วันเสาร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2560


Lovely Mafia Girl

ลูกสาวเจ้าพ่อ ขอเป็นแฟนหนู

Special part : First date night


Chapter 2

คำสัญญาเมื่อครั้งก่อน

เฮ้ย!!!??? ฉันสะดุ้งตกใจรีบผละออกจากพี่เนยทันทีที่นึกขึ้นได้...

แล้วก็เหมือนพี่เนยจะนึกอะไรของเธอขึ้นได้เหมือนๆกัน เพราะแค่ช่วงเวลาที่ฉันเริ่มหยุดแล้วทำตาโตมองไปเห็นโทรศัพท์เครื่องนั้น พี่เนยก็รีบผละออกจากตัวของฉันแล้วพุ่งพรวดไปถึงโทรศัพท์เครื่องนั้นก่อนฉันจนได้ เธอรีบหยิบโทรศัพท์ของเธอขึ้นมากอดแนบหน้าอกเพื่อจะหนีฉันที่กำลังพยายามแย่งมันมาจากเธอในตอนนี้..

เฮ้ย อะไรนี่พี่เนย พี่เนยบันทึกเสียงอะไรไว้นี่ พี่เนยทำอะไรนี่..เอาโทรศัพท์มานี่เลย”
ไม่มีอะไรๆ”
ไม่มียังไง กี้เห็นอยู่ ทำอะไรอ่ะ หน้าเกลียดอ่ะ กี้ไม่ชอบ ลบออกเลย ลบออกเดี๋ยวนี้...” ฉันออกคำสั่งทั้งพยายามยื่นไม้ยื่นมือเข้าไปแย่งโทรศัพท์จากพี่เนยให้ได้ เพราะเริ่มคิดได้ในสิ่งที่มันบันทึกไปก่อนหน้านั้นก็คือเกมส์รักรสจัดที่ฉันทั้งและพี่เนยต่างร้องครวญครางแข่งกัน แม้ไม่มีภาพแต่ฉันก็รับไม่ได้หากจะมีใครบันทึกไว้แล้วมีคนมาได้ยินทีหลัง
พี่เนยพยายามหลบตัวเบี่ยงหนีฉัน ฉันได้ยินเสียงเธอกดข้อความก๊อกๆแก๊กๆทำอะไรของเธออยู่ครู่นึงก่อนที่เธอจะเสียหลักโดนฉันแย่งโทรศัพท์จากมือมาจนได้...
ฉันรีบยกโทรศัพท์ขึ้นมาดูตอนนี้หน้าจอโทรศัพท์กำลังค้างอยู่ที่หน้าส่งอีเมลล์ ซึ่งอีเมลล์นั่นก็คือไฟล์คลิปเสียงเมื่อครู่นี้ และตอนนี้มันถูกส่งไปแล้ว....
ฉันคิ้วขมวดรีบอ่านดูชื่ออีเมลล์ที่ถูกส่งไป...
“Chairat8899...”
...ชัยรัตน์...อย่าบอกนะว่าน้าชัย...โอ้ยให้ตายเถอะนี่มันเรื่องอะไรกันนี่อีพี่เนย...
ฉันหันขวับไปจ้องพี่เนยที่สะดุ้งโหยงเข้าทันทีที่เห็นสายตาจ้องจิกกัดอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อเธออย่างนั้น
นี่มันเรื่องอะไรกันพี่เนย พี่เนยทำอะไรเนี่ย..บ้าที่สุดเลย ทุเรศที่สุดเลยอ่ะ..” ฉันโวยวายทั้งโน้มตัวเข้าไปรัวตีพี่เนยด้วยความโมโห พี่เนยรีบหลบซ้ายหลบขวาแต่ก็ยังโดนฝ่ามือของฉันตามไปรัวตีตุ๊บตั๊บตามเนื้อตามตัวเข้าให้เหมือนเดิม จนเธอเริ่มเจ็บและร้องโวยวายสลับกลับมาบ้าง
โอ้ย ไม่มีอะไรกี้ ไม่มีอะไรจริงๆ”
ไม่มียังไง พี่เนยมาบันทึกเสียงที่เรามีอะไรกันอย่างนี้แล้วบอกว่าไม่มีอะไรนี่นะ บ้าไปแล้วอ่ะพี่เนย กี้ไม่คิดเลยว่าพี่เนยจะเป็นคนแบบนี้” ฉันยังตีตามเนื้อตามตัวของเธออยู่เหมือนเดิมจนกระทั่งมือเผลอไปโดนเข้าแถวๆท้องน้อยเธอ แล้วเธอร้องโอดโอยเสียงดังขึ้นเหมือนก่อนหน้านั้นอีกแล้ว..
พะ..พี่เนย..”ฉันหยุดตี ตอนนี้เธอตัวงอทำหน้าเหยเกอีกแล้ว...
โอ้ย..กี้....กี้ตีพี่อีกแล้วอ่ะ..ไหนกี้ว่าจะไม่ใช้กำลังกับพี่อีกแล้วไง..”พี่เนยทั้งพูดทั้งร้องโอดโอย เธอก้มหน้างอตัวกุมท้องต่อว่าฉันด้วยน้ำเสียงสั่นเครือของเธอไป...จนฉันหน้าเสียรู้สึกผิดได้แต่ยื่นมือไปลูบๆคลำๆท้องน้อยเธออีกครั้ง
โอ้ย...พี่เนยกี้ขอโทษกี้ไม่ได้ตั้งใจ โธ่เว้ย..ก็พี่เนยทำอย่างนั้นทำไมเล่า กี้ก็โมโหสิ..พี่เนยบันทึกเสียงพวกเราทำไมเล่า บ้าไปแล้วอ่ะ ทำไมทำอะไรทุเรศๆแบบนั้น รู้มั้ยว่ากี้ไม่ชอบคนที่ทำแบบนี้ที่สุดเลย...” ฉันต่อว่าพี่เนยตอนที่พยายามลูบๆคลำๆท้องเธอไป ตอนนี้แม้ฉันจะเป็นห่วงอาการปวดท้องของพี่เนย แต่ฉันก็กังวลใจเรื่องคลิปเสียงที่พี่เนยกดส่งเมลล์ไปก่อนหน้านั้นไม่แพ้กัน..
กี้..พี่ไม่ได้บันทึกเสียงที่เรามีอะไรกันนะ..ฟังพี่ก่อนสิ” พี่เนยรีบเงยหน้าขึ้นมาเถียงฉันทันที ตอนนี้เธอก็หน้านิ่วคิ้วขมวดไม่แพ้ฉันแถมแถวๆขอบตาเธอก็ยังมีคราบน้ำตาของความเจ็บที่ฉันเผลอตีเธอเข้าไปที่ท้องก่อนหน้านั้นหลงเหลือให้เห็นอีก...
ไม่ได้บันทึก แล้วบันทึกอะไรก็เห็นอยู่ว่ามันกำลังบันทึกอ่ะ..” ฉันก็ยังคงโมโหพี่เนยค้าง แม้จะได้ยินพี่เนยพยายามพูดอธิบายยังไงก็ยังไม่ช่วยให้น้ำเสียงของฉันหายขุ่นเคืองเหมือนที่กำลังพูดกับเธอตอนนี้เลย
ปัดโธ่เว้ย..พี่ก็บันทึกเรื่องที่กี้พูดสัญญากับพี่ก่อนหน้านั้นยังไงเล่า ก็เรื่องที่กี้สัญญาว่าจะยอมให้พี่สร้างบ้านให้กี้นั่นไง ก็เพราะว่าพี่คิดว่ากี้จะผลิกลิ้นแค่พูดเอาใจพี่เฉยๆว่าจะยอมให้พี่สร้างบ้านให้ เพราะพี่รู้ว่ากี้เกรงใจพี่มากและกี้คงไม่ยอมให้พี่ช่วยง่ายๆแน่ พี่ก็เลยจำเป็นต้องบันทึกเสียงเอาไว้ ตั้งแต่ตอนที่พี่แกล้งหยิบโทรศัพท์จะโทรหาน้าชัยให้มารับตอนนั้นแล้วไง...”

ฉันอึ้ง..นึกถึงภาพที่พี่เนยหยิบโทรศัพท์แนบค้างหูไว้แล้วตะคอกบอกให้ฉันรีบๆยอมรับสัญญาของเธอในตอนนั้น..
...อ๋อ..นี่วางแผนอีกแล้วเหรอนี่ เฮ้ย..นี่เธอเอาเวลาไหนไปวางแผนเร็วขนาดนั้นวะนี่..เหลือเชื่อเลย..

แล้วไงที่นี้..” ฉันจ้องเขม็งนั่งรอฟังเจ้าหล่อนสารภาพแผนการร้ายกาจของเธอออกมาให้หมด
ก็แล้วไงล่ะ ก็อย่างที่เห็นล่ะสิ..ใครจะไปคิดล่ะว่า...กี้จะมาทำอะไรกับพี่โดยที่พี่ยังไม่ทันตั้งตัวอย่างนั้นเล่า ก็พี่ก็ห้ามกี้แล้วแท้ๆว่าอย่าทำๆ กี้ก็ยัง....” พี่เนยเงียบเสียงตรงประโยคสุดท้ายไว้เหมือนเธอก็กระดากปากกระดากใจที่จะต่อว่าฉันเรื่องนั้นแล้ว เลยได้แต่ยื่นหน้าเข้ามาเหล่มองฉันด้วยสายตาค้อนๆของเธอมาอีกวงใหญ่ๆแทน
“..ไม่รู้ว่าจะwantอะไรกันนักกันหนา เห็นมั้ยล่ะทีนี้..” พี่เนยคิ้วขมวดยื่นนิ้วชี้มาจิ้มที่หน้าผากฉันจึกๆด้วยความหมั่นไส้สุดๆของเธอต่อ...
โอ้ยพี่เนย...ใครจะไปรู้เล่า..”ฉันหน้าหงอย เสียงอ่อนทันทีที่ได้ยินบทสรุปของเรื่องราวทั้งหมดทั้งมวล..
เห็นมั้ยล่ะ ว่ากี้ไม่รักษาสัญญาขนาดไหน นี่ขนาดก่อนหน้านั้นสัญญากับพี่เป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะไม่ใช้กำลังกับพี่อีกกี้ก็ยังใช้อีกอ่ะ แล้วกี้จะให้พี่ยอมเชื่อใจกี้โดยที่ไม่มีอะไรเป็นหลักฐานอย่างนั้นได้อยู่อีกเหรอ อยู่ๆคิดจะเอาใจพี่ก็พูดดีด้วย พอเอาเข้าจริงๆกลับปฏิเสธอย่างนั้นอย่างนี้อีก..พี่จะทำยังไง..”
เมื่อได้ยินเสียงดุๆห้วนๆอย่างนั้นก็ทำฉันไม่กล้าโต้ตอบอะไร ได้แต่ก้มหน้าก้มตาน้อมรับฟังพี่เนยอธิบายเหตุผลด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวของเธอต่อไป..
ดูสินี่ โดนตีแรงๆเข้าที่เดิมตั้งสองครั้งนี่พี่ก็เจ็บจะตายอยู่แล้ว แต่ยังต้องมาแคร์อารมณ์ของกี้อีก กี้ไม่สงสารพี่เหรอ นี่พี่ยอมให้กี้ขนาดนี้ก็เพราะว่าพี่รักกี้นะ ถ้าพี่ไม่รักกี้พี่จะรบเร้าเซ้าซี้จู้จี้กับกี้ ให้กี้รับความหวังดีจากพี่ขนาดนี้มั้ยนี่ ฮึย..ทั้งเจ็บตัว ทั้งเสียความรู้สึก ทำดีกับเขาเท่าไหร่เขาก็ยังไม่เห็นความหวังดีของเราอีก นี่กี้อยากให้พี่เลิกกับกี้จริงๆใช่มั้ยนี่...”
โอ้ยพี่เนย มันไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอกน่าไม่ต้องดราม่าขนาดนั้นก็ได้ กี้ก็แค่ตกใจที่เห็นพี่เนยบันทึกเสียงไว้ แถมยังส่งเมลล์ไปให้น้าชัยอีก ถ้าน้าชัยเปิดฟังกี้จะเอาหน้าไปไว้ไหนอ่ะ พี่เนยไม่อายเหรอ จะส่งเมลล์ไปให้น้าชัยทำไมอี้กกก.....” ฉันเสียงสูงรีบเถียงแทรกพี่เนยกลับไปทันที ด้วยเห็นว่าเธอกำลังจะวกกลับไปยังเรื่องที่เราเคยเถียงกันก่อนหน้านั้นอีกแล้ว...
ถึงส่งไปน้าชัยก็เปิดไม่ได้เหมือนเดิมล่ะน่ะ อีเมลล์นี่ชื่อน้าชัยก็จริงแต่มันเป็นอีเมลล์สำรองที่พี่สร้างไว้โดยใช้ชื่อน้าชัยเฉยๆ น้าชัยแกไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วยหรอกน่า พี่ก็แค่สร้างไว้ตอนสมัครเฟซบุ๊คปลอมๆเอาไว้ส่องกี้สมัยมัธยมเฉยๆ เวลามีไฟล์งานอะไรที่พี่อยากส่งสำรองไว้พี่ก็ส่งเข้าเมลล์นี้ตลอด พี่น่ะไม่กล้าอัพขึ้นicloud เพราะกลัวโดนแฮกข้อมูล พี่ก็เลยส่งเข้าทางอีเมลล์สำรองตัวนี้ไว้แทนแค่นั้น พี่ก็แค่กลัวว่ากี้จะลบคลิปเสียงของพี่ออกพี่ก็เลยรีบส่งเมลล์ไปเฉยๆ กี้ก็บ้าหรือเปล่าคิดไปได้ ใครเค้าจะกล้าส่งคลิปเรื่องอย่างว่าของตัวเองให้คนอื่นเล่า..ประสาทแล้ว..”ฉันสะดุ้งโหยงทันทีที่ได้ยินพี่เนยว่าฉันว่า “ประสาท” อย่างนั้น ได้แต่ยิ้มแหยๆมองพี่เนยที่เถลือกถลนตามองฉันอยากกับจะกินเลือดกินเนื้อฉันให้ได้ ก่อนจะโวยวายของเธอต่อ...
แล้วคลิปเสียงนั่น ก็มีแต่เสียงพี่ด้วยนะ ที่ร้อง....”พี่เนยทั้งคิ้วขมวดทั้งเม้มปากมองฉัน ก่อนจะส่ายหัวแรงๆด้วยความหงุดหงิดที่เห็นฉันคิดอะไรตื้นๆอย่างนั้นออกมาได้ ตอนนี้เธอเลยได้แต่จิ้มนิ้วชี้ซ้ำๆเข้าที่หน้าผากฉันด้วยหงุดหงิดของเธอไปอีก.. “ฮึ้ยยย..ที่ร้องอย่างว่าเสียงดังขนาดนั้น นี่กี้คิดว่าใครจะน่าอายกว่ากันนี่ กล้าคิดอะไรโง่ๆเนอะ”
โอ้ย พี่เน้ยย..พอได้แล้ว” ฉันหัวสั่นหัวคลอนไปตามแรงจิ้มนิ้วจึกๆของพี่เนยทำอะไรก็ไม่ได้ไม่กล้าแม้จะตอบโต้เธอ ได้แต่ทำหน้าละห้อยร้องเรียกพี่เนยให้หยุดโมโหฉันเสียที...
โธ่..ใครจะไปรู้เล่า โอเคๆกี้เข้าใจแล้ว กี้โอเคกับทุกเรื่องทุกอย่างแล้วกี้เข้าใจแล้ว เอาอย่างนี้ก็ได้เพื่อความสบายใจของทุกคน ถ้าพี่เนยไม่เชื่อว่ากี้จะยอมให้พี่เนยสร้างบ้านให้กี้จริงๆกี้ก็จะเขียนหนังสือทำสัญญากับพี่เนยเป็นลายลักษณ์อักษรเลยดีมั้ย พี่เนยจะได้สบายใจ กี้ขอโทษพี่เนยจริงๆที่ทำให้พี่เนยคิดมากขนาดนั้นน่ะ ดีกันได้แล้วนะ กี้เหนื่อยแล้ว..พี่เนยไม่เหนื่อยหรือไง..” ฉันทำเสียงอ่อนเสียงหวานโน้มหน้าไปหอมแก้มพี่เนย แล้วยื่นนิ้วก้อยไปเกี่ยวก้อยขอคืนดีต่อ แม้พี่เนยยังคงทำหน้ามุ้ยด้วยความหัวร้อนของเธอเหมือนเดิมอยู่ แต่ฉันก็ยังไม่เลิกล้มความพยายามที่จะง้องอนให้เจ้าหล่อนเห็นใจยอมใจอ่อนกับฉันให้ได้...
“..ดีกันเถอะนะคะ พ่อกับแม่รอคำตอบเรื่องของเราสองคนอยู่นะ ชักช้าเสียการเสียงานหมดนะคะคุณเนย เอาเป็นว่าเดี๋ยวกี้จะจัดการเขียนสัญญาให้คุณเนยตอนนี้เลยดีมั้ยคะ คุณเนยจะได้สบายใจสักทีไงคะ นะคะ สบายตัวแล้วนี่ จะคิดมากทำไมอีกกัน..” ฉันยิ้มกรุ้มกริ่มทำเสียงทะเล้นแกล้งล้อเลียนพี่เนย ก่อนจะโดนเธอหันมาหน้ามาตีหน้าตักด้วยความเหวอที่โดนฉันแซวอย่างนั้นเข้า ตอนนี้สายตาค้อนๆของเธอค่อยๆคลายกลายเป็นสายตาอ่อนหวานที่มองฉันด้วยความรักและความหวังดีเหมือนอย่างก่อนหน้านั้นแล้ว ซึ่งก็คงจะพอๆกับฉันที่ก็มองพี่เนยคืนกลับไปด้วยสายตาอ่อนโยนหวานละมุน แสดงให้เห็นเธอว่าฉันซาบซึ้งในน้ำใจและความหวังดีของเธอขนาดไหน...

..ซึ่งนับตั้งแต่นั้นมา ฉันกับพี่เนยก็ไม่เคยทะเลาะกันเรื่องบ้านอีกเลย พี่เนยพยายามทำตามที่เธอตกลงกับฉันไว้ คือเธอจะบอกกับทุกๆคนที่เธอคุยด้วยว่าเงินที่ใช้ซื้อที่และสร้างบ้านเป็นเงินที่ฉันเก็บเอง ซึ่งเธอก็พูดมันด้วยความภูมิใจทุกครั้ง เหมือนอย่างที่พี่เนยกำลังยิ้มแล้วยิ้มอีกที่เธอได้พรรณาว่าเธอปลาบปลื้มใจเพียงใดที่เห็นฉันเก่งสามารถเก็บเงินสร้างบ้านได้เองขนาดนี้...

...ตอนนี้พี่ฝ้ายและคุณแฮร์รี่นั่งมองเราหยอกเอินกระหนุงกระหนิงกันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เธอจะก้มหน้าลงมองนาฬิกาในข้อมือของเธอแล้วเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้....

“..เฮ้ยเนย4ทุ่มกว่าแล้ว ได้เวลาแล้วว่ะ เดี๋ยวฉันกับแฮร์รี่ต้องรีบไปจัดแจงต้อนรับเพื่อนในผับต่อ แกจะไม่แวะไปทักทายเพื่อนๆหน่อยเหรอวะแกเนย ไปแป๊บๆก็ได้แล้วก็ค่อยรีบกลับกัน...” พี่ฝ้ายเงยหน้าขึ้นมาจากนาฬิกาก่อนจะรีบเอ่ยปากชวนพี่เนยที่ตอนนี้ก็ทำสีหน้าครุ่นคิด เธอหันมามองหน้าฉันครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับไปตอบเพื่อนของเธอ..
อืม..เอาไงดีอ่ะแก เอางี้ดีกว่าเดี๋ยวฉันขับรถตามไปส่งแกที่หน้าผับ แล้วฉันจะทักทายเพื่อนๆจากหน้าผับตรงนั้นก็ได้เนอะ จะได้ไม่น่าเกลียด ฉันก็จะได้รีบไปรีบกลับด้วย จะได้ไม่เสียงานฉัน..”
เออ ก็ดีนะแก ฉันน่ะเข้าใจแกอยู่นะ แต่แค่อยากให้เพื่อนๆได้เจอหน้าค่าตากันบ้างเฉยๆ..” พี่ฝ้ายยิ้มรับพี่เนย ก่อนจะรีบหันไปเรียกพนักงานในร้านมาเช็คบิลแล้วพากันเดินทางออกจากร้านไป...
...เราขับรถตามพี่ฝ้ายไปหยุดอยู่ที่หน้าผับใจกลางเมือง ที่เป็นผับประจำที่พี่เนยชอบเที่ยวกับเพื่อนๆของเธอสมัยเรียน ม.ปลาย ตอนนี้แม้อาคารสถานที่จะถูกรีโนเวทให้ผนังผิวนอกของอาคารเป็นกระจกและวัสดุสีฉูดฉาดตาแลดูทันสมัยเป็นผับสไตล์โมเดิร์นแตกต่างจากเมื่อ10กว่าปีก่อนแล้ว แต่ด้วยบรรยากาศที่มีนักท่องเที่ยวราตรียืนจับกลุ่มคุยกันอยู่ด้านหน้าและแสงสว่างวับๆแวบๆของหลอดไฟหลากสีที่เป็นโฆษณาเครื่องดื่มต่างๆ ก็ทำให้ภาพคืนวันเก่าๆของสถานที่ที่ครั้งนึงฉันเคยมานี้ หวนขึ้นมาให้คิดถึงบรรยากาศอีกครั้ง...
พี่เนยหยุดรถตรงที่จอดพักรถด้านหน้าผับแล้วเปิดประตูรถลงไปหาเพื่อนๆของเธอที่พากันยืนออคุยกันอยู่ด้านหน้าผับ ในตอนแรกเธอชวนฉันให้ลงไปทักทายบรรดาเพื่อนๆของเธอด้วย แต่ฉันกลัวว่าหากเราสองคนลงจากรถลงไปทักทายเพื่อนๆของเธอทั้งหมดแล้ว จะกลายเป็นว่าอาจจะโดนเพื่อนๆเธอรบเร้าให้เข้าไปในผับต่อ สู้ให้ฉันนั่งคอยอยู่ในรถแล้วให้พี่เนยทำทีว่าต้องรีบกลับเข้ามาหาฉันในรถคงจะดีกว่า ซึ่งพี่เนยก็เห็นด้วยกับเหตุผลข้อนั้นของฉัน แม้ความเป็นจริงที่ฉันไม่อยากลงไปทักทายบรรดาเพื่อนๆพี่เนยนั้น จะมีสาเหตุนอกเหนือจากเรื่องที่ฉันอ้างพี่เนยอยู่นี้ก็ตาม....
พี่เนยลงไปทักทายบรรดาเพื่อนๆของเธอท่ามกลางเสียงกรี๊ดวี๊ดว้ายที่ดังมาเป็นระยะๆ คงเพราะบรรดาเพื่อนๆของเธอดีใจที่เห็นว่าเธอนั้นมีน้ำใจแวะเข้ามาหาพวกเขาที่ผับด้วย ฉันนั่งมองสำรวจเพื่อนๆพี่เนยผ่านกระจกประตูรถไปก็เห็นเป็นเพื่อนขาเที่ยวที่ฉันเคยเห็นตั้งแต่สมัยเธอยังเรียนอยู่มัธยม ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือพี่เก๋... ตอนนี้พอฉันเห็นพี่เก๋ภาพความหลังเก่าๆชวนขายหน้าบางเรื่องก็โผล่แว็บๆขึ้นมาในสมองฉันทันที จนฉันคิ้วขมวดรีบเอามือขึ้นมาตบหน้าผากด้วยความเหวออายที่เผลอนึกย้อนกลับไปยังภาพเก่าๆพวกนั้นได้...

เมื่อได้สติรีบหันกลับไปดูพี่เนยยืนคุยกับเพื่อนอีกครั้งหนึ่ง ตอนนี้เธอทั้งคุยกับเพื่อนทั้งหันหน้าชำเรืองกลับมามองที่รถ ดูคล้ายเธอพะว้าพะวงกังวลอะไรซักอย่าง ซึ่งไม่นานหลังจากนั้นเธอก็หันหลังจะเดินกลับมาที่รถโดยมีพี่เก๋ทำท่าเหมือนจะเดินตามมาด้วย แต่พี่เนยก็หันไปโบกไม้โบกมือบอกอะไรพี่เก๋อยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งกลับมาหาฉันที่รถคนเดียว ตอนนี้เมื่อพี่เนยเปิดประตูเข้ามานั่งอยู่ในรถ เธอก็รีบกุลีกุจอดึงมือฉันขึ้นไปกุมไว้ก่อนจะค่อยๆส่งยิ้มหวานๆ เหมือนต้องการจะขอร้องฉันอะไรสักอย่างต่อจากนี้...

เอ่อ...กี้คะ เดี๋ยวเราแวะเข้าไปข้างในผับกันก่อนแป๊บนึงป่ะ...” เธอทั้งพูดทั้งยิ้มแหยๆมองหน้าฉัน เหมือนเธอจะแอบเกรงใจฉันเรื่องที่เธอทำทีเป็นบอกให้ฉันรีบลงไปในผับกับเธอด้วยอาการรีบร้อนอย่างนี้...
ห๊ะ อะไรนะคะ ไหนเราตกลงกันแล้วไง พี่เนยก็บอกพี่ฝ้ายแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะแค่แวะมาอ่ะ” ฉันคิ้วขมวดรีบย้อนถามพี่เนยคืนทันทีที่ได้ยินเจ้าหล่อนพูดอย่างนั้น ตอนนี้สายตาฉันคงกำลังออกอาการจ้องเขม็งด้วยความสงสัยจนกระทั่งพี่เนยก็เผลอสะดุ้งทันทีที่ได้ยินฉันทำเสียง ห๊ะ ตั้งแต่ตอนแรก..
ค่ะใช่ค่ะ แต่ว่า..คือเอ่อ..พอดีเพื่อนๆมาหลายคนเลยค่ะกี้...”เธอทำทีเป็นตีเนียนพูดเสียงอ่อนเสียงหวานค่ะๆคะๆกับฉัน แต่ก็ยังพูดไม่ทันไรก็โดนฉันรีบพูดแทรกดักคอจนเธอกลายเป็นสะดุ้งอีกรอบ..
แล้วไงคะ เพื่อนพี่เนยก็เพื่อนพี่เนยสิ กี้ไม่ไปหรอก พี่เนยก็น่าจะรู้ว่ากี้...ไม่กล้าเข้าไปเที่ยวในนั้นอีกแล้ว”
หืม..ทำไมล่ะคะ..” พี่เนยคิ้วขมวดด้วยความสงสัย เธอนั่งมองหน้าฉันอยู่นานกว่าจะร้องอ๋อ แล้วกลายเป็นทั้งพูดทั้งขำกับฉันทันทีที่เธอนึกถึงเรื่องอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “อ๋อ..เรื่องนั้นน่ะเหรอ เฮ้ยมันนานมาแล้วนะกี้ เพื่อนๆเค้าลืมไปหมดแล้ว..”
แต่กี้ยังไม่ลืมและเชื่อเหอะถ้าพวกพี่เก๋เจอกี้มาเที่ยวที่นี้อีก แกก็ต้องนึกเรื่องนั้นขึ้นมาได้อีกแน่ๆล่ะ..”ฉันโบกไม้โบกมือปฏิเสธพี่เนยเข้าไปใหญ่ ยิ่งฉันคิดถึงหน้าพี่เก๋ภาพความหลังน่าอายพวกนั้นก็ยิ่งชัดเจนขึ้น จนฉันไม่กล้าแม้แต่จะคิดว่าขนาดฉัน.....ยังจำภาพได้ละเอียดขนาดนี้ แล้วคนอื่นที่เค้า..เอิ่ม...ก็คงไม่ลืมภาพเหตุการณ์วันนั้นเหมือนกันนั่นล่ะน่ะ...
“..เฮ้ย อะไรอ่ะกี้เรื่องเด็กๆแค่นั้นไม่มีใครเค้ามาจำหรอกน่า น่านะ เข้าไปแป๊บเดียวเอง รีบไปรีบกลับกันก็ได้...นะคะกี้...กี้ก็เห็นนี่ว่า...เดี๋ยวนี้พี่ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวกับเพื่อนเลยอ่ะ.....”

..ฉันจ้องเขม็งไปที่ริมฝีปากพี่เนยตอนที่เธอกำลังพยายามอธิบายหาเหตุผลต่างๆมาโน้มน้าวฉัน จนกระทั่งมาถึงประโยคสุดท้ายที่เธอพูด ภาพเหตุการณ์เก่าๆก็โผล่ขึ้นมาแว๊บๆให้ฉันได้นึกขึ้นได้อีกครั้งหนึ่งว่า...ชีวิตของฉันและพี่เนยก็เปลี่ยนแปลงไปเพราะประโยคๆนี้เมื่อ10ปีก่อนนั่นเอง....

“......เดี๋ยวนี้พี่ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวกับเพื่อนเลยอ่ะ..”

...ภาพพี่เนยในชุดนักเรียนมัธยมปลายนั่งขัดสมาธิถือหนังสืออยู่ข้างๆเตียงในห้องนอนฉัน สว่างชัดแจ้งขึ้นมาอีกครั้งนึง...

ตอนนั้นเป็นช่วงเดือนธันวาคมในปีแรกที่เราคบกันและพี่เนยเริ่มมาอยู่ที่บ้านฉันเป็นจริงเป็นจังแล้ว เราจะใช้เวลาที่ว่างหลังจากที่ช่วยงานร้านข้าวมันไก่พ่อกับแม่ข้างล่างเสร็จแล้วขึ้นมานั่งทบทวนอ่านหนังสือและทำการบ้านด้วยกัน ซึ่งช่วงนี้ก็เป็นช่วงสอบเก็บคะแนนพี่เนยและฉันก็เลยขยันอ่านหนังสือสอบและทำการบ้านด้วยกันเป็นพิเศษ ยกตัวอย่างเช่นวันนี้ที่พี่เนยหอบกองหนังสือขึ้นมาวางไว้บนเตียงแล้วนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆเตียง เธอนั่งอ่านหนังสือข้างๆฉันที่ก็นั่งทำการบ้านโดยใช้เตียงนอนเป็นเหมือนโต๊ะทำการบ้านเช่นเดียวกัน...

แล้วไง..” ฉันละตาจากสมุดจดการบ้านเงยหน้าขึ้นมามองพี่เนยที่ยิ้มแหยๆให้ฉัน “..อยากไปเหรอ ไหนพี่เนยบอกว่าจะไม่พยายามเที่ยวแล้วไง..” ตอนนี้พอฉันพูดจบประโยคพี่เนยก็ทำเป็นยิ้มหวานค่อยๆกระเถิบเข้ามานั่งใกล้ๆ แล้วทำทีเป็นยื่นมือมาจับไหล่ทำเป็นนวดซ้ายนวดขวาเอาใจฉันต่อ..
ก็...จริงๆก็ไม่ค่อยอยากไปเท่าไหร่หรอก..แต่แบบว่ามันใกล้ปีใหม่แล้วไง กี้คงไม่รู้ใช่มั้ยว่าวันที่31น่ะผับเค้าเปิดถึงเช้าเลยนะ คือเคาน์ดาวน์กันไง แล้วทีนี้พวกเพื่อนๆที่เคยไปเที่ยวด้วยกันเค้าอยากไป พวกเค้าก็เลยชวนพี่ไปด้วยไง ...” พี่เนยเหล่ตาแอบมองท่าทีฉัน แล้วกลายเป็นหลบตาทันทีที่ฉันเห็นฉันคิ้วขมวดรีบพูดตอบโต้เธอ
แล้วไง เพื่อนไปก็ให้เพื่อนเค้าไปสิ พี่เนยเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ”
ก็..ก็ เพื่อนพวกนี้เค้าเคยไปเที่ยวได้เพราะว่าพี่พาพวกเค้าไปกันไง ทีนี้..ถ้าพี่ไม่พาเค้าเข้าไปแล้วใครจะพาพวกเค้าเข้าไปกันล่ะ..” พี่เนยค่อยๆเงยหน้าแอบชำเรืองตามองฉัน ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นบ่งบอกอาการหวาดหวั่นให้เห็นอย่างชัดเจน...
พูดเป็นเล่นไป ถ้าเพื่อนไม่อยากไปก็ต้องบังคับให้เพื่อนพาไปเพื่อที่พวกตัวเองจะได้เที่ยวมีความสุขอย่างนั้นเหรอ ใช้ได้ที่ไหนกัน..” พี่เนยคงฟังออกว่าฉันไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ เธอถึงกับสะดุ้งโหยงทันทีที่ได้ยินเสียงดุๆห้วนๆของฉันอย่างนั้น

ก็..ก็..ไม่ใช่อย่างนั้น..คือ..คือ เอ่อ..”
คือ อะไร..” ฉันลากเสียงเหล่มองพี่เนยที่แอบหลบตาฉัน “..ทำเสียงอึกอักๆแบ่งรับแบ่งสู้อย่างนี้ กี้ว่าพี่เนยอยากไปเองมากกว่าม้างงง...” เธอสะดุ้งทันทีที่ได้ยินฉันทักท้วงอย่างนั้น ตอนนี้นอกจากสายตาล่อกๆแล่กๆมองดูมีพิรุธแล้ว พี่เนยก็ยังมีอาการยกไม้ยกมือโบกปัดไปมาแสดงท่าทางอีหลักอีเหล่แบ่งรับแบ่งสู้ให้ฉันเพิ่มความสงสัยเข้าไปอีก...
ไม่ใช่ๆคือกี้กำลังเข้าใจพี่ผิดนะ คือพี่แค่อยากพาเพื่อนๆไปเที่ยวบ้างแค่นั้นเอง กี้คงไม่รู้หรอกว่าตอนที่พี่โดดเรียนไม่ค่อยเข้าเรียนหนังสือพี่ก็ได้เพื่อนพวกนี้สลับกันเช็คชื่อหรือไม่ก็ทำงานทำการบ้านส่งให้..”
เบ๊..ว่างั้น..” ฉันรีบพูดแทรกพี่เนยทันทีที่ได้ยินเรื่องราวที่เธออธิบายเกี่ยวกับความดีความชอบของเพื่อนเธอ ซึ่งนั่นก็พอจะทำให้ฉันสรุปความหมายของมันเป็นนัยๆตามที่ฉันถามเธอไปก่อนหน้านั้นนั่นเอง
นี่พี่เนยใช้เพื่อนทุกๆคนเลยเหรอ แล้วเพื่อนพี่เนยที่คบๆกันอยู่นี่ก็หวังผลประโยชน์อะไรประมาณนี้ทั้งนั้นเลยใช่มั้ย..นี่พี่เนยต้องเลี้ยงเหล้าเค้าอย่างนี้ตลอดเหรอเวลาที่พี่เนยใช้อะไรเค้าอย่างนี้..พี่เนยนี่ก็แย่อยู่นะ ใช้ไม่ได้เลย เห็นมั้ยว่าการทำตัวเกรกมะเหรกเกเรของพี่เนยมันส่งผลเสียยังไงบ้าง..”

พี่เนยเม้มปากทำตาละห้อยหน้าหงอยทันทีที่โดนดุ ตอนนี้พอฉันหยุดบ่นแล้วทำทีเป็นคิ้วขมวดหันไปมองหน้าพี่เนย เจ้าหล่อนก็รีบหลบตาก้มหน้านั่งมองพื้นห้อง แล้วทำทีเป็นใช้นิ้วเขี่ยนั้นเขี่ยนี่ด้วยท่าทีซึมๆเศร้าๆของเธอไป...

“..ไม่ต้องมาทำเป็นเศร้าหรอกน่า ในเมื่อสิ่งที่กี้พูดมันเป็นความจริง..พี่เนยก็ต้องรับให้ได้สิ” ฉันทั้งพูดทั้งชำเรืองตามองพี่เนยด้วยความเป็นห่วง เธอนั่งก้มหน้าก้มตาไม่พูดตอบโต้อะไรกับฉันอยู่สักครู่นึงก่อนจะเงยหน้าขรึมๆขึ้นมาตอบรับฉันด้วยเสียงเรียบๆฟังดูเซ็งๆของเธอไป...

อืม....”

ตอนนี้พอเธอตอบรับฉันด้วยท่าทางซังกะตายเสร็จแล้วก็กลายเป็นว่าเธอหันมาหยิบกองหนังสือทั้งหมดกระเถิบออกไปนั่งอ่านอยู่ไกลๆฉันซะอย่างนั้น...
เมื่อเห็นว่าพี่เนยไม่รบเร้าเซ้าซี้อะไรฉันต่อแล้ว ฉันก็หันกลับมาทำการบ้านต่อ แต่ด้วยความเงียบแปลกๆที่กำลังเกิดขึ้นระหว่างฉันกับพี่เนยตอนนี้ เลยทำให้ฉันต้องแอบชำเรืองตามองตามพี่เนยบ้างว่าเธอกำลังทำอะไร ซึ่งตอนนี้ภาพที่เห็นก็คือเธอทำเป็นนั่งเกยคางอ่านหนังสืออยู่บนเตียงเงียบๆ ไม่พูดไม่จาอะไรเอาแต่ก้มหน้าหมอบลงไปกับหนังสือ ฉันมองใบหน้าด้านข้างเห็นคิ้วเข้มๆหนาๆของเธอกำลังขมวดเป็นปมยู้ๆยี่ๆ เหมือนเจ้าของคิ้วงามคู่นั้นกำลังคิดมากซีเรียสกับอะไรบางอย่างอยู่....

พี่เนย..ทำไมนั่งไกลกี้จัง มานั่งใกล้ๆกี้สิ” ฉันลองเอ่ยปากถามพี่เนยด้วยความเป็นห่วงดู แต่เธอไม่ตอบทำเป็นนิ่งเอาแต่นั่งเกยคางอ่านหนังสือเงียบๆของเธอไปอีกเหมือนเดิม...
เฮ้..เป็นอะไรหรือเปล่าทำไมนั่งเงียบอย่างนั้นล่ะ..ทำไมไม่เข้ามานั่งใกล้ๆกี้” เมื่อเห็นอาการเฉยชาอย่างนั้นฉันเลยเพิ่มระดับเสียงกลายเป็นร้องถามพี่เนยด้วยเสียงดังๆขึ้นทันที
หืม..ไม่หรอก..พี่อ่านเงียบๆอยู่ตรงนี้ดีกว่า..ไม่อยากเสียเวลาแล้ว พี่ไม่ตั้งใจเรียนมาเยอะแล้ว” พี่เนยตอบฉันเสียงเรียบๆ แต่อาการก้มหน้าก้มตาไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมามองในระหว่างที่พูดนั่นทำให้ฉันรู้ได้ทันทีว่าต้องมีอะไรอยู่ในประโยคปฏิเสธเมื่อครู่นี้แน่ๆ
นี่พี่เนยประชดกี้เหรอ”
เปล่า..” เธอตอบกลับมาด้วยเสียงเรียบๆเช่นเคย และเช่นเคยเธอก็ยังคงก้มหน้าก้มตาทำเป็นอ่านหนังสือโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองอะไร
จริ๊ง..” ฉันรีบถามคืนเสียงสูง “แล้วทำไมไม่เงยหน้าขึ้นมามองกี้ล่ะ งอนกี้ใช่ป่ะเนี่ย”
หืม..” พี่เนยขานรับก่อนจะเงยหน้าทำทีเป็นแสยะยิ้มเหมือนไม่เต็มใจจะยิ้มตอบฉัน “เปล่านี่ ไม่มีอะไรหรอกคิดมากน่า...”
ฉันนั่งมองพี่เนยรีบตอบรีบก้มแล้วก็อดที่จะนึกขำเจ้าหล่อนในใจไม่ได้ นี่เธอคงจะงอนที่ฉันพูดดักคอไม่ยอมให้ไปเที่ยวก่อนหน้านั้นสิท่า ฉันแอบขำในท่าทางกิริยาของพี่เนยก่อนจะแกล้งทำทีเป็นค่อยๆคลานเข่าเข้าไปนั่งใกล้ๆเธอ ตอนนี้เมื่อเธอรู้สึกว่าฉันเข้าไปอยู่ใกล้ๆแล้ว เธอก็ยิ่งทำเป็นนิ่งแกล้งก้มหน้าลงหมอบอ่านหนังสือติดกับพื้นเตียงเข้าไปใหญ่
งอนกี้เรื่องที่กี้ไม่ให้ไปเที่ยวกับเพื่อนใช่มั้ย กี้รู้นะ พี่เนยน่ะเวลางอนดูง่ายจะตาย..ปกติไม่มีหร๊อกจะก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือซีเรียสอย่างนี้ นี่จริงๆต้องมากอดต้องมาหอมขอกำลังใจจากกี้ทุกๆ5นาทีแล้วนะนี่ เก่งจังเลยทำไมครั้งนี้ทนได้อ่ะ” ฉันทั้งพูดทั้งแกล้งยื่นสองมือเอื้อมไปหยิกแก้มทั้งสองข้างให้โย้ขึ้นลงด้วยความหมั่นไส้ ทั้งโน้มหน้าเข้าไปหอมแก้มทางซ้ายทีขวาทีโดยหวังให้เธออารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง
..แต่เธอก็ไม่..
แม้เธอจะเงยหน้าขึ้นมาตามแรงหยิกแรงหยอกของฉัน แต่เธอก็ไม่ยอมยิ้มไม่ยอมขำอะไรเอาแต่ทำหน้าบึ้งสั่นหน้าไปตามแรงจับแรงหอมที่ฉันทำไปเมื่อครู่นี้ ตอนนี้พอฉันหยุดหอมแล้วนั่งมองหน้าเธอนิ่งๆ เธอก็ทำเป็นสะแหยะยิ้มให้ฉันก่อนจะหันไปก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือของเธออีกเหมือนเดิม..

“..อะไรอ่ะ งอนจริงๆด้วยนี่ นี่จริงจังขนาดนั้นเลยเหรอนี่ นี่ถ้ากี้ไม่ยอมให้ไปก็จะตั้งท่างอนกี้อย่างนี้ตลอดเลยใช่เปล่านี่” ฉันทั้งพูดทั้งแอบเหล่ดูทีท่าของพี่เนยที่เช่นเคยเธอก็ยังนั่งแข็งทื่อไม่ยอมหือไม่ยอมอืออะไรทั้งนั้น
เห้อ เอ้อก็ได้ๆ แต่ว่าเรื่องมันค่อนข้างจะไร้สาระ ยังไงซะกี้ก็คงไม่ยอมให้พี่เนยไปเที่ยวง่ายๆหรอกนะ มันต้องมีอะไรแลกเปลี่ยนกันหน่อย..”

ได้ผล..เธอแอบชำเรืองเหล่ตามองฉันทันทีที่ได้ยินฉันพูดอย่างนั้น...

ไง..สนใจล่ะสิ..กี้น่ะก็ไม่ได้อยากจะบังคับฝืนใจอะไรพี่เนยมากมายหรอกนะ ที่กี้ห้ามที่กี้บ่นตั้งแต่ตอนแรกๆก็เพราะว่ากี้ห่วงพี่เนยทั้งนั้นล่ะน่า ยิ่งตอนนี้ยิ่งใกล้สอบเก็บคะแนนอยู่ถ้าพี่เนยมามัวแต่ห่วงเที่ยวอย่างนี้พี่เนยจะเอาอะไรไปสอบเข้ามหาลัยเล่า เข้าใจกี้อยู่ใช่มั้ย”
พี่เนยหันหน้าบึ้งๆมามองฉันก่อนจะยักคิ้วตอบรับแล้วทำหน้าเซ็งๆเบื่อๆของเธอต่อไป..
ก็เอาอย่างนี้มั้ย เพื่อประโยชน์ของพี่เนยด้วย เอาเป็นว่าถ้าการสอบมิดเทอมรอบนี้ถ้าพี่เนยทำคะแนนท๊อปของห้องได้ กี้ให้พี่เนยไปเที่ยวกับเพื่อนๆเลยอ่ะ..”
ห๊ะ ท๊อปเลยเหรอ จะบ้าเหรอแค่ให้ผ่านสักครึ่งของวิชาทั้งหมดพี่ก็หนักใจจะแย่แล้ว นี่ถ้ากี้จะให้พี่ทำคะแนนท๊อปได้ขนาดนั้น ชาตินี้ทั้งชาติพี่คงไม่ได้ไปเที่ยวหรอกมั้ง” พี่เนยคิ้วขมวดรีบแย้งฉันด้วยเสียงนอยด์ๆของเธอทันที..
กี้ก็รู้ว่าพี่ก็ไม่ได้เก่งอะไรเท่าไหร่เลย ที่ทุกวันนี้ขนาดพยายามเรียนพิเศษพยายามติวหนังสือหนักกว่าเพื่อนยังไงพี่ก็ว่ามันยังไม่ทันเข้าหัวสมองพี่เท่าไหร่เลย..ถ้ากี้จะมาพูดแกล้งพี่อย่างนี้นะ สู้กี้บอกพี่มาเลยก็ได้ว่าไม่ต้องไปเที่ยวหรอก พี่จะได้ทำใจไว้เลย” พี่เนยต่อว่าต่อขานฉันด้วยน้ำเสียงน้อยเนื้อต่ำใจของเธอเป็นที่สุด
กี้ไม่ได้แกล้งนะ นี่กี้หวังดีกับพี่เนยนะนี่ มันก็เป็นผลดีกับพี่เนยเองด้วยไงพี่เนยก็จะได้มีแรงผลักดันในการสอบอ่ะ” ฉันทั้งพูดทั้งยื่นมือไปจับแก้มปลอบใจเธอไว้ด้วยเพราะกลัวว่าเธอจะคิดเป็นอื่นไปอย่างที่เธอเข้าใจ แต่เธอก็ยังคิ้วขมวดมองฉันอย่างเคืองๆอยู่เหมือนเดิม...
อะๆ เอาสัก3วิชาก็ได้ ถ้าพี่เนยทำคะแนนท๊อปได้3วิชากี้ยอมให้ไปเลยอ่ะ...”
พี่เนยเม้มปากมองแรงฉัน “3วิชาก็ยังเยอะไปเลยอะ แค่วิชาเดียวจะท๊อปได้หรือเปล่ายังไม่รู้เลย”
เอ้า อะไรเล่าแค่นี้เองอ่ะ นี่ขนาดว่ากี้ประนีประนอมยอมหาทางเลือกให้พี่เนยได้ไปเที่ยวกับเพื่อนแล้วนะ หรือจะไม่ไป ถ้าอย่างนั้นกี้ไม่ให้ไปแล้วนะ” เมื่อเห็นว่าเจ้าหล่อนโยเยไม่ยอมรับข้อเสนอที่ฉันพยายามช่วยเธอเต็มที่แล้ว ฉันก็เริ่มทำเสียงเข็งแกล้งกลับมาทำเสียงดุข่มขู่เธออีกครั้ง จนพี่เนยหน้าเสีย เธออึกๆอักๆเหมือนว่ากำลังตัดสินใจบางอย่างอยู่ ฉันมองดูเธอเทียวก้มเทียวเงยมองหนังสือที่อยู่ต่อหน้าเธออยู่นาน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาตอบรับข้อเสนอกับฉันอย่างเสียไม่ได้...
สามวิชาสำหรับพี่น่ะมันถือว่ายากอยู่นะ แต่ถ้ามีข้อเสนอที่มันยากสมเหตุสมผลกันพี่ก็จะพยายามทำ”
เอ้า.. ทำไมพูดอย่างนั้นการได้ไปเที่ยวกับเพื่อนนี่มันไม่ยากสมเหตุสมผลเหรอ” เมื่อได้ยินคำพูดแปลกๆอย่างนั้นฉันอดที่จะรีบแย้งถามเธอกลับไปด้วยความสงสัยไม่ได้
มันไม่ได้ยากหรอกแค่นั้น ถึงกี้ไม่ให้พี่ไปวันนี้วันหลังพี่อาจจะแอบไปได้อยู่ดี แต่...พี่จะพยายามทำท๊อปสามวิชาให้ได้จริงๆถ้ากี้ยอมรับเงื่อนไขของพี่อีกข้อหนึ่งด้วยอ่ะ”
“เงื่อนไขอะไร..”ฉันทั้งถามทั้งคิ้วขมวดสงสัย นี่เจ้าหล่อนจะมาไม้ไหนยังไงกับฉันอีก...
ก็..ถ้าพี่ทำคะแนนท๊อปสามวิชาได้ นอกจากว่าพี่จะได้ไปเที่ยวผับในวันปีใหม่กับเพื่อนแล้ว..กี้ต้องไปเที่ยวกับพี่ด้วยนะ..”
ห๊ะ..เที่ยวผับนี่นะ อย่างกี้นี่นะ หึๆ จะบ้าแล้วกี้ไม่ไปหรอก แค่กี้ยอมให้พี่เนยไปเที่ยวอีกครั้งนี่ก็บุญหัวพี่เนยเท่าไหร่แล้ว ได้คืบจะเอาศอกอย่างนั้นเหรอ กี้ไม่เอาด้วยหรอก..”
เอ้อ งั้นพี่ก็จะไม่ตั้งใจเรียนเหมือนกัน คอยดูพี่จะโดดทุกวิชาเลยต่อไปนี้ ก็จะได้รู้เหมือนกันไอ้คำว่าหวังดีพยายามหาแรงผลักดันอยากให้เรามีกำลังใจในการเรียนอย่างนั้นโน้นนี้ ที่พูดมามันจริงขนาดไหน ก็ไม่เท่าไหร่นี่หว่า ถึงเวลาก็ไม่แน่จริงนี่หว่า ก็แค่พูดลอยๆเท่านั้นนี่ ถ้างั้นพี่ก็คงต้องทำตัวลอยๆเหมือนแต่ก่อนบ้างล่ะนะ ไม่มีใครเอาใจใส่ชีวิตพี่จริงๆสักหน่อย สักแต่พูด เกลียดว่ะ..” พี่เนยทั้งพูดทั้งเบ๊ปากมองหน้าฉัน เธอทำเป็นจิกตามองแรงฉันก่อนจะหันไปหยิบเอาหนังสือทำท่าจะลุกขึ้นเดินเอามันไปเก็บใส่กระเป๋านักเรียนเธอ
เฮ้ย ทำไมต้องเล่นใหญ่ด้วยอ่ะ จะดราม่าทำไมนี่ พูดดีๆก็ได้นี่นา อ่ะๆก็ได้ๆ ถ้าพี่เนยสอบได้ท๊อปสามวิชาจริงกี้จะยอมไปเที่ยวผับกับพี่เนยเลยอ่ะ...” เมื่อเห็นท่าทางว่าพี่เนยจะไม่ยอมความง่ายๆแล้วจะกลายเป็นทะเลาะกันเสียงานเสียการเปล่าๆ ฉันก็เลยรีบๆตกปากรับคำเจ้าหล่อนส่งๆไปด้วยความคิดในใจตอนนั้นที่ว่า พี่เนยก็คงไม่กล้าสอบได้ท๊อป3วิชาขนาดนั้นหรอก ก็เธอพึ่งจะมาตั้งใจเรียนพึ่งจะมาขยันอ่านหนังสือช่วงหลังๆ ไอ้การทำคะแนนท๊อป3วิชาสำหรับคนหัวทื่อที่เข้าเรียนบ้างไม่เข้าเรียนบ้างอย่างเธอน่ะ คงจะเป็นไปไม่ได้แน่...
จริง......”เธอหันควับกลับมามองฉันทันทีที่ได้ยินฉันสัญญาอย่างนั้น..
จริงสิ อ่ะสัญญาให้ดูก็ได้อ่ะ” ฉันรีบยกสามนิ้วขึ้นทำท่าสัญญากับพี่เนย ก่อนจะรีบลุกขึ้นเดินเข้าไปดึงแขนเธอให้มานั่งตักฉันอยู่บนเตียง
แล้วถ้ากี้ให้โอกาสพี่เนยอย่างนี้แล้วพี่เนยก็ต้องรีบตั้งใจเรียนได้แล้วนะ รู้ตัวมั้ยแม้กี้จะเป็นห่วงพี่เนยเรื่องการเรียนขนาดไหน แต่ถ้าพี่เนยไม่ใส่ใจที่จะตั้งใจเรียนเองแล้ว ยังไงๆมันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรหรอก กี้อยากให้พี่เนยเข้ามหาลัยดีๆได้ กี้ถึงพยายามจ้ำจี้จำไชพี่เนยอย่างนี้น่ะ อย่าโกรธให้กี้เลยนะ..” ฉันทั้งพูดทั้งค่อยๆยื่นสองมือไปโอบกอดพี่เนยไว้ ทั้งโน้มหน้าลงไปหนุนแผ่นหลังบอบบางของเจ้าของร่างอรชน ตอนนี้พอเธอได้ยินคำหวานๆที่ฉันพยายามพูดโน้มน้าวให้เธอตั้งใจเรียนขึ้น ก็ดูเหมือนเธอจะพยายามรับฟัง เธอพยักหน้าตอบรับในคำบอกคำสอนต่างๆที่ฉันพูดในประโยคเสมอ
“..พี่เนยจำได้ใช่มั้ยเรื่องที่พี่เนยเคยให้สัญญาว่าจะปรับปรุงตัวไปพร้อมๆกับกี้น่ะ ตอนนี้พี่เนยก็เห็นแล้วใช่มั้ยว่าไม่ใช่แต่เฉพาะพี่เนยนะที่พยายามเปลี่ยนแปลงตัวเอง กี้ก็พยายามเปลี่ยนแปลงตัวของกี้เองให้เข้ากับพี่เนยให้ได้เหมือนกันน่ะ อะไรที่พี่เนยชอบอะไรที่พี่เนยอยากได้ ถ้ากี้ทำได้และเป็นเรื่องที่ดีอยู่กี้ก็จะพยายามทำให้พี่เนย ทีนี้รู้หรือยังว่ากี้รักพี่เนยขนาดไหนน่ะ..” พี่เนยพยักหน้ารับ เธอค่อยๆหันหน้ากลับมามองฉัน ตอนนี้พอฉันได้จ้องมองดวงตาสีน้ำตาลที่ลดความแข็งกระด้างกระเดื่องเมื่อยามเธอโกรธไม่พอใจเรื่องต่างๆออกไปแล้ว ความอ่อนโยนในแววตาเธอก็ทำหน้าที่ร่ายมนต์ให้ฉันตกอยู่ในภวังค์จนกระทั่งละจากดวงตาสีน้ำตาลหวานๆคู่นี้อีกไม่ได้ ได้แต่นั่งจ้องมองเธอด้วยความเสน่หาจนกระทั่งเผลอไผลปล่อยตัวปล่อยใจโน้มใบหน้าเข้าไปมอบจุมพิตหวานละมุนชุ่มฉ่ำจนกระทั่งนำเราทั้งสองเข้าไปสู่วังวนแห่งเกมส์รักอีกครั้งหนึ่ง...

..ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาพี่เนยคนสวยก็ดูจะมีความพยายามที่จะตั้งใจเรียนเพิ่มมากขึ้นเป็นพิเศษ เธอจะใช้เวลาว่างของทุกๆวันในการหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านทบทวน หรือแม้แต่พยายามทำงานส่งเก็บคะแนนให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ยกตัวอย่างเช่นวันนี้ ที่พี่เนยนั่งก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือเรียนตั้งแต่ตอนที่ฉันเดินเข้าไปนั่งในรถตู้พี่เนย ที่น้าคนขับรถจะขับเข้ามารับฉันไปเรียนด้วยทุกวัน เธอนั่งก้มอ่านไม่ยอมเงยหน้าเงยตาขึ้นมามองเลยว่ามีอะไรเกิดขึ้นมาข้างๆเธอบ้าง แม้ว่าฉันจะลงไปนั่งแมะข้างๆเบาะเธอแล้วก็ตาม แม้ตอนแรกฉันจะนึกขำอาการตั้งอกตั้งใจของเธออยู่บ้าง แต่นานๆเข้าทีท่าจริงจังซีเรียสของเธอนั้นกับทำให้ฉันเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาเรื่อยๆ...

เริ่มจาก...การที่เธอเดินลงจากรถตู้โดยที่ยังอ่านหนังสืออยู่ แล้วเดินดุ่มๆเข้าไปในโรงเรียนโดยที่ไม่ได้มองถนนจนเกือบจะโดนรถมอเตอร์ไซค์ชนเข้าให้ หรือการเดินก้มหน้าก้มตามองแต่หนังสืออย่างนั้นจนไปชนเข้ากับกลุ่มนักเรียนที่ยืนจับกลุ่มคุยกันอยู่ข้างทางจนพวกเขาไม่พอใจตั้งท่าจะมีเรื่องกับพี่เนยจนฉันต้องรีบไปช่วยอธิบายไว้ หรือแม้แต่ตอนที่ฉันพยายามจะเรียกเธอให้หันมาคุยมาตอบรับอะไรกับฉันบ้าง อย่างตอนที่ฉันนั่งคุยกับเธอตอนพักเที่ยงที่ระเบียงหน้าห้องเรียนของเธอ แต่เธอก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือของเธอไป...

“..เฮ้..ไม่ได้ยินที่กี้ถามหรือไงนี่พี่เนย” เป็นฉันที่หันไปตะโกนกรอกหูพี่เนย ตอนที่ถามเธอเรื่องที่ว่าวันนี้จะให้รอกลับพร้อมกันมั้ย แต่เธอก็ไม่ตอบเอาแต่นั่งเงียบก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสืออยู่เหมือนเดิม..
หือ..อะไรนะ กี้ว่าอะไรนะคะ” ตอนนี้พอได้ยินเสียงตะโกนฉัน เธอก็สะดุ้งตกใจรีบละใบหน้าจากหนังสือหันมาจ้องหน้าฉันอย่างงงๆ...
กี้ถามว่าจะกลับพร้อมกันมั้ย จะให้กี้รอพี่เนยมั้ยวันนี้น่ะ..”
พี่เนยนิ่งเธอนั่งนึกอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะบอกฉัน “ก็กลับพร้อมกันก็ได้ถ้ากี้รอพี่ได้อ่ะ คือวันนี้พี่ต้องทำงานกลุ่มส่งว่าจะทำให้เสร็จที่โรงเรียนกันเลยจะได้ไม่ยุ่งไม่วุ่นวายวิชาอื่นอีก..”
เอ๋า..ทำงานกลุ่มอีกแล้ว ทำบ่อยจังเลย...” ฉันหน้าหงอยทันทีที่ได้ยินพี่เนยบอกกล่าวเรื่องที่เธอไม่ว่างในตอนเย็นนี้ ทั้งๆที่วันนี้เป็นวันศุกร์และฉันตั้งใจว่าเลิกเรียนเย็นนี้ฉันจะชวนเธอไปทานไอศกรีมที่ห้างในเมืองก่อนสักหน่อยถึงจะกลับบ้านกัน เพราะด้วยความที่ว่าช่วงนี้เธอไม่ค่อยได้พาฉันออกไปสวีตกันข้างนอกสองต่อสองเท่าไหร่เลย...

..ฉันนึกถึงครั้งสุดท้ายที่เราได้ไปสวีตกันก็น่าจะเป็นกลางๆเดือนก่อนที่พี่เนยแอบพาฉันขับรถซุปเปอร์คาร์ไปเที่ยวที่บ้านพักอีกจังหวัดหนึ่งของเธอ ตอนนั้นพี่เนยแอบสอนฉันขับรถยนต์ของเธอด้วย ครั้งนั้นฉันทั้งตื่นเต้นทั้งสนุกสนาน ทั้งมีความสุขที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับพี่เนยในสถานที่ที่มีแค่เราแค่สองคนเป็นครั้งแรก เนื่องจากพ่อพี่เนยอยากมีบ้านพักที่อยู่ในเขตจังหวัดที่มีแหล่งท่องเที่ยวประเภทป่าไม้สายธารน้ำตกให้ครอบครัวได้พักผ่อนบ้าง บ้านหลังนั้นก็เลยถูกสร้างขึ้นมาหลังเดี่ยวๆโดดๆในเขตป่าที่มีน้ำตกไหลผ่านตัวบ้าน ซึ่งก็ถือว่าไกลจากตัวเมืองมากบ้านหลังนั้นก็เลยไม่มีใครอยู่เฝ้าอะไรให้ การไปพักผ่อนกับพี่เนยในครั้งนั้นจึงเป็นเหมือนการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์สำหรับเราสองคนที่พึ่งจะเริ่มตกลงปลงใจคบกันใหม่ๆ เราสามารถใช้เวลาทุกๆเวลา สถานที่ๆทุกๆสถานที่ในเขตบ้านพี่เนยเป็นที่พลอดรักของเราทั้งสองคนได้โดยไม่ต้องกลัว ไม่ต้องอายว่าจะมีใครมาเห็นภาพเริงรักของเราทั้งสองคนอย่างนั้น...

ยิ่งฉันนึกถึงภาพเวลาประทับใจเหล่านั้นก็ยิ่งน้อยใจ เพราะนอกจากว่าตอนนี้พี่เนยจะไม่ค่อยพาฉันไปไหนมาไหนสองต่อสองอย่างแต่ก่อนแล้ว ตอนนี้เธอยังเอาแต่นั่งก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือของเธอโดยที่ไม่ได้สนใจใยดีอะไรฉันเลย ไม่สนใจแม้กระทั่งว่าฉันกำลังทำสีหน้างอนๆเพราะน้อยใจอะไรอยู่ หรือรู้สึกหงุดหงิดอะไรยังไงให้ตัวเธอบ้าง ยิ่งมองเห็นอาการสนใจสิ่งอื่นมากกว่าฉัน ฉันก็ยิ่งน้อยใจและด้วยความน้อยใจนี่ล่ะที่ทำให้ฉันเริ่มหงุดหงิดนั่งหันซ้ายหันขวามองนั่นมองนี่แก้อารมณ์เสียไปเรื่อยจนกระทั่งไปเจอเข้ากับ...พี่พลอย...ที่ยืนชะโงกหน้าเศร้าๆมองฉันอยู่ที่หน้าประตูห้องเรียนของเธอ ตอนนี้พอพี่พลอยสบเข้ากับสายตาของฉันเธอก็รีบเปลี่ยนสีหน้าทำเป็นส่งยิ้มหวานทักทายฉันทันที..

ฉันก็ยิ้มให้พี่พลอย...ตอนนี้ภาพพี่พลอยเมื่อวันที่เธอเล่าเรื่องที่แม่ของเธอป่วยให้ฉันฟังก็สว่างชัดขึ้นในหัวอีกครั้ง ด้วยความรู้สึกทั้งสงสารและเป็นห่วงพี่พลอยเลยทำให้ฉันตัดสินใจลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วเดินตรงไปหาพี่พลอยที่หน้าห้องทันที..

พี่พลอย..สบายดีหรือเปล่าคะ” เป็นฉันที่เริ่มทักทายพี่พลอยก่อนหลังจากที่เดินเข้าไปโบกมือและยิ้มทักทายเธอ
ตอนนี้พอฉันเดินเข้ามายืนอยู่ต่อหน้าหญิงสาวร่างสูงโปร่ง รูปร่างสวยสมส่วนสะโอดสะองค์คนนี้แล้ว ก็อดที่จะชำเรืองมองนัยต์ตาหวานๆกลมโตสีดำแต่แฝงไว้ด้วยความเหงาแลดูแสนเศร้าตอนที่เธอพยายามยิ้มทักทายฉันด้วยความรู้สึกสงสารไม่ได้ ใช่...ตอนนี้ฉันรู้สึกสงสารพี่พลอยเหลือเกิน แล้วยิ่งมองริมฝีปากแดงๆชุ่มๆที่กำลังฝืนขยับมุมปากโชว์ลักยิ้ม ที่เจ้าของใบหน้าสวยแก้มแดงระเรื่อพยายามข่มความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจต่างๆ ที่เธอแอบซ่อนมาตลอดระยะเวลาที่ฉันบอกถึงความสัมพันธ์ของฉันและพี่เนยกับเธอไปแล้วนี่ มันก็ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกผิดจนต้องพยายามหลบตาเธอทันทีที่เธอมองกลับมาหาฉันอย่างนั้น...
ใช่...ฉันรู้สึกผิดเหลือเกินที่ฉันเผลอทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งเข้าใจผิดในความสัมพันธ์ของฉันกับเธอตั้งแต่วันนั้น วันที่ฉันเผลอหอมแก้มเธอไป ตอนนี้พอฉันพยายามหันกลับไปมองสายตาของเธอใหม่ ก็ยังเจอว่าเธอยังคงมองฉันด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจเหมือนเดิมอยู่ แต่รอยยิ้มที่เธอพยายามเบ่งบานออกมาทักทายฉันนั้น ก็พอจะทำให้รู้ว่าเธอดีใจขนาดไหนที่เห็นฉันเดินมาหาเธอถึงหน้าห้องได้ขนาดนี้ เธอพยายามข่มความเศร้าในดวงตาสีดำขลับคู่นั้นของเธอไว้ ก่อนจะพยายามปรับสีหน้าเศร้าๆของเธอให้เปลี่ยนเป็นยิ้มหวานและเอ่ยปากตอบคำถามฉันด้วยน้ำเสียงสดใสน่าฟังของเธอต่อ...
ก็สบายดีนะ ก็เรื่อยๆนั่นล่ะ อาจจะแย่หน่อยตรงที่ไม่ค่อยได้ไปกินข้าวมันไก่ที่บ้านกี้แล้วเดี๋ยวนี้..” พี่พลอยหยุดพูดแล้วแอบมองหน้าฉันด้วยความน้อยใจเมื่อเผลอนึกถึงภาพความหลังเก่าๆที่เธอเคยได้ไปอยู่กับฉันที่บ้าน
แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก..พี่ให้น้าแม่บ้านซื้อมาให้พี่กินเกือบๆจะทุกวันนั่นล่ะ ไม่ได้กินอยู่ที่ร้าน กินอยู่บ้านก็อร่อยเหมือนเดิมนั่นล่ะนะ” เธอทั้งพูดทั้งหัวเราะ แต่รอยยิ้มเศร้าๆของเธอนั้นสร้างความรู้สึกสงสารจนฉันต้องแอบหลบตาเธออีกครั้งหนึ่งทันทีที่เห็นสายตาตัดพ้อต่อว่าอย่างนั้น....
กี้ล่ะเป็นยังไงบ้าง คงสบายดีใช่มั้ยเห็นหน้าตาสดใสเป็นพิเศษเลยนะช่วงนี้...”
ฉันยิ้มให้พี่พลอยนิดนึงก่อนจะพยักหน้ารับ “ค่ะ สบายดีค่ะ..” ด้วยแววตาเศร้าๆของพี่พลอยตอนนี้เลยทำให้ฉันได้แต่ตอบรับเธอด้วยประโยคสั้นๆไม่กล้าที่จะพูดอะไรกับเธอมากมาย ด้วยกลัวว่าเธอจะเก็บเอาไปคิดด้วยความเสียใจของเธออีกหากฉันเผลอพูดบางเรื่องที่กระทบกระเทือนจิตใจเธอเข้า...
พี่ว่าจะโทรหากี้..แต่ก็เกรงใจ..เอ่อ..เนย..ทั้งอยากจะทักแชทไปแต่ก็ไม่กล้า เพราะพี่ไม่รู้ว่ากี้จะอยู่กับใครมั้ย..แล้วจะสะดวกคุยกับพี่หรือเปล่า..” พี่พลอยหยุดพูดแล้วกลืนน้ำลาย เธอจ้องมองฉันด้วยสายตาเศร้าๆ เหมือนเธอรู้สึกสะเทือนใจกับคำถามที่เธอกำลังจะถามต่อ...

“...ได้ข่าวว่าเนยไปอยู่กับกี้ที่บ้านตลอดแล้วใช่หรือเปล่า..”
ใช่..พ่อเราบอกเธอเหรอ..”
..ยังไม่ทันที่ฉันจะขยับปากตอบคำถามพี่พลอยด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ เสียงแข็งๆห้วนๆก็ดังลอยเข้ามาแทรกกลางการสนทนาระหว่างเราสองคนทันที ...พี่เนยนั่นเอง...ตอนนี้เธอเดินมาโอบไหล่ฉันจากด้านหลัง สายตาเธอก็จ้องเขม็งไปที่พี่พลอย แม้ไม่ได้ให้ความรู้สึกแข็งกระด้าง แต่ไอ้ท่าทางยักคิ้วและยิ้มน้อยของเธอตอนนี้ ก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเธอกำลังแกล้งยียวนกวนประสาทพี่พลอยด้วยการแสดงความเป็นเจ้าของของฉันต่อหน้าต่อตาพี่พลอยอยู่
พี่พลอยมองพี่เนยคืนด้วยสายตาเย็นชาก่อนจะยักคิ้วและตอบรับพี่เนยด้วยเสียงเรียบๆ เหมือนเธอไม่แยแสในท่าทางกวนอารมณ์ของพี่เนยเลย “อืม..”

ก็นั่นล่ะนะ เราก็บอกทั้งพ่อเรา บอกทั้งทุกคนในบ้านเราไปหมดแล้วว่าเราคิดยังไงกับกี้ พ่อเราก็ไม่ได้ว่าอะไร แถมยังให้เรามานอนอยู่กับกี้ได้ตลอดเวลาอีก พ่อกับแม่กี้ก็รู้ เราสองคนคบกับเปิดเผยแล้วการที่จะอยู่ด้วยกันตลอดเวลายังไงมันก็ไม่แปลก เธอคิดถูกแล้วล่ะที่ไม่โทรมากี้อีกน่ะ..” พี่เนยทั้งพูดทั้งยิ้มน้อย มือข้างที่เธอโอบไหล่ฉันก็ออกแรงดึงฉันเข้ามาซะเบียดกับตัวเธอจนฉันอึดอัดต้องพยายามแกะมือข้างที่โอบไหล่ของพี่เนยออกแล้วหันไปคิ้วขมวดจุ๊ปากส่งสัญญาณบอกพี่เนยให้หยุดทำท่าทางกลัวโอ้ยน่าเกลียดต่อหน้าพี่พลอยเสียที...

มาตอนไหนนี่ เมื่อกี๊ทำไมนั่งก้มหน้าก้มอ่านหนังสืออยู่..” ฉันกระซิบกระซาบถามพี่เนยทันทีที่แกะมือเธอออกได้..
ก็มาตอนนี้นี่ล่ะ พอเงยหน้าแล้วกี้หายพี่ก็รีบมองหาเลย ก็เลยมาเจอว่าอยู่กับคนอื่นอย่างนี้ไง นี่ขนาดต่อหน้าต่อตาเลยนะยังกล้าอีก เดี๊ยวก็โดนซะหรอก” พี่เนยก็ไม่ยอมแพ้เธอก็กระซิบกระซาบเถียงฉันคืนเหมือนๆกัน
อ๊ะ รู้ด้วยเหรอว่ากี้ไม่อยู่ คิดว่าไม่สนใจแล้วก็เลยเดินมาถามข่าวคราวพี่พลอยเฉยๆ เลิกทำหน้านิ่วคิ้วขมวดสักทีเถอะน่า บอกแล้วใช่มั้ยให้คุยดีๆกับพี่พลอยได้แล้ว ยังไงๆก็เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กๆนี่ เลิกงี่เง่าไร้สาระซักทีเถอะน่ะ”
พี่เนยคิ้วขมวดจ้องมองฉันด้วยความไม่พอใจอยู่นานกว่าจะตอบมา “ไม่..ถ้ากี้อยากคุยดีด้วยก็คุยเหอะ ไม่กวนหรอกถ้าอย่างงั้น..” พูดเสร็จเธอก็หันหน้างอนๆของเธอไปทางพี่พลอยก่อนจะพูดด้วยเสียงห้วนๆแข็งๆแต่ฟังแล้วให้ความรู้สึกดีแบบประหลาดๆทันทีที่ได้ยิน..

“...แม่เธอเป็นไงบ้างล่ะ เราฝากของกับพ่อไปเยี่ยมอยู่..ไม่รู้ว่าแม่เธอจะใช้เป็นหรือเปล่า..ถ้าว่างก็ไปดูบ้างสิจะได้รู้ว่าเราซื้ออะไรให้แม่เธอ...”

พี่พลอยเลิ่กคิ้วมองพี่เนยด้วยความประหลาดใจ เธอเผลอยิ้มทันทีที่เริ่มเข้าใจในความหมายที่พี่เนยพูด ซึ่งแม้พี่พลอยจะไม่ได้พูดอะไรตอบพี่เนย แต่ด้วยสีหน้าที่แดงระเรื่อขึ้นเรื่อยๆ ฉันก็พอจะรับรู้ได้ทันทีว่าพี่พลอยนั้นดีใจขนาดไหนที่เห็นพี่เนยคุยกับเธออย่างนั้น...
ตอนนี้พอพี่เนยพูดห้วนๆกับพี่พลอยเสร็จ เธอก็รีบหันหลังเดินลิ่วๆกลับไปนั่งอ่านหนังสือที่ระเบียงหน้าห้องเธอเหมือนเดิม
ฉันแอบมองพี่พลอยที่แอบยิ้มเหลียวมองตามหลังพี่เนยแล้วก็รับรู้ได้ถึงความสัมพันธ์แปลกๆประหลาดๆที่กำลังเกิดขึ้นระหว่างเราทั้งสามคนอยู่ ดูมันกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเลยสำหรับสถานะที่ต้องเจอระหว่างฉัน พี่เนย และพี่พลอย และโดยเฉพาะพี่พลอยด้วยแล้ว ฉันยิ่งรู้สึกถึงความเศร้าของเธอที่ต้องมองดูผู้หญิงสองคนที่เธอรักกำลังคบกันอย่างมีความสุข มันคงเป็นความรู้สึกพะอืดพะอมกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เหมือนๆกับที่ฉันมองสายตาพี่พลอยที่มองดูพี่เนยเมื่อครู่นี้ก็พอจะรับรู้อยู่ลึกๆว่าจริงๆแล้วก้นบึ้งหัวใจของพี่พลอยนั้นยังเก็บเรื่องราวดีๆของพี่เนยไว้เสมอ ใช่...ฉันรู้ว่าเธอก็ยังรักพี่เนยทั้งๆที่เธอก็บอกว่าเธอรักฉัน เห้อ..ให้ตายเถอะฉันไม่ชอบความสัมพันธ์แบบนี้เลย ความสัมพันธ์ที่เหมือนเป็นเส้นใยบางๆรอบล้อมพวกเราทั้งสามคนเอาไว้ ซึ่งมันก็อาจจะเป็นปัญหาคาราคาซังตลอดไปก็ได้ถ้าไม่มีใครคนใดคนหนึ่งเสียสละพื้นที่ในห้วงความผูกพันธ์นั้นออกมาก่อนที่จะเลยเถิด..อืม.. หรือนี่..บางทีพี่เนยก็อาจจะรับรู้ในความรู้สึกเหล่านั้นของพี่พลอยอยู่แล้ว เธอก็เลยพยายามแกล้งทำเป็นเฉยชาเพื่อที่จะช่วยให้พี่พลอยตัดใจจากเธอให้ขาดหรือเปล่า...ก็ไม่รู้นะ...

เย็นวันนั้นหลังจากที่ออดเลิกเรียนดังขึ้นฉันก็รีบโทรหาพี่เนยเพื่อถามถึงสถานที่ที่เธอจะทำรายงานกับเพื่อนๆกัน ได้ความว่าเธอกับเพื่อนนัดกันทำรายงานอยู่แถวๆหน้าโรงอาหาร เธอบอกว่าแถวนั้นตอนเลิกเรียนจะเงียบดีเวลาทำรายงานกลุ่มก็จะได้มีสมาธิ เพื่อนๆในกลุ่มก็ชอบเพราะไม่มีเสียงดังจากพวกนักกีฬาที่ซ้อมกันตอนเลิกเรียนมารบกวนด้วย ฉันตอบรับพี่เนยรับรู้เรื่องสถานที่ก่อนจะบอกเธอเรื่องที่ฉันจะต้องไปประชุมคณะกรรมการที่ห้องวิชาการเหมือนกัน ไม่รู้ว่าจะนานแค่ไหน ซึ่งพอพี่เนยได้ยินดังนั้นก็แอบบ่นมุบมิบเรื่องพี่พลอยกับฉันทันที..

อย่าให้รู้นะ..ว่าแอบไปคุยกันสองคนอีกอ่ะ..”
โธ่..คุยสองคนที่ไหนเค้าคุยกันทั้งห้องประชุม แล้วพี่พลอยเค้าก็คงไม่กล้ามาคุยกับกี้หรอก เค้าคงรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ดีไม่ดีเค้าอาจจะอยากคุยกับพี่เนยมากกว่ากี้เสียด้วยซ้ำ..”
บ้า..ตลกแล้ว จะมาคุยด้วยทำไม มีแต่จะกัดกันล่ะไม่ว่า พอเลยๆรีบประชุมแล้วรีบๆมาหาพี่นะ พี่จะนั่งทำงานรออยู่หน้าโรงอาหาร มิสยูค่ะ บาย..”

..แล้วก็เป็นดังที่ฉันคาดการณ์เรื่องพี่พลอย เพราะตอนที่ประชุมแม้พี่พลอยจะเดินผ่านมาใกล้ๆฉันเธอก็ไม่ได้พูดทักทายอะไรฉันเลย เธอเอาแต่ยิ้มเศร้าๆมองหน้าฉันแล้วก็หันไปคุยกับเพื่อนๆที่เป็นคณะกรรมการของเธอไปจนกระทั่งการประชุมจบลง...
ฉันดูเวลาตอนที่ประชุมเสร็จก็เกือบๆจะห้าโมงเย็นแล้ว ตอนนี้ภายในโรงเรียนก็เริ่มเงียบสงบไม่มีเสียงโห่ร้องของบรรดานักกีฬาต่างๆเหลือแล้ว ฉันร่ำลาเพื่อนๆที่เป็นคณะกรรมการสายชั้นเดียวกันแล้วเดินลัดเลาะตามทางเดินเพื่อไปยังอาคารโรงอาหารที่อยู่ด้านหลังโรงเรียน จนกระทั่งไปถึงลานม้านั่งหน้าโรงอาหารที่ตอนนี้มีเพียงโต๊ะกลุ่มทำงานของพี่เนยกลุ่มเดียวเท่านั้นที่นั่งอยู่...

พี่เนยนั่งเขียนรายงานกับเพื่อนนักเรียนหญิงอีกสองคน ตอนที่ฉันเดินไปถึงเพื่อนของเธออีกสองคนกำลังเก็บของเตรียมกลับบ้านกันแล้ว ส่วนพี่เนยเธอยังคงเขียนงานค้างที่เหลืออยู่อีกประมาณสองสามแผ่น ซึ่งพอฉันนั่งลงข้างๆพี่เนยเพื่อนทั้งสองของเธอก็ทักทายฉันนิดหน่อยก่อนจะขอตัวกลับบ้านกันก่อน เนื่องจากเห็นว่าพี่เนยมีฉันนั่งอยู่เป็นเพื่อนแล้ว
พี่เนยเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ฉันนิดนึงตอนที่ฉันนั่งลงข้างๆก่อนที่จะก้มหน้าก้มตาลงไปเขียนรายงานของเธอต่อ ฉันหันไปชำเรืองมองบริเวณที่ฉันนั่งกับพี่เนยตอนนี้มีเพียงแค่ฉันกับพี่เนยเท่านั้นที่นั่งกันอยู่มองดูวิเวกวังเวงจนน่ากลัว
เหลืออีกเยอะมั้ยล่ะพี่เนย ให้กี้ช่วยเขียนมั้ย...” ฉันก้มหน้าลงไปกระซิบถามใกล้ๆพี่เนยเนื่องจากเห็นว่าเธอไม่ยอมเงยหน้าเงยตาขึ้นมามองฉันหลังจากที่ยิ้มให้ก่อนหน้านั้นเลย...
หืม..ก็ไม่หรอก ไม่เป็นไรพี่พอเขียนได้อยู่ กี้เล่นโทรศัพท์รอพี่ก่อนแป๊บนึงนะ”
ทำไมไม่เอาไปเขียนที่บ้านกี้ล่ะ เขียนอยู่โรงเรียนเงียบจะตายน่ากลัวออก..”
ไม่เอาหรอก ไปบ้านกี้พี่ก็อยากช่วยงานบ้านกี้ให้ได้มากที่สุด พี่ไม่อยากพะว้าพะวงอ่ะ เขียนเสร็จแล้วก็แล้วกันไป ดีซะอีกเราสองคนจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้นไง ถ้าเอาการบ้านไปทำตอนก่อนนอนเดี๋ยวพี่ก็เหนื่อย..แล้วกี้ก็จะ..งอนพี่อีกนะ..” พี่เนยยิ้มตรงคำว่า งอนพี่อีกนะ เธอคงพยายามพูดถึงเรื่องที่พักนี้เธอชอบขนการบ้านไปทำที่ห้องนอนบ่อย แถมการบ้านเธอก็เยอะซะจน พักหลังๆเธอนั่งทำแต่การบ้านของเธอ ไม่ยอมมาทำการบ้านกับฉันบ้างเลย...
อ๋อย...ไม่เชื่อหรอก...ถึงเวลาเดี๋ยวพี่เนยก็บอกว่าเหนื่อยอีก..คอยดูสิ..” ฉันทำเสียงเศร้าๆแอบตัดพ้อต่อว่าพี่เนยเล็กๆเมื่อนึกถึงภาพพี่เนยทิ้งตัวลงนอนแล้วเอาผ้าห่มมาคลุมโปรงตัวเองไว้โดยไม่สนใจฉันเลยที่มันมักจะเกิดขึ้นเสมอในช่วงนี้ ยิ่งนึกก็ยิ่งน้อยใจได้แต่ทิ้งตัวเท้าแขนนอนหมอบซบหน้าลงไปกับกระเป๋านักเรียนที่อยู่บนโต๊ะ แล้วบ่นพึมๆพัมๆอยู่คนเดียวจนพี่เนยนึกขำเอา...
โธ่ๆๆ..อ่ะๆสัญญาก็ได้ งั้นวันนี้จะพาพักผ่อนดีมั้ยคะ ยังไงๆวันนี้ก็วันศุกร์พรุ่งนี้ไม่ได้มาโรงเรียนอยู่แล้วเราโต้รุ่งกันเลยดีมั้ยล่ะ ทดแทนที่ไม่ได้...อย่างนั้นมาหลายวันไง...ดีมั้ยคะคนสวย..” พี่เนยยื่นมือมายีผมฉันก่อนจะก้มหน้ามาหอมผมฉันฟอดใหญ่ๆด้วยความหมั่นไส้ เธอทั้งพูดทั้งขำทำน้ำเสียงกรุ้มกริ่มยิ่งฟังก็ยิ่งรู้ว่าเธอกำลังล้อเลียนในเรื่องที่ฉันกำลังน้อยใจอยู่ตอนนี้
บ้า..ทะลึ่ง..” ฉันเม้มปากเงยหน้ามองพี่เนยด้วยสายตางอนๆ “..รีบๆเขียนงานไปเลย เสร็จแล้วอย่าลืมพาไปซื้อกาแฟเย็นเจ้าข้างบ้านพี่เนยด้วยนะ...ถ้าอย่างนั้น...” พี่เนยคิ้วขมวด เธอคิดตามฉันอยู่พักใหญ่ๆก่อนจะหัวเราะรั่วทันทีที่เธอเริ่มเข้าใจในความหมายที่ฉันพูดขึ้นมาได้....
ฮะฮะฮ่า..ด้ายยย...ซื้อมาสักสามสี่แก้วเลยดีมั้ยคะถ้าอย่างนั้น จะได้ตาแข็งไม่ต้องหลับต้องนอนกันเลยทีนี้..” พี่เนยทั้งพูดทั้งหัวเราะ เธอโน้มหน้าเข้ามาหอมแก้มฉันฟอดใหญ่ๆก่อนจะยื่นมือมาดึงแก้มทั้งสองข้างของฉันออกหยิกแกมหยอกด้วยความหมั่นไส้ของเธอไป จนฉันคิ้วขมวดหน้าแดงด้วยความเขินอายที่โดนหอมแก้ม แถมยังโดนเธอแกล้งแซวเรื่องนั้นคืนอีก
รีบๆทำงานต่อเลย เร็วๆ” ฉันทำทีเป็นเร่งพี่เนยก่อนจะสะบัดหน้าออกจากมือ แล้วก้มลงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมานั่งเปิดอ่านหน้าฟีดเฟซบุ๊คไป ปล่อยให้พี่เนยนั่งทำงานของเธอเงียบๆต่อไปเช่นเดียวกัน...

เวลาผ่านไป..พี่เนยนั้นดูตั้งใจทำงานของเธอดี ไม่เหมือนกับฉันที่เทียวก้มเทียวเงยมองดูพี่เนยนั่งเงียบตั้งใจทำงานแล้วก็อดที่จะแอบอยากเรียกร้องความสนใจกับเธอบ้างไม่ได้ ฉันทั้งคอยยื่นไม้ยื่นมือไปเขี่ยสมุด ทั้งแกล้งพลิกหนังสือเธอเล่นด้วยอยากให้เธอละสายตาขึ้นมามองฉันบ้าง ซึ่งมันก็ได้ผลแค่ครั้งแรกๆที่ฉันแกล้งยื่นมือไปปิดกระดาษเธอแล้วเธอเงยหน้างงๆขึ้นมามองฉันเท่านั้น ตอนนั้นเธอก็แกล้งใช้ปากกามาเขียนหัวใจใส่หลังมือฉันก่อนจะโน้มหน้ามาหอมแก้มแล้วขอตัวทำงานของเธอต่อ ซึ่งพอฉันเห็นว่าเธอหันมาสนใจฉันในครั้งนั้น ครั้งต่อๆมาฉันก็เลยพยายามแกล้งเธอไปเรื่อยๆ แต่ก็เหมือนพี่เนยจะรู้แกวว่าฉันจะแค่กวนเพื่อเรียกร้องความสนใจเฉยๆ เพราะถึงแม้เธอจะไม่บ่นอะไรให้ฉันแต่เธอก็ไม่ได้ละสายตาออกมาจากกระดาษรายงานของเธอเลย มีเพียงมือข้างที่ไม่ได้เขียนหนังสือข้างเดียวเท่านั้นที่ยื่นมากุมมือฉันเอาไว้ให้ฉันรู้สึกดีไม่เหงาขึ้นมาได้บ้าง แต่ฉันมาคิดๆดูแล้ว...เธอคงต้องการจะจับมือฉันเอาไว้เพื่อไม่ให้กวนอะไรเธอได้มากกว่า...

พี่เนยขา...” เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้สนใจใยดีฉันเลยอย่างนั้น โหมดความคิดชั่วร้ายเอาแต่ใจของฉันก็เริ่มทำงานทันที ฉันยื่นมือลงไปด้านล่างโต๊ะม้าหินอ่อนวางแมะไปที่หน้าตักของเธอ ก่อนจะค่อยๆลูบวนไปมาช้าๆพร้อมๆกับเสียงหวานเนิบๆของฉัน...
คะ....” พี่เนยขานรับแต่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองอะไรฉันต่อ เอาแต่เขียนงานของเธอต่อไป
พี่เนยเหนื่อยมั้ยคะ..ให้กี้นวดให้มั้ย..” ฉันยังคงเสียงอ่อนเสียงหวานต่อไป มือข้างที่วางอยู่บนตักก็ยังลูบวนไปมาที่หน้าตักของพี่เนยอยู่เหมือนเดิม และเหมือนเดิมพี่เนยยังคงไม่เงยหน้าขึ้นมามองฉันเลยมีเพียงน้ำเสียงเอ็นดูเล็กๆที่เปล่งออกมาให้ฉันได้ยินเท่านั้น
ไม่เป็นไรค่ะ พี่ใกล้เสร็จแล้วล่ะ กี้คอยพี่อีกสักแป๊บนะคะ..เด็กดี..”พี่เนยพูดโดยที่ตาเธอยังจ้องอยู่ที่กระดาษและมือข้างที่จับปากกาก็ทำหน้าที่ขีดๆเขียนๆของเธออย่างขมักเขม้นต่อไป
แล้วยิ่งเห็นอาการไม่สนอกสนใจของเธอ ไม่ยอมแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามองฉันบ้างเลยของเธอนั้น ก็ยิ่งทำให้โหมดความคิดชั่วร้ายเอาแต่ใจของฉันนั้น ยิ่งอยากเอาชนะเธอให้เธอหันมาสนใจฉันบ้างให้ได้ ตอนนี้ฉันคิดแต่เพียงว่าจะทำอย่างไรให้นางฟ้าขี้อ้อนของฉัน หันมาสนใจและออเซาะฉันเหมือนเวลาอื่นๆบ้างเท่านั้นเอง

ตอนนี้ฉันเหล่มองซ้ายขวา เมื่อพบว่าไม่มีผู้ใดอยู่ระแวกนั้นเหมือนเดิม ความคิดโหมดมืดก็คอยกระซิบแผนการชั่วร้ายต่อจากนั้นทันที...

ฉันค่อยๆเลื่อนมือที่วางอยู่หน้าตักพี่เนยไต่ลงไปตามขาเรื่อยๆจนถึงชายกระโปรง พี่เนยยังคงเขียนงานอยู่ เธอดูไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยว่ามือซนๆของฉันตอนนี้กำลังวางแผนจะทำอะไรบางอย่างกับเธอแล้ว เมื่อมือถึงชายกระโปรงนิ้วมือซนๆของฉันก็รีบคืบคลานเข้าไปใต้ชายกระโปรงพี่เนยต่อ จนตอนนี้มันไปโดนขาอ่อนเนียนๆนุ่มๆของพี่เนยเข้า พี่เนยสะดุ้ง เธอรีบหันมามองฉันที่ทำทีเป็นใช้มืออีกข้างหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดแล้วนั่งมองดูนั้นดูนี่ในโทรศัพท์ทำหน้าปั้นจิ้มปั้นเจ๋อไม่ได้สนใจอะไรเธอเลย...

ทำอะไรอ่ะ” พี่เนยคิ้วขมวดถามฉัน
เปล่านี่” ฉันเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้พี่เนยก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธเธอเบาๆ “..รีบๆทำงานต่อสิ เดี๋ยวไม่เสร็จนะคะ..”ฉันทำตาบ๊องแบ๊วยิ้มหวานให้พี่เนยนิดนึง ก่อนจะแกล้งทำเป็นนั่งมองโทรศัพท์ต่อโดยที่มือข้างนั้นก็ยังวางอยู่บนขาอ่อนของพี่เนยต่อไป...
พี่เนยเงียบ เธอนั่งมองฉันก้มหน้าก้มตาอ่านข้อความในโทรศัพท์อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะก้มหน้าลงเขียนงานต่อโดยไม่ได้ท้วงติงอะไรอีกหลังจากนั้น แล้วพอฉันเห็นท่าทีที่พี่เนยนั่งเงียบไม่ได้ว่าอะไรฉันอย่างนั้นฉันก็ยิ่งได้ใจเข้าไปใหญ่ กลายเป็นว่ามือข้างที่วางอยู่บนขาอ่อนใต้กระโปรงของพี่เนยก็ค่อยๆคืบคลานเข้าไปหาต้นขางามๆเนียนๆนั้นเรื่อยๆจนกระทั่งถึงเนินเนื้อน้อยๆที่กางเกงชั้นในตัวจิ๋วของเธอปกปิดไว้อยู่...

เฮ้ย!!!???..” พี่เนยสะดุ้งโหยงรีบเงยหน้าขึ้นมามองฉัน “..ทำอะไรอ่ะกี้”