซ็งๆของเธอไป...
“อืม....”
ตอนนี้พอเธอตอบรับฉันด้วยท่าทางซังกะตายเสร็จแล้วก็กลายเป็นว่าเธอหันมาหยิบกองหนังสือทั้งหมดกระเถิบออกไปนั่งอ่านอยู่ไกลๆฉันซะอย่างนั้น...
เมื่อเห็นว่าพี่เนยไม่รบเร้าเซ้าซี้อะไรฉันต่อแล้ว
ฉันก็หันกลับมาทำการบ้านต่อ
แต่ด้วยความเงียบแปลกๆที่กำลังเกิดขึ้นระหว่างฉันกับพี่เนยตอนนี้
เลยทำให้ฉันต้องแอบชำเรืองตามองตามพี่เนยบ้างว่าเธอกำลังทำอะไร
ซึ่งตอนนี้ภาพที่เห็นก็คือเธอทำเป็นนั่งเกยคางอ่านหนังสืออยู่บนเตียงเงียบๆ
ไม่พูดไม่จาอะไรเอาแต่ก้มหน้าหมอบลงไปกับหนังสือ
ฉันมองใบหน้าด้านข้างเห็นคิ้วเข้มๆหนาๆของเธอกำลังขมวดเป็นปมยู้ๆยี่ๆ
เหมือนเจ้าของคิ้วงามคู่นั้นกำลังคิดมากซีเรียสกับอะไรบางอย่างอยู่....
“พี่เนย..ทำไมนั่งไกลกี้จัง
มานั่งใกล้ๆกี้สิ”
ฉันลองเอ่ยปากถามพี่เนยด้วยความเป็นห่วงดู
แต่เธอไม่ตอบทำเป็นนิ่งเอาแต่นั่งเกยคางอ่านหนังสือเงียบๆของเธอไปอีกเหมือนเดิม...
“เฮ้..เป็นอะไรหรือเปล่าทำไมนั่งเงียบอย่างนั้นล่ะ..ทำไมไม่เข้ามานั่งใกล้ๆกี้”
เมื่อเห็นอาการเฉยชาอย่างนั้นฉันเลยเพิ่มระดับเสียงกลายเป็นร้องถามพี่เนยด้วยเสียงดังๆขึ้นทันที
“หืม..ไม่หรอก..พี่อ่านเงียบๆอยู่ตรงนี้ดีกว่า..ไม่อยากเสียเวลาแล้ว
พี่ไม่ตั้งใจเรียนมาเยอะแล้ว”
พี่เนยตอบฉันเสียงเรียบๆ
แต่อาการก้มหน้าก้มตาไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมามองในระหว่างที่พูดนั่นทำให้ฉันรู้ได้ทันทีว่าต้องมีอะไรอยู่ในประโยคปฏิเสธเมื่อครู่นี้แน่ๆ
“นี่พี่เนยประชดกี้เหรอ”
“เปล่า..”
เธอตอบกลับมาด้วยเสียงเรียบๆเช่นเคย
และเช่นเคยเธอก็ยังคงก้มหน้าก้มตาทำเป็นอ่านหนังสือโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองอะไร
“จริ๊ง..”
ฉันรีบถามคืนเสียงสูง
“แล้วทำไมไม่เงยหน้าขึ้นมามองกี้ล่ะ
งอนกี้ใช่ป่ะเนี่ย”
“หืม..”
พี่เนยขานรับก่อนจะเงยหน้าทำทีเป็นแสยะยิ้มเหมือนไม่เต็มใจจะยิ้มตอบฉัน
“เปล่านี่ ไม่มีอะไรหรอกคิดมากน่า...”
ฉันนั่งมองพี่เนยรีบตอบรีบก้มแล้วก็อดที่จะนึกขำเจ้าหล่อนในใจไม่ได้
นี่เธอคงจะงอนที่ฉันพูดดักคอไม่ยอมให้ไปเที่ยวก่อนหน้านั้นสิท่า
ฉันแอบขำในท่าทางกิริยาของพี่เนยก่อนจะแกล้งทำทีเป็นค่อยๆคลานเข่าเข้าไปนั่งใกล้ๆเธอ
ตอนนี้เมื่อเธอรู้สึกว่าฉันเข้าไปอยู่ใกล้ๆแล้ว
เธอก็ยิ่งทำเป็นนิ่งแกล้งก้มหน้าลงหมอบอ่านหนังสือติดกับพื้นเตียงเข้าไปใหญ่
“งอนกี้เรื่องที่กี้ไม่ให้ไปเที่ยวกับเพื่อนใช่มั้ย
กี้รู้นะ
พี่เนยน่ะเวลางอนดูง่ายจะตาย..ปกติไม่มีหร๊อกจะก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือซีเรียสอย่างนี้
นี่จริงๆต้องมากอดต้องมาหอมขอกำลังใจจากกี้ทุกๆ5นาทีแล้วนะนี่
เก่งจังเลยทำไมครั้งนี้ทนได้อ่ะ”
ฉันทั้งพูดทั้งแกล้งยื่นสองมือเอื้อมไปหยิกแก้มทั้งสองข้างให้โย้ขึ้นลงด้วยความหมั่นไส้
ทั้งโน้มหน้าเข้าไปหอมแก้มทางซ้ายทีขวาทีโดยหวังให้เธออารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง
..แต่เธอก็ไม่..
แม้เธอจะเงยหน้าขึ้นมาตามแรงหยิกแรงหยอกของฉัน
แต่เธอก็ไม่ยอมยิ้มไม่ยอมขำอะไรเอาแต่ทำหน้าบึ้งสั่นหน้าไปตามแรงจับแรงหอมที่ฉันทำไปเมื่อครู่นี้
ตอนนี้พอฉันหยุดหอมแล้วนั่งมองหน้าเธอนิ่งๆ
เธอก็ทำเป็นสะแหยะยิ้มให้ฉันก่อนจะหันไปก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือของเธออีกเหมือนเดิม..
“..อะไรอ่ะ
งอนจริงๆด้วยนี่
นี่จริงจังขนาดนั้นเลยเหรอนี่
นี่ถ้ากี้ไม่ยอมให้ไปก็จะตั้งท่างอนกี้อย่างนี้ตลอดเลยใช่เปล่านี่”
ฉันทั้งพูดทั้งแอบเหล่ดูทีท่าของพี่เนยที่เช่นเคยเธอก็ยังนั่งแข็งทื่อไม่ยอมหือไม่ยอมอืออะไรทั้งนั้น
“เห้อ
เอ้อก็ได้ๆ แต่ว่าเรื่องมันค่อนข้างจะไร้สาระ
ยังไงซะกี้ก็คงไม่ยอมให้พี่เนยไปเที่ยวง่ายๆหรอกนะ
มันต้องมีอะไรแลกเปลี่ยนกันหน่อย..”
ได้ผล..เธอแอบชำเรืองเหล่ตามองฉันทันทีที่ได้ยินฉันพูดอย่างนั้น...
“ไง..สนใจล่ะสิ..กี้น่ะก็ไม่ได้อยากจะบังคับฝืนใจอะไรพี่เนยมากมายหรอกนะ
ที่กี้ห้ามที่กี้บ่นตั้งแต่ตอนแรกๆก็เพราะว่ากี้ห่วงพี่เนยทั้งนั้นล่ะน่า
ยิ่งตอนนี้ยิ่งใกล้สอบเก็บคะแนนอยู่ถ้าพี่เนยมามัวแต่ห่วงเที่ยวอย่างนี้พี่เนยจะเอาอะไรไปสอบเข้ามหาลัยเล่า
เข้าใจกี้อยู่ใช่มั้ย”
พี่เนยหันหน้าบึ้งๆมามองฉันก่อนจะยักคิ้วตอบรับแล้วทำหน้าเซ็งๆเบื่อๆของเธอต่อไป..
“ก็เอาอย่างนี้มั้ย
เพื่อประโยชน์ของพี่เนยด้วย
เอาเป็นว่าถ้าการสอบมิดเทอมรอบนี้ถ้าพี่เนยทำคะแนนท๊อปของห้องได้
กี้ให้พี่เนยไปเที่ยวกับเพื่อนๆเลยอ่ะ..”
“ห๊ะ
ท๊อปเลยเหรอ
จะบ้าเหรอแค่ให้ผ่านสักครึ่งของวิชาทั้งหมดพี่ก็หนักใจจะแย่แล้ว
นี่ถ้ากี้จะให้พี่ทำคะแนนท๊อปได้ขนาดนั้น
ชาตินี้ทั้งชาติพี่คงไม่ได้ไปเที่ยวหรอกมั้ง”
พี่เนยคิ้วขมวดรีบแย้งฉันด้วยเสียงนอยด์ๆของเธอทันที..
“กี้ก็รู้ว่าพี่ก็ไม่ได้เก่งอะไรเท่าไหร่เลย
ที่ทุกวันนี้ขนาดพยายามเรียนพิเศษพยายามติวหนังสือหนักกว่าเพื่อนยังไงพี่ก็ว่ามันยังไม่ทันเข้าหัวสมองพี่เท่าไหร่เลย..ถ้ากี้จะมาพูดแกล้งพี่อย่างนี้นะ
สู้กี้บอกพี่มาเลยก็ได้ว่าไม่ต้องไปเที่ยวหรอก
พี่จะได้ทำใจไว้เลย”
พี่เนยต่อว่าต่อขานฉันด้วยน้ำเสียงน้อยเนื้อต่ำใจของเธอเป็นที่สุด
“กี้ไม่ได้แกล้งนะ
นี่กี้หวังดีกับพี่เนยนะนี่
มันก็เป็นผลดีกับพี่เนยเองด้วยไงพี่เนยก็จะได้มีแรงผลักดันในการสอบอ่ะ”
ฉันทั้งพูดทั้งยื่นมือไปจับแก้มปลอบใจเธอไว้ด้วยเพราะกลัวว่าเธอจะคิดเป็นอื่นไปอย่างที่เธอเข้าใจ
แต่เธอก็ยังคิ้วขมวดมองฉันอย่างเคืองๆอยู่เหมือนเดิม...
“อะๆ
เอาสัก3วิชาก็ได้
ถ้าพี่เนยทำคะแนนท๊อปได้3วิชากี้ยอมให้ไปเลยอ่ะ...”
พี่เนยเม้มปากมองแรงฉัน
“3วิชาก็ยังเยอะไปเลยอะ
แค่วิชาเดียวจะท๊อปได้หรือเปล่ายังไม่รู้เลย”
“เอ้า
อะไรเล่าแค่นี้เองอ่ะ
นี่ขนาดว่ากี้ประนีประนอมยอมหาทางเลือกให้พี่เนยได้ไปเที่ยวกับเพื่อนแล้วนะ
หรือจะไม่ไป ถ้าอย่างนั้นกี้ไม่ให้ไปแล้วนะ”
เมื่อเห็นว่าเจ้าหล่อนโยเยไม่ยอมรับข้อเสนอที่ฉันพยายามช่วยเธอเต็มที่แล้ว
ฉันก็เริ่มทำเสียงเข็งแกล้งกลับมาทำเสียงดุข่มขู่เธออีกครั้ง
จนพี่เนยหน้าเสีย
เธออึกๆอักๆเหมือนว่ากำลังตัดสินใจบางอย่างอยู่
ฉันมองดูเธอเทียวก้มเทียวเงยมองหนังสือที่อยู่ต่อหน้าเธออยู่นาน
ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาตอบรับข้อเสนอกับฉันอย่างเสียไม่ได้...
“สามวิชาสำหรับพี่น่ะมันถือว่ายากอยู่นะ
แต่ถ้ามีข้อเสนอที่มันยากสมเหตุสมผลกันพี่ก็จะพยายามทำ”
“เอ้า..
ทำไมพูดอย่างนั้นการได้ไปเที่ยวกับเพื่อนนี่มันไม่ยากสมเหตุสมผลเหรอ”
เมื่อได้ยินคำพูดแปลกๆอย่างนั้นฉันอดที่จะรีบแย้งถามเธอกลับไปด้วยความสงสัยไม่ได้
“มันไม่ได้ยากหรอกแค่นั้น
ถึงกี้ไม่ให้พี่ไปวันนี้วันหลังพี่อาจจะแอบไปได้อยู่ดี
แต่...พี่จะพยายามทำท๊อปสามวิชาให้ได้จริงๆถ้ากี้ยอมรับเงื่อนไขของพี่อีกข้อหนึ่งด้วยอ่ะ”
“เงื่อนไขอะไร..”ฉันทั้งถามทั้งคิ้วขมวดสงสัย
นี่เจ้าหล่อนจะมาไม้ไหนยังไงกับฉันอีก...
“ก็..ถ้าพี่ทำคะแนนท๊อปสามวิชาได้
นอกจากว่าพี่จะได้ไปเที่ยวผับในวันปีใหม่กับเพื่อนแล้ว..กี้ต้องไปเที่ยวกับพี่ด้วยนะ..”
“ห๊ะ..เที่ยวผับนี่นะ
อย่างกี้นี่นะ หึๆ
จะบ้าแล้วกี้ไม่ไปหรอก
แค่กี้ยอมให้พี่เนยไปเที่ยวอีกครั้งนี่ก็บุญหัวพี่เนยเท่าไหร่แล้ว
ได้คืบจะเอาศอกอย่างนั้นเหรอ
กี้ไม่เอาด้วยหรอก..”
“เอ้อ
งั้นพี่ก็จะไม่ตั้งใจเรียนเหมือนกัน
คอยดูพี่จะโดดทุกวิชาเลยต่อไปนี้
ก็จะได้รู้เหมือนกันไอ้คำว่าหวังดีพยายามหาแรงผลักดันอยากให้เรามีกำลังใจในการเรียนอย่างนั้นโน้นนี้
ที่พูดมามันจริงขนาดไหน
ก็ไม่เท่าไหร่นี่หว่า
ถึงเวลาก็ไม่แน่จริงนี่หว่า
ก็แค่พูดลอยๆเท่านั้นนี่
ถ้างั้นพี่ก็คงต้องทำตัวลอยๆเหมือนแต่ก่อนบ้างล่ะนะ
ไม่มีใครเอาใจใส่ชีวิตพี่จริงๆสักหน่อย
สักแต่พูด เกลียดว่ะ..”
พี่เนยทั้งพูดทั้งเบ๊ปากมองหน้าฉัน
เธอทำเป็นจิกตามองแรงฉันก่อนจะหันไปหยิบเอาหนังสือทำท่าจะลุกขึ้นเดินเอามันไปเก็บใส่กระเป๋านักเรียนเธอ
“เฮ้ย
ทำไมต้องเล่นใหญ่ด้วยอ่ะ
จะดราม่าทำไมนี่ พูดดีๆก็ได้นี่นา
อ่ะๆก็ได้ๆ
ถ้าพี่เนยสอบได้ท๊อปสามวิชาจริงกี้จะยอมไปเที่ยวผับกับพี่เนยเลยอ่ะ...”
เมื่อเห็นท่าทางว่าพี่เนยจะไม่ยอมความง่ายๆแล้วจะกลายเป็นทะเลาะกันเสียงานเสียการเปล่าๆ
ฉันก็เลยรีบๆตกปากรับคำเจ้าหล่อนส่งๆไปด้วยความคิดในใจตอนนั้นที่ว่า
พี่เนยก็คงไม่กล้าสอบได้ท๊อป3วิชาขนาดนั้นหรอก
ก็เธอพึ่งจะมาตั้งใจเรียนพึ่งจะมาขยันอ่านหนังสือช่วงหลังๆ
ไอ้การทำคะแนนท๊อป3วิชาสำหรับคนหัวทื่อที่เข้าเรียนบ้างไม่เข้าเรียนบ้างอย่างเธอน่ะ
คงจะเป็นไปไม่ได้แน่...
“จริง......”เธอหันควับกลับมามองฉันทันทีที่ได้ยินฉันสัญญาอย่างนั้น..
“จริงสิ
อ่ะสัญญาให้ดูก็ได้อ่ะ”
ฉันรีบยกสามนิ้วขึ้นทำท่าสัญญากับพี่เนย
ก่อนจะรีบลุกขึ้นเดินเข้าไปดึงแขนเธอให้มานั่งตักฉันอยู่บนเตียง
“แล้วถ้ากี้ให้โอกาสพี่เนยอย่างนี้แล้วพี่เนยก็ต้องรีบตั้งใจเรียนได้แล้วนะ
รู้ตัวมั้ยแม้กี้จะเป็นห่วงพี่เนยเรื่องการเรียนขนาดไหน
แต่ถ้าพี่เนยไม่ใส่ใจที่จะตั้งใจเรียนเองแล้ว
ยังไงๆมันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรหรอก
กี้อยากให้พี่เนยเข้ามหาลัยดีๆได้
กี้ถึงพยายามจ้ำจี้จำไชพี่เนยอย่างนี้น่ะ
อย่าโกรธให้กี้เลยนะ..”
ฉันทั้งพูดทั้งค่อยๆยื่นสองมือไปโอบกอดพี่เนยไว้
ทั้งโน้มหน้าลงไปหนุนแผ่นหลังบอบบางของเจ้าของร่างอรชน
ตอนนี้พอเธอได้ยินคำหวานๆที่ฉันพยายามพูดโน้มน้าวให้เธอตั้งใจเรียนขึ้น
ก็ดูเหมือนเธอจะพยายามรับฟัง
เธอพยักหน้าตอบรับในคำบอกคำสอนต่างๆที่ฉันพูดในประโยคเสมอ
“..พี่เนยจำได้ใช่มั้ยเรื่องที่พี่เนยเคยให้สัญญาว่าจะปรับปรุงตัวไปพร้อมๆกับกี้น่ะ
ตอนนี้พี่เนยก็เห็นแล้วใช่มั้ยว่าไม่ใช่แต่เฉพาะพี่เนยนะที่พยายามเปลี่ยนแปลงตัวเอง
กี้ก็พยายามเปลี่ยนแปลงตัวของกี้เองให้เข้ากับพี่เนยให้ได้เหมือนกันน่ะ
อะไรที่พี่เนยชอบอะไรที่พี่เนยอยากได้
ถ้ากี้ทำได้และเป็นเรื่องที่ดีอยู่กี้ก็จะพยายามทำให้พี่เนย
ทีนี้รู้หรือยังว่ากี้รักพี่เนยขนาดไหนน่ะ..”
พี่เนยพยักหน้ารับ
เธอค่อยๆหันหน้ากลับมามองฉัน
ตอนนี้พอฉันได้จ้องมองดวงตาสีน้ำตาลที่ลดความแข็งกระด้างกระเดื่องเมื่อยามเธอโกรธไม่พอใจเรื่องต่างๆออกไปแล้ว
ความอ่อนโยนในแววตาเธอก็ทำหน้าที่ร่ายมนต์ให้ฉันตกอยู่ในภวังค์จนกระทั่งละจากดวงตาสีน้ำตาลหวานๆคู่นี้อีกไม่ได้
ได้แต่นั่งจ้องมองเธอด้วยความเสน่หาจนกระทั่งเผลอไผลปล่อยตัวปล่อยใจโน้มใบหน้าเข้าไปมอบจุมพิตหวานละมุนชุ่มฉ่ำจนกระทั่งนำเราทั้งสองเข้าไปสู่วังวนแห่งเกมส์รักอีกครั้งหนึ่ง...
..ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาพี่เนยคนสวยก็ดูจะมีความพยายามที่จะตั้งใจเรียนเพิ่มมากขึ้นเป็นพิเศษ
เธอจะใช้เวลาว่างของทุกๆวันในการหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านทบทวน
หรือแม้แต่พยายามทำงานส่งเก็บคะแนนให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ยกตัวอย่างเช่นวันนี้
ที่พี่เนยนั่งก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือเรียนตั้งแต่ตอนที่ฉันเดินเข้าไปนั่งในรถตู้พี่เนย
ที่น้าคนขับรถจะขับเข้ามารับฉันไปเรียนด้วยทุกวัน
เธอนั่งก้มอ่านไม่ยอมเงยหน้าเงยตาขึ้นมามองเลยว่ามีอะไรเกิดขึ้นมาข้างๆเธอบ้าง
แม้ว่าฉันจะลงไปนั่งแมะข้างๆเบาะเธอแล้วก็ตาม
แม้ตอนแรกฉันจะนึกขำอาการตั้งอกตั้งใจของเธออยู่บ้าง
แต่นานๆเข้าทีท่าจริงจังซีเรียสของเธอนั้นกับทำให้ฉันเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาเรื่อยๆ...
เริ่มจาก...การที่เธอเดินลงจากรถตู้โดยที่ยังอ่านหนังสืออยู่
แล้วเดินดุ่มๆเข้าไปในโรงเรียนโดยที่ไม่ได้มองถนนจนเกือบจะโดนรถมอเตอร์ไซค์ชนเข้าให้
หรือการเดินก้มหน้าก้มตามองแต่หนังสืออย่างนั้นจนไปชนเข้ากับกลุ่มนักเรียนที่ยืนจับกลุ่มคุยกันอยู่ข้างทางจนพวกเขาไม่พอใจตั้งท่าจะมีเรื่องกับพี่เนยจนฉันต้องรีบไปช่วยอธิบายไว้
หรือแม้แต่ตอนที่ฉันพยายามจะเรียกเธอให้หันมาคุยมาตอบรับอะไรกับฉันบ้าง
อย่างตอนที่ฉันนั่งคุยกับเธอตอนพักเที่ยงที่ระเบียงหน้าห้องเรียนของเธอ
แต่เธอก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือของเธอไป...
“..เฮ้..ไม่ได้ยินที่กี้ถามหรือไงนี่พี่เนย”
เป็นฉันที่หันไปตะโกนกรอกหูพี่เนย
ตอนที่ถามเธอเรื่องที่ว่าวันนี้จะให้รอกลับพร้อมกันมั้ย
แต่เธอก็ไม่ตอบเอาแต่นั่งเงียบก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสืออยู่เหมือนเดิม..
“หือ..อะไรนะ
กี้ว่าอะไรนะคะ”
ตอนนี้พอได้ยินเสียงตะโกนฉัน
เธอก็สะดุ้งตกใจรีบละใบหน้าจากหนังสือหันมาจ้องหน้าฉันอย่างงงๆ...
“กี้ถามว่าจะกลับพร้อมกันมั้ย
จะให้กี้รอพี่เนยมั้ยวันนี้น่ะ..”
พี่เนยนิ่งเธอนั่งนึกอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะบอกฉัน
“ก็กลับพร้อมกันก็ได้ถ้ากี้รอพี่ได้อ่ะ
คือวันนี้พี่ต้องทำงานกลุ่มส่งว่าจะทำให้เสร็จที่โรงเรียนกันเลยจะได้ไม่ยุ่งไม่วุ่นวายวิชาอื่นอีก..”
“เอ๋า..ทำงานกลุ่มอีกแล้ว
ทำบ่อยจังเลย...”
ฉันหน้าหงอยทันทีที่ได้ยินพี่เนยบอกกล่าวเรื่องที่เธอไม่ว่างในตอนเย็นนี้
ทั้งๆที่วันนี้เป็นวันศุกร์และฉันตั้งใจว่าเลิกเรียนเย็นนี้ฉันจะชวนเธอไปทานไอศกรีมที่ห้างในเมืองก่อนสักหน่อยถึงจะกลับบ้านกัน
เพราะด้วยความที่ว่าช่วงนี้เธอไม่ค่อยได้พาฉันออกไปสวีตกันข้างนอกสองต่อสองเท่าไหร่เลย...
..ฉันนึกถึงครั้งสุดท้ายที่เราได้ไปสวีตกันก็น่าจะเป็นกลางๆเดือนก่อนที่พี่เนยแอบพาฉันขับรถซุปเปอร์คาร์ไปเที่ยวที่บ้านพักอีกจังหวัดหนึ่งของเธอ
ตอนนั้นพี่เนยแอบสอนฉันขับรถยนต์ของเธอด้วย
ครั้งนั้นฉันทั้งตื่นเต้นทั้งสนุกสนาน
ทั้งมีความสุขที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับพี่เนยในสถานที่ที่มีแค่เราแค่สองคนเป็นครั้งแรก
เนื่องจากพ่อพี่เนยอยากมีบ้านพักที่อยู่ในเขตจังหวัดที่มีแหล่งท่องเที่ยวประเภทป่าไม้สายธารน้ำตกให้ครอบครัวได้พักผ่อนบ้าง
บ้านหลังนั้นก็เลยถูกสร้างขึ้นมาหลังเดี่ยวๆโดดๆในเขตป่าที่มีน้ำตกไหลผ่านตัวบ้าน
ซึ่งก็ถือว่าไกลจากตัวเมืองมากบ้านหลังนั้นก็เลยไม่มีใครอยู่เฝ้าอะไรให้
การไปพักผ่อนกับพี่เนยในครั้งนั้นจึงเป็นเหมือนการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์สำหรับเราสองคนที่พึ่งจะเริ่มตกลงปลงใจคบกันใหม่ๆ
เราสามารถใช้เวลาทุกๆเวลา
สถานที่ๆทุกๆสถานที่ในเขตบ้านพี่เนยเป็นที่พลอดรักของเราทั้งสองคนได้โดยไม่ต้องกลัว
ไม่ต้องอายว่าจะมีใครมาเห็นภาพเริงรักของเราทั้งสองคนอย่างนั้น...
ยิ่งฉันนึกถึงภาพเวลาประทับใจเหล่านั้นก็ยิ่งน้อยใจ
เพราะนอกจากว่าตอนนี้พี่เนยจะไม่ค่อยพาฉันไปไหนมาไหนสองต่อสองอย่างแต่ก่อนแล้ว
ตอนนี้เธอยังเอาแต่นั่งก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือของเธอโดยที่ไม่ได้สนใจใยดีอะไรฉันเลย
ไม่สนใจแม้กระทั่งว่าฉันกำลังทำสีหน้างอนๆเพราะน้อยใจอะไรอยู่
หรือรู้สึกหงุดหงิดอะไรยังไงให้ตัวเธอบ้าง
ยิ่งมองเห็นอาการสนใจสิ่งอื่นมากกว่าฉัน
ฉันก็ยิ่งน้อยใจและด้วยความน้อยใจนี่ล่ะที่ทำให้ฉันเริ่มหงุดหงิดนั่งหันซ้ายหันขวามองนั่นมองนี่แก้อารมณ์เสียไปเรื่อยจนกระทั่งไปเจอเข้ากับ...พี่พลอย...ที่ยืนชะโงกหน้าเศร้าๆมองฉันอยู่ที่หน้าประตูห้องเรียนของเธอ
ตอนนี้พอพี่พลอยสบเข้ากับสายตาของฉันเธอก็รีบเปลี่ยนสีหน้าทำเป็นส่งยิ้มหวานทักทายฉันทันที..
ฉันก็ยิ้มให้พี่พลอย...ตอนนี้ภาพพี่พลอยเมื่อวันที่เธอเล่าเรื่องที่แม่ของเธอป่วยให้ฉันฟังก็สว่างชัดขึ้นในหัวอีกครั้ง
ด้วยความรู้สึกทั้งสงสารและเป็นห่วงพี่พลอยเลยทำให้ฉันตัดสินใจลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วเดินตรงไปหาพี่พลอยที่หน้าห้องทันที..
“พี่พลอย..สบายดีหรือเปล่าคะ”
เป็นฉันที่เริ่มทักทายพี่พลอยก่อนหลังจากที่เดินเข้าไปโบกมือและยิ้มทักทายเธอ
ตอนนี้พอฉันเดินเข้ามายืนอยู่ต่อหน้าหญิงสาวร่างสูงโปร่ง
รูปร่างสวยสมส่วนสะโอดสะองค์คนนี้แล้ว
ก็อดที่จะชำเรืองมองนัยต์ตาหวานๆกลมโตสีดำแต่แฝงไว้ด้วยความเหงาแลดูแสนเศร้าตอนที่เธอพยายามยิ้มทักทายฉันด้วยความรู้สึกสงสารไม่ได้
ใช่...ตอนนี้ฉันรู้สึกสงสารพี่พลอยเหลือเกิน
แล้วยิ่งมองริมฝีปากแดงๆชุ่มๆที่กำลังฝืนขยับมุมปากโชว์ลักยิ้ม
ที่เจ้าของใบหน้าสวยแก้มแดงระเรื่อพยายามข่มความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจต่างๆ
ที่เธอแอบซ่อนมาตลอดระยะเวลาที่ฉันบอกถึงความสัมพันธ์ของฉันและพี่เนยกับเธอไปแล้วนี่
มันก็ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกผิดจนต้องพยายามหลบตาเธอทันทีที่เธอมองกลับมาหาฉันอย่างนั้น...
ใช่...ฉันรู้สึกผิดเหลือเกินที่ฉันเผลอทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งเข้าใจผิดในความสัมพันธ์ของฉันกับเธอตั้งแต่วันนั้น
วันที่ฉันเผลอหอมแก้มเธอไป
ตอนนี้พอฉันพยายามหันกลับไปมองสายตาของเธอใหม่
ก็ยังเจอว่าเธอยังคงมองฉันด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจเหมือนเดิมอยู่
แต่รอยยิ้มที่เธอพยายามเบ่งบานออกมาทักทายฉันนั้น
ก็พอจะทำให้รู้ว่าเธอดีใจขนาดไหนที่เห็นฉันเดินมาหาเธอถึงหน้าห้องได้ขนาดนี้
เธอพยายามข่มความเศร้าในดวงตาสีดำขลับคู่นั้นของเธอไว้
ก่อนจะพยายามปรับสีหน้าเศร้าๆของเธอให้เปลี่ยนเป็นยิ้มหวานและเอ่ยปากตอบคำถามฉันด้วยน้ำเสียงสดใสน่าฟังของเธอต่อ...
“ก็สบายดีนะ
ก็เรื่อยๆนั่นล่ะ
อาจจะแย่หน่อยตรงที่ไม่ค่อยได้ไปกินข้าวมันไก่ที่บ้านกี้แล้วเดี๋ยวนี้..”
พี่พลอยหยุดพูดแล้วแอบมองหน้าฉันด้วยความน้อยใจเมื่อเผลอนึกถึงภาพความหลังเก่าๆที่เธอเคยได้ไปอยู่กับฉันที่บ้าน
“แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก..พี่ให้น้าแม่บ้านซื้อมาให้พี่กินเกือบๆจะทุกวันนั่นล่ะ
ไม่ได้กินอยู่ที่ร้าน
กินอยู่บ้านก็อร่อยเหมือนเดิมนั่นล่ะนะ”
เธอทั้งพูดทั้งหัวเราะ
แต่รอยยิ้มเศร้าๆของเธอนั้นสร้างความรู้สึกสงสารจนฉันต้องแอบหลบตาเธออีกครั้งหนึ่งทันทีที่เห็นสายตาตัดพ้อต่อว่าอย่างนั้น....
“กี้ล่ะเป็นยังไงบ้าง
คงสบายดีใช่มั้ยเห็นหน้าตาสดใสเป็นพิเศษเลยนะช่วงนี้...”
ฉันยิ้มให้พี่พลอยนิดนึงก่อนจะพยักหน้ารับ
“ค่ะ สบายดีค่ะ..”
ด้วยแววตาเศร้าๆของพี่พลอยตอนนี้เลยทำให้ฉันได้แต่ตอบรับเธอด้วยประโยคสั้นๆไม่กล้าที่จะพูดอะไรกับเธอมากมาย
ด้วยกลัวว่าเธอจะเก็บเอาไปคิดด้วยความเสียใจของเธออีกหากฉันเผลอพูดบางเรื่องที่กระทบกระเทือนจิตใจเธอเข้า...
“พี่ว่าจะโทรหากี้..แต่ก็เกรงใจ..เอ่อ..เนย..ทั้งอยากจะทักแชทไปแต่ก็ไม่กล้า
เพราะพี่ไม่รู้ว่ากี้จะอยู่กับใครมั้ย..แล้วจะสะดวกคุยกับพี่หรือเปล่า..”
พี่พลอยหยุดพูดแล้วกลืนน้ำลาย
เธอจ้องมองฉันด้วยสายตาเศร้าๆ
เหมือนเธอรู้สึกสะเทือนใจกับคำถามที่เธอกำลังจะถามต่อ...
“...ได้ข่าวว่าเนยไปอยู่กับกี้ที่บ้านตลอดแล้วใช่หรือเปล่า..”
“ใช่..พ่อเราบอกเธอเหรอ..”
..ยังไม่ทันที่ฉันจะขยับปากตอบคำถามพี่พลอยด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ
เสียงแข็งๆห้วนๆก็ดังลอยเข้ามาแทรกกลางการสนทนาระหว่างเราสองคนทันที
...พี่เนยนั่นเอง...ตอนนี้เธอเดินมาโอบไหล่ฉันจากด้านหลัง
สายตาเธอก็จ้องเขม็งไปที่พี่พลอย
แม้ไม่ได้ให้ความรู้สึกแข็งกระด้าง
แต่ไอ้ท่าทางยักคิ้วและยิ้มน้อยของเธอตอนนี้
ก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเธอกำลังแกล้งยียวนกวนประสาทพี่พลอยด้วยการแสดงความเป็นเจ้าของของฉันต่อหน้าต่อตาพี่พลอยอยู่
พี่พลอยมองพี่เนยคืนด้วยสายตาเย็นชาก่อนจะยักคิ้วและตอบรับพี่เนยด้วยเสียงเรียบๆ
เหมือนเธอไม่แยแสในท่าทางกวนอารมณ์ของพี่เนยเลย
“อืม..”
“ก็นั่นล่ะนะ
เราก็บอกทั้งพ่อเรา
บอกทั้งทุกคนในบ้านเราไปหมดแล้วว่าเราคิดยังไงกับกี้
พ่อเราก็ไม่ได้ว่าอะไร
แถมยังให้เรามานอนอยู่กับกี้ได้ตลอดเวลาอีก
พ่อกับแม่กี้ก็รู้
เราสองคนคบกับเปิดเผยแล้วการที่จะอยู่ด้วยกันตลอดเวลายังไงมันก็ไม่แปลก
เธอคิดถูกแล้วล่ะที่ไม่โทรมากี้อีกน่ะ..”
พี่เนยทั้งพูดทั้งยิ้มน้อย
มือข้างที่เธอโอบไหล่ฉันก็ออกแรงดึงฉันเข้ามาซะเบียดกับตัวเธอจนฉันอึดอัดต้องพยายามแกะมือข้างที่โอบไหล่ของพี่เนยออกแล้วหันไปคิ้วขมวดจุ๊ปากส่งสัญญาณบอกพี่เนยให้หยุดทำท่าทางกลัวโอ้ยน่าเกลียดต่อหน้าพี่พลอยเสียที...
“มาตอนไหนนี่
เมื่อกี๊ทำไมนั่งก้มหน้าก้มอ่านหนังสืออยู่..”
ฉันกระซิบกระซาบถามพี่เนยทันทีที่แกะมือเธอออกได้..
“ก็มาตอนนี้นี่ล่ะ
พอเงยหน้าแล้วกี้หายพี่ก็รีบมองหาเลย
ก็เลยมาเจอว่าอยู่กับคนอื่นอย่างนี้ไง
นี่ขนาดต่อหน้าต่อตาเลยนะยังกล้าอีก
เดี๊ยวก็โดนซะหรอก”
พี่เนยก็ไม่ยอมแพ้เธอก็กระซิบกระซาบเถียงฉันคืนเหมือนๆกัน
“อ๊ะ
รู้ด้วยเหรอว่ากี้ไม่อยู่
คิดว่าไม่สนใจแล้วก็เลยเดินมาถามข่าวคราวพี่พลอยเฉยๆ
เลิกทำหน้านิ่วคิ้วขมวดสักทีเถอะน่า
บอกแล้วใช่มั้ยให้คุยดีๆกับพี่พลอยได้แล้ว
ยังไงๆก็เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กๆนี่ เลิกงี่เง่าไร้สาระซักทีเถอะน่ะ”
พี่เนยคิ้วขมวดจ้องมองฉันด้วยความไม่พอใจอยู่นานกว่าจะตอบมา
“ไม่..ถ้ากี้อยากคุยดีด้วยก็คุยเหอะ
ไม่กวนหรอกถ้าอย่างงั้น..”
พูดเสร็จเธอก็หันหน้างอนๆของเธอไปทางพี่พลอยก่อนจะพูดด้วยเสียงห้วนๆแข็งๆแต่ฟังแล้วให้ความรู้สึกดีแบบประหลาดๆทันทีที่ได้ยิน..
“...แม่เธอเป็นไงบ้างล่ะ
เราฝากของกับพ่อไปเยี่ยมอยู่..ไม่รู้ว่าแม่เธอจะใช้เป็นหรือเปล่า..ถ้าว่างก็ไปดูบ้างสิจะได้รู้ว่าเราซื้ออะไรให้แม่เธอ...”
พี่พลอยเลิ่กคิ้วมองพี่เนยด้วยความประหลาดใจ
เธอเผลอยิ้มทันทีที่เริ่มเข้าใจในความหมายที่พี่เนยพูด
ซึ่งแม้พี่พลอยจะไม่ได้พูดอะไรตอบพี่เนย
แต่ด้วยสีหน้าที่แดงระเรื่อขึ้นเรื่อยๆ
ฉันก็พอจะรับรู้ได้ทันทีว่าพี่พลอยนั้นดีใจขนาดไหนที่เห็นพี่เนยคุยกับเธออย่างนั้น...
ตอนนี้พอพี่เนยพูดห้วนๆกับพี่พลอยเสร็จ
เธอก็รีบหันหลังเดินลิ่วๆกลับไปนั่งอ่านหนังสือที่ระเบียงหน้าห้องเธอเหมือนเดิม
ฉันแอบมองพี่พลอยที่แอบยิ้มเหลียวมองตามหลังพี่เนยแล้วก็รับรู้ได้ถึงความสัมพันธ์แปลกๆประหลาดๆที่กำลังเกิดขึ้นระหว่างเราทั้งสามคนอยู่
ดูมันกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเลยสำหรับสถานะที่ต้องเจอระหว่างฉัน
พี่เนย และพี่พลอย
และโดยเฉพาะพี่พลอยด้วยแล้ว
ฉันยิ่งรู้สึกถึงความเศร้าของเธอที่ต้องมองดูผู้หญิงสองคนที่เธอรักกำลังคบกันอย่างมีความสุข
มันคงเป็นความรู้สึกพะอืดพะอมกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
เหมือนๆกับที่ฉันมองสายตาพี่พลอยที่มองดูพี่เนยเมื่อครู่นี้ก็พอจะรับรู้อยู่ลึกๆว่าจริงๆแล้วก้นบึ้งหัวใจของพี่พลอยนั้นยังเก็บเรื่องราวดีๆของพี่เนยไว้เสมอ
ใช่...ฉันรู้ว่าเธอก็ยังรักพี่เนยทั้งๆที่เธอก็บอกว่าเธอรักฉัน
เห้อ..ให้ตายเถอะฉันไม่ชอบความสัมพันธ์แบบนี้เลย
ความสัมพันธ์ที่เหมือนเป็นเส้นใยบางๆรอบล้อมพวกเราทั้งสามคนเอาไว้
ซึ่งมันก็อาจจะเป็นปัญหาคาราคาซังตลอดไปก็ได้ถ้าไม่มีใครคนใดคนหนึ่งเสียสละพื้นที่ในห้วงความผูกพันธ์นั้นออกมาก่อนที่จะเลยเถิด..อืม..
หรือนี่..บางทีพี่เนยก็อาจจะรับรู้ในความรู้สึกเหล่านั้นของพี่พลอยอยู่แล้ว
เธอก็เลยพยายามแกล้งทำเป็นเฉยชาเพื่อที่จะช่วยให้พี่พลอยตัดใจจากเธอให้ขาดหรือเปล่า...ก็ไม่รู้นะ...
เย็นวันนั้นหลังจากที่ออดเลิกเรียนดังขึ้นฉันก็รีบโทรหาพี่เนยเพื่อถามถึงสถานที่ที่เธอจะทำรายงานกับเพื่อนๆกัน
ได้ความว่าเธอกับเพื่อนนัดกันทำรายงานอยู่แถวๆหน้าโรงอาหาร
เธอบอกว่าแถวนั้นตอนเลิกเรียนจะเงียบดีเวลาทำรายงานกลุ่มก็จะได้มีสมาธิ
เพื่อนๆในกลุ่มก็ชอบเพราะไม่มีเสียงดังจากพวกนักกีฬาที่ซ้อมกันตอนเลิกเรียนมารบกวนด้วย
ฉันตอบรับพี่เนยรับรู้เรื่องสถานที่ก่อนจะบอกเธอเรื่องที่ฉันจะต้องไปประชุมคณะกรรมการที่ห้องวิชาการเหมือนกัน
ไม่รู้ว่าจะนานแค่ไหน
ซึ่งพอพี่เนยได้ยินดังนั้นก็แอบบ่นมุบมิบเรื่องพี่พลอยกับฉันทันที..
“อย่าให้รู้นะ..ว่าแอบไปคุยกันสองคนอีกอ่ะ..”
“โธ่..คุยสองคนที่ไหนเค้าคุยกันทั้งห้องประชุม
แล้วพี่พลอยเค้าก็คงไม่กล้ามาคุยกับกี้หรอก
เค้าคงรู้ว่าอะไรเป็นอะไร
ดีไม่ดีเค้าอาจจะอยากคุยกับพี่เนยมากกว่ากี้เสียด้วยซ้ำ..”
“บ้า..ตลกแล้ว
จะมาคุยด้วยทำไม มีแต่จะกัดกันล่ะไม่ว่า
พอเลยๆรีบประชุมแล้วรีบๆมาหาพี่นะ
พี่จะนั่งทำงานรออยู่หน้าโรงอาหาร
มิสยูค่ะ บาย..”
..แล้วก็เป็นดังที่ฉันคาดการณ์เรื่องพี่พลอย
เพราะตอนที่ประชุมแม้พี่พลอยจะเดินผ่านมาใกล้ๆฉันเธอก็ไม่ได้พูดทักทายอะไรฉันเลย
เธอเอาแต่ยิ้มเศร้าๆมองหน้าฉันแล้วก็หันไปคุยกับเพื่อนๆที่เป็นคณะกรรมการของเธอไปจนกระทั่งการประชุมจบลง...
ฉันดูเวลาตอนที่ประชุมเสร็จก็เกือบๆจะห้าโมงเย็นแล้ว
ตอนนี้ภายในโรงเรียนก็เริ่มเงียบสงบไม่มีเสียงโห่ร้องของบรรดานักกีฬาต่างๆเหลือแล้ว
ฉันร่ำลาเพื่อนๆที่เป็นคณะกรรมการสายชั้นเดียวกันแล้วเดินลัดเลาะตามทางเดินเพื่อไปยังอาคารโรงอาหารที่อยู่ด้านหลังโรงเรียน
จนกระทั่งไปถึงลานม้านั่งหน้าโรงอาหารที่ตอนนี้มีเพียงโต๊ะกลุ่มทำงานของพี่เนยกลุ่มเดียวเท่านั้นที่นั่งอยู่...
พี่เนยนั่งเขียนรายงานกับเพื่อนนักเรียนหญิงอีกสองคน
ตอนที่ฉันเดินไปถึงเพื่อนของเธออีกสองคนกำลังเก็บของเตรียมกลับบ้านกันแล้ว
ส่วนพี่เนยเธอยังคงเขียนงานค้างที่เหลืออยู่อีกประมาณสองสามแผ่น
ซึ่งพอฉันนั่งลงข้างๆพี่เนยเพื่อนทั้งสองของเธอก็ทักทายฉันนิดหน่อยก่อนจะขอตัวกลับบ้านกันก่อน
เนื่องจากเห็นว่าพี่เนยมีฉันนั่งอยู่เป็นเพื่อนแล้ว
พี่เนยเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ฉันนิดนึงตอนที่ฉันนั่งลงข้างๆก่อนที่จะก้มหน้าก้มตาลงไปเขียนรายงานของเธอต่อ
ฉันหันไปชำเรืองมองบริเวณที่ฉันนั่งกับพี่เนยตอนนี้มีเพียงแค่ฉันกับพี่เนยเท่านั้นที่นั่งกันอยู่มองดูวิเวกวังเวงจนน่ากลัว
“เหลืออีกเยอะมั้ยล่ะพี่เนย
ให้กี้ช่วยเขียนมั้ย...”
ฉันก้มหน้าลงไปกระซิบถามใกล้ๆพี่เนยเนื่องจากเห็นว่าเธอไม่ยอมเงยหน้าเงยตาขึ้นมามองฉันหลังจากที่ยิ้มให้ก่อนหน้านั้นเลย...
“หืม..ก็ไม่หรอก
ไม่เป็นไรพี่พอเขียนได้อยู่
กี้เล่นโทรศัพท์รอพี่ก่อนแป๊บนึงนะ”
“ทำไมไม่เอาไปเขียนที่บ้านกี้ล่ะ
เขียนอยู่โรงเรียนเงียบจะตายน่ากลัวออก..”
“ไม่เอาหรอก
ไปบ้านกี้พี่ก็อยากช่วยงานบ้านกี้ให้ได้มากที่สุด
พี่ไม่อยากพะว้าพะวงอ่ะ
เขียนเสร็จแล้วก็แล้วกันไป
ดีซะอีกเราสองคนจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้นไง
ถ้าเอาการบ้านไปทำตอนก่อนนอนเดี๋ยวพี่ก็เหนื่อย..แล้วกี้ก็จะ..งอนพี่อีกนะ..”
พี่เนยยิ้มตรงคำว่า
งอนพี่อีกนะ
เธอคงพยายามพูดถึงเรื่องที่พักนี้เธอชอบขนการบ้านไปทำที่ห้องนอนบ่อย
แถมการบ้านเธอก็เยอะซะจน
พักหลังๆเธอนั่งทำแต่การบ้านของเธอ
ไม่ยอมมาทำการบ้านกับฉันบ้างเลย...
“อ๋อย...ไม่เชื่อหรอก...ถึงเวลาเดี๋ยวพี่เนยก็บอกว่าเหนื่อยอีก..คอยดูสิ..”
ฉันทำเสียงเศร้าๆแอบตัดพ้อต่อว่าพี่เนยเล็กๆเมื่อนึกถึงภาพพี่เนยทิ้งตัวลงนอนแล้วเอาผ้าห่มมาคลุมโปรงตัวเองไว้โดยไม่สนใจฉันเลยที่มันมักจะเกิดขึ้นเสมอในช่วงนี้
ยิ่งนึกก็ยิ่งน้อยใจได้แต่ทิ้งตัวเท้าแขนนอนหมอบซบหน้าลงไปกับกระเป๋านักเรียนที่อยู่บนโต๊ะ
แล้วบ่นพึมๆพัมๆอยู่คนเดียวจนพี่เนยนึกขำเอา...
“โธ่ๆๆ..อ่ะๆสัญญาก็ได้
งั้นวันนี้จะพาพักผ่อนดีมั้ยคะ
ยังไงๆวันนี้ก็วันศุกร์พรุ่งนี้ไม่ได้มาโรงเรียนอยู่แล้วเราโต้รุ่งกันเลยดีมั้ยล่ะ
ทดแทนที่ไม่ได้...อย่างนั้นมาหลายวันไง...ดีมั้ยคะคนสวย..”
พี่เนยยื่นมือมายีผมฉันก่อนจะก้มหน้ามาหอมผมฉันฟอดใหญ่ๆด้วยความหมั่นไส้
เธอทั้งพูดทั้งขำทำน้ำเสียงกรุ้มกริ่มยิ่งฟังก็ยิ่งรู้ว่าเธอกำลังล้อเลียนในเรื่องที่ฉันกำลังน้อยใจอยู่ตอนนี้
“บ้า..ทะลึ่ง..”
ฉันเม้มปากเงยหน้ามองพี่เนยด้วยสายตางอนๆ
“..รีบๆเขียนงานไปเลย
เสร็จแล้วอย่าลืมพาไปซื้อกาแฟเย็นเจ้าข้างบ้านพี่เนยด้วยนะ...ถ้าอย่างนั้น...”
พี่เนยคิ้วขมวด
เธอคิดตามฉันอยู่พักใหญ่ๆก่อนจะหัวเราะรั่วทันทีที่เธอเริ่มเข้าใจในความหมายที่ฉันพูดขึ้นมาได้....
“ฮะฮะฮ่า..ด้ายยย...ซื้อมาสักสามสี่แก้วเลยดีมั้ยคะถ้าอย่างนั้น
จะได้ตาแข็งไม่ต้องหลับต้องนอนกันเลยทีนี้..”
พี่เนยทั้งพูดทั้งหัวเราะ
เธอโน้มหน้าเข้ามาหอมแก้มฉันฟอดใหญ่ๆก่อนจะยื่นมือมาดึงแก้มทั้งสองข้างของฉันออกหยิกแกมหยอกด้วยความหมั่นไส้ของเธอไป
จนฉันคิ้วขมวดหน้าแดงด้วยความเขินอายที่โดนหอมแก้ม
แถมยังโดนเธอแกล้งแซวเรื่องนั้นคืนอีก
“รีบๆทำงานต่อเลย
เร็วๆ” ฉันทำทีเป็นเร่งพี่เนยก่อนจะสะบัดหน้าออกจากมือ
แล้วก้มลงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมานั่งเปิดอ่านหน้าฟีดเฟซบุ๊คไป
ปล่อยให้พี่เนยนั่งทำงานของเธอเงียบๆต่อไปเช่นเดียวกัน...
เวลาผ่านไป..พี่เนยนั้นดูตั้งใจทำงานของเธอดี
ไม่เหมือนกับฉันที่เทียวก้มเทียวเงยมองดูพี่เนยนั่งเงียบตั้งใจทำงานแล้วก็อดที่จะแอบอยากเรียกร้องความสนใจกับเธอบ้างไม่ได้
ฉันทั้งคอยยื่นไม้ยื่นมือไปเขี่ยสมุด
ทั้งแกล้งพลิกหนังสือเธอเล่นด้วยอยากให้เธอละสายตาขึ้นมามองฉันบ้าง
ซึ่งมันก็ได้ผลแค่ครั้งแรกๆที่ฉันแกล้งยื่นมือไปปิดกระดาษเธอแล้วเธอเงยหน้างงๆขึ้นมามองฉันเท่านั้น
ตอนนั้นเธอก็แกล้งใช้ปากกามาเขียนหัวใจใส่หลังมือฉันก่อนจะโน้มหน้ามาหอมแก้มแล้วขอตัวทำงานของเธอต่อ
ซึ่งพอฉันเห็นว่าเธอหันมาสนใจฉันในครั้งนั้น
ครั้งต่อๆมาฉันก็เลยพยายามแกล้งเธอไปเรื่อยๆ
แต่ก็เหมือนพี่เนยจะรู้แกวว่าฉันจะแค่กวนเพื่อเรียกร้องความสนใจเฉยๆ
เพราะถึงแม้เธอจะไม่บ่นอะไรให้ฉันแต่เธอก็ไม่ได้ละสายตาออกมาจากกระดาษรายงานของเธอเลย
มีเพียงมือข้างที่ไม่ได้เขียนหนังสือข้างเดียวเท่านั้นที่ยื่นมากุมมือฉันเอาไว้ให้ฉันรู้สึกดีไม่เหงาขึ้นมาได้บ้าง
แต่ฉันมาคิดๆดูแล้ว...เธอคงต้องการจะจับมือฉันเอาไว้เพื่อไม่ให้กวนอะไรเธอได้มากกว่า...
“พี่เนยขา...”
เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้สนใจใยดีฉันเลยอย่างนั้น
โหมดความคิดชั่วร้ายเอาแต่ใจของฉันก็เริ่มทำงานทันที
ฉันยื่นมือลงไปด้านล่างโต๊ะม้าหินอ่อนวางแมะไปที่หน้าตักของเธอ
ก่อนจะค่อยๆลูบวนไปมาช้าๆพร้อมๆกับเสียงหวานเนิบๆของฉัน...
“คะ....”
พี่เนยขานรับแต่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองอะไรฉันต่อ
เอาแต่เขียนงานของเธอต่อไป
“พี่เนยเหนื่อยมั้ยคะ..ให้กี้นวดให้มั้ย..”
ฉันยังคงเสียงอ่อนเสียงหวานต่อไป
มือข้างที่วางอยู่บนตักก็ยังลูบวนไปมาที่หน้าตักของพี่เนยอยู่เหมือนเดิม
และเหมือนเดิมพี่เนยยังคงไม่เงยหน้าขึ้นมามองฉันเลยมีเพียงน้ำเสียงเอ็นดูเล็กๆที่เปล่งออกมาให้ฉันได้ยินเท่านั้น
“ไม่เป็นไรค่ะ
พี่ใกล้เสร็จแล้วล่ะ
กี้คอยพี่อีกสักแป๊บนะคะ..เด็กดี..”พี่เนยพูดโดยที่ตาเธอยังจ้องอยู่ที่กระดาษและมือข้างที่จับปากกาก็ทำหน้าที่ขีดๆเขียนๆของเธออย่างขมักเขม้นต่อไป
แล้วยิ่งเห็นอาการไม่สนอกสนใจของเธอ
ไม่ยอมแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามองฉันบ้างเลยของเธอนั้น
ก็ยิ่งทำให้โหมดความคิดชั่วร้ายเอาแต่ใจของฉันนั้น
ยิ่งอยากเอาชนะเธอให้เธอหันมาสนใจฉันบ้างให้ได้
ตอนนี้ฉันคิดแต่เพียงว่าจะทำอย่างไรให้นางฟ้าขี้อ้อนของฉัน
หันมาสนใจและออเซาะฉันเหมือนเวลาอื่นๆบ้างเท่านั้นเอง
ตอนนี้ฉันเหล่มองซ้ายขวา
เมื่อพบว่าไม่มีผู้ใดอยู่ระแวกนั้นเหมือนเดิม
ความคิดโหมดมืดก็คอยกระซิบแผนการชั่วร้ายต่อจากนั้นทันที...
ฉันค่อยๆเลื่อนมือที่วางอยู่หน้าตักพี่เนยไต่ลงไปตามขาเรื่อยๆจนถึงชายกระโปรง
พี่เนยยังคงเขียนงานอยู่
เธอดูไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยว่ามือซนๆของฉันตอนนี้กำลังวางแผนจะทำอะไรบางอย่างกับเธอแล้ว
เมื่อมือถึงชายกระโปรงนิ้วมือซนๆของฉันก็รีบคืบคลานเข้าไปใต้ชายกระโปรงพี่เนยต่อ
จนตอนนี้มันไปโดนขาอ่อนเนียนๆนุ่มๆของพี่เนยเข้า
พี่เนยสะดุ้ง
เธอรีบหันมามองฉันที่ทำทีเป็นใช้มืออีกข้างหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดแล้วนั่งมองดูนั้นดูนี่ในโทรศัพท์ทำหน้าปั้นจิ้มปั้นเจ๋อไม่ได้สนใจอะไรเธอเลย...
“ทำอะไรอ่ะ”
พี่เนยคิ้วขมวดถามฉัน
“เปล่านี่”
ฉันเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้พี่เนยก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธเธอเบาๆ
“..รีบๆทำงานต่อสิ
เดี๋ยวไม่เสร็จนะคะ..”ฉันทำตาบ๊องแบ๊วยิ้มหวานให้พี่เนยนิดนึง
ก่อนจะแกล้งทำเป็นนั่งมองโทรศัพท์ต่อโดยที่มือข้างนั้นก็ยังวางอยู่บนขาอ่อนของพี่เนยต่อไป...
พี่เนยเงียบ
เธอนั่งมองฉันก้มหน้าก้มตาอ่านข้อความในโทรศัพท์อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะก้มหน้าลงเขียนงานต่อโดยไม่ได้ท้วงติงอะไรอีกหลังจากนั้น
แล้วพอฉันเห็นท่าทีที่พี่เนยนั่งเงียบไม่ได้ว่าอะไรฉันอย่างนั้นฉันก็ยิ่งได้ใจเข้าไปใหญ่
กลายเป็นว่ามือข้างที่วางอยู่บนขาอ่อนใต้กระโปรงของพี่เนยก็ค่อยๆคืบคลานเข้าไปหาต้นขางามๆเนียนๆนั้นเรื่อยๆจนกระทั่งถึงเนินเนื้อน้อยๆที่กางเกงชั้นในตัวจิ๋วของเธอปกปิดไว้อยู่...
“เฮ้ย!!!???..”
พี่เนยสะดุ้งโหยงรีบเงยหน้าขึ้นมามองฉัน
“..ทำอะไรอ่ะกี้”