Girlfriend
Chapter 3
เข้าใจผิด???
เช้าวันต่อมา
ตอนที่ฉันไปรับเอื้อยที่บ้าน
เอื้อยดูยิ้มแย้มสดใส
อารมณ์ดีเป็นพิเศษ
ฉันมองหน้าเอื้อยที่ยิ้มก็อดที่ยิ้มตามไม่ได้
...ดีใจที่เพื่อนหายเศร้าแล้ว...
เมื่อมาถึงโรงเรียนฉันเห็นเพื่อนๆของฉันจับกลุ่มคุยกันยิ้มและโบกมือทักทายฉันแล้วก็พยักเพยิดหน้าใส่กัน
บ้างก็ทำปากซุบซิบกันในระหว่างที่ฉันเดินผ่าน
...ทำให้ฉันเริ่มสงสัย...
“พวกนี้เป็นอะไรกันนี่
นินทาระยะประชั้นชิดเชียว”ฉันพูดในขณะที่กำลังหันไปมองหน้าเอื้อย
“ไม่รู้เหมือนกัน”
เอื้อย อมยิ้มตอบ ใบหน้ามองดูมีพิรุธ
พอถึงห้องไม่ทันที่ฉันจะวางกระเป๋าดี
“เล็ก”เพื่อนผู้ชายในห้องก็เดินตรงปรี่มาหาฉัน
“เจ้ย
เราอกหักนะเนี่ย...ชอบอย่างนี้เหรอ”
พูดแล้วก็เอียงหน้าไปทางเอื้อยที่ยืนหน้าแดงอยู่ข้างๆ
“พูดอะไรเนี่ย..งงนะนี่”ฉันพูดพร้อมขมวดคิ้วให้เพื่อนก่อนที่จะนั่งลงที่โต๊ะ
“หวานนะแก”เสียงของสาเพื่อนผู้หญิงอีกคนในห้องเดินมาทัก
“มีส่งเพลงให้ฟังก่อนนอนด้วย”สาพูดและทำหน้ากรุ้มกริ่มใส่ทั้งฉันและเอื้อย
ฉันนึกสงสัยในคำว่า
“ส่งเพลงให้ฟังก่อนนอนด้วย”
จึงรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดFacebookดู
เฮ้ย..เพลงที่ฉันโพสต์ลงในหน้าวอลล์ของเอื้อยตอนนี้มันมีคนกดถูกใจไปแล้ว
140
คน
มีคนคอมเมนต์อีก43คน
ฉันขมวดคิ้วก่อนที่จะคลิ๊กเข้าไปอ่านคอมเม้นต์เหล่านั้นของเพื่อนๆ
“ตอนแรกไม่คิดอะไรนะ
แต่พอฟังเพลงเท่านั้นล่ะผมนี่อึ้งเลย”เพื่อนผู้ชายในห้องคนนึงคอมเมนต์
“นั่นแน่
ไปแอบมีความลับกันตั้งแต่ตอนไหน”เพื่อนในห้องอีกคนแซว
“แง้...
เจ้ย”เอกคอมเมนต์
“ซึ้งเนอะ”นกก็คอมเมนต์บ้าง
….และข้อความอื่นๆอีก..
ซึ่งมันคอมเมนต์ไปในทางเดียวกัน
คือ...
ทุกคนเข้าใจว่าฉันส่งเพลงนี้ให้เอื้อยฟัง
หมายถึงฉันมอบความหมายของเพลงนี้ให้กับเอื้อย
ฉันเลื่อนไปอ่านข้อความคอมเม้นท์แรกเป็นเอื้อยที่ตอบ
“ขอบคุณจ้า
เพลงเพราะและความหมายดีมากๆ
ฝันดีนะ”
...อ้าว...แล้วก็มาตอบคอมเม้นท์อย่างนี้อีก
ยิ่งชักชวนให้คนอื่นคิดไปกันใหญ่...
ฉันเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์มองหน้าเอื้อย
..ฉันทำอะไรผิดไปเนี่ย..ฉันคิดพลางหน้าวนิ่วคิ้วขมวด
“เอื้อยบอกให้เค้าส่งเพลงให้ทางFacebookทำไมอ่ะ
เพื่อนๆเลยเข้าใจผิด”ฉันทำหน้าบึ้ง
“ไม่เป็นไรเค้าไม่ถือ”
แล้วเอื้อยก็หัวเราะ
“แต่เค้าไม่ชอบอะ
ลบออกดีกว่า ทำไมไม่บอกให้ค้าส่งทางเมลล์
หรือเซฟในไดร์ฟเอาอะ”
“เจ้ย
ที่เค้าบอกอ่ะ
เค้าหมายถึงให้ส่งทางข้อความFacebookให้นะ
ตรงนั้นมันแนบไฟล์ได้เหมือนอีเมลล์เลย”เอื้อยบอก
ฉันขมวดคิ้ว
ทำหน้างง “จริงดิ ไม่เห็นรู้เรื่องเลย”
ฉันมองหน้าเอื้อยก่อนจะก้มพยามยามลบข้อความในหน้าวอลล์ออก
“ไม่ต้องลบได้มั้ยเจ้ย
เอาไว้อย่างนี้ได้หรือเปล่า”
เอื้อยหันมามองทำตาใสๆและกระพริบตาขึ้นลงช้าๆ
..นี่เธอกำลังอ้อนฉันเหรอ...
ฉันคิด
“ทำไม”ฉันถาม
“เอาไว้อย่างนี้ล่ะน่ารักดี
เพื่อนให้เพื่อนฟังมันผิดตรงไหน”
เอื้อยว่า
“เราไม่ได้คิดอะไรกันซักหน่อย
ยิ่งไปลบก็เหมือนยอมรับนะ”เอื้อยพูดพร้อมหยิบโทรศัพท์ออกจากมือฉัน
แล้วก็ทำท่าอ้อนแบบเมื่อกี้อีก
..อ่ะ
พึ่งรู้นะเนี่ยว่าชอบอ้อน
มิน่าล่ะอันถึงได้มาหลงชอบ...
ฉันคิด
“..เอาไว้ก็ได้...”ฉันใจอ่อน
เอื้อยยิ้มรับก่อนจะส่งโทรศัพท์คืนให้
ตอนเที่ยงวันนั้น
หลังจากหลบจากสายตาของเพื่อนๆในโรงอาหารมาได้
ฉันกับเอื้อยก็ไปได้ไปนั่งเล่นที่ลานม้านั่งใต้ต้นไม้ที่เดิม
วันนี้กลายเป็นฉันที่มีเพื่อนอีกห้องนึงเอาตุ๊กตาหมีตัวเล็กๆมาให้พร้อมกับถามไถ่เรื่องราวที่ฉันไปโพสต์หน้าวอลล์ของเอื้อย
ฉันอธิบายเรื่องราวอย่างอายๆในความโก๊ะของฉันที่ไม่รู้ว่ากล่องข้อความของFacebook
สามารถแนบไฟล์ได้
“เฮ้อ..โล่งอกนึกว่าเจ้ยชอบผู้หญิงด้วยกันซะแล้ว
เพราะว่าถ้ามีเอื้อยเป็นคู่แข่งเราคงสู้ไม่ได้”
เพื่อนคนนั้นส่ายหน้าในขณะที่หันไปมองเอื้อยที่นั่งเขียนอะไรอยู่อีกโต๊ะหนึ่ง
ฉันยิ้มให้เพื่อนก่อนที่บอกไป
“บ้าไปแล้ว...ใครจะไปชอบผู้หญิงด้วยกันเล่า”
หลังจากที่ฉันคุยกับเพื่อนผู้ชายคนนั้นเสร็จก็เดินไปหาเอื้อยที่อยู่อีกโต๊ะ
ตอนนี้เธอกำลังเขียนอะไรซักอย่าง
“เขียนอะไรอะ”
ฉันถามขณะที่นั่งลงตรงข้ามเอื้อย
“กำลังแกะเนื้อเพลงความลับ”
“แกะทำไม”ฉันถาม
“อ๊ะ
ก็ชอบอยากร้องเพลงนี้ได้ก็เลยจดเนื้อเอา”
“เหรอ...”ฉันเลิกคิ้วให้เอื้อยก่อนที่จะก้มมองข้อความในโทรศัพท์ของตัวเอง
ตอนเย็นเลิกเรียนก่อนที่ฉันจะขับมอเตอร์ไซค์ออกจากโรงรถของโรงเรียนโดยมีเอื้อยนั่งซ้อนท้ายก็มีเสียงเพื่อนผู้ชายกลุ่มหนึ่งโห่ร้องขึ้นดังมาก
ฉันอารมณ์เสียแต่เอื้อยกลับหัวเราะ
ก่อนที่จะยื่นหน้าจากด้านหลังเบาะมาพูดข้างๆหูฉัน
“นี่เค้าคิดอะไรกับพวกเราเยอะเกินไปหรือเปล่านี่
ถ้าเราชอบกันจริงๆจะทำใจได้มั้ยนี่”พูดเสร็จเอื้อยก็เอาหัว
มาซบที่หลังฉัน
แล้วเธอก็หัวเราะชอบใจ
..ดูเธอมีความสุขจังเลยเนอะ..ฉันคิดก่อนที่จะขับรถออกจากโรงเรียนไป
**********************************
วันเสาร์ฉันกับเอื้อยมีนัดกันไปซื้อของมาทำรายงานคู่ที่อาจารย์ประจำรายวิชาสุขศึกษามอบหมายให้ทำชิ้นแรกของเทอม
ในวันที่อาจารย์ใหัจับคู่กันเองนั้น
ฉันยังจำหน้าของเอื้อยได้
ตอนนั้นเอื้อยทำหน้าเศร้าเล็กๆในขณะที่หันหน้ามาทางฉัน
เหมือนเธออยากจะถามฉันว่าฉันมีคู่ทำรายงานหรือยัง
เพราะตอนนั้นก็มีเพื่อนคนนึงเดินมาชวนฉันไปแล้ว
ด้วยความสงสารเอื้อยฉันเลยปฏิเสธเพื่อนอีกคนเพื่อที่จะมาเป็นคู่ทำรายงานให้กับเอื้อย
เอื้อยดีใจและขอบใจฉันยกใหญ่
เพื่อนฉันคนที่มาชวนก่อนหน้านั้นแกล้งแซวฉันเล็กๆว่า
“ว่าแล้วว่าต้องอยากคู่กับแฟน”
...ทำไมเพื่อนต้องคิดว่าฉันอยากคู่กับแฟน...
ฉันคิดในขณะที่จอดรถรอเอื้อยอยู่หน้าบ้าน
ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาเห็นเอื้อยกำลังเปิดประตูรั้วบ้านวิ่งออกมาหาฉัน
วันนี้เอื้อยปล่อยผมและแต่งตัวด้วยด้วยชุดกระโปรงลายลูกไม้สีชมพู
..เออ..ก็สวยดีนะสำหรับคนที่ชอบใส่ชุดกระโปรง
ฉันคิดก่อนจะก้มลงมองเสื้อยืดสีเขียวอ่อนของฉัน
ที่คุมทับด้วยเสื้อแขนยาวสีขาว
และกางเกงยีนสีซีดๆของฉัน
ฉันคิดว่ามาทำรายงานน่าจะใส่อะไรที่ทะมัดทะเมงหน่อย
แต่ดูจากที่เพื่อนแต่งแล้ว
มันก็น่ารักดี
ขากลับฉันอาจจะชวนเอื้อยพาไปเลือกซื้อชุดกระโปรงอย่างนี้บ้าง
ฉันคิด
ฉันขับรถจากบ้านเอื้อยมาที่โรงเรียนเพราะเรานัดมาทำรายงานที่โรงเรียน
เพราะมีเพื่อนอีกหลายคนที่นัดกันมาทำรายงานที่โรงเรียนเหมือนกัน
ฉันคิดว่าการทำรายงานกับเพื่อนหลายๆกลุ่มจะช่วยให้ฉันสามารถปรึกษารายละเอียดต่างๆของงานได้
พวกเราเลือกนั่งกันที่ลานม้านั่งที่ใต้ต้นไม้หน้าโรงเรียนที่เดิม
โดยมีเพื่อนๆกระจายกันอยู่ม้านั่งระแวกนั้น
เอื้อยดูตั้งใจทำรายงานมาก
เธอหัวดีกว่าที่ฉันคิด
จริงๆเธออาจจะเก่งกว่าเพื่อนบางคนในห้องซะอีก
ไม่นานการเขียนรายงานของเราก็เสร็จเหลือเพียงแต่การเข้าเล่ม
มันเสร็จก่อนเที่ยงซะอีก
เรานั่งรอเพื่อนกลุ่มอื่นๆที่ยังทำไม่เสร็จทำอยู่ที่โต๊ะเดิม
“เออ..ทำไมไม่เห็นเอื้อยไปกับอันเลยอะเดี๋ยวนี้”
ฉันแกล้งถามเอื้อย
เพราะเห็นว่าไม่มีเรื่องอะไรคุย
เอื้อยหันหน้ามามองฉัน
จากที่เธอกำลังยิ้มเธอก็ทำหน้าขรึมขึ้นทันที
“ก็อยู่คนละห้องเลยไม่สะดวกมาหา..เอ่อ..ไม่ค่อยสนิทกันแล้ว”
เอื้อยตอบด้วยน้ำเสียงที่เบาลง
“เหรอ..นึกว่าอันมีแฟนใหม่แล้วทิ้งเอื้อยไปแล้วซะอีก”
ฉันพูดหยอกเอื้อย
พอได้ยินที่ฉันพูดดังนั้นสีหน้าเอื้อยดูเศร้ายิ่งกว่าเดิม
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีสิ...”
เอื้อยตอบเสียงเบาๆ
“ตกลงเป็นแฟนกันจริงๆเหรอ”ฉันถามย้ำ
“จะบ้าเหรอ
ก็บอกแล้วไม่ได้ชอบผู้หญิงด้วยกัน
หรืออยากให้เค้าชอบผู้หญิงด้วยกันอีกคน???”เอื้อยถามคืน
“งั้นเค้าจะชอบเจ้ยนี่ละนะ
ไม่มีแฟนนี่นา
ขอเป็นแฟนได้มั้ย”พูดเสร็จเอื้อยก็ทำหน้าอ้อนๆแล้วก็หัวเราะกลบเกลื่อนในเรื่องที่ถามเมื่อกี้...
...ชอบผู้หญิงด้วยกันอีกคน
….
อีกคนที่ว่าคงหมายถึงอันเหรอ
ฉันคิด
ขณะที่รอเพื่อนๆอยู่นั้น
เอื้อยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปฉันที่นั่งตรงข้ามกัน
เธอบอกว่าขอถ่ายรูปและแต่งรูปฉันสวยๆสักรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก
ท่าทางของเอื้อยที่ทั้งหันขึ้นมามองฉันและก้มลงไปหัวเราะคิกๆคักๆอยู่คนเดียวตอนแต่งรูปนั้นสร้างความสงสัยให้กับฉันเป็นอย่างมาก
“ทำอะไรอะ
แกล้งเค้าใช่มั้ย”
แล้วฉันก็ลุกจากที่นั่งของฉันปรี่เข้าไปหาเอื้อยที่นั่งตรงข้าม
เอื้อยรีบเอาแขนที่ถือมือถือถือไว้แนบหน้าอก
ฉันที่เดินเข้าไปด้านหลังของเอื้อยยื่นมือจากด้านหลังของเอื้อยเพื่อไปแย่งมือถือมาดูภาพ
เราสองคนยื้อแย่งกันในลักษณะโอบกอดจากด้านหลังของอีกฝ่าย
มีทั้งเสียงฉันและเสียงเอื้อยร้องขึ้นดังสลับกันไปมา
“เอามานี่นะ
เอามา” เสียงฉันร้องขึ้น
“ไม่ให้
ๆ” เป็นเสียงของเอื้อยที่ร้องขึ้นบ้าง
ฉันที่บังเอิญออกแรงในการยื้อแย่งแรงเกินไป
ก็ล้มตัวเอาหน้าตัวเองไปชนแก้มเอื้อยเข้าอย่างจัง
..โอ๊ะ..แก้มเอื้อยนุ่มจัง..
เป็นความคิดแว๊บแรกในวินาทีนั้น
หลังจากที่ตั้งสติได้
ฉันก็รีบผละตัวออกมาจากเอื้อยที่กำลังเอามือจับแก้มตัวเองนั่งอึ้งหน้าแดงอยู่
โดยที่มีเพื่อนอีกสามคนกำลังเดินมาหาพวกฉันเพราะได้ยินเสียงร้องโวยวายกัน
ทั้งสามกำลังยืนอึ้งตาค้างอยู่
ฉันก็ตาค้างหันไปมองเพื่อนๆ
และพยายามปัดไม้ปัดมือบอกไม่มีอะไร
เอื้อยหัวเราะเสียงเจื่อนๆให้เพื่อนๆทั้งสามก่อนที่จะหันหน้าไปทางอื่นโดยที่มือข้างนึงยังจับแก้มที่โดนหอมนั้นอยู่
“เฮอะๆ
นึกว่าทะเลาะอะไรกัน
คงไม่ได้ทะเลาะแล้วละมั้งเนอะ..พวกฉันกลับไปนั่งที่เดิมก่อนแล้วกัน”
หนึ่งในสามคนนั้นพูดก่อนที่จะเดินกลับไปนั่งซุบซิบเรื่องของฉันอยู่ที่โต๊ะ
ฉันเดินกลับมานั่งตรงข้ามเอื้อยเหมือนเดิม
“เล่นอะไรเนี่ย...เห็นมั้ยเพื่อนค้าเลยจะเอาไปแซวกันอีก”
ฉันเอ็ดเอื้อยก่อน
“ก็เจ้ยเองนี่
ที่มาแย่งเค้าก่อน เค้านะที่เสียหาย
โดนหอมแก้มฟรีอีก”
เอื้อยพูดก่อนจะทำหน้าค้อนๆสีของหน้ายังแดงระเรื่ออยู่
“แล้วทำอะไรกับรูปเค้า”ฉันถาม
“เค้าก็แค่แต่งภาพเจ้ยให้เป็นผู้ชาย
แค่ใส่หนวดกับวิกผมสั้นให้เท่านั้นเอง
ก็แค่อยากรู้ว่าเป็นผู้ชายจะหล่อมั้ย”เอื้อยพูดแล้วก็ส่งภาพในโทรศัพท์ให้ฉันที่กำลังคิ้วขมวดดู
“มาให้เค้าหอมแก้มคืนเลย”แล้วเอื้อยก็ยื่นมือมาดึงหน้าฉันไปแกล้งหอมโดนมีฉันร้องกรี๊ดหลงอยู่และมีเพื่อนๆทั้งสามคนนั้นหันมามองและยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กัน
เราหยอกเล่นกันซักพักจึงหยุดเล่น...
“เจ้ย...จะเป็นไรมั้ยถ้าเค้าอยากให้เจ้ยคบกันเค้า”
อยู่ๆเอื้อยก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจังหลังจากที่เรานั่งพักกัน
“ฮ้า..”ฉันปากค้าง..ตาโตหลังจากได้ยินคำนั้น
“เฮ้ย..หมายถึงคบกับเค้าเป็นเพื่อนน่ะ..เค้าอยากมีเจ้ยเป็นเพื่อนสนิทของเค้านะ
เค้ารู้สึกสบายใจมากๆเลยเวลาอยู่กับเจ้ย
เจ้ยทั้งคอยแนะนำเค้าและช่วยเค้าในทุกๆเรื่อง”
เอื้อยรีบพูดขึ้น
..เฮ้อ..ค่อยยังชั่ว...
ฉันคิดในใจ
“จะเป็นไรมั้ยถ้าเค้าจะขอไปไหนมาไหนกับเจ้ยตลอด
คือเค้าเล่าเรื่องเจ้ยให้แม่เค้าฟัง
แม่เค้าดีใจและอยากให้เค้าคบเจ้ยเป็นเพื่อนมาก”
เธอยิ้มก่อนจะมองหน้าฉันเพื่อขอคำตอบ
...คงกลัวไม่มีเพื่อนทำรายงานด้วยล่ะสินะ..
ฉันคิด
“ได้สิ
ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”
ฉันตอบด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มเพราะอยากให้ผู้ฟังสบายใจ
“จริงๆนะ
สัญญาได้มั้ย”เอื้อยพูดและยื่นนิ้วก้อยออกมาให้ฉัน
“อือ..สัญญา”
ฉันพยักหน้าและยื่นนิ้วก้อยไปเกี่ยวนิ้วของเอื้อยไว้
เราสองคนมองหน้ากันด้วยรอยยิ้มแห่งความสุขที่มาจากข้างใน
ต่อไปนี้เราสองคนจะมีมิตรภาพที่ยืนนานตลอดไปนะสัญญา
ฉันคิดในขณะที่กำลังเกี่ยวนิ้วก้อยสัญญากับเอื้อย
เพื่อนๆกลุ่มอื่นทำรายงานเสร็จแล้ว
พวกเราชวนกันไปซื้อเสื้อผ้าแถวตลาดในเมือง
แถวนั้นจะมีร้านเสื้อผ้าน่ารัก
สไตล์ผู้ใหญ่ใส่กันอยู่เยอะ
เอื้อยคงเลือกเสื้อกับกระโปรงสวยๆให้ฉันซักชุดได้
ฉันคิดในขนาดที่มองดูเอื้อยกำลังจับเผ้าจับผมของเธอให้เข้าทรง
เธอหันมายิ้มให้ฉันนิดนึงก่อนจะก้มลงไปล้วงหาอะไรซักอย่างในกระเป๋าของเธอ
เป็นลิปกรอสสีชมพูที่เอื้อยยื่นมาให้ฉันทา
“จะได้สวยๆไงล่ะ
ทามั้ย”
ฉันทำปากยื่นๆ
ออกมาแกล้งทำเป็นพูดเล่นกับเอื้อย
“ทาให้สิ..”
“ได้..”แล้วเอื้อยก็เดินเข้ามาใกล้ฉัน
แต่แทนที่จะยื่นลิปสติกให้กับกลายเป็นยื่นปากออกมาแทน
“แต่ต้องทาจากปากเค้านะ”เอื้อยว่า
“เอาสิ..”ฉันพูดเล่นคืน
แล้วเอื้อยยื่นสองมือมาจับใบหน้าของฉันไว้
และยื่นหน้าเข้ามาใกล้ฉัน
ทำท่าเหมือนจะเอาปากมาทาบใส่ปากฉันจริงๆ
เมื่อหน้าเอื้อยใกล้เข้ามามากๆเข้าก็เป็นฉันที่ร้องวีดว้ายอยู่คนเดียวอีกครั้งพราะกลัวเอื้อยจะเอาปากมาทาลิปสติกให้จริงๆ
เอื้อยหัวเราะชอบใจก่อนที่เธอจะหยุดเล่นและยื่นลิปสติกให้ฉันทาเองแทน
“อ๊ะ..ทาเองเพื่อนมองกันหมดแล้ว”
เอื้อยพูดหลังจากที่ชำเรืองไปเห็นเพื่อนกลุ่มอื่นๆกำลังจับกลุ่มหัวเราะกันคิกๆคักๆหลังจากที่มองมาทางด้านพวกเรา
..เฮอะ..ประเดี๋ยวคงจะเอาไปนินทากันอีกแน่ๆ...ฉันคิดก่อนที่จะหยิบลิปกลอสจากเอื้อยมาทาที่ปากตัวเอง
หลังจากที่ฉันกับเอื้อยเดินทางมาที่ตลาด
เราจอดรถไว้ทางเข้าตลาดทางด้านหน้าและรีบเดินไปทางโซนร้านขายของที่เป็นร้านเสื้อผ้าทางฝั่งตะวันตกของตลาด
ทางนั้นจะมีร้านขายอุปกรณ์เครื่องเขียน
ดนตรี ร้านขายยา
ร้านอาหารและร้านขายเสื้อผ้าอยู่หลายร้าน
พวกเราแยกย้ายกันเดินเลือกซื้อเสื้อผ้าไปยังร้านที่ตัวเองชอบ
ฉันชวนเอื้อยให้พาไปเลือกซื้อชุดกระโปรงแนวเดียวกันกับที่เอื้อยใส่มาวันนี้
“เค้าใส่แล้วสวยใช่มั้ยล่ะ”เอื้อยพูดไปยิ้มไปพลางเดินจูงมือฉันไปยังร้านที่เธอบอกว่าเธอไปเลือกซื้อประจำ
เธอบอกว่ามันเป็นร้านใกล้ร้านสุดท้ายของห้องแถวติดกับร้านขายเครื่องดนตรี
ก่อนที่จะเดินไปถึงร้านขายเสื้อร้านนั้นต้องผ่านร้านขายเครื่องดนตรีก่อน
ฉันเหลือบตาเข้าไปมองดูกีตาร์ในร้านก่อนที่สายตาของฉันจะหยุดอยู่ที่ชายหนุ่มผิวขาวตัวสูงคนนึงที่กำลังเดินออกมาจากประตูร้าน
“กร
ธนากรนี่นา”
ฉันอุทานออกมาเบาๆขณะที่ฉันกับกรหันมาสบตากัน
“อ้าว
เจ้ย” ชายหนุ่มคิ้วเข้ม
ตาชั้นเดียว ใบหน้าเรียวได้รูป
ตัดผมรองทรงคนนั้นหยุดและยกมือโบกทักทายก่อนที่จะรีบสาวเท้าเดินเข้ามาใกล้ๆฉัน
“หวัดดี...เจ้ยมาทำอะไรอ่ะ”
กรหยุดยืนและยิ้ม
นัยตาเค้าดูยิ้มแย้มแจ่มใสมาก
“เรามาซื้อของกับเพื่อน”ฉันยิ้มให้นิดนึงก่อนจะตอบ
พร้อมกับหันหน้ามาทางเอื้อยที่กำลังเดินย้อนกับมาหาฉันเพราะเธอไม่รู้ว่าฉันหยุดยืนทักกรอยู่ที่ตรงนี้
กรยืนอึ้งตะลึงงันทันทีหลังจากที่เห็นเอื้อยเดินเข้ามาใกล้เราสองคน
เค้าทำหน้าตาเลิ่กลั่กเหมือนทำอะไรไม่ถูก
ดูหน้าแดงๆผิดปกติ
“หวัดดีครับ..เพื่อนเจ้ย”แล้วเค้าก็ทักกับเอื้อยด้วยหน้าตากรุ้มกริ่ม
เอื้อยยิ้มตอบให้กรนิดนึงแต่ไม่พูดอะไรก่อนหันไปมองทางร้านเสื้อผ้าที่เราจะไปดู
“เจ้ยยังสวยน่ารักเหมือนเดิมเลยนะ..เออ
เบอร์บ้านเจ้ยเบอร์เดิมมั้ยอะ
เราว่าจะโทรหาตั้งนานแล้วแต่กลัวเปลี่ยนเบอร์”
กรหันกลับมาถามฉันด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนเดิม
“อื้ม..เบอร์เดิมสิ
แม่ไม่ได้เปลี่ยนเบอร์บ้านหรอก”ฉันตอบกรพร้อมกับรอยยิ้มที่ฉันรู้ว่าครั้งนึงฉันเคยยิ้มอย่างนี้มาก่อน
“ออ..อย่างนั้นเดี๋ยวเราจะโทรไปหานะ..
ดูเหมือนเพื่อนเจ้ยรีบๆอะ
เราก็รีบพอดีมาซื้อไม้กลองไปให้เพื่อนซ้อมดนตรี”
กรพูดแล้วแอบหันไปชำเรืองเอื้อยที่เอาแต่หันหน้าหนีไปทางอื่นตลอด
“เราไปก่อนนะ
บ้ายบายเจ้ย บ้ายบายเพื่อนเจ้ย”
กรยิ้มและโบกมือลาและเดินจากพวกเราสองคนไป
พอกรเดินไป
เอื้อยก็หันหน้ากลับมาและรีบจูงมือฉันไปเลือกซื้อเสื้อผ้าที่ร้านข้างๆทันที
“ทำไมเอื้อยหลบหน้าเพื่อนเค้าอะ..”ฉันถามเอื้อยในขณะที่กำลังเดินเข้าไปในร้านเสื้อผ้า
“ไม่รู้สิ
ไม่ค่อยชอบให้ผู้ชายมองหน้าอะ”
เอื้อยหันมายิ้มให้ฉันนิดนึงก่อนผลักประตูร้านเข้าไป
วันนั้นฉันกลับมาถึงบ้านประมาณสี่โมงเย็น
วันนี้แม่กลับพ่อไปธุระที่ต่างจังหวัดกันทำให้บ้านดูเงียบเหงาเป็นพิเศษ
ฉันนั่งอยู่บนเตียงมองไปที่มุมห้องทางฝั่งโต๊ะทำงาน
ตรงนั้นมีของบางอย่างซ่อนอยู่
ถ้าใช้สายตาเพ่งมองดีๆจะเห็นกีตาร์สีน้ำตาลที่อดีตเคยมันเงา
แต่ปัจจุบันกลายเป็นสีขาวของฝุ่นในห้องจับอยู่รอบๆกีตาร์แทน
เอ..เหมือนฉันจะเล่นกีตาร์เป็นนะ
ฉันคิด..เออใช่สิฉันเล่นเป็น..
นึกย้อนไปในอดีต..ครั้งนึงฉันเคยบ้ากีตาร์มากถึงขนาดเก็บตังค์ค่าขนมของฉันเพื่อมาซื้อกีตาร์ตัวนี้
น่าจะประมาณ
ม.3ได้
ตอนนั้นฉันยังไม่ได้เรียนที่โรงเรียนปัจจุบันนี้
แต่เป็นโรงเรียนอีกโรงเรียนนึงที่อยู่แถวชานเมือง
ซึ่งเป็นโรงเรียนที่สอนตั้งแต่ประถมจนถึงระดับ
ม.ต้น
ตอนที่เรียนอยู่ม.3ฉันได้มีโอกาสได้รู้จักกับคนที่ทำให้ฉันรู้สึกอยากเล่นกีตาร์มาก
คนๆนั้นก็คือ
“กร” ใช่แล้ว “กร”
คือเพื่อนของฉันที่ฉันเพิ่งได้มีโอกาสกลับมาเจอเค้าอีกเมื่อตอนกลางวันนี่เอง
เรามีโอกาสได้ใกล้ชิดกันตอนม.3
ตอนนั้นเราสองคนถูกส่งให้ไปแข่งขันทักษะทางวิชาการด้วยกัน
ฉันถูกส่งไปแข่งขันวาดภาพส่วนกรถูกส่งไปแข่งขันประกวดทักษะทางดนตรีเขาแข่งกีตาร์โปร่งได้รางวัลชนะเลิศของเขตในตอนนั้น
กรเป็นเด็กผู้ชายที่ฮอตมากๆในโรงเรียน
เค้ามีรูปร่างน่าตาที่ดี
ดูเป็นหนุ่มไวกว่าเพื่อนๆในชั้นเดียวกันในเวลานั้น
ตอนนั้นเป็นกรเองที่เค้ามาตีสนิทกับฉันก่อน
อาจเป็นเพราะความที่กรเป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีเข้ากับคนได้ง่ายฉันจึงชอบที่จะไปไหนมาไหนกับกรบ่อยๆ
กรเคยชวนฉันให้มาร้องเพลงให้กับเค้า
เค้าบอกว่าเค้าจะตั้งวงดนตรี
ในตอนนั้นฉันได้แต่ส่ายหัวและหัวเราะในคำเชิญชวนของเค้า
จะไม่หัวเราะได้ไง
เพราะแม้ฉันจะเหมือนจะเป็นคนที่เพรียบพร้อมไปซะทุกอย่าง
แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันรู้ตัวเองดีว่าฉันขาดและมันเป็นข้อเสียที่ห่วยมากๆก็คือ
“เสียงของฉัน”
ถึงฉันชอบเสียงเพลง
ชอบฟังเพลง
และชอบฮัมเพลงแต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะ
“ร้องเพลงเพราะ”
การปฏิเสธของฉันในการขอให้ฉันเป็นนักร้องให้เค้าในตอนนั้นทำให้เค้าดูผิดหวังนิดๆ
แต่ฉันก็บอกกรไปว่าขอให้ฉันได้เป็นนักกีตาร์ในวงแทนจะได้มั้ย...ซึ่งกรดูดีใจมากในตอนนั้น
และนั่นก็เป็นที่มาของการเก็บตังค์ค่าขนมของฉันเพื่อซื้อกีตาร์มาหัดเล่นเอง
จริงๆจะว่าฉันหัดเล่นเองมันก็ไม่ใช่ซะทีเดียว
เพราะหลังจากที่ฉันได้กีตาร์ตัวนี้มากรเป็นคนที่เอากีตาร์ของเค้ามาหัดให้ฉันเล่นก่อนเพราะฉันไม่กล้าพกกีตาร์ของฉันมาโรงเรียน
แต่ก็เป็นเวลาแค่ไม่นานที่กรสอนให้กับฉัน...เพราะมันได้มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นระหว่างฉันกับกร
ทำให้ฉันกับกรเข้าหน้ากันไม่ติดอีกเลย
วันนึงหลังจากโรงเรียนเลิกกรก็หัดเล่นกีตาร์ให้กับฉันที่ใต้ถุนอาคารเรียนดนตรี
อาคารนั้นในเวลาเลิกเรียนจะเงียบมาก
หากไม่มีการซ้อมดนตรีของนักเรียนในชมรมแล้วอาคารตรงนั้นก็จะไม่มีแม้ครูและนักเรียนเดินผ่านเลย
กรนั่งอยู่ด้านข้างฉัน
เค้าโอบแขนมาจับที่มือของฉันเพื่อให้ฉันจับคอร์ดกีตาร์ที่เค้าจะสอนให้
มือของกรก็มาจับที่มือฉัน
เค้าโน้มตัวมาใกล้ฉันและใช้มืออีกข้างกอดเอวฉันไว้
แล้วเค้าก็หอมแก้มฉัน
ตอนนั้นฉันที่ไม่ได้คิดอะไรกับกรมากไปกว่าเพื่อนเลย
และไม่คิดว่ากรจะคิดอะไรกับฉันอย่างนี้ก็ตกใจในสิ่งที่กรทำกับฉันมาก
ฉันปล่อยมือจากกีตาร์และผลักกรออกจากตัวฉัน
กีตาร์ตกลงกระแทกพื้นแรงมากจนคอกีตาร์ของกรนั้นหักออก
แต่กรก็ยังไม่ยอมปล่อยมือฉันออก
“กรทำอะไรน่ะ”ฉันถามกรเสียงหลง
มืออีกข้างรีบแกะมือของกรออกจากมือแขนของฉัน
แต่เค้าไม่ยอมปล่อย
“ทำอะไร”ฉันยังถามด้วยเสียงสั่นๆเหมือนเดิมและพยายามผลักกรให้ออกจากตัว
“เจ้ย
เราชอบเจ้ยนะ”
กรบอกก่อนจะดึงมือของฉันเข้าไปทาบที่หน้าออกของเค้า
“เจ้ยคิดเหมือนกันกับเราใช่มั้ย”
กรมองตาและยิงคำถามที่เค้าคิดว่าฉันน่าจะตอบได้ตรงใจในคำตอบที่เค้าอยากฟัง
“ไม่กร..เราไม่ได้ชอบกรอย่างนั้น..”ฉันส่ายหน้าก่อนจะรีบสะบัดมือเต็มแรงออกมาจากมือของกร
“นี่เราเป็นเพื่อนกันนะกร
นายเป็นบ้าอะไรนี่”ฉันตะโกนใส่กรก่อนจะรีบหยิบกระเป๋าแล้วรีบวิ่งหนีกรไป
นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันได้มีโอกาสอยู่ใกล้กับกร
หลังจากนั้นฉันก็ไม่มาคุยกับกรอีกเลย
ไม่แม้แต่จะมองหน้าเค้า
ฉันไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังและคิดว่ากรคงไม่เล่าให้ใครฟังเหมือนกัน
กรพยายามโทรหาฉัน
เค้าพยายามส่งโน๊ตแผ่นเล็กๆมาให้พร้อมกับดอกกุหลาบหนึ่งดอกทุกๆวัน
ใจความในกระดาษนั้นก็เป็นข้อความเดิม
“ขอโทษ
ที่ทำไปเพราะรักให้โอกาสเราได้มั้ย”
เค้าส่งมาซ้ำๆกัน
เป็นประจำทุกๆวันจนเพื่อนในโรงเรียนเค้าใจผิดว่าฉันเป็นแฟนของกร
แม้ดูกรจะสำนึกในสิ่งที่เค้าทำผิดจริงๆ
แต่ฉันก็ยังยืนยันบอกความรู้สึกของฉันที่มีต่อกรว่าแค่
“เพื่อน” คนนึงเท่านั้นเองที่ฉันคิดกับกร
ผ่านไปไม่นานเราจบชั้นม.3และแยกย้ายกันสอบเข้าเรียนโรงเรียนใหม่
ฉันมาเรียนอยู่ที่โรงเรียนปัจจุบันของฉัน
ส่วนกรได้ข่าวว่าเค้าไปเรียนต่อเทคนิค
นั่นเป็นข่าวสุดท้ายที่ฉันได้รู้เกี่ยวกับเรื่องราวของเค้า
ฉันนึกถึงภาพที่เจอเค้าอีกครั้งวันนี้
ดูหน้าเค้าเปลี่ยนไปนิดนึงอาจจะเป็นเพราะเริ่มเป็นหนุ่มแล้ว
ดูเจ้าชู้กระริ้มกระเหรี่ยด้วย
ภาพที่กรเอาแต่หันไปมองเอื้อยอยู่ตลอดมันทำให้ฉันอดคิดไม่ได้
...แต่มันก็เรื่องของเค้า
ไม่เกี่ยวกับเราแล้วนี่...
…..ติ้งหน่อง
ติ้งหน่อง
เสียงเตือนของข้อความไลน์ดังขึ้นทำให้ฉันตื่นจากพวังค์
ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู
พบว่ามีคนนึงส่งข้อความมาหาฉัน
ใช้ชื่อว่า“GRON
BOY”
ใครกัน
เพื่อนของฉันไม่มีชื่อนี้นี่นา
ฉันคิ้วขมวดทำหน้าสงสัยก่อนจะเปิดอ่านข้อความในโทรศัพท์
เป็นสติ๊กเกอร์รูปหมีถือดอกไม้ส่งมาให้ฉัน
“หวัดดีเจ้ย
กินข้าวเย็นยัง” ปลายทางพิมพ์ข้อความมา
“ยัง
ใครอ่ะ”ฉันพิมพ์กลับ
พร้อมส่งสติ๊กเกอร์รูปหมีงงกลับคืนไป
“เรากรไง
จำได้มั้ย” เค้ารีบพิมพ์ข้อความกลับมาทันที
“พอดีเราไปขอไลน์เจ้ยจากไอ้วาเพื่อนตอนม.3ของเราอะ”กรพิมพ์ต่อ
“อ๋อ
ว่าอยู่”ฉันเข้าใจทันที
“คิดถึงนะ”
กรพิมพ์กลับมา
ฉันไม่ตอบแต่ส่งสติ๊กเกอร์รูปยิ้มกลับคืนไป
เป็นการเลี่ยงคำตอบที่จะทำให้เรื่องเดิมๆที่ฉันเคยเจอกับกรจะเกิดขึ้นอีก
“เจ้ยมีแฟนหรือยังอะ”กรถาม
“ไม่มีหรอก
เอาเวลาไหนไปมี”
“งั้นแสดงว่าเราจีบเจ้ยได้ใช่มั้ย”
ฉันเงียบ
ในใจรู้สึกอึดอัด
คนถามคงรู้ว่าฉันไม่อยากตอบเพราะข้อความขึ้นโชว์ว่าอ่านแล้วแต่ยังไม่มีข้อความใดๆกลับมาเลย
แต่กรไม่ละความพยายามเค้าโทรเข้ามาในไลน์เพื่อที่จะคุยกับฉัน
“ยังไม่หายโกรธเราอีกเหรอ
ขอโทษนะเรารู้สึกผิดจริงๆนะเจ้ย”
เสียงขรึมๆของกรดังมาจากปลายสาย
“หายโกรธแล้ว
แต่อย่าทำให้เราต้องมองหน้ากันไม่ติดอีกได้มั้ยถ้ายังอยากคบกับเราเป็นเพื่อนเหมือนเดิมอยู่”ฉันพยายามตอบด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติที่สุด
“ครับ
ขอบคุณเจ้ยที่หายโกรธเรานะ”
“ถามอะไรหน่อยสิ
ตอบความจริงด้วยได้มั้ย”กรถามต่อ
“ว่า..”ฉันลากเสียงยาว
“คนที่มากับเจ้ยใช่แฟนเจ้ยหรือเปล่าอะ”
กรทำเสียงกรุ้มกริ่ม
“..
ฮ้า..”
ฉันร้องเสียงหลงเพราะไม่คิดว่ากรจะถามคำถามแบบนี้กับฉัน
“เห็นวา...มันบอกว่าเจ้ยมีแฟนแล้วเป็นผู้หญิงด้วยกัน
เป็นดาวโรงเรียนสวยด้วย
ใช่คนที่เราเห็นมั้ย”
“ถ้าหมายถึงคนสวยที่เป็นดาวโรงเรียนก็คงจะเป็นเอื้อยนี่ล่ะ
แต่เอื้อยไม่ใช่แฟนเรานะ”
ฉันพยายามอธิบาย
“จริงดิ”กรรีบถามต่อน้ำเสียงดีใจมาก
“จริงสิใครจะไปชอบผู้หญิงด้วยกันเล่า”
ฉันตอบด้วยเสียงขำๆ
“ดีใจจัง”
นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายก่อนที่กรจะชวนฉันคุยต่อไปมากกว่านี้
ฉันขอตัวกรรีบไปเปิดประตูบ้านเพราะได้ยินเสียงรถของพ่อแม่กลับมาถึงบ้านแล้ว
“ไว้คุยกันใหม่นะ”ฉันบอกกร
ก่อนที่จะกดวางสายไป