Lovely Mafia Girl
ลูกสาวเจ้าพ่อ
ขอเป็นแฟนหนู
Special
part : First date night
Chapter
1
Life
after marriage
...I
don’t wanna run away Just wanna make your day When you feel the
world is on your shoulders Don’t wanna make it worse Just wanna
make us work Baby tell me I will do whatever...
เสียงเพลงรักคลอบรรยากาศราตรีในร้านอาหารกึ่งบาร์ในจังหวัดบ้านเกิดของฉัน
ดังมาเป็นธีมเบื้องหลังของการสนทนาระหว่าง
ฉัน พี่เนย
พี่ฝ้ายและว่าที่สามีชาวต่างชาติของเธอ....
หลังจากที่ฉันและพี่เนยพึ่งจะแต่งงานกันได้สามอาทิตย์และยังไปๆมาๆที่กรุงเทพและจังหวัดบ้านเกิดของเราเพื่อที่จะทำธุระหลายๆอย่างที่ยังไม่ลงตัว
รวมถึงธุระบางอย่างที่เป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับฉันและครอบครัว
ที่พี่เนยถึงขั้นต้องรีบเลื่อนงานทั้งหมดและพาฉันขึ้นเครื่องเพื่อมาจัดการทำธุระของฉันให้เสร็จภายในวันพรุ่งนี้
ซึ่งก็ประจวบเหมาะกับที่วันนี้พี่ฝ้ายก็มีโอกาสได้กลับบ้านมาเจอพี่เนยกับฉันพอดี
พี่ฝ้ายจึงถือโอกาสนี้โทรเข้ามาบอกกล่าวแจ้งข่าวดีเรื่องงานแต่งงานของเธอและชักชวนพวกเราทั้งสองคนให้มาร่วมรับประทานอาหารค่ำกับพวกเขาทั้งสองคนด้วย...
“...โผม..ร้าก...ฟาย..คาบ..”
เสียงติดๆขัดๆของชายหนุ่มชาวต่างชาติที่กำลังพยายามบอกคำรักเป็นภาษาไทยตามที่พี่เนยขอร้องให้เขาลองบอกรักเพื่อนของเธอให้ฟังก่อน
เธอถึงจะยอมรับให้เขาเป็นเพื่อนเขยเธอได้
ซึ่งเขาก็พยายามออกเสียงพูดตามพี่เนยสอนเต็มที่
แม้สำเนียงการพูดของเขามันจะฟังดูแล้วแปล่งๆทะแม่งๆก็ตาม...
“โนๆๆ
ฝ้ายน๊อทฟาย ฟายไลค์ควาย
แดทมีนบัฟฟาโล่อินไทยแลงกิท...”
พี่ฝ้ายรีบโบกไม้โบกมือ
ก่อนจะหันไปปิดปากบอกให้ชายหนุ่มคนนั้นเข้าใจความหมายที่เธอกำลังพยายามห้ามเขาพูดอยู่นี้
เธอทั้งอธิบายทั้งหัวเราะคิกๆคักๆ
พอๆกับฉันและพี่เนยที่ก็ทั้งขำทั้งนั่งเขินหน้าแดงให้พวกเขาทั้งสองคน
เมื่อเห็นว่าเขาสองคนนี้ช่างน่ารักและเหมาะสมกันดีเหลือเกิน...
“น่ารักกันจังเลยว่ะพวกแก
ไปเจอกันได้ยังไงวะ
ไหนแกลองบอกฉันมาสิ”
พี่เนยหัวเราะคิกๆคักๆก่อนจะถามถึงที่มาที่ไปที่ทำให้พวกเขาสองคนได้เจอกัน
เธอถามเสร็จก็หันมาโอบกอดฉันที่นั่งซบไหล่เธออยู่ข้างๆ
ระหว่างที่นั่งรอฟังเรื่องราวความเป็นมาระหว่างความรักของพี่ฝ้ายและว่าที่คู่ชีวิตของเธอที่นั่งอยู่ตรงข้ามพวกเราทั้งสองคนไป...
“..ก็อีตาแฮร์รี่นี่
ก็ไปๆมาๆที่โรงแรมที่ฉันเป็นรีเซปชั่นใช่ป่ะ
ตอนแรกฉันก็นึกว่าเกย์ที่มารอคู่ขาที่โรงแรมไง
ก็แบบน่าตาอย่างนี้ฉันดูตอนแรกฉันยังคิดว่าเป็นเลย..”
พี่ฝ้ายหยุดพูดแล้วหันไปเหล่มอง
“คุณแฮร์รี่”
แฟนหนุ่มต่างชาติชาวแคนนาดาของเธอ...
...คุณแฮร์รี่เป็นฝรั่งที่ฉันกับพี่เนยลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า
“หล่อ”
ด้วยนัยตาสีฟ้าบนใบหน้าเรียวสวยได้รูปมองดูสะอาดสะอ้านรับกับผมสีทองรองทรงสั้นๆที่เขาหวีเรียบเป๋ไปทางเดียวกัน
อีกทั้งเสื้อยืดคอกลมสีขาวที่เขาใส่มากับกางเกงยีนส์โชว์หุ่นแมนๆล่ำๆยิ่งทำให้พวกเราทั้งสองมองว่าเขาเหมือน
“เกย์” ตั้งแต่ครั้งแรกที่เดินเข้ามากับพี่ฝ้ายแล้ว
ซึ่งฉันมองคุณแฮร์รี่อย่างพินิจพิเคราะห์แล้ว
ก็ให้เกิดความรู้สึกว่าเค้าก็ช่างดูเหมาะดูสมกับพี่ฝ้ายอย่างกับกิ่งทองใบหยกเหลือเกิน
ด้วยพี่ฝ้ายนั้นก็สวยคมสไตล์ไทยๆ
ในตอนที่เธอเป็นเด็กนักเรียนมัธยมนั้น
พี่ฝ้ายก็เป็นเด็กนักเรียนหญิงที่น่าตาดีคนหนึ่งของโรงเรียน
แม้เธอจะไม่ได้สวยเวอร์เท่าพี่เนยและพี่พลอย
แต่ด้วยรูปร่างที่สูงเกือบเท่าๆพี่เนยและบุคคลิกที่ร่าเริงยิ้มง่ายที่แตกต่างจากพี่เนยนั้น
ทำให้พี่ฝ้ายก็มักจะเป็นที่จับตามองของคนอื่นๆในโรงเรียนเสมอๆเวลาที่เดินไปไหนมาไหนกับพี่เนย
พี่ฝ้ายนั้นเป็นเด็กสาวที่ให้ความรู้สึกสวยสง่าเหมือนผู้หญิงไทยที่เรียบร้อย
แต่กระนั้นก็ยังแฝงไว้ด้วยความทะมัดทะแม่งเวลาที่เธอเคลื่อนไหวหรือหยิบจับทำอะไรก็ดูคล่องแคล่วปราดเปรียวดี
ใบหน้าเรียวๆเล็กๆที่โดดเด่นด้วยดวงตากลมโตสีดำและผมยาวตรงเงาสีดำขลับที่เธอมักจะมัดและสลับเปียมาเรียนทุกวันนั้นยิ่งให้ความรู้สึกเหมือนลูกผู้ดีมีสกุล
ในตอนที่โตขึ้นด้วยหน้าตาไทยๆและบุคคลิกที่สง่างามของพี่ฝ้ายนี้เลยทำให้พี่ฝ้ายได้ทำงานเป็นรีเซฟชั่นในโรงแรม5ดาวทางจังหวัดที่เป็นเมืองท่องเที่ยว
จนกระทั่งพรหมลิขิตได้ดลบันดาลให้พี่ฝ้ายได้มาเจอกับคุณแฮร์รี่ในที่ทำงานของเธอ
และทั้งสองก็ถูกตาต้องใจกันแล้วคบหากันจนกระทั่งตกลงปลงใจที่จะแต่งงานกันในที่สุด
ฉันมองพี่ฝ้ายในวัย27ปีก็มีความเปลี่ยนแปลงไปตามวัยเช่นทรวดทรงองค์เอวของเธอบ้าง
แต่ที่โดดเด่นจนกระทั่งสะดุดตาคุณแฮร์รี่ก็คงจะเป็นความสวยคมจัดแบบไทยที่เพิ่มขึ้นเมื่อใบหน้าเธอเริ่มเปลี่ยนรูปเป็นสาวเต็มตัว
แถมดวงตาทรงเสน่ห์สีดำขลับคู่นั้นก็ยังเพิ่มจริตความน่าลุ่มหลงที่ชวนให้คนเหลียวมองตามตั้งแต่ครั้งแรกที่พบเห็น
เหมือนดังที่คุณแฮร์รี่บอกกับพี่ฝ้ายว่า
“Love
you at first sight.”...
….ตอนนี้คุณแฮร์รี่ยิ้มทำหน้างงๆหันไปมองพี่ฝ้ายที
หันมามองฉันกับพี่เนยทีเนื่องจากฟังการสนทนาภาษาไทยระหว่างเราสามคนที่กำลังพูดถึงเขาไม่ค่อยออก...
“นั่น..นี่คงคิดว่านินทาล่ะสิ
ทำหน้างงๆอย่างนี้...”
พี่ฝ้ายยิ้มแล้วยื่นมือไปหยิกแก้มคุณแฮร์รี่ด้วยความหมั่นไส้
ก่อนจะอดใจไม่ไหว
กลายเป็นประครองวงหน้าของคุณแฮร์รี่เข้ามามอบจูบDeep
Kissต่อหน้าต่อตาเราสองคนดื้อๆอย่างนั้น
“อุ้ย..”
ฉันตกใจรีบยกมือมาป้องปากด้วยความตื่นเต้นที่เห็นทั้งสองพลอดรักด้วยความหวานฉ่ำจนเกือบจะกลายเป็นเผลอกรี๊ดออกมา
เลยต้องรีบเอามือมาปิดปากตัวเองไว้
พี่เนยก้มลงมองฉันแล้วหัวเราะคิกๆคักๆ
ก่อนจะโน้มหน้าลงมากระซิบกระซาบคุยกับฉัน
“อะไรคะ
ยังไม่ชินอีกเหรอ
เป็นเองก็ออกจะบ่อยแค่เห็นคนอื่นเขาทำบ้างทำไมต้องตกใจด้วย”
เธอทั้งพูดทั้งยิ้มก่อนจะโน้มหน้าลงมาหอมหน้าผากฉันแล้วเงยหน้าโชว์ใบหน้างามๆ
ดวงตาสีน้ำตาลหวานละมุนคู่นั้นจ้องให้ฉันต้องหยุดมองด้วยใบหน้าที่แดงกร่ำยิ่งกว่าตอนที่อายเพราะมองเห็นพี่ฝ้ายจูบกับแฟนหนุ่มของเธอเสียอีก...
ฉันเม้มปากจิกตามองค้อนพี่เนยแก้เขินที่อยู่ๆโดนลักไก่แอบหอมฉันต่อหน้าต่อตาเพื่อนเธอย่างนี้
“..มองทำไมคะ
อยากจูบเหมือนกันเหรอ
หรือยังไง”
พี่เนยยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เอ่ยคำพูดคำจาฟังดูยียวนกวนอารมณ์เหมือนเมื่อครั้งที่เรายังเป็นเด็กเล็กๆ
ที่แกล้งพูดแกล้งหยอกเมื่อก่อนหน้านั้น...
ฉันกัดฟันจิกตามองค้อนเจ้าหล่อนอีกวงใหญ่ๆ
ก่อนจะแกล้งยื่นมือไปจัดแต่งชายเสื้อสูทผู้หญิงสีน้ำเงินเข้มที่พี่เนยใส่คลุมทับชุดเดรสทำงานสีขาวครีมของเธอเข้ามาหากันแก้เก้อเขินไปเรื่อย...
...ตอนนี้เมื่อฉันเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวผมหยักศกสีน้ำตาลที่ปัดปลายผมยาวๆของเธอไปไหล่ทางซ้ายทั้งหมดแล้ว
ก็อดที่จะนึกชื่นชมเธอเหมือนทุกๆครั้งที่ฉันแอบมองเธอมาตลอด10ปีอีกไม่ได้
นี่ขนาดว่าเธอรีบขึ้นเครื่องกลับบ้านมากับฉันโดยที่ยังไม่ได้พักผ่อนหรือแม้แต่แต่งเติมเพิ่มเครื่องสำอางค์อะไรต่อจากตอนที่เลิกงานแล้ว
ใบหน้าของเธอก็ยังขาวเนียนสวยคมอยู่เหมือนเดิมอีก
ยิ่งดูคิ้วเข้มๆหนาๆเวลาที่เธอขมวดปมทำเป็นออดอ้อนอ่อนแอตอนที่เธอคุยกับฉันอย่างตอนนี้
มันก็ช่างสวยอ่อนช้อยเหมาะกันกับตาหวานๆสีน้ำตาลธรรมชาติแบบนี้เหลือเกิน
แม้พี่เนยจะเป็นแค่ลูกเสี้ยวแต่ความสวยคมจนเกือบจะเหมือนฝรั่งของเธอนั้นก็ทำให้ฉันยิ่งมองยิ่งหลง
ยิ่งจมูกโด่งๆคมๆกับปากจิ้มลิ้มแดงระเรื่อเวลาที่เธอเมคอัพบางๆอย่างนี้
ยิ่งดูก็ยิ่งชวนให้ยิ้มตามทุกครั้งที่เจ้าของขยับมุมปากสวยชวนยิ้ม
หรือพูดจาแกล้งยั่วโทสะฉันอย่างนี้ก็ตาม
ทุกครั้งแม้เรื่องที่เธอจะแกล้งพูดหยอกฉันมันจะฟังดูทะลึ่งตึงตังฟังดูน่าโกรธขนาดไหน
แต่ฉันกลับกลายเป็นโกรธเธอไม่ลง
ทำได้แค่ทำเป็นแกล้งโมโห
เฉไฉไม่ให้เธอรู้ว่าหัวใจฉันนั้นอ่อนปวกเปียกขนาดไหนเวลาที่เจอสายตาเธอมองอ้อนฉันอย่างนี้
ก็เหมือนอย่างเช่นตอนนี้ที่แค่ฉันนั่งจ้องหน้าอ้อนๆของพี่เนยโดยที่มือยังจับชายเสื้อสูทของเธอค้างไว้
ฉันก็กลายเป็นหลงติดกับตกลงสู่ห้วงความงามของเธอเข้าจนได้
จนฉันต้องพยายามตั้งสติแกล้งกลับมาเก๊กหน้าบึ้งให้เธออีกครั้ง
ก่อนจะหันมายกแก้วไวน์ทรงสูง
ที่ภายในมีของเหลวใสสีเหลืองอำพันสาดส่องสะท้อนแสงไฟตามจังหวะข้อมือที่ฉันพลิกจับ
แล้วยกมันยื่นส่งให้เธอด้วยสายตางอนๆ...
“อ่ะ..ดื่มให้หมดเลย
อย่ามัวแต่พูดมาก..”
“คะ..ไหนบอกไม่ให้ดื่มเยอะไง
กี้จะให้พี่ดื่มให้หมดเลยเหรอ..”
“ใช่สิ
ก็แก้วนี้ตั้งแต่พี่เนยมานั่งตอนแรกจนถึงตอนนี้มันก็ยังไม่หมดเสียที
นี่กี้มองดูแล้วอีกหน่อยคงมียุงลายบินมาไข่ไว้เป็นลูกน้ำแน่ๆถ้ายังปล่อยไว้อย่างนี้อีก...”
พี่เนยหลุดหัวเราะทันทีที่ได้ยินคำพูดที่ฉันแกล้งกระแนะกระแหนเธออย่างนั้น
เธอแกล้งก้มลงมองหน้าฉันด้วยสายตากรุ้มกริ่มก่อนจะดันแก้วไวน์แก้วนั้นส่งคืนมาทางฉันต่อ..
“ไม่เอาดีกว่า
พี่ไม่ดื่มดีกว่า
พี่ให้กี้ดื่มแทนแล้วกัน
อยากเห็นกี้เมาอีกครั้งหนึ่งอ่ะ...”
พี่เนยทั้งพูดทั้งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
ทั้งแกล้งยกแก้วไวน์แก้วนั้นป้อนเข้าปากฉันที่ตอนนี้ส่ายหน้าบ่ายเบี่ยงพี่เนยไปมาด้วยความอายเมื่อเริ่มคิดถึงคำที่พี่เนยพูดบอกว่า
...อยากเห็นฉันเมาอีกครั้งหนึ่ง....
“ไม่เอาๆ
โอ้ยพี่เนย กี้ดื่มพอแล้ว..”
ฉันพยายามถอยห่างจากพี่เนยแต่ก็เหมือนจะไร้ประโยชน์ยิ่งฉันกระเถิบห่าง
เจ้าหล่อนก็ยิ่งโน้มตัวเข้ามาช้อนร่างฉันเข้าไปกอดใกล้ๆยิ่งกว่าเดิม
เราสองคนทั้งกอดทั้งดันๆกัน
ทั้งหัวเราะกันคิกๆคักๆ
จนพี่ฝ้ายต้องละจากคุณแฮร์รี่เพื่อมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับเราสองคน
แล้วก็กลายเป็นแซวเราด้วยความอิจฉาเข้าไปอีก
“โอ้ย..สองคนนี้นี่สวีตกันตลอดเลยนะ
ยิ่งแต่งงานกันนี่ยิ่งหวานไม่กลัวว่าจะออกสื่อหรือไม่ออกสื่อเลยนะ
ยิ่งดูฉันยิ่งอิจฉาแกกับน้องกี้ว่ะเนย
รักกันมาตั้งแต่มัธยมจนถึงตอนนี้น่าจะสิบปีแล้วใช่ป่ะ
ไม่เบื่อกันบ้างหรือไง
ฉันเห็นพวกแกอยู่ด้วยกันตลอดเว..”
พี่ฝ้ายทั้งยิ้มทั้งแซวตอนถามพี่เนย
“ไม่เบื่อสิ
นี่เมียฉันนะ..”
พี่เนยรีบแย้งเพื่อนก่อนจะโดนฉันยื่นมือมาตบแปะหน้าตักเธอด้วยความเหวอและเขินอายที่อยู่ๆพี่เนยก็มาเรียกฉันว่า
“เมีย” ออกสื่ออย่างนั้น
เธอร้องอุ้ยหันมาทำตาเล็กตาน้อยมองฉันก่อนจะหันไปเมาส์มอยกับเพื่อนของเธอต่อ...
“จะให้ฉันเบื่ออะไรล่ะ
นี่ที่รักของฉันนะ แล้วที่สำคัญ
แม่คุณแม่ทูนหัวของฉันคนนี้ก็จีบยากจะตาย
แกก็เห็นนี่กว่าจะยอมเป็นแฟนฉันได้
เล่นเอาซะฉันเสียน้ำตาเป็นเขื่อนเลยมั้ง”
พี่เนยแกล้งพูดจากระแนะกระแหนฉัน
ก่อนที่เธอจะโดนฉันกระทุ้งเอวเธอด้วยความหมั่นไส้เข้าไปอีกสามสี่ที
จนเจ้าหล่อนร้องโอ้ยแล้วหันมาทำตาเล็กตาน้อยต่อว่าฉันว่าทำไมฉันทำกับเธอย่างนี้
ฉันไม่ตอบอะไรได้แต่หันไปส่งยิ้มแหยๆแก้เขินให้พี่ฝ้ายแล้วก็กลายเป็นเผลอหยิบแก้วไวน์ของพี่เนยแก้วนั้นขึ้นมาดื่มแก้เขินเสียเอง
พี่ฝ้ายยิ้มมองเราสองคนก่อนจะหันไปคุยกับคุณแฮร์รี่เป็นภาษาอังกฤษเรื่องที่เราสองคนคบกันมาสิบปีแล้วก็แต่งงานกัน
คุณแฮร์รี่ก็ตาโตร้องว้าวด้วยความตื่นเต้น
ก่อนจะหันไปคุยกับพี่ฝ้ายเป็นภาษาของเขาต่อ
พี่ฝ้ายนั้นนั่งฟังคุณแฮร์รี่ถามอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันมาถามพวกเราสองคน...
“อีตาแฮร์รี่เขาบอกว่าเขาคองเกรทกับพวกยูทั้งสองคนด้วยนะเรื่องที่พวกยูแต่งงานกัน
แล้วเขาก็ฝากมาถามฉันว่าได้ข่าวว่าที่เมืองไทยยังไม่มีกฏหมายที่เกี่ยวกับการสมรสของหญิงรักหญิงไม่ใช่เหรอ
แล้วพวกเธอนี่อะไรยังไงกัน
คืออีตาแฮร์รี่ก็คงจะอยากรู้ว่าแต่งงานกันเฉยๆแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันใช่มั้ย..”
“ก็ตอนนี้ฉันก็แต่งตามประเพณีกันเฉยๆยังไม่ได้จดทะเบียนสมรสอะไรกันหรอก
แต่ฉันได้ข่าวว่าเขากำลังผลักดันกฏหมายพวกนี้อยู่
นี่ฉันก็รออยู่นะว่ากฏหมายจะผ่านตอนไหน
ถ้าฉันรอไม่ไหวฉันก็อาจจะพากี้บินไปจดทะเบียนสมรสที่อเมริกาก่อนก็ได้แล้วที่เมืองไทยค่อยว่ากันใหม่อีกที..”
พี่เนยหันมาจับมือฉันไปกุมตอนที่เธอเล่าเรื่องจดทะเบียนสมรสระหว่างฉันกับพี่เนยที่เธอเคยเปรยๆคุยกับฉันไว้ตั้งแต่ก่อนจะจัดงานแต่งงาน...
ตอนนั้นฉันบอกพี่เนยว่าฉันยังไม่อยากจะรีบร้อนจดทะเบียนสมรสกับพี่เนยให้มันยุ่งยากอะไรมากมาย
ด้วยรู้ว่าตอนนี้การสมรสของเพศที่สามอย่างฉันกับพี่เนยนี้ยังไม่เป็นที่ยอมรับของสังคมไทยเท่าไหร่
หากคิดจะจดคงจะต้องไปจดที่ต่างประเทศกันแล้วก็จะกลายเป็นยุ่งยากเสียเวลาทำงานในช่วงนั้นอีก
และที่สำคัญฉันอยากจดทะเทียนสมรสในประเทศไทยมากกว่า
ด้วยเพราะฉันหวังว่าสักวันหนึ่งความรักระหว่างเพศที่สามเหมือนอย่างฉันกับพี่เนยจะเป็นที่ยอมรับในสังคม
และมีกฏหมายยอมที่จะให้มีการจดทะเบียนสมรสกันรวมถึงคุ้มครองการดูแลชีวิตรักของเพศที่สามอย่างที่ประเทศอื่นๆเริ่มมีกันบ้างแล้วเสียที
แล้วเมื่อถึงวันนั้นฉันนี่ล่ะจะรีบพาพี่เนยไปจดทะเบียนสมรสแบบหญิงรักหญิงเป็นคู่แรกของประเทศไทยเลย...
“..ก็ดีนะแก...”
พี่ฝ้ายยิ้มก่อนจะหันไปอธิบายบอกคุณแฮร์รี่
แล้วหันมาคุยกับเราต่อ
“นี่พวกฉันก็กะว่าจดทะเบียนสองที่
จดที่เมืองไทยด้วยแล้วก็แคนาดาด้วย
แต่ก็ต้องรอให้งานแต่งงานมันผ่านไปสักอาทิตย์สองอาทิตย์ก่อนถึงจะบินไปจดที่แคนนาดาอีกที...”
พี่เนยยิ้มฟังพี่ฝ้ายพูดก่อนจะยื่นมือไปกุมมือพี่ฝ้ายไว้
“ฉันดีใจกับแกนะฝ้าย
ดีใจที่แกมีคนดูแลเสียที
นี่ถ้าแกแต่งงานแล้วย้ายไปอยู่กับคุณแฮร์รี่ที่แคนนาดาแล้วฉันคงเหงาน่าดู
เพราะไม่ได้เจอเพื่อนที่ดูแลฉันมาตั้งแต่เด็กจนเกือบจะเหมือนแม่ฉันคนนึงแล้ว
ฉันยังคิดไม่ออกเลยนะ
ถ้าแกไม่อยู่เมืองไทยแล้วฉันจะทำยังไง..ฉันคงจะคิดถึงแกน่าดูเลยว่ะ..”
พี่เนยทั้งพูดทั้งยิ้ม
แต่เป็นรอยยิ้มแปลกๆที่ฉันมองดูแล้วเหมือนเธอทั้งยิ้มและกำลังจะร้องไห้ยังไงไม่รู้...
“คิดถึงแกก็ไปต่อกับฉันอีกสิแก
วันนี้ปาร์ตี้สละโสดฉันนะโว้ยอุตสาห์จองโต๊ะในผับไว้แล้วอ่ะ
เพื่อนๆก็รออยู่ที่นั่นเยอะแล้ว
แกกับน้องกี้จะไม่แวะไปหน่อยเหรอวะ
ไปทักทายพวกเพื่อนๆเราด้วย..”
พี่ฝ้ายก็น้ำตาคลอเธอยื่นมืออีกข้างขึ้นมากุมมือพี่เนยไว้เหมือนๆกัน
“ใจฉันก็อยากไปนะ
แต่ฉันไม่อยากจะเสียงานว่ะ
อย่างที่บอกวันนี้ฉันกลับมาที่นี่เพราะว่าฉันจะพากี้มาทำธุระ
คือธุระเรื่องดูที่อ่ะแก
แล้วก็จะมาหาพระอาจารย์ให้ดูฤกษ์ว่าจะลงเสาบ้านกี้อะไรยังไงดี
ฉันเลยไม่อยากจะตื่นสายน่ะแก
ก็ว่าจะไปวัดกันตั้งแต่เช้าถือว่าไปทำบุญด้วย
แล้วก็ต้องพาพ่อกับแม่กี้ไปด้วย
ไม่อยากให้พ่อแม่กี้มองไม่ดีอ่ะแก..”
“ห๊า...ดูที่...นี่หมายความว่าน้องกี้จะสร้างบ้านแล้วเหรอ..”
พี่ฝ้ายตาโตร้องถามฉันด้วยความตื่นเต้นทันทีที่ได้ยินเรื่องที่ว่าพี่เนยจะพาฉันไปดูที่
“ใช่ค่ะพี่ฝ้าย..”
ฉันยิ้มรับพี่ฝ้าย
แต่ยังไม่ทันได้อธิบายอะไรก็โดนพี่เนยพูดแทรกเสียก่อน
“แต่แกไม่ต้องคิดเลยนะ
ว่าฉันจะเป็นคนซื้อให้กี้อ่ะ
เพราะถ้าแกคิดอย่างนั้นน้องกี้แกโกรธให้แกแน่ๆ
นี่เงินเขาสะสมเองทั้งนั้นเลยนะ
เห็นตัวเล็กๆอย่างนี้เก็บเงินเก่งจะตาย”
พี่เนยทั้งพูดทั้งยิ้มท่าทางเหมือนเธอภูมิใจนักหนาที่ได้อวดอ้างเรื่องที่ฉันเก็บเงินซื้อที่และสร้างบ้านเองได้อย่างนี้
จากที่ตาโตอยู่แล้วพี่ฝ้ายก็ยิ่งตาโตเข้าไปใหญ่
เธอหันมาจับไม้จับมือแสดงความยินดีกับฉันที่เธอเห็นมาตั้งแต่สมัยที่ยังอยู่อาคารราชพัสดุและขายข้าวมันไก่ธรรมดาๆ
ไม่ได้มีบ้านเดี่ยวเป็นของตัวเองเสียที
“พี่ดีใจกับน้องกี้ด้วยนะ
ยินดีกับน้องกี้ด้วยที่ได้ทำตามความฝันของตัวเองเสียที
น้องกี้นี่เก่งจริงๆ
พี่นี่ไม่แปลกใจเลยนะ
ทำไมเนยถึงได้หลงกี้หัวปรักหัวปรำอย่างนี้
ก็ทั้งสวยทั้งเก่งอย่างนี้นี่เองเนยถึงไม่ยอมปล่อยกี้ไปไหนอ่ะ”
“นี่แก..ฉันไม่อยากจะเมาส์
ที่ฉันไม่ยอมปล่อยกี้ไปไหนก็ไม่ใช่แค่ว่ากี้จะเก่งแค่เรื่องทำงานหาเงินอย่างเดียวนะแก..
เรื่องอื่น...ชีก็โคตรเก่งเลย..”
พี่เนยรีบพูดแทรก
เธอทำเสียงทะเล้นเน้นเสียงสูงตรงคำว่า
“โคตรเก่ง” ของเธอ
จนฉันฟังแล้วสะดุ้งด้วยความอายทันทีที่เริ่มคิดตามความหมายทะแม่งๆที่พี่เนยพูดไปเมื่อกี้
ฉันหันไปหยิกไหล่พี่เนยทันทีที่เริ่มตั้งสติได้
“หมายความว่ายังไง พูดดีๆนะ
เก่งอะไร”
“ก็
ก็...”
พี่เนยทั้งหัวเราะทั้งพูดด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักเพราะเธอพยายามหลบฝ่ามือฉัน
ที่ฉันรัวตีไหล่เธอตุ๊บตั๊บด้วยความหมั่นไส้ให้ผู้หญิงเจ้าเล่ห์ที่พยายามพูดจาวกเข้าเรื่องน่าเกลียดประเจิดประเจ้ออย่างนั้นต่อหน้าเพื่อนสาวเธอจนได้...
“ก็เก่งทุกอย่างไง
ไม่อย่างงั้นแล้วกี้จะดูแลพี่ได้เหรอ
ทั้งดูแลตัวพี่และกิจการต่างๆช่วยพี่
ถ้ากี้ไม่เก่งทุกๆอย่างแล้วกี้จะดูแลได้ยังไงเล่า
แหม..คิดอะไรนี่”
พี่เนยยื่นมือมาจับมือฉันทั้งสองข้างไว้ก่อนจะค่อยๆดึงทั้งแขนทั้งตัวฉันเข้าไปแนบชิดกับตัวเธอแล้วแกล้งทำเป็นเอนหัวซบหนุนลงกับไหล่ของฉัน
แสร้งทำทีเป็นออดอ้อนแกล้งเฉไฉเรื่องราวทะลึ่งตึงตังที่เธอแอบแซวฉันต่อหน้าเพื่อนนั้นเป็นเรื่องอื่นไป
พี่ฝ้ายกับแฟนหนุ่มของเธอหัวเราะรั่วทันทีที่เห็นท่าทางหยอกเอินกระหนุงกระหนิงอย่างนั้นของเรา
พี่ฝ้ายนั้นเริ่มหัวเราะตั้งแต่ที่เธอได้ยินประโยคกำกวมที่พี่เนยแกล้งแซวฉันเรื่อง
“เก่ง” เรื่องนั้นแล้ว
ส่วนคุณแฮร์รี่แม้จะฟังไม่เข้าใจแต่เมื่อเขาเห็นท่าทางแกล้งตีแกล้งหลบของเราสองคนที่เหมือนจะมีเรื่องกันแต่กลับหัวเราะและออดอ้อนออเซาะกันจนคุณแฮร์รี่ต้องยิ้มหน้าแดงออกมาด้วยความเขินอายทันทีที่เห็น
แล้วก็กลายเป็นว่าเขานั่งขำหน้าแดงไม่หยุดไปซะอย่างงั้น
พี่เนยนั้นต้องทำตาเล็กตาน้อยง้องอนฉันอยู่นานกว่าฉันจะใจอ่อนยอมให้เธอ
ด้วยเพราะฉันเห็นว่าที่เธอพยายามพูดยกยอฉันก่อนหน้านั้นคงจะเป็นเพราะว่าเธอรู้สึกภูมิใจในตัวฉันจริงๆ
พี่เนยจะภูมิใจทุกๆครั้งที่เธอได้บอกเล่าเรื่องราวที่ฉันสามารถทำงานเก็บเงินซื้อที่และสร้างบ้านได้เสมอ
เธอจะยิ้มแก้มปริอธิบายเรื่องราวที่ฉันพยายามเก็บหอมรอมริบ
ทั้งยืดอกคุยโตว่าฉันไม่เคยได้รบกวนอะไรเธอเลยอีก
ทั้งๆที่จริงแล้วส่วนหนึ่งของเงินก้อนนั้นฉันก็ได้มาจากพี่เนยด้วย...
...ใช่...เป็นเงินของพี่เนยที่พยายาม
“ยัดเยียด” ให้ฉัน
ด้วยเพราะเธอเห็นว่าฉันเก็บเงินมานานแล้วแต่ยังไม่ครบจำนวนที่ต้องการเสียที
แน่นอนสิ..เงินหลักล้านขึ้นไปสำหรับครอบครัวที่ไม่มีหลักค้ำประกันอะไรอย่างครอบครัวฉันแล้วมันดูจะน้อยเกินไปหากคิดจะซื้อที่ดินหรือคิดจะสร้างบ้าน
แม้พ่อกับแม่จะช่วยกับเก็บเงินมาก่อนหน้านั้นแล้ว
แต่ช่วงก่อนที่ฉันจะได้ทำงานกับพี่เนยพ่อแม่ก็ยังต้องส่งเสียค่าใช้จ่ายในการเรียนในการอยู่อาศัยของฉันอยู่
หลายคนอาจจะคิดว่าฉันเข้าไปเรียนที่กรุงเทพกับพี่เนยแล้วอาศัยพักอยู่คอนโดเดียวกันอย่างนั้นแล้ว
ฉันยังจะต้องอาศัยเงินอะไรจากพ่อแม่อีก
นั่นเพราะพวกเขาไม่ได้รู้จักฉันเลย
ฉันจะแชร์ค่าใช้จ่ายต่างๆกับพี่เนยเสมอ
แม้พี่เนยจะพยายามปฏิเสธแต่ฉันก็ยังพยายามรบเร้าเธออยู่
พี่เนยบอกว่าเธออยากดูแลฉันในฐานะคนรัก
อยากดูแลฉันในทุกๆอย่างไม่ว่าจะเป็นการอยู่อาศัย
ค่าใช้จ่ายต่างๆ
แต่ฉันก็จะเถียงเธอกลับไปเสมอว่า
ฉันก็ต้องการที่จะดูแลพี่เนยในฐานะคนรักเช่นเดียวกัน
อะไรที่ฉันเห็นว่าฉันสามารถดูแลเธอได้
ฉันก็จะทำ
ยิ่งเรื่องเงินๆทองๆฉันไม่เคยคิดที่จะเอาเปรียบพี่เนยเลยสักครั้งเดียว
ฉันพยายามแสดงให้เธอเห็นว่าเธอก็สมควรที่จะได้รับการดูแลในฐานะหญิงสาวคนหนึ่งที่น่าทะนุถนอมเช่นเดียวกัน
ฉันยังจำวันที่พี่เนยพยายามรบเร้าให้ฉันรับเงินก้อนนั้นของเธอไปได้
ตอนนั้นเป็นช่วงหลังจากที่เราแต่งงานกันเสร็จแล้วประมาณอาทิตย์กว่าๆ
ฉันกับพี่เนยยังไปๆมาๆที่บ้านต่างจังหวัดกันอยู่
ในตอนนั้นฉันเริ่มคุยกับพ่อแม่เรื่องบ้านเอาไว้
ด้วยเพราะว่าฉันเองก็ออกมาอาศัยอยู่กับพี่เนยที่บ้านที่กรุงเทพแล้ว
แต่พ่อกับแม่ก็ยังอยู่ที่บ้านเก่าที่เป็นตึกแถวของราชพัสดุเหมือนเดิมอยู่
ด้วยความเป็นห่วงพ่อกับแม่ที่เห็นว่าท่านทั้งสองเริ่มจะแก่ตัวลงแล้วฉันจึงอยากให้ท่านได้อาศัยอยู่ในบ้านที่มีที่มีทางมีอาณาเขตไว้สำหรับท่านทั้งสองได้พักผ่อนอยู่อาศัยในช่วงบั้นปลายของชีวิตบ้าง
ฉันจึงเริ่มเปรยๆบอกพ่อกับแม่ไว้ในเรื่องเงินที่ฉันเก็บสะสมไว้ตั้งแต่ช่วงที่ทำงานกับพี่เนยใหม่ๆ
แม้ค่าใช้จ่ายของฉันจะยังมีทั้งผ่อนคอนโดและรถยนต์อยู่
แต่ฉันก็ยังพยายามกระมิดกระเมี้ยนเก็บออมเงินของตัวเองไว้
ซึ่งในเวลาเกือบๆสองปี
ฉันก็เก็บเงินก้อนได้เกือบๆจะห้าแสนแล้ว
พ่อกับแม่ก็เห็นดีเห็นงามกับความคิดที่ฉันบอกท่านทั้งสองว่าต้องการจะซื้อที่และสร้างบ้านของเรา
ท่านก็บอกว่าพวกท่านก็มีเงินที่เก็บสะสมออมเอาไว้เพื่อที่จะสร้างบ้านได้เกือบๆสองล้านเช่นเดียวกัน
ถ้าเราเอาเงินทั้งหมดมารวมกันก็คงพอที่จะสร้างบ้านเดี่ยวหลังเล็กๆบนที่ดินสักสามสี่ไร่ได้
ซึ่งพอพี่เนยได้ยินเข้าพี่เนยก็รีบแย้งฉันเรื่องเงินจำนวนนั้นทันที
เธอบอกว่าเงินเท่านี้ยังน้อยเกินไปหากจะซื้อที่และสร้างบ้าน
เธอบอกว่าบางทีการสร้างบ้านอาจจะควบคุมงบประมาณไม่ได้ในยุคที่เศรษฐกิจอย่างนี้
แล้วสุดท้ายกลายเป็นงบประมาณบานปลายบ้านที่คิดว่าจะได้ออกมาสวยและมีครบทุกอย่างก็จะไม่ได้อย่างใจ....
“..แล้วจะทำยังไงล่ะหนูเนย...”
เสียงพ่อถามขึ้นหลังจากได้ยินพี่เนยนั่งอธิบายปัญหามาตอนที่เรานั่งล้อมวงคุยกันกับพื้นห้องนอนของพ่อกับแม่..
“ก็เอาอย่างนี้ก็ได้ค่ะ
เดี๋ยวเนยจัดการเรื่องทั้งหมดให้เอง”
“จัดการยังไง”
ฉันคิ้วขมวดหันขวับกลับไปถามพี่เนยทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น
“ก็เดี๋ยวพี่จะสร้างบ้านให้พ่อกับแม่เองไง
พ่อกับแม่ก็เหมือนพ่อกับแม่พี่ท่านก็ดูแลพี่ไม่ต่างจากลูกคนหนึ่งของท่าน
พี่ก็อยากตอบแทนท่านทั้งสองบ้าง”
“จะบ้าเหรอ
ไม่เอาอ่ะ
เราเคยคุยกันแล้วไม่ใช่เหรอถ้าเป็นเรื่องเงินๆทองๆกี้จะไม่ยุ่งกับของพี่เนยไง
พี่เนยเห็นกี้เป็นคนยังไงเนี่ย..”
ฉันเปลี่ยนน้ำเสียงพร้อมๆกับอาการชักสีหน้า
กลายเป็นหน้านิ่วคิ้วขมวดแสดงอารมณ์ขุ่นเคืองหันมาต่อว่าพี่เนยทันทีที่ได้ยินพี่เนยยื่นข้อเสนออย่างนั้นมาให้
“เดี๋ยวสิกี้
ฟังพี่ก่อนสิกี้
อย่าพึ่งคิดเป็นอย่างอื่นไปสิ
พี่ไม่ได้มีเจตนาจะทำให้กี้และพ่อแม่คิดไม่ดีเรื่องเงินๆทองๆอย่างนั้นนะ
นี่เราก็อยู่ด้วยกันมาจนขนาดนี้แล้ว
เป็นเหมือนครอบครัวเดียวกันแล้วแท้ๆ
ทำไมกี้ยังจะต้องทำตัวเหมือนคนอื่นคนไกลอีกอ่ะ
เราแต่งงานกันแล้วนะกี้
แล้วถ้าวันนี้เรื่องแค่นี้พี่ยังดูแลกี้กับครอบครัวไม่ได้
เราจะเป็นครอบครัวเดียวกันได้ยังไงล่ะ...”
พี่เนยหันมาไปทางพ่อกับแม่ทีหันมาทางฉันที
ทั้งทำสีหน้าและท่าทางกระวนกระวายใจที่เห็นอาการไม่พอใจของฉันก่อนหน้านี้
“...เลิกคิดซะทีเถอะนะ
ว่านั่นเงินพี่หรือเงินกี้อะไรทำนองนั้นอ่ะ
พี่รู้ว่ากี้ไม่ใช่คนอย่างนั้น
กี้ทำให้พี่เห็นมาตั้งแต่วันแรกที่เราตัดสินใจจะคบกันแล้วว่ากี้ไม่ต้องการอะไร
พี่รู้แล้วและทุกๆคนในครอบครัวของพี่ก็รู้หมดว่ากี้ดีเสมอต้นเสมอปลายขนาดไหนน่ะ
พี่พูดจริงๆนะ
ตั้งแต่วันแรกที่กี้ตัดสินใจคบกับพี่แล้วกี้ก็ดูแลพี่มาตลอด
กี้ทำหน้าที่ทุกๆอย่างไม่เคยขาดตกบกพร่องเลยตลอดระยะเวลาเกือบๆสิบปีน่ะ
การที่เราเห็นคนที่ดีกับเราเสมอต้นเสมอปลายอย่างนั้นแล้วเราจะรู้สึกดีจนถึงขั้นอยากจะตอบแทนน้ำใจของเขา
มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกไม่ใช่เหรอ
กี้ควรจะได้รับในสิ่งที่กี้ควรจะได้รับนะ..”
พี่เนยทั้งพูดทั้งจับมือฉันไปกุม
ดวงตาสีน้ำตาลกลมโตคู่นั้นฉายแววห่วงหาอาธรณ์เหมือนเธออยากบอกให้ผู้ฟังได้รู้ว่าสิ่งที่เธอกำลังอธิบายอยู่นี้
เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและหวังดีจากเธอสักเพียงใด..
“...และสำหรับพ่อแม่กี้แค่นี้แล้วยังเทียบไม่ได้เลยที่ท่านอุตสาห์เลี้ยงดูกี้มาตั้งแต่เล็กจนโต
แล้วยอมยกลูกสาวที่ท่านทั้งรักทั้งหวงอย่างนี้ให้กับพี่อ่ะ
ทั้งๆที่พี่เหมือนจะเป็นคนไม่ได้เรื่องแท้ๆแต่ท่านก็ยังอุตสาห์ให้โอกาสพี่พิสูจน์ตัวเอง
จนในที่สุดเราสองคนก็ได้ลงเอยกันน่ะ
นะกี้นะ
ถ้ายังไงก็คิดว่าเป็นสินสมรสหรือสินสอดที่เนยเต็มใจจะมอบให้กี้และพ่อกับแม่เก็บไว้ก็ได้นะคะ....”
พี่เนยพูดเสียงอ่อนเสียงหวานรบเร้าให้ฉันรับสินน้ำใจจากเธอไป
เธอทั้งหันไปหาพ่อและแม่เพื่ออธิบายความบริสุทธิ์ใจของเธอ
ทั้งพยายามหาแนวร่วมความคิดจากพ่อกับแม่ให้ยอมรับแล้วหันมาช่วยไกล่เกลี่ยให้ฉันยอมรับข้อเสนอของเธออีกแรง
“..แต่กี้รู้สึกไม่ดีเลยพี่เนย..”
ยังไม่ทันที่ฉันจะพยายามอธิบายความรู้สึกกระอักกระอ่วนใจอะไรของฉันให้พี่เนยฟังต่อ
พี่เนยก็รีบเคลื่อนมือข้างที่กุมมือฉันเลื่อนขึ้นมาบังริมฝีปากฉันไว้
แล้วรีบพูดแทรกฉันขึ้นทันที..
“..พี่ก็รู้สึกไม่ดีเหมือนกันนะกี้
ทำไมล่ะกี้
ทั้งๆที่เราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วแท้ๆ
แต่กี้ก็ยังเห็นพี่เป็นคนอื่นคนไกลอีก
พี่เสียใจนะ ถ้ากี้จะยังคิดกับพี่อย่างนี้อีก
ทำไมอ่ะ..ทั้งๆที่กี้เคยย้ำแล้วย้ำอีกว่ากี้จะไม่ยอมปล่อยให้พี่รู้สึกโดดเดี่ยวในเรื่องที่พี่ขาดทั้งแม่และพ่อไปอย่างนั้น
ทั้งๆที่กี้เคยสัญญาว่าจะอยู่ดูแลพี่ให้เหมือนพี่เป็นคนในครอบครัวของกี้ตลอดน่ะ
แต่กี้ก็ยังทำตัวเหินห่างกับพี่อย่างนี้อีก
พี่น้อยใจเป็นนะกี้
นี่ก็เท่ากับว่ากี้ไม่ได้คิดจะจริงจังกับพี่เลยใช่มั้ย...หรือยังไง...”
“พี่เนย..”
ฉันขยับปากรีบแย้งแต่ก็ช้ากว่าพี่เนยที่พยายามบอกกล่าวความในใจของเธอออกมาอีก
“พี่ขอร้องกี้เถอะนะ
คิดซะว่าเป็นเงินที่พี่ช่วยกี้เก็บมาตั้งแต่ตอนเรียน
ถ้ากี้ไม่สบายใจยังไงก็เอาเป็นว่ากี้ก็ค่อยมาทำงานใช้หนี้พี่ทีหลังก็ได้
แล้วกี้ก็ไม่ต้องบอกใครด้วยว่าเป็นเงินของพี่
เพราะมันไม่ใช่เงินของพี่เลย
คิดซะว่ามันเป็นเงินเก็บที่พี่เก็บสำรองเอาไว้ให้กี้ออกมาใช้ก่อนไง
ยังไงๆถ้าเรายังอยู่ด้วยกันตลอดชีวิตกี้ก็ต้องหามาคืนให้พี่ได้ครบอยู่ดีนั่นล่ะ
เลิกคิดเลยนะ แล้วเรื่องนี้ก็รู้กันแค่นี้ก็พอ
พี่ก็จะไม่บอกใคร
จะบอกแต่ว่าเป็นเงินเก็บของกี้และครอบครัวกี้เท่านั้น
โอเคมั้ย...”
พี่เนยยิ้ม
เธอค่อยๆเลื่อนมือที่ปิดริมฝีปากมาที่แก้มของฉัน
ก่อนจะค่อยๆลูบวนไปมาเบาๆประหนึ่งต้องการจะคลายความกังวลใจที่มีอยู่ในใจฉันตอนนี้ให้หมดไป..แต่ก็ไม่เป็นผลอะไรเพราะฉันยังคงหน้านิ่วคิ้วขมวดจนพี่เนยเริ่มหน้าเสียลงเรื่อยๆ
ตอนนี้เมื่อพี่เนยเห็นทีท่าที่เอาแต่ปฏิเสธไม่ยอมรับความหวังดีง่ายๆของฉันแล้ว
พี่เนยก็กลายเป็นหน้านิ่วคิ้วขมวดเสียเอง
เธอปล่อยมือจากฉันแล้วมานั่งจ้องมองฉันด้วยสายตาผิดหวังที่เจือไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจของเธอเป็นที่สุด
พี่เนยเม้มปากหันไปมองพ่อทีแม่ทีก่อนจะหันหน้าที่เริ่มจะมีสายน้ำตาไหลคลอแถวๆเบ้าตาทั้งสองข้างเธอแล้วมาที่ฉัน..
“..ไม่โอเคใช่มั้ย..ได้..เข้าใจแล้ว..”
พี่เนยเสียงสั่นสะอื้นตรงคำว่า
เข้าใจแล้ว ก่อนจะก้มหน้าลงมองพื้น
ฉันเห็นสายน้ำตาของเธอไหลเป็นทางหยดแมะลงไปกระทบพื้นที่เธอนั่งคุยกับฉันอยู่...
...แล้วแค่เห็นแค่นั้นแม่ก็รีบกระวีกระวาดเข้าไปโอ๋ปลอบใจพี่เนยทันที..
“หนูเนยอย่าร้องนะลูก..อย่าพึ่งร้อง
คุยกันดีๆก่อน
น้องเค้าแค่ไม่อยากรบกวนหนูเนยเฉยๆ
หนูอย่าคิดมากสิลูก..”
พี่เนยไม่ตอบอะไร
เอาแต่ก้มหน้าเข้าไปซบกอดกับแม่แล้วร้องไห้สะอื้นอึกๆ
เหมือนเด็กน้อยตัวเล็กๆที่ร้องไห้งอแงเพราะโดนรังแกแล้วมีแม่มากอดปลอบประโลมใจ
มองดูให้ความรู้สึกสงสารยังไงไม่รู้....
..อึ๊ก..นี่ฉันกำลังสงสารเธอใช่มั้ยนี่...เอาอีกแล้วกี้..ตั้งแต่วันแรกจนกระทั่งวันนี้ฉันก็ยังไม่เลิกนิสัยใจอ่อน
ขี้สงสาร
รับเอาความทุกข์ของคนอื่นมาคิดมากอย่างนี้อีก...
..ปัดโธ่...ฉันคิ้วขมวดเกาหัวแก๊กๆทันทีที่นึกขึ้นได้..
“กี้ก็พูดกับพี่เขาดีๆสิลูก
เราก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว
อย่าทำให้พ่อกับแม่ลำบากใจได้มั้ย
นี่เท่ากับว่าพ่อกับแม่มีลูกสาวสองคน
แม่กับพ่อก็รักทั้งสองเหมือนลูกแท้ๆอะไรที่พอจะประนีประนอมออมชอมกันได้
ก็ยอมๆกันเถอะลูก
หนูทั้งสองก็โตๆกันแล้ว
แม่ก็รู้ว่ากี้เกรงใจพี่เขา
แม่กับพ่อก็เกรงใจเหมือนกัน
แต่แม่ก็ไม่อยากให้หนูเนยรู้สึกโดดเดี่ยวอย่างนี้นะ
หนูไม่สงสารพี่เค้าเหรอกี้..”
แม่หันมาพูดกับฉันโดยที่สองมือของแม่ก็ยังทั้งกอดทั้งลูบหลังปลอบประโลมพี่เนยอยู่เรื่อยๆ
น้ำเสียงของแม่แม้จะฟังดูเกรงใจฉันอยู่บ้าง
แต่เท่าที่ฉันจับใจความฟังดูเหมือนแม่จะเอนเอียงพูดไปด้วยความสงสารในตัวพี่เนยมากกว่าความเกรงใจฉันเสียอีก..
“โธ่...แม่..”
ฉันคิ้วขมวดเหล่ตามองแม่
พอๆกับพี่เนยที่แอบเงยหน้าขึ้นมามองดูท่าทีของฉัน
เหมือนเธอจะลุ้นว่าฉันจะยอมเกรงใจแม่แล้วหันมารับข้อเสนอของเธอหรือเปล่า...
แต่พอฉันไม่ตอบตกลงอะไรเอาแต่จ้องหน้ามองแม่ด้วยสายตางอนๆที่เห็นว่าแม่ตัวเองกำลังเปลี่ยนพรรค
หันไปเข้าข้างพี่เนยอย่างนั้น
พี่เนยก็สะอื้นขึ้นแล้วก้มลงร้องไห้กับแม่อีก
จนแม่นั้นสะดุ้งแล้วเริ่มหันมาเอ็ดฉันแทน...
“กี้..พอได้แล้วล่ะ..เอาอย่างนี้ดีกว่าพวกหนูไปคุยกันสองคนให้รู้เรื่องก่อนดีกว่า
พ่อกับแม่ลำบากใจที่จะฟังแล้วนี่
ไปกี้ หนูจะได้พาพี่เค้าเข้าไปพักผ่อนบนบ้านด้วยไง..”
แม่ใช้คำพูดที่เหมือนว่าเป็นห่วงเป็นใยพี่เนยที่เธอไม่ได้พักผ่อนเพราะมัวแต่ขับรถไปทำธุระของเธอทั้งวันโดยการให้ฉันพาเธอไปพัก...
แต่ฉันฟังดูแล้วเหมือนแม่จะเริ่มรำคาญเลยบังคับไล่ให้ฉันไปคุยกับพี่เนยสองคนทางอ้อมยังไงไม่รู้...
...แล้วเมื่อลับตาพ่อแม่เข้ามาอยู่ในห้องกันสองคนแล้ว
พี่เนยคนเจ้าน้ำตาก็เปลี่ยนบทบาท
ทำทีเป็นออดอ้อนออเซาะเข้ามาคลุกวงในทั้งกอดทั้งหอมฉัน
ทั้งๆที่ฉันยังไม่ทันได้ล็อคประตูห้องดีเสียด้วยซ้ำแต่เจ้าหล่อนก็ไม่ปล่อยโอกาส
แม้ฉันจะพยายามผลักๆดันๆเจ้าหล่อนด้วยความโกรธและงอนขึ้นมาทันทีที่เริ่มนึกขึ้นได้ว่า...ไอ้ภาพนางเอกเจ้าน้ำตาที่ฉันเห็นก่อนหน้านั้นจะเป็นเพียงการแสดงละครตบตาของเธอเท่านั้นเอง...
“อะไรนี่พี่เนย..ทำนิสัยอย่างนี้อีกแล้วนะ
บ้าชะมัดเลย
นี่กล้าเล่นละครตบตาพ่อกับแม่อย่างนั้นเหรอ..”
ฉันผลักพี่เนยพี่ดึงฉันเข้าไปนั่งตักที่เตียงออกจากตัว
ก่อนจะพยายามลุกขึ้นเดินหนี
แต่ก็โดนเจ้าหล่อนเอื้อมมือมาดึงแขนฉันไว้พร้อมๆกับการออกแรงกระชากร่างของฉันให้เข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเธออีกครั้ง
แล้วหย่อนร่างกายของตัวเธอลงนอนบนที่นอนพร้อมๆกับฉัน
“อะไรนี่ๆๆ”
ฉันทั้งร้องทั้งดันๆร่างพี่เนยที่ลุกขึ้นนอนคร่อมฉันไว้ออก
เธอก้มหน้ายิ้มๆลงมาแกล้งหอมแก้มฉันซ้ายทีขวาทีทำยังกับว่าเธอไม่กลัวเลยว่าฉันจะโกรธให้เธอ..
“โอ้ย..ทำอะไรอีกนี่
พี่เนย...”
“..ก็คุยกับกี้ไง
แม่บอกให้เราสองคนคุยกันให้เข้าใจ
พี่ก็เลยรีบจัดให้
จะได้รีบคุยรีบๆเสร็จเสียที..”เจ้าหล่อนทำเสียงทะเล้น
ทั้งยิ้มกรุ้มกริ่มที่เห็นท่าทางเหวอๆของฉันที่ได้ยินเธอบอกกล่าวประโยคเดิมๆ
แถมยังเป็นมุกเดิมๆ
ที่ครั้งหนึ่งเธอเคยใช้กับฉันมาแล้ว...
“อี๊..อีกแล้ว
พี่เนยบ้า..จะมาคุยบ้าอะไรอย่างนี้อี้ก...โตแล้วยังจะเล่นอะไรบ้าๆอย่างนี้อี๊ก...”ฉันเสียงสูงร้องเสียงหลงไปตามแรงจูบแรงหอมของเธอ
แถมสองมือเธอก็ยังตามมาตรึงมือของฉันเอาไว้ไม่ให้เคลื่อนที่ไปมาเพื่อปัดป้องหรือต่อต้านอะไรเธอได้อีก
แต่กระนั้นฉันก็ยังไม่ยอมแพ้
แม้สองมือฉันจะโดนพันธนาการเอาไว้
แต่ลำตัวของฉันก็ยังพยายามขัดขืนโดยการสะบัดสะบิ้งกลิ้งตัวตัวเองไปมาบนที่นอน
ทั้งพยายามยกเข่าขึ้นดันตัวพี่เนยออกไป
จนกระทั่งพี่เนยโดนเข่าที่ฉันเผลอออกแรงกระทุ้งเข้าไปเต็มๆท้องน้อยของเธอ...
“โอ้ยยยย...กี้..”
พี่เนยร้องโอดโอยเสียงหลงทันทีที่โดนลูกหลงแม่ไม้มวยไทยฉันเข้าให้
เธอหยุดแล้วรีบลุกขึ้นนั่งตัวงอไปทางซ้ายทีทางขวาที
จนฉันสะดุ้งรีบผงกหัวขึ้นดูพี่เนยที่เริ่มนั่งเอามือกุมท้องหน้าเขียวหน้าแดงด้วยความเจ็บจุกของเธอต่อจากนั้น...
“พี่เนย..เป็นยังไงบ้าง..”
ฉันรีบลุกขึ้นมาจับท้องพี่เนยด้วยความเป็นห่วง
ตอนนี้พี่เนยคิ้วขมวดหลับตาปรี๋ใบหน้าเหยเก
ฉันเห็นสายน้ำตากำลังค่อยๆไหลออกมาจากสองข้างตาของเธอแล้ว
“พี่เนย
กี้ขอโทษนะกี้ขอโทษ
กี้ไม่ได้ตั้งใจ เข่ามันบังเอิญไปโดนเฉยๆ
กี้ไม่ได้ตั้งใจจะทำพี่เนยเลย..”
ฉันทั้งพูดทั้งรีบๆก้มลงไปใช้มือค่อยๆลูบท้องน้อยพี่เนยไว้
ทั้งพยายามปลอบใจเธอด้วยการโอบกอดหัวเธอให้เข้ามาซบไหล่ฉันไว้แล้วยื่นใบหน้าไปมอบจุมพิตปลอบใจเธอเบาๆ
ด้วยหวังให้เธอคลายอาการตื่นตกใจที่อยู่ๆก็โดนฉันออกอาวุธมวยไทยเข้าให้จนเธอเจ็บจุกใบหน้าเขียวไร้เรี่ยวแรงจะต่อกรอะไรกับฉันได้อีกอย่างนี้...
พี่เนยยังคงก้มหน้าก้มตา
นั่งตัวขดงออยู่บนเตียง
เธอไม่ยอมพูดไม่ยอมจาอะไรกับฉันเลยเอาแต่ครางโอดโอยด้วยความเจ็บจุกของเธอไปเรื่อย
จนฉันเริ่มใจคอไม่ดี
ต้องรีบถามไถ่อาการของเธอต่อ
“พี่เนย
เป็นยังไงบ้าง
ทำไมเอาแต่ร้องโอดโอยอย่างนี้ล่ะ
บอกอาการอะไรให้กี้สบายใจบ้างสิ
อย่าเอาแต่ร้องอย่างนี้ได้มั้ย
กี้ใจคอไม่ดีเลย..”
พี่เนยเงยหน้า
ตาขวางมองฉัน “..ก็พี่เจ็บ
กี้จะให้พี่ทำยังไง..นี่กี้ไม่รู้เหรอว่าพี่เจ็บ..”
..อูยยย..
ฉันสะดุ้งโหยงทันทีที่ได้ยินเธอทำเสียงดุๆห้วนๆตวาดฉันอย่างนั้น
“บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่ามาทำอะไรกับท้องพี่
กี้ก็รู้ว่าพี่เจ็บท้องบ่อยขนาดไหน...”
พี่เนยทั้งพูดทั้งน้ำตาไหล
ใบหน้าเธอบึ้งๆนั้นเพ่งมองฉันด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองเหมือนๆน้ำเสียงที่เธอกำลังต่อว่าต่อขานฉันเรื่องท้องของเธอในตอนนี้
..ฉันเหงื่อตกยิ้มแหยๆให้พี่เนยทันทีที่ได้ยินพี่เนยต่อว่าฉันอย่างนั้น..
...จริงด้วย
ฉันก็ลืมไปว่าพี่เนยมีปัญหาเกี่ยวกับท้องของเธอ
ไม่แน่ใจว่าเพราะความผอมอรชอนอ้อนแอ้นของเธอหรือเปล่า
ที่ทำให้เธอชอบปวดท้องบ่อย
ยิ่งเวลาที่เธอเป็นประจำเดือนเธอมักจะปวดท้องมากจนถึงขั้นต้องนอนตัวขดตัวงออยู่ในห้องทำอะไรไม่ได้
ไปไหนมาไหนก็ไม่ได้เลย
ซึ่งตอนที่คบกันตอนแรกๆฉันก็ไม่รู้หรอกว่าเธอมีปัญหาเกี่ยวกับช่องท้อง
ด้วยความที่เธอทำตัวเกรกมะเหรกเกเรชอบมีเรื่องตบตีกับคนอื่นเสมอ
ฉันก็เลยพลอยคิดว่าพี่เนยคงจะเป็นคนแข็งแรงแม้รูปร่างเธอจะผอมบอบบางขนาดไหนก็ตาม
จนกระทั่งช่วงที่เธอได้มาขลุกอยู่ที่บ้านฉันซะส่วนใหญ่ใช้เวลาตั้งแต่เช้าจรดเย็นอยู่ด้วยกัน
แล้วมาเจอตอนที่เธอเป็นประจำเดือน
ฉันถึงรู้ว่าพี่เนยเป็นคนที่มีปัญหาเรื่องท้อง
เลยกลายเป็นว่าฉันต้องดูแลประคบประหงมพี่เนยในช่วงเวลานั้นของเดือนเป็นอย่างดี..
“..กี้ขอโทษนะพี่เนย
กี้ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ...”
ฉันยิ้มแหยๆยกมือไหว้พี่เนยประหลกๆ
“กี้ขอโทษ..พี่เนยอย่าร้องเลยนะ..นะคะ”
แม้ฉันจะพยายามเสียงอ่อนเสียงหวานขอโทษเธอยังไง
พี่เนยก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะใจอ่อนยอมยกโทษให้ฉันง่ายๆ
ซ้ำร้ายยังจ้องเขม็งทำหน้าดุๆมาตะคอกฉันต่อ...
“...ก็คนมันเจ็บอ่ะ
ไม่ร้องแล้วจะให้ทำอะไรวะ
ลองดูป่ะล่ะ จะได้รู้ว่าทรมานขนาดไหน”
..อูยยย...ฉันสะดุ้งโหยงอีกเป็นครั้งที่สองตอนที่ได้ยินพี่เนยเริ่มมีคำต่อท้ายวะๆเวอะๆอะไรของเธอ
ทั้งๆที่เธอไม่เคยได้พูดกับฉันอย่างนี้สักทีตั้งแต่เราเรียนจบชั้นมัธยมกันมา
..นี่สงสัยคงจะเจ็บหนักเอาการอยู่ล่ะสินะ...
ฉันทั้งคิดทั้งปาดเหงื่อที่หน้าผากออกก่อนจะค่อยๆกระเถิบร่างกายเข้าไปกอดประครองพี่เนยไว้
แล้วใช้มือค่อยๆยื่นเข้าไปในชายเสื้อเชิ๊ตเพื่อลูบวนไปมาที่ท้องเบาๆ
เหมือนทุกๆครั้งที่เธอปวดท้องประจำเดือนแล้วเธอรู้สึกไม่ไหว
เธอก็จะขอแค่มือของฉันช่วยมาจับที่ท้องน้อยของเธอไว้โดยเธอบอกว่าเธอรู้สึกดี
แม้ตอนนั้นจะมีกระเป๋าน้ำร้อนประคบท้องเธอไว้ตลอดแต่เธอก็ชอบที่จะให้ฉันเอามือมาจับมาลูบมาสัมผัสกับบริเวณที่เธอปวดนั้นเบาๆ
โดยเธอให้เหตุผลว่าชอบความอบอุ่นของมือฉัน
ชอบความอบอุ่นของทุกๆส่วนร่างกายฉัน
โดยเฉพาะเวลาที่ฉันจับท้องเธอไว้ทีไร
เธอจะนึกถึงแม่ของเธอที่เคยจับเคยสัมผัสร่างกายของเธออย่างนี้ตลอดเวลาเลย...
แล้วนั่นก็เป็นเหตุผลที่ว่า
ทำไมเวลาที่พี่เนยปวดท้องประจำเดือนทีไรฉันถึงต้องคอยดูแลประคบประหงมพี่เนยอยู่ใกล้ๆตลอดไม่ไปไหนเลย
ใช่..ก็เพราะว่าฉันสงสารเธอน่ะสิ
ยิ่งเธอบอกว่าเธอคิดถึงแม่ของเธอแล้ว
ฉันก็ยิ่งนึกสงสารพี่เนยขึ้นมาจับใจ
นึกถึงช่วงระยะเวลาที่เธอโดดเดี่ยวเดียวดาย
ไม่มีใครดูแลเธอในวันที่ร่างกายอ่อนแอก่อนหน้าที่จะมาเจอฉันแล้วก็ยิ่งน่าสงสาร
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาฉันก็เลยสัญญากับพี่เนยว่าฉันจะอยู่ดูแลเธอตลอด
จะไม่ยอมให้เธอรู้สึกอ้างว้างเดียวดายเหมือนอย่างที่เธอเคยเจอมาในอดีตเป็นอันขาด...
“..รู้สึกดีขึ้นบ้างหรือยังคะ..”
ฉันทั้งลูบท้องทั้งพยายามทำเสียงอ่อนเสียงหวานถามพี่เนยด้วยความเป็นห่วงต่อ
“ยัง!!..”
พี่เนยปัดมือฉันออก
ปล่อยให้ฉันเหวอค้างด้วยความตกใจที่เห็นว่าพี่เนยยังเสียงแข็งไม่ยอมใจอ่อนให้ฉันเหมือนเดิม
เธอลุกออกจากเตียงแล้วหันหน้ามาจ้องฉันมองแรงอย่างเคืองๆของเธอต่อ
“เห็นพี่เป็นอะไรนี่
คิดว่าพี่เจ็บเล่นๆหรือไง
เล่นแรงขนาดนี้ยังคิดว่าจะหายง่ายๆอีกเหรอ!!..”
พี่เนยจ้องเขม็งมาที่ฉัน
ก่อนจะชี้หน้าแล้วตวาดฉันมาอีกเป็นชุด...
“ตั้งแต่พี่ยอมแต่งงานด้วยนี่..กี้ก็เปลี่ยนไปเลยนะ
อะไรที่เคยดีอะไรที่เคยทำก็ไม่ทำ
อะไรที่เคยสัญญาว่าจะทำก็ไม่ทำ
มิหนำซ้ำยังกลับมาใช้กำลังกับพี่อีก
ทั้งๆที่กี้เคยสัญญาว่าจะไม่ใช้กำลังกับพี่แล้ว
แต่กี้ก็ยังทำอีก
หมายความว่ายังไงอ่ะกี้
กี้ไม่ได้รักพี่จริงๆด้วยอ่ะ
กี้ไม่ได้คิดที่จะจริงจังกับพี่จริงๆด้วยอ่ะ
รู้งี้พี่ไม่แต่งงานกับกี้ดีกว่า..”
...ฉันคิ้วขมวดทำหน้างงเต๊ก
ตั้งแต่ได้ยินประโยคที่ว่า
..ตั้งแต่พี่ยอมแต่งงานด้วยนี่???
แล้ว..หนำซ้ำยังมาเจอประโยคตบท้ายที่ว่า
..รู้งี้พี่ไม่แต่งงานกับกี้ดีกว่า....อีก
ก็ยิ่งงงเป็นไก่ตาแตกเข้าไปใหญ่....
..เอ่อ....ตกลงเธอเป็นฝ่ายยอมแต่งงานกับฉันเองใช่มั้ย...หรือยังไง...แม้จะสงสัย
แต่ด้วยสถานการณ์ตึงเครียดที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ต่อหน้า
ฉันก็เลยพลอยคิดว่าประโยคแปลกๆเหล่านั้นน่าจะออกมาจากอารมณ์โมโหของเธอ
ที่เธอกำลังโกรธให้ฉันในตอนนี้มากกว่า
ฉันก็เลยไม่ได้โต้แย้งอะไร
ได้แต่ทำหน้างงๆ
ก้มหน้าก้มตาน้อมรับผิดปล่อยให้พี่เนยต่อว่าฉัน
ระบายอารมณ์ของเธอออกมาให้หมด..
“ดีเหมือนกันวันนี้พี่จะได้รู้สักทีว่ากี้ไม่ได้คิดจริงใจต่อพี่
ไม่ได้คิดว่าพี่เป็นครอบครัวเดียวกันอีก
จะได้รู้ว่ากี้ชอบทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจพี่ขนาดไหน
รู้ตัวไวอย่างนี้ก็ดี
จะได้รีบๆจบกัน...”
พูดเสร็จพี่เนยก็สะบัดร่างทำท่ากระฟัดกระเฟียดจะเดินออกไปจากห้อง
จนฉันต้องร้องเสียงหลงรีบกระโจนลงจากเตียงเข้าไปกอดห้ามพี่เนยไว้
“เฮ้ย!!!
อะไรอ่ะพี่เนย
พี่เนยจะไปไหน”
“ก็ไปจากที่นี่
ไปจากกี้ตอนนี้ไง
พี่ทนอยู่กับคนที่ไม่รักพี่ไม่ได้หรอก..”
พี่เนยทั้งพูดทั้งพยายามแกะแขนทั้งสองข้างของฉันออก
เธอสะบัดสะบิ้งเหวี่ยงตัวหนีฉันด้วยอาการโมโหหึดหัดของเธอไป..
“เดี๋ยวสิพี่เนย
เดี๋ยวสิ มันไม่ใช่อย่างที่พี่เนยเข้าใจนะ
กี้ไม่ได้ตั้งใจ ฟังกี้ก่อนสิ”
แม้จะโดนกำลังจากการขัดขืนฝืนตัวของพี่เนยยังไง
ฉันก็ยังพยายามฉุดรั้งพี่เนยไว้เหมือนเดิม
ซึ่งพี่เนยก็ไม่ยอมแพ้
ยิ่งเธอเห็นว่าฉันพยายามดึงรั้นเธอไว้ยังไงเธอก็ยิ่งออกแรงเหวี่ยงสะบัดงวงสะบัดงาใส่ฉันแรงขึ้น...
“ปล่อยพี่นะ
ถ้ากี้ไม่รักพี่แล้วก็ปล่อยพี่ไปซะสิ
จะมารั้งพี่ไว้ทำไม
ยังไงๆกี้ก็เห็นพี่เป็นคนอื่นอยู่แล้วนี่!!!”
พี่เนยโวยวายทั้งพูดทั้งร้องไห้ขึ้นจนเสียงดังขึ้น
เธอจับแขนของฉันออก
แล้วหันใบหน้าแดงๆที่มีน้ำตาไหลนองเต็มสองข้างตาจ้องเขม็งมาที่ฉัน
ตอนนี้ทั้งปลายจมูกทั้งริมฝีปากและเปลือกตาของเธอแดงแจ๋ไปด้วยความโกรธของเธอแล้ว...
“ยังไม่จดทะเบียนก็ดีเหมือนกัน
อย่างน้อยๆเรื่องก็จะได้จบง่ายๆไม่ต้องยุ่งยากขายขี้หน้าใคร
จากนี้ไปก็อยู่ใครอยู่มันเถอะ..”
พูดเสร็จพี่เนยก็ปล่อยโฮขึ้นเสียงดัง
จนฉันสะดุ้งตกใจด้วยกลัวว่าเสียงของเธอนั้นจะดังไปจนถึงหูของพ่อกับแม่ข้างล่าง
“เฮ้ย!!!
พี่เนยใจเย็นๆก่อน
ไปกันใหญ่แล้ว
มันไม่ใช่อย่างที่พี่เนยคิดสักหน่อย
จะตีโพยตีพายอะไรขนาดนั้นนี่”
“ไม่ใช่แล้วจะอะไรวะ
คุยด้วยดีๆก็แล้ว
อุตสาห์หาวิธีเอาใจก็แล้ว
กี้ก็ยังไม่ยอมรับน้ำใจจากพี่อีกอ่ะ
หนำซ้ำยังใช้กำลังทำร้ายพี่อีก
เกินไปแล้วนะกี้
ไม่มีผู้หญิงที่ไหนเค้าชอบอย่างนี้หรอก
เห็นว่าพี่ยอมกี้ก็จะทำอย่างนี้เหรอ
คิดจะตบจะตีอะไรก็ทำได้ง่ายๆอย่างนั้นเหรอ..พี่ทนไม่ไหวแล้วนะโว้ยยย..”
ยิ่งพูดพี่เนยก็ยิ่งเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ
จากที่ฟังๆดูแล้วเหมือนเธอจงใจตะโกนให้เสียงมันดังไปทั่วทั้งบ้านยังไงก็ไม่รู้
“เฮ้ยพี่เนยไปกันใหญ่แล้ว..”
ฉันเสียงหลงตั้งแต่ได้ยินพี่เนยบอกว่าฉันใช้กำลังทำร้ายเธอ
ตอนนี้ฉันทั้งอึ้งทั้งตะลึง
ทั้งกลัวพี่เนยโกรธ
ทั้งกลัวว่าพ่อกับแม่จะได้ยินที่พี่เนยโวยวายว่าฉันทำร้ายเธอแล้วจะกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตอีก
อาการร้อนรนตกใจของฉันพลอยทำให้ฉันนึกอะไรไม่ออกคิดอะไรไม่ถูก
กลายเป็นต้องรีบวิ่งเข้าไปกอดร่างพี่เนยแล้วรีบใช้มือข้างหนึ่งขึ้นมาอุดปากเธอไว้ไม่ให้เธอพูดอะไรได้อีก...
“กี้ขอโทษๆ
บอกแล้วไงว่าไม่ได้ตั้งใจ
กี้ขอโทษ หยุดร้องได้แล้ว
โอ้ย โอเคๆ จะให้ทำอะไรกี้ยอมหมดแล้ว
โอ๊ยพี่เนยพูดดีๆกับกี้ก่อนสิ...”
เสียงพี่เนยอู้อี้ๆ
ดังลอดออกมาจากมือของฉัน
เธอพยายามแกะมือฉันออกจากปากแล้วขยับร่างของเธอหนีออกจากฉันมายืนอยู่ต่อหน้า
สายตาเธอจ้องเขม็งจิกกัดฉันไม่วางตา
“ไม่ต้องมาขอให้พูดดีเลย
ทีเมื่อกี๊พี่พูดดีๆด้วยกี้ยังเข่าใส่พี่เลย..ไม่เอาดีกว่า
พี่ไม่เชื่อกี้ พี่จะกลับบ้าน..”
พูดเสร็จพี่เนยก็เดินไปเปิดกระเป๋าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารีบกดหน้าจอแล้วเอาแนบหูของเธอด้วยอาการเร่งรีบ
“น้าชัยคะ
ขับรถมารับเนยที่บ้านกี้ทีค่ะ
เนยขับรถไม่ไหว เจ็บท้องมาก
คงจะได้รบกวนน้าชัยพาเนยไปโรงพยาบาลก่อนด้วยล่ะค่ะ..”
เธอทั้งพูดทั้งเหล่ตามองฉัน
สายตามองแรงจิกกัดคู่นั้นส่อแววให้เห็นว่า
เธอจะไม่ยอมจบเรื่องลงง่ายๆแน่
แล้วแค่เห็นอาการท่าทางอย่างนั้นฉันก็ยิ่งรนรานร้อนรนทนไม่ได้เข้าไปใหญ่...
“เฮ้ยพี่เนย
กี้บอกว่าให้ใจเย็นๆไง
มันไม่ใช่อย่างที่พี่เนยเข้าใจนะ..”
ฉันทั้งพูดทั้งเดินไปกอดห้ามพี่เนยไว้ตอนที่เธอกำลังจะทำท่าทางเหมือนกำลังจะเดินหนีออกจากห้องไป
“โอ้ย กี้บอกแล้วไง กี้ไม่ได้ตั้งใจ
กี้ขอโทษพี่เนย
กี้ยอมแล้วจะให้กี้ทำอะไรก็ยอมแล้ว...”
พี่เนยนิ่ง
เธอหันมาจ้องเขม็งมองฉันโดยที่โทรศัพท์ก็ยังแนบหูเธออยู่เหมือนเดิม
“ยอมยังไง
ยอมอะไร พูดลอยๆใครเค้าจะรู้”
“ก็ยอมทุกอย่างที่พี่เนยต้องการไง
พี่เนยอยากให้กี้ทำอะไรกี้ยอมแล้ว
ขอแค่พี่เนยอย่าโกรธกี้แล้วก็อย่าหนีจากกี้ไปอย่างนี้”
“รวมถึงเรื่องเมื่อกี๊ด้วยมั้ย..”
“เรื่องอะไร..”
ฉันหน้าแหยๆ
ค่อยๆถามพี่เนยคืนด้วยเสียงหงอยๆ
“ก็เรื่องที่พ่อกับแม่ให้เรามาคุยกันแล้วกี้ไม่ยอมฟังแล้วยังมาตีพี่นี่ไง
ตกลงจะยอมให้สร้างบ้านให้มั้ย
หรือยังไง บอกมา ชักช้าหงุดหงิด!!!”
พี่เนยชักสีหน้าขึ้นเสียงเร่งขอคำตอบจากฉันอีกครั้ง
จนฉันได้แต่ลังเลๆยืนเงอะๆงะๆด้วยความกำลังคิดว่าจะตอบตกลงดีมั้ย
“!!เร็วๆ!!
น้าชัยจะมารับแล้ว..”
พี่เนยตะคอกเร่งฉัน
จนฉันสะดุ้งโหยงรีบหันไปตอบเธอทันที..
“โอ้ยๆก็ได้ๆ
ยอมแล้วๆ กี้ยอมแล้ว พอใจหรือยัง”
ฉันทั้งพูดทั้งยกมือสองข้างแบขึ้นข้างๆหัว
แสดงอาการยอมสิโรราบเจ้าหล่อนแต่โดยดีแล้ว
“ยอมเรื่องอะไร
พูดออกมาให้ครบ มาบอกแต่ยอมๆอยู่นี่
เดี๋ยวถึงเวลาก็พลิกลิ้นอีก!!!”
พี่เนยยังขึ้นเสียงข่มขู่ฉันเหมือนเดิม
“โอ้ย
ต้องขนาดนั้นเลยเหรอพี่เนย...”
ฉันตาละห้อยมองพี่เนยที่ยังคิ้วขมวดจ้องมองฉันไม่วางตา
ก่อนจะถอนหายใจแล้วตัดใจบอกประโยคทั้งหมดทั้งมวลออกมาให้เธอพอใจ
“ก็ได้ๆ
กี้ยอมให้พี่เนยสร้างบ้านให้กี้แล้วค่ะ
พี่เนยอยากทำอะไรให้กี้พี่เนยก็ทำเลย
ถ้าพี่เนยเห็นว่าดีกี้ก็ว่าดีด้วย
กี้ไม่ปฏิเสธอะไรแล้ว
กี้ยอมรับน้ำใจของพี่เนยแล้ว
กี้รู้แล้วว่าพี่เนยรักและเป็นห่วงกี้และครอบครัวจริงๆ
กี้ผิดเองที่ทำให้พี่เนยรู้สึกโดดเดี่ยวเหมือนไม่ใช่ครอบครัวเดียวกันกับกี้อย่างนั้น
กี้ขอโทษพี่เนยนะ
พี่เนยยกโทษให้กี้ด้วยนะคะ...”
ฉันทำตาละห้อย
ทั้งพูดเสียงอ่อนเสียงหวานทั้งยกมือไหว้ขอโทษพี่เนยด้วยความสำนึกผิดจริงๆ
ตอนนี้ฉันยอมรับแล้วว่าฉันหมดสภาพแพ้พี่เนยอย่างราบคาบแล้ว...
“สัญญาสิ!!!”
พี่เนยยังตะคอกด้วยน้ำเสียงเคืองๆกลับมาเหมือนเดิม
“สะ..สัญญาค่ะสัญญา”
พอได้ยินพี่เนยบอกดังนั้นฉันก็รนรานรีบยกสามนิ้วขึ้นทำท่าให้สัญญาเหมือนเมื่อครั้งที่ฉันเคยทำกับพี่เนยเมื่อยังเป็นเด็ก
“..พี่เนยอย่าโกรธกี้เลยนะคะ
กี้ผิดไปแล้ว
กี้จะไม่ทำให้พี่เนยเจ็บอย่างนี้อีกแล้ว
แล้วพี่เนยก็อย่าหนีกี้ไปไหนเลยนะ
กี้ขาดพี่เนยไม่ได้จริงๆ..”
ฉันพยายามเดินเข้าไปชิดพี่เนยที่พยายามเดินหนีฉันด้วยทีท่าโมโหกระฟัดกระเฟียดก่อนหน้านั้น
ตอนนี้เมื่อพี่เนยได้ยินคำสัญญาจากฉันก็เหมือนความร้อนลุ่มในใจของเธอจะทุเลาลงบ้าง
ดวงตาแข็งกระด้างกระเดื่องคู่นั้นกลับมามองฉันด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจแทนเสียแล้ว..
“ดีกันได้แล้วนะคะ
กี้ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ
เอางี้ดีกว่าเรามาคุยกันดีๆเหมือนก่อนหน้านั้นที่เรากำลังจะคุยกันก็ได้...”
ฉันเสียงอ่อนเสียงหวานพยายามโอบกอดพี่เนยเข้ามาไว้ในลำแขนของตัวเอง
ก่อนจะค่อยๆบรรจงมอบจุมพิตเบาๆไปทั่วๆใบหน้างามที่ตอนนี้เธอก็ยังไม่วางโทรศัพท์ที่เธอแนบอยู่ข้างหูเธอเลย
“บ้า
จะมาคุยอะไร ไม่เอาไม่คุยแล้ว
ปล๊อย”
พี่เนยเริ่มขัดขืนเมื่อเห็นฉันพยายามหยิบเอาโทรศัพท์ข้างหูของเธอออกเพื่อปฏิบัติภารกิจบางอย่างที่ก่อนหน้านั้น...ฉันเผลอทำมันล้มเหลวไป....
“วางสายได้แล้ว
บอกน้าชัยได้แล้วว่าคุยกับกี้รู้เรื่องแล้วเดี๋ยวกี้จะพาพี่เนยไปหาหมอเองค่ะ
เร้วๆ”
ฉันพยายามยื่นมือไปจับโทรศัพท์ที่พี่เนยพยายามเบี่ยงมันหนีมือฉันแล้วทำเป็นหันซ้ายหันขวาหนีจุมพิตฉันไปมาโดยที่มือยังจับโทรศัพท์เอาไว้แน่น..
“ปล๊อย..เฮ้ย..อะไรนี่ๆๆ”
พี่เนยร้องโวยวายตอนที่ฉันพยายาม
“อุ้ม”ประครองร่างของเธอขึ้น
ใช่...ไม่ผิดหรอกฉันกำลังพยายามรวบรวมพละกำลังใช้สองแขนช้อนอุ้มร่างกายของพี่เนยขึ้นมา
แล้วพาร่างของเธอไปที่เตียง...
“ว้าย...”
พี่เนยร้องเสียงหลงทันทีที่ตัวของเธอลอยขึ้นจากพื้น
ไม่แน่ใจว่าเธอร้องเพราะเธอตื่นเต้นที่อยู่ๆเห็นฉันอุ้มเธออย่างนี้
หรือเธอร้องเพราะว่าเธอกลัวฉันจะทำเธอตกลงไปกองแผละลงกับพื้นกันแน่...
ถ้าเธอจะร้องเพราะเธอกลัวมันก็คงไม่แปลก..เพราะฉันก็ไม่เคยอุ้มพี่เนยเสียที
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ฉันพยายามอุ้ม
แม้ร่างกายของพี่เนยจะดูผอมบางอ้อนแอ้นอรชอน
แต่เอาเข้าจริงๆเมื่อฉันที่มีขนาดร่างกายพอๆกับเธอมาอุ้มขึ้นแล้ว
มันกลับทำให้ฉันถึงกับเซจนเกือบจะล้มในตอนที่เริ่มยกพี่เนยขึ้นมาได้
ซึ่งในการเซในตอนนั้นนั่นเอง
อดีตเสือสาวที่ไม่เคยโดนใครบังคับฝืนร่างกายของเธอได้โดยเฉพาะการอุ้ม
ก็ถึงกับร้องกรี๊ดวี้ดว้ายหมดมาดนักธุรกิจสาวสวยไฮโซก่อนหน้านั้นไปสิ้นเชิง....
“โอ้ย..หยุดๆ”
เสียงร้องพี่เนยดังขึ้นก่อนที่ฉันจะพยายามทิ้งร่างของเธอลงบนเตียง
เนื่องจากว่าฉันเริ่มจะรับน้ำหนักของเธอไม่ไหว
ทำให้ร่างของพี่เนยลอยขึ้นตามแรงกระเด้งของพื้นเตียง
จนโทรศัพท์ในมือของเธอลอยกระเด็นมาอยู่ที่ปลายเตียงเกือบๆจะตก..
ฉันไม่รอช้าประวิงเวลาอะไรต่อ
แม้ตอนนี้ฉันจะรู้สึกเจ็บที่สองแขนตัวเองจากการที่ใช้แรงอุ้มพี่เนยอยู่บ้าง
แต่คิดว่าความเจ็บเล็กๆแค่นี้ไม่น่าจะลดประสิทธิภาพในการคุยกันระหว่างฉันกับพี่เนยให้ลดลงได้เท่าไหร่...เพราะยังไงฉันก็ไม่จำเป็นต้องใช้กำลังแขนอะไรมากมายอยู่แล้ว..ฉันทั้งยิ้มทั้งคิด
ก่อนจะรีบพุ่งพรวดเข้าไปจู่โจมร่างกายส่วนล่างของพี่เนยที่กำลังเสียหลักนอนร้องครางโอดโอยอยู่บนเตียงตอนนี้...
“โอ้ย..บอก..ว่า...ให้..ยู้วว....”
ในขณะที่พี่เนยยังไม่ทันระวังตัวใดๆเอาแต่ร้องโอดโอย
แถมยังกำลังจะอ้าปากบ่นให้ฉันเรื่องที่ฉันโยนลงเตียงแรงอย่างนี้
ฉันก็รีบเคลื่อนใบหน้าไประดมมอบจุมพิตให้กับจุดนั้นจากด้านนอกกระโปรงชุดทำงานของเธอทันที
จนพี่เนยสะดุ้งเปลี่ยนท่าทีขึงขังก่อนหน้านั้นกลายเป็นอ่อนระทวย
แล้วเผลอร้องครางเสียงสั่นเครือฟังดูหวาบหวามออกมาทันทีที่โดนสัมผัสดุนดันตรงจุดนั้นภายนอกร่มผ้าอย่างนี้...
ฉันแอบชำเรืองมองพี่เนย
ตอนนี้เธอกำลังเม้มกัดริมฝีปากหลับตาพริ้ม
ฉันเห็นเธอแอ่นตัวขึ้นตอนที่ฉันออกแรงริมฝีปากจูบหนักๆซ้ำๆเข้าที่จุดนั้น
มือสองข้างของเธอก็จิกปลายเล็บลงบนที่นอนแล้วดึงรั้งผ้าปูไปตามทิศทางที่เธอบิดไปมา
เหมือนร่างกายเธอกำลังเกร็งสะท้านจากสัมผัสโรมรันของฉันจนไม่อาจจะต้านไหว
ฉันได้ยินเพียงประโยคสุดท้ายที่เธอพูดค้างไว้ดังออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเบาๆว่า....
“..หยุด...”
..ฉันหยุดทำ..แล้วเงยหน้าเลิ่กคิ้วขึ้นมองพี่เนยที่ตอนนี้ก็สะดุ้งลืมตาชำเรืองมองฉันทันทีที่รู้สึกว่าฉันหยุดทำเธออย่างนั้น...
“ยะ..หยุด..ทำไม...”
...พี่เนยเสียงอ่อน
หน้าแดงกร่ำ
เธอเปลี่ยนสำเนียงดุดันของประโยคคำสั่งก่อนหน้านั้น
เป็นประโยคคำถามหวาดหวั่นเมื่อเห็นว่าฉันจะไม่เจรจากับเธอต่อ
เธอส่งยิ้มแหยๆก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นโน้มตัวดึงร่างของฉันลงไปนอนสวมกอดไว้พร้อมๆกับมอบสัมผัสร้อนระอุจากริมฝีปากแดงงาม
ที่ตอนนี้ก็โดนฉันบดขยี้ด้วยจูบรสจัดไปไม่แพ้กัน
สองแขนของเราต่างทำหน้าที่ดึงๆรั้นๆเสื้อผ้าของกันและกันออก
สัมผัสดึงรั้งทั้งรุนแรงและลุ่มร้อน
เหมือนเปลวไฟที่กำลังลุกโหมขึ้นเมื่อมีอีกฝ่ายเป็นลมพัดกระพือเชื้อเพลิงราคะให้
เหมือนต่างฝ่ายต่างรอที่จะรับรสรักสัมผัสกายหรือกลิ่นหอมกลุ่นนุ่มลึกชวนดื่มด่ำของอีกฝ่ายหนึ่งไม่ไหว
จนเกือบจะออกแรงฉีกรั้งเสื้อผ้าของกันและกันออกไป
หากมันยังประวิงเวลาเกมส์รักของเราให้ช้ากว่านี้...
ไม่นานเมื่อร่างกายของเราต่างเปลือยเปล่า
มีเพียงอ้อมแขนของกันและกันที่สลับผลัดเปลี่ยนกันมอบสัมผัสอุ่น
จากมือที่เคลื่อนที่ไปมาตามผิวเนียนๆนุ่มๆตั้งแต่ใบหน้า
ลำคอ เรื่อยลงมาจนกระทั่งถึงหน้าอกกลมกลึงทั้งคู่นั้น
หรือแม้กระทั่งจุดซ่อนเร้นบอบบางที่ต่างฝ่ายต่างอยากให้อีกฝ่ายสัมผัสมอบความรักละมุนนีให้เหลือเกิน
ฉันทั้งจูบทั้งสัมผัสสองมือของฉันไปมาระหว่างหน้าอกกลมกลึงกับเนินเนื้ออูมอิ่มเนียนนุ่มนั้นที่ตอนนี้มันกำลังชุ่มชื้นเหลือเกิน
เหมือนมีสายธารเล็กๆกำลังไหลผ่านกลางดงดอกไม้เหล่านั้น
แม้กระแสน้ำไม่รุนแรงแต่ความชุ่มชื้นก็มากพอจะหล่อเลี้ยงกลีบดอกไม้งามเหล่านั้นให้บานต้อนรับผีเสื้อสาวที่กำลังเคลื่อนตัวลงมาสูดน้ำหวานจากเกสรชมพูต่อจากนี้...
ฉันละจูบรสจัดจากริมฝีปากพี่เนย
แล้วค่อยๆประพรมจูบตามเนื้อตามตัวเธอลงมาเรื่อยๆ
เหมือนกำลังเดินทางผ่านเส้นทางสายรัก
ที่ต้องเดินทางผ่านทั้งภูเขาโตสองลูกงามที่มีสีขาวนวลสวยประหนึ่งมีหิมะปกคลุมอยู่ตลอดทั้งปี
ภูเขาสองลูกนี้เปรียบไปก็เหมือนดินแดนลับแล
แม้ไม่มีแมกไม้ขึ้นชุกชุมให้น่าพลัดหลง
จะมีก็เพียงสีนวลๆของหิมะขาวโพนให้เห็นพื้นทางสว่างไสวดี
แต่มันกลับดึงดูดให้นักเดินทางต้องหยุดและเดินหลงเข้าไปติดกับดักความหอมนุ่มลึกชวนดมดอมของบรรดาหิมะนั่น...ดั่งที่ฉันกำลังเป็นอยู่ตอนนี้...
เมื่อริมฝีปากของฉันเดินทางมาถึงเนินเทือกเขาขาวงาม
ฉันก็ไม่รอช้าที่จะฝากรสจูบดูดดื่มไว้กับยอดเขาหิมาลัยทั้งสองลูก
เหมือนปลายยอดภูเขามีหิมะรสหอมหวาน
เมื่อฉันลงลิ้นสัมผัสกับมันทั้งคู่แล้วฉันก็ไม่ลืมที่จะดูดกินปลายยอดหอมๆนั้นเพื่อรับรสหวานและความหอมกรุ่นเข้าไปอีก
จนเจ้าของร่างถึงกับครางสั่นกระเส่า
ด้วยเพราะเริ่มทนสัมผัสจากปลายลิ้นที่ทั้งดูดทั้งชะโลมความเย็นไปทั่วๆปลายยอดหิมะเหล่านี้ให้ชุ้มชื่นเพิ่มขึ้นไปอีกไม่ไหว...
พี่เนยร้องครางครวญ
เธอเอื้อมสองมือมาค่อยๆลูบหัวฉัน
ฉันได้ยินแค่เสียงเธอเรียกขานชื่อของฉันเบาๆตอนที่ฉันเร่งจังหวะปลายลิ้นเข้ากับยอดถันของเธอ
แล้วแค่เห็นอาการสิ้นแรงอ่อนระทวยของพี่เนยแค่นั้นฉันก็ยิ่งได้ใจ
กลายเป็นยิ่งเร่งจังหวะปลายลิ้นบรรเลงเพลงรักให้ยอดทุมถันทั้งสองเข้าไปใหญ่
จนมันสั่นกระเพื่อมไปตามจังหวะหายใจของเจ้าของร่างนวลอวบอิ่มนี้
ยิ่งฟังเสียงลมหายใจระรัวของพี่เนยฉันก็ยิ่งเกิดความใคร่สิเน่หากระทั่งควบคุมสติอารมณ์อะไรไม่อยู่
กลายเป็นใช้สองมือเลื่อนขึ้นมาบีบเค้นไปตามเนินเนื้อสองข้างนั้นด้วยอารมณ์รักทีเริ่มครุกกรุ่นขึ้นเรื่อยๆ
จนฉันเองก็เผลอร้องครางกระเส่าไปตามเธอด้วย
ความรู้สึกกระหายใคร่อยากกลืนกินร่างหอมนุ่มละมุนละไมของพี่เนยนี้
ทำให้ฉันร้อนรุ่มจนแทบจะทนไม่ไหวกลายเป็นเผลอออกแรงขบกัดยอดถันของเธอเข้าไปอีก..
พี่เนยครางเสียงหลง
มือสองข้างที่เธอกำลังลูบหัวของฉันก็กลายเป็นจิกขยุ้มผมของฉันขึ้นตามความเสียวสะท้านที่เธอโดนฉันกระทำไปเมื่อครู่นี้
ตอนนี้ฉันเองก็เริ่มอดทนต่อความหิวกระหายใคร่อยากจนสติสตังกระเจิดกระเจิงไปไม่ได้อีกแล้ว
ได้แต่รีบละออกจากเทือกเขางามแล้วเร่งเคลื่อนร่างบรรเลงจูบตามทางรักต่อไป...
ร่างพี่เนยสั่นสะท้านด้วยลมหายใจระรัว
เธอได้แต่แอ่นร่างรับแรงจูบที่ฉันร่ายระดมจุมพิตไปตามรายทางต่างๆ
จากฐานเนินปทุมถัน
ผ่านหน้าท้องขาวนวลเนียน
จนกระทั่งถึงฐานเนินรักขาวนวลอูมอิ่มมองดูสวยสะอาดสะอ้าน
จนอยากจะมอบจุมพิตแล้วดูดกลืนทุกสิ่งในเนินเนื้อนั้นด้วยความหิวกระหายทันทีที่เคลื่อนผ่านเข้าใกล้
ซึ่งก็ไม่นานหลังจากที่ฉันมอบจุมพิตจากริมฝีปากนุ่มๆ
ประพรมด้วยความรักและความทะนุทะนอมในตัวเจ้าเนินเนื้อนี้จนหนำใจแล้ว
ใบหน้าของฉันก็เคลื่อนผ่านแทรกซึมเข้าไปยังใจกลางกลีบดอกไม้นั้นทันที
ฉันใช้ทั้งปลายจมูกและปลายลิ้นทำหน้าที่ดุนดันแหวกเนินเนื้อสองข้างนั้นออก
ทั้งดมดอมกลีบสองข้างที่อูมอิ่มด้วยความสนเท่ห์สเน่หา
กลิ่นหอมละมุนละไมของเนินรักพี่เนยนั้นเป็นกลิ่นที่ฉันสัมผัสกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ทำให้ฉันหลงเคลิ้มเข้าไปอยู่ในโลกของจินตนาการทุกที
เหมือนฉันอยากจะแทรกซึมปลายจมูกเข้าไปสูดดมมันให้ใกล้ที่สุด
เพราะยิ่งดมฉันก็ยิ่งคลั่ง
จนฉันแทบจะทนอยู่เฉยไม่ไหว
ได้แต่คิดว่าจะทำอย่างไรถึงจะได้ครอบครองเจ้าของเรือนร่างขาวนวลนี้ไว้แต่เพียงผู้เดียวตลอดไปดี...นี่กระมังความรู้สึกของคนที่เขียนเนื้อเพลงรักเนื้อหาเว้าวอนท่อนที่ว่า
“..อยากจะกลืนกินไปทั้งตัว
ไม่อยากเหลือไว้ให้ใครได้กลิ่น..”
ฉันเข้าใจความหมายของมันได้ทันทีที่ฉันได้สัมผัส
ได้กลิ่น
หรือแม้แต่กำลังได้ยินเสียงที่พี่เนยกำลังส่งเสียงครางระงมร้องเรียกชื่อฉันราวกับเธอกำลังขอร้องอ้อนวอนให้ฉันเมตตาเธอบ้าง
เพราะเธอเริ่มจะทนสัมผัสเล้าโลมลึกล้ำที่ฉันกำลังมอบให้เธออย่างนี้ไม่ไหวแล้ว...
“กี้คะ..ได้โปรด..อย่าทำอย่างนี้กับพี่...พี่ทนไม่ไหวแล้ว..”
..โอ..ไม่..ฉันไม่อยากได้ยินประโยคนี้จากปากเธอเลย..เธอกำลังทำให้ฉันคลั่ง..ใช่ฉันกำลังคลั่ง...ยิ่งฉันได้ยินเสียงลมหายใจรวยรินและระรัวเวลาที่เธอพร่ำเรียกชื่อของฉันด้วยน้ำเสียงหวาบหวามอย่างนี้แล้ว....ก็ยิ่งทำให้ฉันแทบบ้า...
ตอนนี้ฉันเผลอร้องครางระงมออกมาพร้อมๆกับพี่เนยด้วยความรู้สึกหวาบหวามที่กำลังแผ่ลามไปทั่วๆตัวของฉันด้วย
ความรู้สึกร้อนๆลุ่มๆภายในตัวกำลังทำให้ฉันรู้ตัวว่าฉันกำลังคลั่ง...โอ้ย..ให้ตายเถอะฉันกำลังจะคลั่งแทบบ้าแล้ว...
คิดได้แค่นั้นฉันก็ใช้มือรีบจับขาทั้งสองข้างของพี่เนยเคลื่อนให้ห่างออกจากกัน
ก่อนจะก้มหน้าลงไปมอบสัมผัสลุกล้ำใจกลางกลีบดอกไม้อูมอิ่มนั่นด้วยปลายลิ้นของฉัน
ที่ตอนนี้ละเลงเป็นจังหวะระรัวสลับกับดูดกลืนน้ำหวานจากเกสรนั่น
ที่ยิ่งดูดกลืนก็ยิ่งไหลนองออกมา
แล้วยิ่งฉันดื่มความรู้สึกหอมหวานก็ยิ่งทำให้ฉันยิ่งพยายามเร่งจังหวะปลายลิ้นนั่นเพื่อที่จะช่วยให้เกสรได้ผลิตน้ำหวานหอมอร่อยออกมาได้ใหม่อีกก่อนจะดื่มกินอย่างลื่นลิ้นละเมียดละไมต่อไป..
พี่เนยหายใจระรัว
เธอทั้งร้องทั้งครางตอนที่เรียกชื่อฉัน
เหมือนร่างกายเธอไม่อาจต้านแรงโรมรันจากความรู้สึกหวามๆหวั่นๆรัญจวนอย่างนี้ได้
ยิ่งเวลาที่ฉันดุนดันปลายลิ้นเข้าไปสัมผัสเข้ากับใจกลางเกสรของเธอแล้วเร่งจังหวะสั่นระรัวมากขึ้น
พี่เนยก็ยิ่งครางเสียงหลง
เธอทั้งเกร็งขาทั้งสองข้างของเธอ
ทั้งพยายามโน้มโยกร่างกายส่วนบนทั้งยื่นมือเอื้อมมาจับและลูบหัวของฉันไว้
ร่างกายของเธอนั้นสั่นกระเพื่อมไปตามจังหวะระรัวของลมหายใจ
เช่นเดียวกันกับเสียงครางกระเส่าที่ดังออกมาเป็นระยะๆ...
“..กี้คะ
กี้...โอ้ว..ไม่...ได้โปรด...”
เสียงนั้นถี่และดังขึ้นเรื่อยๆตามจังหวะดุนดันของปลายลิ้นของฉัน
เธอหายใจรัวขึ้นรัวขึ้นเรื่อยๆ
จนกระทั่งร่างกายของพี่เนยเกร็งกระตุกแล้วเธอโน้มตัวยื่นมือมาจิกผมฉันด้วยความจัญจวญหวาบหวามยามทุกอย่างถึงที่สุดแล้วของเธอ....
“กี้...”
เธอปล่อยมือจากผมฉันแล้วค่อยๆทิ้งตัวลงนอนแผ่ราบลงไปกับเตียง
ฉันชำเรืองมองร่างกายของพี่เนยกำลังปรับสภาพของลมหายใจจากจังหวะเร็วๆหนักๆครู่นั้น
กลายเป็นเบาลงเบาลงจนกระทั่งกลายเป็นปกติดั่งก่อนที่เราจะเริ่มการเจรจากัน
เธอหลับตาพริ้ม นอนหายใจรวยริน
ร่างกายที่เกร็งก่อนหน้านั้นก็กำลังผ่อนคลายลงไป
ใบหน้าหวานๆที่มีสีแดงระเรื่อเจือไปทั้งหน้าเมื่อตอนที่เธอหลับตาพริ้มอย่างนี้
ฉันมองทีไรก็ให้ความรู้สึกลุ่มหลงและเสน่หาทุกๆครั้ง
จนกระทั่งทนไม่ไหวต้องมอบรางวัลตอบแทนความงามของร่างกายพี่เนยด้วยการประพรมจุมพิตไปทั่วๆเนินเนื้ออูมอิ่มนั่นเข้าให้อีก
จนพี่เนยสะดุ้งร่างกายเธอสั่นสะท้านไปตามแรงจูบนั่นหอมนี่ของฉัน
กระทั่งเธอทนไม่ไหวต้องรีบปรามฉันด้วยการโน้มตัวดึงร่างของฉันขึ้นมาจากส่วนล่างของเธอแล้วมอบจุมพิตดูดดื่มให้
จนฉันเผลอตัวเผลอใจและกำลังจะเริ่มเกมส์รักครั้งใหม่กับพี่เนยอีกครั้ง
ถ้าไม่ติดว่าฉันได้ยินเสียงสัญญาณแจ้งเตือนว่าโทรศัพท์แบตเตอรี่กำลังจะหมด
แล้วหันไปชำเรืองมองเห็นว่ามาจากโทรศัพท์ของพี่เนยที่อยู่ปลายเตียง
ที่ตอนนี้มันฉายแสงสว่างวาบ
และกำลังแสดงหน้าจอให้เห็นว่า...
...มันกำลังอยู่ในโหมดบันทึกเสียงอยู่...